เกินคาด ที่แทงให้เจตริน ออกมาในทงของ ไบโพลาร์
ไม่มีวี่แววโผล่มาให้คาดเดาเลย
แม้จะมีความสุดขั่วของเจตริน โผล่มาให้อ่านแวบๆ สอง-สามครั้ง ก็ตาม
ทำไมเราโง่อย่างนี้นะ
ไม่โง่หรอกครับ
ชาลีก็ยังไม่รู้เลย ผู้เขียนก็ไม่รู้ (แม้แต่เจตรินเอง แรกๆ ก็คงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง)
มันเป็น surprise ของชีวิต เป็น surprise ของชาลี หรือแม้แต่เซอร์ไพรซ์ของเจตริน หรือของแม่ของเค้า
อิ อิ อยากให้ผู้อ่าน เซอร์ไพรซ์บ้างอ่ะ (หรือจะเซ็งหรือเปล่าก็ไม่รู้ - ไงก็ ใครมีคำติ คำแนะนำ คำบอกรัก อะไรก็ได้ ก็เชิญส่งให้ผมได้เลยนะคร้าบบ)
เพลิงรัก บทที่ 25
“เลิกแก้แค้นซะเถอะ คุณจะพูดแบบนี้ใช่ไหมกัณต์ ถ้าผมเลิกคิดจะแก้แค้น ต่อไปจะเป็นยังไง คุณจะทำยังไง ผมจะทำยังไง คุณมายุ่งอะไรกับผม คุณมายุ่งทำไม"
“ออกมาคุยกันสิ"
“ผมจะนอนแล้ว" ชาลีปฏิเสธ
“นอนได้ยังไง นาวินยังไม่กลับบ้าน เมื่อกี้ผมยังเห็นอยู่ปากซอย มือขวาถือฮอทดอก มือซ้ายถือแฮมเบอร์เกอร์ คุณเลี้ยงน้องยังไงให้อดอยาก เด็กแอบออกไปหาซื้ออะไรกินตอนกลางคืนยังไม่รู้อีก"
“นาวิน" ชาลีทำเสียงเหี้ยม "แล้วทำไมคุณไม่รับขึ้นรถมาด้วย"
“คุณห้ามไม่ให้รับขึ้นรถ จำไม่ได้หรือครับ"
ชาลีตัดสายทิ้งทันที กัณต์ถอนหายใจ หากเป็นโทรศัพท์บ้าน ชาลีก็คงกระแทกโทรศัพท์ดังโครม กัณต์เปิดประตธลงไปยืนอยู่ข้างรถชั่วครู่แล้วเดินไปที่ประตูรั้วเพื่อชะเง้อมองเข้าไปในบ้าน ตั้งใจว่า หากชาลีไม่ยอมคุยกับเขาดีๆ ก็จะปีนเข้าไปในบ้านให้รู้แล้วรู้รอด แต่ไม่ถึงหนึ่งนาที กัณต์ก็เห็นนายแพทย์หนุ่มเปิดประตูบ้านออกมาและเดินตรงไปยังรถของตัวเอง เขาจึงรีบกลับขึ้นรถ แล้วเลื่อนรถมาขวางประตูรั้วเอาไว้
“ถอยไป ผมจะไปตามน้อง" ชาลีลงมาจากรถเมื่อเปิดประตูรั้วแล้วเห็นว่ากัณต์จอดรถขวาง "ไม่งั้นผมชนจริงๆ ด้วย"
“เอาสิ รถผมแข็งกว่ารถคุณ" กัณต์ท้า
“ท้ายรถผมชนเข้าด้านข้างรถคุณ รถผมบุบน้อยกว่าอยู่แล้ว ไม่ต้องมาท้าหรอก ผมไม่โง่"
“ชาลี ฟังผมก่อนสิครับ ที่ผมทำอย่างนี้ก็เพราะอยากคุยกับคุณ" กัณต์เสียงอ่อน
“ทำอะไร" ชาลีเลิกคิ้ว "อ๋อ คุณโกหกผมใช่ไหมว่านาวินแอบออกไปซื้ออะไรกิน"
“คุณจะไปตามน้องจริงๆ หรือ" กัณต์ถามพลางเหลือบตาไปมองชั้นสองของบ้าน ชาลีมองตามและทำหน้าบึ้งเมื่อเห็นว่ามีใครบางคนโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่าง
“คุณเบรกรถเสียงดังแล้วก็เอะอะโวยขนาดนี้ เพื่อนบ้านคงตื่นตกใจกันหมด" กัณต์อมยิ้ม "รวมถึงนาวินด้วย"
