ตอนก่อนจบ ไม่หวานมากนะครับ หวานไม่ออกแล้ว
ตอน หกสิบห้า
สูดกลิ่นกาย โอบกอดพ่อยอดขวัญ เปรียบสวรรค์ส่งเธอมาเป็นคู่หมาย
เธอห่มใจด้วยรักไม่เสื่อมคลาย ดุจดังสายธารามหานที
ดัง เหมันต์บอกรักวายุกา เปรียบอุษาแรกแย้มดรุณี
ด้วยมีเธออยู่เคียงชีวีต นี้ ดุจปักษีเคียงคู่พนาไพร
ผมเกือบจะหายเป็นปกติแล้ว มีเพียงอาการอ่อนเพลียเล็กน้อย หยุดงานเป็นสัปดาห์แล้ว ส่วนเอก็หายแล้วแม้จะไม่ให้น้ำเกลือแต่หมอก็นัดไปตรวจอีกรอบเหลือเพียงแผล ที่ยังไม่หายสนิท สถานการณ์ดีขึ้นจากหน้ามือเป็นหลังมือ แม่โล่งใจขึ้นมากแววตาสีหน้าดูเป็นสุขไม่มีความกังวลในใจอีก อาจารย์ปริศนามาที่บ้านทุกวัน ส่วนลุงใหญ่กลับไปเชียงใหม่แล้ว เหตุการณ์ที่ผ่านไปได้ด้วยดีต้องนับว่าเป็นเพราะลุงใหญ่ที่มาไกล่เกลี่ยให้ หน้าหนาวลุงใหญ่ชวนให้ไปเที่ยวที่เชียงใหม่ผมก็วางแผนไว้เหมือนกัน อาจารย์ปริศนาเองก็ดูไม่ติดใจแล้ว ถ้าจะมองแบบไม่เข้าข้างตัวเองดูเหมือนอาจารย์ปริศนาเองจะเอ็นดูผมมากขึ้น ด้วย
"เอ ถามหน่อยสิ ทำไมคิดทำแบบนั้น"
ผมถามเอตอนที่เรากำลังจะนอน มันยังคงกอดผมแม้จะทำได้ไม่ถนัดนักเพราะแขนมันยังเจ็บ
"หือ ที่ทำร้ายตัวเองน่ะเหรอคะ"
มันยิ้มกรุ้มกริ่ม
"ฆ่าตัวตายนะรู้สึก"
"อิอิ เขาเรียกไม้ตาย"
"แหม ถ้าตายสมใจขึ้นมาล่ะ จะทำยังไง"
"โห ตัวเองอ่ะ เค้าไม่ตายง่ายๆหรอก เค้ายังไม่ได้อยู่กับตัวเองเลย ตายไม่ได้หรอก"
"อ้อ เรียกร้องความสนใจว่างั้น"
"แต่ เค้าเสียใจอยู่อย่างเดียว"
เอถอนหายใจ สายตาดูสลดลง มองหน้าผมแล้วจูบหน้าผาก
"อะไร"
"เค้าเกือบเสียตัวเองไปน่ะสิ ถ้าเป็นแบบนั้น ตอนนี้ก็คงมีงานศพสองงาน อิอิ"
"นี่เอ มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ อย่ามาพูดเล่น" ผมดุมัน
"เค้าขอโทษ ตัวเองรู้ไหม พอรู้ว่าตัวเองช็อค เค้าแทบจะคลั่ง ดีนะที่พี่พลบอกว่าตัวเองไม่เป็นไรแล้ว ไม่งั้นเค้านั่นล่ะจะกลั้นใจตายเอง"
ผมปล่อยลมหายใจที่กักเก็บเอาไว้ออกมา ไม่รู้จะพูดอะไร ไม่รู้จะให้มันเป็นไปในรูปแบบไหนดี
"ไม่ใช่มี แต่เรานะเอที่เสียใจ ทุกคนเสียใจกันหมด"
"เค้า รู้ แต่เค้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีล่ะ ว่าทำไมกีดกันแต่แรก แม่นะรู้ทั้งรู้ว่าเค้าไม่ยอมอะไรง่ายๆ เค้าไม่เคยรักใครขนาดนี้ แม่ไม่เข้าใจเอง"
