Imprison 44: ไม่รู้
ผมนั่งเงียบ มองเหล่าพี่ๆทั้งหลายที่กำลังทำกิจกรรมออกกำลังกายยามว่างกันอยู่ แฮ่ม..ไม่ใช่หรอกครับ ความจริงมันคือการทำงานประจำวันกันนั่นล่ะ บ้างก็กวาดพื้น บ้างก็ตักน้ำรดแปลงผักกันบ้างสถานที่ปฎิบัติงานก็ที่เดิมนั่นแหละครับ..หลังห้องพยาบาล...กับบ่อน้ำข้างหลังที่กลายเป็นที่ฝัง.ร่าง..ของใครบางคน..
พูดถึงเรื่องนี้แล้วผมแอบหน้าเสีย ไม่รู้ว่าความจะแตกหรือมีคนพบศพเมื่อไหร่ ธรรมชาติของคนเราเมื่อตายน่ะครับ ตายลอยน้ำแบบนี้ก็คงมีขึ้นอืดลอยออกมาให้เห็นสักวัน ความก็คงแตกเมื่อนั้นล่ะครับ ทั้งที่เรือนจำมีระบบขานชื่อทุกคืนแต่พี่ๆเขาบอกกันว่ากลบเรื่องนี้ไว้แล้ว ให้คนขานแทนแถมยังใช้ความสนิทสนมกับผู้คุม “ปิดเรื่อง” ให้เงียบฉี่...กระทั่งนักโทษด้วยกัน ยังรู้แค่ว่านพคนนั้นนอนพักรักษาตัวอยู่ที่ห้องพยาบาล..
...นั่นทำให้ผมรู้ซึ้งอีดครั้งว่าอิทธิพลในคุกนี่มันไม่น้อยกว่าข้างนอกจริงๆ..
แต่ที่ผมกังขาใจ..มากกว่าเรื่อง”ศพ”คือคนที่ออกคำสั่งนั้นมากกว่า..
..พี่ๆที่ทำอาจจะรู้ว่าคนสั่งคือพี่โต..
แต่...ผมรู้ว่าคนที่ขอให้ทำจริงๆ..มันไม่ใช่คนนั้น..
ผมหันไปมอง”คนๆนั้น”ด้วยแววตากังาปนหวาดหวั่นใจรอยยิ้มกวนๆของเขายังคงมีเหมือนเดิม..หรืออาจจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ยามที่ออกมาจากห้องพยาบาล..แม้ใบหน้าจะมีรอยฟกช้ำ..มีบาดแผล..ทั้งถูกลงโทษเพิ่ม..ทว่า..รอยยิ้มของพี่วิทย์กลับเพิ่มขึ้นอย่างน่าประหลาด..
ประหลาดจนผมยังแอบขนหัวลุกเลยล่ะ..
และเหมือนว่ากระทั่งพี่โตก็ยังรับรู้ได้ถึงความหลอน..เอ่อ..หมายถึงความเปลี่ยนไปของพี่วิทย์ เพราะงั้นตาคู่นั้นเลยชอบแอบจ้อง..นั่งจ้อง..เพ่ง..และจ้องพี่วิทย์ตอนเผลอบ่อยๆ..บ่อยจนเกินไปแล้วมั้งลุง..
“..มองไร..”ออกปากถามขึ้นมา พลางใช้ตาคู่นั้นที่เคยใช้จ้องชาวบ้านมามองผมจนต้องสะดุ้ง ทำไมล่ะ ตาลุงนี่ ทีคนอื่นล่ะจ้องเอาจ้องเอา..ทีตัวเองล่ะจ้องไม่ได้เลยใช้ไหม?
“...เปล่า..” ผมปฏิเสธพลางหันไปที่อื่นแทน ไม่ยอมสบตาคนตัวโตที่เพิ่งมาเจอกันจังๆ..ก็ครั้งนี้..พลันรู้สึกถึงแรงกระแทกแรงๆตรงสะโพก ทำเอาเกือบหน้าจ้ำดินหากตั้งตัวไม่ทัน ผมหันขวับไปมองเจ้าของฝ่าเท้าประหาร ที่ยืนทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ระรื่นอยู่..
