พิมพ์หน้านี้ - รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: tonsai_2520 ที่ 09-03-2010 16:26:25

หัวข้อ: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 09-03-2010 16:26:25
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2. ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม, ติดเรท x ทำให้กระทู้กลายพันธุ์ ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวบบอร์ด

3.ถ้าอยากเอานิยายเรื่องนี้ไปโพสต่อ กรุณาบอกผมก่อนด้วย  แต่โดยมายาทแล้ว  มิควรเอาไปโพสต์ที่อื่นอย่างเด็ดขาด

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม


เวบไซต์ แห่งนี้เป็นเวบไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวบไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวบไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวบไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ สติสตัง ความรู้ และสามัญสำนึกของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชมด้วยนะครับผม



กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)








ต อ น ที่   ๑




ปีที่ผ่านมา . . .


"เอารีวิวมาลงเร็วจิงๆนะคับ
วันนี้ผมยังเห็นคุณแอบถ่ายรูปบูธของผมอยู่เลย
ก็คิดอยู่ในใจว่าเค้าถ่ายไปลง hf. รึป่าว แต่ก็ไม่ได้ติดใจอาราย
ตอนนี้เข้ามาดู แอบเห็นหัวตัวเองอยู่ในรูปด้วย"



   เพราะข้อความนี้ ทำให้คิ้วของผมขมวดเข้าหากันอย่างก๊ะโบว์ผูกผม

    ใครหว่า ?

   คำถามที่เกิดขึ้นในใจ ผมหลับตา และพยายามนึกถึงห้วงเวลาก่อนหน้านี้สักสี่ห้าชั่วโมง . . .

   . . . หน้าใครคนนึงลอยมาในห้วงความคิดของผมอย่างช้า ๆ

   สนามบินเชียงใหม่ในยามบ่าย  ผู้คนไม่ได้มากมายอะไร  ผมเดินเรื่อย ๆ  บนชั้นสายในอาคารผู้โดยสาร  ถ่ายภาพตรงโน้นตรงนั้นไปเรื่อย ๆ   ที่สะดุดตาที่สุดก็  เคาเตอร์สีแดงของสายการบินลูกครึ่งกับสีแดงของสายการบินไทยแท้ . . .

   . . . ในบูธสีเหลือง  ผมเห็นใครคนนึงนั่งอยู่คนเดียว  อาจเพราะว่าคนส่วนมากนิยมการจองตั๋วผ่านอินเตอร์เน็ท  ตามบูธขายตั๋วจึงไม่ค่อยมีใครสนใจ  ผมเดินเฉียด ๆ ไป  มองรอบ ๆ  ตัว  และสิ่งที่ผมเห็น

   ใครคนนึงที่นั่งอยู่หลังเคาเตอร์นั่น . . .

   . . . ผมแอบยกกล้อง  ก่อนเก็บภาพของเขาเอาไว้   นั่นคือการเจอกันครั้งแรกผมเรียกมันว่า

   “ความบังเอิญ”

   ผมเอาหยิบเอากล้องที่ถ่ายภาพเมื่อตอนบ่ายมาดูอีกครั้ง  ผมค่อย ๆ  กดเลื่อนไปทีละรูป ๆ  อย่างช้าจน  จนกระทั้งมาหยุดที่บูธสีเหลือง   ใครคนนึงที่ก้มศรีษะอยู่ในบูธนั้น  แล้วผมก็ยิ้มกับรูปนั้น  คนในรูป  มีแค่หัวจริง ๆ  ด้วย  

   จะใช่คนเดียวกับที่มาตอบรีพลายในรีวิวผมหรือปล่าวหว่า ? . . .

   . . . คำถามที่เกิดขึ้นในใจผมอีกครั้ง





ปล.  โปรดอย่าถามถึงเรื่องดองเค็มทั้งหลาย  เพราะอารมณ์ตอนนี้คงต่อเรื่องดองเค็มไม่ติดแล้วมังครับ



*** ขออนุญาตแก้ไขคำห้อยท้ายของชื่อเรื่อง เพื่อลดความรุงรังของหัวข้อ  แต่หากผู้แต่งมีเรื่องแจ้งเพิ่มเติม ก็สามารถแก้ไขชื่อเรื่องได้ตามปกติค่ะ
 ทิพย์โมบอร์ดนิยาย
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 09-03-2010 16:31:32
 :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:


เจิมๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: kit ที่ 09-03-2010 16:53:27
ว้าย แล้วใครจะรับผิดชอบเรื่องภู.กับเด็กในท้องล่ะคะนั่น
ขอบคุณนะคะ คุณ ต้นสาย

หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 09-03-2010 18:23:45


หลายวันต่อมา . . .

   ผมได้มีโอกาสคุยกับเจ้าของรีพลายนั้นอีกครั้ง    ผ่านทางโปรแกรมยอดฮิตเอ็มเอสเอ็น  หากเพียงแต่  เขากลับบอกผมว่า  เขาทำงานที่บริษัทเกี่ยวกับสินค้าทางการเกษตรระดับชาติ  นั่นมันยิ่งทำให้ผมแปลกใจ  เพราะถ้าเขาคือคนเดียวกับเจ้าของศรีษะในภาพ  เขาจะทำงานที่ซีพีได้อย่างไร

   แต่ . . .

   ผมพอจะเข้าใจ การรู้จักผ่านโลกไซเบอร์  ที่เสมือนหนึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญในโลกปัจจุบัน   ทุกคนล้วนอยากปกป้องตัวเองเอาไว้ก่อน  ผมจึงไม่แปลกใจ  หากเขาทำงานสนามบิน  แล้วมาบอกว่าทำงานอีกที่  เพราะอย่างไรเสีย  ผมมีสมมติฐานในการจับผิด  หรือ  ค้นหาความจริงของผมเอง  ซึ่งผมมั่นใจ  ว่า  ถ้าเจ้าของเมล์คนนี้ที่ผมกำลังแชทอยู่  เป็นบุคคลเดียวกับที่ผมแอบถ่ายรูปเอาไว้ 

   เรา . . .

   . . . ซึ่งหมายถึงผม  และมัน  จะต้องเจอกันอีกแน่นอน

   การเจอผ่านโลกที่ไร้ตัวตนแบบนี้  เราต่างแลกเปลี่ยนเรื่องราวกันมากมาย  หลายหลาก  โดยเฉพาะเรื่องเครื่องบิน  สนามบิน  มันรู้เรื่องราวเหล่านี้ดี 

   เราแลกเบอร์โทรกัน . . .

   ผมเป็นฝ่ายโทรไปหา  แต่ไม่มีการรับสายจากปลายทาง  นั่นทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า  เริ่มขาดความมั่นใจพอสมควร  ผมไม่รู้เหมือนกันว่าขาดความมั่นใจไปเพราะอะไร  ผมรู้เพียงแต่ว่ามันมีอะไรบางอย่างที่จะทำให้ผมได้คุยกับเขาอีก

   และ . . .

   . . . คืนนั้น  หลังจากที่ผมเปิดคอมพิวเตอร์

   “ไม่กล้ารับ”

   สิ่งที่เขาพิมพ์ค้างเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน  หลังจากที่ผมโทรไปหาเขา  ผมยิ้มกับตัวเอง  โดยที่ผมเองก็บอกไม่ได้  ว่าทำไม  ผมต้องยิ้ม  ทั้ง ๆ ที่กับคนอื่น ๆ  ผมกลับเฉย ๆ  ไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย  แต่กลับคนนี้  คนที่ผมเคยเห็นเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้ มันทำให้หัวใจผมป่วนปั่นได้ขนาดนี้เลยหรือ ?

   ผมนับว่าการเจอกันบนโลกไซเบอร์  และการได้เบอร์โทรของเขาเป็นการเจอกันครั้งที่สอง . . .

   . . . ครั้งแรกผมเรียกมันว่า

   ความบังเอิญ

   ครั้งที่สองสำหรับผม . . .

   . . . เพราะโลกมันกลม
   




   ธันวาคม  ปีเดียวกัน . . .



   “สวัสดีครับ”  ผมกรอกเสียงไปตามสาย  ในขณะที่กำลังขับรถเลี้ยวซ้ายไปทางถนนเลี่ยงเมืองเยื้อง ๆ  บิ้กซี  ที่ซุปเปอร์ไฮเวย์

   “ครับ”  เสียงนั้นตอบกลับมา

   “ไม่ทำงานหรือครับ”

   “ทำครับเข้าบ่าย”

   “ว๊า นึกว่าเช้า  ไม่ได้เจอกันอีกแหง”  ผมยิ้ม  ในขณะที่สายตามองไปข้างหน้า  เพราะถนนเลี่ยงเมืองเป็นถนนสองเลนเท่านั้น

   “พี่ขึ้นมาเชียงใหม่  เหรอครับ”

   “ช่าย”

   “ทีจีเหรอครับ”

   “ป่าว  ขับรถมาครับ”

   “ถึงไหนแล้ว”

   “เลี่ยงเมืองแถว ๆ บิ้กซี  ไม้จะไปทำงานหรือยัง”

   “กำลังออกจากบ้าน”

   “อะไรซีพีเข้าบ่ายด้วยเหรอ  เลิกกี่ทุ่ม”

   “สี่ทุ่มครึ่งครับ”

   โห . . .

   . . . ไอ้น่ารัก  เวลาที่เมิงเลิกงานน่ะมันเวลาเลิกงานของสายการบิน  ชัด ๆ  มาแถอีกว่าอยู่ซีพี  ช่างเหอะ ไม่บอกวันนี้  วันหน้า จะรู้ให้ได้  ว่าทำงานที่ไหนกันแน่

   และ . . .

   . . . สอยมาเป็นคนรักให้ได้คอยดู๊

   ผมยิ้มกับตัวเองอีกครั้ง กับ ทฤษฏีความคิดบ้า ๆ  ของตัวเอง ที่ผมคิดมันเอง เออมันเอง  ทั้ง ๆ  ที่อีกฝ่ายยังไม่รู้เรื่องรู้ราวเสียด้วยซ้ำไป

   “โอเค  งั้นไว้เดี๋ยวพี่ว่างจะโทรหา” 

   และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่ผมได้คุย  เพราะหลังจากนั้นผมเหมือนลืมเขาไปเลย  ด้วยภาระ  หน้าที่การงานมันยุ่งเหยิง จนผมลืมไปว่า  ผมยังมีใครคนนึงซ่อนอยู่ในหัวใจ  มันอาจจะเป็นความทรงจำที่รางเลือน  หรืออะไรก็ไม่รู้  ผมไม่ได้โทรหาเขาอีกเลยร่วมเดือน . . .

   . . . และ  ไม่เจอแม้ในโลกไซเบอร์

   ระหว่างเขากับผม . . .

   ความบังเอิญน่ะใช่  เพราะเราบังเอิญเจอกัน  ในสถานที่ทำงานของอีกฝ่าย  และไม่มีการพูดคุยกันด้วยซ้ำ    แต่เราก็ก้าวข้ามความบังเอิญมาถึง . . .

   โลกมันกลม  เพราะเราเจอกันในเน็ท  คุยกันทางโทรศัทพ์  และเป็นผม  ที่ทิ้งให้เราสองคนหยุดลงตรงที่โลกกลม . . .

   เพราะหากเราบังเอิญเจอกันอีกในครั้งที่สาม . . .

   . . . ผมจะเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นว่า

   “พรหมลิขิต”

   และ ถ้ามันคือพรหมลิขิตผมจะเดินเข้าไปหา และไม่ปล่อยให้เขาคนนั้นต้องหลุดลอยไปแน่ ๆ   ผมจะทำทุกอย่างเพื่อรักษาสิ่งที่พระพรหมลิขิตมาให้ผมเอาไว้ได้นานที่สุด





   มกราคม . . .

   ผมผ่านด่านตรวจวัตถุระเบิดของสนามบิน  ยกข้อมือดูเวลา  อีกเกือบสองชั่วโมงกว่าเครื่องจะเทคออฟ  ผมมองไปที่เคาเตอร์ของสายการบินที่จะเดินทาง  เคาเตอร์เปิดแล้ว  หากยังเวลาอีกมาก  ทำให้ผมไม่รีบร้อนที่จะไปแสดงตัว  สายตาผมกวาดมองไปที่เคาเตอร์อีกแห่งที่อยู่ติดกัน

   ผมยืนนิ่ง . . .

   . . . คนที่ยืนหน้าเคาเตอร์

   คนนั้นเหลือบมองมาทางผมแค่นิดเดียว  เป็นจังหวะเดียวกันทีค่ผมก้มหน้าต่ำ  หัวใจเต้นแรง  เลือดสูบฉีดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  ผมก้มหน้า  ยิ้มกับตัวเอง 

   ภาพของคนที่นั่งในบูธสีเหลืองเมื่อสองเดือนก่อน . . .

   . . . ภาพของคนในเอ็มที่คุยกัน

   ผมแหงนหน้ามองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเคาเตอร์นั้นอีกครั้ง  ภาพทั้งสามเวลา  ค่อย ๆ  ทับซ้อนกัน  แล้วร่างนั้นก็เดินผ่านผมไปอย่างช้า ๆ  เหมือนใครมาหยุดเวลาเอาไว้  ขาผมเหมือนแข็งไปชั่วขณะ  ผมได้แต่มองร่างที่เดินผ่านผมไปที่บันไดเลื่อน  แล้วร่างนั้นค่อย ๆ  หายไปกับการเลื่อนของบันได

   เร็วเท่าความคิด  ผมวิ่งไปที่บันได้เลื่อนในทันที . . .

   . . . เขาคนนั้นหันหน้ามามองผม

   ผมมองจ้องไปที่เขา

   สายตาประสานกันแค่เสี้ยววินาที  ก่อนที่เขาจะแบนหน้ากลับไป  เสมือนหนึ่งไม่เคยมีผมอยู่ตรงนั้น  ผมคว้าโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง  ก่อนกดไปหาคนที่เพิ่งเดินหายไปในเคาน์เตอร์สีเหลืองของสนามบิน

   ตื๊ด . . . ตื๊ด . . . ตื๊ด

   . . . หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถมารถติดต่อได้ในขณะนี้

   ผมหัวใจหล่นหายลงไปในตาตุ่ม . . .

   นั่นแปลว่า  ไม่มีการรับสาย  จากคนนั้น  จะด้วยเรื่องอะไรก็ตาม  ความมั่นใจมันหายไปมากกว่าครึ่ง  เพราะแปลว่าสมมุติฐานของผม  มันไม่ใช่

   เสียงจากปลายสายว่าง  หากแต่ไม่มีการรับสายจากปลายทาง  ผมนะหรือ  หัวใจมันหวิว ๆ  อย่างไรไม่รู้  ผมเชื่อในลางสังหรณ์ของตัวเอง ของบางอย่างมันสัมผัสได้ด้วยใจ  ด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี . . .

   ผมลองอีกครั้ง . . .

   . . . ทำไมต้องลองอีกครั้ง

   สำหรับผม  ครั้งแรก . . .

   . . . เป็นครู

   ครั้งที่สอง  ให้อภัย

   หากไม่รับครั้งที่สามนั่นแหละผมจึงถอย  ผมจะทำอะไรซ้ำ ๆ  ได้ไม่เกินสามครั้งเสมอ 

   เพราะหากมากกว่านั้น  ผมจะคิดว่า  ระหว่างเขากับผม  มันแค่พรหมลิขิตให้มาเจอกันเท่านั้น  แต่พรหมไม่ได้ต้องการให้เขากับผมรู้จักกันมากกว่านั้น  เราคงเป็นได้  แค่คนคุ้นตาที่บังเอิญเจอกันบ่อย 

   เหมือนคนที่เจอกันตามป้ายรถเมล์ในเวลาเช้า . . .

   . . . เหมือนคนที่โหนเรือในคลองแสนแสบที่เห็นหน้ากันทุกวันหลังเลิกงาน

   เพราะหากมันมีอะไรที่มากกว่านั้น  มันต้องอยู่ที่คนสองคน  สองคนที่จะทำให้การเชื่อมต่อสมบูรณ์แบบ  ตอนนี้ผมพยายามในครั้งที่สองที่จะเชื่อมต่อ  ผมรอฟังเสียงเรียกสายด้วยหัวใจเต้นระส่ำ  มันแอบลุ้นนี่หว่า  อยากรู้จัก  อยากคุย  กับคนที่เดินผ่านหน้าผมไปเมื่อสักครู่จะใช่คนเดียวที่มาปั่นป่วนหัวใจผมก่อนหน้านี้หรือปล่าวหว่า

   “สวัสดีครับ”

   เสียงจากปลายสาย  การพยายามเชื่อมต่อของผมสัมฤทธิ์ผล  ผมยิ้ม

   “ครับผม  ไม่ทำงานหรือ”  ผมถามกลับไป

   “วันนี้วันหยุด  ไม่ได้ไป” 

   ตอบมาแบบนี้เล่นเอาหัวใจผมมันหล่นไปนอนกองกับพื้นอ่ะดิ๊  เพราะแปลว่าคนที่ผมเห็นไม่ใช่  ในเวลานั้น  ผมบอกตรง ๆ  ว่าผมไม่เชื่อที่เขาพูดสักนิด  ผมยังเชื่อในความรู้สึกของผม  ว่าผมกำลังฟังคำโกหกอยู่  เพราะว่า  มันไม่ใช่แน่ ๆ  ผมไม่ได้จำคนผิด  หัวใจผมบอกเช่นนั้น

   แล้ว . . .

   . . . หากมันไม่ใช่ล่ะ

   เหมือนอีกเสียงจะบอกผม

   . . . ไม่มีทาง  ต้องใช่  ต้องใช่  เชื่อกรูดิ๊  ดูเหมือนความมั่นใจในตัวเองของผมจะมากมายเสียเหลือเกิน  ทำไมผมต้องมั่นใจขนาดนั้น

   และดูเหมือนว่าเทพมูรติจะอยู่เคียงข้างผม . . .

   . . . เสียงที่ผมได้ยินนั้น เสียงโทรศัพท์บ้าน

   “เสียงโทรศัพท์บ้านด้วย  รับสิครับ”

   “ไม่ใช่  เสียงแฟ็กซ์”  ไอ้น่ารักตอบกลับมา

   “แน่ะ  มีแฟ็กซ์ด้วย  บ้านหรูเนาะ”  มันไม่รู้ตัวหรือ  ว่ามันเองก็กำลังพ่ายแพ้  ต่อความรู้สึกผิดที่โกหกก็ไม่รู้

   “ไม่ใช่ที่บ้านที่ทำงาน”

   “โห  หลอกกันได้  ทีเมื่อกี้บอกที่บ้าน   คนเรา”  ผมทำเสียงน้อยอกน้อยใจ

   “นิดนึง  แล้วตอนนี้อยู่ไหนล่ะนี่”

   “แถว ๆ  นี้แหละ  ไม่ไกลกันเท่าไหร่หรอก”  ผมเริ่มออกแนวให้เขาค้นหาตัวตนผมบ้างแล้ว  เพราะผมเชื่อ  ว่าหากเราบอกไม่หมด  คนที่เราคุยด้วยต้องการจะรู้ความเป็นไป แน่ ๆ

   “แถวไหนหรือ”

   “ในเขตเชียงใหม่  นี่แหละ”

   “ที่สนามบินเหรอ” 

   “ใครบอก  เซ็นทรัลแอร์พอร์ท”  ผมยิ้ม  เพราะตอนนี้ความมั่นใจของผมกลับคืนมาแทบเต็มร้อย  เพราะผมว่า  สิ่งที่ผมคิดมันใช่แน่ ๆ

   “อย่า  อย่ามาโกหก  เห็นอยู่ว่าเดินอยู่แถวสนามบิน”

   นั่น . . .

   . . . คราวนี้ผมยิ้มกว้าง  ส่ายหน้ากับตัวเองเบา ๆ  ผมมีความสุขนะ  มีความสุขกว่าที่ผมเห็นมันครั้งแรกที่บูธนกเมื่อสองเดือนก่อน  มีความสุขมากกว่าตอนที่ผมขอเบอร์โทรมันแล้วมันคุยกับผมครั้งแรกเสียอีก  ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร

   ผมรู้แค่ว่า  เหมือนการรอคอยสิ้นสุดลงแล้ว . . .

   “ออกมาเหอะ  อยากเห็นหน้า  แค่นี้นะ”  ผมอ้อน  ก่อนตัดสายทิ้ง

     หากสายตามองที่ประตูออฟฟิศชั้นล่างของสนามบิน  หัวใจมันคอยลุ้นตลอดเวลา  ว่าจะใช่แบบที่ผมคิดหรือไม่  ดูเหมือนว่า  หัวใจผมมันจะเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ  เพียงครู่ลมหายใจเดียวเท่านั้น  ประตูบานนั้นค่อย ๆ  แง้มออกมาอย่างช้า ๆ

   ผมแทบจะกระโดดกอดมันตรงนั้น . . .

   . . . มันยิ้มกว้าง  เดินมาที่ผมนั่ง

   “มาทำอะไร”

   “ตามหาหัวใจครับผม”  ผมยิ้ม  ไม่กล้ามองหน้ามันอย่างเต็มตา คอยเดี๋ยวนะ  คอยปรับความรู้สึกให้มันดีกว่านี้อีกสักหน่อยได้ไหม  ตอนนี้เหมือนกึ่งฝันอย่างไรไม่รู้  แต่ก็ไม่วายหยอดเขาไปอีก

   “เล่นได้อีก”

   “มาทำอะไร”

   “มากินข้าวเที่ยงกับแม่”    ผมยิ้มให้ไอ้น่ารัก  คราวนี้ผมเห็นแล้ว  มองหน้ามันชัดเจน  กล้าที่จะมองหน้ามันเต็มตา 

   ขอบคุณพรหมลิขิต . . .

   . . . ขอบคุณไอ้น่ารัก  ที่ยอมเดินออกมาหาผม

   เพราะหากมันจะยืนยันว่า  มันไม่ได้ทำงานที่นี่  ผมก็คงถอย  เพราะผมรู้แล้ว ว่าคนที่ผมอยากเจอไม่ได้อยู่ที่นี่  คนที่ยืนยิ้มตรงหน้าผมคนนี้ต่างหากที่ผมอยากเจอ  ผมมองคนในเสื้อสีเหลือง ก่อนมองที่ป้ายชื่อหน้าอก ใช่คนเดียวกับที่ผมคุยเอ็ม . . .

   . . . NOK   MAI

   “อย่ามาอำ  มาเมื่อไหร่”

   “เมื่อเช้าจริง ๆ  บินลงเชียงราย แล้วก็มานี่ไง”  ผมยิ้ม

   “พูดจริงหรือนี่  รวยบินเช้ากลับเย็น”  แววตาไอ้น่ารักสงสัย  ไอ้นี่บ้าแหง๋ ๆ  บินมาเมื่อเช้า  สี่โมงเย็นจะบินกลับอีกแล้ว 

   “ขอบคุณ O บาท  ขอบคุณคุณหางแดง”  ผมยิ้ม

   “พูดจริงเหรอพี่”

   “แล้วการโกหกได้ตังค์ป่าว  ถ้าได้จะโกหกบ่อย ๆ  ว่าอยู่ซีพีงี้  อยู่บ้านงี้”  ผมยิ้มย้อนไอ้น่ารักไปอีกดอก

   “อย่าพี่อย่า  เห็นเงียบไปเป็นเดือน  แล้วจู่ ๆ  มาโผล่แบบนี้  ตั้งตัวไม่ทัน”

   ผมรู้สึกผิดอย่างไรไม่รู้ . . .

   . . . เงียบไปเป็นเดือน

   นั่นสิ !

    เมิงไปทำอะไรมาหว่า  ทำไมปล่อยให้เวลาบางช่วงบางตอนมันหล่นหายไปขนาดนี้  ผมยิ้ม ทั้ง ๆ  ที่ยังรู้สึกผิด  เพราะเวลาที่ผ่านมา  ผมอยู่กับงาน  กับการเที่ยวกับเพื่อน ๆ  ผมไม่รู้จักหัวใจตัวเอง  หรืออาจเพราะว่าที่ผ่านมา  ผมไม่แน่ใจ  ว่าเจ้าของรีพลาย  จะใช่คน ๆ  เดียวกับที่ผมคุยเอ็มหรือไม่  ผมเลยได้แต่ปล่อยให้เวลามันกัดกร่อนหัวใจตัวเองช้า ๆ

   “ขอโทษ  ต่อไปจะไม่หายไปไหนอีก”  ผมก้มหัวต่ำ

   “อะไรพี่  เป็นอะไรมากไหมนี่ . . .”  ไอ้น่ารักหัวเราะเบา ๆ

   “. . . เออ  เดี๋ยวอังคารว่าจะลงไปกรุงเทพฯ  ด้วยล่ะ”

   “จริงดิ  ไปไฟลท์ไหน”

   “3238”

   ผมขมวดคิ้ว . . .

   “ไรว่ะ  อยู่นกนั่งหางแดง”

   “ก็หางแดงมัน O บาท”

   โห . . .

   . . . คำตอบไอ้น่ารัก  เล่นเอาผมมอบหัวใจรักให้อีกสิบดวง  มันเหมือนผมเลย  รักเธอเฉพาะโปรฯ O บาท  เสียด้วย  เพราะมันทำให้เงินตราไม่รั่วไหล  จ่ายแค่ภาษีสนามบินเท่านั้น

     ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ที่เกิดขึ้นกับผมในเวลานี้ . . .

   . . .   ผมรู้แค่ว่า ที่ผ่านมา  ผมเจอเรื่องราวอะไรมามากมาย  ทุก ๆ  เรื่องล้วนเป็นบทเรียนให้เราได้จดจำได้แทบทั้งสิ้น

   ผมเคยรักคน ๆ  นึง  รักมาก  มากจนผมคิดว่าผมจะไม่สามารถรักใครได้อีกในชีวิตนี้  จนกระทั่งเมื่อถึงปลายทาง ที่ทั้งผมและเขาเดินจากกัน  ผมก็ไม่เคยมีความรู้สึกจะรักใครได้อีกเลย  ทุก ๆ คนที่ผ่านมา  ในชีวิต  ไม่มีใครจะหยุดผมเอาไว้ได้  ผมแค่คนเหงา ๆ  ที่เรื่อยเปื่อยกับชีวิต  ไม่เคยรู้สึกว่าจะต้องหยุดที่ใครอีกเลย

   ผมกลัว . . .

   . . . ความรักครั้งใหม่  จะสร้างความเจ็บปวดให้กับผมอีก

   หากแต่ . . .

   . . . สิ่งที่ผมไม่เคยรู้  ความรักมันก็คือความรัก  เพราะมันอยู่รอบ ๆ  ตัวเรา  บางสถานะมันคือความสุข และบางสถานการณ์  มันจะทุกข์  แต่ทุก ๆ  อย่างที่รวมกัน วันเวลาที่เราไม่ได้อยู่แค่คนเดียว  วันเวลาที่เรามีใครอีกคนมาอยู่ในหัวใจ  มันมีความสุขไม่ใช่หรือ ?

   แล้วเราลองเอาสองสิ่งมาชั่งดู  ว่าสิ่งใดมากกว่า . . .

   . . . ผมยิ้ม  เพราะสิ่งที่มากกว่า  คือสิ่งที่หัวใจผมปิดตายมาสองปี  หากผมจะรักใครอีกสักครั้ง  ผมจะรักและถนอมเขาเอาไว้ให้นานมากที่สุด 

   “ถ้ายังไม่มีใครไปรับพี่ไปรับไม้ที่สุวรรณภูมิ”

   “อย่าลำบากเลย  ไม่แน่ว่าจะไปหรือปล่าวด้วย”  มันมองหน้าผม

   “มีคนไปรับแล้วว่างั้น” 

   “ไม่มีพี่  แต่ยังไม่แน่ใจจะไปจริง ๆ  ไงครับ”

   “ช่างเหอะ  ไว้พี่โทรหาแล้วกัน    ไปก่อนนะ”  ผมยิ้มให้ไอ้น่ารักอีกรอบ  ก่อนที่จะเดินขึ้นบันไดเลื่อนมายังชั้นสอง 

   ตอนนี้หัวใจผมคล้ายมีปีก . . .

   . . . มันลิงโลดอย่างบอกไม่ถูก

   ผมบอกแล้ว . . .

   . . . ถ้ามันคือ   “พรหมลิขิต”

   ต่อจากนี้เป็นต้นไป  ผมจะไม่ยอม  ปล่อยให้มันหลุดลอยไปจากผมเป็นแน่  ผมจะเดินเข้าไปหา แล้วเมื่อถึงเวลานั้น  พรหมหน้าไหนก็มาลิขิตหัวใจของผมไม่ได้  เพราะผมจะขีดเส้นทางเดินของหัวใจตัวเอง  ผมไม่ยอมให้พรหมมาลิขิตชีวิตของผมอีกอย่างเด็ดขาด



   

   ผมกระสับกระส่ายมาหลายวัน  เรียกว่าตั้งแต่วันที่บินกลับมาก็ว่าได้   ผมถามตัวเองนับร้อย ๆ ครั้ง  ว่ามันเกิดอะไรกับชีวิตผมในตอนนี้กันแน่    เพราะหัวใจผมมันไม่ได้เต้นแรงขนาดนี้มานานแค่ไหนแล้ว  ผมทั้งอยากเจอ  ทั้งกลัวสารพัด  เพราะอดีตที่ผ่านมาของผม  มันค่อนข้างฝังลึก  ลึกจนผมเองไม่กล้าเปิดหัวใจไปรักใครอีก  ผมกลัว  ความรักที่ผมมีจะทำให้ผมเจ็บปวดอีก

   แต่ . . .

   . . . ผมห้ามหัวใจตัวเองไม่ได้  หลายต่อหลายครั้งที่ผมเผลอกดรูปที่ผมถ่ายที่สนามบินเชียงใหม่  มาดู  ผมจะยิ้มกับภาพที่ผมถ่ายทุกครั้ง และในเวลาที่ผมเหนื่อยล้า  แค่ผมกดโทรศัพท์ไปยังเลขหมายที่อยู่ห่างไปเกือบเจ็ดร้อยกิโลเมตร  แค่เสียงจากปลายสายหัวใจผมมันกลับมีพลังเอาดื้อ ๆ  ซะงั้น

   ความรัก . . .

   . . . หรือ

   ความหลง . . .

   มันคล้ายกันจนแทบแยกไม่ออก  ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้  ผมกำลังอยู่ในส่วนใดกันแน่  ผมรู้แค่ว่า  ยิ่งใกล้เวลาค่ำ มันยิ่งทรมาน  ผมอยากเจอ  ยากอยู่ใกล้ ๆ  คน ๆ  นั้น 

   “ไม้ลงมามั้ยนี่  ค่ำนี้จะรอรับ”

   “ไม่รู้เหมือนกัน”  เสียงตอบมาจากปลายสาย

   “อ้าว ไมอ่ะ  ไหนบอกจะมาไม่สงสารคนคอยหรือ”   ช่วงสามสี่วันมานี่  ผมหยอดใส่ไอ้น่าร๊ากกกกกก  มันตลอด  จะเรียกว่านิสัยหรือสันดานดี

   “ไม่รู้ดิ  ไม่ค่อยอยากไปเลย ห่วงทางนี้”

   ผมพอรู้อยู่หรอกว่าไอ้น่ารักมันห่วงอะไรอยู่  ก็มารดาของคุณน่ารักเพิ่งออกมาจากโรงพยาบาล  ยังไม่แข็งแรงสักเท่าไหร่    แล้วที่บ้านมันก็มีแค่  พ่อ  กับ พี่ชายมันเท่านั้น  ที่อยู่ดูแล  มันมาแบบนี้อีกคน  คนที่ช่วยดูแลก็น้อยลง

   “มาเหอะนะ  นะนะ  จะพาเที่ยวเมืองกาญจนฯ”

   ไอ้ผมมันเอาของเที่ยว  เข้าล่อ  เหมือนล่อเด็ก ๆ  ที่บอกว่า  ทำแบบนั้นจะแจกขนม  มุขเน่าๆ   ที่เขาไม่เล่นกันแล้ว แต่ไอ้กระผมดันเล่นซะงั้น

   “คิดดูก่อนได้ไหม”

   “ไม่รู้ล่ะ  จะคอย  มาไม่มาก็จะนั่งคอย  จนหมดไฟลท์ภายในประเทศนั่นแหละ”  ผมวางสายเอาดื้อ ๆ  ก่อนกดปุ่มปิด

   นิสัยเลวได้อีก . . .

   . . . เมิงกำลังทดสอบอะไรหรือ ?

   เมิงกำลังคิดว่าเมิงหล่อประหนึ่งเคน ธีรเดชที่เขาต้องง้อ . . .

   . . .  หรือ 

   รวยขนาดทายาทน้ำเมาเจ้าป่าหรือไง . . .

   คนบางคนเขามีภาระความจำเป็น  อย่าวาดหวังอะไรให้มากนักเลยเมิง  เสียงที่ด่าตัวเองในใจ  เบากว่าความรู้สึกว่า  ผมต้องไปรอที่สุวรรณภูมิ . . .