"เอาเถอะเอ ต่อจากนี้อย่าทำอะไรแบบนั้นอีก มันไม่ใช่ทางออกที่ดี ถ้าเราไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว คิดไหมว่าคนที่อยู่ข้างหลังเขาจะเสียใจขนาดไหน"
"คร้าบ เมียรัก ต่อจากนี้จะไม่คิดสั้นอีกแล้ว แต่ตัวเองห้ามทิ้งเค้านะ เค้าไม่ยอมน้า"
มันออดอ้อนแล้วเบียดกายเข้าหาผม
"จะไปไหนอ่ะ"
"แปบนึง มีอะไรให้"
ผมแกะมือมันออก จำได้ว่าผมมีของที่แทนใจตัวเองเหมือนกันที่จะมอบให้มัน เก็บไว้ตั้งแต่อยู่ที่เชียงใหม่ จนเรื่องมันเกิดขึ้นก่อน ผมเดินกลับมาพร้อมกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินเล็กๆที่ยังผูกโบว์อยู่
"อะไรคะ"
"ว่าจะให้ตั้งนานแล้วล่ะ แต่มีเหตุซะก่อน"
มันดึงตัวผมลงไปนอนกอดเหมือน เดิม แล้วแกะกล่องออก
"อ่า เหมือนของเค้าเลย"
ผมยิ้มให้มัน
"ใส่ให้เค้าหน่อยสิคะ"
มันยิ้มเต็มดวงหน้า ผมหยิบเอาแหวนเงินมาสวมให้มันอย่างแผ่วเบา แหวนพอดีกับนิ้วนางข้างซ้ายของมัน
"ฉันรัก เธอนะเอ รักมาก"
ผมพูดออกไป รื้นน้ำตามันกลบตาอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เสียใจหรือทุกข์ใจแต่มันช่างปริ่มใจสุขใจเสียเหลือเกิน
"เค้าก็รักตัวเอง ขอบคุณนะคะ ที่ตัวเองรับรักเค้า เค้ามีความสุขมากที่สุด นี่เราเหมือนแต่งงานกันแล้วนะ"
ผมเองก็มีความสุข กว่าจะรู้สึกว่าสุขถึงเพียงนี้ได้ก็แลกมาด้วยอะไรหลายๆอย่าง กว่าจะฝ่าฝันอุปสรรคที่ขวางกั้นได้มันไม่ใช่ง่าย ถ้าหากว่าผมยอมแพ้กับอุปสรรคนั้นเสียป่านนี้คนที่ผมนอนกอดอาจจะไม่ใช่มัน ผมอาจจะกำลังนอนกอดตัวเองเหน็บหนาวอยู่ที่ใดในยมโลก
................................................................
"เอ ตื่นได้แล้ว เดี๋ยวไปโรงเรียนสายนะ"
ผมเขย่าตัวเอ หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ มันยังนอนขดตัวอยู่บนเตียงอย่างสุขใจ
"หือ ขอนอนอีกแปบนึงน้า"
"ไม่ได้นะเอ จะนอนอีกงั้นฉันไม่รอกินข้าวนะ เร็วๆเดี๋ยวแม่รอ"
ผมทำเป็นไม่สนใจเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เป็นวันทำงานที่แสนสุข เอย้ายมาอยู่ที่บ้านเกือบจะถาวร มีกลับไปบ้านบ้างบางวัน แต่ก็จะกลับมาค้างที่บ้านผมอยู่ดีเพราะมันอ้างว่านอนไม่หลับ แผลมันหายแล้วเหลือเพียงร่องรอยของอดีตที่เพิ่งผ่านไป อดีตที่คอยเตือนใจว่าอย่าทำอะไรก็ตามด้วยอารมณ์ชั่ววูบ หรือให้ใจมันนำจิต เอลุกพรวดพราดขึ้นจากเตียงวิ่งไปเข้าห้องน้ำทันที ผมแต่งตัวเตรียมไปทำงาน หยิบเอาชุดนักเรียนมาวางไว้ที่ปลายเตียงเตรียมไว้ให้มัน เอออกมาจากห้องน้ำตัวยังมีหยดน้ำเกาะอยู่
