ช่วยด้วย! ผมได้แฟนเหี้ย ไอ้เด็กช่างยนต์38…เปิดอก
บ่นนำ
นักเรียน นิสิต นักศึกษาทั้งหลายคงเปิดเทอมกันหมดแล้วดิ ละเว้นจากการอ่านเรื่องพี่บ้างก็ดีนะ555 ไปอ่านหนังสือหนังหากันได้แล้ว พี่ก็เปิดแล้วเหมือนกัน หนึ่งอาทิตย์มีเจ็ดวัน ไม่มีแล้ววันหยุดที่จะได้พัก พอจะมีที่ให้หายใจบ้างก็คงเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ช่างเหอะไม่บ่นดีกว่าก็เลือกเดินเองหนิโว้ยยย โทษใครไม่ได้
ไม่รู้เหมือนกันได้บอกไปรึยังว่าผมต่อสัญญากับที่นี้อีก 2 ปี ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง ที่สำคัญที่สุดก็คือ มันน่าจะเป็นแหล่งข้อมูลทำ thesis ให้ผมได้ดีเลยทีเดียว และหนึ่งในหลายๆเหตุผลนั้นเค้าก็หาคนมาช่วยด้วย ก็น่าจะเบาลงได้(มั้ง) ให้ผมสัมภาษณ์เองด้วย ผู้หลักผู้ใหญ่เค้าบอกว่าจะให้มาร่วมงานกับผมก็เลยให้ผมคัดดูเอง(เป็นครั้งแรกที่ใส่ใจกู และเป็นครั้งแรกที่กูจะเป็นผู้สัมภาษณ์)
การคิดคำถามที่จะถามก็เป็นเรื่องที่ยากอยู่เหมือนกันนะ คุณอยากรู้ไหมว่าผมจะถามอะไร (ไม่อยากรู้ก็จะบอก) คำถามผมไม่ยากหรอก ไม่ได้วัดระดับไอคิว เพราะคนที่สมัครจบปริญญาตรีผมก็คิดว่าเก่งแล้ว แล้วอีกอย่างคนที่มาสัมภาษณ์ ก็ต้องผ่านก็สอบวิชาการเฉพาะที่องค์กรออกข้อสอบมา ผ่านมาทั้งหมด15คน จะเอาสามคน ก็ลำบากใจเหมือนกัน คำถามผมจึงเน้นเป็นคนดี มีความรับผิดชอบ
“คุณนับถือศาสนาอะไรครับ” คำถามแรกของผมเล่นเอาคนตอบมีแบบงงๆไปเหมือนกัน (ทั้งหมดเป็นพุทธ)
“แก่นหลักๆของศาสนา ที่คุณคิดว่าคนเราพึงปฏิบัติน่าจะมีอะไร” ผมใช้คำว่า คนเรา…น่าจะ… ก็แปลว่า ไม่ได้หมายถึงคุณคนเดียว หมายถึงคนทั่วไป คุณจะตอบมีก็ได้ ไม่มีก็ได้ ทุกคนตอบว่ามี และบางคนก็บรรยาย ยกหนังสือพระพุทธศาสนามาทั้งเล่ม ก็ถือว่าเก่งที่จำได้ (ก็บอกแล้วไม่ได้วัดคนเก่ง)
“แล้วจากที่กล่าวมาทั้งหมด คุณคิดว่าสิ่งที่คุณทำได้มีข้อไหนบ้าง” บางคนข้อที่แล้วตอบเยอะจัด จนต้องคิดทบทวนนานหน่อย (เดาได้ว่าคุณเก่งทฤษฎี ในทางปฏิบัติอาจจะยังน้อยอยู่) แล้วคนที่ระหว่างคิดโดยที่ลูกนัยน์ตามองไปข้างบนหรือเอียงบนเล็กน้อย สันนิฐานได้เลยว่าอาจจะคิดคำที่ไม่ใช่ความจริง (โกหกนั้นเอง)
