ขอบคุณทุกความเห็นคร้าบ เปล่าหรอกคร้าบที่ถามเพราะกลัว คุณผู้อ่านจะเซ็งเสียก่อน
แต่ดีใจกับคำตอบ อิอิ จะมีพลังเยอะเหมือนเดิม เพื่อทุกคนคร้าบบบ
ตอน ห้าสิบ
จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคคติ ปาฏิกังขา
จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกังขา
เมื่อจิตเศร้าหมอง แล้ว ทุคคติเป็นอันหวังได้
เมื่อจิตไม่เศร้า หมอง สุคติเป็นอันหวังได้
"ตรมในจิตทุกข์ในใจอกเศร้า หมอง ฤาจะมองเห็นดาราที่ส่องแสง
มีเพียงร่างไม่มีใจไร้เรี่ยว แรง ใจระแหงแตกร้าวรานมอดดับไป"
การนั่งวิปัสสะนากรรมฐาน วันแรกทำได้อย่างยากลำบาก จิตผมคุมไม่ได้ บังคับให้มันกลับมาอยู่กับตัวไม่ได้เลย ยากเย็นเหลือเกินจิตใจผมบอบช้ำเกินกว่าผมจะเข้าถึงรสพระธรรม เหมือนบัวใต้น้ำแลน้ำนั้นก็เหม็นเน่าด้วยกิเลสในใจ แสงแดดอากาศสวยงามอยู่เบื้องบนแค่เพียงเอื้อม ทว่าผมแลไม่เห็นแสงส่องนั้น พระท่านเทศน์ให้ฟังก็ฟัง แต่ในใจยังตรมหม่นหมองนัก ผมพยายามซึมซับคำสั่งสอนให้ได้มากที่สุด ใจของผมเหมือนแก้วที่มีน้ำเต็มล้นออกมา ปากก็บอกว่าฟัง แต่ในหัวไม่ได้เก็บเอาไปคิดสักนิดเดียว แก้วใดที่มีน้ำเต็มล้นอยู่แล้ว เทน้ำทิพย์ น้ำสวรรค์อะไรลงไปมันก็ล้นออก เฉกเช่นใจของผม ตาบอดมืดสนิทมองเห็นแค่สิ่งที่อยากเห็น สิ่งที่อยู่ในใจ
ผมใช้เวลา อยู่สองสามวันถึงเริ่มมีสติ เริ่มคิดได้ พอเรามีสติปัญญามันก็ตามมา ทางที่เคยมืดมิดไร้แสงใดก็เริ่มสาดส่องมา ชีวิตย่อมเป็นไปตามกรรม เราทนทุกข์เพราะภาพลวงตาที่เราวาดมันขึ้นมาหลอกหลอนจิตตัวเอง ปล่อยวาง ความรักที่เหมือนหินที่แบกอุ้มไว้ในอก มันก็ผ่อนคลาย รักเขามากก็ทุกข์มาก แม้จะไม่โดนจับแยกกันถ้ายังรักกันดีอยู่ใช่ว่าจะไม่เป็นทุกข์ เวลาใดที่ไม่ได้ดังใจที่มันเรียกร้องทุกข์นั้นก็เกิดแล้ว โทรไปไม่รับสายจิตใจก็ล่องลอยล่วงหน้าไปไกลแสนไกล ผมคิดได้ อย่างน้อยบอกกับตัวเองว่าก็ยังดีที่มีรักให้กัน ยังมีใจรักคนอื่น หันกลับมามองตัวเอง แล้วผมรักตัวเอง รักคนรอบข้างเพียงพอแล้วหรือ ทุกข์ไปมีแต่พาจิตใจดิ่งจมลงเหว สี่วันหลังผมเริ่มมีสมาธิมากขึ้น บังคับจิตได้มากขึ้น ผมอาจจะไม่ถึงขั้นแม่ แต่อย่างน้อยผมก็คลายปมในใจได้ ไม่ทุกข์ไม่เศร้าแล้ว อะไรมันจะเกิดมันก็เกิด ผมห้ามได้หรือก็ไม่ วงจรของกรรมมันเคลื่อนที่ของมันไปเราเองที่ต้องทำใจมีสติไม่คล้อยตามมัน ผมรู้สึกดีขึ้นมาก เป็นห่วงเอก็ยังเป็นห่วงอยู่ แต่ผมทำอะไรได้ ไม่มีอะไรที่ผมทำได้เลย