"นั่งสิ"ประตูปิดลงเบื้องหลัง ร่างของป๋าและลุงชาติที่ยืนอยู่เบื้องหน้าทำให้ผมกลืนน้ำลายไม่ลงคอเอาเสียเลย หันไปมองพี่โตที่ยืนคุยกับป๋าข้างหลังแล้วยิ่งใจหาย ผมถูกพามายังเเรือนนอนฝั่งตรงข้าม คาดว่าน่าจะเป็นห้องขังของใครสักคนในสามคนนี้ ผมมองหน้าผู้พันที่ยืนมองสีหน้าเริงรื่น ดันหลังผมให้นั่งลงบนเตียงนอนด้วยรอยยิ้ม...ทว่ามันไม่มใช่ยิ้มที่น่ายินดีเอาเสียเลย
ปลายนิ้วบีบเข้าที่หัวไหล่ไม่เบานัก แสดงอาการบีบบังคับโดยไม่เอ่ยคำใดๆ ผมกลืนน้ำลายลงคอช้าๆสมองยังคงคิดใคร่ครวญจดจ่อกับพี่โตที่นั่งคุยอยู่กับป๋า ทั้งรู้สึกผิด ทั้งห่วงใย เสียใจและรู้สึกแย่เป็นที่สุดที่ทำให้คนที่รักต้องมาพัวพันด้วยแบบนี้ ขณะที่เสียงของคนที่ยืนอยู่บนศรษะแว่วมาเบาๆ..
"บอกข่าวไอ้พัศดีนั่นเท่าไหร่แล้ว"
"หา..."ผมเงยหน้ามามองตาคนถาม สบมองแววตาของคนพูดที่หรี่ลงน้อยๆอย่างครุ่นคิด
"ถามว่า กับพัศดีน่ะ บอกข่าวไปเท่าไหร่แล้ว"ริมฝีปากของผู้พันยกขึ้นคล้ายรอยยิ้ม แม้แววตาจะยังโกรธกรุ่น
"...มะ....ผม...ผมบอกแค่เรื่องของอาจารย์ธีระ"ไอ้เนมก้มหน้าก้มตาบอกเรียบๆ ทั้งกลัวและหวั่นเกรงด้วยไม่รู้ว่าตนเองจะต้องเจอกับเรื่องราวแบบไหนต่อไปจากนี้
"อ้อ...ไอ้ธีระ..."ผู้พันฟังแล้วหัวเราะเบาๆ ใบหน้าของคนพูดจ้องผมใกล้จนแทบประชิด ก่อนจะแสยะยิ้มคล้ายขบขัน"ได้ข่าวว่าเป็นครูสอนดนตรีนี่ "รัก"กันมากล่ะซี ถึงได้บอกข่าวแบบนี้ไปได้"
"............."ใจความนั้นทำให้ผมสะอึก..นิ่งไปอย่างไม่อาจเอ่ยคำใด ใช่...กับอาจารย์ธีระที่ให้โอกาศผมได้เรียนดนตรีได้เล่นไวโอลินอีกครั้งผมก็ยังทำกับเขาแบบนั้น มันก็ควรควรจะถูกประณาม
...และยิ่งมาได้ฟังคนอื่นพูด ร่ายความผิดของตัวเองให้ฟัง มันยิ่งทำให้รู้ซึ้ง ว่าแท้จริงแล้วความผิดของไอ้เนมคนนี้มันมีมากแค่ไหน..
...ผิด เสียจนนึกแปลกใจที่พี่โตยังไม่ฆ่าผมทิ้งให้สมแค้นเสียด้วยซ้ำ
"จะเอาอะไร ขนาดไอ้โตมันยังทำ..ขนาดผัวมันคุ้มกะลาหัวอยู่ก็ยังกล้า"ลุงชาติพูดพลางหัวเราะออกมาเบาๆ"ดูแล้วน่าสมเพชสิ้นดี คนแบบนี้เหรอที่เคยชนะไอ้กันย์แต่ก่อน สนิมขึ้นมือมันแล้วล่ะผู้พัน ทางที่ดีรีบๆเชือดรีบๆจัดการมันซะเถอะ ก่อนจะยิ่งเหลวไปมากกว่านี้"
"ใจเย็นซี...บอกแล้วว่าทำแบบนั้นมันเอิกเริกไป"ผู้พันโคลงศรีษะ เอื้อมมือบีบคางผมแล้วยิ้มพรายน้อยๆ"อีกอย่าง...ก็น่าเสียดายออก"
"คิดจะทำอะไร ถามกูด้วย"เสียงตะโกนของป๋าดังแทรกขึ้นมาราวกับได้ยินใจความส่อจิตอกุศทำให้ผู้พันหัวเราะพรืด ผู้ชายที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ดูน่ากลัวและแฝงแววอมหิตและโรคจิตแบบประปลาดๆตรงหน้าหัวเราะกับเสียงร้องนั้น ที่สุดจึงยอมละมือออกจากคางของผมอย่างเสียไม่ได้ ทั้งที่ริมฝีปากยังมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประดับไม่คลาย...