“ว่ามา" ชาลียกมือขึ้นกอดอก "ไหนๆ คุณก็ใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกให้ผมมายืนอยู่ตรงนี้แล้ว จะพูดอะไรก็ว่ามา"
“ผมอยากขอร้องให้คุณเลิกแก้แค้นเจตริน" กัณต์พูดพร้อมกับเปิดประตูรถ หยิบซองเอกสารส่งให้ชาลี
“ค่าจ้างหรือ" ชาลีหลุบตาลงมองสิ่งที่อยู่ในมือของอีก่าย แต่ยังไม่ยื่นมือไปรับมา
“ผมเป็นตำรวจ เข้าถึงข้อมูลประวัติบุคคลของใครต่อใครได้อย่างง่ายๆ"
“เหมือนที่คุณขุดคุ้ยประวัติผม" ชาลีกระแทกเสียง
“รวมถึงของเจตรินด้วย"
“สารวัตรกัณต์" ชาลีลดเสียงลง มองหน้านายตำรวจด้วยสายตาราบเรียบ "นอกจากเจตรินแล้ว มีอีกสองคน คุณก็รู้"
“สองคนนั้นผมก็ตรวจสอบมาแล้วด้วย ถ้าคุณอยากจะฆ่าเขาผมก็จะช่วย สองคนนั้นเลวไม่มีที่ติ วาทินเกี่ยวข้องกับยาเสพติดด้วยซ้ำ ตำรวจกำลังจับตามองอยู่ เป็นเจ้ามือรับพนันแข่งรถซิ่งอีกต่างหาก ส่วนไวโรจน์ก็มีคดีทำร้ายร่างกายอยู่สามคดี แต่ไม่ใช่เพราะเขาป่วยเป็นไบโพลาร์หรือโรคอะไรคล้ายๆ กันที่ทำไปเพราะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ แต่เพราะเป็นสันดานเถื่อนจริงๆ พ่อเขาใหญ่ รอดได้ทุกครั้ง คนที่โดนนั้นหนักพอๆ กับคุณ จะให้ตามมาช่วยกันแท๊กทีมกับคุณแก้แค้นไวโรจน์ไหมล่ะ"
“ไม่ต้องมาประชด"
“คุณจะได้อะไร ชาลี" กัณต์ถามเสียงเข้ม มองหน้าชาลีอย่างค้นหา "คุณจะได้อะไร"
ชาลีเมินหน้าหนี ยังคงกอดอกนิ่ง ปากเม้ม สลับกับพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ
“แต่ที่น่าคิดก็คือ...คุณจะเสียอะไร" กัณต์เดินไปที่รถของชาลี เปิดประตูด้านคนขับแล้ววางซองเอกสารเอาไว้ ก่อนจะเดินกลับไปที่รถของตัวเอง
“ขนาดผมเป็นตำรวจ ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรในวงการแพทย์เท่าไหร่ ตอนที่อ่านกระดาษทุกแผ่นในซองนั้น ผมยังรู้สึก...”
“พอ ไม่ต้องพูด" ชาลีเสียงกร้าว "แต่ถึงผมจะเลิกตอแยกับเจตริน หรือแม้กระทั่งวาทินกับไวโรจน์ ก็ไม่ได้หมายความว่า...”
กัณต์ปิดประตูรถดังปังเมื่อชาลีรีรอที่จะพูดให้จบประโยค
...เขาไม่อยากจะได้ยินสิ่งที่ชาลีอาจจะพูดให้จบ ชาลีหยุดพูด เหมือนต้องการให้เขาคิดต่อเอาเอง หรือบางที หยุดพูด เพราะพูดต่อไปไม่ออก...
...แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขา 'อาจจะ' จะได้ยินมันโหดร้ายกับเขามากเกินไป...
...ความรักครั้งแรกของเขา ความรักที่เขาไม่เคยคิดว่าจะมี ชาลีปฎิเสธเขาอย่างไร้เยื่อใย...
...เขารักชาลี เขารักชาลี เขารักชาลี...