สามคำถามเป็นคำถามเกริ่นนำ หลังจากนั้นผมก็ถามทั่วไป เชิงพูดคุยกันให้เค้าหายเกร็งแสดงออกเป็นตัวเองมากที่สุด และสุดท้ายผมก็จะกลับมาถามเรื่อง ศีลธรรมอีกครั้ง“คุณคิดว่า ศีลห้ามีข้อไหนที่คุณทำได้ดี…ข้อไหนที่ต้องพยายามปรับปรุง” มีบางคนตอบไม่เหมือนเดิมด้วยฮาดี สามข้อแรกกับข้อสุดท้ายไม่ไปด้วยกัน สงสัยคุยเพลินแล้วลืมตัว แต่ผมจำได้แน่นนอนเพราะตั้งคำถามต้องการความเชื่อมั่นในตัวคนตอบ
สัมภาษณ์15คน ทั้งวันเลย จบลงบ่ายสองโมง ผมนั่งเขียนจดหมายชั่วโมงนึง บ่ายสามผลออก ผมบอกผลในจดหมายซองสีขาว ผมให้จดหมายเองทั้ง15คน ในคนที่ได้ผมก็จะเขียนว่า “ยินดีที่จะได้ร่วมกันสร้างสรรค์สังคมไทยให้น่าอยู่ เริ่มงานวันที่ 1 มิถุนายน ” และเขียนชื่อที่อยู่ เบอร์ เมล์ ไปในนั้นด้วย สำหรับคนที่ไม่ได้ ผมก็เขียนยาวหน่อย ประมาณว่า “ขอบคุณและยินดีที่ได้พูดคุยกัน คุณเป็นคนเก่ง เป็นที่น่าชื่มชมของวงศ์ตระกูล ผมหวังว่าคุณต้องได้งานที่ดีกว่าองค์กรของเราแน่นอน” ผมก็ให้ชื่อ ที่อยู่ เมล์เหมือนกัน “ไม่ได้เป็นเพื่อนร่วมงานกัน แต่เราก็เป็นเพื่อนกันได้เสมอ” ผมก็หวังว่าคงจะเป็นการปลอบใจเล็กน้อยๆได้ล่ะมั้งนะ
แล้วคุณผู้อ่านล่ะ หวังว่าสักวันคงได้ร่วมงานกัน (ก็เดาผมออกทุกทางแล้วมั้ง)
...
………………………………………………………………………………………
ตอน38....เปิดอก
เย็นวันพุธผมเข้านอนตอน6โมงครึ่ง ด้วยความเพลีย(จากการนอนไม่หลับมาเมื่อคืน) เลิกงานปุ๊บ ลืมตาแทบไม่ขึ้น (มันก็แทบไม่ขึ้นตั้งแต่หลังกินข้างเที่ยวแล้วล่ะ) ผมกินข้าว อาบน้ำ นอนอย่างรวดเร็ว
เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้น (โอ้ยยยยย กูไม่น่าเปิดเสียงไว้เลย ) ผมก็ไม่กระดิกหูนอนฟังไปเรื่อยๆจนเสียงเพลงหยุด ไม่ถึงสองวิเสียงดังมาอีกแล้ว ผมก็นอนไม่กระดิกหาง เอ้ย! หู อีกครั้ง (กูยังมีความอดทนพอ) ผ่านไปสองครั้ง เสียงสิ้นสุดลงเหมือนเดิม ผมกำลังเคลิ้มหลับต่อ เสียงครั้งที่สามตามมาติดๆ (โอ้ยยยยย มึงงงงงง แม่งก่อนกูจะพูดกูขอด่าก่อนเถอะ ใครวะ) ผมตะเกียกตะกายเลื้อยลงเตียงเดินโซเซไปที่โต๊ะ ผมดูชื่อไอ้ตัวที่มันโทรมา (เมิงงงงง ไอ้ปอบ ไอ้ปอออออออ) ผมกดรับ อ้าปากกะจะใส่เป็นชุด