"..ไม่เป็นไร ต่อให้เสียแผนไปนิด ก็ใช้ประโยชน์ได้..."
"...ยังไง?"ลุงชาติเอ่ยปากถาม มองหน้าผู้พันที่จ้องมองผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มชวนขนลุก
ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มเหี้ยม แววตายิ้มแย้มเข้มขึ้นเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ชวนให้สังหรณ์ร้ายแล่นวาบ
"ในเมื่อมันมีสาย มีหนอนบ่อนไส้ได้ เราก็มีได้เหมือนกัน"
"..........."
"ไม่ต้องเสียเวลาฆ่า ไม่ต้องเสียเวลาจัดการ ทำไปไอ้พัศดีมันจะได้รู้ตัวว่าเรารู้ทันแผนมันแล้ว..เงียบเข้าไว้..เสร็จแล้วก็ให้ไอ้หนูสองหน้าอย่างมึง...เสนอน้ำหน้าซื่อๆไปรายงานข่าวดีๆต่อ"ริมฝีปากของผู้พันแสยะยิ้ม..รอยยิ้มร้ายลึกแฝงชัดบนใบหน้า"ในเมื่อมันอยากได้สายนักก็ให้มันไป บอกข่าวมันไปเลย ว่าพวกกูจะทำอะไร ยังไง ที่ไหน...บอกไปตามที่กูสั่ง และ...พูดตามที่กูต้องการให้มึงพูด"
"หนามยอกเอาหนามบ่ง"ชาติเอ่ยขึ้นมาช้าๆ สีหน้าครุ่นคิด หากแววตาเริ่มวาววับอย่างถูกใจ
"ใช่ไหมล่ะ...นอกจากจะได้วิธีดีๆแล้ว ยังได้รู้ข่าวพวกมันแบบ"รู้ลึก"ซะด้วย"ผู้พันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตาทอดมองไปยังร่างของคนที่อยู่ในห้องขังฝั่งตรงข้าม สบมองแววตาพึงใจในใบหน้านั้นและอาการพยักหน้าช้าๆแสดงความเห็นด้วยอย่างชัดเจน..
"ส่วนมึง...ไม่มีสิทธิปฏิเสธ คงรู้ตัวดีอยู่แล้วนะ "ฝ่ามือนั้นคว้าหมับเข้าที่คาง และบีบแน่นอีกครั้ง ให้นัยน์ตาของผมเงยขึ้นมาสบ หากข้อความที่ได้ฟังนั้นยิ่งถ่วงน้ำหนักความเครียดเคร่งในใจให้เพิ่มขึ้นอีกนับเท่าทบพันทวี...
....ให้เป็นสาย...สายให้กับพัสดี พอๆกับเป็นสายให้พวกป๋า
หนามยอก เอาหนามบ่ง
ให้ผมส่งข่าวอย่างปกติ แต่เป็นข่าวที่คนพวกนี้ให้พูดเท่านั้น แน่นอนว่ามันจะต้องเป็นข่าวลวงที่ไม่มีมูลความจริง ให้พูดบิดเบือน เพื่อจะสร้างความสับสนให้กับพวกพัศดี ขณะเดียวกันก็จะให้ผมคอยสืบข่าวของพัสดีมารายงานพวกป๋าด้วย..
...ต้องทำตาม โดยไม่มีสิทธิปฏิเสธ..
คำพูดนั้นไม่ต่างกับส่งผมลงแดนประหาร..ไม่ใช่ความปราณี เปล่าเลย เพียงแค่พวกเขาไม่อยากจะเสียเบี้ยในมือไป ซ้ำยังคิดจะกลับเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์..
ชีวิตผมอยู่ในกำมือพวกมัน
ความจริงที่ไม่อยากรู้ ไม่อยากยอมรับดังก้องในสมองอีกครั้งอย่างชัดเจนที่สุด กับคำสั่งและรอยยิ้มที่บาดตา ความรู้สึกที่ลืม...หรือเคยลืมไปกลับมาอีกครั้งซ้ำยังทับถมและเข้ามาคุกคามประสาทอย่างหนักหน่วง
รู้ดีว่าชะตาต่อจากนี้ยิ่งกว่าเดินกายกรรมบนเส้นด้าย และ...บัดนี้ผมเป็นพวกสายลับสองหน้าอย่างแท้จริง เป็นคนที่ยืนอยู่ตรงกลางไม่ว่าจะกับพวกป๋าหรือพัศดีก็มีสิทธิตายได้ทั้งนั้น
แต่พวกนี้ไม่เคยสน...
