รักนี้...ลิ้นกับฟัน ตอน 28 ธันวา (อัพ 28/12/2016) หน้า 67
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รักนี้...ลิ้นกับฟัน ตอน 28 ธันวา (อัพ 28/12/2016) หน้า 67  (อ่าน 1111116 ครั้ง)

ออฟไลน์ pachth

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-5
น่ารักสุดๆ ถ้วยฟูน่ารักมาก พี่ธันก็หวานตามใจน้องมากๆ

ออฟไลน์ junjou

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 179
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
    • www.facebook.com
โคตรคิดถึงคู่นี้ จะว่าไปน่าจะมีตอนนี้ในหนังสือเนาะ ><
ชอบจิ้มจุ่ม 55555 (ศัพท์นี้เก๋มาก  พี่บัวได้แต่ใดมา?)
ชอบพี่บัวเขียน สนุ๊กกกกกสนุก
ที่จริงว่าจะซื้อจอมร้ายเก็บไว้ด้วย แต่ในใจรอรีปริ้นรอบ 2 (อ้าว อินี่)
คือแบบ....ไปเห็นเล่มจริงละมันหนามากกกกกก
ที่จริงน่าจะแยกเป็น 2 เล่มนะคะ TT
กลัวอ่านแล้วสันมันหักอ่ะ TT_TT
ฝากพี่บัวพิจารณา หนูยินดีจะจ่ายเพิ่มถ้าแยก 2 เล่ม จริงๆ
สุดท้ายนี้จะเฝ้ารอเรื่องใหม่พี่บัวนะคะ จะสอยหนังสือพี่ให้ครบทุกเล่มเลย
เยิฟฟฟฟฟฟ สุ้ๆค่ะ

ออฟไลน์ saruttaya

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 926
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-6
แวะมาทักทายพี่ธันกับน้องถ้วยฟู

คิดถึงมากๆเลย  :กอด1: :L1:

zeen11

  • บุคคลทั่วไป
กีสสสสสสสสสสสสสสสสส เพิ่งเห็นว่ามีตอนพิเศษ ขอบคุณมากๆ เลยค่าาาาาาา
ทั้งฟิน ทั้งขำกับความน่ารักน่าหยิกของถ้วยฟูเหมือนเดิม ส่วนพี่ธันก็เป็นสามีที่น่ารักที่สุดในโลกเหมือนเดิม 555+

 :haun4: :haun4: :haun4:

ออฟไลน์ ไอ้หัวแห้ว

  • ยิ่งมืดเท่าไหร่ ยิ่งเห็นดวงดาวชัดเจน...
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +568/-5
มีน้ำยาจริงๆ

555555555


้ถ้วยฟูเอ้ย ผัวรู้ทันตลอดดดด

ออฟไลน์ IöLIKE

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 993
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-6

ออฟไลน์ numildkub

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
กรี๊ดกร๊าดดดด  :hao6:
พี่ธันจิ้มน้องฟูแรงไปไหมคะ เตียงสนั่นเลย
จิ้มเบาๆนะเออ น้องยังฟิตๆอยู่  :z13:

ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
 :mew2: :mew2:

หลงรักพี่ธันนนนน

หลงรักน้องถ้อยฟู

หลงรักทั้งคู่เลย น่ารักสุดๆ แล้วพี่ธันแม่งก็รักน้องถ้วยฟูซะขนาดนั้น

แต่ฮามากค่ะ นายเอกเรื่องนี้เป็นคนที่ฮาสุด แล้วคุณป๋าของธันก็แบบนะ

ของขวัญต้อนรับลูกสะใภ้เป็นพระเนี่ยนะ

ดูเหมือนพี่ธันไม่โรแมนติก แต่โรแมนติกสุดๆ เลยค่ะ

อ้ากกกกก อยากเจอคนแบบพี่ธัน แล้วไอ้คอนโดอ่ะ พี่ซื้อเพราะถ้วยฟู

กรี๊ดดดดดด แบบลั่นบ้านอ่ะ ความรักของพี่ธันนี่ยิ่งใหญ่จริงๆ แต่ตอนจบนี่ฮาหน่อย ติวหนังสือสอบกัน

ส่วนตอนพิเศษนี่หวานมากค่ะ แล้วหื่นมากๆ ด้วย

อ้าายยยย หลงรัก แบบหัวปักหัวปำ เสียดายที่ไม่ได้ซื้อหนังสือมาเก็บไว้ ฮือๆ

จะติดตามตลอดไปนะคะ

รักนักเขียนเรื่องนี้ที่สุด จุ๊บๆ

 :mew1: :mew3:

ออฟไลน์ kdpmvip4

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
 อ๊าาาาาา พี่ธันวาหื่นนนน :hao6:

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 812
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
เฮียอ่าาาา  :oni1: แรงดีไม่มีตกเลยนะค๊าาาา ขนาดว่าทำงานมาเหนื่อยๆ  หึหึ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Magis

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
สาววายเรื่องนี้ช่างมีพลังจิ้นล้นเหลือ น่ากลัวยิ่งนัก เหอๆๆๆ

ปล. ตามมาอ่านจากเรื่อง จอมร้าย ครับผม

ออฟไลน์ เกริด้า(๐-*-๐)v

  • ไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้นแหละ
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +349/-29
มาต่อตอนพิเศษเรื่องนี้บ้างสิคะ!!! คิดถึงถ้วยฟูมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  :ling1:

ปอลิง จริงๆไอชอบคู่นี้มากเลยนะ ออกจะมากกว่าคู่ของขวัญกับพี่โตซะอีก แหะๆ  :o8:

ออฟไลน์ DREAM COME TRUE

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 379
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1
สนุกมาก ขำมากครับ ชอบเรื่องนี้นะครับ ขอบคุณคนแต่งมากๆครับ

ออฟไลน์ S.nonsuj

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกอ่ะ ฮา กร้ากกกก
ชอบพระเอกแบบนี้นะ โคตรพระเอก หื่นกับคนแค่คนเดียว ยกย่องเมียเป็นที่หนึ่ง อ่านแล้วมันจึกกึดึ๋ยหัวใจดี
ขอคุณคุณคนแต่งค่ะ
ติดตามต่อ ทั้งเรื่องนี้ถ้ามีตอนพิเศษ แล้วจะไปหาเรื่องอื่นของคุณอ่านด้วยจ้ะ
 :กอด1:  :pig4:  :pig4:  :pig4:

ออฟไลน์ EverGreen™

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-1
คิดถึงนายถ.ฟ.ที่มี ผ. ชื่อพี่ธ.ว.  :katai5:

ออฟไลน์ ชินจังไม่กินหัวหอม

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 162
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
อ่านจบแล้วสนุกมากเลยครับ อ่านนิยายคุณบัวสองเรื่องติดเลย อ่านจอมร้ายจบก็มาต่อเรื่องนี้เลย เขียนได้สนุกทุกเรื่องเลย
 :pig4:
 :pig4:
 :pig4:
 :pig4:

ออฟไลน์ Dezair

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 533
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1544/-8
NOV: รักนี้...ลินกับฟัน
By: Dezair
ตอนพิเศษ…รักนี้…อินโตเกียว!!
.............................................
1



   ธันวาครับ



   ไอ้ภูมิเพื่อนผมเคยพูดว่าถ้าผมอยู่กินกับถ้วยฟู หลานรหัสของมันล่ะก็ ผมจะกลายเป็นผู้ชายที่โชคร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์



   ผมคิดว่าที่ไอ้ภูมิพูดมันเว่อร์ไป ถ้วยฟูอาจจะเป็นคนประหลาดไปหน่อย นิสัยสุดโต่งบ้างเป็นบางครั้ง และบางครั้งอาจถึงขั้นเกรียน แต่ในหลายๆครั้งมันก็น่ารักในแบบของมัน โอ.เค. ความน่ารักของมันอาจจะอยู่ลึกไปสักหน่อย แต่มันก็เป็นคนร่าเริง มันสร้างเสียงหัวเราะ สร้างรอยยิ้มให้กับคนรอบข้างไปตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ถึงแม้บางครั้ง...จะเป็นมันเองที่ต้องร้องไห้ก็ตาม



   “จะไปมีคนอื่นก็บอกกันมาดิวะ!!! ไม่เห็นต้องเอาเรื่องเด็กมาอ้างเลย!!!” ไอ้แสบโวยวายเสียงดังลั่น ก่อนที่น้ำตาจะทะลักออกมาอย่างกับท่อประปาแตก ผมบอกก่อนว่าผมไม่ได้ทำอะไรมันเลย แต่เพราะวันนี้เรากลับมาพร้อมกัน และบังเอิญเจอเพื่อนข้างห้องที่พาลูกสาววัยสามขวบเศษออกไปเดินเล่น พวกผมทักทายเล็กน้อย และพอเดินจากมา ผมก็แค่ชมเด็กผู้หญิงคนนั้นว่า ‘น่ารัก’



   แค่นั้นล่ะครับ พอกลับขึ้นมาถึงห้อง ไอ้ถ้วยฟูก็น้ำตาแตก...