มีทางเดียวคือรอให้มันติดต่อมาซึ่งก็ไม่เลย ทั้งบ๊อบกับบอมมันก็ไม่ติดต่อ ผมทำได้อย่างเดียวคือ สวดมนต์แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรของมันและผมเอง เวลาคิดถึงมันมากๆก็มีร้องไห้ออกมาแต่ไม่ฟูมฟายเหมือนแต่ก่อน เดี๋ยวนี้ผมสวดมนต์ทุกวัน จิตใจสบายขึ้น มีสติกลับมาเป็นผู้เป็นคน ผมกลับไปทำงานตามปกติ แม้ไม่ร่าเริงเหมือนเดิม แต่ก็ไม่เป็นร่างไร้วิญญาณเหมือนก่อน
เดือนมีนาคมที่โหดร้ายล่วงไปแล้ว เดือนเมษายนเป็นเดือนพิเศษในใจผม เพราะเป็นเดือนที่มีวันคล้ายวันเกิดของผมเอง มันไม่ได้พิเศษอะไร ความจริงมันก็แค่วันหนึ่งของปี วันหนึ่งของเดือน แต่ผมให้ความสำคัญมันแง่ของจิตใจ เพราะผมจะทำบุญตักบาตร เอาพระลงหน้าบ้าน และที่สำคัญผมจะเอามาลัยมากราบเท้าขอพรแม่ทุกปี วันที่สำคัญสำหรับผมแต่เพื่อนๆจะจำกันไม่ค่อยได้เพราะ มันตรงกับวันปีใหม่ของไทย วันที่ทุกคนมีความสนุกสนานกัน ไม่ได้เรียกร้องว่าเพื่อนจะต้องจำได้เพราะผมเองบางทีก็ลืมวันเกิดของเพื่อน เหมือนกัน ถึงแม้เพื่อนจะจำได้แต่ผมก็ไม่ได้ฉลองอะไรมากมาย ไม่มีเค้กวันเกิด ผมไม่ชอบ พลกับจ๋าจำได้เพราะเราสนิทกันมาก
ต้นเดือนเมษายนผมยังคงใช้ชีวิต ที่เกือบเป็นปกติ เอไม่ติดต่อมาเลย เจอบอมมันเองก็ขาดการติดต่อ เวลาคุยเรื่องเอผมก็ได้แต่นิ่งไป คิดเป็นห่วงมันเหลือเกิน แต่ก็เก็บความในใจลงไปในอกตัวเอง ผมไปวัดกับแม่และน้าสาทุกคืนวันศุกร์ ผมอยู่ถึงวันเสาร์ก็กลับก่อนแม่กับน้าสา เจอจ๋าบ้างแต่ไม่มากเพราะเดือนหน้ามันจะแต่งงาน มันกำลังตัวเป็นเกลียว มันบอกว่าน้องดิ้นแล้ว เราตื่นเต้นกันใหญ่ที่จะได้อุ้มหลาน แต่เรื่องนี้ก็ยังคงรับรู้แค่เรา ป๊ามันยังไม่รู้ เพราะท้องก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมายนัก แต่พอแต่งกันไปแล้วค่อยบอก จ๋ามันว่าอย่างนั้น
"เซ็งอ่ะพี่ ไม่รู้ปีนี้จะได้เล่นน้ำหรือเปล่า"
บอมมันบ่นตอนที่เรานัดเจอกันที่เดิม เดี๋ยวนี้พลนัดเจอกับบอมบ่อยมาก ปากก็บ่นว่าไม่รู้จะเจอทำไม แต่มันก็มาตามนัดทุกที ที่มันบ่นเพราะสถานการณ์บ้านเมืองที่ตึงเครียด รุนแรงขึ้นทุกวัน
"ไป ทะเลสิบอม"
ผมแนะนำ
"ไม่เอาอ่ะ ไม่มีเพื่อน ไอ้พวกนั้นมันก็จะไปเล่นสีลม แต่ผมกลัวว่ะพี่"
"อย่างเธอกลัวด้วย เหรอ ชอบไม่ใช่เหรอมีคนมารุมน่ะ"
"รุมไรพี่ พูดดีๆ อย่างน้อยก็มีคนสนใจ ไม่เหมือนพี่ หน้าสะอาดตลอดงาน"
"อย่ามา ฉันน่ะเรตติ้งไม่เคยตก มีแต่ผู้ชายเข้ามารุม"
"รุมตื๊บอ่ะเหรอ ไม่แปลก"
"ไอ้บอม!!!"