ไม่ต้องมองรอยยิ้มแสยะและแววตาวาววับคุ่นั้นก็รู้ ไม่ต้องคิดอะไรให้มากก็ทราบ ไม่ว่าผมจะเป็นหรือตายพวกเขาก็ไม่คิดจะแยแส...ถ้าผมบอกข่าวผิดๆกับพัศดีจนถูกลงโทษ คนพวกนี้ก็คงมีแต่จะสาใจ
ไม่ว่าจะดิ้นรนแค่ไหน...ก็เป็นได้แค่ตัวหมากบนกระดานของพวกเขาเท่านั้น
"อ้ากกก!"จู่ๆความเจ็บแปลบจากท้องน้อยก็แล่นเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัวทำเอาร่างทั้งร่างถึงกับสะดุ้งเฮือกและเสียงกรีดร้องแล่นออกมาจากลำคออย่างรวดเร็วจนไม่อาจต้านไหว ผมก้มลงไปมองต้นตอของความเจ็บปวดนั้นด้วยความไม่เข้าใจ พลันดวงตาเบิกกว้างเมื่อเจ้าของมือนั้นคือผู้พันที่ชกเข้ามายังท้องน้อย หากแต่ครั้งนี้มันแปลกกว่าครั้งก่อนตรงที่มีปลายนิ้วโป้งโผล่ออกมาพร้อมกับกดย้ำ..กระแทกเข้าไปยังท้องน้อยผมไม่หยุด
พยายามเอื้อมมือไปฉุดรั้ง พยายามดิ้นรนขยับกายหนี แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยเมื่อถูกตรึงไว้ด้วยร่างสูงใหญ่ของผู้พันทั้งแขนสองข้างยังถูกลุงชาติจับบิดไพล่หลัง ให้ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาจากแผ่นหลัง ร่างเเอ่นโค้ง ทั้งที่ความเจ็บปวดจากท้องน้อยที่ถูกโจมตีสมควรจะงอตัวถอยหนี และท่าทีเช่นนี้จึงเป็นผลให้หมัดและนิ้วโป้งของผู้พันยิ่งกดลึก..ทิ่มแทงเข้ามาในท้องน้อยอย่างรุนแรง
น้ำตาไหลพรากอย่างไม่อาจจะกลั้นพร้อมกับเสียงหวีดร้องแสดงความเจ็บปวดที่ออกมาจากริมฝีปากอย่างง่ายดาย...เจ็บ...เจ็บเหลือเกิน เจ็บจนทนไม่ไหว ไม่ได้เจ็บจุกเหมือนโดนชกต่อย ทว่านี่มันเป็นเพียงควาเจ็บปวดจุดเล็กๆบนหน้าท้อง แต่มันกลับรุนแรง ทิ่มแทงจากหน้าท้องแผ่ไปยังทั่วร่าง ความเจ็บปวดมันไม่หาย และยิ่งรุนแรงราวกับกระเพราะจะถูกแทงทะลุ เหมือนลำไส้จะถูกกระชากบิดออกมาต่อหหน้า
"นี่เป็นโทษเล็กๆน้อยๆที่มึงคิดทรยศกู"เสียงกระซิบเหี้ยมกลั้วหัวเราะสุขสันต์ของผู้พันดังขึ้นมาใกล้หู ผ่านม่านความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอย่างเลือนราง หากก้องสะท้อนในสมองไม่ยอมจางหายพร้อมๆกับความไม่เข้าใจที่เกิดขึ้น..."ถ้ากูรู้ว่ามึงจะทรยศอีก...คราวนี้มันจะหนักกว่านี้นับร้อยเท่าพันเท่า กูจะให้มึงทรมารขนาดตายก็ตายไม่ได้ จำเอาไว้!"
น้ำตาเอ่อคลอนัยนตาไหลอาบข้างแก้ม...เจ็บ...เจ้บจนทนไม่ไหว ปวดร้าวและไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจ ว่าทำมมันถึงกลายเป็นแบบนี้..
ผิดมากนักหรือที่คิดจะไขว่คว้าอิสระ ผิดหรือที่คิดจะก้าวออกไปจากเงาของคนเหล่านี้ ไม่อยากถูกบ่งการ ไม่อยากถูกสั่งให้ทำเรื่องเลวร้าย แค่อยากจะอยู่เงียบๆ มีชีวิตอยู่...อยากจะอยู่อย่างมีความสุข ทำไมมันถึงยากนัก..