   . . . ผมจะรอ

   รอไอ้น่ารักมันตรงทางออกชั้นสอง

   ผมแหงนหน้ามองบอร์ดใหญ่ที่ชั้นสองขาเข้า  เวลาบอกเครื่องลงราวสิบนาทีแล้ว  หัวใจผมเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ  ผมเชื่อว่าอย่างไรเสีย  มันต้องมา  เพราะหัวใจผมอยู่กับมัน  นั่นเอากับผมดิครับ  เรื่องคิดเข้าข้างตัวเองไม่มีใครเทียบได้  ผมเคยถามตัวเองเหมือนกัน  หากมันไม่มา ?

   กลับบ้านนอนเด่ะ . . .

   แต่ผมรู้  ยังไงมันก็ต้องมา  เพราะผมรักมัน  มันคงสัมผัสความรักจากผมได้  มันไม่ปล่อยให้ผมรอมันเก้อแน่ ๆ  ยังไงมันก็ต้องมา  ผมไม่ได้เตรียมเอาความผิดหวังไว้เลย  เพราะในหัวใจรักของผม ผมมีแต่มันในเวลานี้  ผมมั่นใจว่าผมมองมันไม่ผิด

   แล้วผมก็ยิ้มกว้าง . . .

   . . . คนที่ยิ้มให้ผม  เดินลากกระเป๋ามา  คนเดียวกันกับที่ผมรอ

   ผมสัมผัสได้ถึงความสุขที่จบลงหลังการรอคอยอันยาวนานสัมฤทธิ์ผล  มันมาแล้ว  มันจะมาหาเพื่อน  หรือหาใครก็ตามแต่ผมไม่สนทั้ง ๆ เพราะก่อนหน้านี้  เราคุยกันบ้างแล้วว่า  หากไอ้น่ารักมากรุงเทพฯ    เขาจะมาเที่ยว  พักผ่อน  กับเพื่อน ๆ  แต่ผมก็ยังแอบหวังจะรั้งเขาไว้ให้อยู่กับผมได้สักชั่วเวลาหนึ่ง . . .

   . . . แม้จะเป็นระยะเวลา  จากสุวรรณภูมิมาถึงลาดพร้าว  ผมก็จะทำ  หากนั่นคือความสุขที่ผมรอมาตลอดนับจากวันที่ผมกลับมาจากเชียงใหม่  ครั้งหลังสุด  ผมเป็นเอามากจริง ๆ

   แต่ตอนนี้ . . .

   . . . ผมรู้แค่ว่า  ผมเป็นคนที่มันรู้จักคนแรกที่มันเจอที่สนามบินสุวรรณภูมิ  ผมอยากเดินเข้าไปกอดมันชะมัด  แต่สายตาผู้คนตรงนั้น  ผมทำไม่ได้

   ผมไม่อายนะ  กล้าทำด้วย . . .

   . . . แต่ผมกลัวมันอายมากกว่า

   ผมไม่อยากให้มันรู้สึกแย่ ๆ  ในการเจอกันอีกครั้ง  ผมอยากให้ทั้งมันและผม  มีวันเวลาดี ๆ  เอาไว้  หากเมื่อวันหนึ่งสิ่งที่เราทั้งสองคิดอาจจะไม่ใช่  แต่อย่างน้อยที่สุด  เราก็ได้มีวันเวลาดี ๆ  อันน่าจดจำหลงเหลืออยู่บ้าง 

   “นี่ขนมของฝาก  แม่ค้าบอกไอ้นี่อร่อย”   มันส่งถุงขนมให้ผม

   “ขอบใจนะ . . .”  ผมยิ้ม รับถุงขนมจากมัน

   หาก . . .

   . . . มันจะรู้ไหม  ผมไม่ได้ขอบใจมันที่มันเอาขนมมาฝาก  แต่ผมขอบใจ  ที่มันโผล่หน้าหล่อ ๆ  มาให้ผมดูต่างหาก

   “. . . ขอบใจที่มา  ไปกันเหอะ”  ผมยิ้มให้อีกครั้ง  ก่อนที่จะเดินนำมายังลานจอดรถ

   ผมแอบมองมันตลอดทาง . . .

   . . .  ผมยิ้ม 

   มีความสุขอย่างที่สุดแล้ว  ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม  ผมรู้แค่ว่า  ผมมีความสุขเหลือเกินที่ได้อยู่ใกล้ ๆ  กับคนที่ผมเองก็ไม่คิดว่าจะได้เข้าใกล้ เพราะระหว่างผมกับไอ้น่ารัก  มันห่างไกลกันมาก  หน้าตาหรือ  ผมคงได้สักเสี้ยวของมันหรอก  อายุอานามก็ห่างกันเยอะ  มันจะมองคนที่ดีกว่าผม  ก็ได้  แต่ทำไมมันต้องมาเดินกับผมในเวลานี้ . . .

   “อยากไปไหน”  ผมถามเมื่อค่อย ๆ  ขับรถออกมาที่มอเตอร์เวย์

   “แล้วแต่คนจะพาไป”

   “เดี๋ยวพาไปนอนห้องพี่เลย”  นั่น  ได้คืบจะเอาศอก  ไอ้หมาเอ้ย  รุกซะจนคนนั่งไปด้วยเขาตัวสั่นหมดแล้ว 

   “เอาดิ๊  ถ้ากล้า”

   มีหรือจะไม่กล้า  คนแบบผมกลัวเสียที่ไหนล่ะครับ  เพราะผมไม่มีอะไรจะเสียนี่หว่า  แล้วทำไม  ผมต้องกลัวด้วย  ผมหันไปมองหน้ามัน  ก่อนจับมือมันเบา ๆ

   มือมันนิ่มชะมัด . . .

   “แน่ะ ทำเป็นมือไว”  มันบอก หากยังปล่อยให้อุ้งมือผมกุมมือมันเอาไว้

   “ไปไหนบอกมาเหอะ  เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

   “เพื่อน ๆ  เขานัดกันไปรูทคืนนี้  คงไปเที่ยวรูทมั้ง”

   “แล้วคืนนี้ค้างไหน ห้องเพื่อนหรือห้องพี่”  ผมไม่ละความพยายาม  ผมบอกตรง ๆ เลยว่าอยากอยู่ใกล้ ๆ  มัน  ไม่อยากปล่อยให้มันไปไหนเสียด้วยซ้ำ 

   แต่ . . .

   . . . ผมมีสิทธิอะไรที่จะรั้งมันเอาไว้

   สุดท้าย  ผมเลยต้องไปส่งมันที่หน้า RCA  ตามที่มันต้องการ  จะเรียกว่ามันต้องการคงไม่ถูกนัก  เพราะผมสังเกตุ  เพื่อน ๆ  มันโทรมาเร่งให้มันไปมากกว่า  อาจเพราะมันไม่เจอเพื่อน ๆ  นานก็เป็นได้  มันอาจจะอยากสนุกกับเพื่อน ๆ  วัยเดียวกัน

   ส่วนผม . . .

   . . . ผมนั่งรอมันที่แมคฯ  เอสพละนาด

   ก็มันบอกว่าฝากของไว้ในรถก่อน  ผมรู้ มันเองก็รู้สึกดีกับผม  เพียงแต่ว่า  อะไรบางอย่างทำให้ไม่กล้าพูดออกไป    มันอาจจะยังไม่เชื่อใจผม  หรือ  บางที  เราเพิ่งเจอกันจัง ๆ  และคุยกันนาน ๆ ก็ตอนที่นั่งรถมาจากสุวรรณภูมินี่แหละ  ยังมีเวลาที่จะเรียนรู้กันอีกมาก

   หรือ . . .

   . . . อาจเป็นแค่คืนนี้แล้วห่างหายไปตลอดชีวิต

   มันอยู่ที่ว่าผมจะเลือกและปฏิบัติกับไอ้น่ารักแบบไหนมากกว่า  แต่ผมรับรองว่า  ผมรู้สึกกับมันมากกว่าคนอื่น ๆ  ที่ผ่านมา    ผมอยากดูแลมัน  อยากนั่งใกล้ ๆ  มันเหมือนที่ผมเคยมีคนที่ผมรัก  แต่มันจะรู้สึกแบบเดียวกับผมหรือเปล่านี่สิคือปัญหาใหญ่  ที่ผมต้องแก้โจทย์ข้อนี้ให้ได้

   “สวัสดีครับ”  ผมกรอกเสียงไปตามสาย  เมื่อเวลาเลยเที่ยงคืนมาเล็กน้อย

   “พี่โมกข์อยู่ไหนแล้ว”

   “เอสพละนาด”

   “ไม้อยู่หน้าแมคฯ  แล้ว  ออกมาเหอะ”  มันบอกผม

   ผมยิ้มกับตัวเองอีก  มันไม่ได้โกหกผม  เพราะมันบอกว่าจะอยู่กับเพื่อนแค่เที่ยงคืน  ไม่อยู่จนผับปิด  แบบนี้ทำให้ผมมีกำกลังใจอีกมากโข  มันยิ้ม หน้าตามันแดง  เพราะฤทธิ์แอลกอร์ฮอร์แหง  มันคงโดนเพื่อน ๆ  มอมเอาไว้หลายแก้ว

   ผมพามันกลับมาที่อพาร์ทเม้นท์ของผม . . .

   “อาบน้ำไหม”

   “อาบดิ  ใครจะไม่อาบเหม็นขนาดนี้”  มันยิ้ม  เมื่อค่อย ๆ  รื้อข้าวของออกจากกระเป๋า

   “อาบให้ป่าว”  ผมทำหน้าหื่นใส่มัน 

   “บ้าเหรอ อาบเองได้”  มันเอาชุดที่มันจะใส่นอน ถือเอาไว้ในมือ 

   “เอาผ้าเช็ดตัวมาไหม”

   “หึ . . .”   มันส่ายหน้า

   ผมเปิดประตูตู้  หยิบผ้าขนหนู  ผืนที่ยังไม่ได้ใช้ส่งให้มัน

   “แน่ใจนะว่าไม่ให้พี่อาบให้”

   “ไอ้บ้า”  มันยิ้ม  ก่อนเดินเข้าห้องน้ำไป

   ผมหัวเราะเบา ๆ  มีความสุขที่ได้แกล้งมัน  ผมชอบมองเวลามันยิ้ม โลกสว่าง  สวยงาม  มันอายุน้อยกว่าผมมาก    ผมถามตัวเอง  จะทำอย่างไรต่อดี

   หากเป็นคนอื่นมาอยู่กับผมสองต่อสองแบบนี้ . . .

   . . . คงคงไม่ปล่อยให้รอดพ้นคืนนี้แน่ ๆ

   แล้ว . . .

   . . . ไอ้น่ารัก

   มันจะรอดผมคืนนี้หรือปล่าวหว่า ?

หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 09-03-2010 18:53:06

น่ารักมากจริงๆ ค่า  :-[
หวังว่า... คงจะจบดีเน้อ  อิอิ  :L2:

หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: 0nePiece ที่ 09-03-2010 18:57:38
มาเจิม มาเจิม พี่ต้นสาย  อิอิ

 :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:

ยังไม่ใด้อ่านเลย ขอไปอ่านก่อน
   
     ^_______^
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: DEMON3132 ที่ 09-03-2010 19:53:28
+1 ให้สำหรับเรื่องใหม่ของคุณต้นสาย
 :mc4: :mc4: จะรอลุ้นตอนต่อไป
ว่าคืนนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า  :pighaun:
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: ~l3aml3ery~ ที่ 09-03-2010 20:04:31
จัดการเลยค่ะ พี่โมกข์ :m25:
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 09-03-2010 20:14:15
มา + เจิมเรื่องใหม่

ไอ้น่ารัก น่ารักจริงๆ อ่า
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: KM ที่ 09-03-2010 21:11:50
เอาอีก


พระเอกเท่ห์ดี


นายเอกก็น่ารัก

ทั้งคู่ต้องมีอดีตร้ายๆแน่ๆเลย เริ่มจิตตก
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: littlepretty ที่ 09-03-2010 21:36:28
 :mc4: จิ้มเรื่องใหม่

หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: alterlyx ที่ 09-03-2010 21:38:54
น่าร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก  :-[

ทำไมเขียนได้น่ารักมากมายก่ายกองขนาดนี้ค่ะ ... +1 โทษฐานที่ทำให้อ่านไป ยิ้มไป ซะหลายประโยค
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: OhJa ที่ 09-03-2010 21:51:14
เจิมเรื่องใหม่  ชอบบบบบบบบบบบบบบบ  :o8:
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: kogomon ที่ 09-03-2010 22:13:12
 :z1: :z1:

ชอบเนื้อเรื่อง

เหอะๆ


น่ารักดี
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 09-03-2010 22:14:25
ไม่รู้เป็น'ไร อ่านแล้วน้ำตาคลอ...
+1 ให้ครับพี่
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: Jinkle ที่ 09-03-2010 22:34:14
 :L2:
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 09-03-2010 22:36:26
 :L2:

อ่านแล้วลื่นไหล

ได้อารมณ์..ดี



จะเข้ามาติดตามเรื่อยๆคับ

 :pig4:ต้นสาย
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: kit ที่ 09-03-2010 22:55:38
•    “อย่า  อย่ามาโกหก  เห็นอยู่ว่าเดินอยู่แถวสนามบิน”

   นั่น . . . คือบัตรเชิญ . . . . . . . อิอิ
ขอบคุณนะคะ คุณ ต้นสาย

หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 10-03-2010 03:58:40
 :L2: เรื่องใหม่มาแล้ว


+1
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: Cha Ris Ma ที่ 10-03-2010 08:07:53
 :-[
อ่านไป ยิ้มไป บ้าไปแล้วผม
+1 ให้ไอ้น่ารักของพี่โมกข์
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: C2U ที่ 10-03-2010 09:16:47
เรื่องใหม่มาอีกแล้ว   

เริ่มต้น น่ารักเชียว  จบคงไม่เศร้า  เนอะ 


แต่ยังไงก็ชอบอ่านอยู่ดี   :L2:
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 10-03-2010 09:54:23


ต อ น ที่   ๒




   ผมชื่อโมกข์ . . .

   บ้านผมอยู่เชียงใหม่ใกล้ ๆ กับบ้านอดีตนายกที่ไม่เคยได้สัมผัสเก้าอี้ในทำเนียบ ทางไปแม่มาลัย  หากเป็นสมัยเมื่อหลายปีก่อนบ้านผมเงียบ แต่ปัจจุบันนี้  เมืองขยายออกอย่างรวดเร็ว  ทำให้บ้านเมืองที่คุ้นตาเริ่มแปลก ๆ  ไป  ผมเป็นคนเมือง  แต่ไม่ได้อยู่เชียงใหม่  เพราะผมทำงานที่กรุงเทพฯ


   นาน ๆ  กลับบ้านสักครั้ง . . .

   อายุผมหรือครับ  มากแล้ว  สามสิบกว่านิด ๆ  ยังแจ๋วอยู่ครับ  หน้าที่การงานก็พอจะเลี้ยงตัวเองไหว และยังพอเหลือช่วยเหลือ  น้อง ๆ  หลาน ๆ  เป็นค่าเทอม  อันนี้หมายถึง  น้องที่เป็นลูก ๆ  ของอา  หรือหลาน ๆ  นามสกุลเดียวกันนะครับ  เพราะผมยังเข็ดกับความรักครั้งเก่าไม่หาย

   ความรักครั้งแรก

   ที่เล่นเอาผมเจียนตาย . . .

   . . . หากแต่ผมกลับผ่านเวลานั้นมาได้  ผ่านมาแบบที่เรียกว่าแทบไม่เป็นผู้เป็นคนเลยทีเดียว  ความเจ็บปวดในครั้งนั้น  ทำเอาผมเข็ดขยาดกับความรัก  ผมไม่กล้ารักใครอีกแล้ว  เกือบสองปีที่ผมอยู่คนเดียว  รักตัวเองมากกว่าสิ่งใดทั้งหมด  ก็ผมถือคติ

   “รักกับพี่มันไม่ง่าย  แต่ได้กับพี่มันไม่ยาก”

   ไม่ยากครับ . . .

   . . .  ผ่านมาสองปี  ได้มาเกือบสิบคน  

   และด้วยความเลวระยำของตัวเอง . . .

   ทุก ๆ  คน  จะโดนผมตีกรรเชียงชิ่งหนีอย่างไม่ใยดี  หลังจากการมีอะไรด้วย  คนที่คบนานด้วยที่สุด  ก็เกือบเดือนนึง  แต่เป็นครั้งเดียวเท่านั้นที่ผมยอมมีอะไรด้วย  

   เลวได้ใจ . . .

   . . . คนแบบผม  

   เพราะผมถือว่า  ผมสนุก  คุณสนุก   เราสองคนต่างสนุก จะมาผูกมัดกันเพื่ออะไร  ทำทุก ๆ  อย่างให้มันสนุกเข้าไว้  อย่าเอาหัวใจไปผูกไปพันกับใครอีก  เพราะไอ้ความผูกพันมันถอนหัวใจลำบาก  ผมได้แต่บอกตัวเองแบบนั้น

   หัวใจของผมมันด้านชา . . .

   . . . ไม่เคยนึกถึงความเจ็บปวดของคนที่ผมสลัดทิ้งอย่างไม่ใยดี  เพียงเพราะความรักครั้งแรก    ที่ผมวาดหวังเอาไว้มันพังทลายไม่เป็นท่า  ความผิดหวังในครั้งนั้นกลายมาเป็นปมในหัวใจของผมเอง  ปมที่มีแต่ความเคียดแค้น  และกลัวการโดนทิ้ง  ผมสัญญากับตัวเองในเวลานั้นว่า  ต่อจากนี้  จะไม่มีใครทำให้ผมเจ็บได้อีก  ผมจะทำกับคนอื่น ๆ  เหมือนกับที่ผมโดนกระทำ  

   ผมสัญญา . . .

   . . . ผมจะทิ้งทุก ๆ  คนที่ผมนอนด้วย   กรรมทั้งหลายทั้งมวลเลยมาตกกับคืนอื่น ๆ  โดยไม่รู้ตัว

   เพื่อน ๆ  หลาย ๆ  คนมันบอกว่าผมประชดชีวิตตัวเอง  ผมยอมรับในส่วนหนึ่ง  ถูกของมัน  ผมอาจจะอยากมีชีวิตแบบอิสระบ้าง  ในเมื่อเวลาที่ผ่านมา  ผมรักคนนึงหมดหัวใจ  แต่ผลที่ได้  ผมแทบตาย  ผมยอมลาเรียนต่อ  ๑ ปี  จากที่ทำงานแบบไม่รับเงินเดือน  เพราะไม่สามารถทนอยู่กับสภาพรักครั้งแรกของผมได้

   ผมทิ้งอนาคตตัวเอง . . .

   . . . จมดิ่งกับความรักครั้งแรก

   หากพอครบปี . . .

   ผมลุกขึ้นอีกครั้ง  ผมยืนหยัดสู้ความจริง  ไม่มีใครรักเรา  มันไม่แปลก  แต่จะแปลกมากหากเราไม่รักตัวเอง  ผมเลยรักตัวเอง  เพราะที่ผ่านมามันคือบทเรียนที่มีค่า ผมค่อย ๆ  เรียนรู้  สิ่งที่ผิดพลาดทั้งหลายทั้งปวง  เริ่มจากการทำตัวเลว ๆ  

   ใครอยากนอนกับผม . . .

   . . . ถ้าผมพึงใจ  ผมก็ยินดี

   ผมยินดีแก้ผ้านอนด้วยโดยไม่อาย  จะอายทำไม  ในเมื่อที่ผ่านมา มันก็แก้ผ้านอนสม่ำเสมออยู่แล้ว  ผมยอมรับ  ช่วงสองปีที่ผ่านมา มันคือบทเรียนที่ล้ำค่าของผม  บทเรียนแห่งความเลวที่ผมไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรมันได้อีกแล้ว

   ตราบาปที่มันจะติดตัวผมไปจนตาย . . .
   



   . . . ไอ้น่ารัก

   มันจะรอดผมคืนนี้หรือปล่าวหว่า ?


   ถ้าผมเจอมันเมื่อปีก่อน  ผมคงไม่ต้องคิดมากแบบวันนี้  เพราะมันจะต้องเป็นเหยื่อรายต่อไปของผมอย่างไม่ต้องคิดให้นาน  แต่มันเดินเข้ามาในยามที่หัวใจผมอยากมีใครสักคน  หรือ  เพราะว่าจริง ๆ  แล้ว  มันมีอะไรมากกว่าหลาย ๆ  คนที่ผมเคยเจอ

   ข้อนี้ผมไม่รู้ . . .

   . . . ผมไม่รู้จริง ๆ  

   ผมรู้แค่ว่า  ตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมเห็นหน้ามัน  ผมไม่ได้มีความรู้สึกอยากทำร้ายหรือทำลายมันเลย   ก่อนหน้าที่ผมจะเจอมัน  ผมหยุดตัวทำเลว ๆ  มาได้ร่วมสามเดือนแล้ว เพราะผมตั้งใจแล้วว่า  ต่อจากนี้ผมจะเป็นคนดี

   เป็นคนดีเหมือนที่ผมเคยเป็น

   การทำตัวเลว ๆ  ประชดตัวเอง  ไม่ได้ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นมาเลย  มันกลับทำให้ตัวเราตกต่ำลงเรื่อย ๆ เสียด้วยซ้ำ  ผมเคยคิดว่า  ผมจะไม่รักใครอีกแล้ว  แต่ผมถามตัวเอง  เราจะจมตัวเองกับอดีตหรือ

   อดีตที่ผ่านมา . . .

   . . . เราไม่สามารถที่จะแก้ไขอะไรได้  แล้วเราจะมาจมอยู่กับอดีตที่ผ่านมาได้อย่างไร  ทำชีวิตให้เหมือนดวงตะวัน  ที่โผล่มาทุกเช้า  และลาดับลับฟ้าในยามเย็น  ชีวิตคนเราก็ต้องเป็นเฉกเช่นตะวัน  พรุ่งนี้ดวงตะวันจะสว่างเสมอ

   ผมก็จะสว่างแบบดวงตะวัน

   มันจะรอดผมคืนนี้หรือปล่าวหว่า ?

   ผมถามคำถามเดิมซ้ำ ๆ . . .

   . . . รอดแน่ ๆ  ผมบอกตัวเอง  

   เพราะอะไรนะหรือครับ ?

    เพราะผมรักมันเข้าไปแล้วมั้ง  เป็นรักตั้งแต่แรกพบ  หรือ หลงตั้งแต่แรกเจอ  ผมเองก็ยังตอบไม่ได้  แต่ที่ผมรู้  ผมไม่เคยพาใครมาค้างที่ห้อง  มันเป็นคนแรกที่ผมยอมพามาค้าง  และผมคิดเสมอที่ผ่านมาทุก ๆ  คนที่มีอะไรกับผม ล้วนเกิดจากความเต็มใจทั้งสองฝ่าย เพราะผมไม่เคยบังคับฝืนใจใคร  

   และสุดท้าย  เพราะผมอยากมองมันแบบที่ผ่านมา  อยากเดินไปสนามบินแล้ว  เห็นหน้ามันอีก  เห็นมันยิ้มกับผู้โดยสาร กับคนอื่น ๆ    ผมไม่อยากมีอะไรกับมัน  แล้วไม่มองหน้ากันอีกตลอดชีวิต

   ผมยังอยากมีเวลาต่อไปกับมันอีกตราบนานเท่านาน. . .

   . . . ทำไมนะหรือครับ

   อย่างที่ผมบอกไปแล้ว  ผมมันคนมีปม  ปมที่ผมแก้ไม่หาย  จากความรักเก่าที่ผ่านมา  ผมอยู่กับคนที่ผมรักมากว่าหกปี  แล้วเมื่อถึงปลายทาง  ทั้งผมและมัน  เราต่างเดินจากกันด้วยความรู้สึกที่ไม่ดี  และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  ผมจะปิดตัวเอง  ปิดทุก ๆ  ความรู้สึกที่ส่งเข้ามา

   การมีอะไรกับคนอื่น ๆ . . .

   . . . ครั้งเดียวเท่านั้น

   ผมไม่ยอมให้เกิดครั้งที่สองกับใครอีกเด็ดขาด  เพราะผมกลัว  กลัวว่าหากผมรักเขาอีกครั้ง  ผมจะชิงทิ้งเขาไปก่อน  เพราะผมกลัว  กลัวว่าหากผมรักเขาแล้ว  เขาจะมาทิ้ง  ให้ผมต้องจมอยู่กับความเจ็บปวดอีก  ผมจะตัดฉับในดาบเดียวกับทุก ๆ  คน  ไม่มีการติดต่อกันอีก

   ไอ้น่ารัก . . .

   . . . ผมหลับตานิ่ง  

   มันคือคนที่เข้ามาเขย่าหัวใจผมอย่างหนัก  หลายวันที่ผ่านมา  ผมคิดเรื่องนี้  คิดแทบทุกเวลาที่ว่าง ผมไม่อยากเสียมันไป  เพราะผมเริ่มรู้สึกว่า  การที่เราสร้างปมปลอมมาเพื่อปิดบังหัวใจตัวเอง  มันเจ็บปวด  และเราจะนึกเสียดาย  คนที่ผ่านมาทุก ๆ  ครั้ง  ผมปล่อยให้ความรู้สึกด้านต่ำมาควบคุมหัวใจตัวเอง  เพียงเพราะว่า  ผมไม่กล้าที่จะเปิดหัวใจรักใคร

   ไม่มีใครลืมรักแรกได้ . . .

   . . . แต่คนที่ทำให้เราลืมรักแรกได้  นั่นต่างหากที่เราควรจะรักษาเอาไว้

   ผมมองไอ้น่ารัก ในเสื้อที่ระลึกของการเปิดรูทบินใหม่  เมื่อมันออกมาจากห้องน้ำยิ้มให้ผม  เหมือนรอยยิ้มที่ผมเจอที่สนามบินเชียงใหม่เมื่อหลายวันก่อน  ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำบ้าง  ผมเปิดน้ำราดรดตัว  กำลังต่อสู้กับตัวเองเป็นอย่างมาก  

   ผมจะทำอย่างไรกับความต้องการตอนนี้   บางครั้งผมอยากนอนกอดมัน  

   หากแต่ . . .

   . . .  ผมกลัว

   ผมไม่อยากเสียมันไปอีก  ผมอยากให้มันอยู่ใกล้ ๆ  ผม   อยากคุยโทรศัพท์กับมันเหมือนหลายวันที่ผ่านมา  ผมไม่อยากเสียเวลาแห่งความสุขในห้วงหลาย ๆ วันที่ผ่านมา  ผมจะทำอย่างไรดี  กับหลาย ๆ  อย่างในหัวใจตัวเอง ที่มันตีกันอย่างหนักหน่วง

   ผมค่อยให้สายน้ำมันดับหัวใจที่ร้อนรุ่มของผม  หัวใจที่มีทั้งความเลวและความดีต่อสู้กันอย่างหนัก  ผมจะทำอย่างไรกับชีวิตดี  เพราะแค่ผมเปิดประตูออกไปจากห้องน้ำ  ผมก็จะเจอมันไอ้น่ารักของผม  มันกล้ามานอนค้างที่ห้องผมขนาดนี้  หากผมจะทำอะไรมันไป  

   ง่ายกว่าสิ่งใด ๆ  ทั้งหมด

   เพราะอะไรนะหรือครับ  ก็ลองเจอกันครั้งที่สองแล้วหอบผ้ามานอนค้างด้วยแบบนี้  ถ้าผมไม่สำเร็จโทษมันในคืนนี้  ผมมันก็ควายดี ๆ  นี่เอง  เขามาให้ถึงที่  ดันไม่ยอมเอา  ปล่อยให้หลุดรอดคืนนี้ไปได้  คงมีแต่คนหัวเราะเยาะผมแน่ ๆ

   โทษฐานกลืนหญ้าแทนข้าว . . .

หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: Cha Ris Ma ที่ 10-03-2010 10:07:25
“รักกับพี่มันไม่ง่าย  แต่ได้กับพี่มันไม่ยาก”

 :z1:น่าเอามายึดเป็นหลักดำเนินชีวิตบ้าง

หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 10-03-2010 12:07:34
อ่ะ...อ่านเรื่องนี้แล้วกลัวใจตัวเองจังเลยครับ... ขอบคุณครับผม
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: OhJa ที่ 10-03-2010 12:14:50
น้องน่ารักจะรอดมือพี่โมกข์รึเปล่าเนี่ย  :serius2:
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 10-03-2010 12:56:33
เจิมด้วยคน

หวังว่าเรื่องนี้คงไม่ลงไปอยู่ในไหอีกนะ :a5:


เป็นกำลังใจให้ค่ะ
 :z13:

หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: kit ที่ 10-03-2010 13:43:34

๒๘๐ + ๑ = ๒๘๑
ขอบคุณนะคะ คุณ ต้นสาย

หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 10-03-2010 15:02:59



ต อ น ที่    ๒   ( ต่ อ )



   คืนนั้น . . .

   . . . คืนที่ผมรู้สึกหลับยากที่สุดในชีวิต  ในความมืด  นอกจากเสียงของเครื่องปรับอากาศที่มีเบา ๆ  แล้ว  จะมีเพียงถอนหายใจของผมเป็นระยะ ๆ  เกือบครึ่งชั่วโมงแล้วที่  มีเพียงมือผมกับมือของมันที่เกาะกุมกันอยู่  โดยมีหมอนข้างกั้นกลาง ในหลาย ๆ  ครั้งที่ผมหันมามองหน้ามัน  ผมรู้สึกดี  และมีความสุขอย่างที่สุด

   แค่สัมผัสจากปลายนิ้วที่เกี่ยวรัดกัน  ก็สร้างความสุขได้อย่างมากมาย . . .

   . . .  ผมบีมมือมัน  มันบีบมือผม

   หากเป็นเมื่อก่อน  กับคนอื่น ๆ  ผมแน่ใจ ป่านนี้จะไม่มีเสื้อผ้าในร่างกายผมสักชิ้นเดียวเหลืออยู่แน่ ๆ  แต่ไม่ใช่กับมัน

   น้องไม้ . . .

   . . . ไอ้น่ารักของผม

   “ทำไมถึงขึ้นมากรุงเทพฯ”  ผมเองที่เป็นฝ่ายทนไม่ไหว  เอ่ยออกมาทำลายความเงียบนั้นเสีย

   “ก็จอง  O  บาทเอาไว้”

   “แล้วทำไมกล้ามานอนกับพี่  ไม่กลัวพี่ปล้ำหรือไง”

   “ก็กลัว”

   “กลัวแล้วยังกล้ามาอีกนะคนเรา”  ผมหัวเราะเบา ๆ

   “ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร  เคยเจอกันแล้ว  พี่ก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร  แถมเป็นคนบ้านเดียวกันอีก  ไม้มาขออาศัยคืนสองคืน  มันคงไม่ลำบากใจพี่หรอก”  ผมเหลือบศรีษะไปมอง  เห็นไม้นอนหงายนิ่ง

   “ลำบากสิ . . .”  ผมนอนตะแคง

   “. . . ลำบากใจมากด้วย มากที่สุดแล้ว”

   “ถ้าพี่ลำบากใจ  เดี๋ยวไม้ไปนอนห้องเพื่อนแถวแจ้งวัฒนะก็ได้ครับ”  มันหันมาหาผม  ทำท่าจะลุกขึ้น

   “ไปไหน”  ผมฉุดมือไม้เอาไว้  หลังจากที่เจ้าตัวลุกขึ้นนั่ง

   “ไปห้องเพื่อนไง  พี่โมกข์จะได้ไม่ลำบากใจ”  มันยิ้มเหมือนเคย  ผมเห็นนะ  แม้จะมืด  แต่ยังพอมีแสงไฟจากทางนอกห้องที่ลอดเข้ามา

   “ไม่ได้ลำบากใจเรื่องนั้น”

   “ก็พี่บอกลำบากใจมากที่สุด”  เสียงมันเหมือนจะขาดความมั่นใจไปเล็กน้อย

   “ที่ลำบากใจ  เพราะมีคนน่ารักมานอนใกล้ ๆ  มันนอนไม่หลับ  และที่ลำบากใจมากที่สุด  เพราะกลัวว่าเวลาที่เขามากรุงเทพฯ  เขาจะไม่มานอนให้พี่มองหน้าแบบนี้อีก”  ผมกลั้นใจพูดซะรัวเร็ว

   เกิดมาสามสิบกว่าปี  รู้สึกว่าพูดอะไรเห่ย ๆ  เน่า ๆ  ไปก็วันนี้นี่เอง  ผมไม่รู้เหมือนกันว่าจะคำพูดแบบนี้มาจากไหน  จากหนัง  หรือละคร  หรือว่าแท้จริงแล้ว  ความเน่ามันแฝงอยู่ในร่างกายผมนานแล้ว  เพียงแต่ว่า ผมยังไม่มีโอกาสได้บอกใคร ๆ  ไปนั่นเอง

   “มาเน่า”  มันยิ้ม  อาย เพราะมันหลบสายตาผม

   จะว่าไปแล้ว  ไอ้น่ารักของผม  มันคงไม่ต่างอะไรจากเนื้อกวาง  ที่กำลังตกบ่วงเสือแบบผม ลีลาท่วงท่าในการตะล่อม   ของเสือ มันมีท่วงทำนองเฉพาะตัว  เจ้ากวางน้อยหรือแอบชะล่าใจ  เพราะคิดว่านี่คือที่ปลอดภัยแต่หารู้สักนิดไม่ชะตากำลังจะขาด

   เสือจ้องตะปบอยู่ตลอดเวลา . . .