ความจริงที่กัณต์ตระหนักได้ใน ณ เวลานี้ช่างทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก
ชาลีพยายามบอกตัวเองว่าเขาไม่ควรจะมาเยี่ยมเจตริน หากเขาเลิกคิดที่จะแก้แค้นเจตรินแล้วก็ไม่ควรต้องมาเจอหน้ากันอีก
แต่เขาก็มา!
เอกสารที่กัณต์เอามาให้ยิ่งตอกย้ำให้เขามั่นใจมากขึ้น เทปบันทึกเสียงสนทนาที่กัณต์ขอให้หมอผู้รักษาเจตรินอธิบายถึงสภาพของผู้ป่วยไบโพลาร์ทำให้เขาอึ้ง คืนนั้น ที่รีสอร์ท เขาตกใจมากที่เห็นเจตรินแสดงอาการโกรธเกรี้ยวออกมาอย่างรุนแรง ตลอดทางที่กัณต์ขับรถกลับกรุงเทพฯ เขาไม่ได้พูดอะไรกับกัณต์เลย ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจว่าเจตรินป่วยทางจิต และเมื่อได้อ่านหนังสือเพิ่มเติมและคุยกับเพื่อนรุ่นพี่ที่เป็นจิตแพทย์ก็ทำให้เขารู้สึกแน่ใจมากขึ้น นอกจากนั้น ประวัติของเจตรินอย่างละเอียดที่กัณต์เอามาให้ดูนั้นก็เป็นหลักฐานที่จับต้องได้
...แต่ 'หลักฐาน' ที่เป็นบุคคลนั้นน่าจะเป็นคุณหญิงฟาติมา ซึ่งเป็นคนที่ใกล้ชิดกับเจตรินที่สุด...
ชาลีต้องการพบกับคุณหญิงฟาติมา ทั้งที่เขาก็ไม่แน่ใจว่ามารดาของเจตรินจะยอม 'คุย' กับเขาหรือเปล่าเรื่องอาการป่วย 'อีกโรคหนึ่ง' ของลูกชาย
เขาตัดสินใจอยู่นานหลายอาทิตย์ก่อนจะตัดสินใจมาเยี่ยมเจตริน
...หลังจากที่แน่ใจว่าเจตรินเป็นอัมพาต...
...เขาควรจะสะใจดีหรือไม่ กรรมตามสนองเจตรินแล้ว ทำกับเขาไว้เจ็บแสบ ตอนนี้เจตรินป่วยเป็นมะเร็ง เป็นไบโพลาร์ และประสบอุบัติเหตุจนกลายเป็นอัมพาตครึ่งตัว...
...แต่...
...แต่เขาไม่สะใจเลย ไม่เลยจริงๆ...
...เพราะอะไร...
...เพราะเหตุผลที่ว่าเจตรินป่วยเป็นไบโพลาร์นั่นหรือ...
...สมมุติว่าเจตรินเป็นมะเร็งเพียงอย่างเดียวและหลงรักเขาจนสุดหัวใจ จากนั้น โดนเขาหักอก เขี่ยถึงอย่างไม่ใยดี เขาถึงจะสะใจใช่หรือไม่ แต่เขาพยายามบอกตัวเองว่า โดยเนื้อแท้แล้ว เขาไม่ใช่คนแบบนั้น เขาไม่ใช่คนร้ายกาจ เขาไม่ใช่คนที่จะทำลายชีวิตใครได้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะแค้นหรือเพราะอะไร เขาเป็นคนมีจิตใจดีงาม ไม่เช่นนั้นก็คงเป็นแพทย์ที่ให้การรักษาคนไม่ได้หรอก คนไข้ทุกคนรักเขา ยกเว้นคนเดียวที่ชื่ออนุชิต เพราะแฟนของอนุชิตเปลี่ยนใจมาจีบเขาและโดนเขาหลอกให้รักแล้วทิ้งภายในสองเดือน...
...ส่วนเอกภพก็เอาแต่พร่ำเตือนเขาว่าเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร...
...ถ้ากรรมตามสนองเจตริน แล้วกรรมจะตามสนองเขาเมื่อไหร่...
...กัณต์ขอร้องให้เขาเลิกล้มความคิดที่จะแก้แค้น และลองมาคบกัน แต่เขาก็ยังลังเล เขาให้เหตุผลตัวเองว่าเพราะต้องดูแลนาวิน...