ทั้งสองกัดกันเหมือนเคย แต่ผมไม่ห้ามแล้ว เพราะรู้ว่ามันไม่ได้มีอะไรกันจริงๆอย่างที่พูด ไม่แน่มันอาจจะกำลังจีบกันอยู่ในแบบหัวรุนแรง
"รักกันหรือยังนี่"
ผมสอดขึ้นกลางลำเรือ พลอ้าปากค้าง บอมเองก็ทำหน้าเหรอหรา
"เฮ้ยพี่"
"บ้าเหรอแก อย่างฉันนี่นะจะชอบไอ้เด้กปากเสียคนนี้"
"ผมก็ไม่เอาพี่หรอก ปากหมา"
"อ้าว ไอ้นี่ เดี๋ยวแม่จบปากเลยนี่"
"มาดิ จะตั้นหน้าให้"
"เอาสิ อยากเห็นคนที่ในใจรักกันแต่จะทำร้ายกันน่ะ ขอดูหน่อย"
ผมพูดเสียงเรียบจนมันทั้งสองผงะออกจากกัน พลหน้าแดง บอมเองก็เขินทำตัวไม่ถูก
"บ้าไปแล้วแก พูดอะไรก็ไม่รู้ รักเริ่กอะไรกัน ไม่มีทาง"
"นั่นดิพี่ โห แอบซาดิสต์นะเนี่ย"
ถ้ามันรักกันได้ก็คงดี แต่อย่าเลยพ่อแม่บอมคงไม่เห็นดีด้วยเหมือนอย่างที่..............
"คิด อะไรอยู่แก หน้าเครียดเลย"
พลถามขึ้น ผมสะดุ้ง
"เปล่า คิดว่าถ้าแกสองคนรักกันได้ มันจะเป็นยังไงนะ"
ผมเสแสร้ง
"โอ๊ย ให้น้ำท่วมหลังเป็ดก่อนเถอะแก ไม่มีทาง ขอเน้น ไม่มีทาง"
"แหวะ น่าเอาตายนักนี่พี่น่ะ ผมไม่มีวันชอบคนอย่างพี่เหมือนกันล่ะ อย่าหลงตัวเอง"
"แก นั่นล่ะหลงตัวเอง หล่อตายนี่ หน้าตี๋จืดชืดแบบนี้อ่ะ คงไม่มีน้ำยา"
"เฮ้ย พี่ กวนตีนนะ"
"แกนั่นล่ะกวนตีน"
ผมถอนหายใจ ปิดได้ปิดไปคนรักกันเพราะทะเลาะกันมีมานักต่อนักแล้ว ผมดูพลก็รู้ว่ามันชอบบอมอยู่ ไม่อย่างนั้นมันคงไม่มาเจอเกือบทุกวัน มาเพื่อทะเลาะกันมันก็ดีใจแล้ว ส่วนบอมเองคงยังไม่รู้ตัว เหมือน..........