ดิ้นรน..พยายาม ตะเกียดตะกายออกจากหลุม อยากเอาชีวิตรอด อยากโผล่หน้าออกไปมองฟ้า อยากจะมีชีวิต
ทำไม...ทำไมถึงต้องพบเจอเรื่องแบบนี้
"อั่ก!"ร่างของผมไถล่ครูดลงบนพื้นทันทีที่ผู้พันและลุงชาติปล่อยมือ แต่ความเจ็บปวดที่ได้รับลดลงเพียงชั่วครู่เท่านั้น เพราะไม่นานก็มีฝ่าเท้าหนาหนักวางลงบนแผ่นอก กดแน่น...เหยียบซ้ำ...ย้ำแผลที่ท้องราวกับอยากจะเห็นผมกระอักเลือดออกมาต่อหน้า..
สีหน้าคนทำนั้นเต็มไปด้วยความรื่นรมย์ ทั้งแฝงคามหฤหรรษ์แบบแปลกๆ ที่ชวนหนาวสันหลัง ผมมองความสุขในแววตานั้นแล้วไพล่นึกถึงเมฆ..ยิ่งความเจ็บปวดจากฝ่าเท้าที่กระแทกซ้ำจนต้องกระอักกระไอออกมาดังๆยิ่งบ่งชัด..ทำให้ผมนึกรู้ ว่าคนที่เข้ามาเป็น"เด็ก"ของผู้พันจะต้องเจอกับอะไร..
นัยบน์ตาของผมหรี่ปรือลงช้าๆ สติที่เลือนรางและดวงตาที่ไม่อาจมองเห็นชัดด้วยม่านน้ำตาที่เอ่อคลอมองเห็นรอยยิ้มพึงใจของผู้พัน ในมือฝ่ายนั้นมีมีดเล่มเล็กที่ได้จากที่ไหนไม่รู้อยู่ ปลายนิ้วนั้นกำลังขยับมันไปมาเล่น...ครู่หนึ่งภาพอดีตซ้อนทับ..สำนึกกลับวนเวียนไปหาคนที่ผมพยายามลืมไปจากจิตใจ ชายที่ผมฆ่าเข้าให้ตายไปด้วยมือ..
ตอนที่ผมเหวี่ยงไวโอลินในมือฟาดเขา..เขาก็อยู่ในลักษณะไม่ต่างกัน และแววตาของผู้พันที่มองมาก็ไม่ได้ต่างไปกับแววตาของผมวันนั้น..
เหมือนจะมองเห็นคนๆนั้นยิ้ม ราวกับได้ยินเสียงพูดเเผ่วเบา..หากแต่ชัดเจนในสมอง..
....เคยทำคนอื่นไว้แบบไหน ก็ต้องเจอแบบเดียวกัน..
..เวรกรรมที่เคยทำร้าย พรากชีวิตคนอื่นไม่เคยจางหาย มีแค่จะคอยเฝ้าวนเวียนตอกย้ำให้ชดใช้ ให้ชีวิตไม่อาจมีความสุขได้เพราะบาปนั้นที่จะคอยติดตัวอยู่ตลอดไป..
นัยน์ตาค่อยหรุบลงช้าๆ..หางตาผมได้ยินเสียงโหวกเหวกบางอย่างแล่นแผ่นเข้ามา พร้อมๆกับสติสุดท้ายที่หลุดลอยไปด้วยภาพใบมีดพุ่งเข้าหาตัวเองอย่างรวดเร็ว
............
มาแล้วค่า

ช่วงนี้ยุ่งมาก กำลังรีไรท์ต้นฉบับคาวี่อยู่อย่างเมามันส์ กำหนดส่ง 20 เดือนนี้ รู้สึกถึงไฟที่ลนก้นอิชั้นอยุ่อย่างรุนแรง อ้ากกกก
ส่วนตอนนี้ อืม....คิดถึงป๋ากับผู้พันม้ายยยย/เรียก Fc. :laugh:ออกมาแล้ว แต่ไม่ค่อยเหมือนเดิม เพราะพวกฮีกำลังอยากออกไปจนตัวสั่น ส่วนแผนการณ์ผู้พันไก่ทอดก็เฉียบขาดเช่นเดิม../เอาเหล้าเซ่นสามจอก ลาสบอสคู่นี้นี่ช่างสมเป็นซะมีภรรยากันยิ่งนัก

ลุงชาติ...ตัวประกอบอ่ะ /หลบทีนส์
เจอกันตอนหน้าค่ะ