"เช็ด ตัวให้เค้าหน่อย"
มันมายืนจังก้าอยู่ต่อหน้า ยื่นผ้าเช็ดตัวมาให้ผม ไม่ได้ตกใจหรือเขินอายแต่อย่างใด เพราะมันทำแบบนี้ทุกวัน
"ยืนดีๆสิ แล้วนี่จะสู้ไปไหน"
"อิอิ ก็บอกแล้วเวลาอยู่กับตัวเอง น้องชายมันสู้ตลอดอ่ะ นานแล้วนะที่เราไม่ได้ทำแบบนั้นกันน่ะ"
"บ้า เหรอ หายดีแล้วเหรอ"
"หายแล้ว หายดีแล้ว งั้นคืนนี้เรามาแสดงความรักกันน้า"
"บ้า ไม่เอา ยังไม่อยากทำ"
"อ่า เมียใจร้าย"
"เวอร์ แสดงความรักก็กอดจูบอยู่ทุกวัน ไม่พอเหรอ"
ผมหน้าแดง ไม่เคยชินอยู่วันยังค่ำเวลาโดนมันแทะโลม
"ไม่เคยพอหรอก อิอิ"
"ไปใส่เสื้อผ้า แห้งแล้ว"
ผมเปลี่ยนเรื่องเพราะดูเหมือน มันจะประชิดตัวมากขึ้น
"ใส่ให้หน่อยสิคะ"
"นี่ เดี๋ยวลงไปช่วยแม่จัดโต๊ะ เดี๋ยวสาย เร็วๆ รีบตามลงมา"
ผมพูดจบก็ผละออกจากมันทันที
"อ่า มาหอมก่อนสิคะ"
มันดึงแขนไว้แล้วหอมแก้ม ผมก็ยังใจเต้นแรงอยู่ดี ไม่เคยชินยังเขินยังอาย ผมลงมาจากข้างบนด้วยความสุข
"อ้าวโย เสร็จแล้วเหรอลูก แล้วพ่อเอล่ะยังไม่เสร็จเหรอ"
แม่ถามแล้วยิ้มให้ แม่จัดโต๊ะเสร็จแล้ว
"กำลังลงมาครับแม่ วันนี้แม่ทำอะไรกินครับ"
"ข้ามต้มกุ้งลูก"
ผมไปช่วยแม่เอาแก้ว น้ำออกมาวาง แม่ดูมีความสุข ผมเองก็ยิ่งมีความสุข เขินแม่เหมือนกันเพราะแต่ก่อนเวลาเออยู่ต่อหน้าแม่มันจะทำเนียนว่าผมเป็นครู สอนพิเศษมัน แต่ตอนนี้มันทำตัวเหมือนเป็นเขยของบ้านนี้ไปแล้ว
"อ้าวพ่อลูกเขย หน้าตาสดใสขึ้นมากแล้วนี่ ยิ้มแฉ่งเชียว"
"อิอิ แม่ โรงเรียนแม่เขาสอบมิดเทอมยังอ่ะครับ ของเออาทิตย์หน้าก็สอบแล้ว เอยังไม่ได้ดูหนังสือเลย"
มันเข้ามากอดแม่ผมเหมือนแม่ของมันเอง ดูเข้าขากันเสียเหลือเกิน ผมคิดไปเองหรือเปล่าไม่รู้ ว่าตอนนี้ผมมีความสุขมากเสียจนไม่มีอะไรจะบรรยายออกมา เหมือนผมกับเอเป็นคู่รักที่เพิ่งแต่งงานกัน มีความสุขเหลือเกิน
"ยังจ๊ะ อาทิตย์หน้าเหมือนกัน นี่แม่ก็ยังออกข้อสอบไม่เสร็จเลย เอมาอ่านหนังสือเป็นเพื่อนแม่สิจ๊ะ"
แม่พูด อย่างร่าเริง เอนั่งลงที่เก้าอี้ประจำของมันกินข้าวต้มไปคุยกับแม่ไป ผมนั่งอมยิ้มอยู่ไม่พูดอะไร