สัปดาห์ของวันสงกรานต์บริษัทผมหยุดยาวหกวัน ผมวางแผนไว้ว่าจะไปวัดกับแม่แล้วก็ทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ วันเกิดตัวเองก็คงไปซื้อดอกไม้ที่ปากคลองตลาดกับพลอย่างทุกปี วันที่๑๓ ก็คงไปเล่นน้ำที่สีลม พอเลิกเล่นก็ไปปากคลองตลาดแล้วกลับมาทำดอกไม้ พอเช้าวันเกิดก็ตื่นมาใส่บาตรเอาพระลงสรงน้ำ
"นี่แก ทำไมใส่กางเกงสีขาวไปล่ะ"
พลทำเสียงไม่พอใจใส่บอม ที่มันใส่เสื้อเล่นบาสกับกางเกงกีฬาสีขาว
"ทำไมอ่ะ ก็พอใจ"
"ต๊าย แล้วนี่โดนน้ำไม่เห็นไปถึงไหนต่อไหนเหรอ"
พลขึ้นเสียงสูง
"เห็น ก็เห็นดิ อยากดูก็ดูใหญ่อ่ะ ไม่อาย"
"โห ทุเรศลูกกะตาน่ะสิ ไปเปลี่ยนสิ โย กางเกงขาสั้นเอยังอยู่ไหม เอาให้ไอ้นี่มันใส่หน่อย"
พลพูดไม่ทันคิด ชื่อนี้มีอิทธิพลต่อจิตใจผมมาก เวลาได้ยินใจผมจะหวิวเหมือนหลักปักเลนแล้วโดนคลื่นสาดซัดมา
"โทษที แก ฉันไม่ได้ตั้งใจ"
พลเสียงอ่อยทันที
"ไม่เป็นไรแก เดี๋ยวไปดูให้"
"เอ้ย ไม่ต้องหรอกพี่ ไปอย่างนี้ล่ะ ใครจะมาสนใจ"
บอมบอกปัด
"ก็พี่พลเขาหวงของเค้านี่บอม"
"อ๊าย แก บ้าเหรอ"
พลอายหน้าแดง บอมเองก็ทำหน้าบอกไม่ถูกเหมือนกำลังพยายามกลืนอะไรลงไปในคอ พลวิ่งเข้าไปหาแม่ในบ้าน ส่วนบอมก็เขินผมอยู่่ สรุปมันก็ไม่ยอมเปลี่ยนเรานั่งรถสองแถวออกไปขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อตรงไปสีลม คนที่สีลมเยอะมากกว่าทุกปี เสียงโห่ร้องดังก้องขึ้นมาถึงรถไฟ ใจเต้น พลพาเราเดินฝ่าคนเข้าไปในซอยสี่เพราะมันนัดกบกับกายไว้ที่นั่นแต่กว่าจะผ่าน ไปได้มันไม่ใช่ง่ายเลย ผู้คนหลั่งไหลมาจากไหนไม่รู้ทั้งที่แต่ก่อนสีลมไม่เคยมีเล่นน้ำสงกรานต์ ผมโดนปะแป้งจนหน้าขาววอก จับมือพลไว้กลัวหลง ส่วนบอมเดินข้างหลังผมมันเกาะบ่าผมไว้
"เฮ้ย พี่โย ๆ ทางนี้ๆ"
เสียงร้องทักดังอยู่ข้างๆ บ๊อบน่ะเองสภาพมันก็ยับเยินเหมือนกัน
"อ้าว บ๊อบมาเหมือนกันเหรอ"
อยู่ใกล้กันไม่ถึงวาแต่ผมไม่ยักเห็นมัน
"ไอ้เชี่ย มึงมาไม่ยอมชวนนะมึงไอ้บอม"
"อ้าว ช่วยไม่ได้ มึงไม่โทรหากูเอง สัด มาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ เละแล้วมึงน่ะ"
