ตอกันตามสัญญานะครับ วันเกิดจะอัพสามตอนรวด
อัพให้แล้วน้า ป้า
ตอนสี่ สิบหก
ผมงัวเงียตื่นขึ้นมา เหลือบดูนาฬิกาเกือบหกโมงเย็นแล้ว พอตื่นขึ้นมาก็รู้สึกหิวเลย ผมเดินลงไปในครัว เห็นแม่กำลังง่วนอยู่กับการทำกับข้าว
"แม่กลับมาแล้วเหรอครับ"
ผมถามแล้วเดินไปช่วยแม่ทำกับข้าว
"จ๊ะ โยหิวเหรอลูก แป๊บนึงนะ เดี๋ยวเสร็จแล้ว"
แม่กำลังทำแกงจืด ผมเลยเดินไปดูข้าวที่หุงไว้ ข้าวสุกพอดี ผมจึงตักข้าวใส่จาน
"โย ทำไมเหม่อล่ะลูก ตักทำไมสามจาน"
แม่ทัก ผมสะดุ้ง ทำหน้าเหรอหรา เอาจานข้าวที่ตักเกินเททิ้งลงขยะ
"โย นั่งลงลูกนั่งลง เดี๋ยวแม่ทำเอง เอาข้าวไปทิ้งทำไมกัน"
แม่ร้องเสียงหลง ผมเทข้าวไปแล้วถึงรู้สึกตัว
"เอ้ย ขอโทษครับแม่"
ผมเกาหัวแกรกๆ แม่มองหน้าด้วยสายตาที่วิตกกังวล ผมนั่งลงที่เก้าอี้มองจานข้าวอยู่ ไม่ได้รู้ผิดสึกอะไรที่เทข้าวทิ้ง
"โย พักนี้โยเปลี่ยนไปเยอะนะลูก คิดมากไปหรือเปล่าโย แม่เป็นห่วงนะลูก"
แม่พูดด้วยน้ำเสียงที่อาทรห่วงใย ผมได้แต่นั่งนิ่ง ใจลอย กินข้าวก็ตักกินแต่แกงจืด ไม่กินข้าว พอแม่ทักก็กินแต่ข้าวเปล่าไม่กินกับ แม่ได้แต่ส่ายหัว ผมพยายามทำให้จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวให้มากที่สุด แต่ยิ่งพยายามจิตใจยิ่งหลุดเลื่อนลอยไป พอกินข้าวเสร็จผมก็ไปนั่งดูโทรทัศน์ แม่เป็นคนเก็บของทำความสะอาด ตอนแรกผมอาสาจะทำอย่างทุกครั้ง แต่แม่ห้ามไว้ คงเห็นสภาพแล้วไม่น่าจะรอด ผมนั่งดูโทรทัศน์อยู่แต่ไม่ได้รับรู้เลยว่าเรื่องราวบนจอมันเกี่ยวกับอะไร จนแม่มานั่งลงข้างๆลูบหัวเบาๆ ผมนอนลงบนตักแม่
"โย หักห้ามใจบ้างนะลูก อย่าเป็นแบบนี้นานเกินไป แม่ไม่สบายใจเลย"
แม่พูดอยู่ ผมน้ำตาซึม แต่ก็ไม่พูดอะไร รู้ว่าแม่คงทุกข์ใจไปไม่น้อยกว่าผมเลย แต่ผมห้ามใจตัวเองไม่ได้เลยที่จะไม่คิดถึงเอ ยิ่งคิดผมก็ยิ่งจมทุกข์พอคิดมากเหมือนสติขาดหลุดลอยไป เสียงเอะอะหน้าบ้าน แม่ชะเง้อคอไปดูแล้วก็ดันตัวให้ผมลุกขึ้น แม่เดินออกไปเปิดประตูบ้านเพราะเสียงเคาะประตูดังเหมือนจะมาทวงหนี้
"มาคุยกันให้รู้เรื่อง ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ามายุ่งกับลูกชายชั้น อยากลองดีใช่ไหม หรือจะให้ฉันแจ้งตำรวจ"
เสียงที่เอ็ดตะโรอยู่ข้างนอกไม่ใช่ใคร เสียงของอาจารย์ปริศนาเอง
"ใจเย็นๆนะคะ พี่ปริศนา มีอะไรค่อยๆพูดกันนะคะ"
"ยังจะมีหน้ามาพูด เธอรู้ไหม ลูกฉันจะเสียคนเพราะลูกเธอ นี่เธอเลี้ยงลูกยังไง สั่งสอนมันบ้างไหม ทำไมปล่อยให้มันทำแบบนี้ ฉันผิดหวังในตัวเธอกับลุกมากรู้ไหม อร"
เสียงอาจารย์ปริศนาแว๊ดๆใส่แม่
"นี่เธอรู้ไหมว่าเอมันเจ็บปางตายนอนซมอยู่บ้าน เพราะใคร หา เพราะลูกของเธอ ไหนมันอยู่ไหน"
"ใจเย็นๆก่อนค่ะ พี่"
"โอ๊ย รำคาญ ฉันจะไม่ทนอีกแล้วนะ ทนมามากแล้ว นี่ถ้าเอเป็นอะไรไปมากกว่านี้ฉันจะเอาเรื่องเธอสองคนให้ถึงที่สุด"
อาจารย์ปริศนาปรี่เข้ามาในบ้าน ผมยืนขึ้นยกมือไหว้ทั้งที่ยังตกใจอยู่ ผมยังไม่ทันลดมือที่ไหว้ลง อาจารย์ปริศนาก็ฟาดมือมาที่หน้าผมแล้ว
"เพี๊ยะ"
ผมหน้าหันไปอีกทางตามแรงตบ ชาไปทั้งหน้าน้ำตาคลอเบ้า
"พี่ปริศนา!!!!!"
