Improbable 15 : สัญญา
พยายามแล้วที่จะนิ่งๆเงียบๆทำตัวไม่โดนเด่นไม่เป็นที่สนใจให้ใครๆมองเห็น...
พยายามแล้วจริงๆ แต่ว่า...
ไอ้เนมได้แต่นั่งซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดของห้องขัง พยายามอย่างยิ่งที่จะเอาผ้าห่มน้องเน่าของตัวเองมาคุลมหัวคลุมหูเพื่อหลบซ่อนร่างกายตัวเองให้พ้นจากสายตาของพี่โต ที่ประกาศให้ผมล้างคอรอไว้ได้เลย ให้เตรียมตัวโดนเชือดโทษฐานเสือกไม่เลือกที่ไว้ แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากรีบซ่อนตัว ทั้งที่รู้ว่ามันไม่มีหวัง
ตุ๊บ...
ผ้าห่มน้องเน่าของผมถูกกระชากทีเดียวกล่นตุ๊บลงบนพื้น ขณะที่ชายผู้กระทำการนั้นแสยะยิ้มบางๆมาให้ผมอย่างเป็นมิตร(?) มองผมด้วยสายตาปราณีเป็นที่สุด เพราะสีหน้ามืดทะมึนชวนขนแขนแสตนด์อัพ และทำให้สะท้านไปทั้งไขสันหลังนั้นปรากฏขึ้น ทำให้นักโทษที่เคยจ๊อกแจ๊กจอแจอยู่ในห้องขังเมื่อกี้ ต่างพากันมูนวอล์คออกไปเงียบๆ เพื่อหลบหลีกไม่ให้ตัวเองตกเป็นเป้าความซวยจากพายุพิโรธของพี่โตให้มากที่สุด...
แต่สำหรับผมแล้ว....มันหมดทางไปโดยสิ้นเชิง..
" พี่โต...." ไอ้เนมยิ้มเหย...ยิ้มหวานๆยันแกไว้ก่อน
" ครับ....ไอ้น้องเนม " อูย....ปกติไม่มีพูดครับพูดเพราะกับเขา ผมอยากฟังแทบตาย แต่พอมาได้ฟังด้วยสภาพแบบนี้แล้ว...พี่ถ่อยใส่ผมแบบเดิมก็ได้ครับ..
".....ผม...."
หมับ!
ฝ่ามือหนาของพี่โตตะปบเข้าที่กลางกระหม่อมของผมแบบเน้นๆหนักๆจนลำคอที่จะเปล่งเสียงออกมาพลันเงียบสนิท ผมมองสีหน้ามืดทะมึนของพี่โตที่รักยิ่งแล้วก็ได้แต่กลืนน้ำลายเอื้อก ด้วยความหวั่นผวาในใจอย่างที่สุด...
"....มึงรู้มั้ยว่าทำอะไรลงไป? " น้ำเสียงพี่โตเข้มจัด บ่งชัดว่ากำลังอารมณ์เสีย แถมเป็นอารมณ์เสียแบบหาทางแก้ไม่ได้ง่ายๆเสียด้วย เพราะจากที่ไม่มีอาการพาลพาโลหรือหงุดหงิดไร้เหตุผล..แต่นี่เป็นอาการโมโหแบบมีสติ...ที่ชวนให้คนโดยอย่างผมอยากเสียสติเป็นที่สุด
".....ผม....."
"............" พี่โตถอนหายใจแรง ละมืออกจากระหม่อมผมแล้วนั่งขัดสมาธิตรงหน้า พร้อมกับจ้องมองมาโดยไร้คำพูดใดๆ...
ให้มีแต่คำประณามหยามเหยียดด่าทอต่อว่าในสถานการณ์แบบนี้ มันยังจะดีกว่าความเงียบ ความนิ่ง และบรรยากาศอึมครึมที่มีมากนัก...
เพราะอย่างน้อยพี่โตต่อว่าหงุดหงิดใส่ มันยังเป็นสิ่งปกติที่ผมพบเจอและคุ้นชินมากกว่าท่าทีเงียบนิ่ง ไม่พูดจาใดๆ ซึ่งดูน่ากลัวกว่าทุกที
"....เคยคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอ? " พี่โตเปิดปากพูด สีหน้ายังคงเคร่งเครียด...จริงจัง...กับประเด็นที่ทำให้ผมนิ่งเงียบอย่างรู้ถึงความผิดของตนดี
...ก็คุยกันแล้ว ว่าขอเวลา คุยกันแล้วว่าอย่าเพิ่งยุ่งย่ามวุ่นวายกับเรื่องนี้ ...รอให้พี่โตได้จัดการทุกสิ่งให้เรียบร้อยก่อน...
....คุยกันแล้ว แต่ท้ายที่สุด...ผมก็ละเมิดคำสัญญานั้นไป..