พอออกจากบ้าน เรานั่งรถสองแถวออกจากบ้านตามปกติเพราะเพิ่งจะเจ็ดโมงรถเริ่มแน่นถนนอ่อนนุช แล้ว ถ้าสายกว่านี้มีหวังได้นั่งมอร์เตอร์ไซค์แน่ๆ ปกติเอมันจะนั่งรถเมล์ไป ผมนั่งรถไฟฟ้า แต่เดี๋ยวนี้เอมันไม่ยอมต้องนั่งรถไฟฟ้าไปลงอโศกแล้วค่อยต่อรถเมล์ไปอีก มันบอกอยากอยู่กับผมให้นานที่สุด ไม่อยากเสียไปแม้แต่นาทีเดียว ผมปลื้มใจนะ มีความสุขก็เลยตามใจมัน ผมไปทำงานด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุข พอถึงที่ทำงานทุกคนก็แซวว่าความสุขมันล้นออกมากองเต็มที่ทำงาน โดยเฉพาะพล
"นี่แก เย็นนี้ไปกินข้าวกัน นัดไอ้บอมไว้"
พลพูดขึ้นตอนพักเที่ยง
"อยากไปกันสอง คนไม่ใช่เหรอแก ไปเถอะ ฉันว่าจะไปดูหนังกับเอ"
"แหม แก จะอยากไปอะไรล่ะสองคน มันอยากกินฟรีน่ะสิ แกไปด้วยกันนั่นล่ะ ไปกินริมน้ำเจ้าพระยาเชียวนะแก นานแล้วตั้งแต่เรียนยังไม่ได้ไป ถือโอกาส"
พลรบเร้า ผมได้แต่พยักหน้าแล้วโทรไปบอกเอว่าจะพาไปกินข้าวแทนดูหนัง มันก็ไม่ว่าอะไร พอเลิกงานพลก็ขับรถไปรับเอกับบอมมีบ๊อบด้วยอีกคนที่หน้าโรงเรียน พอขึ้นมาบนรถได้เสียงของพวกมันก็กลบทุกเสียง
"เชี่ย เอ กูขอลอกการบ้านก็ไม่ได้ ห่ากูลอกหน่อยดิ กูทำไม่ได้"
"เชี่ยบอม แค่นี้มึงทำไม่ได้แล้วกระแดะจะสอบวิศวะ วิศวะมีเขาเหรอมึงน่ะ"
"อ้าวเชี่ย บ๊อบ มึงเหมือนกันล่ะ มีเขาอยู่แล้วนี่ พูดยังกะมึงทำเอง"
"ห่า พอเลยมึงทั้งสองคน กูไม่ให้ลอกเว้ย อยากทำเป็นก็ลองหัดทำดิ ทำไม่ได้ก็ถาม ไม่ใช่ลอก ควาย"
"อ้าวเชี่ย ด่ากูเป็นควายนี่"
"เออสิไม่ต้องแปล"
"นี่ พวกเธอ พูดกันดีๆหน่อย เสียงดังยังกะนกกระจอกแตกรัง หนวกหูโว้ย"
พลโวยวายขึ้น แต่ยังยิ้มอยู่
"ดีแล้วพี่ พวกนี้พูดดีกว่านี้ไม่ได้หรอกมันไม่เข้าใจ มันไม่มีคนเสี้ยม"
"โห มึง มีแฟนดีหน่อยโวทับเพื่อนเลยนะมึง"
"งั้นพี่โย มาเป็นแฟนผมบ้างสิ ผมจะได้พูดดีๆเหมือนไอ้เอ"
"ส้น ตีนกูนี่ ห่า ไม่มีทางโว้ย"
บ๊อบล้อขึ้น แต่เอเสียงแข็งขรึมขึ้นทันที
"จะดีเหรอบ๊อบ"
ผมพูดแล้วเอี้ยวตัวไปยิ้มให้
"โห ยิ่งยิ้มใจละลายว่ะพี่ ไอ้เชี่ยเอมันดีกว่าผมตรงไหนอ่ะ หล่อก็ไม่หล่อ ดีแต่ใหญ่อย่างเดียว"
พูดแล้วมันก็หัวเราะ เอตบหัวเพื่อนทันที
"โอ๊ย เชี่ยเอ"
"หรือมึงจะเอาตีน ลามปามนะมึง" เอมันขู่
"นั่นล่ะจ๊ะข้อดี"
พลพูดขึ้นแล้ว หัวเราะเหมือนกัน ส่วนผมอายหน้าแดงอยู่