   “ถ้วยฟู พี่ไม่ได้หมายความว่า…” ผมพยายามจะอธิบายให้ไอ้คนง้อแง้งงอแงไม่สมอายุตั้งสติฟัง แต่ดูเหมือนตอนนี้สติมันจะแตกไปแล้ว



   “ไม่ต้องมาพูดว่าไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น?!! นี่มันประโยคยอดฮิตของพระเอกโว้ย!! แต่พระเอกห่าอะไรจะทิ้งเมียตัวเองไปมีคนอื่น!!!! ฮือออออ!!!” มันชี้หน้าด่าผม ขณะที่น้ำตากำลังทะลักออกมาอีกจนผมเริ่มลนลาน รีบหันไปดึงทิชชู่ที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกหน้าโซฟามาเช็ดหน้ามัน แต่มันกลับปัดมือผมออกอย่างไม่ใยดีแล้วถอดเสื้อยืดตัวเองมาขยุ้มๆแล้วเช็ดหน้าซะงั้น



   …เถื่อนและเกรียนได้อีก…



   “ฮือออออ…ถ้าจะรักคนอื่นแล้วมาขอเป็นแฟนทำไมตั้งแต่สมัยเรียน!! ฮืออออ…ต้องอ่านหนังสือตั้งเยอะเลย…ฮืออออ…” มันเริ่มครวญครางขุดเรื่องสมัยพระเจ้าเหาที่สิบแปดออกมารำพึงรำพรรณอย่างกับอดีตของมันแร้นแค้นน่าสงสารยังไงอย่างงั้น



   “เพราะพี่ธัน…ฮือออออ…ถ้าไม่เป็นแฟนตั้งแต่ตอนนั้น ก็ไม่ต้องอ่านหนังสือเยอะขนาดนั้นหรอก!! ฮืออออ…เพราะพี่คนเดียว!!” สรุปว่าตอนนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเด็ก หรือเรื่องคนอื่น แต่เกี่ยวกับเรื่องที่ผมกับมันคบกันตั้งแต่สมัยเรียน



   “แล้วจะทิ้งฟูไปหาคนอื่น!! ฮืออออ…ถ้าจะไปก็คืนเวลาสมัยเรียนมาให้หมด!!! ถ้าไม่คบกันตั้งแต่ตอนนั้น ก็เรียนขำๆไปแล้ว ฮืออออ ไม่ต้องถูกด่าเวลาเล่นเกม ไม่ต้องถูกสั่งให้อ่านหนังสือตอนสอบ ฮืออออออ เสียเวลาที่สุดดดดดด…” มันเงยหน้าขึ้นมาจากเสื้อยืดที่เอามาเช็ดน้ำตาน้ำมูกแล้วโวยวายใส่ผมอีก



   …แต่ให้ตายเถอะ! ทำไมผมถึงไม่รู้สึกว่าตัวเองผิดเลยวะ!!!...



   “ใจเย็นๆถ้วยฟู ใจเย็นๆ” ผมเริ่มปวดหัวไปด้วย ไม่เคยเป็นไมเกรนก็จะเริ่มมาเป็นเพราะมีแฟนชื่อถ้วยฟูนี่ล่ะครับ



   “ไม่ใจเย็นแล้ว!!! ฮือออออ…” ...เสียงฮือของมึงนี่ปวดกะโหลกสิ้นดี...ผมปวดหัวตุบๆเหมือนเส้นเลือดในสมองจะแตก



   “งั้นก็หยุดร้องไห้ ร้องมากขนาดนี้เดี๋ยวก็ปวดหัวหรอก หยุดร้องซะ พี่ไม่ได้จะมีคนอื่น พี่แค่เห็นเด็กน่ารักก็เท่านั้น”



   “เห็นเด็กน่ารักนั่นแหละคุณสมบัติขั้นต้นของคนอยากมีลูก!! ฮือออออ!!!!” ผมจะอธิบายให้มันฟังยังไงดีวะเนี่ย นอกจากสติจะแตก หูยังเสือกดับอีกต่างหาก



   “เออ ก็มีแล้วนี่ไงหนึ่งคน” ผมเอ่ยปากตัดบทไปแบบนั้น และแทบจะในทันที ไอ้ถ้วยฟูตัวแสบเงยหน้าจากเสื้อยืดขึ้นมามองผมตาเบิกโพลง



   “ม…ม…มีลูกแล้ว?...มีลูกได้ยังไงอ่ะ!!!! มีลูกได้ยังไง!!!!! ฮือออออออ”



   ผมขอถอนหายใจสักทีได้มั้ย นี่มันซื่อบื้อไม่รู้จริงๆเหรอว่าลูกที่ผมพูดนี่หมายถึงใคร



   “นั่งอยู่ตรงหน้าเนี่ย” ผมใบ้ให้มันรู้ตัวมากกว่าเดิม แต่…กลายเป็นว่าไอ้คนกำลังร้องไห้ไม่ใช้สมองไตร่ตรองความน่าจะเป็นเลย เพราะมันหันซ้ายหันขวาทำตาขวางแล้วโวยวายดังลั่น



   “ไหน!! อยู่ไหน!!! ไอ้เด็กนั่นอยู่ไหน!!! ฮือออออ!”



   “ถ้วยฟูไปส่องกระจกไป จะได้หาเจอเร็วๆ” ผมรีบบอกก่อนมันจะบ้ามากกว่าเดิม แล้วไอ้นี่มันบ้าคนเดียวเป็นที่ไหน มันบ้าทีไรมีผมบ้าเป็นเพื่อนมันทุกที!



   ไอ้ถ้วยฟูหันมามองเหมือนยังงงๆ ระบบประมวลความคิดยังกลั่นกรองคำพูดผมออกมาเป็นรูปธรรมไม่ชัดเจน แรมต่ำน่าเอาไปเคลมใหม่จริงๆ



   เห็นมันยังนั่งงง ผมก็เลยคว้าหัวมันเข้ามาซบไหล่ แล้วลูบเส้นผมมันเบาๆเป็นการปลอบ



   “ถ้วยฟู…พี่ไม่มีใครหรอก พี่ก็มีแต่ถ้วยฟูคนเดียว”



   “แต่ว่า…”



   “เรื่องเด็กน่ะ มีไม่ได้ก็ไม่เห็นเป็นไร เลี้ยงหลานเอาก็ได้นี่” ถ้วยฟูเงยหน้าขึ้นมามองผม



   “พูดแล้วห้ามคืนคำด้วย” มัดมือชกกันจริงๆ ถ้าไม่แน่จริงเป็นแฟนมันไม่ได้นะเนี่ย



   “เออ คืนคำได้ไงเล่า” ผมรับคำแล้วยิ้มให้มัน น้ำตามันหมดเขื่อนไปแล้ว ไม่มีไหลลงมาอีก ไม่รู้เมื่อกี้มันคิดยังไงอยู่ดีๆถึงร้องไห้ซะขนาดนั้น



   “แต่…ก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดีแหละ” ไอ้ถ้วยฟูเริ่มเล่นตัว ทั้งๆที่จมูกยังแดงแล้วสูดน้ำมูกเป็นระยะ หายใจไม่ออกล่ะสิไอ้แสบ! บอกแล้วว่าอย่าร้องไห้!



   “...ฮึก...วันนี้ก็บอกเต็มปากเต็มคำว่าจะเลี้ยงหลานแทนลูก แต่เดี๋ยวอีกสักสิบปี ยี่สิบปี สามสิบปีก็คงจะชิ่งไปหาเด็กเอ๊าะๆ เพราะไอ้ถ้วยฟูคนนี้มันมีลูกให้ไม่ได้...ฮึก...น่าเศร้า...สถานะของถ้วยฟูคนนี้มันไม่มั่นคงเอาซะเลย...ฮึก...” มันเริ่มตีหน้าเศร้าพูดเสียงสะอื้น แน่นอน...ผมรู้ว่ามันตีบทแตกไปอย่างงั้นเอง แต่ที่ไม่รู้คือมันต้องการอะไรจากการตีบทแตกครั้งนี้



   “แล้วจะให้ทำไง” ผมถามแบบเปิดช่องสุดๆ รู้ดีว่าไอ้นี่กำลังพยายามลากผมไปตกหลุมอะไรสักอย่างของมัน



   “ก็…ก็…ต้องง้อ…”



   “ง้อ?” ผมทวนคำ



   “อือ ง้อ…ก็...ก็...ก็ตอนนี้ฟูเสียใจใช่มั้ยล่ะ ความรู้สึกมันไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะงั้น...เพราะงั้นก็ต้อง…ต้อง...กระชับความสัมพันธ์ระหว่างเรา...” มันพูดอ้ำๆอึ้งๆ เหลือบตามองผมแบบลุกลี้ลุกลน



   “กระชับความสัมพันธ์?”



   “อืม...ก็...ก็แบบ...แบบ...ไปทำอะไรด้วยกันสองคน ไปในที่ที่มีแค่เราสองคน ไปเปลี่ยนบรรยากาศมั่งอะไรมั่ง...”