".....ก็....." ไอ้เนมเงยหน้าขึ้นจากพื้นซีเมนต์ในห้องขัง อ้าปากจะเถียงแต่พี่โตยกมือกั้นไว้ สีหน้าเหมือนปวดหัวมากมายเสียจนผมเริ่มหน้าเหย
"....บอกว่าขอ ก็คือขอจริงๆ ทำไมถึงไม่เชื่อ ทำไมถึงไม่ฟังกันบ้าง? " พี่โตเปรยด้วยน้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจ ชวนให้ความรู้สึกผิดแล่นมาจุกคอหอย " เรื่องนี้มันใหญ่เกินกว่าอย่างเราจะเข้าไปยุ่ง....พยายามกันออกมาห่างๆเพราะกลัวจะเป็นอันตรายไป ทำไมถึงดื้อแบบนี้ หา? "
"....แต่..."
" เตือนอะไรไม่ฟัง พูดอะไรไม่เชื่อ ไม่ฟังกันแบบนี้ใช้ได้ ที่ไหน ไม่ได้จะปิดไปตลอด แต่ขอจัดการเรื่องอะไรให้มันเรียบร้อยก่อน ทำไมถึงได้ใจร้อน ชอบทำอะไรวู่วาม ที่เราทำนี่มันทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนไปด้วย รู้รึเปล่า? "
"...ก็เพราะพี่นั่นแหละ " ผมสวนขึ้นมาอย่างเหลืออดเมื่อฟังพี่โตพูดถึงสารพัดความยากลำบากของตัวเอง " ที่ผมต้องตามยุ่งวุ่นวายกับเรื่องนี้ก็เพราะพี่นั่นแหละ เพราะพี่ทำหน้าแบบนี้ไง เพราะพี่เครียดแบบนี้ไงถึงได้อยากรู้นักหนา "
".....เนม....นี่มัน..." พี่โตชะงักไปกับคำพูดของผม ทำท่าจะพูดอธิบายให้ฟังอีกครั้ง
" อย่าให้ผมพูดสาธยายว่าพี่แปลกไปยังไง ตรงไหนบ้าง มันมากจนนับไม่ไหวแล้ว พี่ไม่เคยเครียดขนาดนี้ พี่ไม่เคยหงุดหงิดอารมณ์เสียอะไรแทบทุกวันแบบนี้ พี่ทำตัวแปลกไปจนน่าห่วง...ที่ผมทำแบบนี้เพราะเป็นห่วงพี่ อยากรู้ว่าเพราะอะไรพี่ถึงต้องทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแบบนี้ เข้าใจไหม? ชัดเจนดีไหม? " ปลายนิ้วผมจิ้มจึกๆไปที่หัวคิ้วซึ่งแทบจะขมวดปมเข้าหากันของพี่โตแรงๆ อย่างนึกหมั่นไส้
"เฮ้อ...." พี่โตถอนหายใจเฮือก ฝ่ามือตวัดร่างของผมมานั่งซ้อนตัวอยู่บนตักเรียบร้อยง่ายดายรวดเร็ว ราวกับว่าไอ้เนมหนักไม่ถึงห้ากิโล "....สรุปว่าที่มึงทำแบบนี้เพราะเป็นห่วงกู "
"...ทำไมล่ะ? "สรรพนามแบบเดิมกลับมาแล้วทำให้ผมนึกเบาใจบ้างว่าพี่โตคงไม่ได้โกรธอะไรนัก
" ก็เปล่า ดีใจไง ไม่ได้เหรอ? "ปลายจมูกโด่งสันก้มลงมาหา ชนเข้ากับจมูกผมเบาๆเป็นเชิงหยอกล้อชวนให้เบาใจอยู่ในที ผมเริ่มยิ้มออก จากที่เครียดๆหวั่นๆเพราะกลัวพี่โตจะมากินหัวนานพอดู
"....แล้วบอกได้รึยัง? " ผมอ้าปากถาม...แต่นั่นเหมือนจะไปเปิดสวิชต์ความเครียดของพี่โตอีกครั้งเพราะหัวคิ้วที่คลายออกเมื่อครู่เพียงแวบเดียว กลับมาขมวดเข้าหากันอีกครั้ง
" ......วันนี้กูให้ไอ้พวกขาใหญ่แดนอื่นมาหา " พี่โตอะบายเสียงเรียบเรื่อย นัยน์ตาฉายแววครุ่นคิด จริงจัง ส่วยผมก็นั่งฟังด้วยอาการสงบนิ่ง
" ไอ้ทิน มันอุตส่าห์ย้ายไปทำงานกับแดนอื่น เพราะกูขอให้มันไป " พี่โตเอ่ยถึงพี่ทินที่ไม่ได้มาร่วมทำความสะอาดอะไรกับพวกเรานานพอดูแล้ว แม้จะนอนร่วมห้องขังเดียวกันอยู่ก็ตาม " ให้ไปคุยกับแดนอื่นเรื่องที่ป๋าจะให้ทำ...วันนี้พวกมันมาหากู เพราะกูมีเรื่องจะคุยกับมันด้วย "
"....กับไอ้เป้? " ผมเลิกคิ้วถาม อยากจะรู้นักว่าไอ้เด็กใหม่นี่มันเจ๋งมาจากไหนพี่โตถึงให้มันอยุ่ด้วยกัน
" มันเป็นคนของป๋า " คำตอบนั้นทำให้ผมพยักหน้ารับอย่างจำยอม เพราะรู้...ว่าขัดพวกข้างบนไม่ได้
"....คุยๆกันอยู่แล้วมึงก็เสือกซุ่มซ่ามให้เขาจับได้ "พูดแล้วคนทำก็ใช้ปลายนิ้วหนาบีบจมูกผมแรงๆอย่างหมั่นเขี้ยว " จะแอบดูก็ยังทำไม่ได้เรื่องเลยนะมึง รอบที่แล้วก็ทีละ ไม่เนียนเลย มึงทำแบบนี้มันไม่ดีรู้ไหม? "
"............" หมายถึงไม่ดีในแง่ไหน? ไม่ดีที่แอบดู หรือไม่ดีที่พลาดท่าให้เขาจับได้?
