ขอบคุณทุกคนที่ติดตามครับ
ตอนนี้ ตั้งใจเขียนมาก หวังว่าทุกคนคงได้แง่คิดไม่มากก็น้อย
ตอน ห้าสิบหก
พล ขับรถลัดเลาะหาที่พักค้างแรมในตัวเมืองพิษณุโลก เราได้ที่พักแถวระแวกมหาวิทยาลัยนเรศวร พอเข้าที่พักผมก็นั่งนิ่งไม่ยอมนอน แม้จะพยายามข่มตาให้หลับยังไงก็ไม่มีวี่แวว ตาแข็งค้างสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นผ่านเข้ามาในมโนจิตอยู่ตลอดเวลา
"แก มาคุยกันหน่อยสิ"
พล เดินเข้ามายืนอยู่ข้างหน้า ผมยังคงสะอื้นกระซิกๆอยู่ มันเดินออกไปข้างนอกห้อง ผมเดินตามออกไป พลนั่งลงตรงม้านั่งหน้าที่พัก ผมทรุดตัวลงนั่งข้างๆ
"ฉัน เข้าใจแกนะโย ว่าแกเสียใจมาก แต่อยากให้แกทำใจหน่อยนะ จะเศร้าจะเสียใจไปมีแต่บั่นทอนตัวเอง เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้วแก ฉันไม่เคยเห็นแกเป็นแบบนี้ ฉันรู้ว่าแกรักเอมันมาก มากเสียจนแกยอมทำร้ายตัวเอง พอเถอะโย เจ็บมามากแล้ว กลับมาเป็นเหมือนเดิมเถอะ"
พล ร้องไห้ออกมามันคงอัดอั้นตันใจ
"ฉัน ไม่รู้จะทำยังไง..... แก....... ฉันก็เสียใจ...... ฉันทำ......ใจ......ไม่ได้"
"ฉัน รู้แก มันยาก แต่อย่างน้อย ถ้าไม่ทำเพื่อตัวเอง ก็ทำเพื่อแม่สิ สงสารแม่บ้าง แม่ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยเลย แต่เวลาแกทุกข์ดูแม่จะทุกข์มากกว่าแกอีกนะ แกทนเห็นแม่ร้องไห้เพราะแกได้เหรอโย"
พอ ได้ฟังทั้งที่รู้อยู่ดีแก่ใจ ผมก็สะอื้นออกมา แม่....... แม่ต้องเสียใจทนทุกข์มามากเท่าไหร่เพราะผม ไม่ว่าผมจะเป็นอะไรจะทำอะไร แม่ไม่เคยว่า แต่ผลของสิ่งที่ทำมันทำร้ายแม่ ไม่ใช่ทำร้ายแค่ผมคนเดียว พลกอดผมไว้
"ฉัน เข้าใจแก ฉันเข้าใจ ทำใจเสียเถอะ"
"ฉัน จะทำยังไงดีแก ฉันรักเอมันมากเหลือเกิน.............. รักมากเหลือเกิน"
"ฉัน รู้แก ฉันรู้ รักกันก็ดีกว่าเกลียดกัน สิ่งที่ดีๆมันก็มี เอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นกำลังใจสิ อย่าจมกับมันแบบนี้"
สิ่ง ที่พลพูดมันเป็นจริงทุกประการ ผมรับรู้ผมเข้าใจ แต่ผมพยายามแล้ว บอกไปแล้วให้ทำใจให้ดีขึ้นมันอาจจะพอเป็นไปได้ แต่ให้ตัดใจให้ทำใจไม่ให้รักมัน ผมทำไม่ได้
"มัน มีคนอื่น มันทำร้ายน้ำใจแก ฉันรู้........ ว่าถ้าพูดแกจะเจ็บ แต่ทนเอาหน่อยนะโย นี่คือความจริง สันดานผู้ชายมันไม่เคยพอหรอก เอานั่นเอานี่มาอ้าง แต่ถ้ามันมั่นคงจริง ถ้ามันรักเราจริง มันต้องหนักแน่นสิ จะด้วยอะไรก็ตามที่ทำให้มันเปลี่ยนใจ มันไม่เข้าท่าถ้าจะบอกว่า เมา...... ไม่ได้ตั้งใจ แกทำใจ"
