#*#*# Beats of Life.......
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: #*#*# Beats of Life.......  (อ่าน 104844 ครั้ง)

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
#*#*# Beats of Life.......
« เมื่อ09-11-2009 15:17:00 »

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามโพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสมและเกิดความขัดแย้ง
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


*****************

สวัสดีอย่างเป็นทางการทุกท่านนะคะ ทั้งที่เคยติดตามอ่านนิยายเรื่องแรกของเรา "เพลงรัก" ที่ถูกนำมาโพสต์ผ่านคุณนาเมฮ์ และที่ไม่เคย ในที่สุดเราก็สมัครสมาชิกแล้วค่ะ เพื่อความสะดวกในการนำนิยายมาโพสต์รวมถึงเพื่อที่จะได้ไม่ต้องรบกวนคุณนาเมฮ์ที่คอยเป็นธุระกับนิยายเรื่องที่แล้วมาตลอดนั่นเองค่ะ ก็ต้องขอฝากตัวกับทุกท่านด้วยนะคะ

สำหรับคนที่เคยติดตามอ่านนิยายเรื่อง "เพลงรัก" ของเราไปแล้วจนจบ จำได้ว่าเคยฝากคุณนาเมฮ์โพสต์ไปว่า นิยายเรื่องต่อไปนั้นน่าจะเป็นที่ถูกใจของสาวก "ยุนแจ" แห่ง ทงบังชิงกิอยู่ไม่น้อย เนื่องจากนิยายเรื่อง "Beats of Life" นี้ได้รับแรงบันดาลใจมากจากน้องๆวงนี้นั่นเองค่ะ อย่างไรก็ตาม เราได้มีการเปลี่ยนแปลงชื่อ และบริบทเสียใหม่เพื่อให้สะดวกและสมจริงในการดำเนินเรื่อง เนื่องจากเราไม่คุ้นชินกับวัฒนธรรมของเกาหลี จึงไม่อาจจะหาญกล้า เขียนถึงเรื่องราวของยุนและแจได้จริงๆ ตัวเอกของเรื่องจึงกลายเป็น โย และ เจ แทนค่ะ แต่รับรองว่า อ่านแล้วจะไม่สะดุดแต่อย่างใด และหวังใจอย่างยิ่งว่า แฟนๆหลายคนคงจะชอบกันบ้างไม่มากก็น้อยล่ะนะคะ

เรื่องราวในคราวนี้ก็ยังคงวนเวียนอยู่กับเสียงเพลง ซึ่งเป็นทางถนัดของเราเช่นเคย ใครที่ได้อ่านนิยายเรื่องที่แล้วไป จะมีการหยิบยืมตัวละครจากเรื่องที่แล้วมาใช้ด้วยนิดหน่อยนะคะ แต่จะเป็นใคร อยากให้ติดตามกันดูค่ะ

โพสต์ครั้งแรก ถือว่าเป็นการแนะนำตัว และเกริ่นนำนิยาย อีกสักพักจะนำนิยายมาทะยอยลงให้ได้อ่านกันแน่นอนค่ะ

ยินดีที่ได้รู้จัก และหวังใจอย่างยิ่งค่ะว่านิยายเรื่องนี้จะเป็นที่ชื่นชอบไม่แพ้ "เพลงรัก" ขอฝาก "Beats of Life" เอาไว้ด้วยนะคะ

ขอบคุณมากค่ะ

*** ขออนุญาตแก้ไขคำห้อยท้ายของชื่อเรื่อง เพื่อลดความรุงรังของหัวข้อ  แต่หากผู้แต่งมีเรื่องแจ้งเพิ่มเติม ก็สามารถแก้ไขชื่อเรื่องได้ตามปกติค่ะ
 ทิพย์โมบอร์ดนิยาย

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-09-2010 08:14:04 โดย THIP »

ออฟไลน์ bigbeeboom

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 381
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
เป็นกำลังใจ และติดตามอ่านแน่นอนจ้า

ติดใจมาตั้งแต่เพลงรักแล้ว ชอบมากจ้า สู้ๆนะ  o13

Sakana2yunjae

  • บุคคลทั่วไป
มาเป็นกำลังให้อีกคนคะ แล้วจะรอนะคะพี่ นิ้วไขว้

ออฟไลน์ earlgrey

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
กรี๊ดดดด วิ่งเข้ามาปูเสื่อรอพี่ินิ้วไขว้ ตายแล้วเค้าพลาดเรื่องที่แล้วไปได้ไงเนี่ย

เดี๋ยวต้องไปตามอ่านก่อน บุพเพอาละวาดได้เจอพี่ินิ้วไขว้หลายบอร์ด กร๊ากกก

แวะส่งดอกไม้เป็นกำลังใจก่อนเลยค่ะ  :L2:

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
ดีใจที่จะได้อ่านเรื่องใหม่ของคุณนิ้วอีกค่ะ เรื่องที่แล้วสนุกมากค่ะ :L2:

ออฟไลน์ panpan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 366
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
 :pig2:ยินดีต้อนรับสู่เล้าจ้า

OT

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ iota

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +83/-2
 :L2:ส่งมาเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้ครับ

taem2love

  • บุคคลทั่วไป
มาปูเสื่อจองพื้นที่รอด้วยคน

เพราะประทับใจจากเพลงรักมาแล้ว

จึงรออย่างใจจดใจจ่อ

MaeMoo

  • บุคคลทั่วไป
สวัสดีค่ะ คุณนิ้วไขว้

ดีใจจังที่จะได้อ่านนิยายเรื่องใหม่จากคุณนิ้วไขว้
ประทับใจกับเพลงรักมาก เมื่อวานก็เพิ่งอ่านหนังสือจบเป็นรอบที่ 2

เป็นกำลังใจให้นะคะ เรื่องนี้ต้องสนุกแน่เลย

 :mc4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
Beats of Life: บทที่ 1
«ตอบ #10 เมื่อ10-11-2009 10:01:22 »

บทที่ 1

เด็กหนุ่มนอนหอบหายใจอยู่บนพื้นที่ปูเอาไว้ด้วยวัสดุอย่างดี เหมาะกับการใช้เป็นสตูดิโอหรือห้องซ้อมที่เหล่านักร้องฝึกหัดเรียกกันจนติดปาก เขานอนแผ่ลงไปบนพื้นอย่างไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เพราะการซ้อมเต้นติดต่อกันเป็นระยะเวลาสองชั่วโมงชนิดที่แทบไม่มีเวลาได้หยุดพัก ทำเอาหมดเรี่ยวแรงไปโข ดวงตากลมโตอันเป็นเอกลักษณ์ที่ชวนดึงดูดใจปิดลงอย่างเหนื่อยอ่อน ริมฝีปากรั้นๆแต่ได้รูปของเขาเผยอออกเล็กน้อยเพื่อที่จะสูดลมหายใจได้อย่างเต็มปอด เหงื่อกาฬไหลจนชุ่มกายไปหมด เครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำที่เปิดอยู่แทบจะไม่ได้ช่วยอะไรเลยในยามนี้

ไม่รู้ว่าเขาหลับตานอนนิ่งแบบนั้นอยู่นานเท่าไหร่เหมือนกัน ก่อนที่จะพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ และเอื้อมมือข้างหนึ่งหยิบผ้าขนหนูที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นซับใบหน้าอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก เขาลุกขึ้นนั่งพลางมองไปรอบๆ ไม่แปลกใจที่ได้เห็นว่าแต่ละคนมีสภาพไม่ต่างอะไรจากตัวเองสักกี่มากน้อย ผมดำสนิทที่เริ่มจะยาวขึ้นมากแล้วกระจายยุ่งอยู่ได้ไม่นานก็กลับเป็นทรงอีกครั้งเพียงแค่เขายกมือขึ้นปัดอย่างลวกๆ

“เหนื่อยจัง” เจ้าตัวบ่นกับตัวเองมากกว่าจะตั้งใจเจาะจงพูดกับใครเป็นพิเศษ เมื่อวานงานพิเศษที่ร้านอาหารที่เขาทำอยู่เป็นประจำยุ่งกว่าปกติ เพราะเป็นช่วงปลายเดือนพอดี จากที่ควรจะต้องเลิกห้าทุ่มเหมือนอย่างทุกที เจ้าของร้านถึงกับต้องออกปากขอให้พนักงานหลายๆคนอยู่ช่วยทำงานล่วงเวลากันต่ออีกเป็นชั่วโมง ผู้ช่วยพ่อครัวอย่างเขาจึงต้องทำทุกอย่างตั้งแต่เรื่องของในครัวไปจนถึงออกมาช่วยเสิร์ฟ แถมวันนี้ยังมีคลาสแดนซ์ตั้งแต่เช้า เรียกได้ว่า นอนยังไม่ทันจะเต็มตาก็ต้องตื่นขึ้นมาเรียนอีกแล้ว

“อ่ะนี่ น้ำ” เด็กหนุ่มอีกคนที่รูปร่างสูงใหญ่กว่าในชุดซ้อมเต้นที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อไม่แพ้กัน ยื่นขวดน้ำเย็นให้กับเขา

“ขอบใจนะ” ก่อนจะคว้ามาจิบอย่างกระหาย

“นายดูเหนื่อยๆนะเจวันนี้ มีอะไรหรือเปล่า” ร่างนั้นเอ่ยขึ้นหลังจากที่นั่งลงบนพื้นข้างๆกัน

เด็กหนุ่มที่ชื่อเจส่ายหน้าเบาๆ ราวกับจะบอกว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก ก่อนจะจิบน้ำเย็นจากขวดนั้นให้ชื่นใจอีกครั้ง

“แค่งานพิเศษมันยุ่งกว่าทุกคืนน่ะ”

“นี่นายทำอะไรเกินเด็กอายุสิบเจ็ดไปหน่อยหรือเปล่า” น้ำเสียงนั้นพูดทีเล่นทีจริง

เด็กหนุ่มหน้าสวยส่ายหน้าเบาๆและยิ้มไม่พูดอะไรต่อไปอีก

เขาอาจจะทำอะไรเกินตัวอย่างที่เพื่อนว่าจริงๆก็ได้ เจ เป็นเด็กหนุ่มในวัยสิบเจ็ดปีที่มีภาระล้นมือเอาจริงๆ เขาเข้ามาเป็นนักร้องฝึกหัดของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่แห่งนี้มานานถึงสองปีแล้ว แทบจะทุกวันเขาจะต้องเรียนร้องเพลง เรียนการเต้นหลายๆรูปแบบ และยังต้องทำกิจกรรมมากมายร่วมกับเพื่อนนักร้องฝึกหัดด้วยกันที่มีอยู่หลายสิบชีวิต มันคงจะเหนื่อยน้อยกว่านี้มากถ้าพ่อกับแม่จะสนับสนุนให้เขาได้ทำในสิ่งที่รักและใฝ่ฝัน แต่นี่ทันทีที่พ่อกับแม่รู้ ไม่เพียงแต่จะไม่สนับสนุนแถมยังห้ามปรามเขาราวกับว่าเขากำลังจะทำความผิดอะไรใหญ่โต

“เพ้อเจ้อ” พ่อว่าใส่หน้าเขาตรงๆ “เด็กอย่างแกมันจะคิดได้สักแค่ไหนกันเชียว จะเป็นนักร้องงั้นหรือ ฝันลมๆแล้งๆแท้ๆ ทำไมแกไม่ตั้งใจเรียนเหมือนกับเด็กปกติคนอื่นๆเขานะ”

มานึกดู เขาก็ไม่โทษพ่อหรอกที่จะพูดแบบนั้น ก็ตอนนั้นเขาอายุแค่สิบสี่เท่านั้น

“เจ ลูกก็ฉลาดหัวดีไม่แพ้ใคร ทำไมถึงคิดจะมาเอาดีทางนี้เสียล่ะลูก” แม่ก็พยายามเปลี่ยนใจเขาเหมือนพ่อ แต่เป็นไปในแบบที่นุ่มนวลกว่ากันเยอะ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าพ่อกับแม่เป็นห่วงเขามากเพียงไร แต่สำหรับเด็กอย่างเขามันเป็นเรื่องที่ยากเย็นเหลือเกินที่จะทำให้พ่อกับแม่เชื่อว่าเขาตั้งใจเอาจริง ไม่ใช่แค่ลองผิดลองถูกเล่นๆ ดังนั้นอธิบายไปทำไมมี เขาจึงตัดสินใจเข้ารับการออดิชั่นเพื่อคัดเลือกนักร้องฝึกหัดในปีนั้นเองโดยไม่ต้องรอให้พ่อหรือแม่อนุญาต ผู้รับรองของเขาก็คืออาจารย์ที่โรงเรียนของเขาเองนั่นแหละ แต่การออดิชั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ครั้งแรกเขาไม่ผ่านเพราะตื่นเต้นจนเกินไป แค่ชอบร้องเพลงและฝึกร้องในคาราโอเกะหรือที่บ้านเท่านั้นยังไม่พอ เขายังต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเองด้วย เจผ่านการออดิชั่นในครั้งที่สองนี้เอง และนั่นทำให้เขาดีใจอย่างที่สุด ตอนนั้นเองที่เขาบอกกับตัวเองว่า ขอให้มีความมุ่งมั่นและพยายาม ไม่ว่าอะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น

แต่ชีวิตมันไม่ง่ายอย่างนั้น เมื่อได้รับคัดเลือกก็ย่อมหมายถึงค่าใช้จ่ายที่ตามมา เมื่อพ่อกับแม่ไม่สนับสนุน เขาจะไปหาเงินมาจากที่ไหน ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็ยังเรียนอยู่เสียด้วย ลำพังแค่เรียนหนังสือที่โรงเรียนวันธรรมดา และเข้าคลาสในตอนเย็นและเสาร์อาทิตย์ก็เป็นเรื่องที่หนักหนาพอตัวอยู่แล้ว แต่เจยังต้องทำงานพิเศษเพื่อให้มีเงินมาจ่ายค่าเรียนอีกด้วย โชคดีก็จริงที่เขาได้ทำงานเป็นผู้ช่วยพ่อครัว แม้จะอายุน้อย แต่เพราะพรสวรรค์ในด้านการทำอาหารที่ติดตัวมานี้เอง ทำให้เจ้าของร้านอาหารที่เขาไปทำงานอยู่เห็นแววและยอมให้เขาได้เข้าไปทำหน้าที่นี้ซึ่งหมายถึงรายได้ที่มากขึ้นตามไปด้วย รายได้ที่ว่านี้เมื่อเอาไปรวมกับค่าขนมที่พ่อกับแม่ให้มา ก็พอจะช่วยประคับประคองให้การฝึกฝนในแต่ละเดือนผ่านไปได้อย่างไม่ติดขัดสักเท่าไรนัก

เหนื่อยหน่อยแต่ก็คุ้มค่า

วันนี้วันเสาร์ ช่วงบ่ายที่ไม่มีคลาสเรียน เขามีงานต้องทำอีกแล้ว แต่จะบอกว่าเป็นการทำงานก็ไม่น่าจะถูกเสียทีเดียว เพราะงานที่ว่าก็คือการออกไปร้องเพลงกับวงของเขาต่างหาก

เจมีวงดนตรีที่เป็นที่รู้จักกันในฐานะวงคัฟเวอร์ วงที่ประกอบไปด้วยมือกลอง มือกีตาร์ มือเบส และนักร้องอย่างละหนึ่งนี้เลือกที่จะเล่นเพลงของวงร็อคของญี่ปุ่น หรือเรียกสั้นๆว่าวงเจร็อคที่พวกเขาชื่นชอบ เดือนละครั้งหรือสองครั้ง มักจะมีงานอีเวนต์ให้พวกเขาได้เข้าร่วมแสดงฝีมือและทักษะทางดนตรีอยู่เสมอ แน่นอนว่า เจ มีตำแหน่งเป็นนักร้องนำของวง สมาชิกแต่ละคนในวงเป็นเพื่อนต่างโรงเรียนกัน ส่วนเขาเป็นเพื่อนของเพื่อนที่มีการแนะนำต่อๆกันมาอีกที ส่วนตัวแล้วเจไม่ได้ฟังเพลงร็อคมากมายเมื่อเทียบกับเพลงแนวที่เขาชื่นชอบ แต่โชคดีที่เขาร้องร็อคได้ อีกทั้งรสนิยมทางดนตรีของเขากับเพื่อนร่วมวงค่อนข้างจะคล้ายกันอยู่ไม่น้อย เมื่อเขาได้ลองฟังเพลงจากวงต้นฉบับครั้งแรก เขาก็ตกปากรับคำแทบจะทันที สำหรับคนที่รักการร้องเพลงเหนือสิ่งอื่นใดแล้วยังมีเวทีให้ขึ้นไปฝึกฝนตัวเองบ่อยๆ นี่ไม่ใช่การตัดสินใจที่ยากเย็นอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว

แต่การทำอะไรหลายๆอย่างไปพร้อมกันนี่สิที่ยากเย็นยิ่งกว่า

“แล้วจะไปด้วยกันไหม” เจ หันไปออกปากชวนเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว

“ต้องไปสิ พลาดได้ยังไง” เสียงทุ้มนั้นตอบกลับมาแทบจะทันที

ทั้งคู่ไม่เอ่ยอะไรอีก พร้อมใจกันลุกขึ้นยืนโดยถือผ้าขนหนูและขวดน้ำเอาไว้ในมือ คลาสต่อไปคือคลาสวอยซ์ ใช้เวลาทั้งหมดสองชั่วโมง น่าจะเสร็จก่อนบ่ายสอง เจมีไลฟ์ต้องเล่นตอนบ่ายสี่โมง ทันเวลาถมเถ นึกเสียว่าฝึกออกเสียงก่อนไปร้องไลฟ์ก็แล้วกัน

เจ ชอบคลาสวอยซ์มาก เขาที่เป็นเจ้าของเสียงในแบบที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร ได้ค้นพบศักยภาพในการใช้เสียงของตัวเองจากการฝึกฝนมาตลอดนี่เอง ใครๆก็บอกว่า เวลาเจพูด เสียงของเขาฟังดูแหบๆอยู่ในลำคอ แต่เวลาที่เขาเปล่งเสียงร้องเพลงออกมานั้น กลับไพเราะจับใจยิ่งนัก เพราะเสียงที่สามารถขึ้นสูงได้อย่างเหลือเชื่อ เสียงของเจอ่อนหวานบาดหัวใจเวลาที่เขาถ่ายทอดเพลงบัลลาดเศร้าๆออกมา บางครั้งก็สดใสร่าเริงเมื่อได้ร้องเพลงสนุกๆ หรือทรงพลังเป็นเยี่ยมเมื่อต้องร้องเพลงร็อคแรงๆ นอกเหนือไปจากใบหน้าที่สวยสะไม่เหมือนเด็กผู้ชายทั่วไปแล้ว เสียงร้องเพลงของเด็กหนุ่มคืออาวุธติดตัวที่เจ้าตัวเองก็ภูมิใจอยู่ไม่น้อย ถ้าไม่เจ็บป่วยจนเสียงหายล่ะก็ บอกมาเถอะ ให้เขาร้องเพลงสักเท่าไหร่ก็ได้ทั้งนั้น

“ดีมากครับ” ครูกบที่แสนจะใจดีของคลาสวอยซ์ในวันนี้เอ่ยขึ้นเมื่อเวลาเรียนใกล้จะหมดลงเต็มที “แต่ถึงจะหมดคลาสไปแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดของการเป็นนักร้องก็คือการหมั่นฝึกฝนนะครับ ใครซ้อมเยอะก็ได้เยอะ ใครไม่ซ้อมมันก็จะฟ้องออกมาเอง ดังนั้นครูอยากให้ทุกคนขยันให้มาก”

นักเรียนทุกคนแยกย้ายกันเดินออกไปจากห้องเรียน เหลือแต่เด็กหนุ่มสองคนที่กุลีกุจอเก็บข้าวของใส่กระเป๋า เตรียมที่จะกลับแล้วเหมือนกัน

“เจ...”

