“ตั้ม” วันชนะเรียกเขาด้วยเสียงที่อ่อนลง “เดี๋ยวเลือดก็ออกอีกหรอก”
“ช่างมัน” นักขัตพูดแทบจะกระซิบพลางกระชับวงแขน
จนอิ่มเอมกับความสุขถึงได้คลายออก วันชนะจึงตั้งท่าจะเอาอุปกรณ์ทำแผลไปเก็บ
“อย่าเพิ่งไปไหนเลยนะ” เขารั้งไว้
วันชนะไม่พูดอะไรแต่ก็ไม่หนีไปไหน ในใจกึ่งกล้ากึ่งสับสน เขาจะตัดสินใจอย่างไรดี
“เราไม่ไปไหนหรอก” วันชนะกล่าวก่อนจะลุกไปแล้วกลับมาพร้อมกับน้ำเย็น
“ขอบใจ” นักขัตรับน้ำแก้วนั้นมาดื่ม
“ตามเรามาเหรอ” วันชนะถามและได้คำตอบเป็นสายตาแน่วนิ่งนั้น
เงียบกันไปอึดใจ จนเมื่อวันชนะพูดขึ้น
“ตั้ม...เราไปด้วยกันไม่ได้หรอกนะ” วันชนะสบตานักขัต แต่แววตานั้นแฝงไปด้วยความอ่อนแออย่างล้นเหลือในหัวใจ
“ทำไม”
“ทำไม”
นักขัตถามวันชนะด้วยสายตาเลื่อนลอย ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินจากปากวันชนะ
...เราเลิกกันเถอะ...
“วินรักพี่ภัทร” วันชนะตอบ
นักขัตไม่มีทางได้เห็นสีหน้าเศร้าของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย เพราะวันชนะหันหลังให้ และไม่รู้ด้วยว่าจิตใจของคนที่บอกเลิกก็บอบช้ำไม่น้อยกว่ากัน
วินรักพี่ภัทร...เหตุผลนี้คงไม่ต้องการคำอธิบายยืดยาวอีก
“เล่นตลกอะไรน่ะวิน ตั้มไม่เอาด้วยนะ” เขายังนึกว่าอีกฝ่ายอำเล่น
“วินไม่ได้พูดเล่นนะตั้ม” สองมือบีบกันแน่น วันชนะต้องสะกดอารมณ์ตัวเองให้ได้
“อย่างนั้นก็หันมาสิ มองตาตั้มแล้วพูด”
เนิ่นนานเหลือเกินกว่าที่เขาจะกล้าหันมาเผชิญหน้า
“เรารักพี่ภัทร” วันชนะตาแข็ง “ชัดรึยังตั้ม”
สิ่งที่วันชนะไม่เคยได้เห็นเลยวันนี้กลับได้เห็น นักขัตจ้องหน้าเขานิ่ง แววตาที่อบอุ่นเปลี่ยนไป ใบหน้าหล่อเหลานั้นเรียบเฉยอยู่บนความเศร้าโศก
น้ำตาค่อยๆไหลเป็นทาง
นักขัตร้องไห้...ก่อนจะหันหลังให้แล้วเดินจากไป
คล้อยหลัง ตาแข็งๆคู่นั้นก็ทำนบพังไปเช่นเดียวกัน ก่อนจะปาดน้ำตาออกไปจนแห้งแล้วลากกระเป๋าย้ายออกจากห้อง 609
“เหตุผลก็ยังเหมือนเดิม” วันชนะเลี่ยงสายตา
นักขัตมองใบหน้านั้นเหมือนค้นหาคำตอบ ถ้าอย่างนั้นช่อดอกไม้แห้งในแจกันนั่นทำไมยังอยู่อีก ถ้าคนรับไม่มีใจ แล้วกอดเมื่อกี้...ความรู้สึกที่เจือด้วยความรักนั่นคืออะไร ถ้าคนโดนกอดไม่มีใจ...