แทนที่มันจะทักผมกลับมันกลับไปด่าทอกับบอม บ๊อบมากับเพื่อนอีกสองสามคน ไม่ได้คุยอะไรมากเพราะคนเยอะ มันตามเราเข้าไปในซอยสี่ ผมไม่อยากเข้าไปเลยเพราะคนแน่นไม่ต้องเดินเลย เพราะคนดันให้เราไหลไปกับแรงคน พอไปถึงร้านกบก็เห็นเราก่อนมาดึงเข้าไปยืนถึงค่อยยังชั่ว พลซื้อกระป๋องใส่แป้งกับปืนฉีดน้ำมาด้วย ให้บอมไปเติมน้ำ พลบอกใช้หน้าตาที่ไม่หล่อให้เป็นประโยชน์ มันก็หน้างอยอมไปแต่โดยดี
"ได้ข่าวเอ บ้างไหมบ๊อบ"
ผมถามมันตอนที่มีโอกาศ
"ไม่เลยพี่ ไอ้ห่านี่พอเงียบแล้วเงียบเลย ผมโกรธมันอยู่เนี่ย ไอ้เราก็เป็นห่วง"
ผมถอนหายใจ เพื่อนมันก็ยังเป็นห่วงมันขนาดนี้แล้วคนที่รักมันอย่างผมล่ะ
"เอคงยุ่งล่ะ คงกำลังปรับตัว"
ผมพยายามตอบเลี่ยงไป เหมือนจะรู้ แต่ก็ไม่อยากคิดอะไรมาก
"พี่คิดถึงมันเหรอครับ เอาผมเป็นตัวแทนก็ได้นะ ผมให้ยืมควงวันนึง"
มันพูดติดตลก แล้วหัวเราะ
"เมื่อกี๊เห็นหญิงเดินตามนี่ ไม่เอาหรอก พี่ไม่เป็นไร"
"หญิงที่ไหนพี่ โหนะ ควงผมเถอะ อยากมีคนน่ารักเดินด้วยอ่ะ"
"บ้าเหรอ จะควงไปไหนล่ะคนเยอะแยะ เรากินเบียร์อีกไหม"
ผมเปลี่ยนเรื่อง เพื่อนมันทุกคนนี่เป็นเหมือนกันหมดเลย เหมือนจะดี แต่มันคงไม่อยากเห็นผมเศร้า ผมหันไปบอกพลให้ซื้อเบียร์ให้บ๊อบอีก กบเข้ามาสีมันใหญ่แต่มันก็คอยประกบผมอยู่ตลอดเวลา ถ้าเออยู่ที่นี่วันนี้ผมคงรู้สึกมีความสุขมาก ท่าทางยียวนของมันคงทำให้ผมยิ้มได้ คิดถึงนะเอ คิดถึงเหลือเกิน
เราเล่นน้ำกันอยู่พอสมควรจึงชวนพลออกไปหาอะไรกินเพราะรู้สึกหิวแล้ว ตอนออกก็ลำบากเพราะคนที่ดันเข้ามาก็จะเข้าอย่างเดียว คนจะออกก็ดันท่าเดียว เขาดูสนุกกันจังแต่คนที่อยู่ตรงกลางสิกลัวแขนหัก นี่หรือที่คนโดนเหยียบจนตายเป็นแบบนี้นี่เอง เราต้องให้เด็กผู้ชายตัวโตทั้งหมดเป็นกองหน้าผมเกาะหลังบ๊อบมีพลอยู่ข้าง หลัง กว่าจะออกมาได้ใจหายใจคว่ำ กบกับกายยังเย้วๆอยู่มันไม่ยอมออกมา เราข้ามไปฝั่งซอยคอนแวนต์มีร้านขายข้าวไข่เจียว ยืนกินกันเปียกๆนี่ล่ะ ได้กินอะไรร้อนๆคงดีขึ้นมาหน่อย ตอนที่ยืนรอข้าวอยู่ไอ้บ๊อบมันเอานิ้วมาเขี่ยแป้งออกจากหน้าผม ทำตาหวานเยิ้ม