"อย่า..... บอกให้ฉันเลิกรักมัน อย่าขอให้ฉันตัดใจจากมัน พล....แม้ฉันจะไม่เห็นหน้ามันแล้ว แม้ใครจะพยายามแยกเราจากกัน แต่...... ฉันไม่มีทางจะเลิกรักมัน ขออะไรก็ได้ฉันจะพยายามทำ แต่อย่าขอให้เลิกรักมัน"
ผม สะอื้นหนัก ร้องไห้ออกมา พลกอดผมไว้แน่น มันก็ร้องไห้ ปวดใจเหลือเกิน คนที่เขาหมดใจจากกัน ขาดเยื่อใยจากกันโดยที่อีกฝ่ายยังคงมั่นคง มันเจ็บเหลือเกิน
"ฉัน ไม่ได้ขอให้แกเลิกรักมันโย แต่ขอให้แกทำใจ ทำใจสักหน่อย ตอนนี้แกเสียใจจนฉันกลัว แกไม่เคยเป็นแบบนี้ แกไม่เคยเป็นคนแบบนี้"
พล คร่ำครวญ เสียงร้องไห้ของเราระงมกันอยู่หน้าที่พัก ใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะสงบลงได้ เราเข้านอนเกือบเที่ยงคืน ตอนแรกผมก็นอนไม่หลับแต่คงด้วยความที่เพลียเหนื่อยมาทั้งวัน ผมจึงเผลอหลับไป
ตื่น มาตอนเกือบเก้าโมง ดูเหมือนทุกคนจะตื่นหมดแล้ว ผมเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว เราไปหาอะไรกินกันก่อนเดินทางแถวๆที่พัก ผมก็ยังกินไม่ได้มากอยู่ดี พอตื่นมีสติขึ้นมา ผมก็คิดถึงเอ คิดถึงมันเหลือเกิน ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง จะกินข้าวหรือยัง ใครจะคอยดูแล.....เรื่องนี้คงไม่ต้องห่วงหรอก คงมีคนดูแลเอแล้ว คนอื่น!! ที่เขาเองก็คงรักเอ คงคอยดูอยู่ผมสิที่จะต้องดูแลตัวเอง ดูแลใจที่บอบช้ำของตัวเอง ไม่ให้มันช้ำในตายไปเสียก่อน เราออกจากที่พักสิบโมงกว่า ผมนั่งที่เดิมข้างบ๊อบเพราะสภาพผมคงเป็นบ้าขึ้นมาอีกเมื่อไหร่ก็ได้
"แก พาแวะไหว้พระหน่อยได้ไหม"
ผม พูดออกไปเสียงเบา พลไม่ได้ยินแต่บ๊อบได้ยิน
"พี่ พล แวะไหว้พระหน่อยได้ไหมครับ"
"ได้ งั้นเราแวะไหว้พระพุทธชินราชก็แล้วกัน"
พล ไม่ได้สงสัยว่าทำไมบ๊อบมันถึงอยากไหว้พระ ทั้งที่มันเป็นคริสต์ แต่พลมองผ่านกระจกมองหลังมองผมอย่างเข้าใจ ผมไม่ร้องไห้แล้ว เพียงแต่นั่งเหม่อลอยอยู่ พายุแห่งรักที่ซัดกระแทกใจดูเหมือนกำลังจะสงบ ทิ้งไว้เพียงร่องรอยแห่งความบอบช้ำ ผมกำลังทำใจให้ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าเรื่องราวมันจะเลวร้ายมากเพียงใดผมจะต้องประคองร่างกายนี้ให้ผ่านพ้น ไปให้ได้ แม้ว่าหัวใจมันพังทลายแหลกสลายย่อยยับไปหมดแล้วก็ตาม พลแวะไหว้พระพุทธชินราชตามที่บอก ผู้คนที่มากราบไหว้ขอพรแน่นขนัดไปทั้งวัด กว่าจะฝ่าฝูงชนเข้าไปในอุโบสถได้ก็เหงื่อตก ผู้คนที่มาขอพรเขาคงจะมีจุดประสงค์ต่างๆกัน ผมเองที่อยากกราบพระพุทธชินราชวันนี้ในใจก็มีจุดประสงค์ ด้วยหวังว่าบารมีขององค์พระพุทธชินราชจะคุ้มครองให้ผม ให้เอผ่านห้วงแห่งทุกข์นี้ แม้ว่าอนาคตมันจะเป็นไปยังไงก็ตาม ผมไม่ได้สนใจแล้ว ผมสนใจแค่อยากให้เอมีความสุข ให้แม่มีความสุข ส่วนผมคงเจอวิบากกรรมตั้งแต่ครั้งชาติปางก่อน ผมไม่เป็นไร ผมทนได้ ผมคงไม่ขอพรให้ตัวเองเป็นสุข แค่รู้ว่าต้องสูญเสียลมหายใจอุ่นนั้น อ้อมกอดที่ผมซุกกายนอนในคืนอันอบอุ่นนั้น แผลเป็นที่คิ้วซ้ายนั้นไปให้คนอื่น ไม่ใช่ผมอีกต่อไป ผมก็คงหาสุขใดไม่ได้อีกแล้ว แต่อย่างน้อยผมก็จะหล่อเลี้ยงชีวิตให้อยู่รอดด้วยความรักที่ผมมีให้มัน อย่างไม่เคยเสื่อมคลาย
นโม ตัสสะภะควะโต อะระโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นโม ตัสสะภะควะโต อะระโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นโม ตัสสะภะควะโต อะระโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
อิ เมหิ นานาสักกาเรหิ อะภิปูชิเตหิ ทีฆายุโก โหมิ อะโรโค สุขิโต สิทธิกิจจัง สิทธิกัมมัง ปิยัง มะมะ ปะสิทธิ ลาโภ ชะโย โหตุ สัพพะทา พุทธะชินะราชา อภิปาเลตุ มัง นะโมพุทธายะฯ
ด้วย ฤทธิ์พุทธานุภาพ บารมีของพระพุทธชินราชเจ้า ลูกช้างกราบขอพร ด้วยบุญบารมีที่ลูกช้างสร้างสมมาเพียงน้อยนิด ขอให้พระพุทธชินราชช่วยดลบันดาลให้มารดา แลคนที่ลูกช้างรักจงพ้นจากห้วงแห่งทุกข์ ประสบแต่สุขกายแลใจ กรรมใดเคยก่อลูกช้างขอรับมาชดใช้ แต่เพียงผู้เดียว อย่าให้ทุกข์ได้แผ้วพานบุคคลที่เป็นที่รักด้วยเถิด สาธุ
ผม ก้มลงกราบ พลันน้ำตาก็ร่วงไหลอาบแก้ม นี่มันเกิดอะไรขึ้น นี่ผมปล่อยให้ทุกอย่างล่วงเลยมาไกลถึงเพียงนี้เชียวหรือ ผมพร่ำเพ้ออยู่คำๆเดียว คำพูดเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมาแต่ผมทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากมานั่งร้องไห้ต่อหน้าพระอย่างนี้ บาปหนาเสียเหลือเกิน พลเข้ามาช้อนปีกให้ลุกขึ้นเพราะคงเห็นแล้วว่าผมไม่มีสติที่จะกราบพระได้ดัง ใจหวัง บอมช่วยพยุงอีกข้างเราออกจากอุโบสถอย่างทุกลักทุเล ขาจะกลับผมยังร้องขอให้พลพาไปทำสังฑทาน เพราะด้วยคิดว่าผลบุญอาจจะนำพาให้ทางสว่างแก่ผมก็ได้ พลเองก็ไม่ขัดส่วนเด็กสองคนได้แต่มอง เพราะคงไม่เคยทำและในสภาพแบบนี้