“อย่างนั้นเหรอ...” นักขัตปลายตาไปที่ดอกไม้แห้งๆนั้น
วันชนะรู้ในทันทีว่านักขัตรู้สิ่งที่อยู่ในใจ
แต่ก็ปล่อยให้มันผ่านเลยไป
“จะกลับตอนนี้จริงๆน่ะเหรอ” วันชนะท้วง
“แล้วเราอยู่ต่อได้เหรอ” เขาพูด น้ำเสียงฟังดูตัดพ้อแต่ก็ประชดอยู่ในที
ร่างสูงเดินห่างออกไปทุกที
ก่อนจะพ้นใต้ถุนอพาร์ทเมนท์
“อยู่เถอะ”
มือหนึ่งคว้าต้นแขนนักขัตเอาไว้ เขาหันมามองตาปริบๆ
“พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับ” วันชนะกลัวว่าคนร้ายจะกลับมาซุ่มที่เดิม อย่างน้อยกลับตอนสว่างก็คงจะปลอดภัยกว่า
“ไม่เจ็บจริงเหรอ” วันชนะมองไปที่แผลบนอกนักขัต
“นิดหน่อย” เขาตอบพลางแขวนเสื้อให้เข้าที่แล้วจึงรับผ้าเช็ดตัวจากวันชนะ
“แล้วจะอาบน้ำได้เหรอ”
“ได้สิ” เขาตอบอย่างไม่มั่นใจนักก่อนจะหันหลังให้
วันชนะลอบถอนหายใจให้กับสิ่งที่ตัวเองกำลังจะทำต่อไป
นักขัตนั่งนิ่งบนเก้าอี้ที่โต๊ะกินข้าวปล่อยให้วันชนะใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้โดยระวังไม่ให้แผลโดนน้ำ
“ดูมีกล้ามเยอะขึ้นนะ ไปทำอะไรมา” วันชนะหาเรื่องคุยไปเรื่อยเปื่อย เพราะนักขัตเอาแต่นั่งเงียบ “สมัยก่อนมีไม่เยอะเท่านี้”
“เล่นฟิตเนสน่ะ ที่บริษัทมีให้” เขาตอบพร้อมกับสายตาสำรวจที่ทำให้วันชนะรู้สึกตัวว่าไม่ควรพูดถึงเรื่องนี้เลย “วินก็ดูอวบขึ้นหน่อยนะ”
“จริงดิ” วันชนะยิ้มแหย “จะว่าเราอ้วนล่ะสิ”
“แต่ว่าแบบนี้ดีกว่านะ มันรู้สึกเต็มๆดี...เวลากอด” เขายังนั่งนิ่ง แต่คำพูดนั้นทำให้วันชนะชะงักไป เขาจงใจพูดเพื่อทดสอบปฏิกิริยาของวันชนะหรือเปล่านะ ซึ่งมันก็ได้ผล มือที่ถือผ้าชุ่มน้ำนั้นเริ่มสั่น
ที่จริงวันชนะไม่ต้องเช็ดถึงหน้าของนักขัตหรอก แต่สมาธิดูจะแตกกระเจิงไปไหนต่อไหนแล้ว มือสั่นๆของวันชนะแต้มผ้าข้าวสะอาดชุ่มน้ำเบาๆที่แก้มนักขัต เมื่อสายตาบรรจบก็เหมือนต่างคนต่างเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิตในช่วงที่ไม่มีกันของแต่ละคนให้กันฟัง
นักขัตเอื้อมมือไปที่ผมวันชนะขณะที่สายตายังคงประสานกัน วันชนะเองก็เหมือนโดนมนต์สะกดให้นิ่งอยู่อย่างนั้น
“รู้สึกว่าจะมีอะไรติดผมนะ” เขาว่า แต่มือนั้นลูบผมของวันชนะเบาๆ
วันชนะปล่อยให้เขาลูบผม ทั้งที่รู้ว่าไม่มีอะไรติดอยู่หรอก ดวงตาอ่อนโยนแต้เศร้าสร้อยคู่ตรงหน้านั้นทำให้วันชนะอ่อนแอ
แล้วน้ำตาก็ค่อยๆไหลลงอย่างไม่มีข้อแม้
“ตั้ม...เรา...”
พูดได้เท่านั้นเอง นิ้วมือจากนักขัตไล้อยู่ที่เนินแก้มปาดน้ำตาออกไป
“นายคงจะลำบากใจมากเลยสินะ” เจ้าของนิ้วบนแก้มวันชนะพูดแล้วเผยรอยยิ้มเศร้า “พอแล้วล่ะ นายไปอาบน้ำเถอะ จะได้นอนพัก”
ไม่มีคำใดหลุดจากวันชนะอีก จนกระทั่งเขาลุกออกไปอย่างว่าง่าย
ออกมาจากห้องน้ำก็พบนักขัตนั่งอยู่บนเตียงเรียบร้อยแล้ว เขากำลังดูรูปในอัลบั้มที่วันชนะตั้งเอาไว้ที่ชั้นข้างๆเตียง รอยยิ้มผุดขึ้นเมื่อเจอรูปสมัยเรียน
เสียงหัวเราะในลำคอดังเบาๆเมื่อเจอรูปตอนเล่นละครเวที คงเป็นเพราะงานนี้ล่ะสินะที่ทำให้คนทั้งมหาวิทยาลัยโจษจันกันไปทั่วว่าเขาเป็นแฟนกับวันชนะ และเขาเองก็ยอมรับ คิดถึงตรงนี้แล้วรอยยิ้มสดใสแย้มขึ้น แต่พอขึ้นเล่มใหม่เจอภาพแรกก็ทำให้ยิ้มนั้นเจื่อนลงทันที
รูปงานรับปริญญาที่มีหน้าของวันชนะกับภัทรติดชิดยิ้มมองกล้อง โดยมีเขาเป็นฉากหลังพร้อมช่อดอกไม้ที่ตอนนี้แห้งกรอบอยู่ในแจกัน
“ดูรูปสมัยก่อนเหรอ” วันชนะนั่งลงอีกข้าง
“อืม” เขาเปิดรูปนั้นค้างไว้
“รูปนี้...” วันชนะหยิบมาจากมือนักขัตราวกับหวงนักหนา โดยมีสายตาเจ็บปวดมองตามรูปใบนั้นไปไม่ละ
ไม่รู้สินะ วันชนะอยากบอกให้เขารู้ว่ารูปนี้พิเศษแค่ไหนถึงได้เก็บเอาไว้ที่หน้าแรก ทั้งที่เป็นรูปที่ถ่ายกับภัทรแต่ความสำคัญกลับอยู่ที่คนข้างหลังนั่นต่างหาก...เพราะเป็นรูปเดียวที่มีนักขัตในงานรับปริญญาของเขา
นักขัตนอนหงายปกติขณะที่วันชนะนอนตะแคงหันหลังให้พร้อมกับเสียงถอนหายใจที่ไม่สม่ำเสมอ ต่างคนต่างลืมตาในความมืด คงมีเรื่องราวที่จะพูดคุยกันอยู่มาก ถ้าหากว่าใครสักคนจะเริ่มพูด แต่ทั้งคู่เลือกที่จะเงียบจนกระทั่งไม่รู้ตัวว่าหลับกันไปตั้งแต่ตอนไหน แล้วพอตื่นขึ้นมาวันชนะก็พบว่าที่นอนข้างๆนั้นว่างเปล่า กวาดตามองทั่วห้องรู้สึกบางอย่างแปลกไป
ช่อดอกไม้นั่นหายไป!
วันชนะดีดตัวจากเตียงทันที ทำไมนักขัตต้องเอามันไปด้วย ถึงเขาจะเป็นคนให้มาแต่ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเอามันไป
ที่ข้างๆแจกันมีโน้ตของนักขัตเขียนเอาไว้ว่า
‘ดอกไม้นี่ขอคืนนะ มันแห้งหมดแล้ว เอาวางไว้ในห้องเดี๋ยวจะเป็นภูมิแพ้’
วันชนะร้อนรนเหมือนโดนลักของสำคัญ จะออกไปตามหาก็ไม่รู้จะไปที่ไหน เบอร์ของนักขัตก็ไม่มี สุดท้ายจึงทรุดลงกับพื้นกอดตัวเองร้องไห้ เหมือนกับว่าต่อไปนี้เขาจะไม่เหลืออะไรเลยชีวิต