..แต่เอกภพเอาแต่พูดกรอกหูเขาว่ายุทธนาเป็นคนดี เชียร์แล้วเชียร์อีก สารพัดจะหาข้อดีของยุทธนามาโน้วน้าวจิตใจเขา...
...ทุกอย่างวุ่นวายไปหมด...
“คุณหญิง" ชาลีอุทานเบาๆ หยุดความคิดวุ่นวายในหัวเมื่อเห็นคุณหญิงฟาติมาเปิดประตูเดินออกมาจากห้องพักคนป่วย ใบหน้าที่เคยแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางราคาแพง ตอนนี้ดูซูบซีดและมีรอยฟกช้ำที่ซีกหน้าด้านขวาตั้งแต่โหนกแก้มลงมาจนถึงมุมปากและคาง ผมที่เคยจัดแต่งทรงอย่างสวยงาม ขณะนี้รัดด้วยสายรัดผมแบบธรรมดา
“คุณหมอ" คุณหญิงฟาติมามองชาลีด้วยสายตาเย็นชา แต่แวบหนึ่ง เขาเห็นแววตาเจ็บปวด
“ผมขอโทษครับที่มาเยี่ยมช้า...”
“หมอไม่ได้อยากมาหรอก ฉันรู้" คุณหญิงฟาติมาพูดด้วยน้ำเสียงห่างเหิน
“ผมเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น" ชาลีพยายามควบคุมนำ้เสียงให้ราบเรียบ "ผมก็ทำใจยากอยู่เหมือนกัน"
“คนที่น่าจะเป็นกำลังใจให้เจได้มากที่สุดก็คือคุณ"
“คุณเจตรินเห็นผมกับคนอื่นเลยโกรธมาก"
“เจทะเลากับจินตวีร์ด้วย แล้วก็กับใครอีกก็ไม่รู้ เจดื่มเหล้าแล้วก็ขับรถเข้ากรุงเทพฯ คุณรู้ไหมว่าทำไม" เสียงของคุณหญิงฟาติมาสั่นสะท้าน น้ำตาเอ่อขึ้นมา ปากสั่นระริก "เขาจะมาเอาปืนที่บ้านเพื่อนตามไปยิงคนที่มาแย่งคุณไปจากเขา"
ชาลีอึ้ง ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่คุณหญิงฟาติมาพูด แต่เขาก็รู้ว่า คนที่ป่วยเป็นไบโพลาร์มีแนวโน้วว่าจะทำเรื่องอะไรแบบนี้ได้
“ผมรู้แล้วว่าคุณเจตรินเป็น...”
“ไบโพลาร์" คุณหญิงฟาติมาแทรก "เป็นมาตั้งแต่อายุ 20 ปี วันที่อายุบรรลุนิติภาวะ เจก็ได้รับของขวัญอันแสนโหดร้าย แต่ฉันรักษาและดูแลลูกอย่างดีมาตลอด ปีที่ผ่านมาเขาสเตเบิ้ลมาก จนฉันรู้ว่าว่าใกล้จะหายแล้ว ยิ่งเมื่อเขาเจอคุณเขาก็ยิ่งดีขึ้น แต่คุณรู้ไหม ทั้งๆ ที่ฉันกับลูกสาวควบคุมบัญชีธนาคารไว้เป็นอย่างดี แต่เจก็แอบเอาเงินไปซื้อบ้าน ซื้อเรือยอช์ท บอกว่าจะเอาไว้เป็นโลกของตัวเองกับคนที่เขารัก เจบอกว่ากำลังจะลงทุนสร้างโรงพยาบาลเพื่อให้คุณเป็นผู้อำนวยการ แต่ฉันรู้ตรวจพบเสียก่อน เลยรีบควบคุมเอาไว้ นี่ไง บนหน้าฉันนี่ไงคือสิ่งท่ีลูกชายตอบแทนคนเป็นแม่สำหรับการดูแลคนป่วย แม้นอนอยู่บนเตียง เจตรินก็กระชากคอเสื้อฉันลงไปแล้วทำร้ายแม่"
ชาลีเบือนหน้าไปมองผนังสีขาวของทางเดินในโรงพยาบาล ถอนหายใจเบาๆ นึกภาพตาม
“คุณหญิงจะให้ผมช่วย" ชาลีชะงักแล้วเปลี่ยนคำพูด "คุณหญิงจะให้ผมทำยังไงครับ คุณหญิงก็รู้ ผมทำอะไรไม่ได้มากหรอก"
“คุณต้องการอะไรจากลูกฉัน หมอชาลี" คุณหญิงฟาติมาจ้องหน้าชาลีเขม็ง "คุณทำเหมือนจะให้ความหวังเขา แต่คุณก็...”
“ผมเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอกครับ"
“จินตวีร์เป็นอะไรกับคุณ แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าสองคนนั้นไม่ถูกกัน แล้วจินตวีร์ไปโผล่ที่ระยองได้ยังไง มันยังบอกว่าสนิทกับคุณมากเป็นพิเศษ แล้วผู้ชายสองคนนั้้นเป็นใคร คนที่ไปเคาะประตูห้องเจเป็นใคร คนที่อยู่วิลล่ากับคุณเป็นใคร ทั้งหมดไปอยู่ที่นั่นพร้อมๆ กันได้ยังไง"
“ผมไม่ทราบ" ชาลีตอบเสียงเข้ม กลืนน้ำลายลงคอ ในใจว้าวุ่นยิ่งนัก
...จะบอกความจริงไปเลยหรือแก้ตัวดี จะพอแค่นี้ ทิ้งทุกอย่างเอาไว้ให้เป็นแค่คำถามที่คุณหญิงฟาติมาถามแล้วไม่ได้รับคำตอบ หรือบอกไปเลยว่าที่จริงแล้วเขาเป็นใคร เอาให้พังเละกันไปเลยให้สิ้นเรื่อง ยังไงๆ ตอนนี้เขาก็เรียกได้ว่าทำบาปกรรมไปแล้ว...
...ผมคืออดิศวงศ์ แฟนของลูกชายคุณหญิง คนที่โดนลูกชายสุดที่รักของคุณทำร้าย คุณเองก็ไม่ได้จะสงสารอะไรผม หนำซ้ำยังดูถูก หาว่าผมจะมาปอกลอกลูกตัวเอง หาว่าผมเป็นคนชั้นต่ำกว่า หาว่าผมต้องการเงิน พยายามกีดกัดผมกับเจตรินทุกวิถีทาง...
...แต่ตอนนี้ เขาพูดแบบนั้นไม่ได้ เขาพูดไม่ออก เขาไม่รู้จะพูดอะไร...
“ฉันหวัง ได้แต่หวัง เจตรินคบกับหมอ ท่าทางคุณเป็นคนที่เข้าอกเข้าใจคนอื่น อ่อนโยน หนักแน่น มองโลกในเง่ดี คุณอาจจะช่วยดึงลูกฉันขึ้นมาจากหุบเหวแห่งความทุกข์ได้"
“คุณหญิงไม่คิดว่ามันไม่แฟร์สำหรับผมหรือครับ"
“เจกำลังคิดจะบอกคุณ" เสียงของคุณหญิงฟาติมาฟังดูอ่อนล้า "แต่เขายังไม่มั่นใจ เขารอเวลาเหมาะๆ ถึงได้ชวนคุณไประยองกันสองต่อสอง"
“คิดว่าผมจะรับได้งั้นหรือครับ"
“เขามีศรัทธาในตัวคุณ เจคิดว่าคุณจะเป็นคนที่เข้าใจอะไรได้ง่ายกว่าคนอื่น อย่างน้อยคุณก็เป็นหมอ ถึงคนละสาขา แต่ก็น่าจะเข้าใจสภาพของเขาได้ง่ายกว่าใคร" คุณหญิงฟาติมาหัวเราะเสียงขื่น "พูดไปก็ถูกอย่างที่คุณว่านั่นล่ะ มันไม่ยุติธรรมสำหรับคุณ แต่มันก็ไม่ยุติธรรมสำหรับใครทั้งนั้น ลูกฉันเป็นแบบนี้มันก็ไม่ยุติธรรม แต่คนที่อยู่ในหลุม พยายามครั้งแล้วครั้งเล่าที่จะปีนขึ้นมา พอเจอใครซักคนที่ทำท่าเหมือนจะยื่นมือไปดึงเขาขึ้น คุณจะคว้าหรือเปล่า ฉันกับลูกเห็นแก่ตัว ฉันรู้ แต่ฉันก็ไม่นึกว่าคุณจะคบกับใครหลายพร้อมกัน แต่ถ้ายังงั้น มาทำเป็นเหมือนจะรักจะชอบลูกฉันทำไม มาให้ความหวังเขาทำไม เจเขาคิดว่าคุณจะรับรักเขา"
ชาลีฟังอย่างเงียบๆ และถามตัวเองในใจว่าควรจะพูดความจริงออกไปเลยดีหรือไม่ ประกาศให้คุณหญิงฟาติมารู้ไปเลยว่า ชาลีคนนี้คืออดิศวงศ์ในอดีต คุณหญิงฟาติมาอาจจะจำเขาได้
...แต่จะมีประโยชน์อะไรเล่า...