“..ไปช่วยพวกมันทำงาน ถืออภิสิทธิ์ไรมานั่งจ้อง ไปๆๆๆๆ..” ว่าพลางยกฝ่าเท้าถีบใส่พลางขับไล่กันหน้าตาเฉย โหยยยยยยยย ไอ้คนที่มันเคยกอดจูบลูบคลำกันเมื่อสองสามวันก่อนมันใครว่ะ ใครว่ะหา? เอาไอ้พี่โตคนเดิมมาเซ่..
ผมหน้าบูด สะบัดหน้าพรืดใส่ไอ้พี่โตบ้าอย่างไม่ยอมลอดราวาศอก มือข้างหนึ่งลูบก้น อีกข้างก็ออกปากพูดเรื่อง”ตำแหน่งใหม่”ของผมปาวๆท่ามกลางเสียงหัวเราะปนโห่แซวชวนปวดกบาล..
“..ผมไม่ต้องทำก็ได้ อาจารย์ธีระบอกไว้แล้วนี่..ชิ...” รู้กันมั้ยครับว่าคนที่เล่นดนตรีอย่างพวกเครื่องสายแบบไวโอลินนี่ เขาห้ามใช้งานมือหนัก เพราะหากมือด้านประสาทสัมผัสส่วนปลายนิ้วแข็งกระด้างไม่ทำงานไปล่ะก็ จะทำให้เล่นดนตรีไม่ได้เท่าที่ควร เพราะอย่างนั้น ผมเลยได้ความคุ้มครองพิเศษจากท่านอาจารย์ธีระ(ที่ผมจะเริ่มรัก)ทำให้ไม่ต้องทำงานกรรมกรแบกหาม คึคึคึ..
“...ธีระ...” ไอ้คุณพี่โตกอดอกแล้วหรี่สายตาลงเล็กน้อยด้วยมาดผู้นำที่เหนือกว่าจนน่าหมั่นไส้ แต่ที่ทำให้ผมผิดสังเกตุคือนัยน์ตาคู่นั้นมากกว่า..มันคุกรุ่นแฝงด้วยเลศนัยนแปลกๆ..พลันก็พราวระยับไปด้วยแววหัวเราะ..
“..หึ...แล้วมึงจะรู้ ว่าความบังเอิญที่ซ้อนทับความบังเอิญมันเรียกว่าอะไร...”
...วาจาเหมือนจะสื่ออะไรแปลกๆทำให้ผมขมวดคิ้ววุ่น..นึกฝันถึงคำที่พี่ท่านต้องการสื่อถึงด้วยความไม่มั่นใจยิ่ง..ว่าคนอย่างพี่โตคนนั้นพูดจาแบบนี้ก็เป็นด้วย..
เคยได้ยินไหมครับ..ที่ว่า..
ความบังเอิญซ้อนทับกับความบังเอิญ...มันคือ
“..พรหมลิขิต...” ผมออกปากพูดไป...ทำให้คนตัวโตที่ขยับลุกไปทำอย่างอื่นไม่ได้สนใจจะไล่ผมไปทำงานอีกหันมามอง..มุมปากบิดยิ้มแสยะ..แน่ล่ะว่าผมแจ้งใจในทันใดว่ามันไม่เกี่ยวกับประโยคหวานเน่าใดๆทั้งสิ้นในสามโลกสักนิด...
“..มัวแต่คิดอะไรหวานแหวว..กุจะบอกให้น่ะ ว่าความบังเอิญ...” พี่โตแสยะยิ้มนิดแล้วหันมามอง ทำให้ใบหน้า...เอ่อ..หล่อๆนั้นดูดีขึ้นมานิดนึงแบบว่าหัวใจกระตุกไปซักเฮือก ก่อนคนตัวโตจะกระตุกยิ้มออกมา.. ”ที่ซ้อนทับกับความบังเอิญ....มันเรียกว่าความตั้งใจต่างหาก..”
ตั้งใจ...?
ตั้งใจอะไร..ใครตั้งใจ..ไม่เห็นเกี่ยว..
ผมหน้านิ่วมองตามแผ่นหลังกว้างอย่างไม่ค่อยพอใจ ไม่ต้องเดาก็รู้ได้แล้ว ว่าคงจะไปทำอะไรหรือตกลงแผนการ์บางอย่างโดยที่ผมไม่รู้แน่ๆ..