   “นอนเหอะพี่  ตีหนึ่งกว่าแล้ว”  

   “ขอกอดทีได้ไหม”  ผมลุกขึ้นนั่งใกล้ ๆ  มัน

   แววตาที่ผมทอดมองมัน  มีแต่ความน่ากลัว  ผมไม่รู้หรอกว่าตอนนั้น  ผมคิดอะไรอยู่  ผมรู้เพียงแต่ว่า  ผมอยากกอดมันเอาไว้  อยากสัมผัสแก้ม  อยากจูบที่หน้าผากของมัน  ถ้าผมย้อนเวลาได้  ผมจะย้อนเวลา  และหยุดเวลาเอาไว้ ณ  วันนั้น วันที่มีแค่ผมและมันบนเตียงใหญ่ ๆ  

   เวลาที่มีเพียงคนสองคน . . .

   ผมไม่รอคำตอบใด ๆ  ดึงมันมากอดเอาไว้  อ้อมแขนผมกระชับร่างมันไว้  ใบหน้าผมแนบอยู่กับแก้มของมัน  แก้มมันนุ่มผมสัมผัสได้ถึงใบหน้าที่อบอุ่นของมัน  หัวใจของผมนะหรือ  เต้นแรง  

   และ . . .

   . . . ไอ้ความรู้สึกบางอย่างในร่างกายของผมมันเริ่มตื่นตัว !

   ผมคงต้องใช้กำลังที่มีอยู่ในร่างกายทั้งหมดต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเองอีกครั้ง  ผมจะยอมให้มันจบลงแบบคนอื่น ๆ  ที่ผ่านมาอีกหรือ ?

   ไม่ . . .

   . . . มันต้องไม่จบแบบนั้น  ผมบอกกับตัวเอง  หากแต่ตอนนนี้  จมูกของผมมันอยู่นิ่งเสียที่ไหน  มันกลายเป็นเวลา  จมูกไปวิ่งเล่นอยู่ตามซอกคอของไอ้น่ารักเบา ๆ  ผมรับรู้ได้ถึงแผ่นหลังของตัวผมเอง  ที่มีมือมาโอบกระชับแน่นเข้าไปอีก

   ภาษากายกำลังดำเนินต่อไป . . .

   เพียงไม่นานผมก็รับรู้ว่า  ร่างกายของเราทั้งสองมีเพียงแค่เนื้อเท่านั้นที่ห่มเนื้อเอาไว้  เครื่องปรับอากาศไม่สามารถต้านความเร่าร้อนที่อยู่ในส่วนลึกของร่างกายได้  ผมไม่รู้หรอกว่าเวลานี้คืออะไรกันแน่  แต่ผมรู้ว่ามีบางอย่างคอยห้าม  คอยดึงเอาไว้ไม่ให้มันถลำลึกลงไปมากกว่านี้

   ถ้านี่คือความรักจริงอย่าทำ . . .

   . . . อย่าทำแบบที่ผ่านมาเด็ดขาด

   เสียงในร่างกายผมสั่ง  และมันมีอิทธิพลมาก  พอที่ผมจะหยุดทุก ๆ อย่าง  ผมทาบทับอยู่บนร่างที่เล็กกว่า  แต่ทันทีที่สิ้นเสียงคำสั่งนั้น ผมกลับพลิกตัวลงมานอนหงายใกล้ ๆ  มัน  มีเพียงมือเท่านั้นที่เกาะกุมอีกมือเอาไว้

   “ขอโทษนะไม้  พี่ขอโทษที่ทำอะไรลงไป”  ผมบอกมัน ก่อนสอดมือไปใช้ต่างหมอนให้มัน  ดึงร่างมันมากอดเอาไว้

   “ครับ  ผมเข้าใจ   ผมไม่โกรธพี่โมกข์หรอกครับ”  มันนอนตะแคงกอดผมเอาไว้

   “พี่รักไม้”

   “เร็วไปมั้ยพี่”

   “อะไรเร็ว”

   “คำที่ออกมาจากปากพี่  มันเร็วไปมั้ยล่ะ”  ไม้หัวเราะเบา ๆ

   “จริง ๆ  พี่ไม่ได้รักใครง่าย ๆ  แต่ไม่รู้ทำไม  กับไม้  พี่กลับรู้สึกรัก  รักอย่างบอกไม่ถูก”  ผมรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ  หรือแท้จริงแล้ว  มันแค่คำพูดที่ออกมาจากปาก  เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการกันแน่  แม้ผมจะเข้าใจตัวเอง  และรู้ถึงความรู้สึกในส่วนลึกของตัวเอง   ว่าแท้จริงแล้วหัวใจผมคิดเช่นไร

   “ไม้เหมือนคนใจง่ายเนาะ  พี่โมกข์ว่ามั้ย”

   คำพูดของมัน  กินไปในหัวใจผม  นี่ผมกำลังสร้างรอยด่างในหัวใจของใครคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ  ผมกำลังทำสิ่งไม่ดี  สร้างเรื่องราวให้มันยุ่งยากมากไปอีกอย่างนั้นหรือ  ผมกอดกระชับมันแน่นกว่าเดิม  ร่างกายที่ไร้อาภรณ์มันเสียดสี  เราทั้งสองต่างรู้ได้  ถึงอารมณ์ที่คุโชนอยู่ภายในของทั้งสองคนดี  เพราะบางอย่างมันยังไม่สงบ

   เรื่องของหัวใจผมสั่งได้ . . .

   . . . แต่บางอย่างของร่างกาย  จะสั่งอย่างไรนี่สิ

   “ไม่หรอก . . .”  ผมจูบไปที่เปลือกตาไม้เบา ๆ

   “. . . เพราะหากไม้ใจง่าย  พี่ก็คงใจง่ายด้วยสิ เพราะเราสองคนต่างช่วยกันทำให้ง่าย”

   “ตายเลย  เคยพูดกับใครแบบนี้กี่คนแล้วนี่”  มันหัวเราะเบา ๆ  

   “พูดว่า”

   “เราสองคนต่างช่วยกันทำให้ง่ายไง”

   “เดี๋ยวนับก่อน . . .”  ผมหัวเราะเบา ๆ  ก่อนเอามือมานับนิ้ว

   “. . . ว๊า  นิ้วมือพี่ไม่พอว่ะ  ยืมมือไม้มานับด้วยได้มั้ย”  ผมกอดไม้  แล้วหอมมันอีกครั้ง  ผมไม่รู้นะ  แค่ได้นอนกอดมัน  เก็บร่างที่ไร้เสื้อผ้าไว้ในอ้อมกอดของผมแบบนี้  มันก็มีความสุขอย่างที่สุดแล้ว  

   และ . . .

   . . . ดูเหมือนว่าผมจะตัดสินใจเด็ดขาดในการกระทำของผมต่อจากนี้แล้วล่ะ

   “พี่โมกข์หื่นว่ะ”  มันพยายามดิ้น เมื่อผมเอามือของผมเองเลื้อยลงไปต่ำ  จับลงตรงส่วนนั้นของมัน

   “อะไร ก็ไม่รู้ว่าอะไรมาแทงตรงสะโพกพี่  แค่จัดระเบียบสังคม”  ผมหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่จะพลิกตัวขึ้นคร่อมมันอีกครั้ง

   แววตามันเป็นประกาย . . .

   . . . ผมบอกไม่ถูกหรอกว่าแววตามันตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่  เพราะหากผมรู้ความคิดมัน  ผมคงไม่เจอบทเรียนใด ๆ  แต่เพราะผมไม่รู้หัวใจคนอื่น  ผมเลยต้องทำใจยอมรับกับทุก ๆ เรื่องที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของผม  ผมจะยอมรับกับทุก ๆ  เรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อจากคืนนี้

   ผมจ้องมองมันนาน . . .

   . . . นานจนผมอยากหยุดเวลาเอาไว้แบบนี้  คิ้วมันสวย  ขนคิ้วเรียงกันเป็นระเบียบ  แววตามันสีน้ำตาล  แม้จะไม่มีแสงสว่างมากมายในห้องนอน  แต่ผมก็เห็นว่าแววตาคู่นั้นมีแต่ความประหม่า

   มันคงกลัวผม . . .

   . . . กลัวว่าผมไม่ยอมทำอะไรมันมากกว่านั้น

   ฮิ้วววววววววว

   “พี่รักไม้นะครับ”

   “เอาอีกแล้วพี่โมกข์  พูดคำนี้อีกแล้ว”

   “พี่พูดจริง ๆ  นะครับ  ชีวิตพี่ผ่านอะไรมากมาก  แต่พี่ก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน  แต่กับไม้  พี่บอกไม่ถูกว่าทำไม  ทำไมพี่ต้องรู้สึกแบบนี้  ทั้ง ๆ ที่กับคนอื่น ๆ  พี่ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน  สาบานนะ  สาบานให้ตายตรงนี้ คนอื่น ๆ  พี่แค่อยากนอน ๆ  อยากให้เสร็จ ๆ  กันไป . . .”  ผมเอาปลายจมูกของผมไปแตะที่ปลายจมูกของไม้

   ลมหายใจเราถ่ายเทถึงกัน . . .

   . . . ผมรู้ได้ทันที  ตอนนี้  เราสองคนมีความต้องการปลดปล่อย

   “. . . แต่กับไม้  พี่กลับรู้สึก อยากรัก  อยากกอดเอาไว้แบบนี้  แค่นอนกอดสำหรับพี่ก็มีความสุขกว่าไปถึงจุดนั้น”  ผมหอมที่แก้มไม้อีกรอบ

   “ผู้ชายรักเพื่อเซ็กส์”  มันยิ้ม

   หาก . . .

   . . .  คิ้วของผมขมวดเข้าหากันทันที

   “อะไร  พูดอะไรไม่เห็นเข้าใจ” ผมเอามือมาไล่ไรผมขอไม้เล่น  ผมมันไม่ยาวมาก  มันตัดทรงนักเรียน  ม.ปลาย  รองทรงสูงด้วยซ้ำไปมั้ง

   “ก็ผู้ชายส่วนมากชอบพูดว่ารัก  คำว่ารักออกมาจากปากได้อย่างง่ายดาย  เพียงเพื่ออยากจะมีเซ็กส์  ไม้ถึงบอกไงว่าผู้ชายรักเพื่อเซ็กส์”  มันยิ้มอีกรอบ

   ผมถึงกับพลิกตัวนอนแผ่หราใกล้ ๆ กับไม้ในทันที

   “พูดแบบนี้ใครจะกล้าทำอะไรต่อละเนี่ย”  ผมหัวเราะเบา ๆ

   “ส่วนผู้หญิง เซ็กส์เพื่อรัก”  คราวนี้กลับกลายเป็นไม้ที่พลิกตัวมานอนคร่อมผมเอาไว้

   มันจ้องหน้าผม . . .

   . . . ก่อนจะหอมที่แก้มผมเบา ๆ

   ผมอยากหยุดเวลาเอาไว้ตรงนี้  ไม่อยากให้เวลามันขยับเขยื้นแม้แต่วินาทีเดียว  สิ่งที่มันกระทำต่อผมทั้งหมดในเวลานี้  ผมไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไรดี  แต่รวม ๆ  แล้ว  มันสร้างความอิ่มเอมในหัวใจผมอย่างที่สุดแล้ว  ผมหลับตานิ่งเหมือนลอยอยู่กลางอากาศ

   “ทำอะไรน่ะ”  ผมพยามดิ้นในส่วนล่าง  เพราะผมรู้สึกว่า  มันจะพยามใช้ขาของมันเอง  เขี่ยให้ขาผมแยกจากกัน

   อย่านะโว้ย . . .

   . . . พี่ไม่รับ  ไม่รับเด็ดขาด

   “ล้อเล่นน่ะครับ . . .”  มันหัวเราะเบา ๆ  เมือ่เห็นผมพยายามที่จะดิ้นให้กลับสู่สภาพที่ปกติที่สุด

   “. . .ก็พี่โมกข์ชอบแกล้งไม้  ไม้เลยแกล้งมั่ง” มันหัวเราะเบา ๆ

   “ทำไมไม้ต้องบอกว่า ผู้หญิงต้องเซ็กส์เพื่อรัก”  ผมไม่เข้าใจ  ยังไม่เข้าใจกับสิ่งที่ไม้บอกมา

   “ก็ผู้หญิงส่วนมาก  อยากได้ยินคำว่ารักจากปากผู้ชาย  และ ยอมมีเซ็กส์  เพียงเพื่อให้ผู้ชายบอกรัก  ผู้หญิงกับผู้ชายจึงแตกต่างกัน  ผู้ชายพูดอะไรก็ได้เพียงเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตัวเองต้องการ . . .”  แววตาไม้เจ้าเล่ห์

   “. . .  แต่ผู้หญิง  ยอมกระทำทุก ๆ  อย่างเพียงเพื่อให้ผู้ชายบอกรัก  ผู้หญิงยอมทำทุกวิถีทางเพื่อให้คนที่ตัวเองรัก รักตัวเอง”

   ผมหัวเราะเบา ๆ

   “เหมือนพี่เลย พี่ก็จะทำทุกอย่างเพื่อให้ไม้รักพี่ให้ได้”

   “ไม่มีทาง  ไม่มีทางที่ไม้จะรักพี่”  มันยิ้ม

   “เอาเห๊อะ วันนี้ไม่รักไม่ว่า วันหน้าอย่ามารักแล้วกัน รักกูเมื่อไหร่กูทิ้งแน่ ๆ  คอยดู๊”  ผมหัวเราะเบา ๆ หัวเราะกับมัน  หัวเราะกับ   ความคิดมันแปลกดี !

   ผมกอดมันเอาไว้  ทั้ง ๆ  ที่มันนอนทับร่างผมเอาไว้ ร่างที่ไร้อาภรณ์กลับไม่ได้รู้สึกหนาวเหน็บจากอากาศ  อาจเพราะตอนนนี้เราทั้งสองต่างห่มเนื้อของกันและกันอยู่  เหมือนที่โบราณบอกไว้ หนาวกายห่มผ้า  หนาวเนื้อห่มเนื้อจึงหายหนาว . . .

   . . . แต่

   สำหรับไอ้น่ารัก . . .

   ตอนนี้ผมใช้หัวใจของผมห่มให้มันเรียบร้อยแล้ว  ผมเอามือของผมลูบไล้ไปมาบนร่างกาย  ตามแผ่นหลัง  และลามไปถึงสะโพกของมัน  เอามือกดให้สะโพกของมันเสียดสีกับร่างกายของผม  บทรักที่ผมสัญญาว่าจะไม่ยอมให้มันได้หลับแน่ ๆ  ในคืนนี้

   “ไม้ . . .”  ผมเรียกที่ข้างหูมันเบา ๆ  ในขณะที่มันนอนทับอยู่บนร่างของผม

   “ครับ”

   “พี่ถามไม้ตรง ๆ  ไม้มีใครอยู่ในหัวใจหรือเปล่า”  ผมแทบจะกลั้นหายใจถาม เพราะผมรู้ดี  สิ่งที่กำลังเป็นอยู่ในตอนนี้  มันมากกว่า

   “เคยมีครับ  แต่ตอนนี้ไม่มี”

   “งั้นถ้าพี่จะดูแลไม้”

   “พี่แน่ใจแล้วหรือ  เพราะจากคืนนี้ไปพี่อาจจะไม่อยากคุยกับไม้แล้วก็ได้  พี่อย่าพูดอะไรออกมาหากพี่ยังคิดว่าทำไม่ได้”  เสียงของมันเหมือนคนคิดหนัก

   นั่นสิ !

   มันคงต้องคิดหนักเป็นธรรมดา เพราะว่าในเวลานี้  มันเหมือนกลืนไม่เข้าคาไม่ออก  ผมจะทำอะไร  จะหักหาญน้ำใจมันอย่างไรก็ได้  เพราะผมอยู่ในสถานะที่เหนือกว่ามันทุกอย่าง  มันมาอาศัยห้องผม เพราะมันเชื่อใจผม  การที่ผมทำแบบนี้กับมัน  มันก็ยากที่จะขัดขืน

   “พี่ไม่ได้พูดเพราะอยากพูด  หรืออยากได้ไม้แบบนั้น  พี่รับรองด้วยเกียรติที่มีอยู่น้อยนิดว่าพี่จะไม่ทำร้ายไม้ ไม่ว่าด้วยวิธีไหนก็ตาม  พี่บอกตัวเองอีกครั้งว่าพี่รักไม้  ไม่ได้ออกมาพร่อย ๆ  แต่พี่รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ”  ผมหอมที่แก้มมันเบา ๆ

   “ขอบคุณครับพี่  แต่เรายังมีเวลาอีกมาก  ผมไม่อยากให้พี่มาผูกมัดอะไรกับผม เพราะเมื่อวันนึงพี่เจอใครสักคน  พี่จะลำบากใจ”

   โอ้ย !

   พูดแบบนี้  ผมมีแต่ตายกับตายนะสิครับ ไอ้หน้าตาแบบผมนี่  หล่อเลือกได้หรืออย่างไร  ทำไมมันไม่มองหน้ามันในกระจกว่ะ ว่าคำพูดที่มันพูดมาเมื่อกี้  ใครกันแน่ที่ควรจะพูด  เป็นมันหรือว่าเป็นผม

   คนลำบากใจ . . .

   . . . ควรเป็นมันมากกว่า

   “ไม้เชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหม”

   “หึ หึ  จะมาเน่าอะไรอีกพี่โมกข์”

   “ปล่าวหรอก  ถามไปงั้น ๆ  เพราะพี่กำลังเล่นอยู่กับพระพรหม  อยากรู้เหมือนกัน  ว่าเขาจะมาเล่นอะไรกับพี่ต่อ”  ผมชิงความได้เปรียบ  พลิกร่างขึ้นคร่อมร่างไม้เอาไว้

   ผมใช้จมูกจดลงที่หน้าผากเบา ๆ  ก่อนที่จะลากจมูกมาที่ซอกหู  แล้ววนอยู่ที่ข้างแก้มนุ่ม ๆ  ก่อนที่จะหอมมันฟอดใหญ่

   “นอนนะครับ  คนดีของพี่”

   ผมพลิกตัวกลับลงมา ก่อนที่จะดึงร่างมันมากอดเอาไว้  ผมรู้หรอกว่าสิ่งที่ผมทำ  จะเรียกว่าโง่หรือฉลาด  แต่ผมเลือกแล้วที่จะกระทำแบบนี้  ผมไม่เคยรักใครมาสองปีกว่า  หากวันนี้ผมจะรักใครสักคน  ไอ้น่ารักคือคนแรกที่ผมจะรักมันอย่างเต็มหัวใจ

   “เดี๋ยวพี่ ไม้ปวดฉี่”

   ผมปล่อยพันธนาการจากวงแขนที่ผมกอดมันอยู่  ปล่อยร่างนั้นให้เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ  ผมลืมตานิ่งในความมืด  ยิ้มกับตัวเอง  ผมแอบเอามือไปบีบตรงน้องชายตัวเองแรง ๆ  มันเจ็  แปลว่าตอนนี้ผมไม่ได้ฝัน  ผมอยู่ในโลกของความเป็นจริง

   ความจริงที่ผมสัมผัสได้ . . .

   . . . ถ้าวันหน้า  ผลที่จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปอันสืบเนื่องมาจากสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้ผมสัญญา  ว่าผมจะไม่เสียใจไม่เสียใจกับอะไรก็ตามที่มันเกิดขึ้นกับผมในคืนนี้

   เพราะผมเลือกเองที่จะให้เรื่องราวในคืนนี้  มันเป็นแบบนี้  ผมขีดเส้นให้เรื่องราวมันเป็นแบบนี้เอง  ผมจะยิ้มรับกับทุก ๆ  เรื่อง  เรื่องระหว่างผมกับไม้

   “หายไปนาน รู้นะทำไร”  ผมบอกในทันที  ที่มันเข้ามานอนซุกในอ้อมกอดผมอีกครั้ง

   “ก็คนนะครับ  มีความรู้สึก  มีความต้องการ  พี่โมกข์ล่ะไม่ไปเอาออกหรือ”

   “ไม่ครับ  เพราะพี่ไม่อยากทำแบบนั้น  พี่อยากให้ไม้รู้ว่า  แค่พี่ได้กอดไม้เอาไว้แบบนี้  พี่ก็มีความสุขแล้ว  ขอบคุณนะครับ  ขอบคุณสำหรับทุก ๆ  อย่างที่เกิดขึ้น”  ผมยิ้มให้ไม้  ก่อนที่จะจูบไปบนหน้าผากไม้อีกครั้ง  

   ผมมีความสุขนะ . . .

   . . . มีความสุขกับการได้นอนกอดใครสักคนเอาไว้  คนที่อยู่ในอ้อมกอดผมไร้เสื้อผ้าเช่นเดียวกันกับผม  จะมีก็เพียงผ้าห่มผืนเดียวที่ห่มร่างกายของเราทั้งสองคนเอาไว้  ผมกำลังพาตัวเองก้าวผ่านความรู้สึกต่ำ ๆ  ที่ผมเคยกระทำ

   คืนนี้ . . .

   . . . สำหรับมัน  ไอ้น่ารัก มันจะรู้สึกเฉกเช่นไร  ผมไม่รู้เพราะผมบอกแล้วว่า  ผมไม่รู้หัวใจคนอื่น  ผมรู้แค่หัวใจตัวเอง  หัวใจของคนที่รักใครสักคนอย่างเต็มหัวใจ

   มันเร็วไปไหม ?

   เร็วครับ  เร็วมาก  แต่ผมจะรอให้มันเดินออกไปจากชีวิตผมไม่ได้  ผมจะต้องใช้เวลาที่มีทั้งหมดพิสูจน์ให้มันรู้ว่า  คนอย่างผมหากรักใคร  ผมรักจริง  รักจนตาย

   ผมกระชับร่างที่นอนตะแคงหันหลัง  มันพยายามกระเถิบร่างเพื่อให้อยู่ในวงแขนของผมในเวลานี้  ผมได้แต่ยิ้มมองมันจากด้านหลังก่อนที่จะจดจมูกลงไปที่ท้ายทอยของมัน  คนเดียวที่สามารถเข้ามาป่วนหัวใจผมได้ทั้ง ๆ  ที่ผมคิดเสมอว่า  

   “ถ้าผมจะรักใครอีกสักคนในชีวิตนี้    คน ๆ  นั้นจะเป็นผู้ชายคนสุดท้ายที่ผมรัก”







ถ้า . . .

. . . ไม่มีอะไรผิดพลาด  จะลงให้วันละ  ๑ ตอนนะครับ

เรื่องนี้  เขียนยาวมั้ย   ตอบไม่ได้ครับ  เพราะเห็นเท่าที่มี  มีเท่าที่เห็น  แต่ถามว่า  จบมั้ย  ก็จบแน่ ๆ  ครับ  ทีแรกตั้งใจเขียนแค่  ๕ ตอนจบ  แต่ก็ไม่แน่  ว่าจะยาวจะสั้นขนาดไหน  มันแล้วแต่ว่า  เวลาจะอำนวยขนาดไหนครับ  ส่วนจะเศร้า  จะสุข  สมหวัง  หรือผิดหวัง  ก็ยังไม่รู้เช่นกัน  เพราะไม่มีปลายทางสำหรับเรื่องนี้ครับ

รู้อย่างเดียว . . .

. . . อยากเขียน

หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: Cha Ris Ma ที่ 10-03-2010 15:20:17
น้องไม้น่ารักซะ
:z1:แต่รักแท้ต้อง อด...





...ทน เนอะพี่โมกข์
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: kit ที่ 10-03-2010 17:18:41
ต๊าย ไม่รู้ว่าทำไม อ่านเรื่องนี้แล้ว กิต.นึกถึงชื่อ "เอก" กับ "ต้น" หึหึ
ขอบคุณนะคะ คุณ ต้นสาย

หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 10-03-2010 21:52:59
รู้อย่างเดียวเหมือนกันครับ . . .
. . . อยากอ่าน


ขอบคุณครับผม
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 10-03-2010 22:27:22
รู้อย่างเดียวว่าอ่านแล้ว "โดนใจ"

มาต่ออีกนะคะ  o13
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: OhJa ที่ 10-03-2010 22:51:28
พี่โมกข์สุดยอดดดด  o13
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 10-03-2010 23:35:05
อดทนได้นะโมกข์ ขนาดไม่เหลืออะไรกันทั้งคู่ :laugh:
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 11-03-2010 03:14:48
เห็นชื่อเป็นคุณต้นสายเลยเข้ามาอ่าน  o13




รู้อย่างเดียวเหมือนกันค่ะ . . .
. . . อยากอ่าน



 :L2:
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 11-03-2010 03:31:33
ต๊าย ไม่รู้ว่าทำไม อ่านเรื่องนี้แล้ว กิต.นึกถึงชื่อ "เอก" กับ "ต้น" หึหึ
ขอบคุณนะคะ คุณ ต้นสาย


เอกนี่ใช่  คนที่เป็นแฟน  "วายุ"    ที่ตามหากันทั่วหลวงพระบางป่าวครับ

อิอิ

ไม้โมกข์  น่าร๊ากกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: kit ที่ 11-03-2010 05:10:06

• เอกนี่ใช่  คนที่เป็นแฟน "วายุ" ที่ตามหากันทั่วหลวงพระบางป่าวครับ
วุ้ย กิต.หมายถึง "เอกชัย" แอร์คนสวย ใน 'เวรกรรม อำบ๋อ' (Welcome I'm bored) ต่างหากคะ
5555555
ขออภัยที่นอกเรื่องนะคะ คุณ ต้นสาย

หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 11-03-2010 09:50:10


ต อ น ที่   ๓




   “สวัสดีครับ”  ผมกรอกเสียงไปตามสาย โดยที่ไม่ได้ลืมตาเสียด้วยซ้ำ  ผมรู้แค่ว่าอีกมือของผมมีพันธนาการอยู่จากอุ้งมือของอีกคน

   “ไอ้ห่าโมกข์  ตื่นได้แล้ว”  ไอ้เพื่อนเลวของผมเองครับ  


   “มึงโทรมาทำหอกอะไร  คนจะนอน”

   “จะเที่ยงแล้วนะมึง  วันหยุดมึงไม่ใช่เหรอ” มันรู้ทุกเรื่องของผม  มันเรียนมากับผม  ตั้งแต่มหาวิทยาลัย  จนกระทั่งแยกย้ายไปทำงาน  มันถือกุญแจอีกชุดของห้องผมเอาไว้

   “เออก็วันหยุดไงกูอยากนอน”

   “ไม่ได้โว้ย  เดี๋ยวกูไปเล่นดัมมี่  บอกไอ้หนุ่มกับไอ้อ๋อไว้แล้วด้วย  มันกำลังเข้าไป”

   “ไอ้เชี่ย  น้องเพื่อนกูมันมาค้าง  มันมาสอบโทอิค”  ผมแหลตามเรื่อง ตามราว

   “เรื่องของมันดิ๊  กูไปเล่นกับมึง มะช่ายน้องเพื่อนมึง  แค่นี้นะโว้ย”

   ตาผมสว่างทันที . . .

   . . . ไอ้เพื่อนเลวหักคอผมดังเปาะ

   ผมมองคนที่หลับตานิ่ง  ทำไงดีหว่า  บอกว่าจะพาไปกาญจน์  ก็ไม่ได้ไป  บอกมันว่าเดี๋ยวตื่นพาไปอยุธยาไหว้พระแทน  แต่ไอ้เพื่อนเลวมันกำลังเดินทางมาห้องผมนี่นะ  ไอ้เพื่อนร๊ากกกกกกกกก  ไม่รู้เวล่ำ  เวลาเอาเสียเลย  มึงไม่ถามความเห็นกูเลยเหรอว่ากูอยากที่จะให้มึงมาหากูตอนนี้ไหม

   “มีอะไรหรือพี่”  มันลืมตาแบ๊ว  นอนตะแคงมองหน้าผม  อย่างกับโฆษณายาสีฟัน

   “เพื่อนพี่มันจะมาเล่นไพ่อ่ะดิ๊”  ผมหนักใจ  มองหน้ามัน

   “แล้วพี่จะบอกว่าไง”

   “บอกว่าแฟนแม่งเลย”

   “บ้า  ไม่เอา”  มันอายหน้าแดง

   ผมพูดจริง ๆ  นะ  ถ้ามันบอกว่าให้ผมบอก  ผมก็จะบอก  เพราะผมไม่สนอยู่แล้ว  มีแฟนน่ารักขนาดนี้  อยากเอาไว้อวดเพื่อนให้มันอ้วกเล่น  ในฐานะที่แฟนผมหล่อกว่ามัน    ผมรวบตัวมันมากอดเอาไว้อีกครั้ง  ยามเพิ่งตื่นนอนอะไร ๆ ก็ยังตื่นเหมือนกัน

   ไม่อยากออกจากเตียงนอนเลยพับผ่าเด่ะ

   “งั้นอาบน้ำก่อนเดี๋ยวมันผิดสังเกตุ. . .”  ผมรีบแจ้นเข้าห้องน้ำทันที

   “. . .  มาอาบด้วยกันมั้ยไม้”  ผมเปิดประตูเอาไว้

   “ไม่เอา  ไม่อายหรือไง  อาบน้ำก็เปิดประตูไว้”  

   “อายทำไม  นอนแก้ผ้าทั้งคืนยังไม่อาย จะมาอายแค่เนี๊ยะนี่นะ”  ผมยิ้มยั่วมัน  ก่อนที่จะงับบานประตูให้ปิดบังความอุบาทว์ตาในยามเช้า  ก็เวลากลางคืนมันไม่เห็นนี่ครับ  ไฝ ฝ้า กระดำกระด่างตรงไหนบ้าง  แต่พอสว่าง  มันฟ้องหมดด้วยตัวมันเอง

   ส่วนไอ้หัวใจของผม  ผมปล่อยไอ้น่ารักมันนอนบนเตียงเหม็น ๆ  คนเดียว

   ผมไม่รู้หรอก . . .

   . . .   ว่าไอ้น่ารักมันจะอึดอัดไหม  

   เพราะผมอยากให้มันรู้  ว่าผมไม่มีอะไรที่จะปิดบัง ผมรักมัน  และพร้อมเสมอที่จะให้มันรู้จักกับเพื่อน ๆ  ของผม รู้จักตัวตนที่แท้จริงของผม  ไม่ต้องคอยมาพะว้าพะวง สร้างภาพให้ดูดี  ผมอยากให้มันเห็นตัวตนที่แท้จริงของผม  กับกิจวัตรที่ผมทำบ่อย ๆ

   หาก . . .

   . . .  ผมลืมถามมัน

   “มันอยากจะรู้จักเพื่อนผมไหมหว่า?”

   แต่ . . .

   . . . ผมรู้จักเพื่อนผมดี เพื่อนที่มันไม่เคยทิ้งผม  

   ไอ้เพื่อนผมหรือครับมันพวกเข้ากับคนอื่นได้ดี  มันทำตัวสนิทชิดเชื้อกับไอ้น่ารักได้อย่างรวดเร็ว  และดูเหมือนว่าไอ้น่ารักมันจะไม่มีพิรุธใด ๆ  เพื่อน ๆ  ที่มันมาเล่นไพ่  ยามผมหยุด  ก็ไม่ได้มีใครสงสัยอะไร   จนกระทั่งเพื่อน ๆ ผมมันเลิกเล่นกันตอนสี่โมงเย็น

   “พี่โมกข์  ไม้ว่าไม้กลับวันนี้ดีกว่า”    มันเอ่ยออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

   “อ้าว  ไม่เอาดิ  ไหนบอกกลับพรุ่งนี้ . . .”  ผมนอนมองหน้ามัน  จับมือมันเอาไว้

   “. . . โกรธอะไรพี่หรือปล่าว”  ผมจ้องมองแก้มนุ่ม ๆ  ของมัน

   “ป่าว  แต่มาคิดดู  แม่ก็ยังไม่หายดี   มีแต่พ่อเพราะพี่ไปนอนค้างที่สวนลำใย  แล้วไม้กำลังมาทำอะไรในตอนนี้  ไม้ว่าที่จริงน่าจะอยู่บ้านตั้งแต่เมื่อวานเสียด้วยซ้ำ  ไม่น่ามาเลย”    เสียงของไอ้น่ารักเหมือนคนที่รู้สึกผิด

   ผมเข้าใจมัน  เข้าใจมันดี . . .

   . . . และ  พาลคิดไปไกลกว่านั้น  ผมกลัว  กลัวว่า  หากมันกลับไปแล้ว  ผมคงไม่ได้เจอมันอีก  เพราะอะไรผมไม่รู้   ความรู้สึกลึก ๆ  ในใจมันบอกผมแบบนั้น

    แต่ . . .