เสียงแม่ร้อง ผมตะลึงไม่ทันตั้งตัว หน้าหันไปยังไม่ยอมหันกลับ
"เลว รู้ไหมฉันเสียใจแค่ไหน ลูกฉันไม่เคยเป็นแบบนี้ มันเป็นเพราะเธอ เธอคนเดียว"
"พี่ปริศนา อรรู้นะคะว่าพี่เสียใจ แต่พี่ดูสภาพโยตอนนี้สิคะ พี่คิดว่าอรก็ไม่เสียใจเหรอ โยเองไม่เคยเป็นแบบนี้ เห็นใจกันบ้างเถอะค่ะพี่ปริศนา ไม่ใช่พี่ที่ทุกข์ใจคนเดียว"
แม่ขึ้นเสียงบ้าง ผมไม่เคยเห็นแม่ขึ้นเสียงกับใครมาก่อนเลย
"เธออย่ามาย้อนนะอร เธอจะเข้าใจอะไร ก็ลูกเธอมันวิปริตผิดเพศแบบนี้เธอก็ต้องเข้าข้างมันวันยังค่ำ"
"พี่ปริศนา อรไม่คิดเลยนะคะว่า พี่ปริศนาจะพูดคำนี้ออกมาได้ พี่โตแล้วเป็นผู้ใหญ่แล้ว เป็นแม่คน พี่ก็น่าจะรู้ว่าคนเป็นพ่อแม่เลี้ยงลูกได้แตแต่ตัว จิตใจของลูกพี่บังคับมันได้ด้วยเหรอ อีกอย่าง โยไม่ได้วิปริตค่ะ ถึงพี่จะคิดแบบนั้นก็ตาม แต่สำหรับอร ตั้งแต่ลูกเกิดมาไม่เคยมีวันไหนที่ทำให้อรรู้สึกอับอาย โยเป็นความภูมิใจของอร เพราะโยเป็นคนดีมาโดยตลอด อยู่ในลู่ในทาง พี่ลองคิดดูนะคะพี่ปริศนา ตั้งแต่เอรู้จักโย มันเปลี่ยนไปยังไงบ้าง แล้วที่มันเป็นแบบทุกวันนี้ เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะใคร"
แม่เน้นเสียงตาจ้องอาจารย์ปริศนาเขม็ง มันทำให้อาจารย์ปริศนาชะงักหยุดนิ่งอยู่
"เธอไม่ต้องมาพูดอร เธอไม่เข้าใจฉันหรอก"
"อรเข้าใจค่ะ เข้าใจดี แต่ถามพี่ปริศนานะคะ แล้วพี่เองเข้าใจเอมันหรือเปล่าว่ามันต้องการอะไร คิดว่าการทำแบบนี้เป็นทางออกที่ดีก็แล้วแต่ใจพี่ค่ะ แต่ถ้าเอมันจะถลำมากไปกว่านี้ อรบอกพี่ไว้ตรงนี้เลยว่า มันไม่เกี่ยวกับโย เพราะโยเองก็อยู่เหมือนคนตายทั้งเป็น แล้วพี่เข้าใจอรไหมล่ะคะว่าอรทุกข์ใจมากแค่ไหน"
แม่น้ำตาไหลออกมาแต่ยังไม่ละสายตาจากอาจารย์ ปริศนา
"ไม่รู้ล่ะ อย่ามายุ่งกับตาเออีก"
อาจารย์ปริศนาเหมือนคนจนต่อคำพูด ยืนมองหน้าแม่อยู่แล้วสะบัดหน้าออกจากบ้านไป ผมยืนนิ่งน้ำตาคลอ แปลกใจมันไม่ยักไหลออกมา แต่แม่เองที่น้ำตาไหลออกมาอาบสองแก้ม แม่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ผมเองก็ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม มันชาขยับกายไม่ได้ สติไม่มีเหลืออยู่กับตัว นี่มันอะไรกัน เหตุการณ์มันรวดเร็วเหมือนฝัน ผมชินกับความเจ็บปวดหรือผมเป็นอะไรไปแล้ว
"โย ไม่เป็นไรนะลูก"
เสียงแม่สะอื้นถาม เท่านี้เองบ่อน้ำตาที่เหมือนโดนกักไว้ได้พังทลายออกมา ผมโผเข้ากอดแม่ตัวเองทันที ร้องไห้สะอื้นออกมา