...แต่..ไม่ว่าจะความบังเอิญหรือความตั้งใจ ..มันก็ไม่เกี่ยวกับไวโอลินที่รักของผมอยู่แล้ว
ผมถอนใจพรืด หันหลังมาตั้งใจว่าจะไปขลุกอยู่กับเจ้ากล่องไม้สุดที่รักของผมต่อ ดีกว่าจะมาคิดอะไรงี่เง่าให้เสียอารมณ์..แต่พอหันหลังกลับไปก็สะดุ้ง กับแววตาของเหล่าพ่อ แม่ พี่น้อง..เอ่อ..ไม่ใช่.งแต่เป็นพ่ๆที่มองหน้าผม..พร้อมกับพี่ทินหน้าเดิมที่เข้ามาตบบ่าเบาๆ...ด้วยใบหน้าเห็นใจ...
“...อย่าคิดมากเลยว่ะไอ้เนม...พวกกุเข้าใจ..” พร้อมกับเหล่าคนเบื้องหลังทั้งหลายพยักหน้าหงึก..
“.................” เอ่อ...อะไรเหรอครับ...
“...คือมึงต้องรู้..ว่าถึงจะชอบหรือจะ..เอ่อ..รัก...แต่มันก็เป็นไปได้แค่ในคุกนี่ ข้างนอกน่ะ ..มันต้องผู้ชายกับผู้หญิง..ถึงจะรักกันยังไงก็ช่าง...” วาจาเห็นใจแต่คำพูดออกแนวโหดร้ายนั่นทำให้หัวอกคนเป็นเคะ..เอ๊ย!หัวอกคนฟังชะงักขึ้นมานิดนึง....ผมกระพริบตาช้าๆ...หันไปมองสบตาไอ้คุณพี่ทินที่ยังคงแฝงความสงสารอย่างหนัก...
“.................”
“...เวลาที่ตัวจริงเขามาหาก็ต้องทำใจปล่อยๆไป..อย่างน้อยน่ะ...ในคุกนี่ มึงก็เป็นคนเดียวของเฮียเหี้ยๆของพวกกูล่ะน่ะ...”
“.................” ผมยังคงเงียบ...แต่กระพริบตาถี่ขึ้น...มองสบตาพี่ๆที่หันไปปัดกวาดอะไรต่อหลังจากพูดและพยักหน้ากันเสร็จ..ผมใช้เวลาคิดทบทวนแค่เสี้ยวมิลลิเส็ก...ก็...รู้แล้วว่าพวกพีท่านหมายความว่ายังไง...
....ผมมองไปที่อาคารหลังใหม่ที่โด่ดเด่นอยู่เบื้องหน้าเรือนจำจนมองเห็นตัวอาคารเหลือบกันอยู่..มองหลังคามุงกระเบื้องสีสด...และ...มองพระอาทิตย์บนหัวโดยไม่ได้ตั้งใจ...
ยังจำกันได้ไหม...
วันอาทิตย์...ตอนบ่าย...เขาจะทำอะไรกัน...
ผมไม่สน...ไม่เห็นสน หรืออย่างน้อยก็บอกตัวเองว่าจะไม่สนใจเรื่องพรรคนี้ แฟนใครมาเยี่ยมที่รักใครมาหาก็เรื่องของเขาไป ตราบใดที่”แม่”ของผมจะไม่โผล่หน้ามาหากันในวันที่ครบสามเดือนแรกของการอยู่ที่นี่...
...อ่า...จะว่าไป...มันก็...เกือบ...ใกล้จะสามเดือนแล้วสิน่ะ..เวลาที่แม่จะมาเยี่ยมผม...วันเวลาที่รอคอยว่าจะได้เห็นหน้าแม่ ในที่สุดก็จะมาถึงในไม่ช้า...
เพราะอย่างนั้นผมถึงไม่เข้าใจ...ว่าตัวเองจะ....เงียบไปทำไม..
...ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงหงุดหงิด..และ...อารมณ์เสียกับเรื่องที่ใครเขาว่ามัน”เป็นไปไม่ได้..”
จะสนทำไมในเมื่อผมไม่ใช่เกย์..ไม่ใช่พวกรักร่วมเพศ..ไม่...ได้เป็นแบบนั้นเสียหน่อย..