   หากเมื่อตอนสายวันนี้ผมไปอยุธยากับมัน  ผมยังพอจะแกล้งขับรถหลงได้  แต่ตอนนี้ที่ลาดพร้าว  ผมจะมาอ้างขับรถหลงไปส่งมันที่สนามบินไม่ทัน  มันดูตลกไปหน่อย

   แววตาที่มันมองมา  ผมไม่แปล  เพราะแปลไม่ถูกจริง ๆ  ถึงผมจะเคยเจอกับความผิดหวังมาบ้าง แต่การที่จะเจออีกในครั้งนี้  มันไม่เคยอยู่ในหัวผมเลย  ผมจะทำอย่างไรได้  มองหน้ามันแล้วยิ้มอย่างยอมรับ

   “พี่โมกข์อยากให้ไม้ไปไหม”  

   . . . ไม่อยากโว้ย

   ไม่ให้ไป  ไม่ไปไม่ได้หรือ  อยู่ด้วยกันอีกสักคืนนะ  สัญญาว่าคืนนี้จะปล้ำ  จะไม่นอนจับมือแบบเมื่อคืน  กร๊ากกกกกกกก

   ไอ้ความคิดเลว ๆ  บอกผม

   แต่ . . .

   . . . ความคิดดี ๆ  ผมก็มี  เหตุผลเรื่องแม่ที่ไม้บอกผม  มีหรือที่ผมจะกล้ารั้งมันเอาไว้  ผมไม่ได้เป็นคนที่เห็นแก่ตัวขนาดนั้น

   “ไม้ตัดสินใจเอาเองก็แล้วกันครับ  พี่ไม่อยากให้ไม้อยู่แล้วลำบากใจ  พี่เข้าใจทุก ๆ  เรื่อง . . .”  ผมกุมมือมัน  เอามาแตะที่จมูกผมเบา ๆ

   “. . . ไม้กลับไปแล้ว  เราจะได้เจอกันอีกไหม”    เสียงผมแทบจะไม่มี  ผมกลั้นใจถาม  ทั้ง ๆ  ที่กลัวคำตอบเป็นที่สุด  แต่ผมต้องทำใจให้ได้  กับทุก ๆ  เรื่องที่มันจะเกิดขึ้นมาในชีวิต

   “ไม่รู้เหมือนกัน”

   คำตอบที่ไม่มีการตอบรับหรือปฏิเสธ  คำตอบที่สร้างความลำบากใจให้กับผมเองเพราะผมไม่อยากแปลความหมายเอาเอง  ผมเหมือนจะรู้ชะตากรรมของตัวเองแล้ว  ผมยิ้ม  ทั้ง ๆ  ที่ความมั่นใจที่มีมาก่อนหน้านี้  ไม่รู้มันหายหัวไปไหนหมด  ไม่มาอยู่ข้าง ๆ ผมเลยสักนิด

   “ช่างเหอะ . . .”  ผมถอนหายใจแรง ๆ  ยิ้มให้คนที่อยู่ตรงหน้าผม

   “. . . จะถูกทิ้งในวินาทีนี้  หรือ  อีกสองอาทิตย์ข้างหน้า  ค่าของมันก็เท่ากัน คือ โดนทิ้ง”  ผมยิ้ม  ก่อนลุกไปอาบน้ำ  เพราะผมรู้ดีเวลาแห่งความสุขของผมมันค่อย ๆ  หมดลงอย่างช้า ๆ

   ผมเงียบลงมาก . . .

   . . . เงียบตั้งแต่ที่มันบอกว่าจะกลับวันนี้ !

   ทั้ง ๆ  ที่พรุ่งนี้มันบิน O บาท  ที่มันจองข้ามปีข้ามชาติเอาไว้

   บินฟรี !  จ่ายแค่ภาษีสนามบิน  

   แต่ . . .

   . . . มันอยากกลับวันนี้  

   แปลว่ามันต้องจ่ายเต็มจำนวนเพื่อซื้อตั๋วเดินทางใหม่  มันยอมจ่าย เพียงเพราะว่า  มันอยากกลับบ้าน  การอยู่กับผมเพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียว  น่าจะเป็นความทรมานสำหรับมัน  การจะไปจากผมเพื่อค้างห้องเพื่อน  ออกจะหักหาญใจผมเกินไปก็ได้  มันเลยเลือกที่จะกลับบ้านในวันนี้ โดยยอมทิ้งตั๋วที่จองเอาไว้แล้ว  โดยการซื้อตั๋วใหม่

   “เป็นอะไรไป  เงียบเลย”  มันยิ้มเหมือนเคย  ในขณะที่ผมเลี้ยวรถมาเส้นรัชดาช่วงหน้าศาลอาญา

   “ป่าวนี่ครับ  เบื่อรถติด  เดี๋ยวไม้ตกไฟลท์”   ผมมองดูเวลา  ห้าโมงเย็นกว่า ๆ  เวลานรกบนเส้นวิภาวดีรังสิตแท้ ๆ

   “เอาน่า !  ไม่ต้องรีบ ทันก็กลับ  ไม่ทันก็ไม่กลับ”

   “อ้าว !”  ผมมองหน้ามันอีกครั้ง

   “ทำไมล่ะ  มองโลกอีกด้านสิ  รถติด  พี่อาจจะไม่ชอบ  แต่มันก็ทำให้เราได้อยู่ร่วมกันนานขึ้นไม่ใช่หรือ  ในวิกฤติย่อมมีโอกาส  อย่างน้อยก็ได้อยู่กันมากขึ้นอีกหน่อย”

   ไอ้น่าร๊ากกกกกกกกกก

   กำลังจะทิ้งกรูอยู่แล้วยังมาปากดีอีก  ที่ทำอยู่ตอนนี้ มันก็ทรมานพอแล้ว  จะทรมานกันไปอีกนานแค่ไหนหนอ  ผมยิ้ม  แต่ก็ดีใจที่อย่างน้อย  ผมยังมีเวลาได้อยู่กับมันอีก  ถึงมันไม่รัก  ไม่ชอบผม  ผมก็ไม่โกรธมันเลย  เพราะทุกคนต่างก็เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองเสมอ

   ผมมาถึงดอนเมืองก่อนหกโมงเย็นเล็กน้อย . . .

   . . . ดูเหมือนหัวใจผมมันจะเบาหวิว  กระแสหัวใจมันอ่อนลง  จนแทบจะไม่อยากหายใจเสียแล้ว  เพราะว่ามันคงถึงเวลาจากลาแล้วจริง ๆ

   “ไม่ต้องไปส่งไปไม้ก็ได้  ข้างในเพื่อนไม้เยอะ  เดี๋ยวเพื่อนล้ออาย”  มันบอกผมเมื่อผมจอดรถที่ลานจอดหน้าคาร์โก้

   “ครับ”   ผมตอบเบา ๆ

   ผมรู้ดี . . .

   . . .  เวลาผมมันมีแค่ตรงนี้เท่านั้น

   เพราะหลังจากนี้ต่อไป  ระหว่างผมกับมัน  เราคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว  ผมรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ  ความรู้สึกบางอย่างในหัวใจบอกผมเช่นนี้  ผมได้มีเวลาช่วงนึงอยู่กับมัน  และมันจะเป็นช่วงเวลาแห่งความทรงจำที่ดี  เพราะผมจะจดจำเวลานั้นเอาไว้ตราบลมหายใจสุดท้ายของผม

   มันไม่ใช่ผู้ชายคนแรกที่ผมรัก . . .

   . . . แต่มันจะเป็นผู้ชายคนสุดท้ายที่ได้หัวใจผมไป  

   ผมไม่รู้วันข้างหน้า  จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง . . .

   . . . แต่ผมรู้หัวใจตัวเอง  

   ตอนนี้ผมรู้สึกอย่างไร  แม้ผมจะไม่ได้หัวใจมันไว้  แต่ผมก็มีช่วงเวลาที่ดี  ที่อย่างน้อยที่สุดเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมง  ที่ผมได้อยู่กับมัน  ผมจดจำความสุขนั้นเอาไว้ได้  ไม่มีวันลืมมันเด็ดขาด

   “โอเค   งั้นพี่ส่งไม้ตรงนี้  แต่เดี๋ยวพี่ไปกดตังค์ก่อน  เสียไพ่หมดตูดแร่ะ”  ผมหัวเราะเบาๆ  ไม่อยากให้เวลาแห่งการจากลามันเศร้ามากไปกว่านี้   

   ผมเดินทิ้งระยะจากมัน . . .

   . . . ทิ้งระยะเอาไว้เสมือนหนึ่ง  คนสองคนไม่รู้จักกัน  เพราะผมไม่อยากให้มันลำบากใจในการเดินกับผม  ในเมื่อมันทำเพื่อผมได้  แล้วทำไม  ผมจะทำเพื่อมันไม่ได้

   ผมหาเรื่องที่จะได้อยู่ใต้หลังคาเดียวกับมันยาวนานขึ้น   เพราะอย่างน้อยที่สุด  หากต่อจากนี้  จะเกิดอะไรขึ้น ก็ตาม  ผมก็ดีใจ  ว่าผมได้ดูมันเดินกลับไปบนเส้นทางเดิมของมัน  โดยที่ผมไม่ได้ทำร้ายมัน  ผมไม่เคยรู้สึกเป็นคนดีแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้  

   แต่กับคนนี้ . . .

   . . .  ผมกลับอยากมองมันเงียบ ๆ ในมุมที่มันไม่มีวันที่จะเห็นผมเป็นอันขาด

   “ไว้ถึงไม้โทรหานะครับ”

   ผมหน้าเสียหนักเข้าไปอีก  ตั้งแต่รู้จักกันมา  มันเคยโทรหาผมเสียที่ไหน  มีแต่ผมที่โทรหามัน  เพราะผมรู้จักมัน  นิสัยของมันไม่ชอบโทรหาใครก่อนเสียด้วย    มันบอกว่าจะโทรหา  ผมแปลได้อย่างเดียวเลยว่า  วันเวลาที่ผมอยากใช้ร่วมกับมันหมดลงช้า ๆ

   “อืม”

   ผมยิ้มให้ไอ้น่าร๊ากกกกกกก  อีกครั้งก่อนที่จะเดินห่าง ๆ  กับมันเรื่อย ๆ   เราเหมือนคนที่ไม่รู้จักกันแล้ว  เพราะมันมีเพื่อนมากมายในสถานที่แห่งนั้น  มันจะต้องมีคนที่คอยจับตามอง ผมไม่อยากให้มันลำบากใจกับการเดินใกล้ ๆ ผม

   จริงดังคาด  เพราะเมื่อเข้าไปในอาคาร  มันเจอเพื่อนรุ่นพี่  เขาลากมันไปในออฟฟิศ  คราวนี้น้ำตาผมแทบร่วง  ผมไม่รู้เหมือนกัน  เวลาแค่ไม่นานแต่ทำไมมันถึงมามีอิทธิพลต่อผมได้มากมายขนาดนี้  ผมเดินไปที่ตู้เอทีเอ็ม  

   หาก . . .

   . . . สายตามองจนมันเดินลับหายไป  เหมือนหัวใจผม  ที่ค่อย ๆ  ลาลับดับหายลงอย่างช้า ๆ

   ผมเดินมายังชั้นสอง . . .

   . . . มาหาอะไรกินที่ร้านดอยคำ  ร้านค้าโครงการหลวง  ผมเลือกน้ำผลไม้กล่อง  ก่อนเดินมานั่งดื่ม  ในมุมที่ผมคิดว่า  ผมสามารถมองเห็นทุก ๆ  คนที่จะเดินเข้าไปในอาคารผู้โดยสารขาออกได้  ผมจะนั่งรอมันอยู่ตรงนี้  ผมจะรอส่งมัน หากนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้เจอกับมันอีก  

   ผมก็จะขอมองมันในมุมที่มันไม่เห็นผม . . .

   . . . เวลาแห่งการรอคอยยาวนานเสมอ

   ผมนั่งตรงนั้นหากสายตามองไปด้านนอก . . .

   . . . ผมเห็นมันเดินมากับเพื่อนร่วมงานอีกคน  ดูเหมือนว่ามันจะมีความสุขกับการได้เจอเพื่อนฝูง  ผมยิ้มตาม  เมื่อมันยิ้มกับเพื่อน ๆ  ของมัน  รอยยิ้มของมัน  ลบรอยแห่งความรู้สึกหมองใจของผมลงไปได้มาก  ผมมีความสุข  มีความสุขที่ได้มองรอยยิ้มของคนที่ผมรัก

   ถึงมันจะไม่ได้รักผม . . .

   . . . ผมก็ไม่โกรธ  หรือน้อยใจมัน  เพราะอย่างน้อยที่สุด  ผมมีความรักให้มัน  มีความรู้สึกที่ดี  ผมไม่อยากให้มันลำบากใจกับการได้เจอผมตรงนั้น  ผมได้แต่นั่งมองมันเงียบ ๆ  ด้วยหัวใจที่ตีกันอย่างหนักหน่วงในตอนนี้

   ตีกันอย่างไร ?

   เพราะอย่างแรก  ผมกลัว  กลัวว่า  จากตรงนี้ต่อไป  ผมจะไม่ได้เจอมันอีกแล้ว  ไม่มีเวลาสำหรับผมกับมันอีกต่อไป  เพราะหากมันมีหัวใจให้ผมบ้าง  มันคงไม่อยากกลับแบบปัจจุบันทันด่วนเช่นนี้แน่ ๆ  ข้อนี้  ผมรู้ดี  และ  คิดว่า  การอยู่กับผมอีกแค่วินาทีเดียวคือ  ความทรมานที่สุดของมัน

   ผมยิ้ม  ผมมีความสุข กับการได้มองเห็นรอยยิ้มของมัน  แม้มันจะยิ้มกับคนอื่นที่ไม่ใช่ผม  แต่ผมก็มีความสุข  ที่ได้มองมันแบบนี้  รอยยิ้มจากคนที่ผมรัก

   หลังจากนั้นไม่กี่นาที . . .

   . . . ร่างนั้นค่อย ๆ  ลากกระเป๋าใบเดิมเข้าไปในอาคารผู้โดยสารขาออก  ผมเดินออกมาจากที่ตรงนั้น  มองมันที่เดินผ่านเครื่องตรวจไป  ผมเห็นมันในขณะที่มันไม่แม้ที่จะหันกลับมามอง  ว่ามีใครคนนึงยืนอยู่ด้านหลังเสียด้วยซ้ำ  มันคงคิดว่า  ผมกลับไปแล้วก็เป็นได้  ผมมองร่างที่เดินหายไปในอาคารขาออก  จนลับสายตา

   ก่อนที่ผมจะมานั่งมองเจ้านกสุรินทร์ . . .

   . . . น่าจะเป็นลำที่จะเอาหัวใจผมกลับบ้าน  เพราะตามสเก็ต มีแค่ลำนี้กระมังที่จอดทางฝั่งนี้  เพราะอีกฝั่งของลานจอด  ส่วนมากจะเป็นไข่คู่  เกท  61  63  65  67  คือเกทประจำของน้องนก  แล้วที่จอดอยู่ตอนนี้มีแค่สองลำเท่านั้น  น้องนกสุรินทร์  กับนกสดชื่น

   เชียงใหม่ไฟลท์นี้  มีนกพลัส  ในขณะที่นกสดชื่นจัดที่นั่งคลาสเดียวทั้งลำ  เพราะฉะนั้นจะเป็นลำไหนไปไม่ได้  นอกจากเจ้านกสุรินทร์เท่านั้น  ผมนั่งนิ่ง ๆ หัวใจผมตอนนี้นะหรือ  มันเหวง ๆ  นี่ผมยังมีหัวใจอีกหรือปล่าวหว่า  ผมนั่งจนกระทั่ง  เจ้านกค่อย ๆ  ขยับตัวออกจากเกท

   เหมือนหัวใจผมที่โดนเขย่า . . .

   . . . มันไปแล้ว  มันไปแล้วนะ  มันคงไม่ได้เจอกันอีกแล้วล่ะ  ไอ้น่ารักของผม  มันทิ้งผมไปแล้ว

   ผมกลับมาถึงห้องในอีกยี่สิบนาทีต่อมา . . .

   ผมนอนนิ่ง ๆ  บนที่นอนที่เมื่อคืนผมนอนอยู่กับมัน  ไฟในห้องมืดสนิท  มีเพียงแสงจากด้านลานจอดรถที่สาดส่องเข้ามาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  ผมนอนมองฝ้าเพดาน  ปล่อยความอ่อนแอเข้าเกาะกุมหัวใจตัวเอง  มันไปโดยไม่ได้โทรบอกผมสักคำ  

   ไอ้น่ารัก  ในสายตาของผม  มันคือ  ความทรงจำที่ดี   ที่ผมเดินมาเจอ  และอยากดูแลรักษาเอาไว้  แต่ผมในสายตาของมัน  อาจเป็นแค่คนบังเอิญที่เราเจอกัน  ต่อจากวันนี้ ทั้งมันและผมคงมีถนนสายชีวิตที่ต้องเดินไปข้างหน้า  อาจจะเจอหรือไม่เจอกันอีกก็ได้

   ผมคิดเรื่องนี้วกไปวนมาจนเผลอหลับไป . . .

   . . . ที่ผมไม่รู้ มีหยาดน้ำตาเกรอะแก้มของผมเอง

   “สวัสดีครับ”  ผมคว้าโทรศัพท์ที่อยู่ตรงข้างหมอน

   “พี่โมกข์  ลานเบียร์กันเหอะ”  เสียงรุ่นน้องที่ทำงาน  ทำลายความหวังของผมหมดสิ้น  เพราะผมวาดหวังว่า  ไอ้น่ารักจะโทรหาผม

   “สักสามสี่ทุ่มได้ไหม  เพิ่งมาถึงห้องเหนื่อย”  สันดานดีจริงๆ  คุณชาย  ไม่ปฏิเสธเสียด้วย

   “โอเคพี่  ร้านอร่อยดีมีแฮงที่แยกรัชโยนะครับพี่  ไม่เกินสามทุ่มครึ่งตามนี้นะ”  มันบอกสถานที่ก่อนวางสาย  ผมมองเวลา  เพิ่งผ่านไปไม่ถึงชั่วโมงเอง  

   แต่ทำไม  ผมกลับรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปนานเหลือเกิน . . .

   . . . เครื่องยังไม่แลนด์ด้วยซ้ำ  ผมหลับตาอีกครั้ง  ในมือกำโทรศัพท์เอาไว้แน่น  ตอนนี้เหลือเพียงการรอคอย  เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ  อย่างช้า ๆ  ลมหายใจเหมือนรวยระรินลงเรื่อย ๆ  เพราะผมอยู่ด้วยการรอคอยใครคนหนึ่ง ถ้าเขาไม่โทรมาแปลได้อย่างเดียวว่า

   ทุกอย่างจบลงแล้ว . . .

   . . . บนโลกนี้  มีคนอยู่เป็นร้อยล้านคน  แต่วนมาได้พบเธอ  ความบังเอิญในชีวิต  ฉันไปแค่แรกเจอ  ที่พบเจอ  เหมือนเจอทุกสิ่งที่ฉันรอ . . .  เสียงพี่ปั๊บ  โปเตโต้

   เสียงเรียกเข้า  ที่ผมตั้งไว้ตั้งแต่วันที่บินกลับมาจากเชียงใหม่   เมื่อหลายวันก่อน  ตั้งเอาไว้เฉพาะคน ๆ  นั้นคนเดียว  ผมยิ้ม  น้ำตามันพาลไหลเอามาดื้อ ๆ  ที่ผ่านมาเมื่อสองชั่วโมงกว่า  ผมคิดเองเออเองทั้งนั้น ผมหลงคิดเอาเอง  จนปล่อยความคิดมันมาทำร้ายตัวเองโดยไม่รู้ตัว  มันน่านัก

   “สวัสดีครับ”  คราวนี้ไอ้หมาเสียงลิงโลดเลยเชียว  ผมยิ้ม  หูแนบโทรศัพท์

   “ถึงแล้ว  พี่มารับ”

   “ครับผม”  ผมยิ้ม  ไม่รู้จะพูดอะไรดี  ทุกอย่างที่คิดเอาไว้  มันมาทำร้ายหัวใจตัวเองอยู่นาน  ตอนนี้ผมรู้แล้ว  ว่าสิ่งที่ผมคิดบางทีมันไม่ใช่แบบที่ผมคิด

   ผมควรจะมองถึงความคิด  และความรู้สึกของคนอื่น ๆ  ด้วย   ความรักไม่ได้แปลว่าผมเดินไปหาเขาแล้วมันจบ  มันต้องอยู่ที่ว่า  ทั้งเขา  และผมจะสามารถปรับตัวเองเข้าหากันได้มากน้อยขนาดไหน  ระยะทางของเราสองคนมันห่างกัน  แต่สิ่งที่เราควรจะทำคือ  ทำอย่างไรให้หัวใจใกล้กันต่างหาก

   เดี๋ยวคืนนี้พี่โทรหา  แต่ตอนนี้ขอตัวออกไปกินเหล้ากับเพื่อนก่อน  มันบังคับ”  ผมบอก  ก่อนร่ำลา

   เอาไว้คืนนี้นะ. . .

         . . .  ให้น้ำเมามันช่วยเพิ่มความกล้ามากว่านี้  แล้วผมจะบอกมัน บอกมันทุก ๆ  เรื่องที่เก็บไว้ในหัวใจของตัวผมเอง  ผมสัญญา  ผมไม่มีวันปล่อยให้มันเดินออกไปจากหัวใจผมง่าย ๆ  อีกแล้ว  เพราะพระพรหมขีดมาให้เจอกัน  แล้วเรื่องอะไรที่ผมจะยอมให้มันเดินจากชีวิตผมไป

   ผมจะเก็บรักษาความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ . . .

หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: kit ที่ 11-03-2010 12:44:43


ขอบคุณนะคะ คุณ ต้นสาย

หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 11-03-2010 13:29:56
ขอบคุณครับผม...
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: Lunaeve ที่ 11-03-2010 14:40:53
น่ารักจังเลย ชอบมากมากเลย   :L2:
 อ่านแล้วคิดถึงเพื่อนเลย  ว่าแล้วโทรหาดีกว่า
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 11-03-2010 17:09:38
อ่า ต้อนรับเรื่องใหม่

ต่อ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ด่วนเลยพี่ต้น
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 11-03-2010 19:57:55
เพิ่งเข้ามาอ่านครับ ชอบมากครับ ขอบคุณ
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: OhJa ที่ 11-03-2010 20:15:12
ตกลงไอ้น่ารักมันคิดยังไงกับพี่โมกข์เนี่ย
ดูๆพี่โมกข์แกจะคิดเองเออเองอยู่คนเดียวอ่ะ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: IZE ที่ 11-03-2010 22:33:43
มาตามเรื่องใหม่พี่ต้นสาย

อิอิ


ดูๆไป ไอ้น่ารักยังดูลังเลอยู่นะ  ความรู้สึกแบบนี้ พี่โมกข์น่าจะทรมานที่ไม่รู้อีกฝ่ายคิดอะไรกับเราเนี่ย

ปล่อยเราคิดเองเนี่ย
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 12-03-2010 00:49:13


นาน ๆ  อยากเขียนสักที  เหมือนเจอเพื่อนเก่า  เลยนะครับ . . .

. . . เริ่มแรกว่าจะเขียน  ๕  ตอน  แต่เห็นท่าจะจบไม่ลง  เพราะมันไม่ค่อยไหลเหมือนใจอยาก

"สนิม"  เขรอะ  คงต้องเคาะสักพักกว่าจะเข้าที่

ตอนนี้ผมมีธีมในใจแล้วล่ะครับสำหรับ   "รักแท้บทที่ ๑"

ไว้ตอนจบจะมาเฉลย  ว่าทำไมต้องชื่อนี้




 ต อ น ที่    ๔




   คืนนั้น . . .

   . . . ผมเดาะใส่เสื้อมันไปเสียด้วย  เสื้อตัวที่มันใส่นอนเมื่อคืน  แล้วทิ้งเอาไว้ที่ห้อง  ผมไม่รู้หรอก  ว่าที่เกิดกับผมตอนนี้คืออะไร  มันเหมือนคนเพิ่งเจอกันใหม่ ๆ  ทุก ๆ  อย่างมันยังสดชื่นกระมัง  เพราะหากผมไม่มีอะไรที่โดนใจมัน  มันคงเลือกที่จะเลิกติดต่อผมไป  ตั้งแต่วินาทีแรกที่มันลงจากเครื่อง


   หาก . . .

   . . . มันยังโทรมาหาผม

   แปลได้อย่างเดียว  ผมมีความหวัง   อย่างน้อยที่สุด  หากเราไม่ชอบที่จะมองหน้า หรือคุยกับใคร เราก็เลี่ยงได้ไม่ใช่หรือ  เหมือนกับไม้  มันเลี่ยงได้  หากไม่อยากคุยกับผมต่อ  แต่มันกลับไม่เลี่ยง  มันเลือกที่จะเรียนรู้กับผม  ผมไม่ได้เข้าข้างตัวเอง  แต่ผมคิดว่า  เมื่อหัวใจดวงนึง  ส่งสัญญาณบางอย่างไป  ถึงหัวใจอีกดวง  เมื่อมีการตอบรับ  สัญญาณมันจะเชื่อมถึงกัน  

   แต่ . . .

   . . . หากไร้การตอบรับ  มันก็คงไม่มีผลแบบที่ผมเป็นอยู่ในตอนนี้

   “นอนยัง”  ผมกรอกเสียงไปทันที  เมื่อมาถึงห้อง  เวลาตอนนี้เที่ยงคืนกว่า ๆ  ทั้ง ๆ ที่ปกติ  เวลาไปนั่งกับเพื่อน ๆ  จะติดลมตีหนึ่ง  ตีสองประจำ  แต่วันนี้ นั่งไม่ติด  อยากกลับห้อง

   “ยังเลย”

   “พี่รักไม้”

   ผมยิงลูกโดดไปเลย  ไม่รีรออะไรอีกแล้ว

   ผมรอฟังเสียงด้วยหัวใจสั่นระทึก  เพราะไม่รู้ปลายสายเขาจะรู้สึกอย่างไรกับคำสารภาพของผม  ส่วนผมนะหรือ  เมื่อพูดออกไปแล้ว  กลับโล่ง  ราวยกภูเขาออกจากอก  เพราะสิ่งที่ผมเก็บมาไว้หลายวัน  ผมได้บอกมันออกไปแล้ว  มันดูจะรวดเร็วไปหน่อย  แต่ผมว่า  ผมรู้จักตัวเองดี  รู้หัวใจตัวเองดีด้วย

   “คิดดีแล้วหรือ”

   “ครับ”

   “เมามั้ยนี่”  เสียงมันจริงจัง

   “เมารักมากกว่า. . .”  ผมยิ้มเหมือนคนบ้า  ทั้งเมาเหล้าเมารักเลยตอนนี้

   “. . . พี่พูดจริง ๆ นะไม้  ไม่ได้พูดพร่อย ๆ”  ผมตอกย้ำไปอีกรอบ

   “เพิ่งเจอกันเอง”

   “ครับ  แต่พี่รัก  ไม่อยากเก็บเอาไว้  อยากบอกให้รู้”

   ตอนนี้ผมมันนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนที่นอนซะจนที่นอนยับไปหมดแล้ว  มันเขินอย่างไรไม่รู้  ที่จู่ ๆ  ต้องมาบอกรักผู้ชายด้วยกัน  แถมคนที่ผมบอกรักมันทิ้งกลิ่นกายเอาไว้เสียทั่วที่นอน  ขืนไม่บอก  มาแสดงความเป็นเจ้าของ  ใครมาปาดหน้าเอามันไป  มีหวังได้เจ็บอีก

   “ไม่กลัวหรือ”

   “กลัวอะไร  พี่ไม่กลัวหรอก  พี่รู้หัวใจตัวเองดี  เคยมีคนบอกเอาไว้  หากเรารักใครสักคน แล้วเราไม่บอกเขาไป  ค่าของมันเท่ากับศูนย์”  ไอ้เพื่อนผมนะดิ๊  มันพูดกับผมแบบนี้

   “แล้วไม่คิดบ้างหรือว่า  หากบอกไปแล้ว ค่าของมันอาจเหลือแค่ศูนย์ก็ได้”

   “พี่ไม่กลัว  เพราะอย่างน้อย  พี่ก็ได้ทำในสิ่งที่หัวใจอยากทำ  พี่รักไม้  พี่ก็บอกไป  ถ้าพี่ไม่บอกไม้จะรู้มั้ยล่ะ”

   “ไม่รู้สิ  ไม่อยากคิดไปเอง”

   “นั่นไง  พี่เลยถึงต้องบอก  เพราะหากว่าพี่บอกไป  พี่ยังมีโอกาสถึงห้าสิบ  เพราะหากไม้รู้สึกแบบที่พี่รู้สึก  แต่ไม้ไม่กล้าบอกพี่  ค่าของมันก็คือศูนย์ เพราะเราสองคน ต่างเก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้มิดชิด  แต่ตอนนี้พี่บอกไม้ไปแล้ว  พี่ก็มีสิทธิ์มากกว่าศูนย์แน่ ๆ”  ผมยิ้ม

   เพราะหากมันไม่มีสิทธิ์ . . .

   . . . เขาคงตัดบทไม่คุยเรื่องนี้กับผมหรอก

   ใครเลยจะยอมให้คนที่เราไม่รัก  ไม่ชอบ  ไม่รู้สึกดี  มาหยอดอยู่ได้  แล้วยิ่งเวลาตอนนี้  มันร่วมตีหนึ่ง  เวลาที่ไม่ใช่เวลาของคนปกติเขาคุยกัน แต่มันหมายถึง  เวลาของคนที่พิเศษแก่กัน  คนที่สามารถจะติดต่อกันได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง

   “ทำไมคิดว่ามีสิทธิ์”

   “ไม่รู้  หัวใจมันบอกแบบนั้น”  ผมยิ้มกับตัวเองอีกรอบ

   “อะไรทำให้พี่มั่นใจขนาดนั้น”  มันไม่เชื่อผมหรือว่า  มันลังเลหัวใจตัวเอง

   “มั่นใจเรื่อง”

   “ที่พี่บอกรักนะครับ”

   “ก็เพราะว่า  พี่เจอไม้   ก่อนที่ไม้จะรู้ตัวเสียอีก”  ผมยิ้ม  เมื่อนึกถึงวันเก่า ๆ  ที่ผ่านมา  

   ความบังเอิญ . . .

   . . . โลกกลม

   และ  
“พรหมลิขิต”

   “อย่ามาอำ”

   “ไม่อำ  พูดจริงๆ  ครั้งแรกที่พี่เจอไม้   ตอนนั้นพี่บินหางแดง  แล้วเห็นว่ามีคนน่าร๊ากกกกกกก  ในบูธนกจะเดินไปถ่ายตรง ๆ  ก็ไม่กล้าเลยแอบถ่าย  พอเอามาลงรีวิว  มีคนมาตอบว่า เห็นหัวผม   ดีใจแทบแย่  หาเมล์แอดเอ็มใหญ่เลย . . .”   ภาพความทรงจำในหัวใจผม  แม้หลับตา แต่ภาพนั้นชัดเจนเสมอ

   “. . .แล้วครั้งที่สองที่รู้จักก็ผ่านเอ็มไงก็คุยตั้งแต่วันนั้น  เห็นไหม  พี่เห็นไม้มาตั้งนานแล้ว”  ผมมีความสุขกับเรื่องราวของไอ้น่าร๊ากกกก  ไอ้คนที่เข้ามาปั่นหัวใจผมเล่นในเวลานี้

   “ก็เจอออกบ่อย  คนอื่น ๆ  ที่บินบ่อย ๆ  ก็ต้องเจอ   เหมือนคนทั่วไปไง  คนที่เจอตามสนามบิน”  มันบอกผม

   “ไม่ใช่เพราะครั้งที่สามที่เจอ . . .”    ผมแทบหยุดหายใจ  เมื่อนึกถึงการเจอกันเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา  การเจอกันอย่างเป็นทางการในครั้งแรกระหว่างผมกับไอ้น่ารัก

   “. . . พี่ไม่ได้จองไว้ด้วย ตั๋ววันที่สิบห้า  แต่ บังเอิญที่หางแดงเชียงราย  ที่พี่จองไว้รีไทม์  และบังเอิญอีกว่า  หางแดงเชียงใหม่  ก็รีไทม์อีกเช่นกัน  เลยเลื่อนบินขำ ๆ  บินลงเชียงราย  กลับเชียงใหม่”

   “ไม่เห็นแปลก  แอร์เอเชียรีไทม์  เรื่องธรรมดา”

   “ไม่ธรรมดาสิ  เพราะหากวันนั้นพี่ไม่เลื่อนมาจะเจอไม้หรือ  แถมในวันปกติทั่ว ๆ ไป พี่ให้น้องมาส่ง  กว่าจะมาถึงสนามบินก็เครื่องเกือบออก  แต่วันนั้น  ดันอยากนั่งลิมูซีน  เลยมาถึงก่อนเกือบสามชั่วโมง  เลยได้เจอ  เห็นไหมหากพี่รอให้น้องมาส่งจะเจอไม้มั้ย   เพราะไม้เลิกงานก่อนแล้ว”

   มีเรื่องราวอะไรของมันบ้างที่ผมจำไม่ได้ . . .