"ห่า บ๊อบ มึงอย่าฝันไปเลย"
เราหัวเราะครื้นเครง อย่างสนุกสนาน จนถึงร้านอาหาร บรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยายามเย็นช่างงดงามยิ่งนัก ไฟแสงสีตามร้านรวงริมฝั่งแม่น้ำส่องแสงประกายระยับอยู่ฟากฝั่งโน้น ตึกสูงริมน้ำเปิดไฟสวยงาม ลมเย็นพัดเอื่อยๆ สวยจริงๆ
พลแวะส่งทุกคนถึงบ้านโดยมาส่งเราก่อน พอถึงบ้านก็เข้าไปคุยกับแม่ เอเข้าไปกอดแม่ออกหน้าออกตา มันเข้าใจฉอเลาะผู้ใหญ่
"แม่เออยากกินขนมอ่ะครับ วันนี้แม่มีขนมให้เอกินไหม"
"อ้อ มีสิลูกแม่กวนข้าวเหนียวเปียกไว้ในครัวน่ะจ๊ะ"
แม่มองมาที่ผม ผมถอนหายใจต้องเป็นผมสินะที่ต้องไปตักมาบริการมัน ผมลุกเดินเข้าไปในครัวแล้วตักข้าวเหนียวเปียกมาให้พ่อตัวดี แล้วผมก็เดินขึ้นไปอาบน้ำ
"เอกินเสร็จ รดน้ำต้นไม้ด้วยนะ"
ผมสั่งก่อนเดินขึ้นบ้านไป
"คร้าบบบ"
มันลากเสียงยาวล้อเลียน
คืนนี้ไม่รู้ว่าเป็นคืนเดือนมืดหรือเดือนหงาย เพราะมองไม่เห็นอะไร เลยนอกจากท้องฟ้าสีส้มดำแผ่ปกคลุมไปทั้งกรุงเทพฯ แต่ในใจผมมันมีเดือนดาวระยิบส่องแสงประกายอยู่ เอนอนอยู่ข้างๆตัว มันก่ายกอดอยู่อย่างนั้น
"ตัวเองปิดเทอม เล็กพาเค้าไปเที่ยวหน่อยดิ"
เอพูดขึ้นแต่ปาก มันยังซุกไซร้อยู่ที่ซอกคอของผม
"อืม อยากไปไหนล่ะ"
ผมเสียงเครือๆล่องลอยไปกับมัน
"ไปทางเหนือ"
"อืม ไปตอนหน้าหนาวก็น่าจะดี"
ผมเคลิบเคลิ้มไปกับ มัน เอรุกหนักขึ้นมันเลื่อนมือลูบไล้ไปตามกาย ผมหันหน้าเข้าหามัน พลิกกายขึ้นบนตัวมัน ไม่มีอะไรจะหยุดยั้ง ไม่มีอะไรมาขวางกั้น ไม่ต้องกังวลพะวงกับสิ่งใด รักของเราเป็นไปตามครรลองของมัน เป็นไปตามสิ่งที่ใจเรียกร้อง นี่ถ้าเราไม่ประคับประคองใจกันมามันจะเป็นไปในรูปแบบนี้ไหมนะ เพราะความรักที่เราให้มันชี้นำทางไปในลู่ทางที่ถูกที่ควร แม้มันจะเกินกว่าที่ใจจะยอมรับได้ มันมีอะไรมากมายขวางกั้น ด้วยวัยวุฒิคุณวุฒิที่ยังน้อยทั้งสองคน ด้วยเพศที่เหมือนกัน แต่เราก็ได้จับมือกันทำให้ผู้ใหญ่รับรู้แล้วว่ารักของเรามันได้ผลักดันให้ เราลอยสูงขึ้นไม่ใช่จมดำดิ่งลง ผมคิดว่าผู้ใหญ่เองก็น่าที่จะคลายความตึงเครียดลงได้บ้าง ไม่ว่าจะเพศใดวัยใดถ้าหากนำความรักมาใช้เกื้อหนุนชีวิตในทางที่ถูกมันก็เป็น รักเช่นกัน ด้วยอานิสงแห่งรัก ด้วยพลังแห่งใจ ผมจึงมีความสุขได้มากขนาดนี้
เขียนโดย eiky