"แม่ โย ขอโทษ.........โย ทำให้แม่ผิดใจกับ......อาจารย์ ......โยเป็นเด็กไม่ดี......แม่โย.."
"ไม่ลูก ไม่เอา อย่าพูดแบบนั้น ทุกอย่างมันวนเวียนไปตามกรรมของมัน ไม่เอานะโยอย่าพูดแบบนี้"
แม่สะอื้นปลอบลูบหลังผม น้ำตายิ่งหลั่งไหลพรั่งพรูออกมา
"โย เป็นเด็กดีมาตลอด ถึงแม้ว่าจะเจอเหตุการณ์นี้ โยก็ยังเป็นเด็กดีของแม่ คิดดูนะลูกถ้าน้องมันไม่มาเจอโย น้องมันอาจจะแย่กว่านี้ก็ได้"
ผมรู้ว่าแม่พยายามปลอบให้กำลังใจผม แต่ส่วนลึกแล้วแม่เองก็คงเสียใจมาก ความเจ็บปวดทรมานที่รุมเร้าสุมอยู่ในอกผม มันไม่ได้ทำลายแค่ผมคนเดียวแม่เองก็โดนบั่นทอนไปด้วยเช่นกัน ลำพังความทุกข์ของหัวใจผมเองมันก็สุมอกจะมอดไหม้ให้แตกดับอยู่แล้ว ยิ่งมาเห็นน้ำตาแม่ เสียงร่ำไห้สะอื้นกอดผมอยู่แบบนี้ ผมอยู่ในนรกดีๆนี่เอง ทำไมอะไรหลายอย่างมันดูเลวร้ายเสียเหลือเกิน เมื่อไหร่มันถึงจะทุเลาลง ผมทรมานเหลือเกิน
"โย ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ แม่............จ๋า...........โย เสียใจ"
ผมคร่ำครวญ แต่ละคำที่มันลอดออกมาจากปากมันช่างยากเย็นเคล้าเสียงสะอื้นออกมา
"โย ไม่เอาลูก ไม่เอา เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเอง พี่ปริศนาไม่ใช่คนใจร้ายใจดำอะไร ใจเย็นๆนะลูก เดี๋ยวมันก็มีทางออก"
แม่สะอื้นไห้เหมือนกัน ผมร้าวรานใจ พยายามจะหยุดร้องไห้เพราะไม่อยากจะเห็นน้ำตาแม่ แต่ยิ่งพยายามผมยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม ที่โดนตบหน้าไม่รู้สึกเจ็บเท่านี้เลย มันไม่ได้แค่เศษเสี้ยวหนึ่งของความทรมานที่ได้รับจากการได้เห็นน้ำตาของแม่ แม่ปลอบผมอยู่นานกว่าผมจะยอมสงบลง แม่หยุดร้องไห้ไปนานแล้ว แต่ผมยังคงสะอื้นอยู่ ผมนอนหนุนตักแม่ที่โซฟาจนหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าอ่อนแอในใจ
ผมตื่น ขึ้นมาลืมตาขึ้นมารู้สึกหนักอึ้งเหลือบตาไปรอบๆบ้าน ผมยังนอนอยู่ที่โซฟา สว่างแล้วหรือ ผมลุกขึ้นมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ผนังบ้าน ตายจริงเกือบแปดโมงแล้ว ผมรีบเดินขึ้นไปบนบ้าน แม่ไปโรงเรียนแล้ว กะจะโทรไปหาพลให้มันลางานให้สักสองสามชั่วโมง เห็นสายที่ไม่ได้รับ สิบกว่าสาย ผมรีบโทรกลับ
"เออ แกเป็นอะไรหรือเปล่าโย โทรไปก็ไม่รับ"
พล พูดกรอกสายมา