ไม่ได้มีอะไร...กับ....
พลันลมหายใจหยุดชะงักเมื่อผมคิดถึงคำๆนี้ภาพความทรงจำกับเรื่องราวที่อธิบายไม่ได้และไม่พบคำตอบนั่นยังวาบเข้ามาในสมอง.....ทั้งจูบ..และ..กอดนั่น..มัน...คืออะไรกัน..
แค่เผลอตัว...เผลอใจ...บรรยากาศมันพาไป...แค่นั้น..ใช่ไหม?..
ผมยังไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจเสียด้วยซ้ำ..ว่า...ที่ทำไป ทั้งตัวผมและ...พี่โตคนนั้น ตอนที่ทำ...ต่างคนต่างคิดอะไรอยู่..
เพราะอย่างนั้น..นั่นมันก็...คงเป็นแค่เรื่องบังเอิญเผลอไผล..ที่ไม่มีผู้ชายที่ไหนเก็บมาคิดมากให้วุ่นวาย....
ใช่ไหม?...
จริงใช่ไหม...ที่เป็นแบบนั้น...
ทั้งที่คิดแบบนั้น...แล้วแท้ๆ...
ผมสูดหายใจลึก..รู้สึกถึงลมหายใจที่ขาดห้วงของตัวเองซึ่งมาพร้อมกับความเจ็บแปลบตรงช่องอก...บ้าเอ๊ย..สงสัยผมจะเพี้ยนจนป่วยแน่ๆ...
แต่แปลกน่ะ..ที่ป่วยแล้ว...มันเจ็บหัวใจ..และเศร้า..เหลือเกิน..
.......Oh bad Guy!! รักร้ายๆของผู้ชายในคุก.......
ผมนั่งมองผืนผ้าสีขาวที่ปลิวสะบัดไหว..ท่ามกลางสายลมที่พัดมาอย่างต่อเนื่องจนมันปลิวตามแรง..รวมทั้งชิ้นส่วนเล็กๆ...เศษผ้ากองไม่ใหญ่ที่ผมนั่งมองอยู่ตรงนี้..
...มันคงเป็นภาพแปลกประหลาดและชวนอดสูไม่น้อย..กับ....ลานซีเมนต์กว้าง..แดดร้อนในตอนบ่ายๆ..สายลมปลิวจนมันไหวสะบัดไปตามลม..มีร่างของชายคนหนึ่งนั่งพิงอยู่ในซอกหนึ่งของมุมตึก...มอง...สายนเชือกไนล่อนที่ร้อย”ของสำคัญ”ของผู้ชายทุกคนซึ่งกำลังปลิวไปตามแรงลมอีกหนึ่งชนิด..
ของสำคัญที่ชื่อว่ากางเกงใน ที่ผม..ไอ้เนมคนนี้กำลังนั่งเฝ้าอยู่ ดูมันจะผกผันกับความคิดซึมเซาของผมอย่างมาก เพราะโดนเหล่าพี่ๆทั้งหลายไล่ให้มาเฝ้ากกน.หลังจากนั่งทำหน้าหมาหงอยใส่จนคนมองรำคาญตา ถามว่าทำไมต้องมียามเฝ้ากางเกงใน..ก็ขอถามกลับว่านักโทษทุกคนมีโอกาสออกไปซื้อใช้เองไหม..คำตอบคือไม่ เพราะงั้นการที่มีคนล่ะตัวสองตัวแถมของแบบนี้มันเก่าได้ย้วยได้..การขโมยกกน.จึงเกิดขึ้น..
..และเกิดคนเฝ้ากกน.มาพร้อมๆกัน..
แต่อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลย..พระเอกที่ไหนเขามานั่งแช่อยู่ในอากาศร้อนตับแล่บเพื่อเฝ้ากกน.กันบ้าง..ผมว่าตัวผมนี่ล่ะ..เป็นพระเอกที่ซวยโคตรๆที่สุดของเรื่อง..
พระเอกที่...กำลังคิดมาก...กับ...เรื่องน่ารำคาญอะไรซักเรื่อง..
ต้องถูกไล่มาเฝ้ากกน.เนี่ยน่ะ...แม่_งงงงงเอ๊ย...