"......ตอนนี้กูกำลังถูกเพ่งเล็ง " พี่โตถอนหายใจเฮือก แล้วพูดออกมา "ถูกเพ่งเล็งว่าคุมคนไม่ค่อยจะอยุ่ ถูกมองว่าเริ่มขึ้นสนิม ไร้น้ำยา อะไรก็ว่าไป "คำพูดนั้นให้นึกถึงตอนที่ผมได้ยินพี่โตกับไอ้เป้คุยเรื่องประสิทธิภาพการทำงานของขาใหญ่แแห่งแดนสิบสองนั่นเอง
" แล้วมึงลองคิดดูนะ ไอ้เนม ลองคิดดูด้วยมันสมองของคนฉลาดอย่างมึงน่ะ...ว่ากูโดนจ้องเล่นงานเรื่องคุมคนไม่ได้อยู่ แล้วพอกูเริ่มสั่งการคนนั้นคนนี้ให้ทำงาน กลับมีใครสักคนฝ่าฝืนคำสั่งมาแอบมองชาวบ้านเขาคุยกัน กูจะถูกมองยังไง หือ? "
"....เรื่องนั้น..." ผมได้แต่พึมพัมเสียงอ่อย แม้จะนึกคัดค้านในใจว่าคนที่ไม่เคยสนใว่าใครจะมองยังไงอย่างพี่โต จะกลัวด้วยหรือกะอีแค่สายตาของคนภายนอกที่มองว่าตัวเองเป็นแบบนั้นแบบนี้
" ถึงปกติกูตจะไม่สนว่าใครพูดยังไง แต่เนม....ตอนนี้เรามีเรื่องใหญ่ต้องทำ ความเชื่อมั่น ความเเข็งแกร่งที่แสดงออกไปน่ะมันจะทำให้เราได้พรรคพวกได้ความเชื่อใจเคารพนับถือได้ง่ายที่สุด...แล้วยังจากสายตาคนของไอ้ป๋า ..." พี่โตถอนหายใจพรูเมื่อพูดถึงไอ้เป้ " กูเลยต้องทำทุกอย่างให้พวกมันเชื่อและไว้ใจ มองว่ากูเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด...ให้พวกมันมองแบบนี้ให้"มากที่สุด" เข้าใจไหม? ไม่ใช่ว่าเมื่อก่อนนะมากกว่านี้หรือตอนนี้จะน้อยลงไป แต่เพราะกูต้องการมากที่สุด...กูเลยต้องทำให้พวกมันเห็นว่ากูแกร่งมากที่สุด....แล้วมึงมาทำแบบนี้...เฮ้อ....."
"........." ไอ้เนมได้แต่นิ่งงัน เพราะเพิ่งรู้ ว่าผมการกระทำของตัวเองมัน....ส่งผลมาแบบไหน
" เพราะงั้นจากนี้......"
" เดี๋ยวสิ ! "ผมร้องเบรคเมื่อพี่โตจะเข้ารายการสั่งโดยไม่สนอะไรอีกแล้ว " แล้วเรื่องนี้ล่ะ ตกลงจะเล่าให้ฟังไหมว่าพี่จะทำอะไร? จะเกิดอะไรขึ้น ?ผมจะได้ทำตัวถูกไง "
โตฟังแล้วนิ่ง เขาขมวดคิ้วจ้องมองสีหน้าและแววตาหมายมาดจากเจ้าตัวน้อยเบื้องหน้า จะบอกไปจริงๆว่าเกิดอะไรขึ้น จะบอกไป...แล้วมันจะทำตัวได้ถูกแน่เหรอ?
บอกว่าจะวางแผนทำอะไร แล้วมันจะยิ้ม...แล้วบอกว่าผมจะช่วย ผมจะเอาใจช่วย ผมจะไม่กวน อะไรแบบนั้นหรือไง?
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาและจากเรื่องที่ทำ มันบ่งชัดว่าเป็นไปไม่ได้...
เรื่องที่ถ้าเลี่ยงได้เขายังไม่อยากจะทำ แล้วนับประสาอะไรกับมัน..
".....ไม่ได้....เล่าไม่ได้หรอก " คำปฏิเสธนั้นทำให้ผมหน้านิ่วอย่างไม่เข้าใจ และ ไม่พอใจ...
" ทำไม? " ผมถามเสียงแข็ง ขมวดคิ้วแน่น..