   . . . ทุก ๆ  เรื่องมันยังฝังอยู่ในหัวใจผมเสมอ

   ผมถึงกล้าพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำ  ว่าผมรักมัน  ผมไม่ได้คิดว่ามันคือความหลง  เพราะหากมันเป็นความหลง  มันคงไม่มีเรื่องบังเอิญเข้ามาเกี่ยวข้องมากมายขนาดนี้

   “ที่จริงวันนั้นไม้เลิกนานแล้วล่ะ    แต่ยังไม่ได้กลับ  เห็นแล้วว่าเป็นพี่  แต่พี่คงจำไม้ไม่ได้”

   “จำได้  แต่ยังตะลึง  ไม่กล้าเข้าไปทัก  กลัวเขาบอกไม่ใช่  แต่สุดท้ายก็ต้องเดินตาม แล้วก็ได้เจอ เห็นไหม  ว่ามันมากกว่าความบังเอิญ . . .”  ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด

   “ไม้ครับ”

   “ครับผม”

   “เราเรียนรู้กันได้ไหม  ไม้ให้พี่ได้เรียนรู้กับไม้ได้ไหมครับ”  ผมอ้อนมันสุดชีวิต

   “แล้วแต่พี่”

   “ไม่ใช่แล้วแต่พี่นะไม้ เรื่องนี้มันหมายถึงเราสองคน  เพราะความรักหมายถึงคนสองคน ไม่ได้หมายถึงการบอกกล่าวจากใครคนใดคนหนึ่ง”  ผมบอกมัน  อยากให้มันได้รู้ในสิ่งที่หัวใจผมมันเก็บเอาไว้

   “เอางั้นหรือ”

   “ครับ  พี่ไม่อยากเสียความรู้สึกดี ๆ ไป  หากวันนึง  มันไม่ใช่แบบที่ไม้และพี่ต้องการ  พี่ก็ยังหวังเอาไว้  ว่าหากเราเจอหน้ากันเราจะยังยิ้มให้กัน  และคุยกันได้  ในฐานะพี่น้อง  เพื่อน เพียงแต่เราไม่สามารถเป็นคนรักกันได้แบบที่พี่อยากให้เป็นตอนนี้”

   “ก็ได้ครับ  หากพี่มั่นใจ”

   ผมแทบสำลักความสุขตายละตรงนั้น  สิ่งที่ผมต้องการในวันนี้    คงเป็นสิ่งนี้กระมัง  ผมจะต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีก ตอนนี้  ถนนสายชีวิตที่ผมเดินเดียวงดายมาตลอดสองปี  กำลังมีอีกคนมาร่วมเดินด้วย ถนนที่ผมคิดตลอดว่าจะไม่มีใครมาเดินเคียงข้างอีกแล้ว

   ถนนสายหัวใจ . . .

   . . . เปิดกว้างอีกครั้ง

   ผมเคยปิดตัวเอง  ไม่เปิดรับใคร ๆ เข้ามาในชีวิต  เพราะผมคิดว่า  ผมอยากอยู่คนเดียว  ไม่อยากรักใครให้เจ็บปวดหรือทรมานอีก  แต่ความคิดของผมก็ดับสูญเมื่อผมมาเจอไอ้น่ารัก  รอยยิ้มของมันทำเอาหัวใจผมสั่นราวกับแผ่นดินไหวสักแปดริกเตอร์  แถมด้วยอาฟเตอร์ช๊อคตามมาเป็นระยะ ๆ  

   “ไม้ก็มีเรื่องอยากจะบอกพี่”

   “เรื่องอะไร  ถ้าจะบอกว่ามีแฟนแล้ว  ไม่ต้องบอกนะ พี่ไม่อยากฟัง”  

   “ป่าวหรอก  เรื่องที่ไม้กลับมาวันนี้”

   “ครับ . . .”  ผมใจสั่นอีก  กลัวมันเหลือเกิน

   “. . . บอกมาเหอะ  พี่ฟังได้ครับ”   ความคิดผมไปในทางแย่ ๆ  ก่อนเสมอ  กลัว  แต่ก็ยังอยากจะรู้กับสิ่งที่ไอ้น่าร๊ากกกกกกกก  ทำลงไป

   “ความจริงไม้ไม่อยากไปตั้งแต่แรกแล้ว”

   “อ้าว  ก็ไหนบอกนัดเพื่อนไว้ที่รูท”

   “ไม่หรอก  ไม่อยากให้ใครคนนึงรอ  ไม่อยากผิดคำพูด  เพราะบอกเขาว่าไปกรุงเทพฯ”

   คำตอบที่มันบอกมา  ผมรู้ได้ทันที  คนนั้นคงสำคัญสำหรับมันมาก เพราะไม่อย่างนั้น  มันคงไม่มาหรอก  มันไม่อยากผิดคำพูดกับคนสำคัญของมัน

   “ก็ดีครับ  พี่ดีใจ”  ผมยิ้ม

   “ดีใจทำไม”

   “เพราะคน ๆ นึงไง  คนที่ไม้ไม่อยกาผิดคำพูด  คนที่ไม้บอกเขาว่าไม้จะมากรุงเทพฯ   หากคนที่รอไม้ในวันนั้นได้ยินสิ่งที่ไม้พูดแบบนี้  เขาคงดีใจเหมือนที่พี่ดีใจ  และ  พี่ควรจะดีใจไม่ใช่หรือ  เพราะคนนึงคนนั้น  พี่รู้จักเสียด้วย”   ก็มันมากรุงเทพฯ  แล้วใครล่ะที่ไปรับมันที่สนามบิน  แล้วมันหายไปกับเพื่อนสามชั่วโมง ก่อนมานอนให้ผมจับแก้ผ้ากอดทั้งคืน  ผมไม่แปลความหมายเข้าข้างตัวเองใช่ไหม  ว่า  มันมากรุงเทพฯ เพื่ออยากเจอเพื่อนที่รูทมากกว่าอยากเจอผม

   “ทำไมต้องคิดเข้าข้างตัวเองเรื่อยเลย . . .”  เสียงมันมีความสุข  ผมจับน้ำเสียงได้  คนที่ไม่กล้าบอก  แต่มันปิดกันไม่ได้หรอก  ความรู้สึกบางอย่างมันส่งถึงกันน่าไอ้น่าร๊ากก

   “. . . พี่โกรธไม้ไหมครับที่กลับมาก่อน”

   “ไม่ครับ  ทีแรกกลัวไปหมด  กลัวว่าจะไม่ได้เจออีก  กลัวว่าไม่ได้คุย  กลัวว่าทำอะไรผิดไป  ถึงต้องกลับ  พี่ไปแอบมองไม้ตอนเดินเข้าไปห้องขาออกใจงี้แป้วเลย”

   “จริงเหรอ”  เสียงจากปลายสายตื่นเต้น

   “ครับ  รอจนเครื่องพุชออกไปนั่นแหละถึงกลับ”

   “ไม่ไม่อยากไปหรอก  เพราะห่วงแม่  ที่กลับมาเพราะห่วงแม่  ไม่ได้คิดว่าจะทำให้พี่ต้องคิดมาก  ไม้ขอโทษ”  มันเสียงอ่อย

   ผมรักมันจับหัวใจ . . .

   . . . ทุกลมหายใจเข้าออกของมันมีแต่แม่

   “ครับ  ตอนนี้พี่เข้าใจทุกอย่าง  นอนเสียนะน้องที่พี่รัก    ดึกมากแล้ว”  ผมยิ้ม  ทุก ๆ  อย่างที่หนักอยู่ในหัวใจ  โดนปลดปล่อยไปหมดสิ้น

   “ครับ  พี่ก็เหมือนกัน  ไม่ต้องคิดมากนะครับ  พี่ที่น้องรัก”

   แบบนี้ตายตอนนี้ก็ยอมล่ะคร๊าบบบบบบบบบบ . . .

   . . . ผมสัมผัสถึงความรู้สึกที่ส่งมาจากแดนไกลได้เป็นอย่างดี  ผมยิ้ม  คืนนั้นผมหลับอย่างมีความสุข  เพราะทุก ๆ  อย่างรอบ ๆ  ตัว  เหมือนความฝัน  ผมอยากเก็บวันเวลาแห่งความสุขเอาไว้แบบนี้ตราบไปจนหมดลมหายใจ

   มันไม่ใช่ผู้ชายคนแรกที่ผมรัก . . .  

   . . . แต่  

   มันจะเป็นผู้ชายคนสุดท้ายที่ผมจะรักได้ในชาตินี้


หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: kit ที่ 12-03-2010 01:16:03


ขอบคุณนะคะ คุณ ต้นสาย

หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 12-03-2010 01:21:51
 :m3:   หวานจริงๆ อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกเหมือนมีน้ำตาลเข้าเส้น  :กอด1: 






ขอบคุณค่ะ

 :L2:
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 12-03-2010 01:40:59
ขอบคุณครับคุณต้นสาย สำหรับการเคาะสนิม
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: kei_kakura ที่ 12-03-2010 02:05:38
*  “ถ้าผมจะรักใครอีกสักคนในชีวิตนี้    คน ๆ  นั้นจะเป็นผู้ชายคนสุดท้ายที่ผมรัก” *

ชอบประโยคนี้มากเลย   :impress2:

ผิดไหมเนี่ยะ เราอ่านเรื่องนี้ไป ยิ้มไป ... คนเดียวหน้าคอม ความจริงอยากกี๊ซ.....แต่ติดตรงที่ที่บ้านหลับกันหมดแล้ว 5555+  :-[

รออ่านตอนต่อไปนะค่ะ.... เป็นกำลังใจให้ค่า
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: Cha Ris Ma ที่ 12-03-2010 02:36:04
 :-[
หวานซะ
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 12-03-2010 02:37:02
ที่มาของเรื่องนี้ . . .

. . . เกิดจาก  ความว่างของสมอง  ว่างแล้วเกิดคำถามในใจผม

๑.  พรหมลิขิต  มีจริงหรือ ?

๒.  เจอกันบังเอิญบ่อย ๆ นี่เรียกพรหมลิขิตได้ไหม?

๓.  คนเจอกันและนอนกันครั้งแรกเรียกว่า  "แก้คัน" หรือ  "จุดเริ่มต้นแห่งรัก"

๔. แอบรักคนอื่นมันเจ็บไหม

๕.  จากข้อ  ๓.ถ้า  คนนึงผูกพันกับคืนนั้น  แล้วอีกคนไม่รู้สึกอะไร  มันจะเกิดอะไรต่อไป

๖. ความรักมันเริ่มจากคนสองคนพร้อม ๆ  กัน  หรือ มันเริ่มจากใครคนหนึ่งก่อนกันแน่

๗. จะมีบททดสอบอย่างไร  เพื่อให้รู้ว่า  เขารักเราจริง

ทั้งหมดเป็นที่มาของคำถาม  ที่อยากหาคำตอบ  จึงเกิดเป็นเรื่องราว

  "รักแท้บทที่ ๑"


แต่จะผ่านบทที่ ๑  ได้หรือไม่นี่สิ  ต้องอ่านกันต่อ  ถ้าผ่านก็คงได้อ่าน  "รักแท้บทที่ ๒"

ไม่ผ่านก็จบข่าว บ้านใครบ้านมันครับพี่น้อง
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: OhJa ที่ 12-03-2010 04:38:36
หวานนนนนนน  :o8:

ชอบที่มาของเรื่องจังเลย 
"รักแท้บทที่ ๑" ของคู่นี้จะผ่านรึเปล่าน้า ลุ้นๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: alterlyx ที่ 12-03-2010 09:29:53
ยิ้มแก้มปริกันมาขนาดนี้ ... ก็ขอให้ผ่านบทที่ ๑ ด้วยดีเถอะค่ะ  :-[
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 12-03-2010 10:42:28
ผ่านฉลุย รออ่านรักแท้บทที่ 2
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 12-03-2010 10:58:47
ที่มาของเรื่องนี้ . . .


  "รักแท้บทที่ ๑"


แต่จะผ่านบทที่ ๑  ได้หรือไม่นี่สิ  ต้องอ่านกันต่อ  ถ้าผ่านก็คงได้อ่าน  "รักแท้บทที่ ๒"

ไม่ผ่านก็จบข่าว บ้านใครบ้านมันครับพี่น้อง

หวังว่าคนเขียนจะไม่ขี้เกียจ ...
ไม่งั้นก็คงจบแค่บทที่ ๑ ตามเคย
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 12-03-2010 11:14:30
หวานหยดเลยครับ
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: IZE ที่ 12-03-2010 21:27:46
เหมือนจะหวานนะ


แต่ทำไมอ่านแล้ว หวิวๆๆๆๆ  อะ พี่ต้น
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 12-03-2010 22:39:37
อ่านแล้วมีความสุขจัง รู้สึกอบอุ่นอ่ะค่ะ
+1 ขอบคุณนะคร้า อยากให้บังเอิญ โลกกลม พรหมลิขิตอย่างนี้บ้างจัง :-[
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 12-03-2010 23:22:52
๕.  จากข้อ  ๓.ถ้า  คนนึงผูกพันกับคืนนั้น  แล้วอีกคนไม่รู้สึกอะไร  มันจะเกิดอะไรต่อไป
๖. ความรักมันเริ่มจากคนสองคนพร้อม ๆ  กัน  หรือ มันเริ่มจากใครคนหนึ่งก่อนกันแน่

2 ข้อนี้ ผมหาคำตอบมาหลายปีแล้ว... แต่ไม่มีใครตอบให้ผมได้เลยอ่ะ... เลยว่าจะมาหาคำตอบที่นี่ครับผม
ถึงแม้ผมจะคิดว่า มันคงจะ"ไม่มีคำตอบ"ก็เถอะ....

ขอบคุณครับผม
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: tanutchai ที่ 13-03-2010 01:29:23
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆนะคับ ผมก็คนนึงที่คิดว่าถ้ารักใครแล้วผมจะไม่ปล่อยให้เขาหลุดไป แต่ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นการยื้อรึเปล่า เขาจะรำคาญรึเปล่า
แต่มันก็ดีกว่าเราไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ใช่หรอคับ :3123:
ปล re บนน่าสนใจคับ ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 13-03-2010 06:12:01

ต อ น ที่   ๕



   เวลาที่คุณ ๆ  มีความรัก  หัวใจคุณ ๆ เป็นอย่างไรครับ

   ผม . . .

   . . . นายโมกข์


   รักแรง  เดินเร็ว  กล้าได้  แต่กลัวเสีย  ผมเป็นแบบนี้จริง ๆ  เป็นคนที่นิสัยค่อนข้างแย่  เพราะผมจะชอบแอบคิดเองเออเองแทบทั้งนั้น  ผมกลัวความผิดหวัง  กลัวความเจ็บปวด  มันกลับไปสามวันแล้ว  เป็นสามวันที่ผมทำงานไม่รู้เรื่อง  

   ภาพคืนนั้น . . .

   . . . คืนที่ผมนอนกอดมันเอาไว้  ตารมมาหลอกหลอนผมอยู่ตลอดเวลา

   ผมถามตัวเอง . . .

   . . . คืนนั้น  ผมโง่มั้ย  ผมมีโอกาสมากกว่าการนอนกอด  แต่ทำไมผมไม่ทำ ผมปล่อยให้โอกาสนั้นมันหลุดมือไปได้อย่างไร   ถ้าวันข้างหน้า  สิ่งที่ผมคิด  ไม่เป็นแบบที่คิด  ผมจะเสียใจไหมที่คืนนั้นผมไม่พิชิตศึกน้องไม้

   ความคิดทางด้านต่ำในตัวเอง  . . .

   ผมมานั่งนึกดู  สองปีที่ผ่านมา  ผมทำตัวแย่  แย่เอามาก ๆ  ตอนนี้  ผมรู้สึกรักใครคนนึง  รักมาก  คิดถึงมาก  หรือว่าแท้จริงแล้วมันเป็นเพียงแค่ความหลงก็ไม่รู้  ผมหลงในรูป รส  กลิ่นเสียง  ของน้องไม้  ยังไงนะเหรอครับ

   หลงรูป . . .

   . . .ไม้หล่อ  หล่อขนาดไหนหรือครับ  ขนาดตอนมีงานวันคริสมาสต์ที่ปริ้นรอยัลสมัยมัธยม  ไม้เป็น  ๑ ใน ๓  คนที่อยู่บนเวทีนั้นก็แล้วกัน  ส่วนผมนะหรือ  แค่คนธรรมดา ๆ  คนนึงเท่านั้นเอง  ผมไม่มีสิทธิ์เลือก  แต่สำหรับไม้  ผมมองด้วยสายตา ไอ้น่ารักของผมมันประเภท

    “หล่อเลือกได้”

   แล้วเลือกมานอนกับกรูนี่นะ . . .

   รส . . .

   . . . ผมยังจำตอนผมประกบปากมันได้  สัมผัสแรกที่ปากของมันค่อย ๆ  ทาบทับกับริมฝีปากของผม    เขียนไม่ออก  มันอาย  ฮิ้วววววว

   กลิ่น . . .


   . . . อันนี้เป็นเอามาก  มากถึงมากที่สุดแล้ว

   เสียง . . .

   . . . ทั้งกลิ่นและเสียงนี่  ทำเอาผมหลงหัวปักหัวปำเลยทีเดียว

   “หวัดดีครับ”  เสียงมันรับสายครั้งที่ห้า  หรือ  หก  ของครึ่งวันเช้าแล้วก็ว่าได้

   “ยุ่งไหม”

   “คุยได้”

   “ไม้ใช้น้ำหอมอะไร”  ผมยังจำได้  ตอนที่มันไร้ซึ่งเสื้อผ้า  กลิ่นนั้นยังติดจมูกผมอยู่เลย  แบบนี้ๆไม่เรียกว่าผมเป็นเอามากจะเรียกอะไรดีหว่า

   “อะไรพี่”  มันหัวเราะเบา ๆ

   “ถามดู  คืนนั้นตอนหอมแก้ม  หอมตรงจักแร้  มันติดจมูก”  ผมอายเหมือนกัน  แต่ก็ยังอยากที่จะถาม  ประมาณว่า  ไม่ได้เจอตัว  ขอกลิ่นที่คุ้นเคยได้ไหม

   “ไม่ได้ใช้นี่ครับ  ใช้แต่สเปรย์”

   “ของไรว่ะ”

   “เอ็กซิส”

   ผมกวาดสายตาไปที่ชั้นขายสเปรย์ในท้อปเอสพละนาดมองหา  ยี่ห้อตามที่ไม้บอกมา  ผมมันชอบวางแผนล่วงหน้า เลยเดินมารอก่อนที่จะโทรหามัน  รอบคอบได้อีก

   “เห็นแล้ว  มีตั้งหลายสี”

   “ของไม้ใช้สีีแดง  เลิฟสกรีน”

   ผมมองหา . . .

   . . . ไม่มี

   พลิกแล้วพลิกอีก  แทบจะรื้ออกทั้งชั้น  แต่มันก็ไม่มีสักขวด

   “ไม่มีอ่ะ  ว๊าแย่เลย”

   “เป็นไรมากมั้ยอ่ะพี่โมกข์”  เสียงมันหัวเราะเบา ๆ

   “ก็คิดถึงไม้  คิดถึงกลิ่นหอม ๆ  ในอ้อมกอดคืนนั้น”  ผมหื่นได้ทุกที่  ขนาดเดินอยู่ในซุปเปอร์มาเก็ตยังไม่วายเล่น

   “ไม่เอา  ไม่คุยแล้ว  ทำงานแค่นี้นะ”  มันกดวางสายไปเลย

   ผมหลับตา  นึกภาพตอนมันอายออก  โดนผมเกี้ยวซะขนาดนั้น  ขืนมันคุยต่อ  มีหวังได้เสร็จทางโทรศัพท์แหง๋ ๆ  

   ผมโทรหามันบ่อยไหม ?

   บ่อยครับ  สามเวลาหลังอาหาร  แถมมีรอบค่ำ  รอบดึก  ผมจะโทรหาทุกครั้งที่อยากโทรหา  เพราะมันบอกผมเอาไว้  ถ้าว่างก็จะรับ  ส่วนมันนะหรือครับ  มันไม่ชอบโทรศัพท์เท่าไหร่มั้ง  เพราะตอนที่มันมานอนกับผมคืนนั้น  มีแค่สองครั้งที่มีสายเรียกเข้ามาเท่านั้นเอง

   “หวัดดีครับคุณอา  มีอะไรอีกครับ”  มันเปลี่ยนสรรพนามทันทีเมื่อผมโทรไปอีกครั้งในช่วงค่ำ  หลังจากวางสายคราวก่อนไปไม่ถึงสามชั่วโมง

   “คิดถึง”

   “เป็นอะไรมากมั้ยนั่น”  มันหัวเราะเบา ๆ

   “ก็ใครล่ะมาทำใจพี่ปั่นป่วนขนาดนี้”

   “แหม คุณอาก็”

   “เดี๋ยวโดน  มาเรียกองเรียกอา”  มันจิ้ด ๆ นะสิครับ  เพราะผมแก่กว่ามันเยอะนี่หว่า

   “ถึงห้องยัง”

   “ยังแวะโลตัสอยู่”

   “ซื้ออะไร  ของใช้หรือ”

   “อืม  กำลังหาเอกซิสอยู่”  ผมคุยไป  เท้าก็เดินไปที่ล๊อคของเครื่งดับกลิ่น

   “เป็นเอามาก”

   “ทำไม ก็คิดถึง  ทำกไมหายากนักว่ะ  ท้อปไม่มี  คาร์ฟูไม่มี  นี่แวะห้างที่สามแล้วนะเนี่ย”  ผมบ่นไปเดินไป

   “สงสัยเขาทำอิลิชั่น  มีขายเฉพาะเซ้นทรัลแอร์พอร์ท”

   “อย่ามาตลก . . .”       ผมเดินมาหยุดตรงที่เคาน์เตอร์

   “. . . เจอแล้ว  กระป๋องสีแดงเหรอ”

   “ช่าย  แดงออกส้ม  เลิฟสกรีน”

   ผมหยิบไอ้กระป๋องนั้น  มาฉีดที่หลังมือ  กลิ่นของมันหรือครับ  กลิ่นเดียวกันด้วย  กับที่ผมเคยใช้จมูกดมไปทั่วทั้งกายของน้องไม้  ผมไม่ลังเล หยิบมันใส่รถเข็นในทันที

   “ได้แล้ว  หายคิดถึงคนไกลหน่อยนึง”

   “มีใครบอกพี่โมกข์มั้ยนี่ว่าเน่าได้ใจ”

   “เน่าเพราะรักหรอกครับ  รักหมดตัว  หมดหัวใจไปแล้ว”  ผมตาบอด  บอดสนิทเลยทีเดียว  เพราะในที่สาธารณะขนาดนั้นยังกล้าเล่น  กล้าพูดอีก

   เหมือนโลกรอบ ๆ  ตัวมีแค่มันเท่านั้น . . .

   . . . ความสุขที่ผมไม่ได้สัมผัสมาร่วมสองปี

   “ไม่คุยแล้ว  จะอาบน้ำ  แค่นี้นะ”  มันตัดสายทิ้งตามเคยไม่ปล่อยช่องให้ผมได้หยอดก่อนวางสายเลยสักนิดเดียว  มันน่านักไอ้น่ารักของผม  


   
   
   ผมมองรูปในกล้องดิจิตอล  รูปเดียวกับที่ผมโหลดลงมือถือเป็นภาพหน้าจอ  รูปของผมเองที่ถ่ายที่น้ำตกที่เมืองกาญจนฯ  เมื่ออาทิตย์ก่อน  น้ำตกที่ผมหมายมั่นปั้นมือว่าจะพาไอ้น่ารักไป  แต่จนแล้วจนรอด  ผมไม่ได้พามันไป  เพราะไอ้เพื่อนเลวมันดันหักคอผมให้เล่นไพ่

   ผมมองออกไปนอกหน้าต่างของเคบินเครื่องบิน . . .

   . . . ท่ามกลางหมอกเหมยยามเช้าของวัน  ผมกลับเห็นภาพอะไรบางอย่าง  วันนั้นหลังจากที่ผมถ่ายรูปนี้  ผมก็จัดการอะไรบางอย่าง  ภาพวันนั้นยังติดตาผมจวบจนวันนี้

   “เจ้าของเสื้อไม่มา  แต่แฟนเจ้าของเสื้อใส่มาเอง ฮิ้ววววว”

   ข้อความ  MMS  พร้อมรูปถ่ายที่ผมถ่ายที่น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น  หลังจากวันที่ไม้กลับไปเชียงใหม่ได้สามวัน  ผมอยากมาถ่ายรูป  เลยถือโอกาสส่งรูปทางโทรศัพท์ไปยั่วมัน  ไอ้น่าร๊ากกกกกก  ของผม

   เพียงครู่เดียวเท่านั้น . . .

   “ไม่ต้องส่งมายั่วเลยคนเรา”  มันส่งเสียงมาตามสาย

   “ยั่วตรงไหน  เห็นมาไม่ได้เลยเอาเสื้อมาด้วยไง”

   “ไม่ยอมทิ้งเลยนะเสื้อตัวนั้น”  นั่น  เข้าทาง

   “ตราบใดที่ไม้ยังไม่ทิ้งพี่  พี่ก็ไม่ทิ้งเสื้อของไม้หรอก”  ผมหยอดกลับไป  ก่อนรู้สึกอายตัวเองยังไงไม่รู้  กล้าเล่นได้อีก

   เสียงปลายสายอึ้งอยู่พักใหญ่

   “แหวะ  อย่ามาหยอด”

   ผมยิ้ม เพราะหลังจากคืนที่ผมรอโทรศัพท์  ระหว่างมันกับผม  ก็ใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ  ผมตั้งใจเอาไว้  อีกไม่กี่วัน  ผมจะลงไปหามัน    เพราะหากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือลิขิตฟ้า  ผมจะถนอมมันเอาไว้ให้นานมากที่สุด  หากว่ามันไม่ใช่  เส้นทางของผม  ก็คงเดินไปเดียวดายเฉกเช่นที่ผ่านมาอีกครั้ง . . .

   . . . ผมเฝ้ารอวัน  ที่จะได้เจอกับมันอีกครั้ง เพราะผมคิดถึงมันเหลือเกิน

   หากจะมีใครสักคนที่มาปั่นป่วนผมได้  น่าจะเป็นมันนี่แหละ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร  ผมหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้  หรือว่าความจริงแล้ว  ในความรักมันไม่จำเป็นที่จะต้องหาคำตอบ  เพราะทุก ๆ  อย่างมันมีคำตอบในตัวของมันเองดีอยู่แล้ว

   ผมไม่รู้ . . .

   . . . ผมไม่เคยรู้อะไรเลย  นอกจากความรู้สึกที่ว่า  ผมเป็นเอามาก  เมื่อยามที่นึกถึงใบหน้าของมัน  แค่หลับตา  รอยยิ้มมันก็ลอยมา  ทุก ๆ อย่างในเวลานี้  มันเหมือนความฝัน  เป็นความฝันที่ผมเองก็ไม่อยกาตื่นมาพานพบกับความจริงเสียด้วยซ้ำ

   โลกแห่งความฝันสวยงามเสมอ . . .

   . . . หากวันนึง

   ผมตื่นขึ้นมา  แล้วเจอกับคำตอบที่ว่า  สิ่งที่ผมคิดอยู่มันไม่ใช่ มันไม่ได้เป็นแบบที่ผมคิดหวังเอาไว้  ผมจะทนกับความเป็นจริงได้มากน้อยขนาดไหน  ผมพยายามตั้งคำถามกับตัวเอง  เพื่อเป็นเกราะกำบัง  ยามวันเวลาข้างหน้า สิ่งที่ผมเจออาจจะไม่ใช่ที่ผมหวังไว้ทั้งหมด

   ผมยอม . . .

   . . . หากวันหน้านั้นเจ็บปวด

   ผมจะเอาวันดี ๆ  ในเวลานี้มาปลอบประโลมหัวใจที่เจ็บปวด

   ผมยิ้มกว้างมองรูป . . .

   . . .  เสียงกัปตันประกาศเครื่องพร้อมที่จะแลนดิ้งแล้ว . . .

   เครื่องค่อย ๆ  แท็กซี่มาที่ลานจอดที่สนามบินเชียงใหม่  อย่างช้า ๆ  เจ้านกสงขลาลงก่อนเวลาร่วมสิบนาที  ผมมองอาคารสนามบินที่อยู่นอกหน้าต่าง  หัวใจผมหรือ  กระโดดไม่เป็นจังหวะกว่าตอนที่ผมเจอมันคราวก่อนเสียอีก

   คราวนี้ . . .

   . . . ผมจะเดินเข้าไปหามัน  แล้วยิ้มกับมัน  พูดคุยได้อย่างเต็มคำ  ไม่ต้องแกล้งคอยถามโน่นถามนี่เกี่ยวกับสายการบินของมันอีก  เพราะต่อจากนี้  ผมจะคุยเรื่องราวของหัวใจได้อย่างเต็มคำ

   ปลายทาง . . .

   . . .  CNX  STATION

   วันนี้มันมีความหมายกว่าทุก ๆ  ครั้ง  ผมเดินลงมาจากเครื่องด้วยหัวใจเปี่ยมสุขอย่างที่สุด  เพราะปลายทางแห่งนี้  มีคนที่ผมรักรอผมอยู่  คงเป็นที่ไหนสักแห่งในอาคารผู้โดยสารหลังนั้น  ผมค่อย ๆ  ก้าวเท้ายาว ๆ  ไปยังห้องรอรับกระเป๋า  ก่อนเดินออกไปยังด้านนอก

   ขวามือผม  บูธรถเช่า  บูธลิมูซีนเข้าเมือง . . .

   . . . ส่วนบูธ  สีเหลือง  ผมเห็นชัดเจน  รอยยิ้มเดิม ๆ  ที่ผมคุ้นเคย

   ปลายทาง . . .

   . . . มีคนที่ผมรักอยู่จริง ๆ

   กลางหัวใจผม  มีแต่มันเท่านั้น

   ผมเดินไปสู่กลางหัวใจตัวเองอย่างช้า ๆ   ในปลายทางของถนนเส้นนี้  ถนนที่มีใครคนนึงรอผมอยู่  และผมวาดหวัง  ที่ปลายทางนี้  จะมีมันรอผมอยู่ในทุก ๆ  ครั้ง   ที่ผมมาเยือนสนามบินแห่งนี้  ความสุขที่ผมรับรู้ได้ผ่านทางรอยยิ้มนั้น

   รอยยิ้มที่ผมคุ้นเคย สมกับสโลแกนของสายการบิน . . .

   . . . ทุกเที่ยวบินมีรอยยิ้ม

   มันทำงานอยู่ในที่ของมัน  หากแต่มันหันมามองผมเท่านั้น  รอยยิ้มกว้างบนใบหน้ามันก็เกิดขึ้น  เป็นรอยยิ้มที่ผมไม่ได้เข้าข้างตัวเอง  ว่ามันเองก็รอคอยการกลับมาของผมเช่นกัน

   “สวัสดีครับคุณอา” มันยกมือไหว้  แถมทำหน้าตากวนใจชะมัด

   “หวัดดีหลานชาย”

   “เอารถไปมั้ย”  มันถามผม   รอยยิ้มของมันเกาะกินหัวใจผมทุกครั้ง  ผมยิ้มตอบ  มองคนในเสื้อสีเหลือที่กำลังทำงานอยู่

   นี่ผมกำลังใช้เวลาส่วนตัวไปให้มันวุ่นวายเล่นในเวลางานหรือเปล่าหว่า

   “ได้แลกบัตรไว้มั้ย”  คำถามโง่ ๆ  ที่ผมถามมัน  ทั้ง ๆ  ที่รู้คนที่ทำงานที่สนามบิน  เขามีบัตรผ่าน  แต่ด้วยความอายที่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับมัน  ทำให้ผมตั้งคำถามที่โง่ที่สุดออกไป

   มันตื่นเต้น . . .

   . . .  ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี  พยายามที่จะหาเรื่องพูดคุย แต่ดูเหมือนว่าสมองมันทึบ ๆ  เหมือนควายโง่ ๆ  ที่ไม่รู้จะพูดอะไรอ่ะดิ๊  ได้แต่ตะลึงกับใบหน้าใส ๆ  แก้มชมพูระเรื่อนั้น  นี่หากได้ฝังจมูกไปเบา ๆ นะ  คงมีความสุขที่สุดเลยวุ้ย

   ตื่น . . . ตื่น

   ฝันตอนเช้าตรู่นะมึงไอ้โมกข์ . . .

   “อะไรนะ”  มันเลิกคิ้วสูงกับคำถามเอ๋อ ๆ  ของผม

   “ได้แลกบัตรไว้มั้ย”

   คำถามเดิมที่ผมถามซ้ำ  ไอ้น่ารักเหมือนมันจะรับรู้ได้  ถึงรอยหยักในสมองที่มีอยู่อันน้อยนิดของผม  เพราะมันตั้งคำถามกลับมา  พร้อมแววตาที่มีคำถามในตัวเอง

   “ไม่”

   “ไม่ต้องแลกหรือ”

   “อืม”

   “แล้วเขาว่าไง”

   “ว่าไง”  มันทำหน้าตายียวนวอนโดนหอมแก้มชะมัด

   “แล้วเดี๋ยวตอนขาออกล่ะ”

   “เขามีป้ายติดเอาไว้ไม่เป็นไร”

   “ป้ายสนามบินหรือ”

   “อืม”

   ผมอยากเขกกบาลตัวเองนัก  ทำไมไม่หาเรื่องคุยที่มันดูดีกว่านี้ก็ไม่รู้  เรื่องที่อยากคุยกับมัน  ดันเป็นเรื่องอะไรที่  ทั้งมันและทั้งผม  ต่างก็รู้อยู่แก่ใจ  

   ไม้ส่งกุญแจรถมาให้ผม . . .