   “เปลี่ยนบรรยากาศ?” ผมทวนอีกรอบ พยายามกลั้นยิ้มไม่ขำ เดี๋ยวมันจะไม่ยอมพูดต่อ ผมจะกลายเป็นอดรู้ว่ามันอยากได้อะไรตอนนี้



   ไอ้ถ้วยฟูหันมามองผม ดวงตามันพยายามส่อประกายใสซื่อเหมือนเด็กสามขวบ แต่ขอโทษ...นิสัยอย่างมัน ไอ้ความใส่ซื่อคงบอกลาตั้งแต่มันยังไม่เกิด...



   “ช่ายยยย...เปลี่ยนบรรยากาศ...เอ่อ...แบบ...เปลี่ยนจาก…กรุงเทพฯ…เป็นโตเกียว…ดีมั้ย?”



   “อะไรนะ?!!”



.........................................



   คิดว่ามันพูดเล่นใช่มั้ย คิดว่ามันจะไม่เอาจริง คิดว่ามันพูดเพื่อกวนประสาทเฉยๆ…



   …ไม่ใช่ครับ…



   “วู้!!! สวัสดี นาริตะ!!”



ทันทีเครื่องบินแลนด์ดิ้งลงสนามบินนานาชาตินาริตะ งวงช้างมาเสียบ ประตูเคบินเปิด ไอ้แสบที่เคยร้องไห้ขี้มูกโป่งในวันนั้นก็รีบถลาลงจากเครื่องมายืนชูไม้ชูมือโห่ร้องจนผู้โดยสารคนอื่นยังมองกันเป็นตาเดียวอย่างกับแม่งได้แชมป์โลกมา เป็นฝ่ายผมเองที่ต้องลากมันออกมาจากหน้าประตูเครื่องบิน ไม่อยากจะบอกมันเลยว่าถ้าขืนมันยังทำตัวไม่สงบเสงี่ยมเจียมตัวและเกรียนแตกแบบนี้ ตม.ที่นี่อาจจะไม่ให้เข้าประเทศ งานนี้ล่ะน้ำตาตกกลับเมืองไทยตั้งแต่ยังไม่ได้ออกไปแตะโตเกียวด้วยซ้ำ



   …อ้อ…แล้วไม่ต้องถามหาคณะทัวร์หรือไกด์ที่มากับเรานะครับ เพราะผมเพิ่งรู้ตอนขึ้นเครื่องว่างานนี้…เรามากันสองคน…



   …บ้าเอ๊ย!! ผมไม่น่าให้มันเป็นคนจัดการเรื่องเที่ยวเลย! เห็นมันออกตัวว่าจะจัดการทุกอย่าง แค่ผมเอาเงินมาให้มัน มันจะบริหารให้ทริป 7 วันของผมกับมันเป็นความสุขมิรู้ลืม! ผมก็คิดว่ามันจะไปกับทัวร์ เพราะรู้ๆกันอยู่ว่าประเทศนี้ไม่ใช้ภาษาอังกฤษ แต่ใครจะคิดว่าไอ้บ้านี่อยากหาเรื่องใส่ตัวมาเที่ยวกันเองแค่สองคน แล้วเป็นสองคนที่ไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นเลย!!



...7 วันสุขมิรู้ลืมจะกลายเป็น 7 วันทรหดสิไม่ว่า!...






   “แล้วเราจะไปทางไหนต่อ” 



ผมหันมาถามไอ้แสบ หลังจากผ่านจุดตรวจคนเข้าเมืองแล้ว(ซึ่งผมเห็นไอ้ถ้วยฟูพยักหน้ารับตอบเยส ตอบโนไปตามเรื่องก็พ้นตม.ของประเทศนี้มาได้อย่างสวัสดิภาพ) รับกระเป๋าเดินทางแล้ว เราก็มาพบเจอความจริงที่โคตรโหดร้าย เพราะไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี



   มันควักกระดาษยับๆออกมาจากกระเป๋าเป้บนไหล่มันแล้วกวาดตาอ่าน



   “เราต้องไปขึ้นรถไฟเพื่อเข้าโตเกียว เอาแบบไปลงที่สถานีนิปโปริ มันมีรถด่วนชื่อสกายไลน์เนอร์ อ่ะ! เอาไปถามให้หน่อย ที่สนามบินเขาพูดภาษาอังกฤษได้” แล้วมันก็ยิ้มแฉ่งส่งกระดาษที่มีรายละเอียดชื่อสายรถไฟและสถานีปลายทางที่พวกผมต้องลงมาให้ เป็นอันรู้กันว่าผมต้องเป็นคนไปถามเป็นภาษาอังกฤษว่าไอ้รถไฟสายที่ว่านี่มันอยู่ตรงไหนของสนามบิน



   พนักงานชี้ทางให้ผมไปยังจุดซื้อตั๋วรถไฟซึ่งอยู่ชั้นใต้ดิน ผมกลับมาช่วยมันลากกระเป๋าลงไปยังจุดขายตั๋วรถไฟ แล้วก็เป็นผมนั่นแหละที่เป็นคนเดินไปซื้อตั๋ว เพราะไอ้แสบถ้วยฟูไม่ทำอะไรอีก นอกจากยกกล้องขึ้นถ่ายรูปเก็บมันทุกอณู



   ได้ตั๋วมาสองใบ บอกเขาว่าเอารถแบบที่เร็วที่สุด เพราะเกรงว่านั่งในรถไฟนานๆ ถ้วยฟูมันจะเกรียนแตกเสียก่อน สุดท้าย ผมกับมันก็ลงมาเหยียบสถานีรถไฟใต้สนามบินนาริตะเพื่อมุ่งสู่เมืองหลวงของญี่ปุ่น



...โตเกียว...



............................................



   “อะโหย! อะโหย! อะโฮ้ยยยยยยยย!” ผมอยากจะกรีดร้องให้ดังกว่านี้ เอาจริงๆว่าอยากให้ดังกว่านี้อีก! แต่เพราะหน้าตาของสามีนามว่าธันวาที่ยืนข้างผมบอกยี่ห้อว่าพี่แกเป็น ‘ไทย’ ล้านเปอร์เซ็นชนิดไม่ต้องควักพาสปอร์ตขึ้นมาโชว์ก็ทำเอาผมต้องทำตัวให้ดูเป็นมนุษย์มนาผู้มาจากสังคมที่มีอารยะและเจริญแล้วอย่างไทยแลนด์แดนแค่นยิ้มแค่กๆ จะมาทำตัวขายขี้หน้าให้หนุ่มสาวชาวโตเกียวเห็นได้ยังไง!



   “ทำไมรถไฟที่จอดอยู่ตรงหัวลำโพงบ้านเราไม่ไฮโซอย่างที่นี่บ้างอ่ะ!” ผมหันไปกระซิบถามสามีที่ยืนรอรถไฟอยู่ใต้สนามบินด้วยกัน



วันนี้เรามาเหยียบนาริตะอย่างที่ไอ้พี่ธันมันเกริ่นเอาไว้ข้างต้น หลังจากศึกษาหาความรู้(?)มาอย่างดีว่าการแบ็คแพ็คมาที่นี่ไม่ใช่เรื่องยาก แม้จะรู้ภาษาญี่ปุ่นงูๆปลาๆจากหนังโป๊ที่โหลดมาดูตั้งแต่สมัยยังหัวเกรียนก็ตาม พวกผมสองคน(อันที่จริงผมคนเดียว)ก็ตกลงปลงใจมาเที่ยวด้วยกันแบบไม่ง้อทัวร์ ไม่พึ่งไกด์ มีแค่สี่เท้าของเราสอง และหัวใจที่รักการผจญภัยในต่างแดนเท่านั้นเองครับ!



   และเวลานี้ รถไฟที่จะพาพวกผมออกจากสนามบินแล้วตรงดิ่งเข้าใจกลางเมืองหลวงก็มาจอดเทียบท่ารออยู่แล้ว หลังจากฟาดค่าตั๋วไปคนละเกือบพันบาท เราก็ได้มาเห็นวิวัฒนาการที่รถไฟไทยให้ไม่ได้



   …นอกจากหน้าตาแม่งจะดูล้ำแตกต่างจากรถไฟปู๊นๆบ้านเราแล้ว เบาะนั่งในรถไฟยังสามารถหมุนได้โดยอัตโนมัติครับ!!