"ฉันไม่เป็นไรแก โทษทีนอนเพลินไปหน่อย เออ แกฉันลาสายสองสามชั่วโมงนะ"
"ไม่ต้องหรอกแก เจ๊ให้โทรบอกแกว่าไม่ต้องมาทำงานหรอกวันนี้ ให้ลาเต็มวัน แกโอเคนะ ให้ฉันไปหาป่ะ"
"ไม่ต้องแก ฉันไม่เป็นไร"
นี่ผมไม่ทำลายเพียง แต่จิตใจของตัวเองและคนรอบข้างผมยังทำลายงานของตัวเองอีกด้วย ผมวางสายจากพลแล้วนอนลงบนเตียงอย่างเหนื่อยล้า เพลียใจสมองคิดอะไรไม่ออก เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมันช่างเลวร้าย นับวันผมจะยิ่งเจอแต่เรื่องร้ายๆ มันรุนแรงเกินกว่าใจจะรับไหว ไม่เคยคิดจะรักเอ แต่พอรักมันก็รักทั้งหัวใจ ยิ่งรักยิ่งทรมานมองไม่เห็นสิ่งใด มองไปทางไหนมีแต่ใบหน้ามันล่องลอยหลอกหลอนอยู่ นี่มันเป็นการทำโทษผมใช่ไหม ผมควรจะหนักแน่นมากกว่านี้ไม่ควรปล่อยให้เรื่องมันเกิดขึ้นล่วงเลยมาถึง เพียงนี้ ผมสมควรได้รับการลงโทษนี้ แต่คนรอบข้างผม โดยเฉพาะแม่ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมาทุกขืทรมานใจเพราะความเห็นแก่ตัวของผมเลย ผมเสียใจเหลือเกิน
เดือนแห่งความรักที่น่าจะหวานชื่นผ่านไปด้วยความ ขมขื่น ผมใช้ชีวิตให้ผ่านไปแต่ละวันไม่มีวันไหนที่ไม่เสียน้ำตา ไร้ซึ่งชีวิตจิตใจ นับจากเหตุการณ์ที่อาจารย์ปริศนาบุกบ้านมาตบหน้าผม เอไม่ได้ติดต่อมาเลย มันยิ่งบั่นทอนผมให้จมลงกับขุมนรกในใจ ผมพยายามสวดมนต์แต่ก็เป็นร้องไห้หน้าพระเสียมากกว่า แทนที่จะสวดให้จิตใจรู้สึกดีขึ้นสบายใจขึ้น แต่กลับสวดเพื่ออ้อนวอนขอให้ได้เจอเออีกสักครั้ง อยากจะกอดมันเหลือเกิน อยากสัมผัสใบหน้าที่ผมรักเสียเหลือเกิน อยากได้กลิ่นลมหายใจอุ่นๆนั้นอีกสักครั้ง แค่สักครั้งเพื่อหล่อเลี้ยงลมหายใจนี้ให้คงอยู่ต่อไป
ต้นเดือนมีนาคม เอมันคงปิดเทอมแล้ว เดี๋ยวนี้ผมโทรหา บอมกับบ๊อบเกือบทุกวันคอยถามว่าเจอเอบ้างไหม สาระทุกข์สุกดิบก็รับรู้มาจากทั้งสองคนนี้ เอมันยอมคุยกับบอมแล้ว แต่เอเองก็ดูเปลี่ยนไปมากกว่าเดิม ไม่ใช่เอคนเดิม มันไม่คุยกับใคร เก็บตัวอยู่ในห้อง เขียนไดอารี่อย่างเดียว ข้าวปลาก็กินน้อยจนผ่ายผอม ยิ่งรับฟังใจเหมือนโดนมีดเฉือนออกทีละน้อย เป็นห่วงเหลือเกิน บ๊อบกับบอมเองก็หนักใจเพราะไม่รู้จะทำยังไงดี เอมันฝากมาบอกผมเสมอ ว่า "รักผมมาก" ผมร้องไห้ทุกครั้งที่เด็กสองคนนี้บอก ส่วนพลเองเดี๋ยวนี้กลายเป็นเพื่อนสนิทที่สุดแทนที่จ๋าไปแล้ว ไม่ได้ว่าจ๋าเพราะมันเองก็ปิดป๊ามันอยู่ว่ามันท้องก่อนแต่ง หน้าท้องก็เริ่มป่องออกมา ต้องสวมใส่เสื้อผ้าตัวใหญ่ๆเพื่ออำพราง เห็นมันโทรมาบอกว่าจะแต่งกันเดือน พฤษภาคม ได้ฤกษ์มาจากฝั่งของพ่อแม่พี่ป้อม
