บทที่ ๒๑
“หลวงพี่อยู่นี่เองเหรอครับ ผมเดินหาซะทั่ว” เสียงตะโกนเรียกพร้อมกับชายหนุ่มที่เดินเข้ามาใกล้พร้อมกับรอยยิ้ม
“มีอะไรเหรอ ติ๊ก” พระภิกษุหนุ่ม หันไปทักทายพร้อมกับยิ้มตอบ
“หลวงปู่ให้มาเรียกน่ะครับ แล้วนี่ใครล่ะ” ติ๊กหันไปมองเด็กหนุ่มที่ยืนหันข้างให้ รอยยิ้มหายไปทันทีเมื่อมองเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มที่หันมามองเขา พร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปาก
ใบหน้าที่ตื่นตกใจของติ๊ก ทำให้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเด็กหนุ่มเปลี่ยนไป คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย ดวงตากลมโตเปี่ยมไปด้วยความสงสัย
“งั้นรีบไปกันเถอะ เดี๋ยวหลวงปู่ท่านจะรอ”
พระภิกษุหนุ่มก้าวเดินไปช้าๆ ติ๊กมองดูเด็กหนุ่มอยู่ชั่วครู่จึงหันตัวเดินตามไป โดยที่เด็กหนุ่มยังคงไม่คลายความสงสัย ในสิ่งที่อยู่ในแววตาของทั้งสอง
แรกๆน้ำยังคงนั่งอยู่ข้างๆแม่ ฟังการสนทนาระหว่างแม่กับพระสงฆ์ชราอย่างเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่สายตาสองคู่ที่จ้องมองอย่างไม่วางตา ทำให้ค่อยๆกรถดตัวไปอยู่ข้างหลังแม่โดยไม่รู้ตัว
“ไหนเจ้าหนุ่มนั่นน่ะ กระเถิบขึ้นมาหน่อย” เสียงเรียกจากพระสงฆ์ชราหรือหลวงปู่ แฝงไปด้วยความเอ็นดูกึ่งขบขันในท่าทางของเด็กหนุ่ม
“ฝน ... ขยับขึ้นมาสิลูก” ผู้เป็นแม่หันไปสำทับ เมื่อเห็นว่าลูกชายยังนิ่งอยู่
น้ำขยับตัวขึ้นมานั่งอยู่ในระดับเดียวกับแม่ แต่ยังก้มหน้านิ่ง
“ตกลงชื่ออะไรกันแน่ เราน่ะ” หลวงปู่ถาม
“ชื่อน้ำฝนครับ แต่ใครๆเรียกน้ำเฉยๆ มีแม่นี่แหละครับที่เรียกฝน” น้ำตอบเสียงแผ่วเบา
“แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ เปลี่ยนชื่อมาแล้วมีอะไรในชีวิตเปลี่ยนไปบ้าง” หลวงปู่ยิ้มน้อยๆ
“เอ๊ะ ...” แม่ของน้ำอุทานเบาๆ เพราะจำได้ว่าไม่เคยพูดเรื่องนี้ออกมาเลย
“อืม...” น้ำขมวดคิ้วเล็กน้อย ทำแก้มพองเหมือนที่ชอบทำ “ไม่รู้สิครับ ผมว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ชีวิตมันก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยุ่ตลอดเวลาอยู่แล้ว จะเปลี่ยนชื่อหรือใช้ชื่อเดิม มันก็ต้องมีอะไรเปลี่ยนไปอยู่ดี”
หลวงปู่ยิ้มในหน้า ราวกับพอใจกับคำตอบของเด็กหนุ่ม แล้วจึงถามต่อ
“แล้วที่เราไปอยู่ตอนนี้ล่ะ คนที่นั่นยังจำเราสับกับคนอื่นอยู่อีกรึเปล่า”
“เอ๋ ...” ดวงตากลมโตเบิกกว้าง แต่พอสบเข้ากับดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความปราณี เหมือนมีอะไรบางอย่างกระตุ้นเตือนให้รู้ว่า ผู้ถามนั้นถามถึงเรื่องใด “ก็ยังมีอยู่บ้างครับ แต่สักพักก็คงหายกันไปเอง”
“คิดได้ก็ดีแล้ว ตัวเรายังไงก็ยังเป็นเรา ถึงจะเปลี่ยนชื่อ เรียกชื่อเป็นอย่างอื่น ก็ยังเป็นตัวเรา” หลวงปู่พูดช้าๆ “ส่วนจะไปเหมือนหรือคล้ายใคร มันก็แค่คล้าย อย่างไรเสียก็ไม่ใช่คนคนเดียวกัน ถึงใครเขาจะคิดว่าเป็นตัวแทน สักวันเขาก็จะรู้ว่าไม่ใช่ และเห็นคุณค่าที่แท้จริงของตัวเรา”
“ครับ” น้ำรับคำสั้นๆ รอยยิ้มน้อยๆผุดขึ้นบนใบหน้า หัวใจรู้สึกอิ่มเอิบอย่างประหลาด
นอกจากเด็กหนุ่มแล้ว ดูเหมือนชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างพระภิกษุหนุ่ม จะคิดอะไรได้จากคำพูดเหล่านั้น สายตาจึงค่อยๆอ่อนโยนลง
“ติ๊ก ไม่ต้องตามไปหรอก” เสียงห้ามเมื่อติ๊กขยับตัวจะเดินตามแม่ลูกที่เดินออกไปจากบริเวณกุฏิ
“แต่ ... พี่ต้น” ติ๊กทำท่าไม่ยินยอม
“จะตามไปเพื่อประโยชน์อะไร อย่างไรเขาก็ไม่ใช่น้ำหยดของพวกเรา” พระภิกษุหนุ่มยิ้มเศร้าๆ
“พี่ ... เอ๊ย หลวงพี่ไม่อยากรู้เรื่องของน้องเค้าเหรอครับ” น้ำเสียงของติ๊กกระวนกระวาย
“ตอนแรกก็คิดเหมือนกัน แต่ตอนนี้คิดได้แล้ว ว่าจะทำเพื่ออะไร” พระต้นยิ้มน้อยๆ “ที่มาบวชเพราะอยากให้ใจสงบ วันข้างหน้าจะได้มีชีวิตที่มีความสุขอย่างที่เขาหวัง อยากให้เขาไม่ต้องมีห่วงเพราะเรา ตอนนี้บ่วงก็ถูกปลดแล้วบ่วงหนึ่ง ถ้าจะไปผูกใหม่มันอีก แล้วเมื่อไหร่ที่เขาจะไปได้อย่างสงบ”
“หลวงพี่พูดยังกับว่าน้ำหยดยังไม่ไปสู่สุขคติ”
พระต้นพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะขยายความ
“เขายังมีห่วงอยู่ ความโศกเศร้าเสียใจของคนอีกคนหนึ่ง กลายเป็นห่วงที่ยังคงผูกมัดเขา”
“ใคร” ติ๊กขมวดคิ้ว แล้วก็ทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้
มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อาจจะยังคงโศกเศร้าเสียใจ กับการตายของบุคคลอันเป็นที่รักของเขา และเป็นคนเดียวที่น้ำหยดเป็นห่วงเสมอเมื่อตอนมีชีวิตอยู่ ถึงแม้ว่าสุดท้ายคนคนนั้นจะนำความเจ็บปวดอันใหญ่หลวงมาสู่น้ำหยด และเขาทั้งสอง รวมทั้งตัวคนผู้นั้นเอง