ที่เขาต้องหมุนเบาะก็เนื่องมาจากว่ารถไฟขบวนนี้วิ่งได้จากทั้งสองฝั่ง ทั้งหัวทั้งหางรถไฟเลยหน้าตาเหมือนกันเดี้ยะ! เพราะใช้เป็นหัวขบวนได้ทั้งคู่นั่นเอง แล้วอีตอนเข้ามาจอดที่ชานชาลาเพื่อส่งผู้โดยสารที่มาจากโตเกียวเข้ามาสนามบินนาริตะ มันเอาหัวเข้าถูกมั้ยครับ เบาะรถไฟทั้งหมด หันหน้าเข้าสู่อุโมงค์ที่เทียบชานชาลา พอส่งผู้โดยสารล็อตโตเกียว-นาริตะแล้ว คราวนี้มันจะตีรถเปล่าออกไปทำไมให้เปลืองพลังงาน มันก็รับพวกผมจากสนามบินนาริตะนี่ล่ะครับ กลับไปโตเกียว ทีนี้เนื่องจากรถไฟไม่ใช่รถยนต์ มันจึงไม่มีที่ให้กลับรถ ซึ่งพี่ยุ่นแกก็ทำทุกอย่างให้ง่ายขึ้นครับ ด้วยการที่ใช้ทางหางรถไฟเป็นหัวขบวนวิ่งนำออกไปซะเลย ทีนี้เบาะรถไฟในตอนแรกที่หันหน้าไปทางทิศเดียวกับตอนขาเข้าเลยกลายเป็นหันหลังให้กับทิศที่รถไฟจะวิ่งตอนขาออกซะงั้น ไอ้ครั้นจะทิ้งเอาไว้แบบนั้นให้ผู้โดยสารนั่งหันหลังมองทิวทัศน์ก็เกรงว่าผู้โดยสารจะอ้วกแตก แถมแลดูไม่มีเซอร์วิสมายเอาซะเลย พี่ยุ่นแกก็ก้าวไปข้างหน้าอีกขั้นด้วยการใช้ระบบอัตโนมัติหมุนเบาะในรถไฟให้หันไปตามทิศที่รถไฟจะวิ่งนั่นเองครับ!



   ...เลอเลิศ!! เลอเลิศจริงๆ!!!!!...



ผมยืนตาร้อนผ่าวๆอยู่นอกรถมองดูการหมุนของเบาะนั่งในโบกี้รถไฟด้วยความคลั่งใคล้แล้วภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้การรถไฟไทยมาเอาอะไรอย่างงี้ไปบ้าง! ญี่ปุ่นไม่ได้สร้างได้แค่หนังหุ่นยนต์แปลงร่างนะเว้ยเฮ้ย!!



   “ไปขึ้นรถไป เดี๋ยวรถจะออกแล้ว”



ไอ้พี่ธันเอามือมาตบคางให้ผมหุบปาก ก่อนจะทำตัวเป็นพระเอกนอกประเทศช่วยผมลากกระเป๋าเดินทางใบโตไปขึ้นรถไฟ



 แต่ละโบกี้จะมีโซนสำหรับเก็บกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ๆอยู่ใกล้ประตู หรือจะหอบไปนั่งกอดก็ได้ ถ้ากลัวว่าจะมีคนมาหยิบไป แต่เนื่องจากไอ้กระเป๋าเดินทางของผมที่ไปแทบจะทั้งจักรวาลนั้นอยู่ในสภาพค่อนข้างจะเน่ามาก ผมก็เลยตกลงใจวางเอาไว้ตรงโซนวางกระเป๋ารวมกับของสมาชิกร่วมโบกี้คนอื่นๆ เพราะสภาพเยี่ยงนั้น ถ้ามีใครมาเอาไปนี่ก็สันดานโจรจริงๆแหละ



สภาพในรถไฟนี่ผมบอกเลยว่ากรุณาลืมรถไฟปู๊นๆที่บ้านเราซะ นอกจากภายนอกจะดูล้ำยุคแล้ว ภายในก็ล้ำไม่ต่างกันครับ ทั้งเบาะนั่งสบายตูด หน้าต่างบานใหญ่แถมออฟชั่นเสริมพร้อมด้วยมู่ลี่บังแดดที่ดึงๆชักๆได้ตามอัธยาศัย นอกจากนั้น จุดเชื่อมของแต่ละโบกี้ก็มีบริการตู้ขายน้ำอัตโนมัติด้วยล่ะครับ!



   เราสองคนหาที่นั่งตามเบอร์ตั๋วได้ก็เริ่มทำตัวเป็นนักท่องเที่ยว มาขึ้นรถไฟไฮโซฟาดค่าตั๋วไปเกือบพันทั้งที ต้องถ่ายรูปไปฝากสมาชิกที่เมืองไทยซะหน่อย แต่ไอ้ครั้นจะถ่ายให้ติดทั้งผมทั้งไอ้พี่ธัน ในรูปก็จะมีแต่หน้าหล่อๆของเราสองคน ไม่สามารถเก็บบรรยากาศสภาพแวดล้อมได้ เพราะงั้น…เรื่องถ่ายรูปอย่างงี้ต้องหาตัวช่วย…



   ผมมองซ้ายมองขวา และในที่สุดก็เห็นลุงญี่ปุ่นคนนึงนั่งโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่ที่เบาะเยื้องหลังไปสองตัว



   “เจอเหยื่อแหละ” ผมหันไปบอกไอ้พี่ธันก่อนจะลุกจากเก้าอี้เดินถือกล้องไปหาลุงญี่ปุ่นผู้แสนอะโลนที่นั่งอยู่ไม่ไกล



   “พลีส เทค อะ พิคเจอร์ ฟอร์ มี!” 



ภาษาอังกฤษระดับหอยทากยังป่วยนั้น ผมสามารถใช้ได้ไม่อายใคร ก็ไอ้โจเพื่อนยากที่เคยมาญี่ปุ่นมันบอกว่าคนญี่ปุ่นพูดภาษาอังกฤษไม่เป็นนี่หว่า ผมเองก็พูดภาษาอังกฤษไม่เป็นเหมือนกัน เพราะงั้น...ต่างฝ่ายต่างพูดไม่ได้แบบนี้ ยิ่งไม่มีปัญหา!!!



ทว่า...บางครั้ง...ปัญหาก็เกิดเมื่อเราพูดภาษาอังกฤษครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-07-2014 21:10:26 โดย Dezair »

ออฟไลน์ Dezair

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 533
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1544/-8

“ผมพูดภาษาไทยได้ครับ” ตาลุงญี่ปุ่นสุดอะโลนคนนั้นตอบกลับมาเป็นภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำ เล่นเอาผมเงิบไปเล็กน้อยเพราะเมื่อกี้เพิ่งเรียกเขาว่า ‘เหยื่อ’ มาหมาดๆ แล้วคนอย่างผมก็ไม่ใช่พวกพูดจาเบาซะด้วยสิ



   …แต่บางทีเขาอาจจะฟังไม่ทัน หรืออาจจะฟังคำว่า ‘เหยื่อ’ เป็นคำอื่นก็ได้! อาจจะฟังเป็น ‘เยื่อ’ หรือ ‘เยื้อย’ อะไรทำนองนี้ ขอบคุณภาษาไทยที่ออกแบบหลักภาษามาได้ยากโคตรครับ กราบขอบพระคุณ...



   “…พ…พูดไทยได้เหรอครับ” ผมย้อนถามอีกรอบพยายามทำใจดีสู้เสือ ท่องไว้ ท่องไว้ ว่าภาษาไทยแม่งยากจะตายห่า เด็กไทยยังตกแล้วตกอีก แล้วลุงเป็นญี่ปุ่นทั้งหน้าตาทั้งสำเนียงแบบนี้ ลุงจะเข้าใจภาษาไทยได้ดีไปกว่าสวัสดี ขอบคุณ ผมรักคุณ ลาก่อน ได้ยังไง!!



ลุงอะโลนยิ้มกว้างแล้วพยักหน้ารับ



   “พูดได้ครับ ผมอยู่เมืองไทยมาสิบห้าปี ภรรยาของผมก็เป็นครูสอนภาษาไทย” ฉิบหาย...อยู่เมืองไทยตั้งสิบห้าปี แถมเมียเป็นครูสอนภาษาไทยอีกต่างหาก!!! อย่างงี้ก็เข้าใจคำว่าเหยื่อสิวะเนี่ย!!!



   ผมเงิบไม่เล็กแล้วตอนนี้ เพราะอีกฝ่ายพูดไทยได้ ฟังไทยออก แม้จะมีสำเนียงแบบโกโบริๆก็เหอะ แต่ยังไงก็ยังเป็นภาษาไทยอยู่ดี!!



   ...กูอยากจะกลายเป็นหิ่งห้อยแล้วบินขึ้นสู่ทางช้างเผือกซะเดี๋ยวนี้!! ใครจะไปคิดว่าจะมาเจอคนญี่ปุ่นพูดไทยได้ฟังไทยออกนอกประเทศแบบนี้วะ!!!!...



   แม้หัวใจผมจะลอยปิ๋วไปกับสายลม หน้าแตกละเอียดยิบๆ แต่เรามันคนไทยมีรอยยิ้มเป็นอาวุธเลยต้องส่งยิ้มแฉ่งไปหนึ่งที ตามด้วยคำเยินยอสรรเสริญถือเป็นการไถ่โทษ



   “อ่า…ก…เก่งนะครับ! แหม! ภาษาไทยยากมาก แต่คุณลุงพูดภาษาไทยเก่งมากเลย! ภรรยาสอนมาดีสินะครับนี่!” แพ็กเกจคู่ชมทั้งลุง ทั้งเมียลุงเลยนะเนี่ยยยยย...ไม่เรียกว่าชะเลียก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว!!...