...อดีตอันเจ็บปวดทั้งกายและใจที่เขาจดจำมันมาตลอดเหมือนเป็นภาพยนต์เศร้ารัดทดหนึ่งเรื่อง ตอนนี้กำลังจะถูกเขาเอากรรไกรหั่นฟิล์มทิ้งเป็นชิ้นๆ ภาพเขานอนหายใจรวยรินอยู่บนเปลที่เพื่อนบ้านช่วยกันหามส่งโรงพยาบาล ภาพที่เจตรินชี้หน้าด่าเขาและลงไม้ลงมือกับเขาอย่างรุนแรง ภาพที่เขานอนร้องให้อยู่บนเตียงแล้วเจตรินมาง้อขอคืนดีและเขาก็ใจอ่อน ภาพที่เจตรินกอดเขาแนบอกพร้อมกับพร่ำรำพันว่ารัก และภาพอีกเป็นพันเป็นหมื่นภาพ ทุกอย่างจะถูกลบทิ้ง...
“ผมรักลูกคุณหญิงไม่ได้หรอกครับ" ชาลีตัดสินใจพูด "ไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหน ผมจะโอนเคสการรักษามะเร็งให้คุณหมออีกคนที่เก่งกว่าผม"
“หมอชาลี ฉันสงสารลูก" น้ำตาของคุณหญิงฟาติมาเริ่มเอ่อล้นขึ้นมาในดวงตา "แม้ลูกจะทำแบบนี้กับฉันนับครั้งไม่ถ้วนยามมีอาการมาเนีย แต่แม่ก็ยังเป็นแม่ ฉันรู้ว่าลูกไม่ได้ตั้งใจ ลูกไม่รู้สึกตัว ลูกควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ตอนที่ทำกับแม่แบบนั้น ฉันบอกตัวเองเสมอว่าเพราะลูกป่วย แต่ฉันก็ยังหวังว่าจะมีใครซักคนที่จะอยู่เคียงข้างเขา เจก็จะพบกับความสุขได้บ้างเป็นช่วงๆ เขาอาจจะผ่านพ้นมันไปได้ เจพูดอยู่เสมอว่ามันเป็นเวรเป็นกรรมของเขา ฉันก็ได้แต่ปลอบลูกว่ามันไม่ใช่เวรกรรม ซักวันลูกจะต้องเจอคนที่ดี คนที่เข้าใจสภาพของเขาและยอมยืนหยัดเคียงข้างเขา หมอของเจพยายามกระตุ้นให้เขามีศรัทธา ให้เขามีทัศนคติด้านบวก ฉันเห็นตัวอย่่างมาหลายคู่ ฉันถึงได้มีศรัทธาว่า ซักวันหนึ่ง คนที่ป่วยเป็นไบโพลาร์อย่างเจคงจะมีโอกาสแบบคู่อื่นบ้าง"
...แต่ผมไม่ใช่พ่อพระ...
ชาลีพูดซ้ำๆ กับตัวเองในใจขณะที่เดินจากคุณหญิงฟาติมา เขาไม่ได้เข้าไปเยี่ยมเจตริน เขาเลือกที่จะเดินจากมาเงียบๆ เหมือนที่มารดาของเจตรินเลือกที่จะหยุดการสนทนากับเขาเงียบๆ ด้วยการหันไปยืนกอดอกมองออกไปนอกหน้าต่างบานเล็กๆ ใกล้กับจุดที่ยืนคุยกัน
...ทางออกมีอยู่แค่นั้นล่ะ แค่เท่าช่องหน้าต่างช่องนั้น กว้างแค่พอที่จะโผล่หน้าออกไปสูดเอาอากาศเน่าๆ ของกรุงเทพฯ เข้าปอดได้เท่านั้นเอง...