ผมถอนใจเฮือกอย่างหงุดหงิด หลบสายตาให้พ้นจากกางเกงใน..สีสันสวยสดงดงามหลายตัวที่เรียงรายต่อหน้า เบือนหน้ามามองผนังปูนที่กำลังสึกกร่อนได้ที่อย่างนึกเบื่อหน่าย...
..ทั้งที่ว่าไม่น่าจะเบื่อะไร..ผมโดนใช้งานอะไรมากกว่านี้..ตอนนั้นทั้งโดนแกล้งทั้งโดนทำร้ายสารพัด..ไม่มีกระทั่งไวโอลินมาหล่อเลี้ยงหัวใจผมด้วยซ้ำ..
..กลับกันที่ตอนนี้..ผมไม่ต้องทำงานหนัก..ไม่ต้อง...ทำอะไรมากมาย..มีดนตรีที่ผมรักเป็นเครื่องบันเทิงใจ..แต่ไม่รู้ทำไม...ลึกๆแล้ว...มันกลับ..รู้สึกเบื่อหน่าย..และ...หงอยเหงาอย่างประหลาด..
บางครั้งนั่งมองพวกพี่ๆที่เขานั่งคุยหัวเราะเฮฮากัน...มองพวกเขาที่แม้จะทะเลาะแต่ก็เป็นหนึ่งเดียวกัน..มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองมันแตกต่าง..แปลกแยก และไม่เข้ากับใครทั้งนั้น..
บางครั้งที่พวกเขายื่นมือมา..ผมอาจจะเอื้อมเข้าหา..แต่บางครั้ง..ก็ปัดทิ้งอย่างไม่ไยดี..
ไม่รู้ทำไม...ทั้งที่พยายามแล้ว...
แต่มันก็ยัง...เหงา....
ผมสูดหายใจลึกแล้วปล่อยออกมาเฮือกใหญ่ เอนตัวพิงผนังปูนที่ช่วยหลบแสงแดดให้มาก เงยหน้ามองพระอาทิตย์ดวงโตที่ยังส่งแสงจ้า..
สองวัน...สามวันแล้วรึเปล่า...
ที่ผมหลบหน้า...ที่คนๆนั้นก็หายไปจากสายตา..คล้ายกับว่า..ไม่มีตัวตน..
ไม่รู้ว่าคำพูดของเขามันจริงรึเปล่า..และไม่รู้..ว่าเขาคิดอะไรแบบนั้นออกมาจริงๆหรือไม่..
แต่ที่ผมรู้...คือตัวเองที่ๆม่พอใจ..และ..
เป็นฝ่ายเดินหนีออกมาเสียบ้าง..ผมหลับตาลงช้าๆ..
..คงเพราะแสบตา...น้ำใสๆมันถึงไหลออกมาแบบนั้น..
ไม่เพราะ..ผมคิดถึง..มือที่เคยยื่นมาหาหรอก...ไม่ใช่เลย..
...มือของคนตัวโต..หน้าดุ...ชอบทำตัวโหดๆ..ที่ความจริงแล้ว..ใจดีกว่าที่คิด..
แต่...ผมก็ไม่อาจจะเชื่อใจได้..
คงเพราะไม่อาจเชื่อใจ..ถึงได้รู้สึกห่างเหิน..แบบนี้ล่ะมั้ง..
ผมหลับตาลงพร้อมกับสุดน้ำมูกพรืด...
ไม่ใช่เพราะมือคู่นั้น...ที่กำลังห่างออกจากผมไปเรื่อยๆหรอก...
ไม่ใช่เพราะ..ความจริงแล้ว..มือคู่นั้น..มีเจ้าของ..ที่แท้จริงรออยู่หรอก..
.
เรื่องนั้นผมรู้อยู่แล้ว..รู้ดี...เห็นมากับตาตัวเองเลย...ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรด้วยซ้ำ....
ผมเข้าใจดี..ไม่ต้องให้ใครมาบอกเลย..
และ
ผมกับเขา...เรา...ไม่ได้เป็นอะไรกัน..
เพราะอย่างนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกงี่เง่าอะไรซักอย่างให้เสียเวลา..
ความแสบร้อนบริเวณใบหน้าเพราะแสงแดดที่แผดเผาหายไป ทำให้ผมชะงัก..สมองที่กำลังคิดอะไรอยู่เริ่มให้ความสนใจกับ ร่มเงา ของสิ่งนั้น..
นั่นทำให้ผมลืมตาขึ้นช้าๆ...
ภาพที่พร่ามัวเพราะหยดน้ำตา..กับแสงแดดที่ส่องมาเจิดจ้านั้นทำให้ต้องหรี่ตาลง..มองคนที่มาบังแสงให้..คนตัวโตๆ..ที่ยืนมอง..พร้อมกับแววตาที่ผมอ่านไม่เคยออกซักครั้ง..กำลังยื่นมือข้างหนึ่งมาตรงหน้าช้าๆ...
..ยื่นมือออกมา...เพื่อให้ผม...เอื้อมรับ...
“..ร้องไห้ทำไม...” ทุกคราวเสียงของเขาจะห้วน...หนัก..ไม่น่าฟังเท่าไหร่..แต่คราวนี้มันเบา..และอ่อนโยนจนไม่น่าเชื่อ...
“.............” ผมไม่ตอบ..เอื้อมมือเช็ดคราบน้ำตาที่เปรอะแก้มออกลวกๆ อย่างไม่ยอมให้ถูกล้อเลียน..แววตาคู่คมที่ทอดมองมานั้นชวนให้ใจเต้น...แต่ของบางอย่างที่อยู่ในมือของเขา..กลับทำให้ผมะงัก..และเม้มปากแน่นอย่างขุ่นเคืองใจ..
คำพูดของพวกพี่ทินดังขึ้นในหัว..
...ผมมองหน้าพี่โต..สบตา...ได้แต่มองอยู่อย่างนั้น เห็นเพียงแต่ภาพทิวทัศน์เดิมๆและดวงตาสีดำคู่เดิมที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง...
ผมไม่สามารถมองทะลุ..หรือ...เห็น...ในสิ่งที่อยากเห็นสักครั้ง...
..มีเพียงสีดำ...มีเพียงทิวทัศน์ที่มืดบอด...
“....ลุกขึ้นสิ...” เสียงของพี่โตยังเร่งเร้า..ผมเม้มปาก ไม่ตอบ..เพียงแต่หรุบตาลงอย่างสับสน..
...เคยอย่ากรู้และอยากถาม..ว่าสิ่งที่”เรา”ทั้งสองคนกำลังทำอยู่...มันคืออะไร..
กอด..เพื่ออะไร..
จูบ...ไปทำไมถ้าไร้เหตุผล..
...หรือเป็นแค่ความต้องการล้อวนๆไม่มัอย่างอื่นเจือปนกันแน่...
ผมกำหมัดแน่น..จำได้ดีว่าต่อให้ออกปากถาม..หากคำตอบที่ได้มาคือคำว่ารัก..ผมก็ไม่อาจทำใจให้เชื่อ..
แต่ไม่ได้หมายความว่าผมไม่อยากรู้..และ...ไม่อยากได้ยิน..
และไม่ได้หมายความว่าหากได้ยิน..ผมจะคิดอย่างเดิม..
เพียงแค่วางพนันงี่เง่ากับศักดิ์ศรีที่เหลืออยู่เพียงนิดของตัวเอง ว่าหากได้หัวใจของใครซักคนมาเหยียบเล่น..มันจะเป็นอย่างไร..
แต่ผมเพียงแค่คิดต่อรองในสิ่งที่ตัวเองไม่มีวันได้..
“...ทำแบบนี้...ทำไม...” ผมได้ยินตัวเองออกปากถามออกไปแผ่วเบา...เบา...จนแทบกระซิบ..
แต่ลมหายใจที่แรงขึ้นของอีกคน ทำให้ผมรู้ ว่าเขาได้ยินมันแน่นอน..
...มันเป็นคำถามที่ผมอยากรู้...มานานแล้ว..
อยากรู้..ว่าเราสองคนกำลังทำอะไร..
อยากรู้..ว่าผม..กับผู้ชายตรงหน้า..กำลังเล่นอะไรกับหัวใจตัวเอง..
เรากำลังทำอะไรอยู่..โอบกอด..จูบ..ใกล้ชิดกันถึงเพียงนั้น..
ทำไป...ทำไม?...
ก้อนเนื้อที่มีชีวิตจิตใจดวงนั้น..มันกำลังเฝ้ากระซิบถามคำถามที่ผมไม่อยากตอบอย่างบ้าคลั่ง..
..ขอเพียงแค่คำตอบ
“...ไม่รู้.....”
ผมหัวเราะหึออกมาทันทีที่ได้ยิน...ได้ยินถึงคำตอบและเสียงอะไรบางอย่างในตัวที่พังครืน..
ไม่รู้...
คำตอบของคนโง่...หรือว่า...ความจริง..
ผมเหลือบไปมองฝ่ามือที่ยังคงยื่นส่งมาหา แต่ใบหน้าทั้งแววตานั้นไม่ได้มองมาที่ผมอีกต่อไปแล้ว คนๆนั้นกำลังเมินมองไปทางอื่น..มองอะไรบางอย่างที่ผมเองก็ไม่เห็นและไม่รู้ว่ามันคืออะไร..
เพี๊ยะ !!!
ผมปัดมือคู่นั้นออก..และลุกออกจากร่างเงาของคนๆนั้น....
เดินผ่านประตู...ผู้คน หรือกรงเหล็กมากมายที่ไม่ได้อยู่ในสายตาด้วยนัยน์ตาที่เลือนพร่า...
ผมปัดมือคู่นั้นออกอีกแล้ว...
ไม่ยอมเอื้อมมือไปหา..ไม่ยอมเอื้อมมือ...เพื่อคว้ากับมือคู่นั้นไว้..
ผมเดินพรวดเข้าไปในห้องไหนซักแห่ง..พร้อมกับปิดประตูโครม...
มองไม่เห็นอะไร...นอกจากแววตาคู่นั้น..
มองไม่เห็นอะไร..ในดวงตาสีดำคู่นั้น..
สีดำที่เกินจะหยั่งถึง..
สีดำกว้างที่ใหญ่เกินไป...จนผมไม่อาจเชื่อว่าหัวใจในมือมันมีอยู่จริง....
.......Oh bad Guy!! รักร้ายๆของผู้ชายในคุก.......
//อย่าเอาถ้วยไหกะละมังมาปาใส่เค้าน่ะ

ถ้าปล่อยให้เล่นกันไปแบบนี้เรื่อยๆ ชาติหน้าตอนบ่ายๆล่ะค่ะ อิพี่โตกับนังน้องเนมถึงจะได้กัน..อุ๊บส์..หมายถึงรู้ใจกันซักทีต่างหาก..แหะๆ..
ส่วนที่มาอัพช้าไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ..
ไป เรียน กลาบบบ มาแล้วววน็อคคคคคคคลานนนนนมาอัพพพม่ายยยหวายยยยยยยย

(โดนถีบฐานกวนตรีน)
ความจริงคือช่วงนี้หงุดหงิดมากค่ะ เครียดเรื่องเรียนไม่พอมาเรื่องเพื่อนอีก บอกตามตรงว่าตั้งแต่เข้ามหาลัยไรท์เตอร์ทีปัญหากับเพื่อนมาตลอด เพื่อนที่คบตอนปีหนึ่งก็...น่ะ...เลยว่าขึ้นปีสองหาใหม่ก็ได้ว่ะ ปรากฏว่าเจออันที่เลวร้ายกว่าเดิม ทั้งขี้จุกจิกขี้บ่นชอบใช้เงินเปลืองไม่ชอบไปเรียนหยังสือสารพัด
...และที่แย่ที่สุดคือชอบบังคับคนอื่นน่ะค่ะ ไรท์เตอร์เป็นประเภทที่ถ้าขอร้องจะทำ แต้ถ้าบังคับฆ่าให้ตายกุก็ไม่ทำ เลยหงุดหงิดและอารมณ์เสียกับคนนี้มาก สุดท้ายเลยกรวดน้ำคว่ำขัน กุไปหาใหม่ก็ได้เฟ้ยยยยยย

แต่ยังไงก็ขอโทษทุกคนด้วยน่ะค่ะ ที่ทำให้เรื่องส่วนตัวเข้ามามีผลกับนิยายแบบนี้ จะว่าไป..ตอนนี้ไรท์เตอร์ก้อารมณืเดียวกับเนมนี่แหละค่ะ เซ็งชีวิต

แต่ยังไงก็เชียร์เยอรมัน