“ครับครู” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง

“วันนี้มีไลฟ์หรือ”

“ปิดครูไม่เคยได้เลยซักที” เจว่าพลางยกมือขึ้นเกาศรีษะหัวเราะเขินๆ

“แล้วเป็นยังไง เทคนิคที่ครูแนะนำ”

“ช่วยผมได้มากเลยครับ เสียงมันออกมาได้แบบเต็มที่มาก เมื่อก่อนผมร้องแต่เพลงป๊อปช้าๆ พอมาร้องร็อคเลยไม่ค่อยชินน่ะครับ จับทางไม่ค่อยถูก นี่ดีขึ้นเยอะ”

“แต่สุดท้ายนะเจ จะร้องอะไรมันต้องออกมาจากข้างในเราก่อน เทคนิคมันก็ช่วยได้บ้าง แต่ก็ไม่ทั้งหมดหรอก”

เด็กหนุ่มยกมือไหว้ขอบคุณครูกบที่รักและเอ็นดูเขาเป็นพิเศษมาโดยตลอด ก่อนจะขอตัวรีบออกไปขึ้นรถไฟฟ้าพร้อมเด็กหนุ่มร่างสูงที่ไม่ว่าจะเห็นเจที่ไหน จะต้องมีอีกคนอยู่ด้วยเป็นเงาตามตัว

*********************************

“ทำไมนายถึงชอบตามไปดูเราเล่นทุกครั้งเลย ไม่เบื่อบ้างหรือไง” เด็กหนุ่มหันไปถามเพื่อนที่แทบจะไม่เคยพลาดไปดูไลฟ์ของเขาเลยสักครั้งขึ้นมาอย่างนึกสงสัย มือข้างหนึ่งของเขาจับยึดราวบนรถไฟฟ้าที่เคลื่อนตัวไปได้เรื่อยๆอย่างไม่นึกยี่หระต่อสภาพการจราจรเบื้องล่าง

“ถ้าเบื่อจะไปดูหรือ” เสียงทุ้มเกินวัยตอบกลับไปอย่างอย่างอารมณ์ดี

“ก็ เราเห็นนายอินกับเพลงแนวแดนซ์มากกว่าร็อค ก็เลยกลัวว่าจะเบื่อหรือเปล่าเท่านั้นเอง” ใบหน้านั้นเงยขึ้นมองคู่สนทนาที่สูงกว่าเขาหลายเซนติเมตรอยู่เหมือนกัน

“แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่สนใจดนตรีแนวอื่น อีกอย่าง…” เด็กหนุ่มหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เราชอบดูเวลานายร้องเพลง เสียงนายนี่เจ๋งมากเลยนะ”

เจ ยิ้มพร้อมกับดวงตากลมโตเป็นประกาย “ขอบใจนะ เราก็ชอบดูเวลานายเต้นเหมือนกันแหละ”

“แล้ววันนี้แนนไม่มาดูหรือ”

เด็กหนุ่มได้แต่ถอนหายใจเมื่อเพื่อนถามถึงแฟนสาวที่คบกันมาได้พักใหญ่ของเขาพลางส่ายหน้า

“เขางอน วันนี้คงไม่มาหรอก”

“ทะเลาะกันอีกแล้วเหรอ”

“เขาบอกว่าเราไม่ค่อยมีเวลาให้เขา เราก็เห็นใจเขานะ แต่เราก็ไม่รู้จะทำยังไงดีเหมือนกัน ไหนจะเรียน ไหนจะทำงาน แต่เราก็ยังรักและเป็นห่วงเขานะ
ตอนแรกเขาก็สนับสนุนเราดีหรอก แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าเราให้เขาได้ไม่พอ”

แนนจะเข้าใจเขาได้อย่างไรในเมื่อ เธอมาจากครอบครัวที่มั่งคั่ง เด็กสาวไม่รู้จักความลำบากด้วยซ้ำและมักจะเป็นฝ่ายที่ได้รับเสมอ ดังนั้นเมื่อมีอะไรที่เรียกว่าไม่ได้ดั่งใจ จึงไม่พ้นออกฤทธิ์ออกเดชตามประสา แต่ในเวลาที่แนนน่ารัก ก็น่ารักจริงๆ ช่างเอาอกเอาใจสารพัด แต่บทจะไม่มีเหตุผลขึ้นมา ก็ทำเอาเจถึงกับต้องส่ายหน้าอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งเจง่วนอยู่ทั้งกับการเรียน การทำงาน แล้วยังต้องเล่นไลฟ์ตลอดเวลาอย่างนี้ด้วยแล้ว แนนถึงกับหัวเสียไม่ยอมคุยกับเขามาหลายวันแล้ว จนปัญญาที่เขาจะง้อเด็กสาวเหมือนกัน

อีกฝ่ายไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่วางมือบนไหล่ของเด็กหนุ่มก่อนจะบีบเบาๆเป็นการปลอบใจ ก่อนจะหันหน้าออกไปมองตึกสูงใหญ่ที่อยู่เบื้องนอก

ใช้เวลาไม่กี่นาที รถไฟฟ้าก็พาพวกเขามาถึงสถานีปลายทางที่คนไม่ค่อยพลุกพล่านมากนัก พวกเขาต้องเดินต่อไปอีกแต่แค่เพียงระยะทางสั้นๆเท่านั้น ก็ไปถึงผับแห่งหนึ่ง หากเป็นเวลากลางคืนสถานที่แห่งนี้คงเป็นที่ที่พวกเขาไม่คิดจะมา แต่ในเวลาบ่ายเช่นนี้ ผับที่ว่าได้แปรสภาพเป็นเวทีสำหรับวงสมัครเล่นหลายๆวงอย่างพวกเขา ให้ได้มาแสดงฝีมือและปล่อยของกันโดยปราศจากเรื่องของเหล้ายาเข้ามาเกี่ยวของ เพราะทั้งนักดนตรีและคนดูยังเป็นวัยรุ่นที่อายุใกล้เคียงกันเป็นส่วนใหญ่ คนจัดงานเองก็เป็นเพื่อนๆกันอีกต่างหาก อาศัยเด็กๆที่มีใจรักเสียงดนตรีแนวเดียวกันมารวมตัวกัน ลงขัน ลงแรง และระดมความคิดกัน จึงเกิดงานอีเวนต์ลักษณะนี้ขึ้นเป็นประจำ

จากที่จัดกันหลายเดือนครั้งหนึ่ง ก็เริ่มถี่ขึ้นเรื่อยๆ คนที่นึกสนุกอยากจัดงานลักษณะนี้ขึ้นมาบ้างก็เริ่มมีมากขึ้น แต่จะดีมากหรือดีน้อยก็เป็นอีกเรื่อง ส่วนใหญ่วงของเจ จะรับเล่นให้กับทีมงานที่เริ่มต้นมาพร้อมๆกัน เพราะเชื่อมือกันมาตั้งแต่ต้น ตอนนั้นทีมคนจัดงานก็ใหม่ วงของเขาก็ยังเรียกว่าหน้าใหม่ แต่เมื่อจัดงานไปครั้งแรกแล้วประสบความสำเร็จก็เลยผูกปิ่นโตกันมาตลอด จากงานที่แรกๆไม่ได้คิดจะหาผลกำไรอะไรจากมัน ตอนนี้กลับกลายเป็นงานที่มีคนพร้อมที่จะเสียเงินเข้ามาดูทุกครั้งและตั๋วก็ขายหมดทุกครั้งด้วยเช่นเดียวกัน ถึงขนาดที่สามารถแบ่งเงินให้เป็นค่าขนมเล็กๆน้อยๆให้กับวงที่มาเล่นให้ได้ด้วยอีกต่างหาก แม้มันจะเป็นเงินเพียงจำนวนน้อยนิด แต่เทียบกับการที่ได้ขึ้นไปสนุกบนเวทีและมีคนอยากเข้ามาดูพวกเขามากมายแบบนั้น ต่อให้ไม่ได้ค่าตอบแทนก็ยังนับว่าคุ้มค่า

“เจ!” เสียงสตาฟที่ดูแลความเรียบร้อยอยู่หน้างานเรียกชื่อเขาอย่างยินดี “นึกว่าจะไม่มาแล้ว”


“ไม่มาจะได้โดนไอ้พวกนั้นกระทืบเอาปะไร” เด็กหนุ่มว่าติดตลก “แต่พวกนั้นบอกไปแล้วใช่ไหมว่าวันนี้เราจะมาช้า เพราะติดเรียน” อีกฝ่ายพยักหน้า “ขอ
โทษนะ เลยไม่ได้มาซาวนด์เช็กเลย”

“ไม่เป็นไร วงนายเขาเชื่อมือนายจะตาย แถมซาวนด์เช็กแป๊ปเดียวก็เรียบร้อย ไป... ขึ้นไปสแตนด์บายข้างบนเลย”

สตาฟที่เป็นเพียงเด็กสาววัยใกล้เคียงกันกับเด็กหนุ่มทั้งสองคน ยื่นบัตรห้อยคอที่สามารถผ่านเข้าได้ทุกแห่งให้ทั้งคู่อย่างรู้งาน ก่อนจะเดินนำขึ้นไปบนชั้นสองของผับแห่งนี้ที่ถูกกันไว้เป็นที่พักสำหรับนักดนตรีและสตาฟ เจโบกมือให้เพื่อนร่วมวงที่นั่งล้อมวงพุดคุยกันอย่างออกรสชนิดพร้อมหน้า

______________________________________

สวัสดีทุกคนอีกครั้งนะคะ ในที่สุดก็ได้เอาตอนที่หนึ่งของนิยายเรื่องใหม่มาลงให้ได้อ่านเสียทีค่ะ ตอนแรกเหมือนจะแค่เป็นการแนะนำตัวละครก่อน ถึงอย่างนั้น ชอบไม่ชอบอย่างไร คนเขียนอย่างเราก็ยินดีที่จะรับฟังข้อติชมนะคะ
หวังใจว่าทุกคนจะชอบเรื่องนี้กันค่ะ ขอบคุณนะคะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-11-2009 10:13:38 โดย fingerscrossed »

Sakana2yunjae

  • บุคคลทั่วไป
ว้าว ตอนแรก มาแล้วเย้ๆๆ

เหงพล็อตเรื่องตอนแรก น่ารักดีคะ บ่งบอกความเป็นศิลปิน

จะรอตอนต่อไปนะคะ ขอบคุณมากๆๆคะ  :L2:

ออฟไลน์ maio2000

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 203
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
ก็น่ารักดีค่ะ มาลงบ่อยนะค่ะ ตามอ่านทุกวันแน่ 

MaeMoo

  • บุคคลทั่วไป
Re: Beats of Life: บทที่ 1
«ตอบ #13 เมื่อ10-11-2009 13:44:47 »

มาต้อนรับบทที่ 1 ค่ะ

ชอบการเขียนของคุณนิ้วไขว้อ่ะ บรรยายได้ดี ชัดเจน

จะตามอ่านทุกวันเลยนะคะ



ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: Beats of Life: บทที่ 1
«ตอบ #14 เมื่อ10-11-2009 16:13:05 »


เข้ามาส่องดูนิยายใหม่ อิอิ  :mc4:

ออฟไลน์ earlgrey

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: Beats of Life: บทที่ 1
«ตอบ #15 เมื่อ10-11-2009 17:56:59 »

ตอนแรกมาแล้ว อยากรู้ว่าต่อไปจะเป็นยังไง ว่าแต่แฟนหนูเจเรื่องมากก็เลิกกันไปเลยลูก กร๊ากก

พ่อคนข้างๆหนูน่าจะรอเคลมอยู่ ระวังตัวไว้นะหนูเจ ^^ จะรอตอนต่อไปนะคะพี่ินิ้วไขว้

เมื่อคืนกลับไปนั่งอ่านเพลงรักมา ชอบมากเลยค่ะ เสียดายมาทีหลังสั่งหนังสือไม่ทัน

ออฟไลน์ ToeyTato

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-1
Re: Beats of Life: บทที่ 1
«ตอบ #16 เมื่อ10-11-2009 21:31:49 »

ตามมาจากเรื่องเพลงรักค่ะ อ่านเรื่องนั้นแล้วชอบมากเลย ใสๆดีค่ะ
มาเป็นกำลังใจให้ :L2:

ออฟไลน์ jaaeyboy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 522
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
Re: Beats of Life: บทที่ 1
«ตอบ #17 เมื่อ10-11-2009 21:52:33 »

แว็บเข้ามา เพราะเห็นล็อคอิน คุณนิ้วไขว้ 

จะรออ่านนิยายเรื่องใหม่น่ะค่ะ

หลังจาก สอย เพลงรัก ไปอ่านเรียบร้อยแล้ว

Huo_To

  • บุคคลทั่วไป
Re: Beats of Life: บทที่ 1
«ตอบ #18 เมื่อ11-11-2009 00:28:03 »

มาต้อนรับคุณนิ้วไขว้ด้วยคน  :mc4:   เป็นกำลังใจให้โยกับเจค่ะ

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 2

โย ไม่อาจจะละสายตาจากวงที่กำลังแสดงอยู่บนเวทีนั้นได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวนักร้องนำที่เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทของเขา ตอนซ้อมที่เขาอาจจะไม่มีเวลาได้ไปดูบ่อยครั้งนักก็ว่าเยี่ยมแล้ว ยิ่งตอนที่ได้มาดูวงเล่นสดๆแบบนี้ด้วยแล้ว มันช่างเต็มไปด้วยพลัง เสียงของเจคืออย่างหนึ่งที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้เลยว่าเป็นเสน่ห์ที่ประกอบขึ้นเป็นวงนี้ ไม่อยากจะเชื่อว่าเสียงของเด็กหนุ่มในคลาสวอยซ์ที่ไพเราะอ่อนหวานจับใจ จะกลายเป็นเสียงอันทรงพลังได้ขนาดนี้บนเวทีเพลงร็อค โยได้แต่นึกทึ่ง

ความสนุกอย่างหนึ่งของเขาในเวลาที่ได้มาดูไลฟ์แบบนี้ก็คือ เขาได้เห็นอีกด้านหนึ่งในการเป็นนักร้องของเจ เพื่อนที่ใครต่อใครล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หน้าตาน่ารักแต่ก็ดูเย็นชาไร้อารมณ์เหมือนตุ๊กตาไม่มีผิด หากแต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เจร้องเพลง แววตาของเขาสามารถสื่ออารมณ์ของเพลงออกมาได้อย่างหมดจดชัดเจน เพลงเศร้าเจก็ร้องได้เสียเศร้าจับจิต บางครั้งเจ้าตัวเองยังถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเพลงสนุกๆอย่างเพลงร็อค เจก็วาดลีลาบนเวทีเสียจนแทบลุกเป็นไฟ เจเกิดมาเพื่อที่จะร้องเพลงโดยแท้ นี่คือความรู้สึกของเขา

เจบนเวทีในตอนนี้เหงื่อไหลโทรมกายไปหมด แต่แววตาเต็มไปด้วยพลัง ผิวขาวเกินเด็กหนุ่มทั่วไป ขับให้เขายิ่งโดดเด่นเมื่อยืนอยู่บนเวที เด็กหนุ่มชูแขนขึ้นข้างหนึ่งมือกำเอาไว้แน่น ก่อนจะแผดเสียงทรงพลังดังก้องทำเอาคนดูจำนวนที่กะเอาจากสายตาคร่าวๆ ไม่น่าจะเกินสามร้อยคนนั้น เกิดอารมณ์ร่วมชูมือกระโดดขึ้นลงตามเสียงดนตรีอย่างสนุกสนาน สมาชิกคนอื่นในวงก็ต้องเรียกว่าเล่นกันได้เข้าขากันเป็นอย่างดี นัทสะพายเบสของเขายืนโซโล่ประชันกับต้นที่ปล่อยอารมณ์ไปกับกีตาร์ในมืออย่างเมามัน หันไปมองอ้นที่เหวี่ยงไม้กลองไปทางซ้ายทีทางขวาทีพร้อมกับหัวเราะสนุกออกมาด้วย ก็ทำให้เขาอดยิ้มออกมาด้วยไม่ได้ สีสันของเพลงร็อคมันจัดจ้านอย่างนี้นี่ไงเล่า คนถึงได้หลงใหลมันมากมายนัก

เพลงสุดท้ายจบลงพร้อมกับเสียงกรี๊ดของคนดูที่ไม่บอกก็รู้ว่าสนุกสุดเหวี่ยงกันขนาดไหน เจลงเวทีเป็นคนสุดท้ายพร้อมกับยกมือที่กำผ้าขนหนูในมือเอาไว้โบกลาคนดู ทันทีที่เดินขึ้นบันไดมาแล้วเห็นโยยืนกอดอกยิ้มอยู่ เจก็ยิ้มตอบกลับอย่างร่าเริงและดูมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด รู้ได้ทันทีว่าเจ้าตัวพอใจกับไลฟ์ครั้งนี้มากแค่ไหน โยยื่นมือออกไปยังร่างที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาเขา ก่อนที่จะสวมกอดกันหลวมๆ ต่างฝ่ายต่างตีหลังกันเบาๆโดยไม่พูดอะไร แต่ก็กลับสื่อความหมายที่สามารถเข้าใจกันได้เอง

“เยี่ยมเลย” เสียงทุ้มนั้นพูดออกมาสั้นๆ

“จริงเหรอ” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มในแบบที่ใครไม่ค่อยได้เห็นบ่อยๆเงยขึ้นถามซ้ำ

“ดีกว่าคราวที่แล้วอีกนะ”

“ไชโย” เจพูดกับตัวเองเบาๆก่อนจะผละจากสัมผัสอันคุ้นชินนั้น เปลี่ยนไปยืนอยู่ข้างๆโยแทน เด็กหนุ่มร่างสูงรู้สึกถึงไอร้อนจากคนข้างๆที่เต็มไปด้วยเหงื่อ ก่อนจะส่ายหน้าแล้วดึงผ้าขนหนูจากมือของอีกคนเบาๆแล้วขยี้ลงบนผมดำขลับนั้นก่อนจะพาดมันเอาไว้ที่คอ

“เช็ดเหงื่อเสียหน่อยนะ” ร่างขาวๆนั้นทำตามอย่างว่าง่าย แม้จะยังสนทนากับเพื่อนคนอื่นในวงอย่างออกรสเกี่ยวกับการแสดงที่เพิ่งจบไป นานๆเจจะหันมาถามความเห็นของโยสักที แล้วก็หันไปคุยกับเพื่อนต่อ

ไม่รู้ทำไมเขาจึงไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเลยสักนิด แต่กลับเพลิดเพลินเวลาที่ได้เข้ามาสัมผัสโลกของเจร็อคซึ่งแม้จะไม่ใช่ทางของเขาก็จริง แต่ก็สนุกไม่เบา และเขาเองก็ถือว่าเป็นคนที่เปิดกว้างมากถ้าเป็นเรื่องของเสียงเพลง ยิ่งเมื่อได้มารู้จักกับเจ โลกในแบบที่เขาไม่รู้กับก็ราวจะเชื้อเชิญให้เขาได้เข้าไปสัมผัสอยู่ตลอดเวลา

สำหรับโยที่เกิดและโตขึ้นมาในครอบครัวที่ทำงานด้านกฎหมายอย่างจริงจังนั้น การที่เขาสนใจในเสียงเพลงก็เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจพออยู่แล้ว แต่นี่เขากลับมุ่งมั่นจนถึงกับคิดจะเอาจริงกับมันก็ยิ่งทำให้พ่อกับแม่ไม่ชอบใจเอาเสียเลยจริงๆ จะบอกว่าเขาเป็นพวกผ่าเหล่า หรือแหกคอก ก็คงจะไม่ผิดนัก ตั้งแต่เล็กๆ เขาจึงต้องคอยหลบๆซ่อนๆพ่อกับแม่มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่เขาหาวิดีโอของวงที่เขาชื่นชอบมาเปิดดูวันละหลายๆรอบเพื่อที่จะซึมซับเอาทุกสิ่งอย่างเข้าไปไว้ในหัวให้ได้มากที่สุด ก่อนที่จะลุกขึ้นมาเลียนแบบทั้งน้ำเสียงและท่าทางการร้องเพลงของศิลปินเหล่านั้น หนักเข้าก็แอบไปอ้อนแม่ไปขอเรียนเต้นรำซึ่งแม่ก็ใจอ่อนยอมเขาในที่สุด เพราะอย่างน้อยๆก็ไม่ต้องห่วงว่าเขาจะทำตัวเหลวไหล นึกเสียว่าเป็นกิจกรรมหนึ่งของลูกชายก็แล้วกัน

แต่แม่คงไม่คิดว่าลูกชายเพียงคนเดียวของแม่จะเอาจริงเอาจังกับมันขนาดนี้ พอจะบอกให้ลูกเปลี่ยนใจก็ดูเหมือนจะสายไปเสียแล้ว ขนาดครูสอนเต้นของลูกชายเธอยังออกปากชมเสียจนนางเองก็พูดไม่ออก ยอมปล่อยให้ลูกชายได้ทำอย่างที่อยากทำไปในที่สุดแม้จะนึกไม่ชอบใจอยู่บ้างก็ตาม