...ตอนนี้เขาไม่ใช่คนดีขนาดนั้นที่จะยืนหยัดอยู่เคียงข้างเจตรินได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาได้ 'จม' อยู่ในบ่อน้ำลึกแห่งความเจ็บปวดมาตลอดหลายปีหลังจากวันสุดท้ายที่เขาเห็นหน้าเจตริน...
...แต่หากเขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจตรินในตอนนั้น เขาอาจจะยืนหยัดกับเจตรินมาจนทุกวันนี้...
...แล้วตอนนั้นทำไมเขาไม่รู้ ทำไมเขามองไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเจตรินไม่พูด ทำไมแม่ของเจตรินไม่อธิบาย ทำไม ทำไม ทำไม มันเป็นความผิดของใคร...
...ที่เขา 'หยุดและจบ' ทุกอย่างไว้แค่นี้ ไว้ตรงนี้ ไว้ที่นี่ เขาก็คิดว่าได้ทำดีที่สุดแล้ว...
กัณต์เลี้ยวรถเข้าไปในบ้านของนายแพทย์ชาลี ในใจร้อนรุ่มยิ่งนัก นาวินเปิดประตูไว้รอเขาจึงเข้ามาในบ้านได้สะดวก พอเด็กหนุ่มปิดประตูรั้วเสร็จเรียบร้อยก็วิ่งกลับมายืนอยู่ข้างรถ รอรับ 'คำสั่ง' ของสารวัตรกัณต์ 'พี่ชาย' คนใหม่ที่ตามใจเขาทุกอย่าง
“เอ้านี่" กัณต์ยื่นเงินให้นาวินหนึ่งพันบาท "ไปหาอะไรอร่อยกิน แล้วไม่ต้องรีบกลับมานะ"
“พี่หมออยู่ที่สวนหย่อมหลังบ้านครับ เดินอ้อมไปทางนั้น ผมล๊อคประตูหลังบ้านไว้แล้ว แต่ประตูหน้าบ้านล๊อคไม่ได้ ถ้าพี่กัณต์กลัวพี่หมอจะวิ่งหนีขึ้นข้างบนต้องวิ่งอ้อมบ้านมาทางด้านซ้ายนะครับ ทางขวามันไกลกว่า เดี๋ยวสะดุดกระถางต้นไม้้ ผมยังไม่ได้เก็บเลย" นาวินรายงาน
“ขอบใจ" กัณต์ตบไหล่คนที่กลายมาเป็นทั้งลูกน้องและน้องชายคนใหม่
“แต่ว่าก่อนย้าย พี่กัณต์อย่าลืมพาผมไปหัดขับรถนะครับ" นาวินทวงสัญญา
“ไม่ลืมหรอก" กัณต์ตอบ "จะหัดยิงธนูแถมให้อีกต่างหาก"
“ดีครับๆ" นาวินยิ้มกว้างแล้วรีบหายตัวไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้กัณต์เดินอ้อมไปยังด้านหลังของบ้านช้าๆ เพื่อ 'คุย' เรื่องสำคัญกับนายแพทย์เจ้าปัญหา
...เรื่องสำคัญที่ว่า ชาลีจะย้ายไปทำงานที่โรงพยาบาลอำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่งของกาญจนบุรี!
“คุณเข้ามาได้ยังไง" ชาลีถามเสียงห้วนเมื่อกัณต์เดินเข้าไปใกล้ "ปีนเข้ามาหรือไง"
“ผมขับรถเข้ามา ประตูรั้วบ้านคุณไม่ได้ล๊อค" กัณต์ตอบ "ชาลี บอกผมหน่อยสิว่าทำไม"
“คืนนั้นคุณบอกแล้วไงว่าจะมาพูด มาคุย มาเจอเป็นครั้งสุดท้าย"
“ผมจำไม่ได้แล้วว่าผมพูดอะไรไป" กัณต์ยักไหล่ "ตอนนี้ผมอยากจะพูดอย่างเดียวว่า สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่นี่มันไม่ควรเลย"
“ชนบทต้องการหมอ"
“คุณกำลังหนี" กัณต์เน้นเสียง "จากอะไรครับ จากผม หรือจากอะไร จากใคร จากเรื่อง...”