“ทำเหี้ยอะไรอยู่ ทำไมรับช้าวะ” (อ้าวเห้ยเอาเป็นว่ากูโดนด่า ไงเป็นมึงมาด่ากูวะ)
“บุญเท่าไหร่แล้ว ที่กูคืบคลานมารับโทรศัพท์” ผมพูดเสียงงัวเงีย
“มึงคลานอยู่กับใคร” (โทรมากวนกู ยังมีหน้ามาหาเรื่องกูอีก)
“ตามจินตนาการมึงเหอะ มึงอยากให้กูคลานกับใครก็เลือกเอา แต่เอาหล่อๆหน่อยนะ” (แม่งกูประชดซะเลย ไอ้ปัญญาเท่าหางอึ่ง คิดแต่อย่างเดียว)
“กูเริ่มไม่มั่นใจแล้วนะที มึงทำอะไรอยู่”
“ไม่เคยเชื่อกูอยู่แล้วหนิ” ผมพูดเศร้าๆ เคล้าน้ำตา(เวอร์ไป) น้อยใจเล็กน้อย
“ไอ้เชื่อใจมึงน่ะเชื่อใจ แต่กูไม่เชื่อใจคนอื่น”
“ยังไง” (กูไม่เข้าใจ)
“มึงชอบทำดีกับคนอื่น กูกลัวคนอื่นเค้าจะชอบมึง”
“อ้าว ไอ้นี่ มึงจะให้กูด่าทุกคนที่กูเห็นรึไง…คงตลกดีเนอะ จากที่พูดสวัสดีตอนเจอหน้า มาเป็นไอ้ควาย ทำเหี้ยอะไรอยู่ ไม่ค่อยเจอหน้าเยินๆมึงเลย ดูหูตกไปเยอะเลยนะมึง กูคงโดนสวนกลับด้วยตีนล่ะมั้ง”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ยังงั้น กูหมายถึงว่าคนที่มันมาใกล้ชิดมึง มันจะรู้ว่ามึงเป็นคนยังไง แล้วมันจะทำเป็นตีสนิทกับมึง กูเลยไม่อยากจะมั่นใจ”
“คิดไปถึงดาวอังคารเลยนะมึง ไม่มีหรอก ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้กูหรอก ไม่ต้องคิดมาก”
“ไม่อ่ะ กูว่าใครได้อยู่ใกล้มึง มันต้องมีคิดบางล่ะ อยู่กับมึงแล้วมันมีความสุข มันก็บอกไม่ถูกว่ะ…มึงก็อย่าให้ใครมาสนิทกับมึงมากนะ” (เริ่มเน่าแล้วปอ…ประโยคแรกยังด่ากูอยู่เลย)
“มีแต่มึงล่ะมั้งที่คิดแบบนี้” (แต่กูก็ยังสานความเน่าต่อ)
“ถ้ามันคิดแต่กูก็ดี จะได้ไม่มีตัวอื่นมาหม้อ” (เอ้ย ไอ้นี่ พูดซะกูเป็นหมาในฤดูผสมพันธุ์เลย)
“ก็ว่าไป ยังกะกูมีให้เลือกมากมาย แต่ถ้ามีให้เลือกได้ก็ดีเหมือนกันเนอะ555”
“ไอ้เหี้ย ที”
“อะไรไอ้เวรปอ…กูพูดเล่น ถึงมีให้เลือกเยอะ กูก็เลือกมึงอยู่ดี” จริงรึไม่จริง นิ้วชี้กับนิ้วกลางกูก็พันกันล่ะวะ…เจอครั้งแรกใครจะหลับหูหลับตาไปเลือกมึง ไอ้เด็กเวร ไอ้เด็กก้าวร้าว ไอ้เด็กไม่มีมารยาท
“เออๆ พูดเล่น พูดบ่อยๆเข้านะ เดี๋ยวจะไม่มีปากให้พูด” (โห้ เล่นบทโหดเลยเหรอ)
“ทำเป็นงอน เดี๋ยวกูส่งตีนไปง้อเลยหนิ”
“โหดไปไหมพี่ที”
“พูดกับมึงมันพูดธรรมดาเหมือนชาวบ้านเค้าได้ที่ไหนเล่า มันต้องมีความรุนแรงทางวาจา และกำลัง” ก็บอกแล้วพูดกับไอ้ปอ แยกแยะไม่ออกหรอกว่าโกรธกันรึป่าว มันใช้ภาษาพูดเหมือนกัน ถ้าจะให้รู้อารมณ์ก็ฟังจากระดับเสียงที่พูด
“มึงนั้นแหละพูดกวนประสาทกู พูดให้มันเหมือนแฟนเค้าพูดกันได้ป่าว” (อ้าวเป็นเพราะกูเหรอวะเนี้ยยยย กูเพิ่งรู้ตัวววว)
“โห้ ไอ้ปอ อย่าทำเป็นพูดดีเลย แรกๆกูพูดกับมึงเพราะจะตาย กูเรียกตัวเองว่าพี่นะ กูจำได้ มึงมาพูดมึงๆกูๆกับกูก่อน”
“มึงก็อย่าเรียกตัวเองว่าพี่สิ มึงก็เรียกว่าที รึไม่งั้นก็น้องที555”
“ไอ้เหี้ย กูรุ่นไหนแล้ว”
“เอะอะๆ ก็อ้างแต่ว่าตัวเองเป็นพี่ ตัวเองเกิดก่อน มึงเกิดพร้อมสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเหรอรึเกิดตอนโซเวียตล่มสลาย”
“โอ้โห้ ไอ้ปอกูพัฒนาเว้ย มีการอ้างอิงประวัติศาสตร์โลกด้วย เป็นการกล่าวอ้างที่สมเหตุสมผลที่สุดเท่าที่ได้ยินมา”
“กูจำเค้ามา55”
“ถึงกูจะไม่เกิดพร้อมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง …แต่กูก็เกิดทันเห็นสงครามกลางกรุง รถถังวิ่งในเมืองหลวงอ่ะ มึงเคยเห็นป่าว” (อ้างอิงการเมืองไทย ใกล้ตัวนี่แหละกู)
“จะพูดอะไรก็พูดให้มันน่าอิจฉากว่านี้หน่อย …กูปรับอารมณ์ไม่ถูกเลยวะ ว่าจะอิจฉามึงดีรึสมน้ำหน้ามึงดี”
“อ้าว อย่ามาดูถูกประวัติศาสตร์ประสบการณ์กูนะเว้ย มึงเคยเห็นรถถังวิ่งบนถนนลาดยางไหมล่ะ ไม่เคยอ่ะดิ เคยเห็นแต่มันจดอยู่พิพิธภัณฑ์ ไม่งั้นก็วิ่งรบในป่า”
“เออ มีอีกเที่ยวหน้า มึงอย่าลืมชวนกูไปดูด้วยนะ ”
“อ้าวไอ้นี่ แช่งประเทศ เปลี่ยนเรื่องคุย ก่อนที่กูกับมึงจะไปอยู่ในตาราง”
“55 ก็ดีกูจะได้อยู่กับมึงตลอด”
“อะไรจะอยากอยู่กับกูขนาดนั้น” ผมพูดแซวมันเล่นๆ
“รึมึงไม่อยากอยู่กับกู” เสียงแข็งๆแทรกเข้าหูอีกแล้ว (เอาไงดีล่ะ ไม่น่าพูดหาเรื่องมันเลย ถ้าบอกว่าไม่อยาก มันคงระเบิดใส่กูแน่ๆ)
“อยาก ครับปอ อยากมากๆเลยนะ จริงๆ” (ถ้าเชื่อก็ไม่รู้จะว่าไง)
“อยากอะไร พูดให้ชัดๆ มันค้างๆคา ” (สมองกลวงจริงๆ คิดได้แต่เรื่องเดียว)
“อยากอยู่ใกล้ปอไง” ผมพูดทำเสียงใส เหมือนไม่ได้คิดอะไร
“อยู่ใกล้เฉยๆเหรอ มันจะมันตรงไหนวะ”
“อยากให้มันก็ซื้อถั่ว เม็ดทานตะวัน รึไมงั้นก็เม็ดแตงโมง มานั่งแกะกินข้างๆ กินไหม กลับไปเดี๋ยวซื้อไปด้วย”
“ถั่วไร”
“ถั่วลิสงคั่วไง”
“ไม่เอากูอยากกินถั่วดำ มันดี” (เสือกตอบทะลึ่ง)
“ไปซื้อกินดิ ตลาดไง”
“ไม่เอากู อยากกินของแม่ค้าที”
“ไอ่ ซ่ง ติง” ผมพูดภาษาจีนช้าๆ แปลเป็นไทยได้ว่า ไอ้ส้นตีน (รู้สึกว่าคำจะใกล้เคียงกันมากเลย)
“55 แล้วมึงรู้ยังพรุ่งนี้วันพระ”
“เห้ย หูกูฝาดรึป่าววะ มึงรู้จักวันพระวันเจ้าด้วย”
“รู้ดิ รู้ทุกอาทิตย์เลย วัน พะ-ฤ-หัส ไง” (เวรกำ มึงทำกูอึ้งไปสองวินาทีที่รู้จักวันพระ ก่อนที่มันจะสลายตัวกลายเป็นอากาศเสีย)
“เออ พฤหัสเต็มๆ ทั้งวันจริงด้วย ”
“แล้วมึงรู้ไหม ถัดจากวันพระมึงมันเป็นวันชาติจีนนะ”
“พูดจริง พูดเล่น”
“จริ๊งง”
“มึงรู้ได้ไง”
“ก็วันจีนเตี๊ยะ…วันเจี๊ยะตีนไง กูกลับไปเย็นวันพระมึงนั้นแหละ มึงโดนแน่”
“55 ขนาดนั้นเลยเหรอ กูพูดผิด วันศุกร์ต่างหากวันพระ”
“จะมามุมไหนอีกล่ะ”
“อ้าวจริงๆ วันวิสาไง” (กูรู้แล้ว วันหยุดขอให้ถามกู กูว่องนัก)
“ วันวิสาที่เป็นดาราน่ะเหรอ”
“น่านนน พอกูพูดจริงๆ เสือกตอบมั่ว เดี๋ยวปัดเหนี่ยว”
“เออ กูพูดจริงๆล่ะ ต่อให้วันศุกร์จะเป็นวันอะไรก็ช่าง แต่มันเป็นวันชาติจีน กูกลับไปมึงต้องโดนแน่ๆ”
“เออๆ รีบกลับมานะ กูไปกินข้าวก่อน”
“กินข้าวที่ไหน”
“อยู่บ้านเมียอย่านิ่งดูดาย ต้องรีบหาข้าวให้แม่ยายกิน แล้วจะดีเอย” (กลอนสุนทรปอ)
“ไอ้ฟายยยย ทำเป็นบ้านตัวเองเลยนะมึง”
“อย่าว่ายังงั้นยังงี้เลยที เป็นผัวเมียกันมันก็เหมือนคนๆเดียวกัน เห็นไหม มึงไม่อยู่คนทำหน้าที่แทนมึงทุกอย่าง แม่ยายกับพ่อตากำลังปลื้มกู กูต้องรีบทำคะแนน กินข้าวแล้วกูก็ล้างจานก่อน แล้วค่อยได้นอน”
“เดี๋ยวๆ พูดซะยังกะมันเป็นงานหนัก ดีแค่ไหนแล้วที่กูไม่เก็บค่าเช่า กลับไปสิงสถิตบ้านตัวเองบางนะ แม่มึงจะด่าว่าเลี้ยงโตมาแล้วให้บ้านกูใช้”
“แม่กูเข้าใจว่ากูมีครอบครัว มีเมียแล้ว”
“ไอ้ปอ ถ้ามึงยังพูดเมียอีกครั้งนึง กูกลับไปมึงจะโดนหนักกว่าเดิมหลายเท่า”
“จะอึ้ย คร๊าบบบบ ไปก่อนเดี๋ยวไปกินข้าวช้า แม่ยายจะไม่ปลื้ม”
“เมิงงงงง กูกลับไปมึงระวังให้ดี” (หาว่ากูเป็นเมีย หาว่าแม่กูเป็นแม่ยาย…ทำกูตาสว่างแล้วก็จากไป คืนนี้กูจะนอนหลับป่าวเนี้ย)
…………………………………………………………………………..