   “ขอบคุณครับ มาครับ ผมจะถ่ายรูปให้” ลุงญี่ปุ่นว่าอย่างนั้น ผมก็เลยส่งกล้องให้ แล้วกลับไปนั่งบนเบาะข้างไอ้พี่ธัน ให้คุณลุงถ่ายรูปให้ 2-3 แชะ พอเอามาเช็คก็พบว่าลุงแกเก็บทั้งนายแบบสองหน่อและบรรยากาศในตู้โบกี้ราวกับรู้ว่าผมจะเอาความอลังการของรถไฟญี่ปุ่นกลับไปอวดคนที่บ้านอย่างไรอย่างนั้น



   “มาเที่ยวกันสองคนเหรอครับ” ลุงถาม หลังจากส่งกล้องคืนให้ผม



   “ครับ ลุงล่ะครับ กลับมาเยี่ยมญาติเหรอ”



   “ผมกลับมาทุกปี แต่ปีหน้าว่าจะพาลูกมาเยี่ยมปู่กับย่าบ้างแล้ว แกไม่เคยมาเลย” หน้าตาแกดูเศร้าตอนที่พูดถึงเรื่องลูกให้ฟัง “ผมเห็นคนหนุ่มสาวต่างชาติพากันมาที่นี่ แต่ผมกลับไม่เคยพาลูกผมมา รู้สึกแปลกๆนะครับ” แกว่าอย่างนั้น ก่อนจะหันมายิ้มให้พวกผมอีกรอบ



   “พวกคุณเที่ยวแค่ในโตเกียวหรือว่าไปต่างจังหวัดด้วยล่ะ” มาถึงคำถามนี้ ไอ้ผมผู้ซึ่งเป็นคนเตรียมแผนการเดินทางตั้งแต่วันแรกยันวันสุดท้ายก็ถึงกับยืดอกสามศอกขึ้นอย่างภาคภูมิ



   “เที่ยวแค่โตเกียวครับ!!” แค่โตเกียวก็ยากแล้วนะเว้ยเฮ้ย! สำหรับการเที่ยวโดยใช้แค่รถสาธารณะอย่างเดียวในประเทศที่มีสายรถไฟหยึบหยับยั้วเยี้ยมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลกน่ะ!!



   “ถ้าอย่างนั้นก็เที่ยวให้สนุกนะ” 



รถไฟปิดประตูแล้ว คุณลุงแกอวยพรให้เล็กๆก่อนจะเดินกลับไปยังที่นั่งของตัวเอง ไม่เกินอึดใจรถไฟก็เริ่มเคลื่อนตัวออกสู่โลกภายนอก จากอุโมงค์ทึบๆ วิวนอกหน้าต่างก็กลายเป็นทุ่งหญ้าทุ่งข้าวสารพัด ตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงกว่าๆของที่นี่ แดดยังสาดเข้ามา ดูแล้วร้อนไม่น่าจะหนาวถึงขนาดต่ำกว่าสิบองศาเลยแหะ



   “มีแต่ทุ่งเหมือนปทุมฯ รังสิตอะไรอย่างงี้เลยอ่ะ” ผมหันมาออกความเห็นกับไอ้คนไทยที่นั่งข้างๆ มันได้แต่ยิ้ม ก่อนจะหันไปเก็บภาพบรรยากาศนอกโบกี้ต่อ เสียงประกาศเป็นภาษาญี่ปุ่นดังขึ้น ตามด้วยภาษาจีน และภาษาอังกฤษ พร้อมกับที่มอนิเตอร์เหนือประตูเชื่อมระหว่างโบกี้ที่เริ่มบอกเวลาการเข้าจอดสองสถานีตามลำดับคือสถานีนิปโปริที่ผมจะลง และสถานีอุเอโนะซึ่งเป็นสถานีปลายทาง ใช้เวลาเดินทางเกือบชั่วโมงนึง จริงๆนั่งสักสองชั่วโมงก็ได้ จะได้คุ้มค่าตั๋วสักหน่อย



เมื่อมอนิเตอร์ไม่ประกาศอย่างอื่นที่น่าสนใจอีก ผมก็เบี่ยงสายตามองออกไปนอกหน้าต่างรถแทน ตอนนี้ภาพทุ่งหญ้าทุ่งข้าวเริ่มกลายเป็นบ้านทรงญี่ปุ่นแบบที่เห็นบ่อยๆตามการ์ตูนปลูกเรียงรายเป็นพืดไปสุดลูกหูลูกตา ไกลลิบๆคือภูเขาที่ทอดตัวสงบนิ่งอยู่ใต้เมฆน้อยลอยบุ๋งๆ ช่างเป็นภาพที่งดงามเหลือจะบรรยายครับ ยิ่งรับรู้ว่าได้ออกมาเที่ยวเมืองนอกกับยอดรักแค่สองคนด้วยแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกกระดี๊กระด๊ายิ่งกว่าปลากระดี่ได้น้ำซะอี๊ก!!



ว่าแล้วก็ขอเช็คกราฟความรักของตัวเองและไอ้พี่ธันนิดนึง



“นั่นภูเขาฟูจิรึเปล่า” ผมชี้ชวนสุดเลิฟให้ดูภูเขาไกลๆ อันที่จริงก็คิดว่าไม่ใช่ล่ะครับ แต่...นี่คือบททดสอบของการชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ ชี้ภูเขาก็ต้องเป็นภูเขา ชีวิตผัวอยู่ในกำมือเมียประหนึ่งลูกเจี๊ยบที่แค่บีบก็ตาย แค่คลายก็รอด!! วะฮ่าฮ่า!!



“นั่นมันภูเขาที่ไหน นั่นมันเทือกเขา” ...เอ่อออออ...ช่วยไม่ขัดกูได้มั้ย ช่วยเออออไปกับกูว่ามันคือภูเขาไฟฟูจิได้รึเปล่า ช่วยทำให้กูรู้สึกดี ช่วยทำให้กูรู้สึกฉลาด ช่วยทำได้มั้ย?...



“แล้วอีกอย่าง ภูเขาไฟฟูจิมันไม่ได้อยู่แถวนี้สักหน่อย มันอยู่ทางตะวันตกของญี่ปุ่นไม่ใช่เหรอ” นี่นอกจากมึงจะฟาดเกียรตินิยมเหรียญทองแพลตตินั่มมาจากคณะวิศวะฯคณะเดียวกับกูผู้ซึ่งจบมาด้วยเกรดเฉลี่ย 3.01 แล้ว มึงคงจะแอบไปเทคคอร์สภูมิศาสตร์อะราวด์ เดอะ เวิลด์มาด้วยสินะ!! รู้ลึกรู้ดีรู้จริงซะเหลือเกิ๊น!!



“เออ! ถ้างั้นภูเขาเมื่อกี้คงเป็นเทือกเขาบรรพต!!” ในเมื่อไม่ใช่ภูเขาไฟฟูจิก็เป็นบรรพตไปแล้วกัน!!



ไอ้พี่ธันหัวเราะเบาๆ แล้วโยกหัวผมไปมาอย่างแสนเอ็นดู



   “อย่างอนหน่า อุตส่าห์พามาเที่ยวแล้ว” ผมแอบเหล่ตามองมันเล็กน้อย ก่อนจะสูดลมหายใจฟืดนึงเพื่อเป็นการคลายอารมณ์



   “ดูนั่นสิ เหมือนบ้านโนบิตะมั้ย” แล้วไอ้พี่ธันก็ชี้ชวนผมให้หันไปสนใจสิ่งอื่น ตอนนี้บ้านคนเริ่มหนาตามากแล้วครับ คงเพราะวิ่งเข้าใกล้เขตเมืองเข้าไปทุกที บ้านแต่ล่ะหลังก็สไตล์ใกล้เคียงกัน เป็นสไตล์แบบบ้านโนบิตะ ณ โดราเอมอนแทบทุกหลัง



   รถไฟชะลอตัววิ่งเข้าสู่ชานชาลาแล้ววิ่งเลยไป ไม่ยอมจอด คนที่ชานชาลาก็ยืนรอกันต่อไป มีเด็กนักเรียนญี่ปุ่นกลุ่มใหญ่ๆยืนคอยรถอยู่ แต่รถไฟขบวนที่ผมขึ้นดันไม่จอดซะงั้น สงสัยเพราะขบวนผมจะเป็นขบวนอภิสิทธิ์ชนนะครับ ฮุฮุฮุ



   “ไม่ต้องทำหน้าอย่างงั้น ขบวนนี้เป็นรถด่วน” ไอ้หล่อข้างกายคงเห็นสีหน้าที่แสนภาคภูมิของผม มันก็เลยกระชากผมลงมารับรู้ความจริงสักหน่อย



   ...นอกจากมึงจะไม่เออออเทือกเขาเมื่อกี้ว่าเป็นภูเขาไฟฟูจิแล้ว มึงยังทำลายความรู้สึกกูไม่ยั้งเลยนะ!! กูคิดว่ากูบอกมึงแล้วว่าทริปนี้คือทริปกระชับความสัมพันธ์ที่มึงจะต้องดูแลหัวจิตหัวใจของกูมากเป็นพิเศษ! แล้วนี่อะไร!! นี่อะไร!! เหยียบโตเกียววันแรกมึงก็ขัดแข้งขัดขากูตลอด!!!...