วันเสาร์ต้นเดือนอากาศร้อนอบ อ้าว แม่ไปนั่งวิปัสสนาที่วัดเหมือนเคยเพราะผมดูไม่เศร้าเหมือนแต่ก่อน แต่ก็อย่างว่าผมใช้ความพยายามอย่างมากที่จะทำตัวให้ร่าเริงตอนอยู่หน้าแม่ แต่ลับหลังผมก็ยังคงจมอยู่กับรอยน้ำตาและความทุกข์โศกในใจ ผมนั่งเหม่ออยู่ม้าหินอ่อนหน้าบ้าน คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเลื่อนลอย อยากจะโทรหาเอ อยากคุยกับมัน แต่ก็จนปัญญา เพราะเวลาที่บอมกับบ๊อบไปหา อาจารย์ปริศนาก็มักจะสอดส่องอยู่ใกล้ๆ อยากจะโทรหาบอมกับบ๊อบตอนที่มันอยู่ด้วยกันเคยลองแล้ว แต่เอมันไม่คุยไม่รู้เหมือนกัน หรือว่ามันไม่มีใจเหลือให้กันแล้ว ผมสะท้อนใจปวดร้าว พยายามปลงปล่อยวาง แต่ก็ยากเย็นเสียเหลือเกิน เสียงคนพยายามเปิดประตู ผมสะดุ้งจากภวังค์หนามกุหลาบที่ทิ่มแทงใจอยู่ ใจเต้นตึกตักกลัวว่าเป็นใครแอบมางัดบ้าน เห็นมือสอดเข้ามาปลดกลอนจากภายนอก มันรู้ด้วยว่ากลอนประตูอยู่ตรงไหน ประตูเปิดออก
"เอ!!!!!!!!!!!"
ผมร้องสุดเสียง เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือเอ ผมยืนขึ้นตลึงตาค้าง เอมันวิ่งเข้ากอดผมยกตัวขึ้นจนตัวลอยจากพื้น
"เค้าใจจะขาด เค้าเหมือนคนใกล้จะตาย คิดถึงตัวเองเหลือเกิน"
มันร้องไห้ออกมา ยิ่งทำให้ผมร้องไห้สะอื้นออกมาเช่นกัน
"ไปไหนมา เอ ไปไหน มา ทำไมทำแบบนี้"
ผมตีหลังมันทั้งที่มันกอดอยู่
"เค้าขอโทษ เค้าทำไม่ได้ ตัวเอง เค้าทำไม่ได้ ถ้าเค้าได้ยินเสียงตัวเอง แล้วโดนขังให้อยู่ที่บ้าน เค้าใจจะขาด"
น้ำตาของมันไหลเปื้อนซอกคอผม น้ำตาผมเปื้อนบ่ามัน
"ทำไมใจร้าย เหลือเกิน รู้ไหม ฉันทรมาน อย่าทำแบบนี้ เอ อย่าทำแบบนี้"
เสียงสะอื้นคละเคล้าปนกัน ผมสะอื้นอ้อนวอนกอดมันแน่น
"เค้าขอโทษที่รัก เค้าขอโทษ เค้าคิดว่าทำแบบนี้แล้วแม่จะใจอ่อนลง แต่ ไม่เลย แม่ใจร้าย เค้าเกลียดแม่"
มันวางผมลงแล้วมองหน้าผมจูบทั้งน้ำตา ผมได้ยินแบบนั้นก็สะท้อนใจแต่ก็ไม่อยากจะห้ามอะไรในตอนนี้ เพราะดีใจมากเหลือเกินที่ได้เจอหน้ามัน เรากอดจูบลูบไล้กันอยู่นานแล้วจึงขึ้นไปบนห้อง ผมนอนกอดมันอย่างที่ใจโหยหามานาน เอตัดผมสั้นกุดเหมือนโกนหัวมา คิ้วซ้ายเป็นรอยแผลเป็นตัดเส้นขนคิ้วไปผมใช้นิ้วลูบอย่างแผ่วเบา ผมจูบลงหัวคิ้วมันแผ่วเบา ถ้าเจ็บก็ให้หายนะเอ ขอให้จุมพิศนี้เป็นยารักษารอยเจ็บช้ำนี้ให้หาย จุมพิศที่เต็มไปด้วยรักจากใจจริง
"ตัวเอง ร้องไห้ทุกวันเลยเหรอ เห็นไอ้บอมมันบอก"
มันจับหน้าผมให้ไปใกล้ หน้ามัน ลมหายใจอุ่นๆที่ผมหลงไหล ผมสูดเข้าปอดอย่างกระหาย ผมไม่ตอบแต่ยิ้มให้มันทั้งน้ำตา มันเขานิ้วปาดออกอย่างอ่อนโยน
"เค้า เสียใจนะคะ ขอโทษน้า เค้าจะไม่ทำแบบนี้อีก คิดว่าเงียบแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น ปล่าวเลย ยิ่งแย่ลง เค้าเหมือนคนกำลังจะขาดใจ"
ผมมองริมฝีปากมันทุก คำที่พูดมันจ้องหน้าผมตลอดเวลา
"เค้ารักตัวเองมากน้า มากจนทำตามที่แม่บังคับไม่ได้ มากจนทนไม่ไหวอีกแล้ว"
"รักมากแล้วทำไม ไม่ติดต่อมาเลย รู้ไหม เอ แค่อยากได้ยินเสียง เป็นห่วงเหลือเกิน แค่ได้ยินเสียงแค่นี้ก็ผิดหรือ"
ผมสะอื้นหนัก มันกอดไว้จูบหน้าผาก
"เค้า ขอโทษ เค้าก็ทรมานน้า เค้าร้องไห้เหมือนกัน อยากโทรหาใจจะขาด แต่แม่ไม่ให้เค้าออกไปไหนเลย เฝ้าอยู่บ้านตลอดเวลา"
มันร้องไห้พร่ำ พูดออกมา ผมเห็นใจมันมาก ไม่คิดว่าอาจารย์ปริศนาจะทำแบบนี้กับลูกชายในวัยแบบนี้
"อย่าทำแบบนี้ อีกนะเอ ฉันรู้มันยาก ไหนบอกจะฝ่ามันไปด้วยกัน ไหนบอกจะจับมือกันไปตลอด"
"ตัว เองเชื่อใจเค้าน้า เค้าไม่ได้ตั้งใจ เค้าอยากจะประชดแม่ แต่แม่ไม่ใจอ่อนเลย"
"อย่าให้ฉันเจ็บไปกว่านี้เลย สงสารฉันบ้าง"
ผมยังคงสะอื้นให้ความในใจมันออกมากับน้ำตา
"เค้าขอโทษนะคะ ที่รักของผม เค้าสัญญาว่าจะไม่ทำให้ตัวเองเสียใจอีก เค้าสัญญา"
มันพูดแล้วลูบ ตามหน้าจรดคางของผม พรมจูบอยู่อย่างนั้น ผมจูบตอบมันอย่างแผ่วเบา อ้อมกอด รสจูบที่ผมปรารถนา ตอนนี้มันอยู่ตรงหน้าผมแล้ว แรงรักในใจปลุกใจให้ล่องลอยไปตามร่างกาย ฝ่ามือมันคอยลูบไล้ตรงสะโพก ผมดื่มกินจูบมันอย่างกระหาย ทุกส่วนในร่างกายมันช่างน่าพิศมัย ไม่เคยรังเกียจเลย ผมปล่อยใจให้ลอยไปตามแรงปรารถนาแห่งใจ ไฟราคะสุมร้อนให้เราเร่าร้อนไปตามลีลา เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มดวงหน้าทั้งผมและมัน ประตูสวรรค์เปิดรับเราไม่รู้กี่รอบกี่คราว ไม่รู้จักพอไม่รู้สึกอิ่ม รสรักที่เติมเต็มให้แก่กันเหมือนน้ำทิพย์หยาดมาโปรยก็ไม่ปาน ผมมีความสุขเหลือเกินแต่มันก็ปนมาด้วยทุกข์มหันต์ที่แทรกมาทุกนาที
ขอบคุณ ทุกแรงใจนะครับ อยากเอ่ยชื่อทุกคน แต่ดูย้อนไปไม่เป็น ยังไงก็ขอบคุณอีกทีครับ