หลายวันต่อมา . . .
ผมได้มีโอกาสคุยกับเจ้าของรีพลายนั้นอีกครั้ง ผ่านทางโปรแกรมยอดฮิตเอ็มเอสเอ็น หากเพียงแต่ เขากลับบอกผมว่า เขาทำงานที่บริษัทเกี่ยวกับสินค้าทางการเกษตรระดับชาติ นั่นมันยิ่งทำให้ผมแปลกใจ เพราะถ้าเขาคือคนเดียวกับเจ้าของศรีษะในภาพ เขาจะทำงานที่ซีพีได้อย่างไร
แต่ . . .
ผมพอจะเข้าใจ การรู้จักผ่านโลกไซเบอร์ ที่เสมือนหนึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญในโลกปัจจุบัน ทุกคนล้วนอยากปกป้องตัวเองเอาไว้ก่อน ผมจึงไม่แปลกใจ หากเขาทำงานสนามบิน แล้วมาบอกว่าทำงานอีกที่ เพราะอย่างไรเสีย ผมมีสมมติฐานในการจับผิด หรือ ค้นหาความจริงของผมเอง ซึ่งผมมั่นใจ ว่า ถ้าเจ้าของเมล์คนนี้ที่ผมกำลังแชทอยู่ เป็นบุคคลเดียวกับที่ผมแอบถ่ายรูปเอาไว้
เรา . . .
. . . ซึ่งหมายถึงผม และมัน จะต้องเจอกันอีกแน่นอน
การเจอผ่านโลกที่ไร้ตัวตนแบบนี้ เราต่างแลกเปลี่ยนเรื่องราวกันมากมาย หลายหลาก โดยเฉพาะเรื่องเครื่องบิน สนามบิน มันรู้เรื่องราวเหล่านี้ดี
เราแลกเบอร์โทรกัน . . .
ผมเป็นฝ่ายโทรไปหา แต่ไม่มีการรับสายจากปลายทาง นั่นทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า เริ่มขาดความมั่นใจพอสมควร ผมไม่รู้เหมือนกันว่าขาดความมั่นใจไปเพราะอะไร ผมรู้เพียงแต่ว่ามันมีอะไรบางอย่างที่จะทำให้ผมได้คุยกับเขาอีก
และ . . .
. . . คืนนั้น หลังจากที่ผมเปิดคอมพิวเตอร์
“ไม่กล้ารับ”
สิ่งที่เขาพิมพ์ค้างเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน หลังจากที่ผมโทรไปหาเขา ผมยิ้มกับตัวเอง โดยที่ผมเองก็บอกไม่ได้ ว่าทำไม ผมต้องยิ้ม ทั้ง ๆ ที่กับคนอื่น ๆ ผมกลับเฉย ๆ ไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย แต่กลับคนนี้ คนที่ผมเคยเห็นเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้ มันทำให้หัวใจผมป่วนปั่นได้ขนาดนี้เลยหรือ ?
ผมนับว่าการเจอกันบนโลกไซเบอร์ และการได้เบอร์โทรของเขาเป็นการเจอกันครั้งที่สอง . . .
. . . ครั้งแรกผมเรียกมันว่า
ความบังเอิญ
ครั้งที่สองสำหรับผม . . .
. . . เพราะโลกมันกลม
ธันวาคม ปีเดียวกัน . . .
“สวัสดีครับ” ผมกรอกเสียงไปตามสาย ในขณะที่กำลังขับรถเลี้ยวซ้ายไปทางถนนเลี่ยงเมืองเยื้อง ๆ บิ้กซี ที่ซุปเปอร์ไฮเวย์
“ครับ” เสียงนั้นตอบกลับมา
“ไม่ทำงานหรือครับ”
“ทำครับเข้าบ่าย”
“ว๊า นึกว่าเช้า ไม่ได้เจอกันอีกแหง” ผมยิ้ม ในขณะที่สายตามองไปข้างหน้า เพราะถนนเลี่ยงเมืองเป็นถนนสองเลนเท่านั้น
“พี่ขึ้นมาเชียงใหม่ เหรอครับ”
“ช่าย”
“ทีจีเหรอครับ”
“ป่าว ขับรถมาครับ”
“ถึงไหนแล้ว”
“เลี่ยงเมืองแถว ๆ บิ้กซี ไม้จะไปทำงานหรือยัง”
“กำลังออกจากบ้าน”
“อะไรซีพีเข้าบ่ายด้วยเหรอ เลิกกี่ทุ่ม”
“สี่ทุ่มครึ่งครับ”
โห . . .
. . . ไอ้น่ารัก เวลาที่เมิงเลิกงานน่ะมันเวลาเลิกงานของสายการบิน ชัด ๆ มาแถอีกว่าอยู่ซีพี ช่างเหอะ ไม่บอกวันนี้ วันหน้า จะรู้ให้ได้ ว่าทำงานที่ไหนกันแน่
และ . . .
. . . สอยมาเป็นคนรักให้ได้คอยดู๊
ผมยิ้มกับตัวเองอีกครั้ง กับ ทฤษฏีความคิดบ้า ๆ ของตัวเอง ที่ผมคิดมันเอง เออมันเอง ทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายยังไม่รู้เรื่องรู้ราวเสียด้วยซ้ำไป
“โอเค งั้นไว้เดี๋ยวพี่ว่างจะโทรหา”
และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่ผมได้คุย เพราะหลังจากนั้นผมเหมือนลืมเขาไปเลย ด้วยภาระ หน้าที่การงานมันยุ่งเหยิง จนผมลืมไปว่า ผมยังมีใครคนนึงซ่อนอยู่ในหัวใจ มันอาจจะเป็นความทรงจำที่รางเลือน หรืออะไรก็ไม่รู้ ผมไม่ได้โทรหาเขาอีกเลยร่วมเดือน . . .
. . . และ ไม่เจอแม้ในโลกไซเบอร์
ระหว่างเขากับผม . . .
ความบังเอิญน่ะใช่ เพราะเราบังเอิญเจอกัน ในสถานที่ทำงานของอีกฝ่าย และไม่มีการพูดคุยกันด้วยซ้ำ แต่เราก็ก้าวข้ามความบังเอิญมาถึง . . .
โลกมันกลม เพราะเราเจอกันในเน็ท คุยกันทางโทรศัทพ์ และเป็นผม ที่ทิ้งให้เราสองคนหยุดลงตรงที่โลกกลม . . .
เพราะหากเราบังเอิญเจอกันอีกในครั้งที่สาม . . .
. . . ผมจะเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นว่า
“พรหมลิขิต”
และ ถ้ามันคือพรหมลิขิตผมจะเดินเข้าไปหา และไม่ปล่อยให้เขาคนนั้นต้องหลุดลอยไปแน่ ๆ ผมจะทำทุกอย่างเพื่อรักษาสิ่งที่พระพรหมลิขิตมาให้ผมเอาไว้ได้นานที่สุด
มกราคม . . .
ผมผ่านด่านตรวจวัตถุระเบิดของสนามบิน ยกข้อมือดูเวลา อีกเกือบสองชั่วโมงกว่าเครื่องจะเทคออฟ ผมมองไปที่เคาเตอร์ของสายการบินที่จะเดินทาง เคาเตอร์เปิดแล้ว หากยังเวลาอีกมาก ทำให้ผมไม่รีบร้อนที่จะไปแสดงตัว สายตาผมกวาดมองไปที่เคาเตอร์อีกแห่งที่อยู่ติดกัน
ผมยืนนิ่ง . . .
. . . คนที่ยืนหน้าเคาเตอร์
คนนั้นเหลือบมองมาทางผมแค่นิดเดียว เป็นจังหวะเดียวกันทีค่ผมก้มหน้าต่ำ หัวใจเต้นแรง เลือดสูบฉีดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ผมก้มหน้า ยิ้มกับตัวเอง
ภาพของคนที่นั่งในบูธสีเหลืองเมื่อสองเดือนก่อน . . .
. . . ภาพของคนในเอ็มที่คุยกัน
ผมแหงนหน้ามองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเคาเตอร์นั้นอีกครั้ง ภาพทั้งสามเวลา ค่อย ๆ ทับซ้อนกัน แล้วร่างนั้นก็เดินผ่านผมไปอย่างช้า ๆ เหมือนใครมาหยุดเวลาเอาไว้ ขาผมเหมือนแข็งไปชั่วขณะ ผมได้แต่มองร่างที่เดินผ่านผมไปที่บันไดเลื่อน แล้วร่างนั้นค่อย ๆ หายไปกับการเลื่อนของบันได
เร็วเท่าความคิด ผมวิ่งไปที่บันได้เลื่อนในทันที . . .
. . . เขาคนนั้นหันหน้ามามองผม
ผมมองจ้องไปที่เขา
สายตาประสานกันแค่เสี้ยววินาที ก่อนที่เขาจะแบนหน้ากลับไป เสมือนหนึ่งไม่เคยมีผมอยู่ตรงนั้น ผมคว้าโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนกดไปหาคนที่เพิ่งเดินหายไปในเคาน์เตอร์สีเหลืองของสนามบิน
ตื๊ด . . . ตื๊ด . . . ตื๊ด
. . . หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถมารถติดต่อได้ในขณะนี้
ผมหัวใจหล่นหายลงไปในตาตุ่ม . . .
นั่นแปลว่า ไม่มีการรับสาย จากคนนั้น จะด้วยเรื่องอะไรก็ตาม ความมั่นใจมันหายไปมากกว่าครึ่ง เพราะแปลว่าสมมุติฐานของผม มันไม่ใช่
เสียงจากปลายสายว่าง หากแต่ไม่มีการรับสายจากปลายทาง ผมนะหรือ หัวใจมันหวิว ๆ อย่างไรไม่รู้ ผมเชื่อในลางสังหรณ์ของตัวเอง ของบางอย่างมันสัมผัสได้ด้วยใจ ด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี . . .
ผมลองอีกครั้ง . . .
. . . ทำไมต้องลองอีกครั้ง
สำหรับผม ครั้งแรก . . .
. . . เป็นครู
ครั้งที่สอง ให้อภัย
หากไม่รับครั้งที่สามนั่นแหละผมจึงถอย ผมจะทำอะไรซ้ำ ๆ ได้ไม่เกินสามครั้งเสมอ
เพราะหากมากกว่านั้น ผมจะคิดว่า ระหว่างเขากับผม มันแค่พรหมลิขิตให้มาเจอกันเท่านั้น แต่พรหมไม่ได้ต้องการให้เขากับผมรู้จักกันมากกว่านั้น เราคงเป็นได้ แค่คนคุ้นตาที่บังเอิญเจอกันบ่อย
เหมือนคนที่เจอกันตามป้ายรถเมล์ในเวลาเช้า . . .
. . . เหมือนคนที่โหนเรือในคลองแสนแสบที่เห็นหน้ากันทุกวันหลังเลิกงาน
เพราะหากมันมีอะไรที่มากกว่านั้น มันต้องอยู่ที่คนสองคน สองคนที่จะทำให้การเชื่อมต่อสมบูรณ์แบบ ตอนนี้ผมพยายามในครั้งที่สองที่จะเชื่อมต่อ ผมรอฟังเสียงเรียกสายด้วยหัวใจเต้นระส่ำ มันแอบลุ้นนี่หว่า อยากรู้จัก อยากคุย กับคนที่เดินผ่านหน้าผมไปเมื่อสักครู่จะใช่คนเดียวที่มาปั่นป่วนหัวใจผมก่อนหน้านี้หรือปล่าวหว่า
“สวัสดีครับ”
เสียงจากปลายสาย การพยายามเชื่อมต่อของผมสัมฤทธิ์ผล ผมยิ้ม
“ครับผม ไม่ทำงานหรือ” ผมถามกลับไป
“วันนี้วันหยุด ไม่ได้ไป”
ตอบมาแบบนี้เล่นเอาหัวใจผมมันหล่นไปนอนกองกับพื้นอ่ะดิ๊ เพราะแปลว่าคนที่ผมเห็นไม่ใช่ ในเวลานั้น ผมบอกตรง ๆ ว่าผมไม่เชื่อที่เขาพูดสักนิด ผมยังเชื่อในความรู้สึกของผม ว่าผมกำลังฟังคำโกหกอยู่ เพราะว่า มันไม่ใช่แน่ ๆ ผมไม่ได้จำคนผิด หัวใจผมบอกเช่นนั้น
แล้ว . . .
. . . หากมันไม่ใช่ล่ะ
เหมือนอีกเสียงจะบอกผม
. . . ไม่มีทาง ต้องใช่ ต้องใช่ เชื่อกรูดิ๊ ดูเหมือนความมั่นใจในตัวเองของผมจะมากมายเสียเหลือเกิน ทำไมผมต้องมั่นใจขนาดนั้น
และดูเหมือนว่าเทพมูรติจะอยู่เคียงข้างผม . . .
. . . เสียงที่ผมได้ยินนั้น เสียงโทรศัพท์บ้าน
“เสียงโทรศัพท์บ้านด้วย รับสิครับ”
“ไม่ใช่ เสียงแฟ็กซ์” ไอ้น่ารักตอบกลับมา
“แน่ะ มีแฟ็กซ์ด้วย บ้านหรูเนาะ” มันไม่รู้ตัวหรือ ว่ามันเองก็กำลังพ่ายแพ้ ต่อความรู้สึกผิดที่โกหกก็ไม่รู้
“ไม่ใช่ที่บ้านที่ทำงาน”
“โห หลอกกันได้ ทีเมื่อกี้บอกที่บ้าน คนเรา” ผมทำเสียงน้อยอกน้อยใจ
“นิดนึง แล้วตอนนี้อยู่ไหนล่ะนี่”
“แถว ๆ นี้แหละ ไม่ไกลกันเท่าไหร่หรอก” ผมเริ่มออกแนวให้เขาค้นหาตัวตนผมบ้างแล้ว เพราะผมเชื่อ ว่าหากเราบอกไม่หมด คนที่เราคุยด้วยต้องการจะรู้ความเป็นไป แน่ ๆ
“แถวไหนหรือ”
“ในเขตเชียงใหม่ นี่แหละ”
“ที่สนามบินเหรอ”
“ใครบอก เซ็นทรัลแอร์พอร์ท” ผมยิ้ม เพราะตอนนี้ความมั่นใจของผมกลับคืนมาแทบเต็มร้อย เพราะผมว่า สิ่งที่ผมคิดมันใช่แน่ ๆ
“อย่า อย่ามาโกหก เห็นอยู่ว่าเดินอยู่แถวสนามบิน”
นั่น . . .
. . . คราวนี้ผมยิ้มกว้าง ส่ายหน้ากับตัวเองเบา ๆ ผมมีความสุขนะ มีความสุขกว่าที่ผมเห็นมันครั้งแรกที่บูธนกเมื่อสองเดือนก่อน มีความสุขมากกว่าตอนที่ผมขอเบอร์โทรมันแล้วมันคุยกับผมครั้งแรกเสียอีก ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร
ผมรู้แค่ว่า เหมือนการรอคอยสิ้นสุดลงแล้ว . . .
“ออกมาเหอะ อยากเห็นหน้า แค่นี้นะ” ผมอ้อน ก่อนตัดสายทิ้ง
หากสายตามองที่ประตูออฟฟิศชั้นล่างของสนามบิน หัวใจมันคอยลุ้นตลอดเวลา ว่าจะใช่แบบที่ผมคิดหรือไม่ ดูเหมือนว่า หัวใจผมมันจะเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ เพียงครู่ลมหายใจเดียวเท่านั้น ประตูบานนั้นค่อย ๆ แง้มออกมาอย่างช้า ๆ
ผมแทบจะกระโดดกอดมันตรงนั้น . . .
. . . มันยิ้มกว้าง เดินมาที่ผมนั่ง
“มาทำอะไร”
“ตามหาหัวใจครับผม” ผมยิ้ม ไม่กล้ามองหน้ามันอย่างเต็มตา คอยเดี๋ยวนะ คอยปรับความรู้สึกให้มันดีกว่านี้อีกสักหน่อยได้ไหม ตอนนี้เหมือนกึ่งฝันอย่างไรไม่รู้ แต่ก็ไม่วายหยอดเขาไปอีก
“เล่นได้อีก”
“มาทำอะไร”
“มากินข้าวเที่ยงกับแม่” ผมยิ้มให้ไอ้น่ารัก คราวนี้ผมเห็นแล้ว มองหน้ามันชัดเจน กล้าที่จะมองหน้ามันเต็มตา
ขอบคุณพรหมลิขิต . . .
. . . ขอบคุณไอ้น่ารัก ที่ยอมเดินออกมาหาผม
เพราะหากมันจะยืนยันว่า มันไม่ได้ทำงานที่นี่ ผมก็คงถอย เพราะผมรู้แล้ว ว่าคนที่ผมอยากเจอไม่ได้อยู่ที่นี่ คนที่ยืนยิ้มตรงหน้าผมคนนี้ต่างหากที่ผมอยากเจอ ผมมองคนในเสื้อสีเหลือง ก่อนมองที่ป้ายชื่อหน้าอก ใช่คนเดียวกับที่ผมคุยเอ็ม . . .
. . . NOK MAI
“อย่ามาอำ มาเมื่อไหร่”
“เมื่อเช้าจริง ๆ บินลงเชียงราย แล้วก็มานี่ไง” ผมยิ้ม
“พูดจริงหรือนี่ รวยบินเช้ากลับเย็น” แววตาไอ้น่ารักสงสัย ไอ้นี่บ้าแหง๋ ๆ บินมาเมื่อเช้า สี่โมงเย็นจะบินกลับอีกแล้ว
“ขอบคุณ O บาท ขอบคุณคุณหางแดง” ผมยิ้ม
“พูดจริงเหรอพี่”
“แล้วการโกหกได้ตังค์ป่าว ถ้าได้จะโกหกบ่อย ๆ ว่าอยู่ซีพีงี้ อยู่บ้านงี้” ผมยิ้มย้อนไอ้น่ารักไปอีกดอก
“อย่าพี่อย่า เห็นเงียบไปเป็นเดือน แล้วจู่ ๆ มาโผล่แบบนี้ ตั้งตัวไม่ทัน”
ผมรู้สึกผิดอย่างไรไม่รู้ . . .
. . . เงียบไปเป็นเดือน
นั่นสิ !
เมิงไปทำอะไรมาหว่า ทำไมปล่อยให้เวลาบางช่วงบางตอนมันหล่นหายไปขนาดนี้ ผมยิ้ม ทั้ง ๆ ที่ยังรู้สึกผิด เพราะเวลาที่ผ่านมา ผมอยู่กับงาน กับการเที่ยวกับเพื่อน ๆ ผมไม่รู้จักหัวใจตัวเอง หรืออาจเพราะว่าที่ผ่านมา ผมไม่แน่ใจ ว่าเจ้าของรีพลาย จะใช่คน ๆ เดียวกับที่ผมคุยเอ็มหรือไม่ ผมเลยได้แต่ปล่อยให้เวลามันกัดกร่อนหัวใจตัวเองช้า ๆ
“ขอโทษ ต่อไปจะไม่หายไปไหนอีก” ผมก้มหัวต่ำ
“อะไรพี่ เป็นอะไรมากไหมนี่ . . .” ไอ้น่ารักหัวเราะเบา ๆ
“. . . เออ เดี๋ยวอังคารว่าจะลงไปกรุงเทพฯ ด้วยล่ะ”
“จริงดิ ไปไฟลท์ไหน”
“3238”
ผมขมวดคิ้ว . . .
“ไรว่ะ อยู่นกนั่งหางแดง”
“ก็หางแดงมัน O บาท”
โห . . .
. . . คำตอบไอ้น่ารัก เล่นเอาผมมอบหัวใจรักให้อีกสิบดวง มันเหมือนผมเลย รักเธอเฉพาะโปรฯ O บาท เสียด้วย เพราะมันทำให้เงินตราไม่รั่วไหล จ่ายแค่ภาษีสนามบินเท่านั้น
ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ที่เกิดขึ้นกับผมในเวลานี้ . . .
. . . ผมรู้แค่ว่า ที่ผ่านมา ผมเจอเรื่องราวอะไรมามากมาย ทุก ๆ เรื่องล้วนเป็นบทเรียนให้เราได้จดจำได้แทบทั้งสิ้น
ผมเคยรักคน ๆ นึง รักมาก มากจนผมคิดว่าผมจะไม่สามารถรักใครได้อีกในชีวิตนี้ จนกระทั่งเมื่อถึงปลายทาง ที่ทั้งผมและเขาเดินจากกัน ผมก็ไม่เคยมีความรู้สึกจะรักใครได้อีกเลย ทุก ๆ คนที่ผ่านมา ในชีวิต ไม่มีใครจะหยุดผมเอาไว้ได้ ผมแค่คนเหงา ๆ ที่เรื่อยเปื่อยกับชีวิต ไม่เคยรู้สึกว่าจะต้องหยุดที่ใครอีกเลย
ผมกลัว . . .
. . . ความรักครั้งใหม่ จะสร้างความเจ็บปวดให้กับผมอีก
หากแต่ . . .
. . . สิ่งที่ผมไม่เคยรู้ ความรักมันก็คือความรัก เพราะมันอยู่รอบ ๆ ตัวเรา บางสถานะมันคือความสุข และบางสถานการณ์ มันจะทุกข์ แต่ทุก ๆ อย่างที่รวมกัน วันเวลาที่เราไม่ได้อยู่แค่คนเดียว วันเวลาที่เรามีใครอีกคนมาอยู่ในหัวใจ มันมีความสุขไม่ใช่หรือ ?
แล้วเราลองเอาสองสิ่งมาชั่งดู ว่าสิ่งใดมากกว่า . . .
. . . ผมยิ้ม เพราะสิ่งที่มากกว่า คือสิ่งที่หัวใจผมปิดตายมาสองปี หากผมจะรักใครอีกสักครั้ง ผมจะรักและถนอมเขาเอาไว้ให้นานมากที่สุด
“ถ้ายังไม่มีใครไปรับพี่ไปรับไม้ที่สุวรรณภูมิ”
“อย่าลำบากเลย ไม่แน่ว่าจะไปหรือปล่าวด้วย” มันมองหน้าผม
“มีคนไปรับแล้วว่างั้น”
“ไม่มีพี่ แต่ยังไม่แน่ใจจะไปจริง ๆ ไงครับ”
“ช่างเหอะ ไว้พี่โทรหาแล้วกัน ไปก่อนนะ” ผมยิ้มให้ไอ้น่ารักอีกรอบ ก่อนที่จะเดินขึ้นบันไดเลื่อนมายังชั้นสอง
ตอนนี้หัวใจผมคล้ายมีปีก . . .
. . . มันลิงโลดอย่างบอกไม่ถูก
ผมบอกแล้ว . . .
. . . ถ้ามันคือ “พรหมลิขิต”
ต่อจากนี้เป็นต้นไป ผมจะไม่ยอม ปล่อยให้มันหลุดลอยไปจากผมเป็นแน่ ผมจะเดินเข้าไปหา แล้วเมื่อถึงเวลานั้น พรหมหน้าไหนก็มาลิขิตหัวใจของผมไม่ได้ เพราะผมจะขีดเส้นทางเดินของหัวใจตัวเอง ผมไม่ยอมให้พรหมมาลิขิตชีวิตของผมอีกอย่างเด็ดขาด
ผมกระสับกระส่ายมาหลายวัน เรียกว่าตั้งแต่วันที่บินกลับมาก็ว่าได้ ผมถามตัวเองนับร้อย ๆ ครั้ง ว่ามันเกิดอะไรกับชีวิตผมในตอนนี้กันแน่ เพราะหัวใจผมมันไม่ได้เต้นแรงขนาดนี้มานานแค่ไหนแล้ว ผมทั้งอยากเจอ ทั้งกลัวสารพัด เพราะอดีตที่ผ่านมาของผม มันค่อนข้างฝังลึก ลึกจนผมเองไม่กล้าเปิดหัวใจไปรักใครอีก ผมกลัว ความรักที่ผมมีจะทำให้ผมเจ็บปวดอีก
แต่ . . .
. . . ผมห้ามหัวใจตัวเองไม่ได้ หลายต่อหลายครั้งที่ผมเผลอกดรูปที่ผมถ่ายที่สนามบินเชียงใหม่ มาดู ผมจะยิ้มกับภาพที่ผมถ่ายทุกครั้ง และในเวลาที่ผมเหนื่อยล้า แค่ผมกดโทรศัพท์ไปยังเลขหมายที่อยู่ห่างไปเกือบเจ็ดร้อยกิโลเมตร แค่เสียงจากปลายสายหัวใจผมมันกลับมีพลังเอาดื้อ ๆ ซะงั้น
ความรัก . . .
. . . หรือ
ความหลง . . .
มันคล้ายกันจนแทบแยกไม่ออก ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ ผมกำลังอยู่ในส่วนใดกันแน่ ผมรู้แค่ว่า ยิ่งใกล้เวลาค่ำ มันยิ่งทรมาน ผมอยากเจอ ยากอยู่ใกล้ ๆ คน ๆ นั้น
“ไม้ลงมามั้ยนี่ ค่ำนี้จะรอรับ”
“ไม่รู้เหมือนกัน” เสียงตอบมาจากปลายสาย
“อ้าว ไมอ่ะ ไหนบอกจะมาไม่สงสารคนคอยหรือ” ช่วงสามสี่วันมานี่ ผมหยอดใส่ไอ้น่าร๊ากกกกกก มันตลอด จะเรียกว่านิสัยหรือสันดานดี
“ไม่รู้ดิ ไม่ค่อยอยากไปเลย ห่วงทางนี้”
ผมพอรู้อยู่หรอกว่าไอ้น่ารักมันห่วงอะไรอยู่ ก็มารดาของคุณน่ารักเพิ่งออกมาจากโรงพยาบาล ยังไม่แข็งแรงสักเท่าไหร่ แล้วที่บ้านมันก็มีแค่ พ่อ กับ พี่ชายมันเท่านั้น ที่อยู่ดูแล มันมาแบบนี้อีกคน คนที่ช่วยดูแลก็น้อยลง
“มาเหอะนะ นะนะ จะพาเที่ยวเมืองกาญจนฯ”
ไอ้ผมมันเอาของเที่ยว เข้าล่อ เหมือนล่อเด็ก ๆ ที่บอกว่า ทำแบบนั้นจะแจกขนม มุขเน่าๆ ที่เขาไม่เล่นกันแล้ว แต่ไอ้กระผมดันเล่นซะงั้น
“คิดดูก่อนได้ไหม”
“ไม่รู้ล่ะ จะคอย มาไม่มาก็จะนั่งคอย จนหมดไฟลท์ภายในประเทศนั่นแหละ” ผมวางสายเอาดื้อ ๆ ก่อนกดปุ่มปิด
นิสัยเลวได้อีก . . .
. . . เมิงกำลังทดสอบอะไรหรือ ?
เมิงกำลังคิดว่าเมิงหล่อประหนึ่งเคน ธีรเดชที่เขาต้องง้อ . . .
. . . หรือ
รวยขนาดทายาทน้ำเมาเจ้าป่าหรือไง . . .
คนบางคนเขามีภาระความจำเป็น อย่าวาดหวังอะไรให้มากนักเลยเมิง เสียงที่ด่าตัวเองในใจ เบากว่าความรู้สึกว่า ผมต้องไปรอที่สุวรรณภูมิ . . .
. . . ผมจะรอ
รอไอ้น่ารักมันตรงทางออกชั้นสอง
ผมแหงนหน้ามองบอร์ดใหญ่ที่ชั้นสองขาเข้า เวลาบอกเครื่องลงราวสิบนาทีแล้ว หัวใจผมเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ ผมเชื่อว่าอย่างไรเสีย มันต้องมา เพราะหัวใจผมอยู่กับมัน นั่นเอากับผมดิครับ เรื่องคิดเข้าข้างตัวเองไม่มีใครเทียบได้ ผมเคยถามตัวเองเหมือนกัน หากมันไม่มา ?
กลับบ้านนอนเด่ะ . . .
แต่ผมรู้ ยังไงมันก็ต้องมา เพราะผมรักมัน มันคงสัมผัสความรักจากผมได้ มันไม่ปล่อยให้ผมรอมันเก้อแน่ ๆ ยังไงมันก็ต้องมา ผมไม่ได้เตรียมเอาความผิดหวังไว้เลย เพราะในหัวใจรักของผม ผมมีแต่มันในเวลานี้ ผมมั่นใจว่าผมมองมันไม่ผิด
แล้วผมก็ยิ้มกว้าง . . .
. . . คนที่ยิ้มให้ผม เดินลากกระเป๋ามา คนเดียวกันกับที่ผมรอ
ผมสัมผัสได้ถึงความสุขที่จบลงหลังการรอคอยอันยาวนานสัมฤทธิ์ผล มันมาแล้ว มันจะมาหาเพื่อน หรือหาใครก็ตามแต่ผมไม่สนทั้ง ๆ เพราะก่อนหน้านี้ เราคุยกันบ้างแล้วว่า หากไอ้น่ารักมากรุงเทพฯ เขาจะมาเที่ยว พักผ่อน กับเพื่อน ๆ แต่ผมก็ยังแอบหวังจะรั้งเขาไว้ให้อยู่กับผมได้สักชั่วเวลาหนึ่ง . . .
. . . แม้จะเป็นระยะเวลา จากสุวรรณภูมิมาถึงลาดพร้าว ผมก็จะทำ หากนั่นคือความสุขที่ผมรอมาตลอดนับจากวันที่ผมกลับมาจากเชียงใหม่ ครั้งหลังสุด ผมเป็นเอามากจริง ๆ
แต่ตอนนี้ . . .
. . . ผมรู้แค่ว่า ผมเป็นคนที่มันรู้จักคนแรกที่มันเจอที่สนามบินสุวรรณภูมิ ผมอยากเดินเข้าไปกอดมันชะมัด แต่สายตาผู้คนตรงนั้น ผมทำไม่ได้
ผมไม่อายนะ กล้าทำด้วย . . .
. . . แต่ผมกลัวมันอายมากกว่า
ผมไม่อยากให้มันรู้สึกแย่ ๆ ในการเจอกันอีกครั้ง ผมอยากให้ทั้งมันและผม มีวันเวลาดี ๆ เอาไว้ หากเมื่อวันหนึ่งสิ่งที่เราทั้งสองคิดอาจจะไม่ใช่ แต่อย่างน้อยที่สุด เราก็ได้มีวันเวลาดี ๆ อันน่าจดจำหลงเหลืออยู่บ้าง
“นี่ขนมของฝาก แม่ค้าบอกไอ้นี่อร่อย” มันส่งถุงขนมให้ผม
“ขอบใจนะ . . .” ผมยิ้ม รับถุงขนมจากมัน
หาก . . .
. . . มันจะรู้ไหม ผมไม่ได้ขอบใจมันที่มันเอาขนมมาฝาก แต่ผมขอบใจ ที่มันโผล่หน้าหล่อ ๆ มาให้ผมดูต่างหาก
“. . . ขอบใจที่มา ไปกันเหอะ” ผมยิ้มให้อีกครั้ง ก่อนที่จะเดินนำมายังลานจอดรถ
ผมแอบมองมันตลอดทาง . . .
. . . ผมยิ้ม
มีความสุขอย่างที่สุดแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ผมรู้แค่ว่า ผมมีความสุขเหลือเกินที่ได้อยู่ใกล้ ๆ กับคนที่ผมเองก็ไม่คิดว่าจะได้เข้าใกล้ เพราะระหว่างผมกับไอ้น่ารัก มันห่างไกลกันมาก หน้าตาหรือ ผมคงได้สักเสี้ยวของมันหรอก อายุอานามก็ห่างกันเยอะ มันจะมองคนที่ดีกว่าผม ก็ได้ แต่ทำไมมันต้องมาเดินกับผมในเวลานี้ . . .
“อยากไปไหน” ผมถามเมื่อค่อย ๆ ขับรถออกมาที่มอเตอร์เวย์
“แล้วแต่คนจะพาไป”
“เดี๋ยวพาไปนอนห้องพี่เลย” นั่น ได้คืบจะเอาศอก ไอ้หมาเอ้ย รุกซะจนคนนั่งไปด้วยเขาตัวสั่นหมดแล้ว
“เอาดิ๊ ถ้ากล้า”
มีหรือจะไม่กล้า คนแบบผมกลัวเสียที่ไหนล่ะครับ เพราะผมไม่มีอะไรจะเสียนี่หว่า แล้วทำไม ผมต้องกลัวด้วย ผมหันไปมองหน้ามัน ก่อนจับมือมันเบา ๆ
มือมันนิ่มชะมัด . . .
“แน่ะ ทำเป็นมือไว” มันบอก หากยังปล่อยให้อุ้งมือผมกุมมือมันเอาไว้
“ไปไหนบอกมาเหอะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“เพื่อน ๆ เขานัดกันไปรูทคืนนี้ คงไปเที่ยวรูทมั้ง”
“แล้วคืนนี้ค้างไหน ห้องเพื่อนหรือห้องพี่” ผมไม่ละความพยายาม ผมบอกตรง ๆ เลยว่าอยากอยู่ใกล้ ๆ มัน ไม่อยากปล่อยให้มันไปไหนเสียด้วยซ้ำ
แต่ . . .
. . . ผมมีสิทธิอะไรที่จะรั้งมันเอาไว้
สุดท้าย ผมเลยต้องไปส่งมันที่หน้า RCA ตามที่มันต้องการ จะเรียกว่ามันต้องการคงไม่ถูกนัก เพราะผมสังเกตุ เพื่อน ๆ มันโทรมาเร่งให้มันไปมากกว่า อาจเพราะมันไม่เจอเพื่อน ๆ นานก็เป็นได้ มันอาจจะอยากสนุกกับเพื่อน ๆ วัยเดียวกัน
ส่วนผม . . .
. . . ผมนั่งรอมันที่แมคฯ เอสพละนาด
ก็มันบอกว่าฝากของไว้ในรถก่อน ผมรู้ มันเองก็รู้สึกดีกับผม เพียงแต่ว่า อะไรบางอย่างทำให้ไม่กล้าพูดออกไป มันอาจจะยังไม่เชื่อใจผม หรือ บางที เราเพิ่งเจอกันจัง ๆ และคุยกันนาน ๆ ก็ตอนที่นั่งรถมาจากสุวรรณภูมินี่แหละ ยังมีเวลาที่จะเรียนรู้กันอีกมาก
หรือ . . .
. . . อาจเป็นแค่คืนนี้แล้วห่างหายไปตลอดชีวิต
มันอยู่ที่ว่าผมจะเลือกและปฏิบัติกับไอ้น่ารักแบบไหนมากกว่า แต่ผมรับรองว่า ผมรู้สึกกับมันมากกว่าคนอื่น ๆ ที่ผ่านมา ผมอยากดูแลมัน อยากนั่งใกล้ ๆ มันเหมือนที่ผมเคยมีคนที่ผมรัก แต่มันจะรู้สึกแบบเดียวกับผมหรือเปล่านี่สิคือปัญหาใหญ่ ที่ผมต้องแก้โจทย์ข้อนี้ให้ได้
“สวัสดีครับ” ผมกรอกเสียงไปตามสาย เมื่อเวลาเลยเที่ยงคืนมาเล็กน้อย
“พี่โมกข์อยู่ไหนแล้ว”
“เอสพละนาด”
“ไม้อยู่หน้าแมคฯ แล้ว ออกมาเหอะ” มันบอกผม
ผมยิ้มกับตัวเองอีก มันไม่ได้โกหกผม เพราะมันบอกว่าจะอยู่กับเพื่อนแค่เที่ยงคืน ไม่อยู่จนผับปิด แบบนี้ทำให้ผมมีกำกลังใจอีกมากโข มันยิ้ม หน้าตามันแดง เพราะฤทธิ์แอลกอร์ฮอร์แหง มันคงโดนเพื่อน ๆ มอมเอาไว้หลายแก้ว
ผมพามันกลับมาที่อพาร์ทเม้นท์ของผม . . .
“อาบน้ำไหม”
“อาบดิ ใครจะไม่อาบเหม็นขนาดนี้” มันยิ้ม เมื่อค่อย ๆ รื้อข้าวของออกจากกระเป๋า
“อาบให้ป่าว” ผมทำหน้าหื่นใส่มัน
“บ้าเหรอ อาบเองได้” มันเอาชุดที่มันจะใส่นอน ถือเอาไว้ในมือ
“เอาผ้าเช็ดตัวมาไหม”
“หึ . . .” มันส่ายหน้า
ผมเปิดประตูตู้ หยิบผ้าขนหนู ผืนที่ยังไม่ได้ใช้ส่งให้มัน
“แน่ใจนะว่าไม่ให้พี่อาบให้”
“ไอ้บ้า” มันยิ้ม ก่อนเดินเข้าห้องน้ำไป
ผมหัวเราะเบา ๆ มีความสุขที่ได้แกล้งมัน ผมชอบมองเวลามันยิ้ม โลกสว่าง สวยงาม มันอายุน้อยกว่าผมมาก ผมถามตัวเอง จะทำอย่างไรต่อดี
หากเป็นคนอื่นมาอยู่กับผมสองต่อสองแบบนี้ . . .
. . . คงคงไม่ปล่อยให้รอดพ้นคืนนี้แน่ ๆ
แล้ว . . .
. . . ไอ้น่ารัก
มันจะรอดผมคืนนี้หรือปล่าวหว่า ?