   เวลาประมาณสี่สิบนาทีไม่ได้ช้าอย่างที่คิด คงเพราะมีวิวทิวทัศน์แปลกตาที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตให้ดูไปตลอดทาง แถมมีคู่หูเดินทางที่กัดกันไปแง่งกันมาโอ๋กันบ้างเป็นบางระยะ รู้ตัวอีกที รถไฟก็ประกาศอีกรอบ ไอ้พี่ธันเริ่มชะเง้อชะแง้ คงเพราะใกล้ถึงแล้ว



   “จะลงแล้วเหรอ” ผมถามเริ่มลุกลี้ลุกลนตามมัน



   “อืม ป้ายหน้า” ผมขยับเตรียมตัวอย่างโคตรตื่นเต้น เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาเหยียบญี่ปุ่น ถึงแม้จะรู้จักประเทศนี้ตั้งแต่ยังเอ๊าะก็เหอะ



   รถไฟวิ่งเข้าจอดเทียบชานชาลา ผมกับไอ้พี่ธันลุกจากเก้าอี้เดินไปเอากระเป๋าเน่าๆของเราสองคนออกจากที่วางแล้วยกมันลงจากรถไฟ



   และของขวัญชิ้นแรกที่โตเกียวมอบให้ก็คือ…



…ลมหนาวหอบใหญ่พัดเข้ามาในสถานีรถไฟซะหัวแทบปลิว!!!...



   ...เห็นแดดเปรี้ยงๆนี่ไม่ใช่เล่นๆเลยนะมึงงงงงงง!! หนาวได้อีก!!!!...



   “เดี๋ยวเราเอากระเป๋าไปเก็บโรงแรมก่อน แล้วค่อยไปหาอะไรกินแล้วกัน” ไอ้หล่อเสนอแนะ ผมก็พยักหน้าหงึกๆเห็นด้วย เพราะไฟลท์บินตอนเช้าได้กินข้าวไปมื้อเดียวบนเครื่องและตอนนี้ก็เริ่มหิวแล้วด้วย



เราสองคนช่วยกันลากกระเป๋าออกจากสถานีที่มีญี่ปุ่นชนทั้งคนธรรมดา นักเรียน มนุษย์สูท แม่บ้าน สารพัดจะเยอะ แค่เห็นคนเดินไปเดินมาขวักไขว่อยู่ตรงหน้าก็ให้ความรู้สึกว่าโคตรจะเมืองหลวงอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ในสถานีรถไฟก็กว้างขวาง สะอาดสะอ้าน มีร้านหนังสือ ร้านขายขนมปัง ร้านขายอาหาร แต่ไม่ยักกะเห็นคนเดินกินในสถานีทั้งๆที่ก็ไม่เห็นจะมีป้ายห้ามอะไรเลย แหม...ไม่เหมือนบางประเทศแถวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ตั้งอยู่บนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยานะครับ ติดป้ายห้ามใหญ่เท่าฝาบ้าน หรือต่อให้แม่งทำเป็นบิลบอร์ดข้างทางด่วน แต่ข้อห้ามคือของหวาน ลิ้มรสแล้วอร่อยแม้ไม่อิ่มก็ตาม



   กลับมาที่โตเกียวกันต่อ โรงแรมที่ผมจอง ไม่ไกลจากสถานีรถไฟเท่าไหร่ เดินไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ โรงแรมนี้ผมเลือกเพราะไอ้โจมาเที่ยวกับพี่ปอมคราวก่อนแล้วใช้บริการที่นี่ มันว่าใกล้สถานีรถไฟสายหลักอย่างสายยามาโนเตะ(กรุณาจำสายรถไฟสายนี้ให้มั่นเลยนะครับ เพราะมันคือเพื่อนตายของผมและไอ้พี่ธันเลยทีเดียว!) และสายที่วิ่งด่วนจี๋กลับสนามบินนาริตะ สะดวกทั้งเดินทางในเมือง สะดวกทั้งเดินทางไปสนามบิน แถมราคาห้องก็ไม่ค่อยแพงเท่าไหร่ ผมก็เลยเอามั่ง



   ผมส่งพ่อยอดขมองอิ่มไปเจรจากับฟร้อนท์ของโรงแรมพร้อมด้วยใบจองที่ปริ้นท์ออกมาจากอินเตอร์เน็ต ไอ้พี่ธันคุยอยู่แปบนึงก็เดินกลับมาบอกผม



   “เขายังทำห้องไม่เสร็จ ให้เราทิ้งกระเป๋าไว้ แล้วเขาจะเอาขึ้นห้องให้” ผมพยักหน้ารับพอดีกับที่พนักงานโรงแรมสาวชาวญี่ปุ่นวิ่งมารับกระเป๋าเดินทางไปเก็บให้ ผมค้อมศีรษะให้ทีนึงแทนคำขอบคุณ แต่อีกฝ่ายโค้งอ่อนช้อยเสียจนผมเริ่มเขิน



   พอกระเป๋าเดินทางสองใบของผมและมันอยู่ในมือพนักงานโรงแรมเรียบร้อย เราสองคนก็ตกลงใจจะแวะร้านขายข้าวหน้าของทอดทั้งหลายที่อยู่ข้างสถานีรถไฟเป็นที่พึ่งให้กระเพาะอาหารก่อนที่จะประเดิมสถานที่ท่องเที่ยวแห่งแรกในโตเกียว



   ...โตเกียวทาวเวอร์นั่นเอง!!!...


.................................................




   “โอ้โฮววววว!!!!!” เสาเหล็กสีเหลืองอร่ามท่ามกลางท้องฟ้ามืดเร็วในช่วงฤดูหนาวทำเอาผมอ้าปากค้างตาโตด้วยความตื่นเต้น อากาศหนาวๆไม่อาจทำอะไรหัวใจของยอดนักผจญภัยอย่างนายถ้วยฟูได้หรอกครับ! ผมรีบวิ่งไปหาเจ้าเสาเหล็กสีอร่ามตานั่นทันที!!



   ตัวโตเกียวทาวเวอร์ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นดินเหมือนอย่างหอไอเฟลแห่งฝรั่งเศสนะครับ(พูดเหมือนเคยไป แต่งบบานตะไท ผัวเลยยังไม่ยอมอนุมัติครับ) เสาเหล็กขนาดใหญ่นี้ตั้งอยู่บนฐานปูนขนาดประมาณตึก2-3ชั้น ภายในฐานของโตเกียวทาวเวอร์มีร้านขายของมากมาย หน้าประตูทางเข้าโซนขายของจะมีจุดขายตั๋วสำหรับคนที่อยากขึ้นไปชมวิวจากบนโตเกียวทาวเวอร์ ส่วนรอบฐานด้านนอกนั้น มีไฟจัดเป็นหย่อมๆตามพุ่มไม้ให้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก นอกจากนั้นก็มีแสงเลเซอร์ที่ยิงลงกับพื้นเขียนเป็นข้อความว่าโตเกียวทาวเวอร์เอาไว้ให้คนที่มาเหยียบที่นี่ระลึกว่าไม่ใช่หอไอเฟลนะจ๊ะ



   และแน่นอนว่าไหนๆก็มาเหยียบแล้ว ก็ต้องถ่ายรูปกันสักหน่อย ทั้งถ่ายรูปคู่ ทั้งถ่ายโตเกียวทาวเวอร์เดี่ยวๆ แหงนหน้าถ่ายจนหลังจะเดาะ แต่ก็เก็บได้ไม่หมดเนื่องจากมันค่อนข้างสูง สุดท้ายเลยตัดใจถ่ายติดแค่ตีนโตเกียวทาวเวอร์ก็พอ



   แล้วพอถ่ายรูปเดี่ยวโตเกียวทาวเวอร์แล้ว ก็ต้องถ่ายรูปเดี่ยวนักท่องเที่ยวจริงมั้ยครับ เพราะงั้น...



   “ถ่ายให้หน่อย เอาหล่อๆนะ” ผมยื่นกล้องให้ไอ้ตากล้องกิตติมศักดิ์ มันยิ้มแล้วรับไปถ่ายรูปให้ผม ซึ่ง...ชื่นชอบการมีรูปเดี่ยวหลายๆใบครับ ฮ่าฮ่า! รูปคู่มีใบเดียวไว้แปะฝาบ้านก็พอแล้ว แต่รูปเดี่ยวต้องมีเป็นคอลเลคชั่นเอาไว้ตอนแก่ตัวไปจะได้กลับมาดูความสดใสในวัยเยาว์ยังไงล่ะครับ!!