"ทุกข์ ใจอยู่หรือโยม หน้าตาไม่สู้ดีเลย"
เสียง หลวงพ่อถามตอนกำลังจะกรวดน้ำ ผมเม้มปาก
"ครับ หลวงพ่อ มีเรื่องนิดหน่อยน่ะครับ"
พล ตอบแทน แต่สายตาหลวงพ่อมองมาที่ผม
"เกิด เป็นมนุษย์ มีทุกข์ มีห่วงกรรมติดตัวมาทุกคนนั่นล่ะโยม ทุกข์ก็อย่าจนต่อปัญญา ระลึกไว้ว่าในห้วงทุกข์นั้นย่อมมีสุขผสมปนเปอยู่เสมอนั่นล่ะ"
เรา ยกมือขึ้นพนม ผมก้มลงต่ำมองพื้นเสื่อที่ปูรองนั่ง ไม่กล้าสบหน้าหลวงพ่อ ผมกลัวว่าผมจะร้องไห้ออกมาอีก
"ทุกข์ เพราะเหตุว่ารักเขามาก จิตคิดไปว่าเขาเป็นของของเรา เป็นของรักของเรา การที่มนุษย์เสียของรักย่อมทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้เป็นของเรา แม้แต่ร่างกายที่เราครองอยู่ มีเพียงอย่างเดียวที่เป็นของเรา คือ จิต ดึงมันออกมานะโยม ดึงจิตออกมาเพ่งมองดูว่าเราเป็นทุกข์เพราะเหตุใด เราจะระงับทุกข์นั้นด้วยเหตุใด พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสรู้ด้วยธรรมข้อนี้ คือ อริยสัจสี่ เอาล่ะโยม ทำใจให้สบาย ปล่อยวาง อย่ายึดมั่นถือมั่นมากเพราะนั่นคือสิ่งที่ทำให้เราทุกข์ เดี๋ยวโยมเตรียมกรวดน้ำนะ"
" ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา จันโท ปัณณะระโส ยะถา มะณิ โชติระโส ยะถา"
หยาด น้ำที่ไหลลงไปที่ฐานรองรวมไปกับน้ำตา แม้จะฟังพระเทศน์อยู่แต่น้ำตาเจ้ากรรมก็ไม่หยุดไหล ช่างเป็นสิ่งสัจจริงเสียเหลือเกิน คิดว่าเขาเป็นของรักของตน เขารักเรา เขาเป็นของเรา เอามายึดเอามาผูกไว้กับใจ มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น ผมอยากให้คำสอนของพระอยู่ในใจเสมอ คอยเตือนตัวเองให้มีจิตที่นิ่งไม่ไหวเอน แต่ผมทำได้ยากเสียเหลือเกิน แม้ตอนนี้จะใจชื้นขึ้นมาบ้างจากการฟังเทศน์ แต่คราใดที่ผมนิ่งอยู่กับที่ครานั้นใบหน้าของเอก็ผุดขึ้นมา วันเวลาเก่าๆก็ฉายออกมา
อัน ธรรมอันประเสริฐใดจะช่วยนำทางใจที่เศร้าหมองนี้ได้ จิตใจที่มีแต่กิเลสหนาปกคลุม ถ้าผมไม่คิดที่จะทำตาม ธรรมนั้นก็เปรียบดังสาดน้ำใส่ก้อนหิน ไม่ได้รู้สึกร้อนหนาวไปกับน้ำที่สาดนั้นเลย เก็บงำเอาความทุกข์หมักหมมรอเวลาระเบิดออกมาเท่านั้นเอง
กว่าจะได้แต่ละตอน ตาบวมเลยอ่า อิอิ
เขียนโดย eiky