   “ไม่หายแน่นะ”  มันยิ้ม  

   “ไม่รู้”  ผมยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่มัน  ก่อนรับกุญแจรถมาจากมัน

   มันกล้า . . .

   . . . หรือ  บ้ากันแน่หว่า

   ถ้าเป็นผม . . .

   . . . ผมจะกล้าพอที่จะหยิบยื่นกุญแจรถให้กับคนที่เจอกันไม่นานได้ไหม?

   ผมเดินมาหน้าอาคาร  แล้วยืนนิ่ง . . .

   . . . ทำไมมันไว้ใจผมนักหว่า  ผมมองหารถตามที่มันบอกมาตั้งแต่แรก  โห  รุ่นหายบ่อยเสียด้วย ดีแมคสี่ประตู  เวรแล้วมึง  ตอนนี้มึงกำลังโดนมันทดสอบอะไรบางอย่างเข้าแล้ว  ผมคิดในใจ  ก่อนเดินข้ามถนนไปยังรถที่จอดอยู่

   เข็มไมล์เพิ่งผ่านสองหมื่นกิโลเมตร . . .

   . . . แปลว่าเพิ่งพ้นสภาพป้ายแดงไม่นาน

   แล้วทำไมมันกล้าให้ผมเอารถไปใช้  คำถามเดิมที่ย้อนกลับเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง  แล้วคำตอบที่เข้าข้างตัวเองก็ทำให้ผมยิ้มกว้าง  ก่อนสตาร์ทรถ

   ตายห่า . . .

   . . . เกียร์ธรรมดา  มันขับยังไงแล้วหว่า  ขับแต่เกียร์ออโต้มาร่วมสิบปี  เจอเกียร์กระปุกเข้าหน่อย  ต้องนั่งนิ่ง ๆ  หลับตานึกว่าคลัชท์อยู่ตรงไหน  อันไหนคือเบรค  แล้วยังคันเร่งอีก  ส่วนเกียร์  มันต้องให้สัมพันธ์กับการปล่อยคลัชท์  ยากดีแท้  เกียร์ธรรมดา

   กว่าจะออกมาจากสนามบินมาถึงบ้านก็เกือบชั่วโมง  ทั้ง ๆ  ที่ปกติ  ผมขับราวยี่สิบนาที  แต่ครั้งนี้ ไม่กล้าขับเร็ว  มันกลัวไปหมด  ไม่ใช่รถตัวเองด้วย  แถมไอ้น่ารักมันไม่ได้พูดอะไรด้วย  มันแค่ส่งกุญแจให้ผม  ทุก ๆ อย่างของมันผมจะรักษาเอาไว้ให้สมบูรณ์แบบมากที่สุด

   แม่เหมือนจะถามด้วยสายตาว่าเอารถใครมาใช้ ?

   หากผมเฉย ๆ  นิ่งเสีย ก่อนรับแม่ไปทำธุระที่ศาลากลาง  แล้วเลยหาอาเพื่อไปหาอะไรกินกัน  เพราะจำได้ว่าตั้งแต่เครื่องออกมีแค่ขนมของป้าแอนตี้เท่านั้นที่ลงท้อง  นอกนั้นยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยสักอย่าง ลูกสาวอาตัวแสบมันดันไม่ไปโรงเรียน  ตามตูดมาเสียด้วย

   “เอารถใครมาขับหรือพี่  ไม่เคยเห็นว่ารถคันนี้จะจอดที่บ้านลุงเม่น ม๊าว่ามั้ย”  เปิดประเด็นมาทันทีเลยไอ้น้องตัวแสบ  แถมหันไปหาลูกคู่อีกด้วย

   “รถเพื่อน”

   “โห  แปลว่ารักกันมาก  เพราะไม่รักกันคงไม่ให้รถมาใช้หรอก”  คุณอาแกผสมโรงทันที   ให้ดิ้นตาย  แม่ลูกคู่นี้  รับส่งมุขกันสุด ๆ  

   แม่ก็หันมาเหลือบมองสิครับ . . .

   . . . ร้อยวันพันชาติ  ไม่เคยเอารถใครมาใช้  

   นิ่งเข้าไว้ . . .

   เงียบคือสิ่งที่ดีที่สุด  เพราะการพูดอะไรมาก  จะทำให้เข้าเนื้อตัวเอง  เพราะฉะนั้นจงนิ่ง ใช้ความเงียบแทนคำตอบทั้งหมดให้เขาคิดกันเอาเอง  อย่าได้กลัว  แต่หัวใจนี่มันเต้นแรงเสียด้วย  แม่จะจับผิดหรือปล่าวหว่า  แอบหวั่น ๆ  เล็กน้อยถึงปานกลาง

   “รถนี้ผู้ชายใช้แน่ ๆ . . .”   คุณอาแกกะเอาถึงตาย  เพราะแกดันไม่ยอมหยุดซะด้วย  ผมมองทางกระจกหลัง  แกยิ้มยั่ว

   รู้นะคุณอา . . .

   . . . อย่าเด็ดขาดนะเฟ้ย  เดี๋ยวคุณแม่จะช๊อค

   “อ้าว”  ผมพูดได้แค่คำเดียว

   “. . .เพราะอะไรรู้มั้ย เพราะในรถนี้ไม่มีของจุกจิก”  เหตุผลประกอบเสร็จสรรพอาผม  เอากับคุณเขาสิครับ  ไม่สงสารหลานเลยผับผ่าเด่ะ

   เดี๊ยะ !

   ไปกรุงเทพฯ  เมื่อไหร่ปล่อยนั่งแท็กซี่ให้เข็ด  ไม่ยอมเป็นสารถีรับส่งแล้ว  แอบงอน  ฆ่ากันเลยดีกว่า มาเล่นแบนี้ต่อหน้าคุณมารดา  

   “เพื่อนอยู่นกแอร์แหง  มีทั้งหมวกทั้งเสื้อ”  คุณน้องเขาเอาด้วยกับแม่ หัวเราะกันครื้นเครงเลย  ตลกตรงไหนฟร่ะ  

   สงสารคนขับมั่งเหอะ . . .

   . . . แม่หันมามองไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว

   “NOK  MAI  ชื่อผู้ชายหรือผู้หญิงอ่ะม๊า  อ่านว่าใหม่หรือไม้ละเนี่ย”   นั่น  คุณน้องเล่นตอกตะปูปิดฝาโลง  เหลือเพียงส่งขึ้นเมรุรอเผาสถานเดียวเท่านั้นงานนี้

   “ชื่อไม้  เพื่อนไอ้เค  หลานน้าปูไง  จำไม่ได้เหรอ  ก็ลงสนามบิน  ไม่มีใครไปรับ  เจอน้องไม้ เลยยืมรถมันมา  เดี๋ยวบ่ายโมงก็จะเอาไปคืนแล้วล่ะ”  เอาล่ะครับ  งานนี้  มีเถไปน้ำใส ๆ  ล่ะว๊า  

   ถือคติ . . .

   . . . ทำผิดอย่ารับ

   จับติดรับแค่ครึ่งเดียวพอ !   

   “อ๋อ  นึกออกแล้ว  น้องไม้คนหล่อ ๆ   ที่สนามบินไงลูก  ม๊าก็เคยเจอบ่อย  นิสัยดีนะ  ยิ้มเก่ง”  อาแกดันพาซื่อ  จบเกมส์เสียง่าย ๆ     หรือเพราะสำนึกได้ว่า  เวลามากรุงเทพฯ  ยังต้องอาศัยคนขับรถแบบผมอยู่  เลยไม่อยากฝากบาดแผลเอาไว้ให้มากกว่านี้

   แค่นี้ก็เลือดซิบ ๆ  แล้วคร๊าบบบบบบ  อย่าสาวไปมากกว่านี้เลย  ผมจะตายเอาคารถไอ้น่ารัก

   “โอเค  ถึงร้านแล้ว  เชิญสั่งตามสบาย”  ผมจอดที่ร้านอาหารที่ไม่ได้ตั้งใจมากินร้านนี้  แต่เพื่อความปลอดภัยของเงาหัว  ทำอย่างไรก็ได้  ที่จะให้เรื่องราวมันยุติลงอย่างรวดเร็ว ขืนนานกว่านี้  มีหวังตายแหงแก๋  ไม่รอดแน่ ๆ

   กินเสร็จต้องรีบเอาแม่ส่งกลับบ้าน เพราะขืนอยู่นาน . . .

   . . . แม่จะลมจับ  ที่ลูกชายคนโตได้เมียเป็นผู้ชาย  กร๊ากกกกกกกกกก


หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: OhJa ที่ 13-03-2010 09:22:04
ความสัมพันธ์ค่อยคืบหน้าไปอีกขั้นแล้ว
อิตาพี่โมกข์อาการหนักแฮะ หลงน้องไม้เต็มขั้นเลยทีเดียว  :-[
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 13-03-2010 10:20:54
เข้าช่วยทำแผลครับ...เอ...คิดอีกที เอาแผลไปอ้อนแฟนน่าจะเวิร์คกว่านิ
ขอบคุณครับผม...
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: kit ที่ 13-03-2010 13:04:12

• “. . .เพราะอะไรรู้มั้ย เพราะในรถนี้ไม่มีของจุกจิก”  เหตุผลประกอบเสร็จสรรพอาผม
เอากับคุณเขาสิครับ  ไม่สงสารหลานเลยผับผ่าเด่ะ
ว้าย ห้ามคุณอาเปิดกลั๊ฟบ็อกซ์(glove box)นะคะ
เดี๋ยวจะเจอแป้งพัฟฟ์กับบลัชออน(cake powder & blush on) อิอิ
๒๘๕ + ๑ = ๒๘๖
ขอบคุณนะคะ คุณ ต้นสาย

หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: IZE ที่ 13-03-2010 13:57:51
โดนเข้าไปรี่เตรียมเผาได้เลยนะเนี่ย

ซักกันไม่หยุดใส่กันไม่ยั้งเลยคุณอาเนี่ย
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 13-03-2010 14:00:08
5555+

ขำ ๆ
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 14-03-2010 20:49:28
ตายสนิทกันเลย

วิ้วววววววววว
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: naiin ที่ 14-03-2010 21:02:02
เมื่อความรักมาเคาะประตูบ้านขนาดนี้ ไม่สมหวังให้มันรู้
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: konnarak ที่ 15-03-2010 03:39:29
มาอ่านเล้วน่ะะๆๆ     เเต่  ยังไม่จบ  เดี่ยว พรุ้งนี้มาอ่านต่อ  อือิอิ   
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: konnarak ที่ 16-03-2010 00:46:08
พีต้น  มาต่อได้เเล้ววววววววว   รออยุ่น่ะ



 :t3: :t3: :t3:
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 21-03-2010 11:59:38
อ่า เงียบหายอ่ะพี่ต้น

หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: Solar cell ที่ 22-03-2010 22:29:49
รอ ร๊อ รอ เมื่อไหร่จะมาสักที
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: FÂntastic 1st™ ที่ 23-03-2010 13:49:32
 :o8:
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 28-03-2010 11:11:30




ตอนที่  ๖



HS-TDE  นกสุรินทร์
ในเคบิน เหนือความสูงสามหมื่นฟิต . . .


   . . . เหม่อมองบนฟ้าไกล จ้องมองด้วยความสงสัย  ว่าใครกันนะใคร  ที่พาให้เธอเดินหลงทางมาเจอกับฉัน  มีคนเป็นล้านคน ช่างไร้เหตุผลจริง ๆ  ที่เราเจอกัน  จากเป็นคนไม่เชื่ออะไร  สุดท้ายก็ได้แต่ถามตัวเองซ้ำ ๆ  . . .

   . . . ตกลงคือพรหมลิขิตใช่ไหม  ที่เขียนให้เป็นอย่างนั้น  ตกลงให้เรารักกันใช่ไหม  อย่างนั้นขอได้หรือไม่  โปรดอย่าทำให้เราพลัดพราก  ให้เรารักกัน   เนิ่นนานถึงจนวันตาย

   โอ้ . . . โอ  ฉันขอได้ไหม . . .

   ผมนั่งยิ้มคนเดียวตามเคยเมื่อมองไปนอกหน้าต่างเคบิน  มองฟากฟ้ายามอรุณแรก  ที่อุดมไปด้วยเมฆเหมยยามเช้า  ลอยเอื่อย ๆ ท่ามกลางแสงแดดอ่อน ๆ     ในสองหูมีลำโพงเล็ก ๆ  ที่เชื่อมต่อจากเครื่องโทรศัพท์มือถือ  เพลงเดิมที่ผมเปิดฟังมันซ้ำ ๆ   ในขณะที่เครื่องบินกำลังไต่ระดับเพดานบินเรื่อย ๆ  ปุยเมฆาบางเบาขาวราวสำลี  ลอยละล่องในห้วงเวลายามเช้าตรู่ของวันสวยงามเหมือนทุก ๆ  วัน  หรือ  จริง ๆ  แล้ว  มันสวยงามแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร  เพียงแต่ในเวลานั้น  ผมไม่เคยที่จะหยุดมองมันเลยเสียด้วยซ้ำ

   . . . เมื่อก่อนลมหายใจ  ก็คิดว่าเป็นของฉัน  แต่พอได้พบเธอ  เพิ่งรู้จริง ๆ  ลมหายใจคือเธอเท่านั้น  มีคนเป็นล้านคน  ช่างไร้เหตุผลจริง ๆ  ที่เราได้เจอกัน

   ผมมีความสุขนะ . . .

   . . .  แอบคิดไปเอง  เพลงนี้เขาแต่งมาเพื่อผมในเวลานี้จริง ๆ  เหมือนกับที่ก่อนหน้านี้  ผมแอบชอบเพลงประกอบภาพยนตร์พี่ลุง  ในหนังรัก   

   “รถไฟฟ้ามาหานะเธอ”

   ชีวิตทุกชีวิตเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา . . .

   . . . เวลาสร้างและทำลาย  ทุก ๆ  อย่างล้วนขึ้นอยู่กับเวลาแทบทั้งสิ้น  เวลาเป็นสิ่งเดียวที่เที่ยงแท้  และไม่เคยทรยศ  จะเดินอย่างสม่ำเสมอ

   ไม่มีเหตุผลที่เธอต้องเลือกฉันจากเป็นคนไม่เชื่ออะไร  สุดท้ายก็ได้แต่ถามตัวเองซ้ำ ๆ  . . .

   . . . ตกลงคือพรหมลิขิตใช่ไหม  ที่เขียนให้เป็นอย่างนั้น  ตกลงให้เรารักกันใช่ไหม  อย่างนั้นขอได้หรือไม่  โปรดอย่าทำให้เราพลัดพราก  ให้เรารักกัน   เนิ่นนานถึงจนวันตาย

   ทุก ๆ  ชีวิตมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกัน . . .

   . . . และปลายทางก็ไม่เหมือนกัน

   เพราะในแต่ละชีวิต  ย่อมมีวิถีทางที่เป็นของตัวเอง  ไม่มีใครเมหือนกันทั้งร้อย  ทุก ๆ  ชีวิตต่างดิ้นรน  เพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการ  จุดเริ่มต้น   ของแต่ละคนอยู่ที่ความต้องการของเขา

   และ . . .

   . . . ปลายทางของแต่ละคน  ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของคน ๆ  นั้นเป็นหลักแทบทั้งสิ้น

   สำหรับผม . . .   

   . . . ปลายทางของเช้าวันนี้   จังหวัดใหญ่อันดับหนึ่งของภาค จังหวัดที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักของภาคเหนือ

   เชียงใหม่




   ผมหลับตา . . .

   . . .  ยิ้มอย่างมีความสุขเพราะภาพเก่า ๆ  มันค่อย ๆ  เดินทางมาเยือนอีกครั้งในยามที่ผมหลับตาอยู่แบบนี้  ภาพนั้นชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้น


   ผมชอบเครื่องบินตั้งแต่จำความได้  และกระเสือกกระสนมากมายที่จะบินให้บ่อยมากที่สุดเท่าที่จะทำได้  ตอนเด็ก ๆ  อาจจะยากสักหน่อย  แต่พอเข้าสู่วัยทำงาน  การเดินทางของผมก็สะดวกมากขึ้น  และมันแปรผันตรงกับเงินในกระเป๋าสำหรับค่าใช้จ่ายในการบินแต่ละครั้งเสียด้วย

   ตั้งแต่เข้าสู่วัยทำงานเป็นต้นมา  ทางเลือกสองทางในการกลับบ้านที่เชียงใหม่ . . .

   . . . ขับรถกลับมาเอง

   และ . . .

   . . . บิน

   หากแต่ . . .

   ช่วงปีหลังมานี้บินบ่อยมาก  มากจนแทบอ้วกออกมาเป็น A320  อะไรมันจะมากขนาดนั้น  แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น  บินเพราะอานิสงค์คุณหางแดง 

   “ฉันรักเธอนะโปร O บาท”

   นั่นคือเหตุผลแรกในเมื่อก่อนที่ผมรักหางแดง . . .

   . . . แต่วันนี้ผมรักหางแดงด้วยอีกเหตุผลนึง

   “เพราะหางแดงรีไทม์  จึงทำให้ผมเจอใครบางคน”

   เพราะเดือนก่อน  ผมตัดใจทิ้ง  O  บาทไปหลายไฟลท์  เนื่องจากขี้เกียจกลับบ้าน  แต่บังเอิญว่าก่อนกลางเดือน  หัวหน้างาน  ท่านกวนอวัยวะที่ใช้เดิน   ผมเลยหาเรื่องหยุดเล่น ๆ  ให้แกด่า  เลยโทรเข้าคอลฯ  ของคุณหางแดงเค้า

   “FD รีไทม์  ผมไม่สะดวกเวลาใหม่จะทำอย่างไรได้บ้างครับ”    ไอ้เวรเอ้ย  รู้ทั้งรู้เลื่อนได้  แต่ที่ผมจองเอาไว้มัน  O  บาท  จะหน้าด้านเลื่อนอีกหรือนั่น

   ไม่สน . . .

   . . . จะเลื่อน เพราะผลประโยชน์ของผมเอง

   หลังจากเสียงเพราะ ๆ  ผ่านสายอธิบายมาผมก็ตกลงเลื่อนไฟลท์ทันที

   “แอร์เอเชียขอขอบพระคุณ ที่ท่านกรุณาเลือกใช้บริการของสายการบิน  มีอะไรให้รับใช้อีกไหมค่ะ”

   กำลังจะบอกขอบคุณ  แต่ดันนึกขึ้นมาได้

   “อีกหนึ่งบุคกิ้งได้ไหมครับ”

   “ยินดีค่ะ  ขอนัมเบอร์บุคกิ้งด้วยค่ะ”  เสียงหล่อนใจดีชะมัด

   แบบนี้เสร็จโจรอ่ะดิ๊ . . .

   “อะไรนะคะ  กลับวันเดียว  เกรงว่าจะไม่ทัน  จะกลับวันเดียวแน่หรือคะ”  หล่อนเป็นห่วงผม  เพราะดันอยากกลับในไฟลท์ค่ำ

   ไรฟร่ะ . . .

   “ทันครับผม  ผมทำบ่อย”

   ถ้า . . .

   . . . หางแดงไม่รีไทม์ 

   ผมคงไม่ได้เจอกับใครคนนึง ?

   และสิ่งนี้คือเหตุผลที่สองนอกจากโปร O บาท  ที่ทำให้ผมรักหางแดง  เพราะหางแดงรีไทม์  ทำให้ผมได้เจอกับสิ่งที่ชีวิตค้นหามานาน

   แต่ . . .

   . . . ณ  ขณะนี้ 

   ที่ความสูงกว่าสามหมื่นฟิต  ผมกำลังนั่งอยู่ในเครื่อง 737-400  ไฟลท์เช้าสุดของวันที่จะลงที่เชียงใหม่  หลังจากที่แอบวางแผนเอาไว้หลายวัน  แอบกลัวความลับจะรั่วไหล  และแอบโกหกคุณคนนั้นไปหลายครั้งเสียด้วย  เพราะผมมีความตั้งใจที่จะบินกลับในตอนเช้า   พอลงจากเครื่องบิน ก็ได้เจอแสงสว่างที่ปลายหัวใจ

   ปลายทาง . . .

   . . . สำหรับผม  มีความหวังเสมอ

   ผมจำได้ดีปีที่ผ่านมา  มีหนังเด็ก ๆ  ใส ๆ  เรื่องนึง  ผมดูตัวอย่าง  แล้วหลงรักทันที  เพราะหนังเรื่องนั้นใช้สถานที่หลักในการถ่ายทำคือ  “ภูเก็ต”

   ผมชอบบ้านเรือนในสไตล์ชิโนโปรตุเกสเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว  ผมเลยมีความตั้งใจอย่างแรงกล้า  ว่าจะต้องไปดูหนังเรื่องนั้นให้ได้  แล้วผมก็ได้ทำแบบที่หวัง  เพราะเมื่อหนังเข้าโปรแกรม  ผมก็ไปดู  ด้วยความอยาก  ไม่ได้ต้องการอะไรมากในหนังนอกจาก  อยากเห็นสภาพบ้านเรือน  วิถีชีวิตของคนภูเก็ต  และภาพสวย ๆ  เพลงเพราะ ๆ  ตามสไตล์หนังของค่ายแถบลาดพร้าว

   “คนบ้าไรว่ะ  บินไปดูหน้าคนรักแล้วบินกลับ ไร้สาระชิบ . . . (ละไว้แล้วคำหยาบ)  คนแบบนี้มีจริง ๆ  หรือ?”

   สิ่งที่ผมไม่รู้ . . .

   . . . ความรัก

   มันเป็นอะไรที่เราไม่สารถหาเหตุผลรองรับได้  ผมอาจเคยมีความรัก  แต่มันก็นานมาแล้ว  นานจนผมลืมไปว่า  ในความรัก  มันไม่ได้ต้องการเหตุผล  มากไปกว่า  การได้ทำอะไรตามที่หัวใจตัวเองปรารถนา  เหมือนกับที่ผมกำลังทำอยู่ตอนนี้ไง

   ไม่อย่างนั้นคงไม่มีสุภาษิต

   “ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว”

   เพราะทุก ๆ  ชีวิตในละคร หรือ หนัง  มันก็จำลองแบบมาจากการใช้ชีวิตของผู้คนแทบทั้งสิ้น  สิ่งที่เราคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้  มันเป็นไปได้เสมอ  ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เป็นแบบที่เราหวังทั้งร้อยหรอก  มันมีทั้งดีแล้วไม่ดีผสมผสานกันไปเสมอ

   เพราะหลังจากไฟล์รีไทม์เมื่อครั้งก่อนโน้น . . .

   . . . ผมบินไปเชียงใหม่เพียงเพื่อ  อยากไปนั่งกินข้าวกับใครคนนึง ?

   ขนาดแม่ยังแอบแซว . . .

   “บินทำไมบ่อย ๆ เปลือง  กลับมาอยู่บ้านเลยดิ๊”

   บินเช้ากับน้องนกกลับบ้านทำให้เวลาในการอยู่กับคน ๆ  นึงก็มากขึ้น  เพราะยังมีอีกหลายไฟลท์ในหนึ่งวันที่นกบินเชียงใหม่ ทำให้มีเวลาเกือบทั้งวันในการอยู่กับคนที่ผมรัก  ผมไม่รู้  ใครคนนั้นจะรักผมหรือไม่  เพราะผมไม่สามารถรู้หัวใจคนอื่น

    แต่ . . .

   . . . ผมรู้หัวใจตัวเอง 

   หัวใจผมมันบอกอยู่เสมอว่าผมรักใคร  และกำลังทำอะไร

   แล้วพอตกค่ำ . . .

     ผมก็สอยไฟลท์ค่ำเพื่อบินกลับ  ก่อนมานอนเอาแรงในการทำงานในวันรุ่งขึ้น  เห็นไหม  ว่าเวลานกแอร์  แค่สี่ไฟลท์ต่อวันในรูทบ้านผม  ทำให้ผมมีความสุขกับการได้ใช้เวลาอยู่กับคนที่ผมรักมากขึ้น

   ใครบอกว่าเงินซื้อเวลาไม่ได้ . . .

   . . . แต่ผมกำลังใช้เงินซื้อเวลา  ในการอยู่กับใครคนนั้นนานกว่าเดิมอยู่นี่ไง

   ใครคนนั้นรู้ว่าผมทำแบบที่ผ่านมา . . .

   . . . ด่าผมเสียยับเลย

   คนบ้าไรว๊า  บินเช้า  เพื่อมาใช้เวลาอยู่ด้วยกันเพียงไม่นาน  แล้วบินกลับ

   อ้าว !

   ตอนนี้ผมมันบ้า  แถมตาบอด  มองอะไรไม่เห็นเสียด้วย  ไม่งั้น  คงไม่ทำซ้ำอีกครั้งในเวลานี้หรอก  วันนี้ ในเวลานี้  เวลาที่ผมนั่งมองเมฆขาว ๆ  ที่ปลายปีก  ผมกำลังเดินทางไปหามัน    ทั้ง ๆ  ที่ผมควรไปหามันตั้งแต่เมื่อวาน

   เพราะ . . .

   . . . เมื่อวานคือ  วาเลนไทน์

   แต่ผมเลือกที่จะไม่ไปในเมื่อวาน . . .

   . . . เพราะสำหรับผม  ผมไม่ได้รักมันแค่วันนั้น 

   แต่ผมรักมันทุก ๆ  วัน

   . . . และทุกลมหายใจที่ผมมี 

   ฮิ้วววววววววววววววว

   และ . . .

   . . . ผมไม่สนใจด้วย  ว่ามันจะรักผมหรือไม่  แค่รอยยิ้มจากมัน เวลาที่เจอหน้ากัน  ผมก็มีความสุขแล้ว  แค่ได้เจอกับมันก็คุ้ม  ที่ได้มีชีวิตอีกหนึ่งให้ผมได้รัก  เพราะความรักไม่ได้ต้องการเหตุผล 

   เรื่องของความรัก . . .

   . . .   คือเรื่องราวของหัวใจ  คือสิ่งที่วัดกันด้วยความรู้สึกล้วน ๆ   

   ผมถือคติ . . .

   แค่ได้รักมันในวันนี้  ก็มีความหมายมากมายให้ผมได้เดินต่อไปในวันข้างหน้า   แรงขับเคลื่อนในชีวิต  ที่เหมือนจะขาดหายไปจากตัวผมนานมากแล้ว  แต่ตอนนี้  มันกลับมีพลังขึ้นมาอีกครั้งตั้งแต่วันที่ผมได้เจอกับใครคนนึง  คนนั้น

   ใคร  คือ  คนที่คุณ  โทรหาคนแรก  ในวันวาเลนไทน์ ? . . .

   คำถามแรกที่ผมตั้งไว้เล่น ๆ   

   แล้วคนแรกที่โทรหาคุณในวันวาเลนไทน์คือใคร ?  . . .

   คำถามที่สองที่ตามมาในเวลากระชั้นชิดที่สุดแล้ว  ผมไม่รู้หรอกว่า  ในวันแห่งความรัก จะมีอะไรบ้าง  ที่เกิดขึ้นกับผู้คนมากมายบนโลก  แต่สำหรับผมแล้วผมรู้ว่า  มันช่างเป็นวันเวลาที่แจ่มที่สุดเลยทีเดียว

   กับคำถามสองคำถามที่ผมถามตัวเองเล่น ๆ

   แต่ . . .

   . . . คำตอบของผม

   คือคำตอบเดียวกัน ?

   เอ๊ะ ! มันยังไง

   คนที่ผมโทรหาคนแรก . . .  คือ  ใครคนนั้น

   ส่วนคนที่โทรหาผมคนแรก . . .ก็  ใครคนนั้น  แม้มันจะแค่ยิงมาหาผมก็เถอะ  เพราะผมบอกกับมันเอง  ว่าไม่รับสายมัน  แต่ผมจะโทรหามันเอง 

   ผมไม่รู้หรอกว่ามันจะรู้หรือไม่  ว่าตอนนี้ผมกำลังอยู่บนเครื่องบินเพื่อบินไปหามัน  แต่มันรู้ว่าผมจะกลับกรุงเทพฯ  ค่ำนี้  TG126 . . .

   ถ้ามันรู้ว่า . . .

   . . .  เช้านั่งนกไปหามัน  ค่ำนั่งป้าม่วงกลับ  มันคงด่าผมยับตามเคย

   ที่จริงมีรุ่นน้องคนนึง  เสนอขายตั๋วหางแดง  ที่มันซื้อมาพันนึง  โดยจะขายผมพันห้า ตั้งแต่สิบกว่าวันก่อน  แต่ผมไม่ได้สนใจ  เพราะผมไม่เคยนั่ง  FD  แพงกว่า O บาท   ยกเว้น  AK  ที่แพงกว่าผมก็นั่ง  แต่ไม่รู้ทำไม  พอเป็น  FD  ไม่นั่งซะงั้น

   ดันไปจ่ายน้องนกกับคุณป้า  แพงกว่าเห็น ๆ    




   ผมมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง คงจะอยู่แถว ๆ  นครสวรรค์ ทำไมเวลาบินชั่วโมงเดียวมันนานนักก็ไม่รู้  หรืออาจเพราะว่า  หัวใจมันเดินทางเร็วกว่าสิ่งใดทั้งหมด    ก็คงจะใช่  เพราะหัวใจผมเตลิดไปถึงปลายทางตั้งแต่ที่ผมจองตั๋วเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวันที่ ๗  กุมภาพันธ์  โน่น 


   ผมปิดคนนั้นไว้มิดชิดเสียด้วย ว่าจะบินวันไหน ?

   หรือ . . .

   . . . บางทีมันอาจจะรู้แล้วก็ได้ว่าผมจะบินลงไปวันไหน  เพียงแต่มันอาจทำเป็นแกล้งโง่  ว่าไม่รู้ว่าผมไปวันไหนก็เป็นได้ 

   ผมแค่อยากให้มันแปลกใจ . . .

   . . . สำหรับคนที่ผมรัก  ผมจะใส่ใจกับวันเวลาเสมอ  เหมือนที่ผมรู้  ว่าผมเจอมันครั้งแรกที่ไหน  เจออย่างไร  วันไหนสำคัญสำหรับผมบ้าง  ผมเลือกที่จะไม่บินในวันแห่งความรัก  เพราะวันแห่งความรักคงไม่สำคัญเท่ากับวันนี้ . . .

   . . . วันที่ผมเจอกับมันอย่างเป็นทางการ

   วันที่ผมยืนตะลึงก้าวขาไม่ออก . . .

   . . . วันที่ผมดินตามมันลงมาทางบันไดเลื่อน 

   สบสายตากับมันครั้งแรก  ที่หน้าร้านกาแฟชั้นหนึ่ง  ก่อนที่ผมจะโทรหามัน  แล้วนั้บจากวันนั้นมาจนถึงวันนี้  ยังไม่มีสักวันที่ผมกับมันไม่ได้คุยกันก่อนนอน  ขอบคุณเทคโนโลยี่สมัยใหม่  ที่ทำให้ผมได้ยินเสียงมันก่อนนอนทุกค่ำคืน

   สำหรับคนอื่นผมไม่รู้  ผมรู้แค่ว่า  วันที่  ๑๕  สำหรับผม  สำคัญกว่าวันที่  ๑๔  แน่ ๆ  ผมเลยเลือกที่จะบินในวันที่  ๑๕  โดยวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าเสียด้วย    ทุก ๆ  ย่างก้าวสำหรับผมมีความหมายเสมอ  เพราะผมคิดว่า 

   หาก . . .

   . . . พระพรหม  ได้ขีดเส้นให้ได้มาเจอกับสิ่งที่ดีแล้ว  เราจะต้องรักษาสิ่งที่ดีนั้นเอาไว้

   ถึงมันจะไม่ได้รู้สึกแบบที่ผมรู้สึก  แต่ผมก็ยินดีที่จะกอดเก็บเอาความรู้สึกแบบนี้เอาไว้  ความรู้สึกทั้งหมดจากหัวใจผม  สู่ใครบางคน

   ผมชอบที่จะทำอะไรหมดทั้งหัวใจเสมอ  และ  ไม่ว่าผลมันจะออกมาเป็นเช่นไร  ผมจะยิ้มรับเสมอเช่นเดียวกัน  ผมไม่เสียใจกับผลที่เกิดขึ้น  ไม่ว่าจะในแง่บวกหรือลบ  เหมือนเหรียญ  เหรียญมีสองด้านเสมอ  และในทุก ๆ  ด้านของเหรียญ  ความสำคัญของมันก็เท่ากัน

   ถ้าผมรัก . . .

   . . . ใครคนนั้น

   ผมเต็มที่กับความรัก  ทำให้ดีที่สุด  หากเขาไม่รักผม  ผมอาจจะเสียใจ  แต่ผมก็ดีใจ  ที่อย่างน้อยผมก็ได้ทำไปเต็มที่แล้ว  กับสิ่งที่ผมทำไป  มันอาจจะไม่ใช่สำหรับใครคนนั้น    ผมก็รู้สึกดี  เพราะสิ่งที่ผมทำลงไป  เต็มที่  เต็มกำลังของผม  ผมจะไม่เสียใจในสิ่งที่ผมทำไป

   ในทางกลับกัน . . .

   . . . หากผมทำไปไม่เต็มที่นี่สิ  มันน่าเสียใจ  เพราะผมไม่ได้พยายามทำเพื่อเขาเลย

   ความรัก . . .

   . . . ความหลง

   มันห่างกันแค่เส้นบาง ๆ  กั้นเท่านั้น  เพราะว่าในบางครั้งที่เราคิดว่ารัก  มันอาจจะแค่ความหลงเท่านั้น เพราะอะไร ผมก็บอกไม่ได้  แต่มันเหมือนกันจนแยกไม่ออก  ผมใช้เวลามาระยะนึง  เพื่อทบทวนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันคือความรักหรือความหลงกันแน่

   ผมแน่ใจ . . .

   . . . ไม่ใช่อย่างหลัง

   เพราะวัยขนาดผม  คงเลยความรู้สึกพึงพอใจในรูปร่างหน้าตามานานแล้ว  ผมไม่ปฎิเสธ  ว่าคนส่วนมาก  จะพึงพอใจที่รูปลักษณ์ภายนอกที่เรามองเห็นที่เราสัมผัสได้  ก่อนสิ่งอื่นใดทั้งหมด  แต่เมื่อมันก้าวข้ามเลยสิ่งนั้นมาแล้ว  เราจะมองกันที่  นิสัยใจคอ  การค่อย ๆ  เรียนรู้  และปรับปรุงในสิ่งที่ทั้งเรา  และ  คน ๆ  นั้น  จะปรับตัวเพื่อเข้าหากัน

   การเรียนรู้  เพื่อจะก้าวข้ามบางอย่างก็เริ่มต้นขึ้น . . .

   . . . แผนบันไดสามขั้น

   ขั้นแรก . . .

   . . .  คนรัก   ผมเชื่อว่าทุกคนอยากที่จะมีคนรัก  การที่เราจะรักใครสักคน  มันไม่ยาก  เพราะความรัก  ความชอบ เกิดจากความรู้สึกประทับใจกับสิ่งแรกเห็นเสมอ  เหมือน ๆ  กับที่ผมเคยเจอกับใครคนนึง  คนนั้นที่ผมเจอ  ทำให้ผมรู้สึกรักในทันที  และพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ได้ไปอยู่ใกล้ ๆ  กับคนที่ผมรัก  และหากวันนึง  ผมทำสำเร็จ  ผมก็จะมี . . .

   . . . คนรักเป็นของผมเสียที

   ขั้นที่สอง . . .

   . . . คู่รัก  ก็บอกอยู่ว่า  “คู่”  หมายถึงสอง  จะเป็น หนึ่ง สาม  ห้า ฯลฯ  ไม่ได้  คู่จะต้องมีแค่สองเท่านั้น  เมื่อเราก้าวผ่านการเป็นคนรัก  เราก็จะได้เจอกับคู่รัก  คนที่พร้อมที่จะใช้ความรู้สึกร่วมกัน  คนที่จะโอบไหล่อีกฝ่ายเอาไว้  ยามอีกคนเจอปัญหาท้อแท้  และอุปสรรค  คู่รักจะคอยเป็นกำลังใจให้กับอีกฝ่าย  ในขั้นนี้  มีหลาย ๆ  คนที่อยู่บนบันไดขั้นนี้ . . .

   . . . คู่รักที่เราปรารถนาจะมี

   ขั้นที่สาม   ขั้นสุดท้าย . . .

   . . . คู่ชีวิต  คนทุกคนที่มีความรัก  อยากที่จะเดินมาถึงขั้นนี้ด้วยกันทั้งนั้น  เพราะในขั้นนี้  หมายถึงทุก ๆ  อย่างของคนสองคน  มากองรวมกันไว้  คนที่พร้อมจะดูแลอีกคนไปจนตราบหมดลมหายใจ  มันมากกว่าความรัก  เพราะคนที่จะเป็นคู่ชีวิตกับใครสักคน  ต้องผ่านการเรียนรู้  ผ่านความรู้สึกต่าง ๆ  ผ่านหยดเลือดและหยาดน้ำตามามากต่อมา ในขั้นนี้เป็นขั้นที่ทุก ๆ  คนอยากจะมีด้วยกันทั้งนั้น . . .

   . . . คู่ชีวิต  คู่คิดของกันและกัน

   ผมเคยมีคนรัก . . .

   . . . แต่ไม่เคยมีคู่รัก

   และ  ในเมื่อไม่มีคู่รัก

   ผมจะรู้จักคู่ชีวิตได้อย่างไรกัน 

   ผมยิ้ม . . .

   . . . เมื่อนึกถึงทฤษฎีบ้าบอคอแตกที่ผมคิดเอาไว้ 

   เพราะผมรู้ดีการที่เราจะอยู่บนโลกใบนี้ได้ มันยาก  และมีอไรอีกมากมายที่เราเองต้องเรียนรู้  และมันก็เป็นประสบการณ์ชีวิต  ที่มาจากการใช้ชีวิตด้วยกันแทบทั้งสิ้น

   เวลา . . .

   . . . คือสิ่งที่เราเรียนรู้มันได้โดยไม่มีวันหมด

   ผมปล่อยความคิดตัวเองให้ไหลไปเหมือนสายน้ำที่ไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ . . .

   . . . คุณสมบัติที่ดีที่สุดของน้ำ

   คือ  ไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำเสมอ

   ผมมารู้สึกเอาอีกครั้ง  เมื่อเครื่องค่อย ๆ  กระแทกกับรันเวย์  แล้วเบครจนตัวโก่ง . . .

   . . . นกแอร์ขอขอบคุณที่ท่านเลือกใช้บริการ  และมีความยินดีจะแจ้งให้ท่านทราบว่า  เรานำท่านมาถึงก่อนกำหนดเป็นเวลาสิบห้านาที

   ผมมองดูอาคารผู้โดยสารที่สะท้อนอยู่กลางแสงแดดยามเช้า . . .

   . . . หัวใจผมเต้นระส่ำไปหมด

   ต่อจากนี้  อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง  กับผม  ใครคนนั้นจะยิ้มยินดีกับการเห็นหน้าผมหรือไม่  หรือ  จะมีน้ำตาตก  เพราะอยากเซอร์ไพรซ์เขาแต่กลับโดนเซอร์ไพรซ์เสียเองก็ไม่รู้

   เอาน่า !

   อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด

   ผมปลุกความกล้าที่จะยอมรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น  อย่างไรเสียก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว  ตอนนี้เดินมาไกลเกินกว่าจะกลับไปสู่ที่เดิม

   เครื่องจอดเทียบสนิท . . .

   . . . หัวใจผมล่ะ

   ไม่รู้สิ  มันเต้นเหลือเกินแล้ว  เต้าแรงกว่าทุก ๆ  ครั้ง  ผมค่อย ๆ  สูดลมหายใจเข้าปอดให้เต็มปอด  ก่อนค่อย ๆ  ก้าวลงมาจากเจ้านกสุรินทร์

   จะเจอมันไหม? . . .

   . . .  มันจะอยู่ตรงไหนของแผ่นดินเชียงใหม่  หนอ

   แล้วผมมีเรื่องมากมายอยากจะบอกกับมัน  อยากคุยให้มันฟัง  อยากเห็นรอยยิ้มของมัน อยากเห็นมันยิ้ม  อยาก . . .

   . . . สารพัดความอยากของผม  มันมากมายเหลือเกิน

   ผมรักมัน . . .

   . . . หัวใจผมบอกกับตัวเองแบบนั้น

   เพราะ . . .

   . . . ถ้าผมไม่รัก  จะบ้า  บินมาทำอะไรที่นี่ ?

   แถม . .

   . . . นี่เป็นการบินครั้งที่สองเพื่อมาหามันโดยเฉพาะ  บินไปกลับในวันเดียวกัน เพียงเพื่ออยากมีเวลาอันน้อยนิดได้อยู่กับมัน  ได้เห็นรอยยิ้มของมัน  ผมไม่รู้หรอก  ว่า  ยังมีความบ้าอะไรอีก  ที่ผมยังไม่ได้ทำ  ถ้ามีอะไรบ้ามากกว่าการบินไปกลับเพื่อได้เจอมัน  ผมก็จะทำ

   ทำด้วยความเต็มใจเสียด้วย

   ผมร่ำลาเจ้านกสุรินทร์  แทบจะเป็นคนสุดท้าย . . .

   . . . เพราะอะไรนะหรือครับ

   เมื่อมาถึงเชียงใหม่  ผืนแผ่นดินเดียวกัน  ผมกลับรู้สึกป๊อดขึ้นมาดื้อ ๆ  ผมจะต้องเจออะไรอีกก็ไม่รู้  ผมคิดเอาไว้  หากเจอกับสิ่งไม่คาดฝัน

   “จะสอยทีจีไฟลท์เที่ยงกลับ  ทิ้งตั๋วไฟลท์ค่ำไว้เป็นอนุสรณ์รัก”

   วันนี้ . . .

   . . . ผมจะเจอมันอีกไหม ?

   ถ้าเจอ  ผมจะถามมัน  ให้หายข้องใจไปเลย  ว่า  มันมีใครอยู่ในหัวใจหรือปล่าว 

   ผมสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างช้า ๆ . . .

   . . . หากแต่ยังแอบกลัว จนต้องแจ้นเข้าห้องน้ำที่ห้องรอรับกระเป๋า

   ถ้าผมเจอมัน ผมจำทำอย่างไรหนอ?

   ผมจะถามมัน . . .

   . . . "พี่มีโอกาสไหม มีมีสิทธิ์ ที่จะได้ความรักที่พี่ให้ไปหรือเปล่า ถ้าคุณมีใครอยู่ในหัวใจ ก็บอกมาตรง ๆ เพราะคราวห้าพี่จะได้บินลงเชียงราย นั่งรถอ้อมโลกเล่นดีกว่า"

   ผมจะถามมัน หากผมเจอมันอีกครั้ง . . .

   . . . ผมไม่กลัวคำตอบ เพราะความจริงคือ พรหมลิขิตมาให้ผมเจอมัน แต่ พระพรหม อาจจะลิขิตให้มันรักคนอื่นอีกคนก็ได้

   ผมเดินออกมาจากห้องรอรับกระเป๋า . . .

   . . . ยิ้มกับตัวเอง

   ผมจะถามมันให้หายข้องใจเลย ถ้าเจอตัวมัน คอยดู . . .
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ .
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 28-03-2010 11:15:21
จิ้ม ๆ ๆ ๆ พี่ต้น

โห ตอนนี้ คมสุด ๆ เลยอ่ะ พี่ต้น
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: kei_kakura ที่ 28-03-2010 11:43:15


   . . . "พี่มีโอกาสไหม มีมีสิทธิ์ ที่จะได้ความรักที่พี่ให้ไปหรือเปล่า ถ้าคุณมีใครอยู่ในหัวใจ ก็บอกมาตรง ๆ เพราะคราวห้าพี่จะได้บินลงเชียงราย นั่งรถอ้อมโลกเล่นดีกว่า"

   

.
.
 
 :-[... :-[... :-[

ได้ใจไปเรยอ่า....ประโยคเนี่ยะ..... :3123:
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 29-03-2010 08:04:17

ตอนอวสาน


“ความรัก”  ควรจบลงที่จุดเริ่มต้นจริงหรือ ?


   ผมไม่รู้หรอก  เพราะ  สำหรับผมแล้ว  ทุก ๆ  อย่างที่ผมทำ  ผมจะเต็มร้อยเสมอ   เพราะผมระลึกเสมอว่า  หากผมทำอะไรลงไปทั้งร้อยแล้วเกิดผิดพลาด  หรือเจ็บปวด  ผมอาจจะเสียใจมาก  แต่ผมก็ยังมีความดีใจว่า  ผมทำมันลงไปเต็มร้อยแล้ว   ผมทำไปด้วยหัวใจอย่างที่สุดแล้ว

   ในทางกลับกัน . . .

   . . . หากผมไม่เต็มที่เต็มร้อยกับมัน  แล้วผมผิดหวัง  ผมอาจจะเสียใจ  แต่ผมก็เสียใจมากไปอีก  ที่ผมไม่ทำมันเต็มร้อย  เพราะหากผมทำเต็มที่  ผมอาจจะไม่เสียใจมากขนาดนี้ก็ได้  ทุก ๆ  อย่างในชีวิตของผมจึงเต็มไปด้วยความคาดหวัง  ยิ่งผมคาดหวังเอาไว้มากเท่าไหร่  ผมก็ต้องเตรียมหัวใจสำหรับหารผิดหวังมากเท่านั้น

   เหมือนตอนนี้ . . .

   . . . วันนี้  วันที่มีความหมายมากสำหรับผม  มากขนาดไหนหรือครับ ก็ขนาดที่ว่า  ถ้าผมจะรักใครอีกสักคน  คน ๆ  นั้นจะเป็นคนสุดท้ายที่ผมรัก

   สิบกว่าปีที่ผ่านมา . . .

   รักครั้งแรกของผม เกิดขึ้น ณ  เกาะเล็ก ๆ  ที่มีพื้นที่ราว ๒๑ ตารางกิโลเมตร  เกาะที่ต้องนั่งเรือไปหนึ่งคืนกับอีกครึ่งวัน  เพราะในสมัยนั้น  การคมนาคมไม่ได้สะดวกแบบปัจจุบันนี้  ความรักครั้งแรกของผมเกิดขึ้นกลางอ่าวไทย  จังหวัดที่ได้ชื่อว่า   “เมืองร้อยเกาะ”

   มันเกิดขึ้นเมื่อราวสิบกว่าปีก่อน  มันเริ่มอย่างไรผมไม่รู้  ผมรู้แค่ว่า  เจ็ดปีที่คนสองคนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน  มันเวลาที่น่าจดจำมากที่สุดแล้ว    ผมผ่านทั้ง  ทุกข์  สุข  รอยยิ้มและน้ำตา  ผ่านวันเวลาที่เพาะบ่มให้ความรักที่ผมมีกลายเป็น   “ความผูกพัน”

   ความรัก  มันง่ายดายสำหรับการบอกกล่าว  เพียงแค่หลับตาแล้วพ่นลมปากออกมาว่า  “รักนะครับ”

   แค่นั้นเอง . . .

   . . . แต่

   ไอ้ความผู้พัน  มันไม่สามารถบอกออกมาเป็นคำพูดได้  มันคือความรู้สึกที่ค่อยก่อขึ้นทีละนิดจากวันเวลา  ทุก ๆ  อย่างมันค่อย ๆ  สะสม เหมือนตะกอนที่ค่อย ๆ  หล่นลงสู่ก้นแก้วอย่างช้า ๆ   ความผูกพันสำหรับผมจึงยากที่จะลืมมันให้ได้ในเวลาสั้น ๆ

   สำหรับผม . . .

   . . . ความรักมันสวยงาม  และหากผมรักใครสักคน  ผมจะไม่เคยวอกแวก  วอแวเลย  ผมจะทำเพื่อคนที่ผมรักเพียงคนเดียว  รักได้คนเดียว  จนกระทั่งสองปีก่อน  เมื่อความรักมันเดินมาสุดทาง  เมื่อคน ๆ  นึงหมดรักไปแล้ว  ในขณะที่อีกคนนึงยังรักเต็มหัวใจ

   คนที่เจ็บปวดที่สุดในเวลานั้นคือใคร ?

   ผมเจ็บปวดเจียนตาย  ทุรนทุรายเพราะพิษของความรัก  วันเวลาดี ๆ  ที่เคยมี  ไม่ได้ช่วยให้ผมได้หาย  หรือ  คลายจากความเจ็บปวด  ยามหลับตา  ภาพของวันที่เลวร้ายที่สุดตามมาหลอกหลอนผมเสมอ  ผมใช้เวลาสองปีทำตัวแย่ ๆ  

   สิ่งเลว ๆ  บางอย่างที่ผมไม่เคยทำ  ผมทำได้อย่างไม่รู้สึกสะท้านใด ๆ  เลย

   มันเป็นช่วงเวลาที่แย่  ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต  เวลาที่ผมประชดตัวเองไปวัน ๆ  เพียงเพื่อให้ได้ลืมใครคนนั้น  ผมเหมือนตัวอะไรสักอย่าง  ที่ไร้อดีต  ไม่มีอนาคต มีเพียงลมหายใจที่อยู่ไปวัน ๆ  เท่านั้น

   ความรักผมเริ่มที่นั่น . . .

   . . . แล้วผมก็จบความรักของผมลงที่นั่น  

   จากวันนั้นมาวันนี้สองปีกว่า  ที่ผมไม่เคยเหยียบไปที่นั่นอีกเลย  ไม่แม้คิดที่จะไป  หรือ โทรหา  ทุกครั้งที่มีการพูดถึงใครคนนั้น  ผมพยายามที่จะเอาตัวเองออกจากตรงนั้นอย่างเร็วที่สุด  ผมเหมือนคนที่มีบาดแผลฝังลึก ลึกจนผมเองก็ไม่คิดว่ามันจะทำให้ผมหายจากบาดแผลนั้นได้อีก

   ผมจบความรักที่ผมมีพร้อม ๆ  กับหยดเลือดและหยาดน้ำตาที่ท่วมหัวใจผมเอง . . .

   ผมสัญญากับตัวเอง  

   “ถ้าผมจะรักใครอีกสักคนในชีวิตนี้  คน ๆ  นั้นจะเป็นคนสุดท้ายที่ผมจะรัก”



   ๑๕ มี.ค. ๕๓ . . .

   ผมนั่งนิ่ง ๆ  ที่ร้านกาแฟเล็ก ๆ ที่ชั้นหนึ่งของสนามบิน  ร้านกาแฟสดที่สนามบินแห่งนี้มีสองร้าน  ที่ชั้นสอง ซึ่งเป็นห้องผู้โดยสารขาออก  และชั้นหนึ่งที่ชั้นผู้โดยสารขาเข้า  ผมเลือกที่จะนั่งที่ร้านชั้น  ๑


   เหตุผลเดียวที่ผมนั่งที่ร้านกาแฟร้านนี้ . . .

   . . . ผมชอบชื่อร้าน  เพราะผมชอบเครื่องบิน  เป็นความชอบที่หาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้  ผมมีความสุขทุกครั้งในการได้มองเครื่องบิน  

   ผมกำลังสับสนวกวนกับความคิดของตัวเอง . . .

   . . . เพราะอะไรนะหรือครับ

   รักครั้งที่สองของผมมันเกิดขึ้นที่นี่  หรือผมจะเรียกว่า  รักครั้งสุดท้ายดี  เพราะผมตั้งใจเอาไว้แล้ว  ว่าผมจะไม่ยอมเจ็บปวดกับความรักเป็นครั้งที่สามแน่ ๆ  ครั้งเดียวสำหรับผมมันเจียนตาย  หากครั้งที่สองอีก  ผมจะทำอย่างไรดี  ผมจะอยู่บนโลกนี้ได้หรือ  ในเมื่อหัวใจมันเจ็บปวดเพียงนี้

   ผมนั่งนิ่ง ๆ  ที่โต๊ะเล็ก ๆ  ริมกระจก  จับหลอดกาแฟคนมันไปมา  หลาย ๆ  อย่างมันวนเข้ามาในความรู้สึกของผม  ผมจะทำอย่างไรต่อไปดี  กับสิ่งที่เป็นอยู่ในเวลานี้   เวลาที่ดูเหมือนว่ามันยากในการตัดสินใจของผมมากมายเหลือเกิน

   ผมเจอกับใครคนนึงที่นี่ . . .

   . . .เมื่อสองเดือนก่อน  ๑๕ ม.ค.  ไม่ใช่สิ  ผมเจอกันแล้วก่อนหน้านั้น  เพียงแต่ในเวลาแรกที่เจอกัน  ผมเป็นฝ่ายเห็นเขา  ไม่ใช่เขาที่เห็นผม  แต่เมื่อสองเดือนก่อน  เป็นครั้งแรกที่ผมกล้าที่จะคุยกับเขา

   ผมรักมันทันทีตั้งแต่แรกเห็น . . .

   . . . รักทั้ง ๆ  ที่ผมเองก็คิดว่า  ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับผมอีกแล้ว

   บาดแผลลึกจากรักครั้งแรกของผม ค่อย ๆ  หายลงอย่างรวดเร็วเมื่อผมเจอกับใครคนนึง  เพราะอะไรผมไม่รู้  ผมไม่รู้เหมือนกัน  ผมรู้เพียงแค่ว่า  ตั้งแต่มันเข้ามาในชีวิตของผม  ผมมีแต่รอยยิ้ม  มีความรู้สึกว่า วันพรุ่งนี้ของผมต้องดีกว่าวันนี้

   ไอ้นิสัยเลว ๆ  แย่ ๆ  ผมทิ้งไปหมด . . .

   ผมคิดเสมอ  ว่าหากผมรักใครสักคน  ผมคงต้องหยุดทุก ๆ  สิ่ง  เพราะหากผมไม่ชอบให้เขาทำสิ่งแย่ ๆ  ผมควรที่จะไม่ทำสิ่งแย่ ๆ  นั้นก่อน  ผมใจเย็ลงมาก  มีรอยยิ้มทุกครั้งที่ได้เจอกับใครคนนึง  

   ผมกลับลงไปบ้านบ่อยขึ้น . . .

   . . . อาทิตย์เว้นอาทิตย์  หรือบางครั้งไม่ถึงสองอาทิตย์  ผมก็ลงไป  ผมลงไปเพียงเพื่อได้เห็นหน้า ได้เจอรอยยิ้มของใครบางคน

   ผมถามตัวเอง . . .

   รัก กับ หลง  ห่างกัน  หรือเหมือนกันจนเราแยกมันไม่ออก  ผมแน่ใจแล้วหรือ  ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งนี้คือความรัก  คำถามที่ผมถามตัวเองมาตลอดสองเดือนเต็มที่ผมรู้จักกับใครคนนั้น  มันเหมือนคามรักที่เกิดอยู่บนเส้นของความไม่แน่นอน

   เขาคนนั้น . . .

   . . . ผมไม่รู้  ผมไม่รู้หัวใจคนอื่น  เพราะผมรู้แค่หัวใจตัวเอง  และผมคิดเสมอว่า  ความรักมันไม่น่าจะเกิดพร้อมกันจากคนสองคน  แต่มันเกิดจากใครคนใดคนหนึ่งเป็นฝ่ายไปกระตุ้นอีกฝ่าย  หัวใจผมบอกตัวเองว่า  ผมรักใครคนนั้นไปแล้ว

   ผมเสียใจมั้ยหากเขาไม่ได้รักผมแบบที่ผมรัก . . .

   . . . ก็มีบ้างครับ  แต่ผมก็ดีใจ  ว่าอย่างน้อย ผมก็รักคนอื่นเป็น  การเจ็บปวด  และน้ำตา  มันทำให้ผมรู้ว่า  ผมยังมีความรู้สึก  มีชีวิตอยู่บโลกใบนี้  เพราะที่ผ่านมาสองปี  ผมไม่เคยมีน้ำตาให้ใครอีกเลย  ผมด้านชา  จนบางครั้งดูเหมือนเฉยชา

   แต่สองเดือนที่ผ่านมา . . .

   . . . ใครคนนั้นทำให้ผมรู้ว่า  ผมยังมีชีวิต  มีเลือดเนื้อ  มีความรัก  มีความเจ็บปวด  ไม่ได้เป็นเหมือนซากชีวิตที่มีแค่ลมหายใจอยู่ไปวัน ๆ  แบบที่ผ่านมา เพราะผมเสียน้ำตาไปแล้ว  น้ำตาที่ไม่เคยไหลออกมาเลยในห้วงสองปีกว่าที่ผ่านมา

   แต่ . . .

   . . . ใครคนนั้น ทำให้ผมมีน้ำตาได้อีกครั้ง

   ผมควรขอบคุณใครคนนั้น  เพราะอย่างวน้อยที่สุด  เขาก็ทำให้ผมรู้ว่า  หัวใจผมมันยังอ่อนแอ  มันยังมีความรัก  ความสวยงามอยู่  ผมยิ้มทั้งน้ำตา  ยิ้มทั้ง ๆ  ที่รู้ว่า  บางครั้งผมอาจจะคิดมากไปกว่าที่ใครคนนั้นคิด  ผมเสียใจ

   ผมไม่ได้เสียใจที่เขาไม่รักผม . . .

   . . . แต่ผมเสียใจ ที่ผมทำให้เขารักผมไม่ได้

   ผมยิ้มเมื่อนึกถึงเมื่อเช้า . . .

   . . . ภาพต่าง ๆ  ที่ผ่านมา  ที่เคยเกิดขึ้นระหว่างผมกับมันลอยเข้ามาในสมองเหมือนภาพยนตร์ที่ฉายย้อนกลับ

     ตอนที่เจ้านกสุรินทร์ ค่อย ๆ แท็กซี่มายังลานจอดอย่างช้า ๆ  เพราะผมเห็น  คนที่ลานจอด  คนๆ  นั้นใช่คน ๆ  เดียวกับคนที่ผมรักแน่ ๆ  แต่แปลกที่วันนี้  ฟอร์มของทุกคนตั้งแต่ดอนเมืองยันเชียงใหม่เป็นสีชมพู   วันนี้ผมโชคดี  ที่คนที่ผมรักมารอผมถึงลานจอด  เพราะเมื่อเครื่องจอดสนิท  บันไดค่อย ๆ  เข้ามาเทียบ  ความวุ่นวายในเคบินก็เกิดขึ้น

   ผมกลับหัวใจเต้นโครมครามเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างเคบิน . . .

   . . . ใครคนนั้นกำลังคุย  ว.  อยู่กับใครก็ไม่รู้  

   มันจะรู้ไหม ว่ามีใครบางคนที่รักมันอย่างเต็มหัวใจอยู่ในเครื่องลำนี้  มันอาจจะรู้  หากมันรักผม  และเช็คได้แน่ ๆ  ว่าผมจะมาวันไหนหรือ  หากมันใช้หัวใจเดียวกับผม  มันก็จะรู้เองว่า  ผมต้องมา  ผมต้องมาหามันในวันนี้

   ทำไมนะหรือครับ . . .

   . . . เพราะตั้งแต่  มกราคม  ผมเลือกที่จะบินวันที่  ๑๕  เดือนที่ผ่านมา  กุมภาพันธ์  ผมก็เลือกที่จะบินในวันที่  ๑๕  แทนที่จะเป็นวันที่  ๑๔  วันแห่งความรัก  

   “ถึงจะไม่ได้ให้ในวันวาเลนไทน์  แต่ก็ซื้อในวันวาเลนไทน์นะครับ  สำหรับผม  วันนี้สำคัญกว่าวาเลนไทน์”  ผมบอกกับมันเมื่อยื่นถุงของฝากให้ในวันที่ ๑๕ ของเดือนก่อน

   ถ้า . . .

   . . . หัวใจผมอยู่กับมัน  แล้วมันดูแลเหมือนที่ผมดูแลหัวใจของมัน  มันจะรู้ได้ทันที  ว่าเช้านี้  จะมีหัวใจที่ไกลกันอยู่ในเคบินเจ้านกสุรินทร์แน่นอน

   ประตูด้านหลังพร้อมเปิด  ในขณะที่ผมหัวใจเต้นโครมคราม  กับ  การได้ลงมาจากเครื่องแล้วเจอคนที่ผมรัก  ผมจะก้าวขาออกไหม  ผมจะคุยกับใครคนนั้นได้หรือปล่าว  ผมบอกไม่ถูก  รู้แค่ว่าตอนนี้  มือชุ่มไปด้วยเหงื่อ

   ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอด  ก่อนเดินตามผู้โดยสารออกมาจากเคบิน . . .

   . . .  ผมมองเห็นมัน  มันหันหลังให้ผมอยู่

   ผมค่อย ๆ  ก้าวขาลงบันได้มาอย่างช้า ๆ  สายตาจับจ้องที่ทุกอากัปกริยาที่ใครคนนั้น  ผมยิ้ม  ก้มหน้าต่ำ  เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ใครคนนั้นหันกลับมา    ผมเห็นมัน  คิ้มคู่นั้นขมวดเข้าหากัน  เป็นเชิงแปลกใจ  ก่อนที่จะมีรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า  มันเดินมาที่บันได

   ช่วงจังหวะเดียวกันกับที่ผมเดินลงบันไดขั้นสุดท้ายพอดี

   “มาทำไมไม่โทรมาบอก”

   “ก็เพิ่งตัดสินใจมา . . .”  ผมยิ้ม  กับคนที่อยู่ใกล้กันแค่เอื้อม

   แค่เอื้อม . . .

   . . . ที่ผมเองก็ไม่กล้าที่จะเอื้อมไปในเวลานี้

   “. . . ของฝากครับ”  ผมยื่นถุงนั้นให้กับเจ้าตัว

   “ขอบคุณครับ  ไม่ต้องซื้อมาก็ได้”

   “ไม่ได้ดิ  พี่ไม่ได้เอามาฝากไม้  พี่เอามาฝากแม่  บอกแม่ด้วยนะลูกเขยฝากมา”

   มันหันมาทำตาขวางเชิงตำหนิผมนิดนึง . . .

   . . . กลางลานจอด  กล้าเล่นนะเนาะ  ผมไม่สนใจคนรอบ ๆ  ตัว  หรือเพราะว่า  สิ่งรอบ ๆ  ตัวผมไม่มีความสำคัญเท่ากับมันในเวลานี้

   ผมปล่อยให้เขาได้ทำงานของเขาไป  หลังจากที่ส่งถุงของฝาก ส่วนผมก็ทำหน้าที่ของผม  เก็บรูปเจ้านกสุรินทร์  แพนหางเจ้าสุรินทร์วันนี้สวยเนาะ  ผมไม่เร่งรีบเพราะผู้โดยสารวันนี้เต็มลำ และผมก็ลงคนแรก ๆ  ยังมีเวลาอีกมากในการเก็บรูปของผม

   หรือเรียกว่า . . .

   . . . ผมถ่ายรูป  เพื่อถ่วงเวลาในการเดินเข้ามาในอาคารผุ้โดยสารพร้อมกับใครคนนั้น  คนที่ไปรับเครื่องจะเดินกลับมาเป็นคนสุดท้ายเพื่อแน่ใจว่าผู้โดยสารออกมาหมดแล้ว  ผมเดินมาที่ปีก  แอบถ่ายใต้ปีกเจ้าสุรินทร์อีก  เนียนชะมัด

   “เที่ยงนี้ว่างไหม” ผมถามในขณะที่เดินห่างจากใครคนนั้นพอสมวร

   “ไม่แน่ใจ”

   “ว๊า  แย่เลยเนาะ”  หัวใจผมหล่นไปเล็กน้อย

   “ทำไมเหรอ”

   “อยากไปกินข้าว  กินข้าวด้วยกันสักมื้อได้ไหม”

   “พรุ่งนี้ไม่ได้เหรอ”  มันหันมามองหน้าผม

   “ไม่ได้หรอก  พรุ่งนี้คงไม่ได้”  ผมยิ้มก้มหน้าลงต่ำ  จะพรุ่งนี้ได้อย่างไร ในเมื่อคืนนี้  ผมต้องบินกลับแล้ว  ผมคงไม่มีพรุ่งนี้อีกแล้ว

   “เดี๋ยวโทรไปบอกแล้วกัน  ว่าได้ไหม”

“ครับ”  ผมยิ้ม  ก่อนเดินออกมายังรถลิมูซีนที่จอดรอที่อาคารด้านนอกสนามบิน  



      อาหารมื้อเที่ยง . . .

   . . . น่าจะเป็นมื้อที่กลืนลงคอยากที่สุดแล้วสำหรับผม


   เพราะแค่สลัดกุ้งทอดที่ยกมาวางเสิร์ฟก่อน  ผมก้แทบไม่ได้แตะอาหารอื่น ๆ  อีกเลย  ทุก ๆ  อย่างสำหรับผม  คล้ายจะหยุดนิ่ง

   “ไม้คุยอะไรกับพี่ได้ไหมครับ”

   “เอาดิ๊  มีอะไร”  ผมย้มให้  ทั้ง ๆ  ที่ยังไม่รู้ว่าคนที่นั่งตรงกันข้ามกับผมกำลังเงื้อดาบที่จะฟันคอผมอยู่

   “ทำไมพี่ไม่หาใครดูแลสักคนครับ”

   ผมมองหน้าไม้ เป็นครั้งแรก  ที่ใบหน้านั้นนิ่งเฉยมาก  ไม่มีอาการใด ๆ  ผมอ่านความรู้สึกนั้นไม่ถูก  แต่ผมรับรู้ได้ถึงความหนาวเหน็บ  ที่ค่อย ๆ  เกาะเข้ามาครอบคลุมหัวใจ  ทั้ง ๆ  ที่เป็นบ่ายของฤดูร้อน  กลางเดือนมีนาคม

   “พี่ไม่มีใครหรอก  มีไม้คนเดียวก็พอ”

   “แต่ไม้คิดว่ามันไม่ใช่”

   “พี่ไม่ดีตรงไหน”

   “ป่าวหรอกครับ  พี่ดี  ดีมากดีทุกอย่าง  แต่ไม้กลับรู้สึกเองว่ามันไม่ใช่หรอกพี่  อย่าพยายามอีกเลย”  มันยิ้มให้ผม  ก่อนตักอาการกินอย่างปกติ

   ผมนะหรือ  ลำคอตีบตัน   ขนาดที่น้ำลายก็ยังกลืนไม่ลงเสียด้วยซ้ำ  ผมแบนหน้าไปมองผักตบชวาที่ลอยล่องกลางคลองมะขามเตี้ย  

   เหมือนหัวใจผมตอนนี้กระมัง ล่องลอย

   ทุก ๆ อย่างที่ผ่านมา มันเกิดจากการคิดไปเองของผมกระนั้นหรือ  สิ่งที่ผมรับรู้  หรอืรู้สึกได้  มันไม่ได้เกิดจากความรู้สึกของคนสองคน  เพียงแต่มันเกิดจากใครคนนึงใช่หรือไม่

   “พี่เป็นไรมั้ยครับ”  เสียงมันปลุกผมจากอาการลอย

   “ไม่รู้เหมือนกัน  บอกไม่ถูก”  ผมหันไปยิ้มกับมัน  ยิ้มเพียงนิดเดียวเท่านั้น  เพราะตอนนี้  ผมรู้แล้ว  ว่า  หลาย ๆ  อย่างที่เราคิด  มันอาจจะไม่ใช่แบบที่เราคิด  ความคิดของเรามันไปล่วงหน้าตัวเราเองเสมอ

   ถามว่าตอนนี้ผมเจ็อบไหม ?