   ถ่ายไปถ่ายมาก็เริ่มรู้สึกว่าน้ำมูกไหล เพราะอากาศเย็นขึ้นเรื่อยๆจนแทบเข้าขั้นหนาว ประเทศนี้มีลมเป็นอาวุธจริงๆครับ ลมพัดมาทีหัวใจก็วูบไปที ผมแอบเห็นสาวญี่ปุ่นใส่มินิสเกิร์ตคนเมื่อกี้ที่เดินผ่านหน้าผมไป ต้นขาเธอขนลุกจนกลายเป็นหนังไก่เลย



   …ผู้หญิงนี่น้า อยากสวยจนต้องทรมานตัวเอง ไม่เหมือนผมที่หล่อธรรมชาติสรรค์สร้างไม่ต้องพยายามอะไร...



   “จมูกแดงแล้วถ้วยฟู หนาวรึเปล่า” มัวแต่จ้องขาอ่อนผู้หญิงอื่น ผัวเลยเรียกสติด้วยการบีบจมูกของผมไปที



   “ไม่เท่าไหร่” ผมยกหลังมือขยี้ปลายจมูกตัวเอง รู้สึกมีน้ำมูกใสๆติดมากับมือด้วยนิดหน่อยแต่ยังปากเก่งบอกว่าไม่เท่าไหร่



   ไอ้พี่ธันส่ายหัวน้อยๆ เหมือนจะระอากับความแมนในเส้นเลือดของผม ก่อนที่มันจะยื่นมือมากระตุกที่ผ้าพันคอซึ่งผมเอามาคล้องไว้ที่คอเท่ห์ๆแบบในหนังมาเฟีย



   “ไอ้นี่น่ะ เขาให้พัน ไม่ใช่ให้เอามาคล้องไว้เฉยๆ” มันไม่พูดอย่างเดียวแต่ตวัดผ้าพันคอสีดำของผมขึ้นพันรอบคอ



   “เอ้า หันหลังมา” มันหมุนตัวผมให้หันหลังให้มัน ผมก็ว่าง่ายตามใจ แต่ปากถาม



   “ทำไรอ่ะ” มันทำอะไรกับผ้าพันคอผมสักอย่างจนผมชักสงสัย...หรือแม่งจะหาเรื่องฆาตกรรมด้วยผ้าพันคอวะ? หึ! มันพลาดซะแล้วล่ะ ถ้าคิดจะฆ่าผมที่นี่ ทั้งโคนัน ทั้งคินดะอิจิ ไม่มีทางปล่อยมันให้ลอยนวลรอดพ้นเงื้อมมือกฎหมายแน่นอนนนนน...เดี๋ยวผมต้องหาทางทิ้งไดอิ้ง เมสเซจก่อน...เอาอะไรดี เอาอะไรดี...



   “ผูกโบว์” เสียงไอ้หล่อข้างหลังตอบกลับมา ทำเอาผมที่กำลังจะหาทางทิ้งข้อความชี้ตัวผู้ต้องสงสัยถึงกับชะงักไปเล็กน้อย



   “ผูกโบว์?” ผมทวนคำ แล้วก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าผ้าพันคอของผมถูกดึงแน่นๆอีกที ตอนนี้เลยระลึกได้ขึ้นมาว่าสิ่งที่มันกำลังทำนั้นยิ่งกว่าฆ่าผมด้วยผ้าพันคอซะอีก!!!



   ...ผูกผ้าพันคอเป็นโบว์!!! กูเป็นหนุ่มหล่อหน้าตาดีมีหน้ามีตาในสังคมนะโว้ย!! ไม่ใช่เด็กชายถ้วยฟูอยู่อนุบาลสามที่ใช้ความน่ารักมุ้งมิ้งเรียกแขก!!!...



   “เฮ้ย!! ไม่เอา! ไม่เท่ห์!!!” 



ไอ้พี่ธันหัวเราะเบาๆ แต่พอผมยื่นมือไปด้านหลังเพื่อแก้โบว์ผ้าพันคอออก ไอ้หล่อแต่ชอบทำตัวเนียนก็คว้ามือผมไปใส่ในกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ตหนังของมันซะงั้น!



   “อย่าโวยวายหน่า เดี๋ยวคนก็มองหรอก” มือมันกับมือผมจับกันอยู่ในกระเป๋าเสื้อหนังของมัน ทำเอาผมเริ่มจะเกรงสายตาคนรอบข้างที่นับหัวได้ไม่ถึงสิบ ทางนู้นมีคู่รักวัยรุ่นสาวมินิสเกิร์ตขาหนังไก่กับแฟนหนุ่มกำลังถ่ายรูปกันกระหนุงกระหนิงหนึ่งคู่ กับครอบครัวลูกเล็กเด็กแดงที่กำลังจะเดินเข้าไปในฐานของโตเกียวทาวเวอร์อีกครอบครัวนึง



   มีคนนิดหน่อย และก็มืดขนาดนี้ คงไม่มีใครเห็นว่ามันกับผมเอามือซุกเข้าไปในกระเป๋าเสื้อด้วยกัน...แต่...ฮื้อ!! ไม่ได้! ภาพลักษณ์เสียหายหมด! แม่สั่งแม่สอนมาตั้งแต่เล็กว่าเกิดเป็นลูกหลานรัตนวิจิตรต้องรักนวลสงวนตัว



   ผมกำลังจะดึงมือน้อยๆของผมออกจากกระเป๋าเสื้อหนังของมัน แต่แบบ...แต่แบบ...ในกระเป๋าอุ่นมากเลยยยยย...ทำไงดี ทำไงดี อยากเอามือออก แต่ก็ไม่อยากเอามือออก...กูแรดไปแล้วววววว...



   “ไปเดินข้างในกัน” ว่าแล้วไอ้หล่อก็หลอกล่อถ้วยฟูตัวน้อยๆให้หันเหไปทางอื่นในตอนที่กำลังคิดไม่ตกว่าจะเอามือออกหรือไม่เอามือออกดี ผมเดินตามมันต้อยๆเข้าไปในฐานของโตเกียวทาวเวอร์ แล้วข้าวของร้านค้าที่มีอยู่ในนั้นก็ทำเอาผมลืมเรื่องจับมือกับมันซะสนิท



รวมถึง...ลืมเรื่องผ้าผันคอผูกโบว์ด้วย! อ๊ากกกกกกกก!!! นี่กูปล่อยให้มันทำอะไรลงไป๊?!!!...


......................................
   



   ผมเดินตามหลังไอ้คนที่ช้อปกระจายภายในสี่ชั่วโมงแรกหลังจากเหยียบเท้าที่โตเกียว ที่ท้ายทอยของมันยังมีผ้าพันคอผูกเป็นโบว์คาเอาไว้อยู่เลย เราสองคนออกจากโตเกียวทาวเวอร์โดยที่ไม่ได้ขึ้นไปชั้นบนเพราะไอ้แสบเห็นราคาค่าขึ้นแล้วก็ได้แต่ปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่า



   ‘ของสูง จะสวยก็ต่อเมื่อดูไกลๆ จะขึ้นไปทำไมเล่า’



   ...ไม่อยากบอกเลยว่ากูรู้ว่ามึงงก มึงถึงไม่ขึ้น...



   “เดี๋ยวเรากลับโรงแรมเลยแล้วกัน พรุ่งนี้จะออกไปวัดอาซาคุสะแต่เช้า” มันหันมาบอกแล้วควักเอาแผนที่รถไฟของโตเกียวออกมาดู ไม่น่าเชื่อใช่มั้ยครับว่ามันจะเป็นคนนำผม อันที่จริงผมเองก็ไม่เชื่อเหมือนกันว่ามันจะพาผมขึ้นรถไฟมาถึงโตเกียวทาวเวอร์ได้โดยสวัสดิภาพขนาดนี้ รู้ๆกันอยู่ว่าประเทศนี้ขึ้นชื่อเรื่องสายรถไฟมากมายแค่ไหน และเราก็รู้กันอยู่ว่าคนอย่างถ้วยฟูมันพึ่งไม่ค่อยจะได้ แต่มันก็ยังพาผมอาศัยรถสาธารณะจนมาเหยียบโตเกียวทาวเวอร์ได้นี่ก็นับว่ามันโตขึ้นมาก เพราะถ้าเป็นสมัยก่อนล่ะก็ ผมรับรองได้เลยว่าคงกลับไปนอนโรงแรมตั้งแต่เปลี่ยนสายรถไฟรอบแรกแล้ว



   “มา ช่วยถือ” มันเก็บแผนที่ลงกระเป๋ากางเกงหลังจากดูสายรถไฟที่เราจะใช้กลับไปโรงแรมเรียบร้อยก็หันมาขอถุงในมือผมไปถือ



   “ไม่เป็นไร ถ้วยฟูเดินนำเถอะ” สองมือผมเต็มไปด้วยถุงของฝากที่มันซื้อตั้งแต่วันแรก มีทั้งขนม ทั้งของที่ระลึก



   “ฟูช่วย” มันไม่ยอมรับคำปฏิเสธ แต่ดึงถุงในมือผมข้างหนึ่งไปถือ แล้วออกเดินนำอีกครั้ง พวกเราสองคนใช้บัตรรถไฟแบบเติมเงินซึ่งคนซื้อก็คือไอ้แสบนี่ล่ะครับ ไปงมที่ตู้ขายตั๋วจนได้มา มันว่าพรุ่งนี้ค่อยใช้แบบบัตรรายวันเพราะต้องไปหลายที่



   รถไฟตอนกลางคืนไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่แล้ว หรืออาจเป็นเพราะสายรถไฟที่เราใช้ไม่ค่อยพลุ่กพล่าน เพียงไม่นานก็มาถึงสถานีรถไฟใกล้โรงแรมของเราอีกครั้ง ถ้วยฟูแวะร้านขายของที่ขายตั้งแต่เครื่องสำอางไปยันของกินของใช้ ก่อนที่เราจะกลับขึ้นห้อง ซึ่งกระเป๋าเดินทางของเราสองคนมารออยู่แล้ว



   “โฮ...ห้องเล็กมากกกกกก...” ไอ้แสบร้องทันทีที่เปิดประตูเข้าห้อง



นี่เป็นครั้งแรกที่เราสองคนได้เห็นห้องของโรงแรม ประเทศนี้ขึ้นชื่อว่าที่ดินแพง เพราะงั้นอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่ที่อาศัยก็เลยต้องย่อยขนาดลง แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น อุปกรณ์อำนวยความสะดวกก็ครบครัน



   “ถ้วยฟูไปอาบน้ำก่อนไป เดี๋ยวพี่จะเก็บของให้ แล้วเมื่อกี้แวะซื้ออะไรมา” เพราะว่าดึกมากแล้ว และอากาศก็หนาว ผมไม่อยากให้มันอาบน้ำช้าไปกว่านี้ ไม่ใช่เพราะกลัวว่ามันจะไม่สบายหรอกครับ แต่กลัวว่ามันจะขี้เกียจพาลเป็นไม่อาบต่างหาก



   “ซื้อน้ำเปล่ากับขนม พี่ธันต้องกินน้ำก่อนนอนใช่มั้ยล่ะ กลัวโรงแรมไม่แจกน้ำ เลยซื้อมา ถึงที่นี่จะกินน้ำก็อกได้ แต่...กินจากขวดน่าจะดีกว่า” มันเปิดถุงให้ดูน้ำขวดใหญ่สองขวดในนั้น ถึงว่าล่ะ ผมเห็นมันรีบเดินกลับขึ้นมา ตอนแรกก็คิดว่ามันหนาว แต่ที่แท้มันคงหนัก



   “ที่นี่มีแต่ขวดสองลิตร เลยซื้อมาสองขวดเลย” สองลิตร สองขวดก็สี่ลิตรเข้าไปแล้ว ถึงแม้จากร้านกลับมาถึงห้องจะไม่ไกล แต่ผมก็รู้ว่ามันหนัก ถ้วยฟูอาจจะเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง อาจจะทำอะไรไม่ค่อยคิดถึงคนอื่น แต่มันก็ไม่เคยปล่อยปละละเลยใครเหมือนกัน



   ...และที่สำคัญ มันไม่เคยลืมผม...



   “พี่ธัน...” ผมได้ยินเสียงมันเรียกชื่อแผ่วเบาเมื่อผมก้มลงไปหามัน แล้วกดจูบลงกับริมฝีปากแดงๆที่มักจะมีรอยยิ้มหลากหลายให้ผมเสมอ เราสองคนจูบกัน ก่อนที่เป็นฝ่ายถ้วยฟูจะผละจากออกมาเล็กน้อย



   “ขอวางของก่อน หนัก” ผมดึงถุงขวดน้ำออกไปโยนไว้บนเตียง ก่อนจะหันกลับไปเบียดมันเข้ากับฝาผนังอีกครั้ง



   “อาบน้ำก่อน” มันต่อรองอีกครั้ง



   “อาบพร้อมกัน” ผมบอกมัน แล้วก้มลงจูบข้างแก้ม มือกระตุกผ้าพันคอผูกโบว์ของมันออก แล้วซุกลงหาซอกคอขาวๆ ผมได้ยินเสียงมันครางฮือ แต่ก่อนที่มันจะว่าง่าย กลับยังทิ้งความแสบเอาไว้เป็นของส่งท้าย



   “ถ้าพรุ่งนี้ตื่นไปวัดไม่ไหว ปีหน้าต้องพามาโตเกียวอีกรอบด้วย” ผมเงยหน้ายิ้มให้มัน แล้วกระตุกแขนมันเข้าห้องน้ำพร้อมคำสัญญา



   “ถ้าถ้วยฟูให้พี่สองรอบ พี่พามาสองรอบเลย”



つづく


ตามคำเรียกร้อง...ถ้วยฟูแอนด์สามีค่ะ!! :hao7:
และเนื่องจากบอกเอาไว้ตั้งแต่ตอนแรกว่าครั้งนี้เป็นเซอร์ไพรส์ เพราะฉะนั้น...มันจึงไม่ใช่แค่ตอนพิเศษ 1 ตอนจบ หรือ 2 ตอนจบ แต่มันค่อนข้างยาววววววว...

ตอนพิเศษพาร์ทนี้เขียนเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ญี่ปุ่น แต่ก็เขียนทิ้งเอาไว้แค่2หน้าเอง แล้วอยู่ดีๆช่วงนี้ก็คิดถึงโตเกียวขึ้นมา ก็เลยเอามาเขียนต่อ
แล้วตอนที่เขียนอยู่นี่ก็สนุกกับมันมาก เหมือนได้รำลึกความหลัง แล้วก็ขำกับคาแรกเตอร์ของถ้วยฟูด้วย เป็นเรื่องที่เขียนแล้วอารมณ์ดีมากๆ หวังว่าทุกๆคนจะอารมณ์ดีไปกับถ้วยฟูเหมือนบัวนะคะ

ขอบคุณคนอ่าน คนเม้นท์ กำลังใจ ทุกความคิดถึงที่มีให้กับถ้วยฟูและพี่ธัน ขอบคุณพื้นที่บอร์ดด้วยค่ะ
เจอกันอังคารหน้าน้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-07-2014 21:11:13 โดย Dezair »

ออฟไลน์ ngohingmint

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
อ่านแล้วคิดถึงโตเกียวเหมือนกันค่ะ แต่อยู่มาตั้งนานไม่ยักกะเจอคนญี่ปุ่นที่พูดไทยได้นะ นอกจากอาจารย์ที่สอนภาษาไทยที่มหาลัยอ่ะ ><

บอกจากใจเลยว่าพอเห็นว่าเป็นตอนยาววววแล้วแอบเครียดนะ เพราะตอนยาวนี่บางทีก็จะมีดราม่าอ่ะ ไม่ชอบ ฮืออออ

ขอแบบโนดราม่านะคะ เอาแบบน่ารักมุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งอย่างเดียวก็พอ

ออฟไลน์ PK13

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 149
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รออ่านน้าาาาาาา คิดถึงถ้วยฟูมากกกกกกก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
อ๊ายยยยยยยยยยยย คิดถึงถ้วยฟู

มายาวๆ เลยค่ะคิดถึงมาก

ออฟไลน์ inspirer_bear

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-5
อ๊ากกกกก ต้องมีฟูกัยพี่ธันในชุดยูกาตะด้วยนะ
ฟินไปไกลลล :mew1:

ออฟไลน์ aeecd

  • :: 8018 ::
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-0
ถ้วยฟูแสบจริงๆ. แต่ก็น่าร้ากกก
มีหวานกะพี่ธันด้วย อิอิ
ฉากในห้องน้ำละห้ามตัดน๊าาาา :hao6:

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
โอ้โหววว งี้ถ้าถ้วยฟูอยากมาอีกหลายๆรอบนี่ต้องทำไงอะ ครึครึ

ขอบคุณคุณบัวที่มาต่อนะคะ น่ารักที่สุดดดดดดด

ออฟไลน์ nekko

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +422/-4
น้องถ้วยฟูยังคงน่ารักและเกรียนสม่ำเสมอ   :mew1:

พี่ธันพาน้องไปโตเกียวกี่รอบ :hao6:


 :กอด1: :L2: :pig4:



ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
อ่านไปขำไป ถ้วยฟูกับพี่ธันน่ารัก :m1:

ออฟไลน์ monoo

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1957
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +101/-4

ออฟไลน์ SenzaAmore

  • Where troubles melt like lemon drops....
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 713
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-0
อมยิ้มแก้มป่องไปกับถ้วยฟูค่ะ อดคิดถึงบรรยากาศหนาวๆออนเซ็นอุ่นๆ วิวสวยๆที่ญี่ปุ่นไม่ได้จริงๆค่ะ

รอตอนต่อไปค่ะ(ถ้ามี555) ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ+1 :mew1:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
ถ้วยฟู นางแผนสูง งอแงจนสามีหลงพามาเที่ยวญี่ปุ่นแบบ งง ๆ

555 คิดถึงความเกรียนนนน


ออฟไลน์ emmybblood

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-2
กี๊ดดดดด


ไม่คิดว่าจะเข้ามาเจอ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด