Imprison 45: ความบังเอิญที่ซ้อนทับความบังเอิญ
ผมนั่งมองหน้าผู้ชายตรงหน้าที่ชื่อว่าพี่เบิร์ด เขาก็นั่งมองหน้าผม จะต่างกันก็แค่เขามองหน้ามพร้อมๆกับพูดอธิบายอะไรบางอย่างให้ผมฟัง..
ซึ่งเป็นอะไรบางอย่างที่ผมไม่อยากได้ยินที่สุด..
ผมมองวัตถุสีดำเล็ดๆตรงหน้าด้วยแววตาว่างเปล่า ทั้งที่ในใจสับสนคิดไม่ออก..สิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมก็คือ”ของ” ที่ผมต้องไปจัดการส่งให้เรียบร้อย ตามที่”ป๋า”และ”ผู้พัน” สั่งมา..
ลืมไปได้ยังไงน่ะ ว่าทั้งสองคนนั้นยังสั่งผมให้ทำสิ่งนี้อีก อาจจะเพราะว่าตอนนี้ผมมีเรื่องให้คิดเยอะเกินไปเสียจนลืมเรื่องไม่น่าจำไปเสียแล้ว..
อาทิตย์กว่าๆที่ผมควรจะมีความสุขมากมายหลังจากได้กลับมาเล่นไวโอลินอีกครั้ง แต่มันกลับไม่ใช่แบบนั้น ผมชื่นชอบและมีความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่ขณะเดียวกันก็กลับรู้สึกว่างเปล่า..และ...สับสนอย่างที่ไม่ควรจะเกิด..
คำว่า”ไม่รู้” ที่ผมได้ยิน กลายเป็นคำพูดสุดท้ายที่ผมกับคนๆนั้นสื่อสารกัน เป็นคำสุดท้าย ที่คนๆนั้นบอกกับผม..
บอกว่า”ไม่รู้” แล้วจากนั้น เราสองคนก็ไม่มีอะไรจะพูดกันอีก..
ไม่มีอะไรที่จำเป็นต้องอยี่ใกล้ๆ พูดคุยกัน หรือทำอย่างอื่นร่วมกันอีก..
แม้ว่าจะยังอยู่รวมกลุ่มกันตามปกติ ผมก็เป็นเบ๊คอยรับใช้คนโน้นคนนี้เหมือนเคย นอนอยู่ที่เดิม ทำอะไรๆเหมือนเดิม..แต่เปลี่ยนไปก็แค่ เราไม่มีคำพูดอะไรจะเอ่ยต่อกันอีกแล้ว..
.ก็ดี..ที่ไม่จำเป็นต้องมานั่งคิดสับสน ปวดหัวกับเรื่องไร้สาระไม่เป็นเรื่อง
ทั้งที่ผมคิดแบบนั้น...แต่....
ไม่รู้ทำไม ผมถึงต้องคิดมาก..และรู้สึกว่างเปล่า..คล้ายอะไรบางอย่างหายไป..
จนกระทั่งวันนี้ แม้ผ่านมานับอาทิตย์ ความรู้สึกนี้ก็ยังไม่จ่างหายและยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นทุกวัน..
จนกระทั่งแค่มองหน้า แต่มองเห็นใบหน้าของคนๆนั้น ผมก็ไม่อาจทนมองด้วยความรู้สึกว่างเปล่าและเจ็บแปลบในใจได้อีกแล้ว..
ผมลอบถอนใจเบาๆ พลางมองหน้าพี่เบิร์ดที่กำลังมองหน้าผมอยู่เช่นกัน..โดยที่ด้านหลัง มีคนๆนั้นยืนมองอยู่..
ผมนิ่วหน้า นึกอยากจะก่นว่าสักครั้ง ถ้าไม่ทำอะไรก็จะมายืนอยู่ตรงนี้ทำไม เพราะนอกจากจะทำให้ผมไม่รู้เรื่องแล้ว ยังทำให้ผมรำคาญและนึกปวดใจเสียด้วย...
ถ้าเขาไม่มีอะไรพูดกับผม และผมไม่มีอะไรจะพูดกับเขา..เรา...จะมานั่งจ้องหน้ากันอยู่แบบนี้เพื่ออะไร?...
“....มึงฟังกูอยู่รึเปล่า?..” พี่เบิร์ดหน้านิ่วออกปากถามผมที่นั่งเงียบ...ผมพยักหน้าช้าๆ..
“..ผมรู้แล้ว..แต่..ที่ไหน..ใคร..?..” ผมถามกลับออกไป ทำใจมาตั้งแต่รู้แล้วว่าตัวเองต้องทำ ยังไงก็ต้องทำ ทำเพื่อให้คนพวกนั้นพอใจที่สั่งการผมได้..
เพียงแค่นั้นผมก็จะหลุดจากเรื่องบ้าๆที่น่าอึดอัดนี่เสียที เพราะพี่วิทย์ก็เคยบอกแล้ว ว่าผมไม่จำเป็นต้องทำอีก..
ผมถอนใจเบาๆ...จ้องมอง”ของ”ที่อยู่ตรงหน้า
ได้ยินเสียงลูกกรงกระทบกับโครงเหล็กเบาๆ จึงเหลือบตาขึ้นไปมอง..เห็นว่าพี่โตเดินออกไปแล้ว ผมแสยะยิ้มขึ้นมาทันที คลับคล้ายคลับคลาว่าเมื่อผมต้องรู้เรื่องนั้นเมื่อครั้งที่แล้ว..เขาก็ทำแบบนี้ไม่ต่างกัน..
..ให้คนอื่นคุยแทน ไม่กล้านั่งมองผม..เวลาที่รู้เรื่องทั้งหมด...
แล้วจะมานั่งอยู่ตรงนี้ทำไมตั้งแต่ทีแรก..
“..แถวๆโรงฝึกงานมีคนเยอะมั้ย..” พี่เบิร์ดเกริ่นๆถามออกมา ทำให้ผมเลิกคิ้ว..หรือจะให้ไปส่งของตรงนั้น..
“..ไม่เท่าไหร่..แต่ผู้คุมเฝ้าอยู่ตรงทางเข้า..” ผมพูดออกมาเรียบๆ..มองหน้าคนถามที่ถอนใจเฮือก...
“..เหรอ...” พี่เบิร์ดนิ่งไปอีก..ก่อนจะเงยหน้ามามอง
“..พรุ่งนี้..ตอนสี่โมง...ที่ห้องดนตรีของมึง...” คำพูดนั้นทำให้ผมนิ่งไป..ห้องดนตรีที่ใช้ฝึกดนตรี จะให้ไปส่งของกันตรงนั้น?..
“..ใคร?...” ผมถามเสียงเครียด ออกจะตกใจไม่น้อยที่บรรดานักโทษที่มีใจรักด้านเสียงเพลงเหมือนผม มาทำเรื่องแบบนี้ด้วย..ไม่สิ คงบอกว่าโดนเหมือนกันล่ะมั้ง..
“........... “ พี่เบิร์ดมองหน้าผมแล้วเลิกคิ้ว.. “แน่ใจน่ะว่าอยากรู้..”
“.......... “ ผมพยักหน้า จะใคร ผมก็ไม่ตกใจแล้ว..
“...ไอ้ธีระ..” บอกพร้อมกับลุกขึ้นยืน “ ..มันก็แค้รับออกไปข้างนอกล่ะน่ะ ยังไงก็ทำให้ดีล่ะ กุขี้เกียจโดนนายด่าอีก..”
พี่เบิร์ดบอกแบบนั้นแล้วเดินออกไป...ผมนิ่งเงียบ มองของห่อเล็กๆในมือด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด..
อาจารย์ธีระ...
..ไม่ได้ผิดหวัง ไม่ได้เสียใจ..แต่แค่...คาดไม่ถึง...
ผมเอนตัวพิงลูกกรงสีเข้ม หางตามองเห็นเงาสีดำวูบวาบไปมาก่อนจะปิดพับลง ครุ่นคิดถึงเรื่องต่างๆ นับแต่ที่ออกมาจากห้องขังพิเศษนั่น..มาที่ห้องพยาบาล..คำพูดของพี่วิทย์...พี่กันย์ ตลอดจนพี่โต..
...ความบังเญที่ซ้อนทับกับความบังเอิญ..
ไม่ใช่พรหมลิขิต แต่เป็นการจงใจ..
พี่กันย์ไม่ได้ตอบรับคำขอบคุณของผม ยามที่ผมรู้ว่าตัวเองได้รับ “โอกาส”
คำพูดของพี่โตเมื่อเกือบสองเดือนก่อน ตอนที่ผมรู้เป็นครั้งแรก ว่าตัวเองจะเล่นไวโอลินไม่ได้..
และ...เวลาที่เขาเอ่ยถึง”ความบังเอิญ” ขึ้นมา..
ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ถอนใจพรูด..
นี่วางแผนกันไว้แล้วหรือ...
ตั้งแต่แรกใช่ไหม..ผมที่ก้าวเข้ามา อยากเล่นไวโอลินเสียใจตัวสั่น คอยเฝ้าของร้องคนนั้นคนนี้ด้วยความปรารถนาเสียจนจะบ้าคลั่ง...
...นับแต่พี่กันย์..ที่เปิดฉากหลอกล่อผมด้วยความต้องการของตัวผมเอง..จนตัวผมเกือบจะโอนเอนไปทางนั้น..
และพี่โต...ที่รู้..และคงจะวางแผนมาตั้งแต่แรก..
รู้ว่าผมอยากเล่น..รู้ว่าผมมีฝีมือพอจะพ้นข้อห้ามที่ไม่อนุญาตให้นักโทษที่ไม่ได้อยู่”ชั้นดี”เข้าร่วม..
ดังนั้นจึงให้ผมไปพบป๋ากับผู้พัน.. ให้พวกเขาเจอตัวและเริ่มแผนการ์ณของตัวเองใช่ไหม...
และความบังเอิญที่ซ้อนทับกับความบังเอิญนั่น...ก็ส่งผลให้เรื่องเป็นแบบนี้..
เป็นไปตามความตั้งใจของทุกคนจริงๆ..
ผมมองของในมือ เอามันไปซ่อนไว้โต้หมอนเน่าๆของตัวเอง พร้อมกับเดินออกไปจากห้องขังด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก...ทั้งกึ่งคาดไม่ถึงและเจ็บใจ แต่ทว่า ความพอใจก็แฝงแทรกไว้อยู่ข้างในนั้น..
พอจะมองออก ว่าทำไม พี่โตถึงได้เป็นหัวหน้าของทุกๆคน...
ผู้ชายคนนั้น ทั้งวางแผนต่างๆและรู้จักใช้คน รวมทั้งสถานการ์ณต่างๆให้เป็นประโยชน์...
...และตอนนี้ก็ยังทำให้ผมที่ปกติคงจะโวยวายเหมือนคนบ้า..นิ่งเงียบไปและเลือกที่จะรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ของตัวเอง...
ไม่สนว่าผมต้องทำตามที่เขาต้องการ หรือเขาทำเพื่อผม ให้ความต้องการของผมลุล่วง..
..รู้แต่ว่า.. ความบังเอิญนั้น..แท้จริงแล้ว คือความตั้งใจทั้งหมดของผู้ชายคนนี้นั่นเอง...
.
......Oh bad Guy!! รักร้ายๆของผู้ชายในคุก.......
“...สวัสดีครับ... “ ผมออกปากทักอาจารย์ธีระ.. พลางยกรอยยิ้มขึ้นมาบางๆ ชายคนนั้นยิ้มตอบ..เป็นยิ้ม ที่ผมรู้สึกได้เลยว่าไม่เหมือนเดิม..
ดวงตาของเราทั้งคู่สบมองกันช้าๆ ใบหน้าของเขายังคงยิ้มระเรื่อยพอๆกับใบหน้าของผมที่เรียบเฉยไร้วี่แววตื่นตระหนก แม้จะมี”ของ”อยู่ในกระเป๋ากางเกงของตัวเองก็ตาม..
ผมเอื้อมมือไปไล้สายเอ็นสีขาวตรงหน้าเบาๆ พร้อมกับค่อยๆไล่ปรับเสียงไปทีล่ะเส้น ภายนอกเหมือนจะตั้งใจ ทว่า..สายตาของผมสอดส่อง มองไปโดยรอบ..เห็นร่างของลูกศิษย์ของอาจารย์ธีระสามสี่คนกำลังขะมักเขม้นลองเสียงดนตรีบ้าง เช็ดถูเครื่องดนตรีในเมือบ้าง..ประตูหน้ามีผู้คุมยืนอยู่คนหนึ่ง ประจำอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย..ดูคล้ายไม่สนใจและไม่ใส่ใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในนี้..
ผมหรุบสายตาลงมองกล่องไม้มะฮอกกานีในมือ...ลองเอามันพาดบ่าและหลับตาลงลองเล่นเพลงช้าๆ...ซึ่งเป็นบทเพลงสั้นๆ ในท่อนเนื้อไวโอลินของเพลง Grommy Sunday เพลงอาถรรพ์ที่ทำให้คนฆ่าตัวตายไปหลายพันคน..
ท่วงทำนองบาดหูถูกบรรเลงเพียงแค่ไม่กี่ท่อน ผมก็ละมือลงและวางไวโอลินบนตักเช่นเดิม
Grommy Sunday มันทำให้ผมนึกถึงวันอาทิตย์...
..และนึกถึงคำว่า “ไม่รู้ “ ที่ออกมาจากปากคนๆนั้น..
และนึกถึงเรื่องราวทุกอย่างนับแต่ก้าวเท้าเข้ามาในนี้..
เป็นความจริงว่าเวลาเรามีความสุข ความทุกข์ที่เรานึกถึงจะเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว แต่พอเวลาเรามีทุกข์ จะนึกถึงเรื่องมีความสุขแบบไหน มันก็ลืมไปได้เสียทั้งนั้น..
ไม่เหมือนเวลาที่เราทุกข์และนึกถึงเรื่องที่เราพบเจอมา ความเคียดแค้นบางอย่างที่ถูกทับถมไว้ แม้จะแค่เล็กน้อยก็จะรวมกันทำให้เรานึกเคืองโกรธ จนเพียงมีแค่เรื่องเล็กๆก็ทำให้เรานึกโมโหจนทำอะไรบ้าๆลงไปได้...
แต่ในตอนนี้ที่ความรู้สึกของผมมันสับสน กึ่งทุกข์และสุข..ผมกลับนึกถึงเรื่องราวที่พบเจอมาไดด้วยสายตาที่เป็นกลางอย่างไม่น่าเชื่อ...จนสามารถบอกว่าบางสิ่งที่ตัวเองทำมันแสนจะโง่งั่งและน่ารำคาญแค่ไหน..
เป็นเรื่องดีที่ว่าผมเป็นผู้ใหญ่ เติบโตขึ้นพอจะมองโลกนี้ที่โหดร้ายได้อย่างเต็มตา..หรือว่าเพราะสังคมแบบนี้ ทำให้ผมเคยชินกับความโหดร้ายและอยุติธรรมที่ได้รับกันแน่..
ลองคิดง่ายๆว่าหากผมไม่ได้ก้าวมาอยู่ในเรือนจำแห่งนี้..หากต้องมาทำงาน”ส่งของ”อย่างตอนนี้..ไม่มีซะล่ะที่ผมจะทำได้คงต้องตัวสั่นนั่งร้องไห้ไม่ก็บ้ากันไปข้าง..
แต่นี่ผมกลับทำและเริ่มทำมันลงไปอย่างชาชิน ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกเสียด้วยซ้ำ...
..จะเรียกว่าผมโตขึ้น..หรือว่าความเลวร้ายมันครอบงำกันแน่...
“...ชอบเพลงนั้นงั้นเหรอครับ..? “ คำถามที่ออกมาจากปากอาจารย์ธีระทำให้ผมชะงัก..เงยหน้ามามองเขา..ผมส่งยิ้มไปให้รับกับรอยยิ้มที่ส่งมาหา...
“...ไม่หรอกครับ..ในเมื่อมันเศร้าซะขนาดนั้น...” ผมยิ้มส่งให้เขาตามปกติ.. มองหน้าของผู้ชายตรงหน้า...เขา...ที่ผมคิดว่าอย่างน้อยก็คงเป็นคนดีอยู่บ้าง..
น่าแปลกที่ตัวเขา..ซึ่งไม่ได้อยู่ในสภาพถูกบีบบังคับ..ไม่ได้ยากไร้หรือลำบากอะไร..เป็นคนธรมดาที่ออกจะร่ำรวยด้วยซ้ำในสายตาผม..ถึงเลือกที่จะทำแบบนี้...เลือกที่จำทำลายชีวิตและอนาคตของคนหลายๆคนไปเพียงเพื่อความสุขสบายของตนเอง..
ผมหรุบตาลงมองสายไวโอลินที่เขากำลังปรับให้..ยิ้มออกมาฝืดๆ..เพราะยิ่งคิดหาเหตุผล เหมือนสุดท้ายมันก็วกเข้าหาตัวเอง..
สุดท้าย..เหตุผลของทุกคน ก็เพียงเพื่อตัวเอง..
เพื่อตัวเอง เห็นแก่ตัว ก็เท่านั้น..
“..อาจารย์มาสอนที่นี่นานแล้วเหรอครับ... “ ผมออกปากถามไปด้วยรอยยิ้มเหมือนเช่นเคย
“..ครับ...ก็จบดนตรีมาแต่ตกงานน่ะ เลยลองมาทำที่นี่ดู ได้ไม่แพงหรอกครับ แต่ก็พอเลี้ยงตัวได้.. “ เขาพูดออกมาแบบนั้น..หมายความว่าการทำแบบนี้คงช่วยยกฐานะของอาจารย์ได้สิน่ะ..
“..ผมก็เคยฝันแบบนั้น.. “ ผมบอกออกมาเรียบๆ..มือขวาช่วยเขาถือตัวไวโอลิน..แต่มือซ้ายล้วงเข้าไปที่กระเป๋ากางเกง..หยิบห่อสีดำเล็กๆมาไว้ในมือพร้อมกับกำแน่น..
“..ผมอยากเรียนดนตรีที่ออสเตรีย อยากไปกรุงเวียนนา ..อยากไปเรียนไวโอลินที่นั่น.. “ ผมยิ้มออกมาขณะพูด รอยยิ้มที่แข็งทื่อและจืดชืดแปลกตา จนผมยังรู้สึกว่ตัวเองช่างน่าขำ..มือที่กำของห่อเล็กๆนั้นค่อนข้างเย็นชืด...และสั่นไหว..
“..น่าสนใจน่ะครับ..และ...ก็น่าเสียดาย.. “อาจารย์ธีระถอนใจอกมาขณะพูด..ผมไม่รู้ว่าเขาทำไปอย่างจริงใจหรือเสแสร้ง..แต่มันก็ช่างแนบเนียนเสียจนน่าใจหาย..
...หัวใจผมเจ็บปวด เมื่อมองเห็นคนๆหนึ่งที่มีดนตรีเป็นเฉกเช่นเพื่อนคู่กายเหมือนผม ถูกย้อมไปด้วยสีดำของความชั่วร้ายที่เขาเลือกเอง..
ผมค่อยๆเอามือออกจากกระเป๋ากางเกง..หางตาเหลือมองร่างสูงๆของผู้คุมที่ยามนี่ยืนพิงกรอบประตู สายตาเหม่อมองออกไปด้านนอก..
ฝ่ามือเย็นชืดและสั่นระริกรีบซุกเข้าไปใต้โต๊ะ..ที่โต๊ะมีที่สำหรับใส่ของ เพราะที่นี่คือห้องเรียน ผมกำมันแน่นและค่อยๆปล่อยลงไปช้าๆ...
ได้ยินเสียงโน้ตดังบาดหูขึ้นมาทำให้ผมสะดุ้งเฮือก สายตาหวาดหวั่นมองสบตาที่พราวไปด้วยแววหัวเราะของอาจารย์ธีระ เขาส่งไวโอลินให้ผมด้วยรอยยิ้มระเรื่อย..
“.เสร็จแล้ว ลองเล่นดูน่ะครับ..” ผมพยักหน้าพร้อมกับลูกพรวดออกมาจากตรงนั้น หางตายังมองเห็นเขาเข้าไปนั่งแทน..และ..คงไม้ต้องบอกว่าทำอะไรต่อ
ผมเม้มปากแน่น..ไม่มีสมธิในการเล่นหรืออ่านโน้ตใดๆทั้งนั้น..ผมมองมือตัวเองที่สั่น..และรู้สึกถึงริ้มฝีปากที่ไหวระริก...
ในที่สุดจึงขอตัวออกมาเข้าห้องน้ำ..ผมยังมองเห็นดวงตาที่ฉายแววขบขันของอาจารย์ธีระชัดเจน..ชัดเสียจนผมกลัวตัวเอง..
..กลัวว่าสักวัน ผมจะกลายเป็นแบบนั้นขึ้นมา..
ลมหายใจสั่นไหวระบายพรูออกมาในซอกแคบๆของตึก..ผมกัดปากตัวเองแน่น..ถึงจะบอกว่าตัวเองเริ่มชาชิน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพอทำจริงๆแล้วจะคุมใจไม่ให้หวั่นไหวได้ โดยเฉพาะเมื่อมีคนที่เป็นดั่งอนาคตที่ผมไม่ต้องการอยู่ใกล้ๆ..
เสียงฝีเท้าย่ำเข้ามาใกล้ทำให้ผมชะงัก..มองเห็นร่างคุ้นตาของอาจารย์ธีระยืนมองมา..ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มนั้นมองผมด้วยดวงตาซึ่งพราวไปด้วยแววหัวเราะ..
“.ไม่เป็นไรมากน่ะ..” คนๆนั้นยังมีกะใจมาถาม พร้อมกับเดินเข้ามาใกล้..
“.............” ผมพยักหน้าพาตัวเองออกมาจากซอกเล็กๆนั่น พร้อมกับมือหนาที่พาดลงบนไหล่..ร่างของชายคนนั้นเข้ามาประชิดด้วยรอยยิ้มเช่นเคย..
“..อย่าคิดอะไรมากเลยน่า แรกๆก็แบบนี้ล่ะ นานไปเดี๋ยวก็ชิน..” เขาเอ่ยเหมือนจะปลอบ แต่เป็นถ้อยคำปลอบโยนที่ผมฟังแล้วรู้สึกแย่ขึ้นทุกที..
“..ผมไม่ได้ทำอีกแล้วล่ะ.. “ ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง..
“..เอ๋?..งั้นเหรอ..น่าเสียดายน่ะ..” อาจารย์ธีระบอกพร้อมกับชักแขนออกจากไหล่ของผม เขาหันหลังกลับไปด้วยสีหน้าปกติเช่นเดิม..
“..ผมไม่เห็นว่าคุณต้องทำแบบนั้นเลย..” ผมขมวดคิ้ว พลางถามออกไป..เขาใช่ว่าจะร้าทงเลือกแบบผม ไม่ต้องทำก็ยังได้..แต่ทำไมถึง..
อาจารย์ธีระชะงัก หันมามองหน้าผมพลางส่ายหัว..
“เหมือนที่เขาบอกมาเลยน่ะ.. “ บอกให้ผมนิ่วหน้าว่าไอ้”เขา”น่ะมันใคร.. “ ถึงคนบอกจะดูภูมิใจกับเธอนิดๆ แต่ผมไม่ใช่หรอกน่ะ..ทำตัวแบบนี้น่ะ อยู่รอดยาก..”
“................”
“..แต่ผมจะบอกอะไรให้อย่างน่ะ..” อาจารย์ธีระเอามือบีบไหล่ผมเบาๆ พลางจ้องหน้าผมเขม็ง..
“...
มึงไม่ใช่กู..มึงไม่รู้หรอก..”
ผมหลับตาลงช้าๆ..มองเห็นร่างของอาจารย์ธีระหันหลังกลับไป..มันก็คงใช่..ผมไม่ใช่เขา และเขาก็ไม่ใช่ผม ต่างคนก็ต่างไม่รู้ถึงความรู้สึกนึกคิดตลอดจนปัญหาของกันและกัน จะมาด่าว่าตัดสินแทนกันไม่ได้..
..เรื่องที่ผมคิดว่าผิด..เขา อาจจะตอบว่าถูก
..และเรื่องที่ผมคิดว่าถูกต้อง เขาก็มองว่ามันผิดได้เช่นกัน..
ผมเลือกที่จะปัดเรื่องนี้ไปให้พ้นสมองและตัดสินใจจะไปเริ่มซ้อมไวโอลินต่อ ในเมื่อผมก็ทำงานนี้เสร็จแล้ว ต่อจากนี้ทุกอย่างก็คงจะดีขึ้น..ผมก็คงไม่ต้องเจอเรื่องให้เครียดอีก..
แต่ทว่าเงาดำๆด้านหลังทำให้ผมต้องหันขวับ...ไปสบตากับ...บางคนที่ผมไม่ได้คุยกับเขามานานนับสัปดาห์
“.............”
“..............”
เพราะแบบนั้นเราทั้งสองเลยไม่มีคำพูดใดต่อกัน ผมเพียงแต่มองหน้าเขา และเขาก็มองหน้าผม พี่โตไม่ได้ทำท่าจะมีอะไรมากกว่านั้น ผมเลยตัดสินใจจะเดินออกไป..
...หมับ..
เพียงแต่เมื่อจะหันหลัง เขาก็เอื้อมมือมาหา..คว้าข้อมือผมไว้ด้วยมือที่เย็นชืดจนน่าแปลกใจ..
“..ทำงานเสร็จแล้วใช่ไหม?..” นั่น...คือคำพุดแรกที่ผมได้ยินในรอบสัปดาห์ ผมแสยะยิ้ม นึกก่นด่าตัวเองที่หวังโง่ๆขึ้นมาแว้บหนึ่ง ก่อนจะหันหลังไป
ยิ้ม...อย่างเสแสร้งจนตัวเองยังตกใจไปให้พร้อมกับพยักหน้ารับทันที..
“..ช่วยปล่อยแขนผมด้วยล่ะครับ..” ผมบอกเรียบๆ พลางบิดแขนตัวเองออกจากมือที่เกาะกุม เขาจึงปล่อยมือผมไป...และ..ออกปากถามอีกครั้ง..
“...แล้วเมื่อกี้ไอ้ธีระมันทำอะไร..?” คำถามนั้นทำให้ผมนิ่วหน้า หันขวับไปสบตาคู่สีดำสนิทนั้นอย่างชาเฉย..
“..ไม่รู้...”
ไม่รู้ว่าอาจารย์ธีระตั้งใจจะทำอะไร และไม่รู้ ว่าจะมายุ่งวุ่นวายกับผมอีกทำไม..
..นับแต่พี่โตพูดว่าไม่รู้ เราก็ไม่ต้องคุยอะไรกันอีกแล้ว..
.......Oh bad Guy!! รักร้ายๆของผู้ชายในคุก.....
ฮาโหลวๆๆๆ (เคาะไมค์ )
เยอรมัน อาเจน 4-0 เอ๊ย !! ไม่ใช่ (วิ่งหลบแฟนคลับอาเจน)
กลับมาต่อแล้วค่ะ โฮะๆๆๆๆ อารมณ์ดีเกินบรรยาย (เรื่องอะไรคงมิต้องบอก ) แต่นิยายตอนนี้เครียดน่ะเออ แบบว่าสักนิดสักหน่อย คำตอบของความบังเอิญซ้อนกับความบังเอิญของอิพี่โตก็คือ มันจงใจนั่นเอง
สำหรับแผนการ์ณของเฮียแก เราต้องย้อนไปตั้งแต่ตอนแรกๆที่น้องเนมร้องไห้ตอนโดนอาจารย์ธีระว่าใส่ว่าเล่นดนตรีต่อไปไม่ได้แล้ว และอิพี่กันย์มาปลอบ ส่วนเฮียโตก็มาฮื่อแฮ่ใส่ จากนั้นก็ตอนที่พี่กันย์มาบอกข่าวดีของเนม และคำพูดของอิพี่โตตอนที่แล้ว รวมทั้งเรื่องตอนจะส่งของและงานที่ให้เนมทำด้วยค่ะ สรุปคือวางไว้ตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย และก็เฉลยออกมาแล้วว่า คนที่ทำใหแนมได้เล่นไวโอลินไม่ใช่พี่กันย์ แต่เป็นเฮียโตต่างหาก แม้จะเป็นการทำที่มีจุดประสงค์แอบแฝง แต่สุดท้ายน้องเนมก็เลือกผลประโยชน์ของตัวเองน่ะค่ะ
สุดท้ายเราก็เลือกทางที่ต้องเลวแม่งกันทุกคนอยู่ดี(นิสัย) แต่นี่ล่ะค่ะคือจุดประสงค์ที่เขียนนิยายเรื่องนี้ คนเลวก็มีหัวใจน่ะเอ้อ..
สุดท้ายนี้ เจอกันตอนหน้าน่ะค่ะ
ปล. เยอรมันชุดดำเท่ห์มว้ากกกกกกกกก