" แค่นี้มึงยังยุ่งจนเกิดเรื่อง ถ้ามึงรู้กูเดาไม่ออกว่าผลมันจะออกมายังไง " โตเอื้อมมือจับไหล่ผอมบางทั้งสองข้างไว้แน่น สีหน้าเคร่งขรึม "ไม่ใช่ไม่พอใจ ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ แต่ว่านี่มันเป็นเรื่องใหญ่ กูต้องการคนมากแค่ไหน กูต้องการความสำเร็จของแผนนี้มากแค่ไหน กูก็ต้องกันมึงออกจากแผนให้ได้มากที่สุด ไม่ใช่เพราะมึงเป็นตัวยุ่ง ไม่ใช่เพราะมึงไม่มีปัญญาจะทำอะไรตามที่สั่ง....แต่เป็นเพราะเรี่องที่กำลังทำอยู่มันไม่ใช่เรื่องดี กูไม่อยากให้มึงมาพัวพันกับเรื่องแย่ๆ เข้าใจไหม? "
" แต่...." ใช่จะไม่เข้าใจ ไม่ใช่จไม่รู้ว่าเรื่องที่ป๋าให้พี่โตแต่ละอย่างไม่ใช่อะไรที่เรียกได้ว่าดีเอาเสียเลย แต่ว่า ผมก็ยัง...
" ....กูขอ นะ....เนม " พี่โตเอื้อมมือลูบหัวผมเบาๆ ขณะที่สายตาก็จ้องมองมาอย่างไม่หลบ " อย่าพยายามสืบ อย่าพยายามตามหาเรื่องที่กูจะทำ...เรื่องนี้กูขอ กูสัญญาว่าจะเล่าให้ฟังทุกๆอย่างเมื่อมันจบลงแล้ว...ได้ไหม? "
"......."
" สัญญา...ได้ไหม? " ทั้งดวงตาคู่นั้นที่มองมา ทั้งคำพูดที่ไม่ต่างจากคำอ้อนวอน และปลายนิ้ว...ที่ยืนมาหาราวกับจะขอคำมั่น...ทำให้ผมหน้าเสีย...
....หัวใจที่หนักอึ้งกำลังครุ่นคิดอย่างหนักว่าระหว่างจะอยู่เงียบๆไม่รู้ไม่เห็นอะไร หรือจะพยายามเข้าไปยุ่งย่ามวุ่นวายกับเรื่องรู้แล้วปวดหัว..ไม่ต่างกับพี่โต จะเลือกทางไหน..
....จะยอมโง่ไม่รู้อะไรเลยแล้วอยู่อย่างสบายใจ หรือว่าจะกระโดดลงไปคลุกคลีกับปัญหานี้ และต้องเครียดต้องคิดมากอย่างที่พี่โตเป็น...
จะเลือกทางไหน?
"...พี่ต้องเล่าให้ฟังนะ...." ผมถามเสียงอ่อย พยายามต่อรอง..พยายามคาดคั้นเอาคำมั่น...ทั้งที่รู้ว่าไม่เป็นผล
"...อืม...ทุกอย่าง จะบอกทุกอย่าง...สัญญา..."โตรับคำ แม้จะนึกต่อในใจ ว่าถ้าหาก...เจ้าตัวไม่ได้โกรธเขาไปเสียก่อน...
...และ...หากเขาได้มีโอกาสมาคุยด้วย มีโอกาสจะกลับมางอนง้อหรือดุใส่เหมือนเดิม...
.....ถ้ารอดพ้นจากเรื่องนี้มาได้ ยังไง ก็จะเล่าให้ฟังทุกอย่าง จะบอกทุกสิ่ง จะไม่ปิดบังอะไรอีกแล้ว...
"...ก็ได้...." ที่สุดแล้วผมก็พยักหน้า หลับตาลงและยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวกับปลายนิ้วของพี่โตไว้ ใบหน้าซบลงกับไหล่หนาพยักหน้าหงึกๆอยู่แบบนั้น
...จะยอมโง่ก็ได้ ถ้าพี่ขอ
จะยอมไม่รู้ก็ได้...ถ้า.....ถ้าพี่ต้องการแบบนั้น...
" แล้วอีกอย่าง..." คำเกริ่นเบาๆราวกับไม่แน่ใจอะไรสักอย่างทำให้ผมขมวดคิ้วน้อยๆ เงยหน้ามาจากไหล่อุ่นๆของพี่โต มองปลายคางสากที่อยู่ไม่ห่างมากนัก...แล้วขมวดคิ้ว..
" ครับ? "
" ตั้งแต่พรุ่งนี้...ออกไปทำงานกับกลุ่มของไอ้วิทย์นะ "
"พี่โต...? "ผมครางในลำคอด้วยความงวยงง ขณะมองใบหน้าของขาใหญ่แห่งแดนสิบสองด้วยแววตาไม่เข้าใจ หากแต่พี่โตเบือนหน้าหนี ไม่ยอมสบตา...
ทำไม...ถึงต้องให้ผมไป?
...............................
".....เอาต้นนี้ขยับไปทางโน้นสิ...เออ...ใช่แล้ว ตรงนั้นนั่นล่ะ " เสียงสั่งการของพี่วิทย์ดังอยู่เหนือศรีษะของตัวเอง ขณะที่แดดร้อนเปรี้ยง
"...เนม มึงขยับมันไปอีกนิด จะได้ใส่ได้เยอะๆ " ผมขยับถุงเพาะชำสีดำที่ปักกิ่งของต้นไม้ไว้เรียงในกระบะไม้ ให้ชิดกันยิ่งขึ้น ฝ่ามือเปื้อนดินด่างสีดำไปทั่ว หยาดหงื่อหยดไหลลงมาที่ลำคอ
" เออๆ พอละ มึงลุกมาก่อน...." สิ้นคำสั่งการ ผมก็รีบผุดลุกขึ้นจากพื้นทันควัน แอบน้ามืดนิดๆเพราะลุกเร็วขึ้น ก่อนจะรีบเดินไปหาน้ำเย็นๆที่อยุ่ในกระติกสีแดง ตามองหยีฝ่าเปลวแดดร้อนระอุไปยังที่ร่มไม้มะม่วงที่ดูจะไกลเหลือเนในความรู้สึก
" เอ๊า....นั่งดีๆ...." พี่วิทย์รุนไหล่ผมเบาๆให้ทรุดกายลงไม่ห่างจากตัว แดดที่ร้อนเปรี้ยงเบาบางลงบ้างเพราะกระชังสีเขียวที่ปูอยู่บนโครงไม้ของเรือนเพาะชำช่วยบังแสงแดดให้ แต่ถ้าเทียบกับร่ไม้แล้ว มันก็ยังร้อนอยู่ดี...
" หึ...ไงล่ะมึง เด็กพี่โตอยู่กลุ่มโน้นก็สบาย มาอยู่กลุ่มกูเหงื่อแตกเลยเห็นไหมล่ะ " พี่วิทย์สัพยอกใส่พลางหัวเราะหึๆ ทำเอาผมหน้ามุ่ย ไอ้แนมเเบะปากใส่คนพูดแล้วไหวไหล
" ทั้งที่ผมไม่ต้องทำก็ได้... "เพราะผมเล่นดนตรีเลยได้อภิสิทธิ์พิเศษไง หึ "นี่แค่มาช่วยหรอก "
" เหอะ อย่ามาอวดเก่ง ให้ทำก็ต้องทำสิ " คนพูดตีไหล่ผมเบาๆเชิงหยอกล้อ สายตากวาดมองทั่วบริเวณที่มีกลุ่มของตัวเองประมาณยี่สิบกว่าคนกำลังจัดการขนย้ายต้นไม้และปักชำกิ่งต้นไม้หลายต้นใส่ในถุงเพราะกันอยู่อย่างเเข็งขัน
"ว่าแต่....ทำไมไอ้โตถึงให้มึงมาอยู่กับกูล่ะ? "คำถามนั้นทำให้ผมเบ้หน้า....ก็อยากรู้เหมือนกันล่ะ
" ไม่รู้สิ คงเพราะอยากลงโทษมั้งที่เสือกไม่เข้าที่ " ผมว่าพลางคิดถึงเมื่อวานที่ออกปากถามหาเหตุผล พี่โตแค่บอกว่าเพราะกลุ่มของตัวเองต้องทำเรื่องที่ป๋าสั่งโดยตรง ผมที่สัญญาว่าจะไม่ยุ่งน่ะ เห็นแบบนั้นแล้วต่อมอยากรู้มันจะทำงานเสียเปล่าๆ ให้มาอยู่กับพี่วิทย์นี่แหละดีแล้ว...อะไรแบบนั้น
ฟังผมพูดแล้วพี่วิทย์หันมามอง หัวเราะหึๆ ฝ่ามือตะปบเข้าที่ไหล่ผมแล้วออกแรงผลักเบาๆอย่างหยอกเย้า
" วันนั้นน่ะเหรอ? ก็สมแล้ว ทำเสียเรื่องหมด ไอ้พวกนั้นก็นักโทษคนละแดน พวกมันได้ไม่เชื่องกันพอดี " ว่าเหมือนพี่โตเป๊ะ....ผมฟังแล้วก็ได้แต่เบือนหน้าหนีอย่างเหนื่อยหน่าย
"...แล้วเมฆล่ะ? " คำถามของผมทำให้คนข้างกายนิ่งไปทันควัน จนต้องหันไปมองอย่างงๆ เพราะปกติ ถึงเมฆมันจะไม่ได้อยู่กลุ่มกับพี่วิทย์ แต่มันก็จะไปๆมาๆเสมอ และไม่มีใครว่ามันด้วย เพราะนี่ก็แฟน ส่วนกลุ่มที่มันอยู่ด้วยก็พี่กันย์ที่ทั้งรักทั้งหลงมันเสียจนโงหัวไม่ขึ้น..
" มันไม่มาแล้วล่ะ " พี่วิทย์ยิ้มออกมาอย่างเศร้าๆพลางถอนหายใจแผ่วเบา แต่ใจความนั้นทำให้ผมนิ่ง...