ก็เห็นมีแต่น้องสาวเพียงคนเดียวของเขานี่แหละที่สนับสนุนพี่ชายทุกสิ่งอย่าง

“ถ้าพี่ดังเมื่อไหร่นะ ยูจะได้เอาไปคุยทับเพื่อนที่โรงเรียน” ฟังแล้ว คนเป็นพี่ได้แต่อึ้ง ดวงตาเรียวเล็กแต่ก็รับใบหน้าคมคายของเจ้าตัวได้อย่างเหมาะเจาะ มองน้องสาวตัวเองอึ้งๆ เด็กสาวเห็นปฏิกิริยาพี่ชายดังนั้น จึงหัวเราะพรืดออกมา “เค้าพูดเล่นหรอกพี่โย” เด็กหนุ่มที่อายุห่างกว่าน้องสาวตัวเองสองปีชักไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเชื่อคำพูดของแม่ตัวดีนี่ดีหรือเปล่า

“จริงๆ” ยูจับแขนของพี่ชาย “เค้ารู้ว่าพี่ต้องทำได้ พี่โยเก่งมากนะ ขนาดเค้าเป็นน้อง แต่เวลาเห็นพี่เต้นแล้ว เค้ายังชอบเลย พี่โยเชื่อเค้าไหม”

โยยกมือขึ้นลูบศีรษะน้องสาวจอมทโมนของตัวเองเบาๆ ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดจากปากเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนนี้จะกลายเป็นพลังใจอันยิ่งใหญ่แก่เขาได้ขนาดนี้

เด็กหนุ่มยังจำได้ วันที่เขาเดินทางเข้ามาร่วมการออดิชั่นเพื่อที่จะได้รับคัดเลือกให้เข้าไปเป็นนักร้องฝึกหัดของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง แม้แม่จะไม่ได้สนับสนุนสักเท่าไหร่ แต่เมื่อเห็นความตั้งใจอันแน่วแน่ของลูกชายที่มีความเป็นผู้ใหญ่และมีความรับผิดชอบเกินตัว นางจึงไม่อาจจะปฏิเสธความต้องการของลูกชายได้ แต่ก็ไม่ลืมที่จะคอยสำทับว่า ไม่ว่าจะอย่างไร โยก็ต้องให้ความสำคัญกับการเรียนด้วย

เขาผ่านการออดิชั่นตั้งแต่ครั้งแรก และเหตุผลใหญ่ที่ทำให้เขาผ่านก็คือทักษะในการเต้นรำที่เขามุ่งมั่นเอาจริงเอาจังกับมันมาตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา บวกกับน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ที่เขาเองก็มีไม่แพ้ใครเข้าไปด้วยแล้ว ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะผ่านการออดิชั่นอย่างเป็นเอกฉันท์ และยังเป็นคนที่ได้ชื่อว่าเป็นนักเต้นเท้าไฟที่สุดในนักร้องฝึกหัดรุ่นเดียวกันอีกต่างหาก

โยผ่านการออดิชั่นรุ่นเดียวกับเจ ครั้งแรกที่ได้พบกัน สิ่งที่สะดุดตาเขาครั้งแรกไม่ใช่ใบหน้าสวยๆที่เหมือนกับเด็กผู้หญิงนั่น แต่กลับเป็นท่าทีเย็นชาไม่น่าเข้าใกล้จนติดจะน่ากลัวนั่นเสียมากกว่า แต่ไม่รู้เพราะอะไรมันจึงชวนดึงดูดใจจนจะไม่อาจละสายตาได้ เขาน่าจะเป็นคนแรกที่กล้าเดินเข้าไปทักทายเจ เพราะส่วนหนึ่งก็นึกประทับใจกับน้ำเสียงอันไพเราะของเจ้าตัวตอนที่ออดิชั่นเข้ามาด้วยนั่นล่ะ

“นายชื่อเจใช่ไหม” เด็กหนุ่มที่ตัวเล็กกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัดสะดุ้งเล็กน้อย ราวกับว่าเสียงทุ้มๆของเขาได้ปลุกให้ร่างขาวๆตื่นจากภวังค์ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของร่างสูงใหญ่นั่นเดินมายิ้มและทักทายเขา

“อือ นายคงเป็นโยล่ะสิ” เด็กหนุ่มทำตาโตด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยก่อนที่จะยิ้มออกมา และถือวิสาสะนั่งลงข้างๆ

“รู้จักเราด้วยหรือ”

“นายเต้นเก่งขนาดนั้น ใครบ้างจะไม่พูดถึง” เจก้มหน้าก้มตาพูดจนชักไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะรำคาญเขาหรือขี้อายกันแน่

“นายก็ร้องเพลงเพราะนะ เราชอบเสียงนายจริงๆ” หนนี้ร่างข้างๆจึงหันกลับมามองเขาอย่างเต็มตาเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ดวงตาที่มองกลับมาฉายให้เห็นแววจริงใจ ราวกับจะยืนยันว่าเขาพูดจริงๆไม่ใช่เพราะมารยาทหรือเพื่อเอาใจ

โยรู้สึกหัวใจเต้นผิดจังหวะอย่างประหลาดเมื่อเห็นใบหน้าสวยๆแต่เย็นชาที่เหมือนไม่ค่อยอยากพูดหรือยิ้มให้ใคร คลี่ยิ้มให้เขาอย่างไม่ปิดบังก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นอังจมูกอย่างเขินๆเมื่อถูกชมซึ่งๆหน้า

“ขอบคุณ” ที่แท้เด็กหนุ่มคนนี้ขี้อายนี่เอง เวลาอยู่ต่อหน้าคนมากๆที่เขาไม่คุ้นเคย ใบหน้าอันเย็นชานิ่งเฉยนั้น คือเกราะป้องกันตัวอย่างดีของเจ้าตัว แต่แท้ที่จริง เมื่อได้พูดคุยรู้จักกันแล้ว เจเป็นคนอารมณ์ดีและช่างพูดช่างคุยอย่างยิ่ง

“เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ คงต้องได้เจอกันไปอีกนานเลย ยินดีที่ได้รู้จัก” โยยื่นมือออกไป ก่อนที่เจจะจับมือข้างนั้นกระชับตอบ และยิ้มให้อย่างนึกขอบคุณ

นับตั้งแต่นั้น ทั้งคู่ก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน ไปไหนไปด้วยกันเหมือนเงาของกันและกัน อาจจะเป็นเพราะอายุที่เท่ากัน มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน และช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา โยจะคอยช่วยเจเวลามีปัญหาในเรื่องการเต้น ส่วนเจก็จะคอยบอกในเรื่องของเทคนิคการร้องเพลงที่อีกฝ่ายไม่คุ้นชิน ถึงอย่างไรเสียในเรื่องของการร้องเพลง เจก็มีประสบการณ์มากกว่าเขา

ยิ่งถ้าเป็นเรื่องของการเรียน ความรับผิดชอบ ความมีวินัย และความมุ่งมั่นล่ะก็ โยไม่เคยห่วงเพื่อนคนนี้เลยแม้แต่น้อย แต่ที่เขานึกห่วงก็คงจะเป็นเรื่องของการทำงานนั่นแหละมากกว่า ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าครอบครัวของเจไม่สนับสนุนลูกชายให้เดินบนเส้นทางสายนี้เลย เจไม่ได้โชคดีเหมือนโยที่ยังมีแม่ที่คอยช่วยเหลือเขาอยู่บ้าง แม้ในใจแม่จะไม่ชอบใจสักเท่าไหร่ก็ตาม และถึงแม้เจจะมีพี่สาวอีกสี่คนคอยเจียดเงินส่วนตัวของตัวเองมาช่วยน้องชายบ้าง แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่หนักหนาเกินตัวของเด็กวัยสิบเจ็ดอย่างเจอยู่ดี

เมื่อคุณยังเป็นเพียงนักร้องฝึกหัด คุณก็ไม่ต่างอะไรกับนักเรียนทั่วไปที่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียน มีค่าใช้จ่ายนั่นบ้างนี่บ้าง สำหรับเจแล้วเมื่อพ่อแม่ไม่ยินยอมที่จะสนับสนุนเงินในส่วนนี้ให้ เขาก็ต้องหางานพิเศษทำ ค่าขนมที่ได้จากการไปโรงเรียนตามปกติก็ต้องเจียดมาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนนี้

“ยังโชคดีนะที่มีบ้านอยู่ ขืนต้องออกไปอยู่ตามหอพักล่ะก็ เราคงแย่” เจว่าอย่างเห็นเป็นเรื่องตลก “โชคดีที่เราเป็นผู้ชายนะ ถ้าเป็นผู้หญิงคงทำแบบนี้ไม่ได้ พ่อกับแม่เอาตายแน่ๆ”

ที่จริงโยไม่เคยเห็นเจบ่นท้อแท้เลยสักครั้ง เขาจึงไม่เคยนึกบ่นเวลาที่เจอกับอุปสรรคเหมือนกัน เพราะความมุ่งมั่นของเจและของตัวเขาเองมันช่างยิ่งใหญ่ การผ่านการออดิชั่นเข้ามาได้ อาจจะไม่ใช่เครื่องการันตีว่าเขาและเจจะได้เป็นนักร้องจริงๆ แต่มันก็คือโอกาสที่ใครๆล้วนอยากจะได้มา ดังนั้นจะให้เขาถอดใจง่ายๆนั้น ไม่มีทางเด็ดขาด เขาจึงขยันกว่าใคร หมั่นฝึกซ้อมมากกว่าใคร และไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้กับอะไรง่ายๆ

การคอยเป็นเพื่อนและคอยดูแลเจจึงกลายมาเป็นเหมือนหนึ่งในหน้าที่ที่เพื่อนอย่างเขาจะช่วยเพื่อนได้ เด็กต่างจังหวัดวัยสิบเจ็ดที่ไม่ได้มีฐานะทางครอบครัวร่ำรวยล้นฟ้าอะไรอย่างเขา คงช่วยได้เท่านี้จริงๆ แต่ก็ใช่ว่าถ้าเขามีเงินมากมายขนาดที่พอจะหยิบยื่นให้กับเจได้แล้ว เพื่อนของเขาคนนี้จะยอมรับเมื่อไหร่กัน ทำไมเขาจะไม่รู้จักเพื่อนสนิทของตัวเอง เจไม่ใช่คนที่งอมืองอเท้า อะไรที่อยากได้เขาก็ต้องหามาให้ได้ด้วยตัวเองเท่านั้น จะให้ไปขอยืมเงินจากใครนั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย เห็นหน้าหวานๆแบบนี้ ทั้งปากหนักแล้วก็ใจแข็งอย่างกับอะไรดี

ไอ้เรื่องหน้าตาของเจ้าตัวนี่ก็เหมือนกัน คิดขึ้นมาทีไร โยเป็นต้องอดหัวเราะออกมาไม่ได้สักที

“เราก็พอจะรู้นะ ว่าหน้าตาเรามันออกจะหวานเกินผู้ชายทั่วไปอยู่” เจว่าอย่างอ่อนใจ “อยู่กับมันมาขนาดนี้มีหรือจะไม่รู้ แต่ก็นะ...” เด็กหนุ่มหน้าสวยถอนใจ “เราก็ออกจะสูงใหญ่ ตัวก็ไม่ได้แบบบางขนาดนั้นสักหน่อยนี่หว่าโย”

โยนั่งฟังเพื่อนบ่นเรื่องหน้าสวยๆของตัวเองจนทำเอาใครหลายคนเข้าใจผิดอยู่บ่อยๆ เวลามีใครมาบอกว่าเพื่อนเขาคนนี้ดูไม่แมน ใจก็อยากจะบอกไปเหลือเกินว่า เจเป็นเด็กผู้ชายแท้ๆที่ห่ามเอาเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการพูดจา บุคลิกท่าทาง หรืออะไรก็ตาม แถมสูงเฉียดร้อยแปดสิบขนาดนี้ เกินหญิงไปเยอะอยู่ แต่ก็ยังนับว่าสูงน้อยกว่าเขาที่ล่าสุดไปวัดมาเห็นว่าเกินร้อยแปดสิบไปอยู่หลายเซนติเมตร ฟังเพื่อนบ่นเรื่องนี้ทีไร โยเป็นต้องอดลูบศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมหนาๆสีดำขลับนั่นไม่ได้เสียทุกทีไป บ่อยครั้งที่เขาต้องคอยบอกว่า อย่าไปสนใจเลย ถึงอย่างไรหน้าตาดีก็ยังดีกว่าหน้าตาแย่ๆล่ะ เจ้าตัวถึงได้รู้สึกดีขึ้นบ้าง ข้อเสียอีกอย่างของเจคือขี้กังวลและคิดมาก ไม่รู้เพราะโตมากับพี่สาวหลายคนหรือเปล่าเหมือนกัน เจ้าตัวเลยติดจะคิดอะไรลึกซึ้งเหมือนผู้หญิงในหลายๆเรื่อง แต่ข้อดีคือ เจจึงเป็นคนที่คอยเป็นห่วงเป็นใยคนรอบข้าง และติดนิสัยชอบดูแลใครต่อใครอยู่เสมอ ทั้งที่ตัวเองยุ่งขิงอย่างกับอะไรดี


************************************
   
ย่านนี้เป็นแหล่งกินขึ้นชื่อของเด็กวัยรุ่นที่มักจะมาหาอะไรใส่ท้องไม่เว้นวันธรรมดาหรือวันหยุด อาจจะเป็นเพราะมันตั้งอยู่ไม่ไกลจากแหล่งช็อปปิ้ง อีกทั้งอยู่ติดกับมหาวิทยาลัยที่เต็มไปด้วยนักเรียนนักศึกษานั่นเอง

เด็กหนุ่มสาวเกือบสิบคนนั่งทานสเต๊กจานใหญ่แต่ราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อกันอย่างเอร็ดอร่อย คงเป็นเพราะเสร็จจากงานและผ่านพ้นช่วงเวลาอันเคร่งเครียดไปแล้ว แถมผลตอบรับยังออกมาดีเกินคาด แม่งานจึงพาสตาฟและนักดนตรีที่สนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีมาเลี้ยงมื้อเย็นเป็นการฉลองเสียเลย

“พี่เจ หวัดดีค่า วันนี้เล่นดีมากเลยพี่” เสียงเด็กสาวที่เดินมาทักทายเป็นคนที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้นับตั้งแต่พวกเขามาถึงที่นี่ดังขึ้น จะว่าไปหลายๆโต๊ะที่มานั่งทานมื้อเย็นก็เรียกได้ว่าค่อนข้างคุ้นหน้าคุ้นตากันดีพอสมควร บางคนก็เป็นแฟนวงของเขา หลายๆคนก็เห็นกันตามงานอีเวนต์ที่จัดขึ้นบ่อยๆ จึงไม่น่าแปลกใจที่วันนี้โต๊ะที่พวกเขานั่งจะกลายเป็นเป้าสนใจของใครต่อใคร เพราะเสียงทักทายที่ดังเจี๊ยวจ๊าวไม่หยุด บ้างก็เดินเข้ามาคุยและขอถ่ายรูปด้วยเป็นที่สนุกสนาน โชคยังดีที่เจ้าของร้านคงจะเคยชินแล้ว จึงไม่ได้ว่าอะไร มากกว่าแค่เงยหน้าขึ้นมองก่อนจะทำหน้าเหมือนกับเข้าใจ แล้วก็หันไปทำงานตรงหน้าต่อ

“เจ เดี๋ยวส่งเพลงใหม่ไปให้เลือกนะ” นัทเอ่ยขึ้นมากลางวงหลังจากจัดการกับอาหารตรงหน้าไปแล้วชนิดเรียบวุธ

“งานหน้าใช่ไหม” ก่อนจะหันไปทางแม่งาน “ปาล์ม คอนเฟิร์มเรื่องวันเวลาอีกทีนะ เราจะได้จัดตารางเวลาถูก” ว่าพลางใช้ส้อมจิ้มเนื้อใส่ปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย

“ส่งมาคืนนี้เลย วันนี้เราไปค้างที่หอโย จะได้ดึงไฟล์สะดวกหน่อย” ว่าแล้วหันไปทางคนร่างสูงที่นั่งข้างๆที่พยักหน้าน้อยๆเป็นการบอกว่าไม่มีปัญหา ก่อนจะยกนาฬิกาขึ้นดู “ต้องไปก่อนแล้ว เดี๋ยวนายบ่น” เด็กหนุ่มหมายถึงเจ้าของร้านอาหารที่เขาทำงานพิเศษอยู่ “ไปล่ะ มีอะไรโทรมานะ”

โยลุกขึ้นยืนพร้อมกับสะกิดคนตัวเล็กกว่าที่ทำท่าจะลืมของที่วางอยู่ข้างๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนลาเพื่อนๆของเจ แล้วเดินตามกันออกไป

“มันยุ่งกว่าศิลปินอีกนะเนี่ย” ต้นว่าพลางยิ้มส่ายหน้า

“สองคนนี่... น่ารักดีนะ” จู่ๆสตาฟที่เป็นเด็กสาวคนหนึ่งก็พูดขึ้นมา

“อะไรของแกวะนก” ปาล์มหันไปมองหลังของเด็กหนุ่มสองคนที่เดินหายออกจากร้านไปไวๆ

“ก็จริงไหมล่ะ ดูแลกันโคตรดีเลย”

“ยังไม่ชินอีกเหรอ ฉันก็เห็นมันเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว”

“เออ ฉันก็เห็นมานานเหมือนกัน แต่คู่นี้มันไม่เหมือนใคร มันน่ารักบอกไม่ถูก หรือเป็นเพราะมันหน้าตาดีทั้งสองคนวะ เลยรู้สึกดีกว่าคู่อื่น” นกว่าติดตลก

“มาอีกแล้ว ทำไมพวกผู้หญิงชอบอะไรแบบนี้วะ” อ้นออกความเห็น

“ฉันไม่ได้ขอความเห็นแกนะ”

“ขอโทษคร้าบบบบบ” อ้นทำท่าย่นคอยกมือขึ้นท่วมหัวล้อๆ เมื่อรู้ว่าพูดจาผิดหูสตาฟสาวที่ส่งเสียงแหลมขึ้นมาอย่างเอาเรื่อง

“แต่ไอ้เจมันมีแฟนแล้วนะ น่ารักด้วย แถมบ้านอย่างรวยเลย” นัทว่า

“โอ๊ย...” ปาล์มยกมือขึ้นตบหน้าผากเบาๆ “ไม่พูดถึงฉันก็ลืมไปแล้วนะนั่น” ทุกคนหันไปมองหน้ากันอย่างรู้ทัน

“ไม่ไหวว่ะแฟนไอ้เจ” อ้นส่ายหน้า “ต่อหน้าแฟนเขา เขาก็น่ารักดีหรอก แต่พอกับพวกเรา จำได้ไหม เจมันเคยพามาดูงานหนนึง โห... ไม่พอใจไปหมดทุกสิ่งอย่างบนโลก ตะบึงตะบอน ไม่ชอบสถานที่ ไม่ชอบโน่นไม่ชอบนี่ มางานเจร็อคนะเว้ย ไม่ใช่งานกาล่า” ทุกคนในวงสนทนาถึงกับหัวเราะพรืดออกมากับการเปรียบเปรยของมือกลองร่างใหญ่ที่สุดของวง

“แล้วเหวี่ยงผู้หญิงทุกคนที่เข้าใกล้เจเลย เป็นอะไรมากไหมก็ไม่รู้”

“วันนี้ไม่เห็นตามมาด้วยแฮะ” ใครคนหนึ่งเปรยขึ้นมา

“สาธุ” ปาล์มยกมือไหว้ท่วมหัว “ไม่มาอีกเลยฉันจะยิงสลุตฉลองซักสองวัน” ทำเอาเพื่อนๆที่นั่งอยู่ด้วยกันเอามือกุมท้องหัวเราะชนิดไม่อั้นอะไรกันอีกต่อไป

“กลัวแต่ว่ามันจะไปไม่รอดน่ะสิ” จู่ๆต้นก็เอ่ยขึ้น

“นายคิดเหมือนเราเดี๊ยะ” นัทว่าขึ้นบ้าง “นึกดูนะ ผู้หญิงเอาแต่ใจร่ำรวยฐานะดีมีชาติตระกูลขนาดนั้น เจมันรับมือไม่ไหวหรอก ถึงมันจะรักของมันก็เถอะ ขนาดตัวมันเองตารางมันยังแน่นขนาดนี้ เวลาดูแลตัวเองยังไม่มีเลย มันจะเอาเวลาที่ไหนไปเอาใจแฟนมัน”

“เรากลัวมันเสียใจน่ะ ไอ้เจนะ เห็นมันแบบนี้ มันเป็นคนรักจริงแล้วก็จริงใจมากเลยนะ”

“เฮ้อออออ... ก็เพราะแบบนี้แหละ ถึงปากเราอยากจะบอกใจจะขาดให้มันเลิกกะแฟนมัน แต่ก็พูดไม่ออกซักที”

“คอยดูมันต่อไปเหอะวะ บางเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะเข้าไปยุ่งได้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด”

“นี่ยังดีนะ ที่มันมีเพื่อนดีๆอย่างพวกเรา”

“ถุยยยยยยย....” เสียงถ่มถุยเหน็บแนมจากเพื่อนที่นั่งร่วมโต๊ะพร้อมใจกันดังขึ้นอย่างไม่ได้นัดหมาย เมื่ออ้นมือกลองร่างใหญ่ของวงพูดขึ้นมาแบบไม่อายปาก

“โห... พูดเล่นแค่นี้ ไม่เห็นต้องชื่นชมกันขนาดนี้เลยนี่หว่า” เจ้าตัวว่าพลางหัวเราะ

“ฉันว่านอกจากพวกเรา อย่างน้อยก็เบาใจนะที่เจมันมีโยเป็นเพื่อนอยู่ด้วยน่ะ” นกว่าขึ้นมาอย่างจริงจัง “ไม่รู้สิ ฉันมั่นใจนะว่า ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเจ โยมันคงไม่ดูดายหรอก พวกเราเองก็เถอะ ใช่ไหม” ทุกคนพร้อมใจกันพยักหน้าอีกครั้ง โดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไรออกมาอีก

เมื่อดูเวลาแล้ว เห็นสมควรเรียกคิดเงินค่าอาหารมื้อนี้เสียที ทุกคนพร้อมใจกันลุกขึ้นโดยไม่ลืมที่จะคว้าสมบัติติดตัวของแต่ละคนที่วางกองกันอยู่บนโต๊ะบ้างบนพื้นบ้างติดมือไปด้วย หลังจากนั้นเด็กผู้ชายก็พากันเดินมาส่งเด็กผู้หญิงรอขึ้นรถ ก่อนที่ต่างฝ่ายต่างจะแยกย้ายกันกลับจริงๆเสียที

__________________________________

มาแล้วนะคะสำหรับตอนที่สอง น่าจะเป็นตอนที่จะได้ทำความรู้จักกับตัวละครได้มากขึ้น หนนี้มาต่อให้เร็วเพราะอย่างที่จั่วหัวไว้น่ะค่ะ จะต้องหายไปต่างจังหวัดสักพัก แต่ว่าไม่นานแน่นอนค่ะ

ถึงอย่างไรก็ต้องขอบคุณทุกท่านนะคะที่สละเวลาแวะเข้ามาอ่านกัน จะมากหรือน้อยก็ล้วนแล้วแต่ทำให้หัวใจของคนเขียนพองฟูได้ไม่แพ้กันค่ะ

ตอนต่อไปของ Beats of Life จะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ อย่าลืมติดตามกันต่อไปเรื่อยๆแบบนี้นะคะ

ขอบคุณค่ะ





CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






nam-nueng

  • บุคคลทั่วไป
สาวกยุนแจค่ะ

มารอความเข้มข้นในตอนต่อๆไปด้วยค่ะ  o13

Sakana2yunjae

  • บุคคลทั่วไป
เริ่มรู้ความคิดของโยแล้ว ฮ่าๆๆ สนิ๊ทกันจิงๆๆ

ขอบคุณนะคะ แล้วจะรอตอนต่อไปคะ

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
Beats of Life: บทที่ 3 Up! Up! Up!
«ตอบ #22 เมื่อ16-11-2009 22:35:43 »

บทที่ 3

“กลับมาแล้ว” เด็กหนุ่มพาร่างผอมเพรียวที่อ่อนล้าเต็มทีเปิดประตูห้องเข้ามาอย่างคุ้นเคยราวกับเป็นห้องของตัวเอง เขาวางกระเป๋าเป้ใบใหญ่ลงกับพื้น พร้อมกับนั่งลงถอดรองเท้าอย่างไม่รีบร้อนอันใดอีก หลังจากผ่านวันอันวุ่นวายที่แสนยาวนานไปแล้ว

เจจำไม่ได้แล้วว่าเขาอาศัยที่นี่นอนแทนบ้านมาแล้วกี่ครั้ง เพราะมันถี่เสียจนราวกับจะกลายเป็นบ้านหลังที่สองของเขาไปแล้ว มันอาจจะไม่ใช่ห้องพักที่ใหญ่โตเลิศหรูอะไรก็จริง แต่ก็นับว่าน่าอยู่ไม่เบา เพราะมันถูกจัดเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย อันที่จริงต้องบอกว่าเป็นฝีมือของผู้อาศัยชั่วคราวอย่างเขามากกว่า ลำพังตัวเจ้าของห้องจริงๆนั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กผู้ชายทั่วไปที่ไม่ได้สนใจไยดีกับข้าวของที่วางทิ้งเอาไว้สักเท่าไหร่

เขาจำได้ว่า วันแรกที่ต้องอยู่ทำงานจนดึกดื่นเหนื่อยเสียจนโยต้องลากให้เขามาค้างด้วยเพราะสภาพที่ดูไม่จืดของเขา ทันทีที่เห็นสภาพห้อง เจแทบจะลืมความเหน็ดเหนื่อยไปเสียหมดสิ้น เพราะห้องของเด็กหนุ่มอีกคนนั้นมีสภาพไม่ต่างอะไรกับสมรภูมิรบ แม้โยจะบอกเสียงอ่อยว่าเจออกจะเปรียบเทียบเกินจริงไปนิด แต่สำหรับคนที่รักสะอาดและมีระเบียบอย่างเจนั้น สภาพของมันไม่ต่างอะไรกับสนามรบที่เพิ่งโดนระเบิดลงมาหมาดๆ อดรนทนไม่ได้ เจถึงกับยอมเสียเวลาไปชั่วโมงเต็มๆในการเก็บกวาดห้องแบบคร่าวๆ เพราะเจ้าตัวยืนยันว่า หากไม่ทำ เขาไม่มีทางนอนหลับได้แน่ๆ ลำบากเจ้าของห้องต้องเก็บกวาดห้องของตัวเองให้วุ่นเหมือนกัน กว่าจะได้นอน ทั้งสองคนแทบจะเรียกได้ว่าคลานขึ้นเตียงกันเลยทีเดียว

นับแต่นั้น โยจึงพยายามที่จะเก็บข้าวของให้เป็นที่เป็นทางกว่าเดิม แม้จะไม่ถึงกับเรียบร้อยในสายตาของเจ แต่ก็นับว่ามีพัฒนาการไม่น้อย ถึงอย่างนั้นเมื่อไรก็ตามที่เจมาและพอจะมีเวลาอยู่บ้าง ก็เป็นต้องลงมือเก็บกวาดด้วยตัวเองอีกครั้ง

“มาห้องเราทีไร ผีแม่บ้านเข้าสิงนายทุกทีเลย” ครั้งหนึ่งเจ้าของห้องถึงกับออกปาก
   
“นายลองอยู่กับแม่ที่เป็นแม่บ้านสุดๆ กับพี่สาวอีกสี่ห้าคนอย่างเราดูสิ” เจว่าราวกับนี่เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นแล้ว และเขาเองก็คงไม่มีปัญญาแก้ไขนิสัยอันนี้ของตัวเองได้
   
อันที่จริงห้องพักของโยก็ต้องเรียกว่าค่าเช่าไม่ถึงกับถูกมากนัก ขนาดของห้องเมื่อประเมินแล้ว สามารถหาเพื่อนร่วมห้องมาแชร์ค่าใช้จ่ายอีกสักคนก็ยังเรียกว่าอยู่ได้แบบสบายๆ แต่เจก็ไม่เห็นว่าโยจะกระตือรือร้นในการที่จะหาเพื่อนร่วมห้องมาอยู่ด้วยเลยสักที ถามเท่าไหร่ เจ้าตัวก็บอกแค่ว่า เอาไว้ก่อนบ้าง ขี้เกียจปรับตัวบ้าง หนักเข้าก็เฉไฉพูดเรื่องอื่นไปเสีย จนเขาขี้เกียจจะเซ้าซี้ถามไปเอง
   
จะว่าไปการที่โยไม่มีเพื่อนร่วมห้องก็ดีไปอย่าง เพราะทำให้เขาสะดวกใจที่จะแวะมาหาได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะมีธุระหรือไม่ก็ตาม
   
“เหนื่อยล่ะสิ” เสียงทุ้มๆเอ่ยขึ้นเบาๆ เมื่อเห็นร่างที่คุ้นเคยนั่งพิงศรีษะเข้ากับผนังห้องหลังจากถอดรองเท้าวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบแล้ว เจลืมตาขึ้นแต่ก็ยังไม่ยอมขยับตัวไปไหนเพราะความอ่อนล้า เจ้าของห้องจึงลงไปนั่งเป็นเพื่อนเสียเลย
   
“ไหง จะมาค้างที่นี่ไม่บอกกล่าวเจ้าของห้องล่วงหน้าซักคำ มัดมือชกซะงั้น”
   
“อ้าวเหรอ ก็นึกว่าบอกไปแล้ว” เจ้าตัวตอบออกไปอย่างสะลึมสะลือเต็มที่
   
โยนึกขันกับคำตอบง่ายๆนั้น ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเป้ที่วางกองอยู่ข้างๆ
   
“ไม่ได้ว่าอะไรหรอกน่า เราชินแล้ว ไป... ไปอาบน้ำนอนได้แล้วเจ สภาพนายดูไม่ได้เลย”

“อือ...” เจ้าตัวค่อยๆพยุงร่างตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างยากลำบาก
   
“ไหวไหม จะกินอะไรหรือเปล่า” แขนอีกข้างหนึ่งที่ว่างอยู่คอยพยุงร่างที่จะหลับแหล่มิหลับแหล่นั่นเอาไว้
   
“อยากนอน” เสียงนั้นงึมงำตอบกลับมา
   
แต่โยรู้ดีว่า แม้จะอยากนอนแค่ไหน แต่คนรักอนามัยอย่างเจไม่มีทางนอนตาหลับได้ถ้าไม่อาบน้ำเสียก่อน

เจพาร่างอันสโลสเลเดินหายเข้าห้องน้ำไปและเดินกลับออกมาพร้อมกับใส่เสื้อยืดและกางเกงบ๊อกเซอร์ที่ก็ยืมเอาจากเจ้าของห้องนั่นแหละ ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงและหลับไปในทันทีที่หัวถึงหมอน โยถึงกับส่ายหน้าเมื่อเห็นสภาพเพื่อนที่นอนคว่ำลงกับที่นอน ศีรษะหันไปทางหนึ่ง อันเป็นท่านอนเอกลักษณ์ที่เขาเห็นจนชินตา เขาคลี่ผ้าห่มออกก่อนจะคลุมลงบนร่างที่นอนอยู่ข้างๆ แล้วก็หันไปปิดไฟ ก่อนจะล้มตัวลงนอนและห่มผ้าให้ตัวเอง และหลับตามกันไปอีกคน

ก็จะให้เขาหาเพื่อนร่วมห้องมาอยู่ด้วยได้อย่างไรกัน ในเมื่อมีเพื่อนที่เขาต้องคอยดูแลเป็นห่วงอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ทั้งคน

**********************

“ตื่นแล้วเหรอ กำลังจะมาปลุกเลย”

“กี่โมงแล้วเนี่ย” เสียงแหบๆนั้นถามออกมาอย่างงัวเงียเต็มที่

“สิบโมง”

“โห” ร่างที่ยังนอนอยู่บนเตียงครางพร้อมกับขยี้ตา “กินอะไรหรือยัง”

“ยัง รอนายอยู่”

“งั้นเดี๋ยวลุกไปทำอะไรให้กิน”

“อย่าลำบากเลย เดี๋ยวออกไปซื้ออะไรเข้ามากินก็ได้ ง่ายๆ”

“ไม่อร่อยเท่าของเราทำหรอก” น้ำเสียงที่ดูเหมือนจะสดใสขึ้นบ้างแล้วคุยทับ แม้จะยังไม่ยอมขยับลุกจากที่นอนอันแสนสบายนั่น ทำเอาคนที่ยืนกอดอกมองลงมาอดยิ้มขันออกมาไม่ได้

“ตามใจ”

เจกระเด้งตัวขึ้นจากเตียงก่อนจะเดินผลุบหายเข้าไปในห้องน้ำ ใช้เวลาไม่นานก็ออกมาพร้อมเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เรียบร้อย ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างพอใจเมื่อเห็นผ้าห่มพับวางเอาไว้อย่างเป็นที่เป็นทาง

ในส่วนที่ใช้ทำอาหารได้ยังไม่อาจจะนับว่าเป็นห้องครัว เพราะค่อนข้างจะเล็กเอาเรื่อง แต่ก็ยังดีที่มันถูกจัดแยกเอาไว้อย่างเป็นสัดเป็นส่วน เจเดินเข้าไปหยิบจับอะไรต่อมิอะไรในนั้นอย่างคุ้นเคย น่าจะคุ้นเคยมากกว่าเจ้าของห้องเสียด้วยซ้ำ เพราะรายนั้นทำอาหารไม่เป็นเลยนอกจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป กับอะไรก็ได้ที่เมื่อยัดใส่เตาไมโครเวฟแล้วสามารถกินได้ทันที

โยนั่งดูทีวีอย่างสบายใจและคุ้นชินกับเสียงก๊อกๆแก๊กๆในครัวที่ดังออกมาเป็นระยะ เจมาค้างทีไร เป็นได้อิ่มสบายท้องทุกที เขามีหรือจะไม่ชอบ เผลอๆตัวแขกที่มาค้างด้วยบ่อยครั้งยังทำตัวเสียอย่างกับเป็นเจ้าของห้องก็ไม่ปาน คอยสั่งให้ซื้อนั่นซื้อนี่เข้ามา ขาดเหลืออะไรก็ไปหามาเติมให้ แถมยังขยันใช้เขาให้ทำโน่นทำนี่อีกต่างหาก จะไม่ทำก็ไม่ได้อีก เพราะจะโดนแขกบ่นจนหูชา บางครั้งก็อดสงสัยไม่ได้ว่านี่มันเพื่อนหรือแม่กันแน่ ใครจะไปนึกว่าชายหนุ่มหน้าตาดีบุคลิกห้าวหาญเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น จะกลายเป็นคนจู้จี้และเจ้าระเบียบขนาดนี้ แต่ข้อดีก็คือมันทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเขามีระเบียบเรียบร้อยขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ห้องพักก็ไม่ได้เป็นแค่ห้องพักที่เอาไว้ซุกหัวนอนแต่เพียงอย่างเดียว แต่มันน่าอยู่ขึ้นเป็นกอง

โยเดินตามกลิ่นหอมเข้ามาและเห็นว่ามีข้าวผัดหน้าตาแปลกๆสองจานวางอยู่บนโต๊ะ ที่สำคัญยังอุตส่าห์มีน้ำแกงร้อนๆให้ซดได้คล่องคอวางเคียงอยู่ด้วย

“เรารักนายว่ะเพื่อน” โยหันไปพูดกับเด็กหนุ่มที่แกะผ้ากันเปื้อนออกอย่างคล่องแคล่วด้วยทีท่าซาบซึ้งเกินจริง ก่อนจะเดินเข้าไปเอาคางเกยไว้บนไหล่ของอีกฝ่าย ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหมือนกันที่เจรู้สึกคุ้นเคยกับสัมผัสเหล่านี้จากเพื่อนตัวสูง เขาไม่ได้รู้สึกรำคาญหรือคิดจะปัดป้องอะไรด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มพับผ้ากันเปื้อนพาดเอาไว้ตรงอ่างล้างจาน ก่อนจะหันไปพร้อมกับใช้มือดุนดันหลังของอีกฝ่ายให้ไปนั่งประจำที่

“หน้าตาประหลาดแต่รับรองกินได้สบาย นายเล่นไม่ซื้ออะไรเข้ามาติดตู้เย็นไว้บ้างเลย เราเลยค้นๆเอาเท่าที่หาได้นั่นแหละมาทำ”

ถ้านอกเหนือจากการเป็นนักร้องแล้วเกิดหมอนี่นึกอยากจะเปิดร้านอาหารขึ้นมาจริงๆล่ะก็ เขานี่แหละเป็นคนแรกที่จะสนับสนุนทันที เจเป็นคนมีพรสวรรค์ในเรื่องการทำอาหารจริงๆ สมแล้วที่แม้จะอายุแค่นี้แต่ได้เป็นถึงผู้ช่วยพ่อครัว ลาภปากจึงตกอยู่ที่เขานี่เอง เพราะได้กินอาหารฝีมือของหมอนี่บ่อยกว่าใครเพื่อน

“เจ มาค้างห้องเราบอกที่บ้านไว้หรือเปล่า” โยถามหลังจากที่จัดการอาหารตรงหน้าจนหมดเกลี้ยง

เด็กหนุ่มที่ใบหน้าดูสดชื่นขึ้นมากกว่าเมื่อคืนพยักหน้า แต่ก็เห็นได้ชัดว่าท่าทางจะมีเรื่องที่รบกวนจิตใจอยู่ไม่น้อย

“ทะเลาะกับที่บ้านอีกแล้วเหรอ”

“ที่จริง เราไม่ต้องทำงานหนักอย่างเมื่อคืนก็ได้ แล้วก็จะกลับไปนอนบ้านเร็วหน่อยก็ยังได้” เจหยุดพูดแค่นั้น ก่อนจะถอนหายใจออกมา “แต่เราเหนื่อยกลับไปทะเลาะกับเขาน่ะ”

โยพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“หลังๆนี่ดูเหมือนเราจะทำอะไรขวางหูขวางตาพ่อไปหมด ตั้งแต่เรื่องเรียน เรื่องเป็นนักร้องฝึกหัด ไปจนเรื่องงานพิเศษ นี่ถ้าเขารู้ว่าเราเล่นไลฟ์ด้วยนะ คงโวยไปสามวันแปดวันเลย” เจยกมือขึ้นเสยผมที่ยาวลงมาปรกหน้าผาก “เราเหนื่อยกายไม่เท่าไหร่ แต่เหนื่อยใจนี่เราไม่ไหวจริงๆ ก็เลยบอกไปว่าจะไม่กลับนะ จะค้างบ้านเพื่อนคืนนึง มาชาร์ตแบ็ตฯ” เจพูดติดตลกและเรียกรอยยิ้มจากคนฟังที่นั่งอยู่ด้วยกันออกมาได้ในที่สุด

“แล้ว... ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรนะ เรื่องแนนน่ะ มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า ไม่เห็นเขาหลายวันแล้ว”

“เฮ้อ....” หนนี้เจถึงกับต้องเอามือกุมศีรษะเอาไว้อย่างอับจนหนทาง “เราโคตรเหนื่อยเลยโย เอาใจเขาไม่ถูกจริงๆ”

“เขาก็รู้ไม่ใช่เหรอว่า นายมีอะไรต้องทำหลายอย่าง”

“รู้แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเราจะต้องวิ่งไปวิ่งมาขนาดนี้ จนไม่มีเวลาให้เขาเลย ซึ่งเราก็ไม่มีเวลาให้เขาจริงๆนั่นแหละ” เจ้าตัวถอนหายใจหนักๆ “แต่เราก็พยายามแล้วนะ แค่มันอาจจะไม่พอสำหรับเขาเท่านั้นเอง”

“แล้วนี่ไม่ได้คุยกันมานานแค่ไหนแล้ว”

“เกือบอาทิตย์แน่ะ เราโทรไปเขาไม่ยอมรับสาย คงงอนน่ะ”

เด็กหนุ่มอีกคนจึงเอื้อมมือไปตบที่บ่าเพื่อนเบาๆอย่างปลอบประโลม แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าแค่บอกว่า “คุยกันซะนะ” ว่าแล้วจึงลุกขึ้นหยิบจานเปล่าที่วางอยู่ทั้งตรงหน้าของเขาและของเจเดินไปวางที่อ่างล้างจาน แล้วจึงลงมือทำความสะอาดเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรออกมาอีก

*************************

เจหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาชั่งใจอยู่เป็นครู่หลังจากที่แยกจากโยเพื่อออกมาขึ้นรถประจำทางกลับบ้านเสียที แนนไม่โทรกลับหาเขาเลยตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่าว่าแต่โทรกลับเลย ไม่แม้แต่จะรับสายเขาเสียด้วยซ้ำ หลายครั้งที่เขาอดคิดกับตัวเองไม่ได้เลยว่า หรือว่าเขาจะไม่เหมาะกับการมีใครสักคนจริงๆ เขาคงยังเด็กเกินไปที่จะรับผิดชอบความรู้สึกของใครสักคนได้ แต่เขาก็รักแนนเหลือเกิน หาไม่แล้วคงไม่หาญกล้าเข้าไปทำความรู้จักตรงๆตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแน่ๆ ใครที่ไม่รู้จักเจ มักจะคิดไปเองว่าเด็กหนุ่มเป็นคนที่ดูเหมือนไม่แยแสต่อสิ่งรอบข้าง คงเพราะใบหน้าที่ไม่ค่อยยิ้มแย้มและดูเหมือนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา แม้จะชวนให้ดึงดูดใจแต่ก็ดูลึกลับและเข้าถึงยากเหลือเกิน หารู้ไม่ว่า เจเป็นคนตรงไปตรงมาติดจะขวานผ่าซากอย่างยิ่ง เขาซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองอย่างที่สุด คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น และจริงใจกับคนรอบข้างเสมอ และน้อยคนนักที่จะรู้ว่าเด็กหนุ่มเป็นคนอ่อนโยนเพียงไร

เขาเองก็เคยนึกสงสัยว่าทำไมเด็กสาวที่เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างอย่างแนนจึงตัดสินใจคบหากับเขา ทั้งที่เมื่อเทียบกันแล้ว เขาด้อยกว่าเธอในทุกทางไม่ว่าจะเป็นเรื่องฐานะความเป็นอยู่หรือชาติตระกูล ยิ่งเขาต้องปากกัดตีนถีบด้วยตัวเองขนาดนี้แล้ว บอกตามตรง ไม่ชวนให้คิดว่ามีเสน่ห์น่าดึงดูดเลยแม้แต่น้อย ไอ้ครั้นจะบอกว่าตัวเองหน้าตาดีหรือ แม้เขาอาจจะพูดไม่ได้ว่าตัวเองขี้เหร่แต่คนอย่างแนนที่มีหนุ่มๆมาต่อคิวขอเป็นแฟนยาวเป็นหางว่าวขนาดนั้น ย่อมมีตัวเลือกมากมายที่ดีกว่าเขาอยู่แล้ว

ทั้งที่เคยคิดว่าตัวเองเป็นเด็กหนุ่มที่โชคดีมากแท้ๆ แต่ตอนนี้เขาชักไม่แน่ใจเสียแล้ว

เจยอมรับว่าในระยะหลัง ไม่เพียงแต่งานเท่านั้นที่ทำเอาเขาวิ่งจนหัวหมุนไปหมด ไหนจะเรื่องเรียน และปัญหากับที่บ้านอีกที่รุมเร้าเขาเสียจนบางทีก็ไม่รู้ว่าจะหันไปทางไหนก่อนดี และทุกครั้งที่เขาหันไปรับมือกับปัญหาก็จะนึกถึงแนนตลอดเวลา กังวลว่าเด็กสาวจะทำอะไรอยู่ จะห่วงเขา หรือจะโกรธเขาหรือไม่ จนกระทั่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่เขาบอกกับแนนเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ว่างานยุ่งมากจนอาจจะไม่ได้ไปเดินเที่ยวกับเธอในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ แนนชักสีหน้าก่อนจะเอ่ยสั้นๆอย่างมีอารมณ์ว่า

“ว่างเมื่อไหร่ค่อยมาหาแนนก็ได้นะเจ” แล้วก็เดินหนีกลับบ้านไป

จะให้เขาทำอย่างไรแนนจึงจะเข้าใจ เขาเองก็จนปัญญา จนถึงตอนนี้เขาก็กำลังนั่งอยู่บนรถประจำทางและชั่งใจอย่างหนักว่าจะโทรไปหาแนนอีกครั้งดีไหม
เจตัดสินใจกดที่แป้นมือถือในมือ ยกโทรศัพท์เครื่องบางขึ้นแนบหู

“ฮัลโหล” เจใจชื้นขึ้นเป็นกองเมื่อได้ยินเสียงจากปลายสายตอบกลับมาแม้จะฟังดูห่างเหินกว่าที่เคย

“แนน ยอมรับสายเราแล้วเหรอ”

“ว่างแล้วเหรอถึงขยันโทรมาได้” น้ำเสียงนั้นยังคงมีแววขุ่นเคือง

“เราขอโทษ” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงอ่อย

“เจ แนนว่าเราควรต้องคุยกันหน่อยแล้วดีไหม”

เด็กหนุ่มได้ยินแล้วทำได้แค่ถอนหายใจเบาๆ

“แต่แนนไม่อยากคุยทางโทรศัพท์ นัดเจอกันดีกว่า”

“แล้วแต่แนนก็แล้วกัน”

“งั้นพรุ่งนี้ว่างไหม”

“ขอเป็นวันอังคารได้ไหมแนน” เขาว่าเสียงอ่อยลงกว่าเดิมอย่างรู้สึกผิดขึ้นมาอีกคำรบ และยิ่งใจไม่ดีเมื่อได้ยินปลายสายทำเสียงราวกับพยายามจะสะกดอารมณ์บางอย่างเอาไว้ “พรุ่งนี้วันจันทร์เจติดเรียนทั้งที่โรงเรียนกับที่บริษัทเลย”

“งั้นวันอังคารสี่โมงเย็น ร้านเดิมก็แล้วกัน หวังว่าจะไม่ติดอะไรอีกนะเจ” แนนว่าเสียงแข็ง “แค่นี้นะ วันนี้แนนจะออกไปกับคุณแม่”

ปลายสายตัดไปแล้ว เขาได้แต่นั่งมองหน้าจอโทรศัพท์เงียบๆ คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าความสัมพันธ์นี้มันอาจจะไปไม่รอด และถ้ามันจะไปไม่รอดจริงๆเขาก็คงไม่โทษใครนอกจากตัวเอง

จะเป็นไปได้ไหมนะ ที่จะมีใครสักคนพร้อมเดินไปพร้อมกับเขาได้โดยมีความฝันอันยิ่งใหญ่แบกเอาไว้บนบ่าแบบนี้ เจได้แต่คิดกับตัวเองเงียบๆก่อนจะปิดเปลือกตาลงด้วยความอ่อนล้า

************************

เด็กหนุ่มเดินสะพายเป้ใบเก่งเข้าบ้าน พ่อนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาตัวเดิมที่เขาเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เจยกมือไหว้เมื่อเห็นพ่อลดหนังสือพิมพ์ลงและชำเลืองมองว่าใครเดินเข้ามา ก่อนที่จะเบือนสายตากลับไปอย่างไม่นึกสนใจอะไรอีก เจชินเสียแล้ว เขาเดินเข้าไปหลังบ้านเห็นแม่กำลังง่วนอยู่กับงานอะไรสักอย่างในมือ เมื่อวางกระเป๋าลงแล้ว จึงเดินไปนั่งข้างๆพร้อมโอบแขนไปกอดผู้เป็นแม่เอาไว้

“ทำไมโทรมอย่างนี้ล่ะลูก” แม่ว่าอย่างเอ็นดู มือข้างหนึ่งลูบศีรษะลูกชายเพียงคนเดียวอย่างห่วงใย

“งานที่ร้านหนักนิดหน่อยแม่ ช่วงนี้เลยดึก ต้นเดือนก็แบบนี้”

“เจ เหนื่อยก็พักสักหน่อยไหมลูก” นางมองหน้าลูกชายอย่างเป็นกังวล “พ่อเขาก็ห่วงนะ เห็นเขาตึงๆไปอย่างนั้นก็เถอะ”

“เจก็รู้นะแม่ แต่พอพูดเรื่องเดิมทีไรก็ไม่พ้นต้องทะเลาะกันทุกที ไม่อยากอธิบายแล้วก็เลยอยากทำให้เขาเห็นเองมากกว่า”

“ดื้อกันทั้งพ่อทั้งลูกเลยจริงๆ” นางส่ายศีรษะแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก “เย็นนี้ไม่ติดอะไรใช่ไหม แม่เตรียมทำมื้อเย็นเอาไว้หลายอย่างเลย”

“แม่จะทำแล้วเรียกเจนะ เดี๋ยวลงมาช่วย” ผู้เป็นแม่มองตามหลังลูกชายคนเล็กเพียงคนเดียวของนางเดินถือกระเป๋าขึ้นห้องไปก่อนที่จะยิ้มออกมา ลูกสาวสี่คนไม่มีใครทำอาหารเป็นเลยสักคน กลายเป็นลูกชายเสียอีกที่ชอบเข้าครัว แต่ที่นึกไม่ถึงก็คือความมุ่งมั่นอันน่าตกใจนี่เอง เจเป็นอย่างไรทำไมคนที่เป็นแม่อย่างนางจะไม่รู้ วันที่ลูกชายเดินมาบอกว่าอยากจะเป็นนักร้องอย่างจริงจัง แม้ในตอนนั้นเจจะอายุแค่สิบสี่ แต่แค่เห็นแววตาอันมุ่งมั่นคู่นั้น นางก็รู้แล้วว่าเจเอาจริงแน่นอน เด็กคนนี้ลองได้พูดอะไรออกมาแล้ว แสดงว่าเจ้าตัวต้องตัดสินใจมาแล้วอย่างเด็ดขาด และไม่มีอะไรในโลกจะมาเปลี่ยนแปลงได้แน่ๆ ในใจนางแม้จะนึกค้าน เพราะมันหมายถึงอนาคตที่ไม่แน่นอนของลูกชาย ไหนจะเรื่องเรียน ไหนจะเรื่องอนาคตภายภาคหน้า แล้วถ้าลูกผิดหวัง ถ้าไปไม่ถึงฝัน ลูกจะเสียใจเพียงไร นางจึงทั้งห่วงทั้งกังวลไปสารพัด ยิ่งผู้เป็นพ่อยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะผิดหวังกับการตัดสินใจของลูกชายมากแค่ไหน นิสัยที่ดื้อทั้งพ่อทั้งลูกนี่ไงเล่า ถึงได้มึนตึงกันตลอดสองปีมานี้

แต่ก็เป็นสองปีที่นางได้เห็นว่าลูกชายของนางมีความมุ่งมั่นและเพียรพยายามเพียงไร จะมีเด็กในวัยนี้สักกี่คนที่เมื่อตัดสินใจจะทำอะไรบางอย่างแล้วลงมือทำจริงๆ ไม่ว่าจะหนักหนายากเย็นและมีอุปสรรคมากแค่ไหน เจก็ไม่เคยยอมแพ้ นางจึงยอมใจอ่อนให้ลูกชายลงมากในระยะหลัง ส่วนหนึ่งก็เพราะไม่อยากให้บรรยากาศภายในบ้านตึงเครียดไปกว่านี้ แต่ก็นั่นแหละ ครั้นจะให้ยอมรับการตัดสินใจของลูกชายไปเสียทั้งหมด นางก็ยังทำไม่ได้อยู่ดี อย่างมากก็ได้แต่เตือนด้วยความเป็นห่วง หรือไม่ก็เลี่ยงที่จะไม่พูดถึงไปเสียเลย

***************************

“มาทานข้าวได้แล้ว” เสียงของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นทั้งแม่และแม่บ้านของครอบครัวตะโกนเรียกสมาชิกทุกคนให้ลงมารับประทานมื้อเย็นกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ซึ่งเป็นเรื่องที่นานๆครั้งจะเกิดขึ้นสักที

ลูกสาวทั้งสี่คนทยอยเดินเข้ามาในห้องครัว พร้อมกับทำหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นน้องชายคนเล็กที่กำลังวุ่นอยู่กับอาหารหน้าเตา

“อ้าว เจ กลับมาไม่เห็นให้สุ้มให้เสียงมั่งล่ะ” จูนพี่สาวคนโตที่อายุมากกว่าน้องชายคนเล็กอยู่หลายปีเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ

“พี่จูนอยู่บ้านด้วยเหรอ ปกติน่ะ” น้องชายหันมาถามอย่างยียวน ทำเอาพี่สาวอดรนทนไม่ได้ เดินไปเคาะศีรษะน้องชายเบาๆอย่างนึกเอ็นดู

“อุ๊ย เจ อันนี้ตัวทำหรือเปล่า” จ๋ากับจีนพี่สาวฝาแฝดที่อายุห่างจากเขาสองปีว่าขึ้นอย่างตื่นเต้นหลังจากที่ก้มๆเงยๆอยู่บนโต๊ะอาหาร เมื่อน้องชายหันมาพยักหน้า สองสาวก็กรี๊ดกร๊าดออกมาด้วยความยินดี เพราะชอบนักล่ะอาหารฝีมือน้องชายเพียงคนเดียวคนนี้ สักพักแจนพี่สาวคนรองก็เดินตามผู้เป็นพ่อเข้ามา เรียกว่าครบองค์ประชุมทีเดียว

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปสบายๆ แม้จะเห็นได้ชัดว่าผู้เป็นพ่อเงียบกว่าปกติเมื่อลูกชายมานั่งร่วมโต๊ะด้วย ซึ่งก็น่าจะถือว่าเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่เพราะมีลูกสาวทั้งสี่คนนั่งอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้ โต๊ะอาหารในวันนี้จึงครึกครื้นขึ้นอย่างมาก

“เจ ตัวต้องเอ็นท์ฯแล้วนี่ คิดเอาไว้แล้วหรือยังว่าจะเอายังไง” บทสนทนาอันหลากหลายๆที่จู่ๆก็ลากเข้าเรื่องการศึกษาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทำให้บรรยากาศตึงเครียดลงอย่างรู้สึกได้

“ยังไม่ได้ตัดสินใจเลย พอดีตอนนี้มันมีอะไรต้องทำล้นมือไปหมดน่ะ” เจตอบไปตามตรง ที่จริงนี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เขารู้สึกเป็นกังวลอย่างที่สุด

“บอกไว้ก่อนนะว่า ถ้ายังไปเรียนร้องเรียนเต้นบ้าๆบอๆอะไรของแกนั่นอยู่ล่ะก็ พ่อจะไม่ส่งเสียให้แกเรียนอีกแล้ว ถ้าแน่พอที่จะทำงานหาเงินเองได้ล่ะก็ ทำให้ได้ไปตลอดรอดฝั่งก็แล้วกัน” ผู้เป็นพ่อพูดขึ้นโดยไม่ยอมมองหน้าลูกชายเพียงคนเดียวแม้แต่น้อย

เจก้มหน้ากัดริมฝีปากอย่างไม่อาจจะพูดต่อล้อต่อเถียงอะไรได้ เขาได้ยินแต่เสียงแม่พูดปรามพ่อขึ้นเบาๆ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารยิ่งอึมครึมลงไปอีก นึกเจ็บใจที่ความเป็นเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมของตัวเองทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ ความเครียดอันหนักอึ้งที่เข้าครอบคลุมจิตใจมาตลอดทั้งวันกดดันจนทำให้เขาไม่อาจจะทำอะไรให้ดีไปกว่าการวางช้อนส้อมลง เลื่อนจานออกไป แล้วก็ลุกขึ้นเอ่ยเบาๆ

“เจอิ่มแล้วครับ”

ทุกคนบนโต๊ะได้แต่มองตามหลังลูกชายเพียงคนเดียวของบ้านเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ

“ไม่ต้องไปสนใจมัน จองหองนัก ก็ปล่อยมันไป”

“จริงๆนะ พ่อเนี่ย” พี่สาวคนโตว่าขึ้นอย่างเหลืออด

“อะไร” ผู้เป็นพ่อว่าเสียงแข็ง “พ่อทำผิดอะไรอีก พวกแกถึงได้อยากจะเข้าข้างมันนัก”

“พ่อไม่ผิดหรอกที่ห่วงเจมัน แต่เจมันก็ไม่ผิดเหมือนกัน พ่อจะไปอะไรกับมันนักหนา” จูนว่า

“ก็ถ้ามันจะฟังที่พ่อแม่มันพูดหน่อย ห่วงอนาคตของตัวเองหน่อย ไม่ใช่เอาแต่ฝันลมๆแล้งๆแบบนี้ แล้วดูซิ มันเสียเวลาไปเปล่าๆปลี้ๆ เพื่ออะไร เขาหลอกให้มันไปเสียเงินฟรีๆน่ะสิ เป็นนักร้อง... ถ้ามันเป็นได้ง่ายๆ เขาคงไปเป็นกันหมดแล้ว”

“ก็เพราะมันไม่ง่ายนี่ไงพ่อ ถึงต้องให้เวลาน้องมันบ้าง” เสียงลูกสาวอีกคนว่าขึ้นบ้าง

“แล้วดูซิ เออ ถ้าเจมันเป็นเด็กเลวเกวนะ หนูจะไม่เถียงพ่อซักคำเลย นี่มันตั้งใจทำทุกอย่างด้วยตัวเองคนเดียว อย่างน้อยพ่อก็น่าจะเข้าใจมันบ้าง”

“หรือไม่ ถ้าไม่ชื่นชมมันก็ไม่ต้องไปกดดันมัน เจมันแค่สิบเจ็ดเองนะพ่อ”

“เออ พ่อมันไม่ดี เลี้ยงลูกไม่เอาไหน ไม่ได้ดั่งใจซักคน พอใจพวกแกแล้วใช่ไหม” ประมุขของบ้านมีอารมณ์ขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่าทุกคนพร้อมใจกันเข้าข้างไอ้ลูกชายคนเล็กที่ขัดใจเขาไปเสียทุกอย่าง ก่อนที่จะวางช้อนส้อมทิ้งอย่างไม่ไยดีแล้วผละจากโต๊ะอาหารไปอีกคน ทำเอาสาวๆที่เหลืออยู่หันไปมองหน้ากันเองอย่างหนักใจ นี่ขนาดยังไม่รู้นะเนี่ยว่า ทั้งสี่สาวแอบเอาเงินให้น้องชายคนเล็กใช้อยู่บ่อยๆ ถ้ารู้ เห็นทีบ้านจะแตกก็คราวนี้

“พ่อใครวะเนี่ย ทำไมดื้อขนาดนี้” แจน พี่สาวคนรองที่นิสัยติดจะห้าวหาญค่อนไปทางผู้ชายว่าขึ้นอย่างระอา

“พ่อเจมันไง หัวแข็งทั้งพ่อทั้งลูก”

“พ่อเขาห่วงเจน่ะลูก อย่าไปว่าพ่อแบบนั้น”

“จ๋าก็รู้นะแม่ว่าพ่อเขาห่วง แต่ทำแบบนี้ มีแต่ไปกดดันเจมันเปล่าๆ”

“เอาจริงๆนะแม่” จีนว่าขึ้นบ้าง “ทีแรกพวกหนูก็ไม่สนับสนุนเจมันหรอก เพราะนึกว่ามันจะเล่นๆ แต่นี่ดูเอาเถอะ เคยเห็นมันขี้เกียจไหม เคยเห็นว่ามันโดดเรียนไหม ก็เปล่า สำหรับเด็กอายุแค่สิบเจ็ด แล้วทำได้ขนาดนี้ หนูว่าน่าภูมิใจมากกว่า”

“อย่างน้อยเจมันก็รู้ว่ามันชอบและอยากทำอะไร ตอนเราอายุเท่านั้น เรายังไม่รู้เลยว่าอยากทำอะไร”

เจอลูกสาวกล่อมถึงขนาดนี้ ผู้เป็นแม่ถึงกับพูดไม่ออก ได้แต่มองไปทางประตูแล้วก็ส่ายหน้าอย่างหนักใจ

“ไม่เอาแล้ว กินข้าวเหอะ ใครจะอิ่มก็ปล่อยให้เขาอิ่มไป” จูนตัดบทขึ้นมาอย่างไม่คิดจะต่อความยาวใดๆอีก นึกเคืองอยู่เหมือนกันที่บรรยากาศดีๆบนโต๊ะอาหารถูกทำลายไปเสียหมดเพราะหัวข้อทางการศึกษาแท้ๆ

***********************

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
เด็กหนุ่มเดินไปนั่งซึมที่เก้าอี้ รู้สึกหดหู่เหลือเกิน ยิ่งเมื่อคำนวณดูเงินในแต่ละเดือนที่เป็นรายรับและนำมาเปรียบกับรายจ่ายแล้ว เจ้าตัวถึงกับเอาศีรษะโขกลงบนโต๊ะเบาๆ หนทางมันช่างตีบตันเสียจริง ที่จริง ไม่ต้องรอให้พ่อพูดขึ้นมากลางวงข้าวแบบนั้น เขาก็พอจะรู้อยู่แล้วว่า พ่อคงไม่ยอมให้เขามากกว่านี้แน่นอน ที่ผ่านมานี่ก็นับว่าเป็นความปราณีของพ่อแล้ว เพียงแต่อดรู้สึกไม่ได้จริงๆว่า ทำไมปัญหานี่มันชอบเกิดขึ้นพร้อมๆกันนัก

เขาอยากเรียนต่อ แน่ล่ะ การร้องเพลงสำคัญกับเขาเท่าชีวิต แต่เขาก็ไม่ได้โง่ขนาดที่ไม่รู้ว่าการเรียนก็เป็นสิ่งที่ทิ้งไม่ได้ อย่างน้อยๆมันก็อาจจะทำให้พ่อกับแม่สบายใจขึ้นบ้าง แต่ถ้าพ่อตัดหนทางเขาแบบนี้ ก็แปลว่าต้องเลือกแล้วสินะ ให้ตายเถอะ เขาไม่อยากเลือกเลย แต่คนเรามันไม่ได้ทุกอย่างในชีวิตหรอก
เอาเถอะ ค่อยๆแก้ปัญหาไปทีละอย่างก็แล้วกัน

เรื่องเดียวเท่านั้นที่ทำให้เขาสบายใจ และพอจะทำให้ลืมปัญหาไปได้บ้างก็เห็นจะเป็นการฝึกร้องและเต้นที่ต้องทำอย่างเสมอเกือบทุกวันนั่นเอง วันพรุ่งนี้ หลังเลิกเรียน เขาต้องรีบไปเข้าคลาสทันที กว่าจะเลิกก็กินเวลาไปถึงสองสามทุ่ม โชคดีที่ไม่ต้องไปทำงานวันจันทร์ ส่วนวันอังคาร เลิกเรียนเร็ว ก่อนเข้าคลาสเขาจึงยังพอมีเวลาไปเจอแนนตามนัดได้ แต่หลังคลาสก็ยังมีงานพิเศษรออยู่ ไม่ทำก็ไม่ได้เสียด้วย เด็กหนุ่มเปิดดูสมุดจดตารางเวลาของตัวเองแล้วหน้านิ่วอย่างไม่รู้ตัว เด็กอายุสิบเจ็ดอะไรตารางชีวิตจะแน่นขนาดนี้วะเนี่ย เขารำพึงกับตัวเอง และก่อนที่จะปล่อยความคิดของตัวเองให้เตลิดไปไกล เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจนอนแผ่ลงบนเตียง คว้าหูฟังขึ้นได้ก็เสียบเข้าหูทั้งสองข้าง ก่อนจะเปิดเพลงที่นัทส่งมาให้โดยมีโยคอยช่วยดึงไฟล์ลงใส่เครื่องเล่นเอ็มพีสามสมบัติล้ำค่าอีกชิ้นที่ขาดไม่ได้ของเจ้าตัว พร้อมกับหลับตาปล่อยใจไปกับเสียงเพลง โดยพยายามจะไม่เก็บเรื่องอะไรมาคิดให้หนักหัวอีก

*********************

เขามาถึงก่อนเวลาสิบห้านาที โชคดีที่สถานที่นัดกับบริษัทอยู่ไม่ไกลกันมากนัก แถมยังมีรถไฟฟ้าอีกต่างหาก จึงคลายใจว่าอย่างไรก็เข้าคลาสทันแน่นอน

แม้จะมีปัญหาให้ขบคิดมากมาย แต่อย่างน้อยการที่เขาทำได้ดีทั้งในคลาสร้องเพลงและคลาสเต้น ก็ช่วยทำให้เขามีกำลังใจที่จะทำสิ่งเหล่านี้ต่อไป กับคนอื่นเขาไม่รู้หรอกว่าจะมุ่งมั่นกับความฝันอันนี้ได้มากเท่ากับเขาหรือไม่ แต่สำหรับเขาแล้วมันคือสิ่งที่ทำให้เขายังมีพลังที่จะทำอะไรอื่นต่อไปได้ ไม่รู้เพราะอะไรเขาถึงมั่นใจนักว่าการตัดสินใจครั้งนี้ไม่ผิด แม้บางครั้งจะท้อใจไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยสักครั้งที่จะนึกยอมแพ้

เจได้เห็นว่าเด็กหลายคนที่เข้ามาเรียนกับเขาตั้งแต่คลาสแรก บ้างก็หายหน้าไปเลยเมื่อเวลาผ่านไป บางคนก็เข้าบ้างไม่เข้าบ้าง บางคนก็ดูเหมือนจะไม่ได้ตั้งอกตั้งใจมากนัก แม้ทุกคนที่เข้ามาเรียนจะผ่านการออดิชั่นมาเหมือนๆกัน แต่สุดท้ายก็อยู่ที่ความมุ่งมั่นตั้งใจของแต่ละคนมากกว่าอย่างอื่น จากเด็กที่ผ่านการออดิชั่นมาหลายสิบคน ตอนนี้น่าจะเหลือที่ตั้งใจจริงอยู่ไม่ถึงครึ่ง เขาเชื่อว่าตัวเองอยู่ในครึ่งที่ยังคงมุ่งมั่นกับความฝันนั้น และเชื่อว่าสักวันความมุ่งมั่นของเขาจะสัมฤทธิ์ผลในวันหนึ่ง

“มานานแล้วเหรอ” แนนเดินเข้ามาเมื่อไหร่ เขายังไม่ทันสังเกตเสียด้วยซ้ำ

“แนน” เจเรียกชื่อนั้นด้วยน้ำเสียงเบาแต่ก็เต็มไปด้วยความยินดีไม่ปิดบัง

สาวน้อยหน้าตาน่ารักเป็นเจ้าของรูปร่างแบบบางที่ถูกซ่อนเอาไว้ในชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนชื่อดังที่ใครเห็นเป็นต้องรู้จัก ผมสีดำขลับถูกรวบเอาไว้อย่างเรียบร้อย เพราะวันนี้เป็นวันธรรมดา ใบหน้าขาวใสนั้นจึงมีเพียงแป้งฝุ่นทาอยู่บางๆ ริมฝีปากเคลือบด้วยลิปกลอสเป็นประกายเล็กน้อย ดูไม่มากเกินไป เพราะถึงอย่างไรเด็กสาวก็เป็นเพียงแค่นักเรียนมัธยม เจบอกกับตัวเองว่า เขาชอบแนนแบบนี้มากกว่าแนนที่แต่งตัวโฉบเฉี่ยวจนเป็นเป้าสายตาของหนุ่มๆเสียอีก แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะไปบังคับฝืนใจคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนได้ เจ ที่ขึ้นชื่อเรื่องรักและตามใจแฟนอยู่แล้ว จึงไม่เคยพูดอะไรที่จะเป็นการขัดใจหรือหักหาญน้ำใจแนนเลย

“เจ ยุ่งมากเลยเหรอพักนี้” แนนถามอย่างไม่อ้อมค้อม

เด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างไม่มีข้อแก้ตัวอะไรอีก

“นอกจากเรื่องเรียนแล้วก็งาน ตอนนี้มันมีอะไรให้ต้องเป็นกังวลมากมายจริงๆ” เขาสารภาพ “ขอโทษนะที่เราทำเหมือนไม่ใส่ใจแนน แต่เราก็คิดถึงแนนตลอดนะ”

“แนนรู้ แต่มาคิดดูแล้ว...” เด็กสาวเงียบไปพักใหญ่ราวกับกำลังตัดสินใจว่าจะพูดต่อไปดีไหม เธอผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อว่า “ถ้าเป็นแฟนกันแล้วไม่มีเวลาให้กันแบบนี้ เราจะคบกันไปทำไม” เด็กสาวมองหน้าแฟนหนุ่มของตัวเองที่เงียบกริบ ใบหน้าที่จะว่าหล่อหรือหวานเธอเองก็บอกไม่ถูก ซึมลงไปอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการฟูมฟายอันใดออกมาราวกับจะเตรียมใจเอาไว้แล้ว “ไม่ใช่ว่าแนนจะไม่เข้าใจนะว่าเจมีภาระเยอะ แต่จะให้แนนรอเจตลอดเวลา แนนคงทำไม่ได้”

“เรารักแนนนะ” เจว่าอย่างไม่รู้จะพูดอะไรที่ดีกว่านั้น ทั้งที่เตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่ความรู้สึกในเวลาที่ได้ยินออกมากจากปากตรงๆแบบนี้ มันหนักหนากว่าที่คิดเอาไว้มาก “จะต้องให้เราทำยังไง แนนถึงจะยอมคบกับเราต่อ” เขาพูดอย่างสิ้นหวัง

“เจทำให้แนนไม่ได้หรอก เจยอมทิ้งบริษัท แล้วก็ทิ้งงานพิเศษ กลับไปเป็นเด็กผู้ชายธรรมดาทั่วไปได้ไหมล่ะ” เจอคำถามนี้เข้าไป เด็กหนุ่มได้แต่นิ่งเงียบ คำตอบนั้นไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมาเด็กสาวก็รู้อยู่แล้ว “แนนอาจจะเห็นแก่ตัวนะถ้าจะบอกว่า แนนรอเจต่อไปเรื่อยๆแบบนี้ไม่ได้หรอก แนนยังเด็ก ยังอยากใช้ชีวิตเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป”

เจได้แต่นิ่งเงียบ

“โลกของเรามันต่างกันมากเกินไปจริงๆ” แนนยังว่าต่อ “แต่เจเป็นคนดีนะ แล้วก็น่ารักด้วย แนนเชื่อว่าเจต้องได้เจอคนที่ดีกว่าแนนแน่ๆ”

“ดีแต่ก็ยังดีไม่พอ น่ารักแต่ก็ยังไม่พอ อีกอย่าง เราไม่ได้อยากเจอใครที่ดีกว่าใคร แค่อยากอยู่กับคนที่เรารักเท่านั้นเอง” เจว่าเศร้าๆ “แต่ในเมื่อแนนพูดแบบนี้ เราก็เข้าใจนะ”

เด็กสาวเอื้อมมือมาจับกับมือเขาพร้อมกระชับเอาไว้เบาๆ โดยที่ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาอีกดี ก่อนจะปล่อยออก

“ขอโทษนะ ที่เป็นแฟนที่ดีไม่พอสำหรับแนน” เจได้แต่ก้มหน้า เขาไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเด็กสาว ความรู้สึกวูบไหวคล้ายจะหมดแรงบังเกิดขึ้น รู้สึกหมือนใบหน้าร้อนผ่าว โดยเฉพาะดวงตาที่เริ่มจะมองอะไรไม่ชัดเพราะพร่ามัวไปหมด แม้จะก้มหน้าแต่ก็รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น แนนเลื่อนเก้าอี้ออก ลุกขึ้น และเดินจากไป เจกระพริบตาถี่ราวกับพยายามอย่างหนักที่จะกล้ำกลืนน้ำตาแห่งความเสียใจเข้าไป เขามองออกไปนอกร้าน ร่างของเด็กสาวที่เคยได้ชื่อว่าเป็นแฟนของเขาเดินจากไปพร้อมกับร่างของใครอีกคนที่เดินเคียงข้างกันไป น่าจะเป็นคนที่เหมาะกับโลกของแนนมากกว่าเขา

เจลุกขึ้น แล้วก็ทรุดตัวนั่งลงไปเหมือนเดิม เข่าอ่อน มือไม้สั่นไปหมด ร่างกายเหมือนกับไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่เลย เขายกข้อมือขึ้นดูเวลา

ยังไงก็ต้องไปเรียน ตอนนี้มันคือสิ่งเดียวที่เหลืออยู่สำหรับเขา

********************

เด็กหนุ่มหันไปมองเมื่อสัมผัสได้ถึงน้ำหนักของมืออุ่นๆที่วางอยู่บนบ่าของเขา

“เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงทุ้มๆนั้นถามออกมาด้วยความเป็นห่วงไม่ปิดบัง

เจทรุดตัวลงนั่งกับพื้นห้องอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนจะส่งยิ้มเนือยๆออกไป

“เราเคยปิดอะไรนายได้บ้างไหมเนี่ย”

“นายดูออกง่ายจะตาย”

เจยกข้อมือขึ้นดูเวลาแล้วถึงกับถอนใจออกมา

“เราอยากคุยกับนายมากเลยโย แต่ตอนนี้ต้องรีบไปที่ร้านแล้ว เอาไว้คุยกันได้ไหม”

โยยิ้มให้พลางส่ายหน้า

“นายหัดห่วงตัวเองบ้างก็จะดีนะเจ อย่าทำอะไรเกินตัวนัก เราไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาย แต่วันนี้นายเหม่อแล้วก็ไม่มีสมาธิเลย เราก็เลยคิดว่าไม่สบายหรือเปล่า”

“ยังสบายดีน่า” เจว่ายิ้มๆ ในใจอดคิดไม่ได้ว่า นี่ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองยังโชคดีอยู่บ้าง นั่นก็คือเพื่อนอย่างโยที่คอยอยู่ข้างๆเขาเสมอ
“งั้นก็แล้วไป เสร็จจากงานแล้วถ้ายังไม่เหนื่อย อย่าลืมโทรมาเล่าล่ะว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ขอบใจมาก” ว่าแล้วก็ยื่นมือออกไปข้างหนึ่ง โยจับมือตอบกระชับเอาไว้อย่างหนักแน่นเหมือนอย่างที่เด็กผู้ชายชอบทำกัน
“ดูแลตัวเองล่ะ”
เจพยักหน้าก่อนที่จะรีบเร่งเดินออกไป ปล่อยให้อีกคนได้แต่มองตามอย่างนึกเป็นห่วง

***********************

เที่ยงคืน

งานที่ร้านหนักติดต่อกันมาหลายวัน ตราบใดที่ยังเป็นช่วงสัปดาห์แรกของต้นเดือน เขาก็คงต้องยุ่งอย่างนี้ต่อไปอีกสักพักกว่าจะซาลงบ้าง ยังดีที่ได้ค่าแรงเพิ่มขึ้น ไม่อย่างนั้นคงได้ถอดใจกันไปข้างหนึ่ง ยิ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่ปกติอย่างนี้ด้วยแล้ว

เจเดินเปิดประตูเข้าบ้าน พยายามส่งเสียงรบกวนให้น้อยที่สุด แล้วก็ตกใจแทบสิ้นสติเมื่อเปิดไฟแล้วเห็นร่างหนึ่งนั่งเงียบๆอยู่ตรงเก้าอี้โซฟา

“พ่อ!” เจร้องออกมา ก่อนจะยั้งเอาไว้ได้ทัน เมื่อเห็นว่าร่างคุ้นตานั้นคือพ่อของเขานั่นเอง เด็กหนุ่มระบายลมหายใจเหมือนพยายามตั้งสติ ก่อนจะนึกเอะใจว่าดึกดื่นป่านนี้ทำไมพ่อจึงยังไม่ยอมเข้านอนเหมือนอย่างปกติปกติ “มีอะไรหรือเปล่าฮะ ถึงยังไม่นอน”

“พ่อมีเรื่องอยากคุยกับเราหน่อย” เสียงนั้นฟังดูเป็นการเป็นงาน เจได้แต่คิดในใจว่า เออนี่หนอ วันนี้มันเป็นวันอะไรของมัน ถึงได้มีเรื่องให้เขาหายใจหายคอผิดจังหวะได้ทั้งวัน

เด็กหนุ่มเดินถือกระเป๋าไปนั่งแปะอยู่ตรงเก้าอี้อีกตัว เตรียมใจกับสิ่งที่กำลังจะได้ยิน

“ครับพ่อ”

“นี่พ่อจะมีเวลาได้เห็นแกกลับบ้านตามปกติเหมือนอย่างลูกคนอื่นเขาไหมนี่” ผู้พ่อบ่นมากกว่าหวังจะเอาคำตอบที่จริงจังอะไรจากปากลูกชาย “พ่อถามหน่อยซิ ทำยังไงถึงจะให้เราเลิกล้มความคิดที่อยากเป็นนักร้องอะไรนั่นได้”

เด็กหนุ่มก้มหน้าเงียบ ในสมองของเขาว่างเปล่าไปหมด พ่อคาดหวังจะได้คำตอบแบบไหนจากเขากันล่ะ

“ว่ายังไง ถามจริงๆ เรายังคิดอยากเรียนต่อมหาวิทยาลัยไหม”

เจพยักหน้า

“พ่อจะส่งเสียให้เราเรียนต่อ แต่ก็อย่างที่บอก เราต้องเลิกทำอะไรแบบนี้เสียที”

“พ่อหมายความว่ายังไงฮะ” เจเอียงคอถามอย่างไม่สู้จะชอบใจในน้ำเสียงของพ่อนัก

“ก็หมายความว่าถ้าเราคิดจะเรียนต่อ ก็ต้องหยุดร้องเล่นเต้นระบำพวกนี้เสียที สองปีแล้ว พ่อไม่เห็นว่าจะมีอะไรคืบหน้าเลย เราจะมาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระแบบนี้ไม่ได้แล้ว”

“พ่อ เจอยากเรียนแล้วก็ไม่อยากทิ้งความฝันของตัวเองด้วย เจทำมาสองปี ไม่เคยรบกวนพ่อกับแม่เลย แล้วมีเหตุผลอะไรที่เจต้องเลิกทำ อยู่ๆพ่อก็เอาเรื่องเรียนมาต่อรองกับเจ เจไปทำความผิดอะไรมาหรือก็เปล่า ทำไมพ่อถึงต้องกดดันเจด้วย” เจพูดยาวจนแทบไม่ได้หายใจด้วยความอัดอั้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่พี่พ่อมึนตึงกับเขา

“แกหยุดเลยนะเจ” เมื่อไหร่ที่พ่อเปลี่ยนสรรพนามเรียกเขาแบบนี้ ก็แปลว่าพ่อกำลังหัวเสียอย่างหนัก แต่ตอนนี้เขาก็เริ่มหัวเสียขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน ความรู้สึกกดดัน ความเคร่งเครียด ความเสียใจ ความอึดอัดใจจู่ๆก็เหมือนกับพร้อมกันถาโถมประเดประดังเข้ามาชนิดที่เขาเองก็ตั้งตัวไม่ติด

“ทำไมพ่อต้องบีบให้เจต้องเลือก พ่อไม่ชอบพ่อก็ไม่ต้องมองก็ได้ แต่ปล่อยให้เจทำอะไรของเจไป ไม่ได้เหรอพ่อ”

“เพราะพ่อทนเห็นแกเอาเวลาไปทุ่มเทกับเรื่องไร้สาระไม่ไหวแล้วน่ะสิ!”

“แล้วจะให้เจทำยังไงถึงจะมีสาระในสายตาพ่อ” เขาย้อนทันที “เจตั้งใจเรียน ไม่สร้างปัญหา ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร พยายามอย่างยิ่งที่จะเป็นลูกที่ดี แล้วพอวันนึง เจอยากทำในสิ่งที่ชอบ พ่อกลับบอกว่าไม่ให้ทำ มันไร้สาระ สุดท้ายก็มาบีบเจแบบนี้” เขากล้ำกลืนคำพูดลงไป ก่อนจะบอกออกไปอย่างที่ใจคิดว่า “พ่อกับแม่คาดหวังสิ่งดีๆจากเจได้ แต่จะมาขีดเส้นให้เดินอย่างที่ต้องการไม่ได้หรอกนะ”

“ทำไมจะไม่ได้ พ่อเป็นพ่อ เลี้ยงแกมา เรื่องแค่นี้พ่อทำได้อยู่แล้ว” เสียงของผู้เป็นพ่อดังลั่นเสียจน แม่กับเหล่าพี่สาวของเขาตกอกตกใจจนต้องเดินลงมาดูสถานการณ์อันร้องแรงระหว่างพ่อและลูกชายเพียงคนเดียวของบ้าน

“พ่ออย่าให้เจเลือกเลย เจเลือกไม่ได้หรอก” เจว่าด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับใกล้จะหมดเรี่ยวแรงเต็มที

“ถ้าแกไม่เลือก พ่อจะเลือกให้แกเอง ถ้าแกไม่หยุดความคิดอยากเป็นนักร้องลมๆแล้งๆนั่น แกก็อย่าหวังว่าฉันจะส่งเสียแกเรียนต่อเลย!”

“พ่อ!” เสียงบรรดาลูกสาวที่ยืนฟังอยู่เป็นนาน ดังขึ้นพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย

เด็กหนุ่มหูอื้อตาลายและเหนื่อยล้าเกินกว่าจะพูดอะไรออกมาอีก เขาหยิบกระเป๋าขึ้นมา มองไปที่ผู้เป็นพ่ออย่างนึกน้อยอกน้อยใจ แต่ก็กล้ำกลืนน้ำตาที่พร้อมจะไหลออกมาทุกเมื่อเข้าไปจนหมด เดินขึ้นห้องไปโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก

“ทำไมพ่อทำแบบนี้คะ” หนึ่งในลูกสาวคนหนึ่งพูดออกมาอย่างนึกตำหนิผู้เป็นบิดา

“ถ้าไม่ทำอย่างนี้มันก็จะไม่ยอมตื่นขึ้นมามองดูโลกแห่งความเป็นจริงเสียที”

“พ่อนี่นะ...” เสียงใครคนหนึ่งพูดออกมาอย่างเหลืออด “มีลูกที่ดีอยู่กับตัวแท้ๆ แค่มันไม่ได้ดั่งใจก็ไปหักหาญน้ำใจมัน มันทนไม่ได้ขึ้นมาอย่าหาว่าไม่เตือนนะพ่อ” ว่าแล้วก็มีเสียงเดินตึงๆเดินกลับเข้าห้องไป

“เจมันไม่ได้ฝันลมๆแล้งๆสักหน่อยนะพ่อ แต่มันน่ะเอาจริงเลยล่ะ พ่อน่าจะเชื่อมันบ้าง” ลูกสาวอีกคนส่ายหน้าก่อนจะเดินหายกันไปหมด เหลือแต่ผู้เป็นแม่เท่านั้นที่ยืนมองไปทางซ้ายทีทางขวาทีอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี สุดท้ายนางก็ทำได้แค่มองมาทางสามี ก่อนจะเดินมาตบบ่าตบหลังเขา ต่างคนต่างไม่พูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว

_______________________________

บทที่ 3 ยาวเอาเรื่องทีเดียว เมื่อเทียบกับสองตอนแรก แต่ก็น่าจะเป็นตอนที่ทำให้รู้จักเจมากขึ้นกว่าเดิมนะคะ

ขอให้สนุกกับการอ่านเช่นเคยค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-11-2009 01:07:42 โดย fingerscrossed »

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
Re: *#*#*#*#*#* Beats of Life: บทที่ 3 *#*#*#*#*#*
«ตอบ #24 เมื่อ17-11-2009 08:02:11 »

สงสารเจนะ แฟนก็บอกเลิก พ่อก็ไม่สนับสนุน :m15:

Sakana2yunjae

  • บุคคลทั่วไป
Re: *#*#*#*#*#* Beats of Life: บทที่ 3 *#*#*#*#*#*
«ตอบ #25 เมื่อ17-11-2009 11:32:01 »

เย้มาต่อแล้ว ชอบมากๆๆเลยคะ แต่น้องเจเราอกหักเสียแล้วอ่าๆๆ

มาต่อไวๆๆนะคะ ขอบคุณคะ

ออฟไลน์ a_tapha

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4981
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +397/-1
Re: *#*#*#*#*#* Beats of Life: บทที่ 3 *#*#*#*#*#*
«ตอบ #26 เมื่อ17-11-2009 11:38:37 »


 :pig4: ค่ะ

เป็นกำลังใจให้นะค่ะ


MaeMoo

  • บุคคลทั่วไป
Re: *#*#*#*#*#* Beats of Life: บทที่ 3 *#*#*#*#*#*
«ตอบ #27 เมื่อ17-11-2009 11:39:10 »

น้ำตาซึมเลยอ่ะ
สงสารน้องเจจังเลย

ต้องให้โยดูแลให้มากกว่านี้นะคะ

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
#*#*#* Beats of Life: บทที่ 4 *#*#*# UP!!!!!
«ตอบ #28 เมื่อ20-11-2009 21:16:07 »

บทที่ 4

เสียงโทรศัพท์ที่แผดดังขึ้น ทำเอาเด็กหนุ่มที่นอนขดอยู่ในผ้าห่มต้องลืมตาตื่นขึ้นมากลางดึกอย่างมึนงง นึกสงสัยทั้งที่ยังงัวเงียว่าใครกันโทรมาดึกดื่นค่อนคืนแบบนี้ เมื่อหันไปมองนาฬิกาที่วางอยู่ข้างๆหัวเตียงจึงได้รู้ว่าเป็นเวลาตีสองของวันใหม่ แม้จะง่วงเหลือทนแต่ก็เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่ยังคงส่งเสียงดังไม่หยุด

“ฮัลโหล” น้ำเสียงนั้นฟังอย่างไรก็เพิ่งตื่นนอนชัดๆ ทำเอาปลายสายนิ่งเงียบไปด้วยรู้สึกผิด

“โย”
   
“เจ” ทันทีที่จำได้ว่าเสียงนั้นเป็นใคร เขาก็หันไปมองนาฬิกาเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “มีอะไรหรือเปล่า ทำไมโทรมาดึกขนาดนี้” น้ำเสียงนั้นแสดงความห่วงใยไม่ปิดบัง เพราะนับว่าเป็นเรื่องที่ผิดวิสัยจริงๆที่เพื่อนของเขาจะโทรมาเอาป่านนี้

“ช่วยมารับเราหน่อยได้ไหม”

“มีอะไรหรือเปล่า” คนถามนิ่วหน้าอย่างไม่สู้จะเข้าใจอะไรนัก

“เราหนีออกจากบ้าน”

“เฮ้ย เดี๋ยวๆ...” ตอนนี้เรียกได้ว่าโยงงไปเลยชนิดสมบูรณ์แบบ เขาเอามือตบหน้าผากอย่างอึ้งๆ “เจ ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน”

“ข้างล่างนี่แหละ”

“งั้นเดี๋ยวเราลงไป” เขาวางสายทันทีโดยไม่รอฟังอะไรต่ออีก

เด็กหนุ่มร่างสูงวิ่งลงไปอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจจะรอลิฟต์หรืออะไรทั้งสิ้น ทันทีที่ลงไปถึง โยก็เห็นด้านหลังของร่างที่แสนคุ้นเคยนั่งก้มหน้าอยู่บนเก้าอี้ในส่วนที่ไม่อาจจะเรียกได้เต็มปากนักว่าเป็นล็อบบี้รับแขก เจที่ปกติจะร่าเริงเต็มไปด้วยพลัง แต่เมื่อได้เห็นแผ่นหลังที่นั่งอยู่ในตอนนี้ เขานึกใจหาย ทำไมมันช่างดูห่อเหี่ยวและเล็กลงไปถนัดตา

เจไปเจอกับอะไรมา เขานึกสงสัย

“เจ” โยเรียกชื่อนั้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ก็เจือแววห่วงใยเหมือนทุกครั้ง ร่างนั้นสะดุ้งน้อยๆก่อนจะยกศีรษะขึ้นแล้วหันมามองเขา นัยน์ตาที่เคยเป็นประกายในตอนนี้มันดูอ่อนล้าและแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัดจนไม่แน่ใจว่าเกิดจากการพักผ่อนน้อยหรือผ่านการร้องไห้มากันแน่ เจยิ้มบางๆให้โย ก่อนจะหันกลับไปก้มหน้าก้มตาเหมือนเดิม

โยไม่เอ่ยอะไรออกไป เขาเดินตรงไปยังร่างนั้นช้าๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งเคียงข้างกัน

“ขอโทษที่มากวนตอนดึกแบบนี้นะ”

“ขึ้นไปข้างบนเถอะ” โยพูดขึ้นก่อนจะยื่นมือไปคว้ากระเป๋าขนาดย่อมใบหนึ่งที่วางอยู่ข้างๆตัวเจ เขาลุกขึ้นยืน มืออีกข้างยื่นออกมา เจเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะส่งมือข้างหนึ่งของตัวเองออกไปให้อีกฝ่ายจับ โยกระชับมือข้างนั้นเอาไว้ก่อนจะฉุดให้เจลุกขึ้นตามอย่างว่าง่าย แขกยามวิกาลไม่ลืมที่จะถือเป้คู่ใจเดินตามไปด้วยแต่โดยดี

ทันทีที่เดินมาถึงห้อง โยเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองวิ่งออกมาทั้งที่ยังไม่ได้ล็อกห้องหรือเปิดไฟด้วยซ้ำ ปกติเขาไม่ใช่คนสะเพร่าขนาดนี้ แล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าให้กับตัวเอง ก่อนจะเดินถือกระเป๋าจูงมือเด็กหนุ่มอีกคนเดินเข้าไปในห้อง กระเป๋าสองใบถูกนำไปวางไว้อย่างเป็นที่เป็นทาง โยเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวและเสื้อผ้าสำหรับเจให้ผลัดเปลี่ยน ก่อนจะนำมายื่นให้

“ไปอาบน้ำก่อนเถอะ แล้วค่อยคุยกัน” เขาบอกอย่างอ่อนโยน เจยิ้มและไม่ได้พูดอะไรอีก ก่อนจะรับเสื้อผ้าจากมือโยและเดินหายเข้าห้องน้ำไป

********************

เจเดินออกมาจากห้องน้ำ รู้สึกสดชื่นขึ้นเป็นกอง เขาแขวนผ้าเช็ดตัวพร้อมกับพับเสื้อผ้าที่ใช้แล้ววางเอาไว้อย่างเรียบร้อยก่อนจะเดินออกมาพบว่าโยกำลังนั่งดูโทรทัศน์รอเขาอยู่ บนโต๊ะมีนมอยู่แก้วหนึ่ง ร่างนั้นหันมามองเขาทันที แล้วจึงพยักเพยิดให้นั่งลงด้วยกัน

เด็กหนุ่มที่เวลาอยู่กับเพื่อนคนนี้แล้วมักจะรู้สึกว่าตัวเล็กไปถนัดตา ทรุดตัวลงนั่งข้างๆกันบนโซฟายาวเนื้อนุ่ม นมในแก้วใบย่อมถูกหยิบยื่นมาให้ราวกับจะรู้ว่าตั้งแต่เมื่อตอนค่ำที่ผ่านมายังไม่มีอะไรตกถึงท้องของเขาเลย

“ขอบใจนะ” เจรับแก้วนมมาดื่ม แต่ดูเหมือนจะเป็นการทำโดยอัตโนมัติมากกว่าเพราะความหิว

“ดีขึ้นหรือยัง”

ร่างข้างๆผงกหัวโดยไม่ได้ละสายตาจากหน้าจอโทรทัศน์ซึ่งถ้าถาม โยรู้ดีว่าเป็นอาการเหม่อลอยตามปกติของเจเวลาที่ครุ่นคิดอะไรสักอย่างอยู่นั่นเอง ไม่ใช่เพราะสนใจรายการตรงหน้าอะไรทั้งสิ้น โยเอื้อมมือข้างหนึ่งลูบไปยังศีรษะทุยๆที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมดำขลับและยาวปรกหน้าปรกตาเกินพอดีไปพอสมควร แต่ไม่รู้ทำไมเมื่อมันประดับอยู่บนกรอบหน้าสวยเกินผู้ชายทั่วไปนี้แล้ว จึงได้ดูดีนัก ขนาดเขาที่เป็นผู้ชายยังอดชื่นชมไม่ได้

“อยากเล่าหรือเปล่า” โยหันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเจ คนถูกถามวางแก้วนมบนโต๊ะก่อนจะครุ่นคิดอะไรอยู่เป็นครู่

“เราทะเลาะกับพ่อ หนนี้แรงกว่าทุกครั้ง” เสี้ยวหน้านั้นหันมามองเขาตรงๆ “แต่นายไม่ต้องห่วงนะ เราไม่เชิงหนีออกมาหรอก ก็มีบอกพวกพี่ๆเอาไว้แล้ว ถึงยังไงก็ไม่อยากให้พ่อกับแม่เป็นห่วงอยู่ดี” ว่าแล้วก็ยิ้มอย่างอ่อนแรง

“โย”

“หือม์”

“นายว่าที่เรากำลังทำอยู่เนี่ย มันสูญเปล่าจริงๆเหรอ” จู่ๆเจก็ถามขึ้นลอยๆ

“ทำไมพูดอย่างนั้น ปกตินายไม่เคยท้อถอยอะไรง่ายๆนี่นา”

เจก้มหน้าลงซบกับเข่าทั้งสองข้างที่ยกขึ้นมากอดเอาไว้แนบอก โยเห็นภาพนั้นแล้วรู้สึกสะเทือนใจ ในขณะเดียวกันยิ่งรู้สึกอยากจะทำอะไรก็ได้เพื่อที่จะทำให้คนที่นั่งข้างๆนี้รู้สึกดีขึ้นได้บ้างแม้เพียงนิดเดียวก็ยังดี

“เจ” เขาเขยิบเข้าไปใกล้ มือข้างหนึ่งโอบร่างที่ดูเหมือนจะเล็กลงไปอีกเข้ามากอดไว้ อีกข้างก็จับมือซีดๆเย็นๆนั้นกระชับเอาไว้ “ร้องไห้ก็ได้นะ ถ้ามันเหนื่อยนัก ที่นี่มีแต่เรา ไม่มีใครว่าอะไรหรอก” ร่างนั้นสั่นสะท้านเบาๆในอ้อมแขนแข็งแรงของโย ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมา เขาเพิ่งเคยเห็นเจอ่อนแอขนาดนี้เป็นครั้งแรก

“พ่อบอกว่า ถ้าเรายังอยากทำต่อ ก็จะไม่ส่งเราเรียนแล้ว เขาให้เราเลือก เราจะเลือกได้ยังไงเพราะมันสำคัญทั้งสองอย่างเลย พ่อไม่เหลือทางเลือกให้เราเลย” เจยังคงซุกหน้าอยู่อย่างนั้น “เราผิดมากเหรอ ที่อยากจะทำความฝันให้เป็นความจริง เราไม่ได้ทำเล่นๆนะโย เราตั้งใจขนาดนี้ ทำไมเขาไม่เห็นมันบ้าง” คำพูดที่เต็มไปด้วยความน้อยอกน้อยใจพรั่งพรูออกมา “เงินเรียนเราก็หาเอง เราพยายามทำทุกอย่างด้วยตัวเองทั้งหมด แต่มันยังไม่ดีพอสำหรับเขาเสียที เราเหนื่อยมากเลยกับการที่ต้องพิสูจน์ตัวเองให้เขาเห็นตลอดเวลาทั้งที่เขาไม่สนใจจะมองมันเลยด้วยซ้ำ”

“แล้วนายจะทำยังไงต่อ คิดเอาไว้แล้วหรือยัง” โยถามออกไป

ร่างนั้นหยุดสะอึกสะอื้นไปแล้ว แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงได้เห็นว่าน้ำตาที่เก็บกลั้นมานานยังคงไหลออกมามาไม่หยุด

“ก็คงต้องเลือก”

“เราพอจะรู้ว่านายจะเลือกอะไร” โยว่าพลางมองไปที่เจ เด็กหนุ่มหันไปมองเพื่อนอย่างนึกขอบคุณ เจอยากจะบอกเหลือเกินว่าขอบคุณที่เข้าใจเขาไปเสียหมด ขอบคุณที่อยู่ตรงนี้เพื่อเขาเสมอ และขอบคุณที่ในยามที่เขาไม่มีใคร โยก็ยังคอยอยู่ข้างเขา แต่เจรู้ดีว่าเขาไม่จำเป็นต้องพูดออกมา โยก็คงจะรับรู้ดีอยู่แล้ว

เจเอนร่างที่เริ่มผ่อนคลายลงบ้างแล้วพิงกับร่างของโยโดยไม่รู้สึกเกร็งหรือขืนตัวอันใดอีก ศีรษะที่พิงซบอยู่ตรงซอกคอนั้นทำให้ได้ยินไปถึงเสียงหัวใจที่เต้นอยู่อย่างเป็นจังหวะหนักแน่นของเจ้าของ จิตใจของเจสงบลงได้อย่างประหลาด และยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินเสียงตัวเองเอ่ยสิ่งที่เก็บเอาไว้ในใจออกมา เพราะมันช่างง่ายดายกว่าที่คิดเอาไว้มาก

“แนนขอเลิกกับเราแล้วนะ”

โยได้แต่ตกใจ ก่อนที่จะคลายวงแขนนั้นออก และก้มลงมองร่างที่อยู่ในวงแขนของเขาอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เขานิ่วหน้าราวกับอยากจะถามย้ำว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือ เจยิ้มเฝื่อนๆก่อนจะยักไหล่อย่างอ่อนแรง

“เขาก็พูดอย่างที่เราว่านั่นแหละ เราไม่มีเวลาให้เขา เขาจะมารอเราได้ยังไง คนที่ขนาดเวลายังไม่มีให้ตัวเองอย่างเราน่ะโย ใครเขาจะอยากรัก” เจว่าอย่างไม่ยี่หระ แต่สำหรับโย เขารู้สึกหัวใจเต้นผิดจังหวะอย่างประหลาด จะว่าอย่างไรดี ไม่ใช่ว่าเขาดีใจที่เพื่อนเลิกกับแฟนหรอกนะ เขาเข้าใจและเห็นใจ แต่ลึกๆแล้วกลับรู้สึกโล่งใจและตัวเบาอย่างไรพิกล ในใจอยากจะบอกเจเหลือเกินว่า ยังมีเขาอยู่ทั้งคน เจไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีใครรัก แต่เขาที่ถึงตอนนี้ยังไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกของตัวเองสักเท่าไรเหมือนกันด้วยซ้ำ จะให้เอ่ยอะไรออกมาเป็นคำพูดจึงดูจะยากหนักเข้าไปอีก

“ตั้งแต่เมื่อไหร่” โยถาม

“เย็นวันนี้เอง”

“อ้อ ที่เราเห็นนายแปลกๆไป”

“อือ มันไม่สบโอกาสบอกน่ะ”

ราวกับหมดเรื่องที่จะพูดคุยกันต่อ ร่างทั้งสองที่นั่งกอดกันอยู่นั้น ปล่อยให้ห้องตกอยู่ในความเงียบครู่ใหญ่ ก่อนที่เสียงทุ้มๆของเจ้าของห้องจะเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบขึ้นเสียเอง

“เสียใจมากไหม”

“ก็... ไม่รู้สิ”

“อ้าว...” โยก้มลงมองดวงตากลมโตที่เป็นประกายคู่นั้นอีกครั้ง ก่อนที่ร่างนั้นจะเบียดเข้าหาเขาอีกราวกับจะเป็นการบอกอ้อมๆว่าอย่าเพิ่งปล่อยมือคู่นี้ออกไปเร็วนัก เพราะมันช่างสบายเหลือเกิน

“ตอนแรกมันก็เสียใจนะ แต่พอได้นั่งคิดเงียบๆถึงรู้ว่า บางทีมันอาจจะดีกับทั้งเขาและเราก็ได้ ก็เลยเสียใจไม่มากเท่าตอนโดนบอกเลิกแล้ว”

“ดีแล้ว คิดได้แบบนั้นเราก็สบายใจ”

“แต่มันก็ยังรู้สึกมากอยู่ ตอนคบกันเราก็รักเขามากนะ ตอนนี้ก็ยังรัก...” ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือเปล่าว่า ท่อนแขนที่โอบร่างเขาเอาไว้จู่ๆก็กระชับแน่นขึ้น

“แล้วมันจะค่อยๆดีขึ้นไปเองนะ”

“อือม์”

โยยังคงกอดร่างนั้นเอาไว้อยู่เป็นนาน และรู้สึกได้ถึงอาการผ่อนคลายที่มีมากขึ้นจนรู้สึกได้ว่าน้ำหนักของร่างนั้นถ่ายลงมาบนร่างเขาเต็มๆ

“ง่วงหรือยัง” โยถามขึ้นเบาๆ

เงียบ ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากแขกยามวิกาลที่อาศัยอ้อมแขนของเขาเป็นที่พักพิง

“เจ...” โยถึงกับหลุดขำออกมาเบาๆ “อ้าว... หลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่”

แม้จะเริ่มรู้สึกชาที่แขนทั้งสองข้าง แต่ก็ยังพอที่จะมีแรงขยับและเปลี่ยนจากการโอบกอดมาเป็นช้อนร่างขาวๆนั้นได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ทำถึงขนาดนี้เจก็ยังคงนอนหลับสนิท ไม่ขยับเลยสักนิด ท่าจะเจออะไรมาเยอะจริงๆถึงได้เหนื่อยหนักขนาดนี้ โยได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะอุ้มร่างนั้นขึ้นไว้ในอ้อมแขน นึกแปลกใจเล็กน้อยว่า ทั้งที่เจออกจะตัวสูงใหญ่ไม่เบา แต่กลับไม่ได้หนักมากอย่างที่คิด ที่สำคัญไอ้ที่ดูใหญ่นี่มันกระดูกทั้งนั้น เนื้อหนังแทบจะไม่มีเอาเลยจริงๆ

เขาเดินพาร่างนั้นไปยังเตียงนอนขนาดสองคน แล้วค่อยๆว่างร่างที่ยังคงหลับสนิทลงไปอย่างนุ่มนวลที่สุด ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ถึงคอ เขานั่งคุกเข่าลงบนพื้นก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งปัดปอยผมบนหน้าผากเด็กหนุ่มออกไป แล้วใช้นิ้วเรียวยาวแต่แข็งแรงปาดคราบน้ำตาบนแก้มขาวๆนั่นออกเสียจนหมดจด