"ไอ้ห่า มึงทำไรพี่กู"
บอมตวาดมันเสียงดัง
"อ้าวไอ้เชี่ยกูก็คอยดูแลพี่เขาแทนไอ้เอมันไง ทำไม"
"เดี๋ยวมันรู้มึงจะซวย"
"อ้าว ถ้ามันรู้ก็เพราะมึงนั่นล่ะบอก อย่าบอกนะมึงเดี๋ยวมึงนั่นล่ะจะโดนตีนกู"
"ทำให้พี่บ้างสิ บ๊อบเนี่ยแป้งเต็มหน้าเหมือนกัน"
พลพูดขึ้นแล้วยื่นหน้ามา
"พี่ให้ไอ้บอมเขี่ยออกให้ดิ ผมเป็นองครักษ์ของพี่โยคนเดียว"
"โห นะ"
พลค้อน ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี ทำไมมันมาวุ่นวายกับผมจัง ไม่อยากจะวุ่นวายกับใครแล้ว พอแล้ว พอเรากินข้าวเสร็จก็เดินออกมาทางแยกศาลาแดง เพื่อจะนั่งรถไปปากคลองตลาด บ๊อบมันเดินออกมาส่งจนถึงที่ ตอนแรกมันจะไปด้วยแต่บอมไม่ยอมให้มันไปด้วย จนผมต้องห้มปรามเพราะมันทะเลาะกันแม้ไม่จริงจังแต่ก็ไม่อยากเห็นคนทะเลาะกัน เรานั่งรถตุ๊กๆไปปากคลองตลาดกัน ระหว่างทางก็มีคนสาดน้ำจนรู้สึกหนาว พอไปถึงเราก็เลือกซื้อดอกไม้ มีมะลิ รัก กุหลาบ บัว ได้ครบก็นั่งแท็กซี่กลับ รถไม่ติดอย่างที่คิด พอถึงบ้านก็รีบวิ่งเข้าครัวกันทันที เพราะหิว แม่เป็นคนแกะดอกไม้ออกจากห่อให้ส่วนเราก็กินข้าว พอกินเสร็จก็ไปอาบน้ำ ให้บอมไปอาบก่อน ผมอาบข้างล่าง พลอาบต่อจากบอม พออาบน้ำเสร็จก็มานั่งร้อยดอกรักกับมะลิ บอมนั่งดูเราตาปริบๆ มันอยากทำแต่ลองให้พับบัวมันก็ทำช้ำหมด มันเลยไปนั่งดูอยู่ห่างๆคอยกัดกับพล บรรยากาศจึงครึกครื้นกว่าทุกวัน
"เออ บอมวันนี้ค้างที่นี่ก็ได้นะ พรุ่งนี้จะได้ตื่นมาใส่บาตรด้วยกัน"
ผมชวน
"นั่นสิแก ฉันขี้เกียจไปส่ง"
"นอนได้เหรอพี่ นอนไหนล่ะ ไม่เอาอ่ะ กลัวโดนใครคิดไม่ดีไม่ร้าย"
"แกหมายถึงใครยะ ทุเรศ ดูมีเสน่ห์มากนี่นะ แหมใครเขาจะคิดแบบนั้น แกนั่นล่ะจะคิดไม่ดีไม่ร้ายกับคนอื่น ดูสิมองโยตาเป็นมันเชียว"
"อ้าวแก อย่าโยนมาให้ฉันสิ นอนข้างล่างไงครับบอม มีห้องอยู่"
"ได้ครับพี่ พี่โยชวนนะเนี่ยถึงนอน"
"จ้า พ่อคุณ"
เราหัวเราะอย่างสนุกสนาน ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งใดใจเราก็มีสุขเช่นนี้แล ช่างเป็นสัจธรรมที่จริงแท้เสียเหลือเกิน
เขียนโดย eiky