เย้!!ในที่สุดก็ถึงวันหยุดยาวแล้ววววว (หยุดวันวิสากับเสาร์ อาทิตย์) แค่นี้ผมก็ว่ายาวและพึงพอใจแล้วนะ555 วัยทำงานก็จะดีใจยังงี้แหละ (เห้ย กูแก่แล้วเหรอเนี้ย) ดีใจสิ จะไม่มีวันหยุดเลยนอกจากวันชดเชยต่างๆ
วันหยุดนี้ผม พี่ พ่อ แม่ ไอ้ปอ(ไอ้ตัวสุดท้ายมันเป็นส่วนนึงของบ้านผมไปแล้วครับ) ว่าจะไปทำบุญกัน ก็คงไม่ได้ไปไหนไกล วัดแถวๆบ้านล่ะมั้ง
รุ่งขึ้นแต่เช้าทุกคนต่างตื่นแต่เช้าและตื่นเต้นที่จะได้ไปทำบุญ(เพราะมันนานๆๆๆๆๆครั้ง) ในตอนเช้าก็ทำบุญตักบาตร ที่วัด ตอนเที่ยงไปปล่อยนก ปล่อยปลา เลี้ยงอาหารลิงที่เขาสามมุก และตกตอนเย็นก็เดินหาเดินแจกยาสามัญประจำบ้านให้กับคนงานก่อสร้างอยู่ใกล้ๆ ดีหน่อยที่พี่ผมเป็นหมอทำงานที่โรงบาล เลยขอซื้อมาได้ในราคาต้นทุน กล่องละ200บาท ได้เยอะเลยนะเว้ย ซื้อทั้งหมด50กล่อง ให้50ห้อง
หลังจากที่ทำบุญกับพระ ทำทานกับคนเสร็จ ในวันนั้นเราเลยชวนกันออกไปกินข้าวนอกบ้านกัน แต่พ่อ แม่ผมไปด้วยไม่ได้ ติดธุระด่วน ทำให้เราต้องไปกันสามคน
ในระหว่างขับรถ(ไอ้ปอขับรถพ่อมัน…ทั้งวันเลยล่ะวันนี้เอารถมันไป…ครอบครัวผมไม่ได้งกนะเว้ย แต่ไอ้ปอมันอยากช่วยบ้าง มันบอกว่าผมออกทุกอย่างแล้ว มันอยากร่วมทำบุญด้วย เราก็ไม่ขัดศรัทธาคนที่คิดจะทำบุญ … ไอ้ปอมันก็มีน้ำใจเหมือนกันนะเนี้ย)
เราสามคนก็พูดคุยกันปกติ ทั่วไป กินเสร็จ ขากลับ
“ทีอิ่มไหม กินไรอีกป่าว” ไอ้ปอถามผม
“ไม่อ่ะ อิ่มแย้ววว” ผมส่ายหน้า พูดประมาณว่าอิ่มมากๆเลยล่ะ
“กินของหวานหน่อยไหม เดี๋ยวแวะซื้อ” ไอ้ปอถามผมอีกครั้ง
“ไม่เอาอิ่มมาก ตอนนี้เม็ดข้าวเม็ดสุดท้ายอยู่ที่ลูกกระเดือก” ผมพูดเล่นๆ
“ไหนอ้าปาก ดูหน่อยสิ”
“แหมม ห่วงกันจริงๆนะ เห็นเป็นห่วงเป็นใยกันทั้งวันเลย”พี่ผมพูดแล้วยิ้ม
“555” ผมได้แต่หัวเราะไม่เต็มใจเท่าไหร่ หัวเราะแก้เขิน ไอ้ปอก็ยิ้มๆ
“พี่ไปไหนต่อดี” ไอ้ปอถามพี่ผม
“แหมมม ถ้าพี่ไม่พูดขึ้นคงลืมมั้งว่าพี่นั่งรถมาด้วย55…พี่เห็นทีกับปอมีความสุข พี่ก็มีความสุขแล้ว” (อ้าว พี่ผมไมพูดทะแม่งๆ)
“สุขดิพี่ เราสุขกันทุกวันอยู่แล้วครับ” ไอ้ปอพูดยิ้มๆ (มึงก็ตอบแบบหลายแง่หลายง่ามเหนอะ)ผมเอียงหัวมองไอ้ปอเล็กน้อย ก่อนที่จะยิ้มเจื่อนๆเป็นสัญลักษณ์ว่าหยุดพูด
“อ่ะๆ ไม่เอาอย่ามองกันแบบนั้น มันน่ากลัว” พี่ผมก็ช่างสังเกตจริง(กูว่าแล้วพี่กูเหนือกว่ากูทุกอย่าง)
“ถามจริง เป็นแฟนกันมานานแล้วเหรอ” (อ้าววววววววววว เห้ยยยยยยยยยยยยยยยย พี่รู้ได้ยังไงงงงงงงงงงงงงง) หน้าผมจากที่ยิ้มเจื่อนๆอยู่กลับมาหน้านิ่ง ตาค้างมองหน้าไอ้ปอ
...
ที่ตัดจบตรงนี้ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรน่ะครับ....อยากแกล้งคนนิดหน่อย
เดี๋ยวครึ่งหลังจะตามมาครับ
เป็นกำลังใจให้"ทีกับปอ"ก็อย่าลืมเมนท์น่ะครับ