" ทำไม? " ขมวดคิ้วถามออกไปเพราะไม่เข้าใจจจริงๆ ก็ปกติเมฆมันทั้งรักทั้งหวงพี่วิทย์อย่างกับอะไรดี แล้วทำไมถึงไม่มา หรือมันเกิดอะไรขึ้น
" .....ตอนนี้เหมือนจะย้ายคนเพื่อความสมดุลล่ะมั้ง ไอ้เป้ก็ไปอยู่กลุ่มไอ้โต มึงมาอยู่นี่ ใช่มั้ยล่ะคนก็เฉลี่ยนกันจะได้พอดีๆ ไม่มีใครลำเอียงมากไปน้อยไป ฮ่ะๆ..." ไอ้ที่พูดมาไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเมฆมันตรงไหน แถมพี่วิทย์ยังจงใจจะไม่เอ่ยถึงเสียด้วย นั่นทำให้ผมยิ่งขมวดคิ้วแน่น...ไม่อาจจะเข้าใจได้เลย
"......แล้วเมฆ...."
"....มันไม่มาแล้ว รู้แค่นั้นก็พอ " พี่วิทย์ตัดบทสั้นๆไม่บอกอะไรอีก นัยน์ตาคู่นั้นยังเสหลบเสียด้วย....
" พี่ทะเลาะกับมัน " นี่เป็นเรื่องเดียวที่ผมคิดออก
" เปล่า....พอได้แล้วเนม มึงไม่ต้องถามแล้ว เซ้าซี้มากต่อให้เป็นเด็กไอ้โตกูก็กล้ากระทืบมึงนะ "นัยน์ตาคู่นั้นเริ่มขวางๆใส่พร้อมกับคำขุ่ชัดเจนทำให้ผมต้องยอมแพ้ แม้จะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แม้จะอยากรู้แค่ไหน แต่พอเจอแบบนี้ก็ขอเงียบเพื่อความปลอดภัยของตัวเองดีกว่า
"....อ้าว..เมฆ ..."
" นี่ กูบอกว่าไม่ต้องถา....." พี่วิทย์ที่กำลังจะหันมาดูผมชะงักไปเมื่อมองเห็นว่า คนที่ผมออกปากพูดถึงและทักทายไปเมื่อครู่เดินมาใกล้ตรงนี้เงียบๆ ผมมองหน้าเมฆที่ก้มหน้าต่ำ สีหน้าเหมือนจะร้องไห้และก้ำกึ่งกับความสิ้นหวัง กับสีหน้าของพี่วิทย์ยามมองไปที่มันด้วยแววตาปวดร้าว หากใบหน้าขึงตึง แปลกตา...
...คงไม่พ้นมีเรื่องกันอีกแน่..
สรุปไว้ในใจแบบนั้นแล้วผมก็ขยับตัวลุกจากที่นั่งของตัวเองไปสังเกตุการณ์ห่างๆ แม้นักโทษที่อยู่ในเรือนเพราะชำจะไม่มีท่าทีสนใจทั้งสองคน ราวกับเห็นว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นปกติ แต่ผมก็แอบเห็นนะ ว่าหลายคนแอบๆมองเหมือนจะอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก นี่คงจะแสดงความสนใจอย่างออกนอกหน้าไปแล้ว ถ้าไม่โดนพี่วิทย์ห้ามไว้หรือกลัวจะเจอตีนอะไรซักอย่าง...
" มีอะไร? "เพราะต่างยืนนิ่งอยู่กลางแดดแบบนั้นไม่มีอะไรคืบหน้า พี่วิทย์จึงถอนหายใจเฮือก เอ่ยปากถามออกไปสั้นๆ
" ผม....." เมฆพึมพัมอะไรเบาๆในลำคอ...เงยหน้ามามองหน้าพี่วิทย์ด้วยนัยน์ตาที่แดงก่ำจนน่าสงสาร...ผมเห็นพี่วิทย์จ้องมันแล้วหรี่ตาลงน้อยๆ
"....ไปทำอะไรมา ทำไมตาแดงแบบนั้น นอนไม่หลับรึยังไง? "ถ้อยคำถามไถ่ปกติ ไม่ต่างอะไรกับที่เคยผ่านมา เพียงแต่ว่าพี่วิทย์ไม่ได้ขยับไปใกล้ ก็เท่านั้น
".....อืม....." เมฆพยักหน้ารับเบาๆ สีหน้าเเช่มชื่นขึ้นเมื่อพี่วิทย์ออกปากถามอย่างห่วงใย มันเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้พี่วิทย์ แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อพบว่ารายนั้นเสไปมองอย่างอื่นแทนเสียแล้ว
"...ไปขอยาจากพี่มึงสิ....ตรงนี้ไม่มีหรอกนะ " พี่วิทย์ถอนใจอีกเฮือก
"....พี่...ผมไม่ได้..... " ไม่รู้คำพูดนั้นมันไปกดสวิชต์อะไรตรงไหนของเมฆเข้า มันถึงแบะปากสีหน้าจะร้องไห้เต็มทน ผมเห็นมันยืนตัวสั่นเหมือนลังเลแล้วก้าวยาวๆมาหาพี่วิทย์ด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวราวกับจะร้องไห้อยู่รำไร...
" อย่าน่า.....ปล่อย....." พี่วิทย์เอื้อมมือกำแขนเมฆไว้ไม่ให้มันเข้ามากอด และเบือนหน้าหนีไปทางอื่นไม่ยอมสบตาเสียด้วยซ้ำ
" พี่วิทย์... " เมฆมันหน้าเบ้ น้ำตาจะไหลอยู่รอมร่อ ดูน่าสงสารจนผมเห็นแล้วยังใจอ่อน
".....เดี๋ยวพี่มึงก็มาหา....เอ้อ....ไม่สิ เดี๋ยวแฟนมึงก็มาตาม....จะยุ่ง..." พี่วิทย์มีสีหน้าเศร้าหมองเมื่อเอ่ยคำนั้นออกมา แต่ก็ยังออกแรงผลักเมฆให้ห่างจากตัวไผอย่างอดทน " อย่ามาหากูอีก ถ้าไม่จำเป็น.....เดี๋ยวมันจะไม่พอใจ กูไม่อยากยุ่ง "
" ทำไมพี่ไม่อยากยุ่งล่ะ กูไม่ได้เป็นอะไรกับพี่กันย์....ทำไมไม่ฟังกันบ้าง "คราวนี้เมฆมันร้องไห้ออกมาจริงๆแล้ว สะอึกสะอื้นออกมาไม่สนใจผู้คนที่ยืนตาค้างจ้องมองนักโทษชายสองคนที่กำลังยืนคุยกันกลางแดดจ้าเลยสักนิด
"....พอแล้ว...มึงกลับไปได้แล้ว " พี่วิทย์ถอนใจอีกเฮือก ไม่มองหน้าไม่สบตา บ่งชัดว่าไม่อยากจะฟังเรื่องนี้อีก
" ทำไมไม่เชื่อกู พี่วิทย์ ทำ....." เมฆส่ายหน้ามือพยายามจิกแขนพี่วิทย์แน่นไม่ยอมผละห่าง สีหน้าอ้อนวอนชวนสงสารยังคงมองไปที่พี่วิทย์อย่างไม่สดละ...แต่เสียดายอย่างเดียว ที่พี่วิทย์ไม่ยอมสบตาด้วย ก็เท่านั้น
" กูบอกให้ไปไง...เมฆ....ไปได้แล้ว มีคนมาตามมึงแล้ว " คำพูดนั้นทำให้ผมสังเกตเห็นร่างของพี่กันย์ที่เดินก้าวยาวๆมาด้วยท่าทีเร่งร้อน ยิ่งฝ่ายนั้นเข้ามาใกล้พี่วิทย์ก็ยิ่งพยายามดึงมือเมฆออกจากแขนตัวเองและผลักมันออกไปอย่างยากเย็น
" เมฆ ! ผุ้คุมมาเช็คชื่อแล้ว ไป...ไปกัน " พี่กันย์เดินมาคว้าแขนเมฆอีกคำรบ พยายามดึงมันออกจากพี่วิทย์ แต่ไอ้เมฆมันดื้อน่าดูถึงได้ไม่ยอมปล่อยเสียที
"....ไม่เอา ปล่อย....กูไม่ไป......ปล่อย... " เมฆพยายามดิ้นหนีมือก็ดึงแขนพี่วิทย์ไว้จนเกิดรอยเล็บชัดเจน
"....ไปเถอะเมฆ....มึงหยุดดิ้นทีได้ไหม กูจะได้เอาเมฆออกไป ! " ประโยคหลังพี่กันย์กันไปว่าให้พี่วิทย์ที่ยืนนิ่งอยู่ ผมมองเห้นสีหน้าเครียดขึงของคนถูกด่า ที่เหมือนว่าความอดทนจะน้อยลงทุกที ทุกที....จวนระเบิด...
ผลั่วะ !!
" พอกันที จะไปไหนก็ไป พวกมึงสองคน !! " พี่วิทย์ออกปรงผลักเมฆให้ถอยหลังแล้วซัดกำปั้นใส่พี่กันย์เสียเต็มหน้าผลั่วใหญ่ " กูเหลือจะอดแล้วนะ ดูกันไม่ได้คุมกันไม่ได้ปล่อยให้มาหากูเองแล้วยังจะมาโวยวายใส่กู กูบอกให้ไปก็ไม่ไป มึงจะมายุ่งวุ่นวายอะไรกับกูอีก !! "
" พี่.....ผม ..." เมฆมีสีหน้าเหวอๆเมื่อพี่วิทย์โมโหฟิวส์ขาดใส่ตัวเองไปด้วย
" จะทำเหี้ยอะไรกันก็เรื่องของพวกมึง กูบอกไม่ยุ่งแล้วมายุ่งกับกูทำไม ออกไป....ไปไกลๆกูเดี๋ยวนี้!! "ว่าแล้วพี่ท่านก็หันไปคว้าจอบอันเขื่องที่นักโทษกำลังใช้ขุดดินมาเพาะต้นไม้ ลากออกมาง้างใส่ทำท่าจะไล่เฉาะกบาลพี่กันย์ให้สมองไหลด้วยสีหน้าทะมึน ร้อนถึงพวกลูกน้องต้องไปช่วยดึงไม่ให้อาละวาดขึ้นมา ขณะที่ผู้คุมวิ่งปรี่เข้ามาหา เป่านกหวีดเสียงดังลั่น...
โอ้ยยยยย นี่มันอะไรกันว่ะเนี่ย !!
"กูว่าแล้ว " เสียงนักโทษรายหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆผมบ่นออกมาพลางส่ายหัว ทำให้ไอ้เนมละออกจากภาพการวิวาทอันน่าปวดหัวนี้ได้ในที่สุด
" อะไรพี่ " ไอ้เนมหันไปถามงงๆ อยากรู้เหมือนกันว่าเรื่องมันมาแต่ไหน
" ตั้งแต่เมื่อวานละ....พี่วิทย์แม่งเลิกกับไอ้เมฆแล้วมั้ง ไอ้หมอกันย์มันมาเสียบแทน "รายนั้นว่าแล้วยักไหล่ " แต่เหมือนไอ้เมฆมันตัดใจไม่ได้ เผลอแป๊ปๆทำไรอยู่ก็จะมาป้วนเปี้ยนขอคุยด้วย ...มันนอนห้องเดียวกับพี่วิทย์อยู่นี่...ถึงขนาดสั่งย้ายที่เลย..." อื้อหือ ฟังวรีกรรมที่เกิดขึ้นแล้วชวนปวดขมับยิ่งนัก
"แล้วนี่..." ผมเกริ่นถามถึงเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นนี้อย่างวยงง
" ก็พอไอ้เมฆมา สักพักไอ้กันย์ก็ตามมา แล้วก็ทะเลาะกันอย่างที่เห็น กูว่าแล้วไม่นานพี่วิทย์แม่งได้ประสาทแดกคว้าอะไรมาเขวี้ยงใส่พวกมันแน่ๆ...เหอะ...ก็นี่ไง " นักโทษรายนั้นหัวเราะหึๆ ด้วยสีหน้าขบขันปนสะใจ ส่วนผมได้แต่ยิ้มเหยด้วยความแขยง นึกดีใจที่ตัวเองไม่ได้มีเรื่องรักสามเศร้าในเรือนจำเหมือนใครเขาให้ปวดหัว...ถึงจะมีกรณีคนที่รออยุ่ข้างนอกก็เถอะ แต่ดูเหมือนตัวผมจะสุขใจกว่าแบบนี้นัก...
" เลิกกันเพราะอะไร? "ผมถามหลับ ด้วยความงวยงงไม่น้อย เพราะที่ผ่านมาสองคนนี้ก็เหมือนจะรักกันดี แล้วทำไมถึงได้...เลิก
" ไม่รู้ พี่วิทย์เบื่อมั้ง" ว่าแล้วนักโทษรายนั้นก็ลุกออกไป ผมเท้าคางมองภาพการสะสางการวิวาทของผู้คุมที่ทำให้โดนกันถ้วนหน้าแล้วโคลงหัวงงๆ...รู้แน่ว่าไม่ใช่เพราะพี่วิทย์เบื่อ แต่เหตุผลที่เลิกกัน คงไม่พ้นเรื่องพี่วิทย์กับพี่กันย์ความแตกแล้วแหงๆ..
ไม่รู้จะสงสารใคร ไม่รู้จะสมน้ำหน้าใครดีเรื่องนี้..
ผมถอนหายใจเฮือก มองสามคนที่ถูกกันให้แยกทางไปคนละทางแล้วก็ได้แต่นึกปลงสังเวช..
ความรัก...ไม่ว่าเมื่อไหร่ ไม่ว่ากับใคร ผิดหวังแล้ว มันก็เจ็บได้ทั้งนั้น...
กระทั่งตัวผมเอง ก็ต้องเตรียมตัวไว้ เช่นกัน..
..................................
ไม่มีพี่โตลงโทษเนม

เหมือนหลายคนคิดว่าจะมี หุหุ หื่นนะเนี่ย บางทีก็ต้องคุยกันดีๆบ้าง แอบมีหวานนะตอนนี้...
ส่วนสามผี..เอิ่ม พี่วิทย์หมาบ้า รู้สึกเหมือนกลับเป็นพี่วิทย์ตอนเริ่มเรื่องเลย แอบสะใจกันย์โดนจอบจะพุ่งใส่ ค

และที่จริงพี่โตให้เนมออกมาจากกลุ่มทำไมนั้น...โปรดติดตามตอนต่อไปค่า

ปล.
แง้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หนังสือหมดสต็อกอ่ะ 
พี่ปุ้ยมีรีปริ้นท์อีกมั้ยครับ อยากได้ของแถมอ่ะครับ 
ตอบข้าน้อยด่วนๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ 
เรื่องหนังสือปุ้ยรีปริ้นกับทางร้านค่ะ ตอนนี้หมดแล้ว ถ้ารีปริ้นอีกรอบแล้วจะบอกนะค่ะ