“เรื่องอะไรก็ช่างเถอะ" ชาลียักไหล่ พูดเสียงเรียบ หันไปมองต้นไม้หลังบ้านของตัวเอง "ผมอยากเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตบ้าง ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ผมอยากไปให้ไกลๆ แต่คุณก็คงรู้แล้วสิ ตำรวจเก่งๆ อย่างคุณก็คง สืบสวน สอบสวน ได้อยู่แล้ว"
“นาวินจะทำยังไง"
“อย่ามาแกล้งพูดเหมือนเป็นห่วงนาวินเลย" ชาลีตวัดเสียง "ผมรู้นะว่าคุณกำลังดำเนินการทางจิตวิทยากับน้องผม เด็กอย่างนาวินไม่ทันคุณหรอก แต่ผมรู้ทันคุณ รู้ความคิดคุณ"
“คุณจะหนีไปทำไม ผมไม่อยากให้คุณไป คุณก็รู้ว่าผมอยากให้คุณอยู่ ถ้าคุณเลิกแก้แค้นเจตรินหรือแม้แต่ไม่คิดจะแก้แค้นอีกสองคนที่เหลือ คุณจะไปทำไม"
ชาลีนิ่ง ไม่ตอบคำถามของกัณต์ทันที กัณต์หายใจอย่างอึดอัด ท่าทางของชาลีดูเย็นชาจนเขารู้สึกใจแปลบ
“ไปกับผมสิ ย้ายไปด้วยกัน ไปไหมล่ะ" ชาลีเดินเข้ามาใกล้กัณต์ ถามนายตำรวจหนุ่มด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จ้องตากัณต์นิ่ง แล้วเม้มปากเมื่อเห็นกัณต์อึ้ง "คุณก็ตอบ yes ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องมาห้ามผม"
“คุณอยากให้ผมไปด้วยงั้นหรือ" เสียงของกัณต์เยือกเย็น หันหลังให้ชาลีแล้วเดินจากไปช้าๆ "คุณอยากจะหนีผมต่างหาก คุณหนีความรักมาตลอดเวลา จนป่านนี้ คุณก็ยังหนี จนป่านนี้ คุณก็ยังอยู่แต่ในอดีต จะให้ผมวิ่งตามคุณไปอีกนานแค่ไหน"
...ชาลีทำไมใจแข็งแบบนี้ ต้องให้เขา 'ทำถึงขนาดนี้' หรือถึงจะใจอ่อน สิ่งทีเขากำลังตัดสินใจจะ 'ทำ' ตอนนี้จะว่าไปก็ค่อนข้างเสี่ยงพอสมควร...
...เขาจะปล่อยให้ชาลี 'หนีไป' ซักระยะ ชาลีต้องการเวลาที่จะตัดสินใจ หากชาลีรักเขาก็คงต้องรู้สึกทรมานไม่ใช่น้อย...
...และเมื่อนั้น เมื่อเวลา 'เหมาะ' แล้ว เขาจะตามไปเอาชาลีกลับมา...
“อย่าลืมปิดประตูรั้วด้วย" ชาลีพูดเสียงราบเรียบแล้วกัดริมฝีปากของตัวเอง พลางเดินตรงไปยังต้นไม้ต้นใหญ่ที่สุดซึ่งอยู่ติดรั้วหลังบ้าน
...เขากับกัณต์ยังไงก็ไปกันไม่ได้...
ชาลีบอกตัวเองว่าอย่างนั้น
...เขาอยากจะไปซักพัก...
...เขาเปลี่ยนชีวิตจากอดิศวงศ์มาเป็นชาลีแล้ว เขาจะเปลี่ยนจากชาลีเป็นคนอื่นอีกซักครั้ง...
...แต่เป็นครั้งสุดท้าย...
...ครั้งที่น่าจะดีที่สุด...
...เขาเลิกที่จะคิดเรื่องแก้แค้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเจตริน พี่ทิน หรือไวโรจน์...
...หรือแม้แต่คนที่ทำให้เควินต้องฆ่าตัวตาย...
...พอกันที เขาไม่อยากทุรนทุรายอยู่กลางเปลวเพลิงแห่งรักอีกต่อไปแล้ว...
...เว้นเสียแต่ว่า...
...เว้นเสียแต่ว่า...
...ว่า...กัณต์ จะเป็นฝนเย็นๆ มาดับเพลิงในหัวใจของเขา...
***25 จ๊บ***