   ยังหรอก  มันยังแค่ชา ๆ  เพราะเหมือนมีดที่กรีดลงเนื้อ  มันยังไม่มีความเจ็บปวด  แต่มันมีแค่อาการด้าน ๆ  ชา ๆ  ผมจะทำอย่างไรต่อไปดี  อ่อนแอให้มันเห็นหรือ  คงไม่ดีแน่ ๆ  สิ่งเดียวที่ผมทำได้ตอนนี้คือ  ซ่อนทุก ๆ อย่างเอาไว้ภายใต้ใบหน้าที่มีรอยยิ้มเหมือนเฉกเช่นเคย

   “พี่ไหวมั้ย”

   “ไหวดิครับ  ขอบคุณไม้  ขอบคุณที่ทำให้พี่ยิ้มได้  ขอบคุณสำหรับเรื่องราวที่ผ่านมา พี่เข้าใจดี  เข้าใจทุกอย่าง  และพี่ก็เคารพในหารตัดสินใจของไม้ครับ”

   “ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี”

   “ไม่ต้องพูดหรอกครับ  พี่เองที่เดินไปหาไม้  อาจจะเร็วไป  เพราะพี่กลัวว่า  จะมีใครสักคนเข้าใกล้ไม้มากกว่านี้  พี่ต้องขอโทษไม้มากกว่า ที่ไปทำให้ชีวิตไม้วุ่นวาย . . .”   บางอย่างในหัวใจผมบอกให้ยิ้ม  ยิ้มให้กับทุก ๆ  อย่างที่ผ่านมา

   “ผมเสียใจ”

   “อย่าเสียใจไปเลย  พี่เข้าใจดี  พี่บอกแล้วไง  พี่ขอบคุณไม้  เพราะหากไม่ใช่ไม้  ป่านนี้พี่ก็ยังใช้ชีวิตเรื่อย ๆ  เฉื่อย ๆ  แบบเคย  พอมีไม้เข้ามา  ชีวิตพี่เปลี่ยนไป มีความรู้สึกอยากยืนบนโลกนี้ต่อ”

   “พี่หาใครสักคนไว้ดูแลนะครับ  จะไม่เหงา”

   ผมมองหน้าไม้  แววตามันอ่อนโยน  เหมือนเคย มันยิ้มแบบที่เคยยิ้ม ทุกอย่างเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน  

   “ไม่หรอก  พี่เคยบอกไม้ไปแล้ว  ว่าไม้ไม่ใช่คนแรกที่พี่รัก  แต่ไม้จะเป็นคนสุดท้ายที่พี่จะรักได้ในชาตินี้”

   ผมยิ้ม  ผมพูดจริง ๆ  เพราะรู้ดีว่า  ความรักมันไม่ได้เดินเข้ามาในชีวิตของเราบ่อย ๆ  ทุก ๆ  อย่างมีวันเวลาของมัน  แล้วยิ่งความรักที่เกิดจากคนสองคน  โอกาสที่จะปรับเข้าหากันมันยาก  ยากเกินกว่าที่เราจะไปคิดว่า  มันจะเป็นแบบไหน อย่างไร

   “พี่ . . .”  มันลากเสียงยาว

   “ช่างเหอะ  อย่าไปพูดถึงมันเลย  ตอนนี้  พี่อยากอยู่นิ่ง ๆ  อยากทบทวนว่า  มันเกิดอะไรขึ้นมาในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา  ไม้บอกพี่เสมอว่าพี่หลง  แต่พี่ว่าพี่รู้จักหัวใจพี่ดี  เพียงแต่พี่ไม่รู้จักหัวใจไม้  เอาเป็นว่า พี่ขอไม้ไว้สองเรื่องได้ไหม”  ผมมองหน้าไม้

   “เรื่องอะไร”

   “เรื่องแรก  ที่ไม้บอกจะบวช  บอกพี่ด้วย  พี่จะมา”

   “ได้ ๆ  ๆ  แล้วอีกเรื่อง”

   “พี่ไม่รู้  ว่าพี่จะแข็งแรง  และรับรู้กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเวลานี้ได้มากขนาดไหน  เอาเป็นว่า  ต่อจากที่เราแยกกันในวันนี้  หากบังเอิญเจอกันอีกครั้ง  ถ้าพี่ไม่ทักไม้ก่อน  ไม้ไม่ต้องทักทายพี่นะ  พี่อยากกลับไปสู่จุดเดิม  จุดที่พี่ยังไม่ได้รักไม้  ไว้พี่ทำใจคิดว่าไม้เป็นเพื่อนเป็นน้องเมื่อไหร่  ค่อยคุยกัน”

   “ทำไมต้องทำเหมือนไม่รู้จัก”

   “ไม่รู้สิ  เอาเป็นว่าพี่ขอ  เพราะพี่รักไม้มากกว่าที่ไม้คิด  คนที่เจ็บปวดคือพี่  พี่ไม่รู้ว่า  มันจะเจ็บปวดไปอีกนานแค่ไหน  แต่พี่สัญญาว่าหากพี่เข้มแข็งพอ  พี่ก็คุยกับไม้เหมือนเดิม  ยกเว้น . . .”  ผมสูดลมหายใจลึก ๆ

   “อะไรหรือครับ”

   “. . . ถ้าพี่ไม่ไหวจริง ๆ  พี่ขอโทรหาไม้นะครับ”

   “โอเคครับ  ผมทำตามที่พี่ขอ  แต่ผมขอพี่เรื่องนึง”

   “อะไร”  ผมเลิกคิ้วสูง

   “พี่อย่าอ่อนแอได้ไหม  พี่อย่ามีน้ำตาได้ไหมครับ”

   ผมมองหน้ามัน  เหมือนมันรู้ว่าตอนนี้หัวใจผมมันท่วมไปด้วยน้ำตา  เพราะผมกำลังสู้กับความรู้สึกของตัวเอง  ผมจะสู้กับมันได้มากแค่ไหนผมไม่รู้ เพราะในเวลานี้  หัวใจผมมันไม่ไหวแล้ว  ผมแทบจะทรงตัวให้นิ่งไม่ไหวอยู่แล้ว

   ผมขอลงกลางทางไม่ยอมให้ไม้มาส่งผมที่บ้าน . . .

   . . . ผมรู้ดี  การอยู่กับไม้อีกแค่นาทีเดียว  ผมคงปล่อยความอ่อนแอที่คลุมหัวใจอยู่ตอนนี้ไม่ไหว

   ผมลงมาจากรถที่ฝั่งตรงกันข้ามหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยมีเป้ใบเล็ก  มีป้ายสำหรับคอยรถประจำทาง  ทว่าผมไม่ต้องคอย  เนื่องจากสองแถวเข้ามาจอดพอดี  ขาผมมันก้าวขึ้นไปโดยไม่ต้องคิด  ไปไหนก็ไปกัน  ไม่ต้องกลัวการหลงทาง  

   ผม   “หลง”   กับถนนชีวิตมาพักใหญ่แล้ว  การจะหลงอะไรอีกไม่แปลก  

   ผมกอดเป้ไว้แน่น   “ยึด”  ว่ามันเป็นสิ่งเดียวที่มีที่เป็นของผม  มองภาพข้าง ๆ  ทางไปเรื่อย ๆ  

   เห็น . . . ก็สักแต่ว่าเห็น  

   ไร้ความรู้สึกไร้ความทรงจำใด ๆ  ทั้งสิ้นสิ่งที่รู้ตอนนี้    กลับไปบ้านไม่ได้เพราะบอกแม่ไว้แล้ว  ว่าจะไปสนามบินเลย    และการอยู่นิ่ง ๆ  กับที่จะทำให้ มันกระวนกระวาย  การได้ไปเรื่อย ๆ  ตามผู้คนตามถนนสายชีวิต  จะทำให้ความกระวนกระวายบรรเทาลง

   หัวใจมันสั่ง . . .

   ไป   ไป  ไป

   แต่ทว่า . . .

   . . . ไร้จุดหมาย

   มันมีชีวิต  แต่ทว่าไร้ชีวิต

   โลกยังหมุน . . .

   . . .  แต่ชีวิตดำเนินไป  ทว่าทุกอย่างจบแล้ว

   ผมลงที่ทางขึ้นเขาลูกเล็ก ๆ  ก่อนเดินไปขึ้นรถอีกคันที่จอด จนถึงจุดหมาย  ยอดเขาที่ตั้งของ . .

   “พระธาตุดอยสุเทพ”  

   แล้วเดินไปนั่งที่ริมผาซึ่งเป็นจุดชมวิว  มองลงมาเห็นตัวเมืองเชียงใหม่  เสียงระฆังจากผู่ช้คนที่เดินรอบโบสถ์ดังลอยมาตามลม  กระรอกลงมาขอขนมปังป้าแอนที่ติดมาตั้งแต่เมื่อเช้า  น้ำดื่มที่ซื้อเมื่อสักครู่ กลืนแทบไม่ลงคอทั้ง ๆ  ที่หิวแทบขาดใจ  ผมพยายามกินเพื่ออยู่  การขาดน้ำจะทำให้ร่างกายแย่    จากนั้นก็เดินเที่ยวเล่น  การอยู่ในโลกคนเดียวดีเสียกว่า  

   เพราะขี้เกียจกลับไปใส่หน้ากากแป๊ะยิ้ม ที่สนามบิน ผมไม่อยากได้ยินเสียงน้องไม้อีกแล้ว  ผมเดินอย่างไร้ทิศในวัดใหญ่ใกล้ ๆ  ตัวเมือง  จนเย็นย่ำ ก่อนอาศัยรถประจำทางจากพระธาตุลงมาในเมือง ถนนมีสายเดียว  ผมเดินทางคนเดียว  เหมือนถนนสายหัวใจ . . .

   . . . หัวใจผมมีดวงเดียว  เพื่อรักคน ๆ  เดียว

   ถนนบนภูเขามีทางเดินขึ้นเดินลง

   เหมือนถนนสายชีวิต . . .

   . . . ตอนเดินขึ้นเหน็ดเหนื่อยสาหัส

   ตอนเดินลง . . .

   . . . ละลิ่วหัวทิ่ม

   กว่าจะถึงหน้าสวนสัตว์ก็เกือบทุ่ม ผมโทร  1318  แล้วกด 4  เพื่อเช็คอินน์  ไม่ของของโหลดจะกลัวอะไร    ขอบคุณที่พระเจ้าสั่งให้ผมคำนวนเวลาถูก  ความมืดซ่อนรอยบางอย่างบนใบหน้าได้ดี    ผมแนบใบหน้ากับกระจก  ปล่อยความอ่อนแอที่เกาะกุมหัวใจอย่างที่สุดแล้ว 




หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 29-03-2010 08:05:09
   ผมมองแก้วกาแฟ  ที่ยังมีเกือบเต็ม  เรื่องราวในวันนี้ มันกำลังสอนอะไรผมหรือ  ผมไม่รู้  ผมดูเวลา  ตอนนี้หางแดงกำลังจะออก  แปลว่า  ผมควรเดินไปรับบอร์ดดิ้งพาสแล้วขึ้นเครื่องได้แล้ว  ผมควรเดินไปข้างบน  เพื่อจะไปรอในห้องผู้โดยสารขาออก

   ผมเดินขึ้นบันไดเลื่อนมายังชั้นสองของอาคาร  ก่อนเอาเป้ที่ผมกอดไว้แน่นผ่านเครื่องเอ็กซเรย์  ที่หน้าประตู  ข้างในอาคารบูธสีเหลือง  โดนขนาบด้วยเคาน์เตอร์เช็คอินสีม่วง  และสีแดง  คนที่ยืนหน้าเคาน์เตอร์  ผมจำได้ดี    ผมสูดลมหายใจเข้าปอด  ตรงนั้นเวทีแสดง  จากนี้ไป ผมจะแสดงมันออกมาให้สวยงามที่สุด  ให้สมกับที่ผมรักมัน

   “ทำไมมาเสียค่ำเลย  นึกว่าไม่มาแล้ว”  มันยิ้มเหมือนเคย

   “มาสิ  ยังไงก็ต้องมา  จองไว้ก็ต้องกลับ  พอดีแวะไปหาแม่มาอีกรอบ”  ผมยิ้ม  ก่อนเดินไปที่เคาน์เตอร์  แล้วส่งบัตรประชาชนให้  นกแฟนคลับที่เช็คอินทางโทรศัพท์แล้ว  มารับบัตรขึ้นเครื่องได้ที่ตรงนี้  ไม่จำเป็นต้องไปรอที่เคาน์เตอร์เชคอินอีก 

   “รอตั้งนาน”

   “รอทำไม”  ผมพยายามยิ้ม  เพราะต้องแสดง  ละครฉากนี้ให้ไม้เห็น  ว่าผมปกติยิ่ง  สุข  ไม่ได้มีอะไรกับเรื่องราวที่ผ่านมา

   “กินไรยัง”

   “อิ่มแล้ว  แม่ทำน้ำเงี้ยวให้กิน”  ผมยิ้มเอามือลูบท้องไปมา มองหน้าน้องไม้

   ผู้ชายตรงหน้าผม . . .

    . . . ไม่รู้จัก  ผมจริง ๆ  เสียด้วย  ไม่รู้ว่าตอนไหนเป็นตัวตนจริง ๆ  และตอนไหนเป็นการแสดง 

   “ขอบคุณครับ”  ผมยิ้มให้  เจ้าหน้าที่ในบูธ  ที่ส่งบัตรขึ้นเครื่องมาให้ผม 

   “กลับแล้วนะ”  ผมยิ้ม  ก่อนเดินจาก  ผมรู้ดี  ไม่ได้จบการแสดง  ขืนอยู่ต่อหน้าน้องไม้นานกว่านี้  ผมต้องแย่แน่ ๆ 

   “เดี๋ยว”  ไม้เดินตามมา  ก่อนผมเข้าห้องสำหรับผู้โดยสารขึ้นเครื่อง  ผมหยุดเพราะข้อมือโดนจับเอาไว้ ผมหยุดนิ่ง  ทั้ง ๆ  ที่แทบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่แล้ว

   “มีอะไร”  ผมหันไปยิ้ม

   “พี่จะมาอีกวันไหน”  แววตานั้นเศร้า

   “ไม่รู้  ทำใจให้สบายเถอะน้องไม้พี่เข้าใจ . . .”  ผมยิ้มอีกครั้ง

   “ . . . ลาก่อนนะ น้องชาย”   เสียงตอนท้ายผมข่มใจแทบตายกว่าจะลอดออกมา  ไม่วายหันกลับไปลาก่อนที่จะเดินตรงดิ่งเข้าไปห้องรอขึ้นเครื่อง  แล้วจมอยู่กับตัวเองอีกครั้งบนเก้าอี้นุ่ม ๆ  หากผมกลับรู้สึกคล้ายมีเข็มราวพันคอยทิ่มแทงหัวใจ

   ลาก่อนนะ . . .

   ไม้มันจะรู้ไหม  คำสั้น ๆ  แต่ความหมายยืดยาว

   ลาก่อน. . .

   . . . คือกัลปาวสาน

   ลาก่อน . . .

   . . . ไม่ผ่านมาอีก

   ลาก่อน . . .

   . . . แยกส่วนเป็นสองซีก

   ลาก่อน . . .

   . . . คือหลีกเร้นไกล


   ผมเดินตรง  ผ่านบานประตูขึ้นเครื่อง  ไปเป็นคนแรก ๆ  เมื่อมีเสียงประกาศเรียกขึ้นเครื่อง HS-TDB  นกภูเก็ตมารออยู่ตรงลานจอด   ผมตรงดิ่งไปทางประตูด้านหลัง  เพราะที่นั่งผม  51A  แล้วผมก็นั่งนิ่ง  ไม่กล้าแม้แต่จะมองออกไปที่อาคารผู้โดยสาร

   เอ . . . ทำไรดีหว่า?

   ท้องไม่ได้กินอะไรมากี่ชั่วโมงแล้วก็ไม่รู้ เพราะเมื่อตอนไปนั่งกินข้าวกับน้องไม้ปากบอกหิวแต่กลับเขี่ยข้าวไปมา  ไม่แตะมันสักนิด  ข้าวสักคำมันก็ไม่อยากกิน ผมนั่งลงก่อนดึงหมวกไหมพรมมาปกปิดแววตา  เสมือนหนึ่งไม่อยากสุงสิงกับใคร ก่อนปล่อย ศรีษะพิงไปกับขอบหน้าต่าง เสียงคนในเคบินดังเข้าหู   ดังมาแล้วห่าง . . . หาย . .

   ผมรับรู้แค่มีคนมานั่งใกล้ ๆ  ผม  หากแต่ตอนนี้  ผมไม่อยากสนใจอะไรเลย  เพราะโลกของผมตอนนี้มันไม่มีอะไรอีกแล้ว  ผมซุกหน้ากับริมฝั่งซ้ายของเก้าอี้  ไม่แม้แต่จะสนใจการสาธิตในการเจอสถานการณ์ฉุกเฉิน

   เสียงค่อย ๆ  เงียบลง  เมื่อ  เครื่องค่อย ๆ  แท็กซี่ไปอย่างช้า ๆ   

   โลก . . . สงบ . . . เงียบ . . . ดังเดิม

   แต่ . . .

   . . . โลกตอนนี้ไม่ยักใช่โลกใบเดียวกับเมื่อตอนเช้า  โลกตอนนั้นยังมีความสุขอยู่เลย    ผมกอดเป้ที่มีกล้องถ่ายรูปข้างในแน่น คล้ายสัตว์บาดเจ็บ  ไม่มีน้ำตาเหลืออีกแล้ว  แม้แต่เวลากระพริบตา . . .

   . . .ยังเจ็บ

   และถึงพยายามหลับตาก็ไม่สำเร็จ

   “เสือมันจะหลบเลียแผลตัวเองเสมอ”     เสียงพ่อก้องอยู่ในหัว  เพราะมันคือคำปลอบทุกครั้งที่ผมเจ็บ  พ่อผมเกิดปีเสือ  พ่อบอกต้องอดทนให้ได้ดั่งเสือ

   ผมแน่ใจและบัดนี้ต้องพูดว่า . . .

   . . . แน่ใจเป็นอย่างยิ่ง  ผมเป็น  “ลูกเสือ”  ไม่ใช่หมาที่จะร้องเอ๋ง ๆ  วิ่งหางจุกตูดให้คนเวทนา 

   ขอเวลานิ้ดเดียวน่า . . .

   ขอเวลาให้ผมเป็น  “เสือ”  เต็มตัวก่อน

   ตอนนี้มันยัง . . .

   . . . ครึ่งหมาครึ่งเสือยังไงก็ไม่รู้

   ผมหลับตานิ่งเมื่อเครื่องค่อย ๆ  กระชากออกอย่างรวดเร็ว  แล้วมันค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นไปเรื่อย ๆ    หากหัวใจผมว่างเปล่า  ถ้าจะถามว่านานเท่าใด  คงตอบได้แค่ว่า 

   “ไม่รู้สิ” 

   ถ้าจะถามว่า . . . 

   “ไม่หิวหรือ ?”    คงต้องย้อนถามตัวเองไปว่า 

   “ต้องกินด้วยเหรอ ?” 

   “คิดอะไรอยู่น่ะ ?”

   “ไม่ได้คิด”

   แล้วผมก็เผลอหลับไป  ในความฝันอันยุ่งเหยิง  มันหลงทางเดินร้องไห้ไปตามถนนที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต  ขรุขระ  ตะปุ่มตะป่ำ  เหมือนเดินตามหาใครก็ไม่รู้  เมื่อตื่นขึ้นมาในเคบินยังมืด

   อ้าว! 

   หมวกไหมพรมดึงปิดลงมาแค่จมูก  ไม่มืดได้อย่างไร  มีเพียงเสียงครางของเครื่องยนต์เท่านั้นที่เล็ดลอดมา  แสดงว่าเผลอหลับไป นิดเดียว  แต่น้ำตายังเปียกแก้ม 

   แย่จังนะ!   

   ดันอ่อนแอออกมาในเคบิน   ผมร้องไห้หรือ ?

   ผมใช้หลังมือปาดน้ำตาที่ไหลผ่านหมวก  แล้วเกลือกหน้าไปซุกไว้กับหน้าต่าง  น้ำตาตัวเองต้องเช็ดเอง  อย่าให้ใครเห็น  อย่าให้ใครหยัน  เพราะผมเป็นลูกเสือไม่ใช่ลูกหมาจะได้ร้องเอ๋ง ๆ

   ผมต้องผ่านช่วงเวลาแย่ ๆ  นี้ให้ได้ . . .

   . . . ผมแน่ใจเสมอว่าได้จากมาอย่างคนที่เต็มไปด้วยความรัก  ผมรักมัน  รักมันอย่างเต็มหัวใจ  ที่ผมเจ็บปวด  เพราะผมทำให้มันรักผมไม่ได้ ผมไม่ได้โกรธมัน  ไม่ได้เกลียดมันเลยผมพยายามยิ้ม  นึกถึงวันเวลาดี ๆ   

   เสืออย่างผมค่อย ๆ เลียแผลหัวใจของตัวเอง  ผมกอดกระเป๋าเอาไว้แน่นอีกครั้ง  และผมมั่นใจต้องอยู่อย่างเสือ!!!

   เสียงกัปตันประกาศเครื่องกำลังจะแลนดิ้ง ให้ทุกคนอยู่ในที่นั่ง  ปรับพนักเก้าอี้ตรงและเปิดบานหน้าต่าง  ไฟในห้องผู้โดยสารปิดอีกครั้ง . . .

   . . . ผมค่อย ๆ  พับหมวกไปไว้ที่หน้าผาก  หากแต่ยังไม่กล้าลืมตา  หลบซ่อนหน้าไว้กับกระจกที่ช่อง  51A

   ผมเลื่อนมือมาที่เข็มขัดตามความเคยชินทุกครั้งที่ได้ยินเสียงประกาศ  เข็มขัดยังไม่ได้ปลด ตั้งแต่รัดไว้ที่เชียงใหม่  กำลังจะเลื่อนมากอดเป้ . . .

   . . . มีอีกสองมือมากุมมือข้างขวาผมเอาไว้

   ผมปล่อยน้ำตาไหลอีกครั้ง  คราวนี้ผมซุกหน้าหนี  ผมกำลังฝัน  หรือ  ความจริงกันแน่  มือนั้นกระชับมือผมแน่น  เหมือนมีกระแสไฟไหลจากมือทั้งสองที่เกาะกุม  ผ่านมือของผมก่อนวิ่งเข้ามาสู่หัวใจ  แล้วเจ้าของมือคู่นั้นเอามือผมไปทาบไว้กับอกด้านซ้ายของเจ้าของมือนั้น  ผมสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นอยู่  ผมมีแต่น้ำตาที่ไหลออกมา

   เป็นน้ำตาที่แตกต่างจากเมื่อตอนบ่าย . . .

   . . . ต่างจากในห้องรอขึ้นเครื่อง

   ในเคบินมืด  มีแค่แสงไฟสลัว ๆ  เท่านั้น  หากแต่ตอนนี้ผมหยุดตัวเองไม่ได้  ผมปล่อยให้สิ่งที่มันคั่งค้างไหลออกมา  พร้อม ๆ  กับที่เครื่องค่อย ๆ  แลนดิ้งลงที่รันเวย์ที่ดอนเมือง   เจ้าของมือคู่นั้นกุมมือผมเอาไว้แนบกับอกของเขา

   ทำไมผมไม่เฉลียวใจ . . .

   . . . ที่หน้าบูธที่ชั้นสองของอาคารสนามบิน  มันไม่ได้อยู่ในชุดทำงานนี่หว่า  ผมน่าจะฉุกคิดตั้งแต่ตอนนั้น  เพียงแต่ในเวลานั้น ผมกำลังอยู่ในโลกของความเจ็บปวด  ผมลืมทุก ๆ  สิ่งที่อยู่ตรงหน้า

   ผมยังไม่กล้าหันหน้าไปมองเจ้าของมือคู่นั้น . . .

   . . . เพราะใบหน้าผมมันเกรอะกรังด้วยน้ำตา

   รออีกเดี๋ยวนะ  รอให้ผมซึมซับรับกับความจริงที่เป็นอยู่ตอนนี้ก่อน  แล้วผมจะเอาคืน  ผมลืมตามองนอกหน้าต่าง  เมื่อเครื่องจอดสนิท เจ้านกศรีสะเกษจอดอยู่เคียงข้าง  ผมยิ้มกับเจ้านกตัวใหม่ของฝูง

   ผู้คนค่อย ๆ  ทะยอยกันลุกขึ้น  เมื่อเครื่องจอดสนิท . . .

   “จะกลับห้องยังนี่  ไม้ง่วงนอน  เร็ว ๆ  ดิพี่”  เสียงนั้นเร่ง . . .

   ผมเอามือปาดน้ำตา . . .

   . . . แบบทดสอบแรกที่ผมโดน  ผมจะเอาคืน  ผมสัญญา  ผมจะเอาคืนอย่างสาสมเลยคอยดูเหอะ  แววตาผมกร้าว   แฝงความเจ้าเล่ห์ในตัวเอง

   คืนนี้ . . .

   . . . มันต้องชดใช้ค่าของน้ำตาที่ผมเสียไป




จบบริบูรณ์
 
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .[ อ ว ส า น ๒๙ มี.ค. ๕๓]
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 29-03-2010 09:39:14
วู้ว ๆ ๆ ๆ จบแบบ happy อ่ะ ชอบ ๆ อ่ะพี่ต้น

ไอ้ไม้ คืนนี้มันตายแน่ เอิ๊กกกกกก
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .[ อ ว ส า น ๒๙ มี.ค. ๕๓]
เริ่มหัวข้อโดย: C2U ที่ 29-03-2010 16:22:10
ว้าว   จบแบบเฮปปี้ด้วย   :-[


น่ารักดี 
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .[ อ ว ส า น ๒๙ มี.ค. ๕๓]
เริ่มหัวข้อโดย: thaitanoi ที่ 29-03-2010 18:36:32
นึกว่าจะจบแบบเศร้าซะแล้ว ขอบคุณนะครับสำหรับเรื่องดีๆที่มาแบ่งปันกันครับ
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .[ อ ว ส า น ๒๙ มี.ค. ๕๓]
เริ่มหัวข้อโดย: bluesky ที่ 29-03-2010 20:35:45

   +1 ให้พี่โมก...คิดว่าจะเศร้าซะแล้ว
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .[ อ ว ส า น ๒๙ มี.ค. ๕๓]
เริ่มหัวข้อโดย: naiin ที่ 29-03-2010 21:26:58
ทำเอาน้ำตาซึมไปเหมือนกัน ร่วมดีใจกับความสมหวังที่น้ำตามามันร่วงมาก่อน แบบรันทดนิดนึงคิดตลอดว่าเขาไม่รัก ขอบคุณสำหรับเรื่องรักดีๆที่นำมาฝาก แนวคิดการกระทำที่น่าจดจำ ทำให้คนโสดไม่มีแฟนยิ้มออกบ้าง :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .[ อ ว ส า น ๒๙ มี.ค. ๕๓]
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 29-03-2010 22:05:01
วิ้วววว

ต่อด้วย รักแท้บทที่ ๒  โลดดดดดดดดด


จนกว่าจะถึงรักแท้บทสุดท้าย
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .[ อ ว ส า น ๒๙ มี.ค. ๕๓]
เริ่มหัวข้อโดย: kit ที่ 30-03-2010 03:03:31

ว้าย คืนนี้น้องม้ายโดนตบ อิอิ
๒๙๔ + ๑ = ๒๙๕
ขอบคุณนะคะ คุณ ต้นสาย

หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .[ อ ว ส า น ๒๙ มี.ค. ๕๓]
เริ่มหัวข้อโดย: ptyunjae ที่ 30-03-2010 16:35:19
จบได้น่ารักดีค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .[ อ ว ส า น ๒๙ มี.ค. ๕๓]
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 30-03-2010 21:12:38
จบได้อิ่มมากครับ
Thanksssssssss :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .[ อ ว ส า น ๒๙ มี.ค. ๕๓]
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 30-03-2010 23:16:44
เพิ่งได้อ่านเรื่องนี้
ขอบคุณครับที่นำเรื่องดีๆ มาให้ได้อ่านกัน
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .[ อ ว ส า น ๒๙ มี.ค. ๕๓]
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 31-03-2010 02:24:53
อ่าวววววว~ จบไม่รู้ตัว เพิ่งอ่านได้ไม่กี่ตอนเอง ขอกลับไปอ่านก่อน  :m23: 


เรื่องนี้น่ารักค่ะ  :-[
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .[ อ ว ส า น ๒๙ มี.ค. ๕๓]
เริ่มหัวข้อโดย: cartoons ที่ 31-03-2010 04:38:39
 :impress2: กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด...อังกอร์ๆๆๆๆๆๆๆ


ขอตอนพิเศษ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ










อิอิ (ได้ข่าวว่ายังอ่านไม่จบ เหอๆ แต่ขอก่อน หุหุ)
 :กอด1: ขอบคุณมากๆๆๆนะคะ

หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .[ อ ว ส า น ๒๙ มี.ค. ๕๓]
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 31-03-2010 11:07:54
น้องไม้เล่นแรง พี่โมกข์ก็เลยร้องไห้ซะ ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .[ อ ว ส า น ๒๙ มี.ค. ๕๓]
เริ่มหัวข้อโดย: Solar cell ที่ 31-03-2010 23:16:04
ยังไม่อยากให้จบ
ยังอยากจะอ่านต่อไป
อยากให้มีรักแท้บทที่สอง
พอจะเป็นไปได้มั้ยคับ :m5:
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .[ อ ว ส า น ๒๙ มี.ค. ๕๓]
เริ่มหัวข้อโดย: lune ที่ 04-04-2010 22:40:32
แล้วคนอ่านที่เสียน้ำตา จะเอาคืนที่ใคร  :impress3:
อยากบอกว่า มีความสุขที่ได้อ่าน
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .[ อ ว ส า น ๒๙ มี.ค. ๕๓]
เริ่มหัวข้อโดย: ~MeiMeiZ@~ ที่ 07-04-2010 15:14:50
อิ่มมากค่ะ เรื่องนี้
รักไรท์เตอร์นะคะ จะเป็นกำลังใจให้
เห็นด้วยกะRep.บนๆ 
ต่อด้วยรักแท้บทที่๒ โลดดด
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .[ อ ว ส า น ๒๙ มี.ค. ๕๓]
เริ่มหัวข้อโดย: tonight ที่ 01-07-2010 19:16:45
ว้าวๆๆๆ อ่านทีเดียวรวดจนจบเลยคับ ชอบมากๆๆๆ

น่ารักจริงๆ ตอนแรกแอบเศร้านึกว่าจะไม่แฮปปี้ซะแล้ว

ไม้นะไม้กลั่นแกล้งอาได้ลงคอ น่าสงสาร เกือบร้องไห้ตามแล้ว

ขอบคุณนะคับที่แต่งเรื่องสนุกๆแบบนี้มาให้อ่าน

รออ่านบทต่อๆไปนะคับ สู้ๆๆๆ
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .[ อ ว ส า น ๒๙ มี.ค. ๕๓]
เริ่มหัวข้อโดย: the_pupae ที่ 09-07-2010 03:04:16
โอ๊ยยยยย :เฮ้อ:  ตกใจหมด น้ำตาซึมเลย

ประทับใจมากคร้า
หัวข้อ: Re: รั ก แ ท้ บ ท ที่ ๑ . . .
เริ่มหัวข้อโดย: DeJavu~ ★ ที่ 10-05-2011 21:11:48
จบแบบไม่รู้ตัว

ตอนแรกคิดว่าจะเศร้าแล้ว

แต่ที่ไหน น้องไม้ทำพี่โมกข์เสียน้ำตาไปเยอะนะเนี่ย

ท่าทางน้องไม้จะโดนพี่โมกชข์จะหนักแน่เลย