“นอนซะนะเจ ถึงนายจะไม่มีใครก็ยังมีเราอยู่ทั้งคน”

เด็กหนุ่มลุกเดินผละออกไป เก็บแก้วนมที่แขกยามวิกาลดื่มไม่หมดใส่ตู้เย็น ก่อนจะเดินหายเข้าไปล้างหน้าล้างตาให้ห้องน้ำ เขายืนมองตัวเองในกระจก และถามคำถามที่เฝ้าเพียรถามตัวเองอยู่ทุกวันว่า ความรู้สึกของเขาที่มีต่อเพื่อนสนิทคนนี้แท้ที่จริงเป็นอย่างไรกันแน่

ที่ผ่านมา เขาไม่เคยรู้คำตอบที่แท้จริงเลยสักครั้ง เฝ้าแต่บ่ายเบี่ยงไปมา และบอกให้ตัวเองสงบจิตสงบใจลงบ้าง จนกระทั่งเมื่อกี้ที่เขาได้กอดร่างนั้นเอาไว้ เฝ้าปลอบใจ และอุ้มเข้ามานอนเองกับมือ จู่ๆก็ดูเหมือนกับว่า อะไรบางอย่างจะชัดเจนขึ้นมากเสียจนเขาเองยังนึกแปลกใจ

“ทำไมนะ” พูดกับตัวเองเบาๆแล้วก็ส่ายหน้า “ผู้หญิงมีเป็นร้อยไม่ไปชอบ แถมที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีวี่แววจะไปชอบผู้ชายเล้ย...” ก่อนจะหันไปมองทางห้องนอนแล้วก็หันมายิ้มให้กับเงาของตัวเองที่สะท้อนออกมา

“ดันไปแพ้ทางคนคนนี้คนเดียวเสียได้”

ร่างสูงใหญ่นั้นเช็ดหน้าเช็ดตาอย่างไม่ค่อยปราณีปราศรัยว่าหน้าหล่อๆที่แสนจะคมคายของตัวเองจะยับเยินเพียงไร แล้วจึงเดินเข้าไปล้มตัวลงไปนอนเคียงข้างร่างที่ตกเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้วอย่างสมบูรณ์แบบนั้นอย่างแผ่วเบาที่สุด

ทั้งที่นอนด้วยกันแบบนี้บ่อยๆ แต่คืนนี้น่าจะเป็นครั้งแรกที่เขาจะนอนหลับด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ที่เข้ามาแทนที่

“ฝันดีนะเจ” ว่าแล้วจึงปิดเปลือกตาลงก่อนที่ลมหายจะผ่อนเข้าออกอย่างสม่ำเสมอตามไปอีกคน

****************************

นี่มันเสียงโทรศัพท์หรือนาฬิกาปลุกกันแน่ ดวงตาเรียวรีที่ปิดอยู่นิ่วหน้าอย่างนึกรำคาญ แต่ร่างกายก็เอื้อมมือไปปิดนาฬิกาบนหัวเตียงโดยอัตโนมัติด้วยความเคยชิน อ้อ... นาฬิกาปลุกจริงๆเสียด้วย ก็แปลว่าต้องตื่นแล้วสินะ ทันทีที่ร่างนั้นกำลังจะขยับลุกขึ้นเหมือนอย่างปกติทุกวัน จึงสำเหนียกได้ถึงน้ำหนักที่ทับอยู่บนแขนข้างหนึ่ง หนัก เขาคิดในใจ ก่อนจะหันไปดูแล้วเห็นศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมสีดำกระจายอยู่หนุนบนแขนท่อนหนึ่งของเขาอย่างสบายใจ

สติจึงกลับมาอยู่กับตัวอีกครั้ง

เมื่อคืนเจมาหาเขาเสียดึก พวกเขาคุยกันยาว และเขาก็เป็นคนอุ้มเจเข้ามานอนเอง เท่านั้นแหละริมฝีปากได้รูปนั้นจึงคลี่ยิ้มออกมา

“เจ” มือข้างหนึ่งแตะบนไหล่ของร่างที่นอนหนุนแขนเขาเขย่าๆเบาๆ “เจ... ตื่นไหวมั้ย” หนนี้เขากระซิบตรงข้างหูเด็กหนุ่มเบาๆ

“อือ...” มีเสียงครางออกมาเพียงเล็กน้อยก่อนจะนิ่งไปเหมือนเดิม

โยหัวเราะเบาๆ เพราะนานๆจะได้เห็นมุมที่ไม่เคยเห็นแบบนี้ของเจสักที เขาสอดมือเข้าไปโอบเอวที่บางเสียจนน่ากลัวว่าจะหักกลางเสียเหลือเกินแล้วดึงร่างนั้นเข้ามาหาเขาเบาๆ

“เจ ตื่นไปโรงเรียนเถอะ” เสียงทุ้มๆนั่นช่างไม่มีพลังเอาเสียเลยในตอนนี้ ไม่รู้ว่าคนปลุกจะจงใจหรือไม่ แต่ท่าทางเขาจะรู้สึกสนุกขึ้นมาแบบห้ามไม่อยู่เสียแล้ว มือข้างที่โอบเอวไว้เริ่มเกาะเอวเล็กๆนั่นเอาไว้แน่นขึ้นก่อนจะขยับขยุกขยิกอย่างมันเขี้ยว

“ตื่นนนนนนนนนนนนนนนน” พลังเสียงในแบบที่จะได้ยินเฉพาะในคลาสวอยซ์เท่านั้นเปล่งออกมา บวกกับมือที่จี้เอวเจ้าของร่างที่บ้าจี้เอาเรื่อง ทำเอาร่างขาวๆที่ขี้เซากว่าปกติพรวดพราดตื่นขึ้นมาอย่างได้ผลชะงัดนัก

“ไอ้โย!!!” เสียงนั้นว่าขึ้นมาอย่างเกรี้ยวกราดกว่าปกติ แต่ก็ไม่สู้จะจริงจังนัก ท่าทางจะตกใจที่สะดุ้งตื่นมากกว่าจะโมโหโกรธาขึ้นมาจริงๆ “เล่นบ้าอะไรแต่เช้าเนี่ย” เจซุกหน้าลงกับหมอนดังเดิมเมื่อรู้สึกตัว น้ำเสียงกลายเป็นคร่ำครวญออกมาแทน

“ไม่ไปเรียนหรือไง หือ...” โยกลั้นยิ้ม

“เออ... จริง” เจงึมงำออกมาได้เท่านั้นก็ยอมลุกไปเข้าห้องน้ำแต่โดยดี เพราะรู้ว่าเดี๋ยวจะต้องไปทำมื้อเช้าราวกับเป็นหน้าที่ที่ไม่ต้องรอให้ใครมาบอก เมื่อผลัดเสื้อผ้าเป็นชุดนักเรียนแล้วก็เดินออกมาเจอกับโยที่นั่งหัวยุ่งรอเข้าห้องน้ำ ยิ้มแผล่ส่งยิ้มให้ มือข้างหนึ่งฉวยจับมือของเขาบีบกระชับเอาไว้ทันทีที่เขาเดินเฉียดเข้าไปใกล้

“ทำโจ๊กก็พอไหมวันนี้ ง่ายๆนะ นายจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก” น้ำเสียงนั้นไม่ได้บังคับ แต่แฝงแววขอร้องในที เจจึงได้แต่พยักหน้าก่อนจะยิ้มให้ หันไปมองตามร่างสูงใหญ่กว่าของโยที่เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ แล้วก้มลงมองที่มือตัวเอง ก็โดนตัวกันอยู่เป็นประจำ แต่ทำไมวันนี้มันจึงได้รู้สึกแปลกไป ไม่เหมือนอย่างทุกวัน แล้วจู่ๆหน้าก็แดงขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ

“ไม่เอาแล้ว...” เจ้าตัวสะบัดหน้าแรงๆพร้อมกับรำพึงกับตัวเองขึ้นมา แล้วจึงเดินเข้าไปค้นหาโจ๊กสำเร็จรูปในครัวเล็กๆอย่างคุ้นเคยราวกับเป็นบ้านของตัวเองไปแล้ว

*********************

โรงเรียนเข้าแปดโมงเช้า เขาเรียนจนถึงบ่ายสามโมง แล้วก็ต้องไปเข้าคลาสต่อ เลิกทุ่ม แล้วก็ต้องไปที่ร้านอาหาร ตารางชีวิตตามปกติที่ดำเนินมาแบบนี้มาเป็นปี แต่ทำไมวันนี้ถึงได้รู้สึกอ่อนแรงนัก ใจมันก็สู้อยู่หรอก แต่ร่างกายมันช่างไม่เป็นใจเอาเสียเลย

โยกับเจเรียนอยู่กันคนละโรงเรียน ดังนั้นเมื่อขึ้นรถประจำทางมาถึงครึ่งทาง โยก็ต้องแยกไปขึ้นรถไฟฟ้าที่สะดวกกว่าเพราะไปถึงหน้าโรงเรียนของเขาพอดี สำหรับโรงเรียนของเจ ต่อให้ขึ้นรถไฟฟ้า สุดท้ายก็ต้องนั่งรถต่อไปอีกอยู่ดี ดังนั้นจะเปลี่ยนรถไปทำไมมี นั่งยาวไปแบบนี้แหละ ถึงอย่างไรก็ไปทันแน่นอนอยู่แล้วแถมประหยัดอีกต่างหาก ง่วงหนักเข้าจะงีบต่อสักนิดก็ยังไหว

เจจำได้ว่าครั้งหนึ่ง เขาก็นั่งรถประจำทางแบบนี้ แต่วันนั้นเป็นวันหยุด ทั้งๆที่แต่งตัวด้วยเสื้อยืดกางเกงยีนส์ธรรมดา แต่ก็ยังมีไอ้โรคจิตตาถั่ว เอามือมาลูบๆคลำๆเขาตอนที่เผลองีบไปนิดเดียว ตื่นขึ้นมาแล้วมันก็ยังไม่เลิก ทำเอาเขาเลือดขึ้นหน้า ชกไอ้โรคจิตนั่นเสียจนหน้าหัน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้มๆและเยือกเย็นว่า “อยากตายไหม!” แถมตอนที่เขาลุกขึ้นยืนนั้น เห็นได้ชัดว่าสูงใหญ่กว่าไอ้บ้านั่นโข มันตาลีตาเหลือกลงรถไปแทบไม่ทัน ไม่แน่ใจว่ากลัวหรือตกใจกันแน่ที่เขาไม่ใช่ผู้หญิง นึกขึ้นมาทีไรอดขำออกมาไม่ได้ทุกที แม้ตอนนั้นเขาจะนึกเคืองไอ้หมอนั่นก็เถอะ เล่าให้ใครฟังก็หัวเราะ ยกเว้นก็แต่กับโยคนเดียวที่ท่าทางขัดเคืองใจเป็นจริงเป็นจังกว่าใครเพื่อน นั่นสิ ทำไมตอนนั้นเขาจึงไม่สังเกตเลยนะว่าเพื่อนสนิทของเขา ดูหัวเสียกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ จริงอยู่ที่ผ่านมาแม้ต่างฝ่ายจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ก็เห็นได้ชัดว่า โยเลือกที่จะอยู่เคียงข้างเขาเสมอ ทั้งคอยเป็นเพื่อน ดูแล เป็นห่วง เป็นที่ปรึกษาไม่ว่าจะเป็นยามที่เขามีความทุกข์หรือมีความสุข เท่าที่จำได้ เขาไม่เคยต้องอยู่ตัวคนเดียวนับตั้งแต่ที่ได้รู้จักเพื่อนคนนี้ และที่ผ่านมาเขาก็ยอมรับว่าไม่มีใครอีกแล้วที่จะรู้จักเขาดีไปกว่าโย

แต่พอย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน นั่นเรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ที่เขาได้เปิดเผยด้านที่อ่อนแอที่สุดให้ใครสักคนได้เห็น และเขาก็ดีใจที่คนคนนั้นเป็นโยไม่ใช่ใครอื่น และนั่นก็เป็นครั้งแรกเช่นกันที่โยได้แสดงความอ่อนโยนยิ่งกว่าครั้งใดแก่เขา ที่ผ่านมาพวกเขาใช้ชีวิตไม่ต่างเพื่อนผู้ชายที่สนิทกันทั่วๆไป กิน นอน เที่ยวเล่น เรียน พูดคุยกัน หรือแม้แต่แสดงความห่วงใยต่อกัน แต่ไม่มีครั้งใดเลยที่จะทำให้เขารู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่อธิบายไม่ถูกเหมือนอย่างเมื่อคืน

ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นมากอดปลอบประโลมเขาแบบนั้น พูดกับเขาแบบนั้น หรืออ่อนโยนต่อเขาแบบนั้น มันคงรู้สึกแปลกๆ และว่าตามจริงเขาก็คงจะไม่ชอบสักเท่าไหร่หรอก แต่ไม่รู้ทำไมพอเป็นเพื่อนคนนี้เขาถึงได้รู้สึกดีอย่างประหลาด หรือเพราะสนิทกันมานานถึงสองปีแล้วเขาจึงไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจอะไร บอกตามตรงก็คือ เขารู้สึกดีด้วยซ้ำ

เจครุ่นคิดเรื่องนี้วนไปวนมาอยู่เป็นนาน จนคิ้วขมวดกันเป็นปม แต่ก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้สักทีความรู้สึกที่ว่านี้มันคืออะไรกันแน่ หนักเข้าทนไม่ไหวจึงสะบัดหน้าแรงๆไปมาสองสามครั้งแล้วก็บอกตัวเองว่า ช่างมัน ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ อย่าไปคิดมันเลยดีกว่า จนกระทั่งรถประจำทางพาเขามายังจุดหมายในที่สุด

***************************

บ่ายวันนี้แม้จะเลิกเรียนเร็ว แต่เด็กหนุ่มกลับไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายกับมันเหมือนคนอื่นๆ ที่สำคัญสีหน้าของเขากลับส่อแววเป็นกังวลและถอนหายใจอยู่บ่อยครั้ง
   
คนเรานี่หนอ บทจะมีเรื่องอะไรมันก็พร้อมใจกันถาโถมเข้ามาชนิดไม่ให้ต้องได้หยุดพักหายใจกันเลยทีเดียว จะเว้นช่วงหน่อยก็ไม่ได้ เจอเข้าไปแบบนี้ต่อให้เข้มแข็งแค่ไหน ก็ต้องมีท้อใจกันบ้างล่ะ นึกได้ดังนั้นก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้งเฮือกใหญ่
   
“เป็นอะไรเจ ทำไมทำหน้าเหมือนใครจะตายแบบนั้น” น้ำเสียงทุ้มที่คุ้นหูชนิดไม่ต้องเงยหน้ามองก็รู้แล้วว่าเป็นเสียงของใครดังขึ้น แต่ที่ทำให้เด็กหนุ่มแปลกใจคือ แล้วไหงหมอนี่มายืนอยู่หน้าประตูโรงเรียนของเขา
ได้เล่า
   
“ถ้าจะมีใครตายก็คงจะเป็นเรานี่แหละ” เจว่าด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายแต่ก็ไม่สู้จะจริงจังกับสิ่งที่พูดออกไปนัก “ว่าแต่... นายมาทำอะไรแถวนี้วะโย ไม่มีเรียนหรือไง”
   
“มี แต่เลิกเร็ว ไม่มีอะไรทำ เลยแวะมาแถวนี้”
   
“แถวนี้มีอะไร”
   
“มีนายไง” คำตอบตรงไปตรงมาทำเอาคนฟังอึ้งไปเล็กน้อย “ก็ถึงยังไงเดี๋ยวก็ต้องไปเข้าคลาสด้วยกันอยู่แล้ว เราก็ว่าง ไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยมา เผื่อจะได้ไปด้วยกันไง” เจ้าของเสียงทุ้มนั้นว่าต่อ เจได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายปริบๆก่อนที่จะยิ้มออกมา
   
“เอ๊า ว่าไงว่าตามกัน ก็ดีเหมือนกัน...”
   
โยยื่นมือข้างหนึ่งออกไป ก่อนที่เด็กหนุ่มจะเดินเข้าไปหาอ้อมแขนที่โอบไหล่เขาเอาไว้ พร้อมกับมือข้างเดียวกันที่ไม่รู้เป็นอะไรชอบลูบผมของเขาเล่นเหลือเกิน เจที่ปกติไม่ค่อยชอบให้ใครมาถูกเนื้อตัวของเขาเท่าไหร่ กลับไม่เคยออกปากบ่นสักคำเวลาที่เพื่อนคนนี้สัมผัสเขา จะเป็นเพราะความเคยชินหรือเพราะปล่อยให้เพื่อนสนิททำจนเคยตัวก็ไม่รู้เหมือนกัน
   
“ตกลงนายเป็นอะไร”
   
“หา?” เจที่เดินอยู่เพลินๆไม่ทันได้คิดอะไร ถึงกับเหวอเมื่อจู่ๆโยก็ถามทะลุกลางปล้องขึ้นมา
   
“ก็ที่ทำหน้าเพลียแบบสุดๆตอนเดินออกมาน่ะ เป็นอะไร มีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า” เสียงนั้นเจือความห่วงใยไม่ปิดบัง ไม่ต่างจากทุกครั้ง แต่ทำไมสำหรับเขาความรู้สึกถึงได้แปลกกว่าที่ผ่านมาก็ไม่รู้
   
“เฮ้อออ.......” เจถอนหายใจยาวราวกับจะประชดชีวิต ถ้าไอ้การถอนหายใจมันเปลี่ยนเป็นมูลค่าได้ ป่านนี้เขาคงเป็นเศรษฐีไปแล้ว
   
“ปีนี้เราอยู่ ม.6 กันแล้วใช่ไหม เด็กม.6 น่ะจะมีเรื่องอะไรให้หนักใจเท่ากับเรื่องเอ็นทรานซ์อีกล่ะ”
   
“อ้าว แล้วนายจะกังวลอะไร เราก็เห็นผลการเรียนนายออกจะดี”
   
“มันไม่ได้เกี่ยวกับผลการเรียน”
   
โยเงียบไปก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนของตัวเองต้องเจอกับอะไร
   
“จริงด้วยสิ”
   
“นั่นแหละ ถึงแม้เราจะคิดเอาไว้ในใจแล้วว่าจะเอายังไงต่อ แต่พอเจออาจารย์เรียกไปคุยแล้ว... แสนจะหดหู่ว่ะ” เจทำหน้าจ๋อยในแบบที่โยเห็นแล้ว อดไม่ได้ต้องเอามือคอยลูบศีรษะอยู่อย่างนั้น “จะเว้นช่วงให้หายใจหน่อยก็ไม่ได้ ทำยังกะรู้ว่าเราเพิ่งทะเลาะกับพ่อมาเรื่องนี้ วันนี้เรียกคุยเลย”
   
“แล้วนายบอกอาจารย์ไปว่ายังไง”
   
“ก็ไม่ได้บอกอะไรเขาเท่าไหร่ แค่บอกว่ายังไม่ได้คิดว่าจะเลือกคณะอะไร ก็เลี่ยงๆไปให้มันพ้นตัวไปก่อน มันพูดไม่ออกน่ะ”
   
“ก็ยังพอมีเวลาให้ตัดสินใจอยู่นะเจ” เขาว่าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและแสดงออกชัดเจนว่าเห็นใจเด็กหนุ่มที่เดินอยู่ข้างๆเขาอย่างเป็นจริงเป็นจัง
   
“ตอนนี้เรารู้สึกเหมือนมีหินก้อนเบ้อเริ่มทับอยู่บนหลังเราเนี่ย” แม้จะหนักใจกับปัญหาที่ตามมา แต่เจก็ยังพยายามยิ้มออกมาจนได้ ทำเอาโยอดหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้ และทำอย่างที่ชอบทำจนเป็นนิสัยนั่นคือใช้มือโน้มศีรษะทุยๆนั่นเข้ามาหาตัวเองก่อนจะขยี้ผมสีดำนุ่มๆนั่นอย่างหมั่นเขี้ยว
   
“ชอบเล่นหัวเราจังนะนายเนี่ย” เจว่าเสียงเขียวแต่ก็ไม่ได้มีความจริงจังอะไรในน้ำเสียงนั้น เรียกเสียงหัวเราะให้กับร่างสูงที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินดึงเขาขึ้นรถประจำทางที่มาจอดอยู่ตรงป้ายพอดี


****************************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-11-2009 21:25:43 โดย fingerscrossed »

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
Re: *#*#*#*#*#* Beats of Life: บทที่ 3 *#*#*#*#*#*
«ตอบ #29 เมื่อ20-11-2009 21:22:46 »

นี่เขาจะอดทนใช้ชีวิตแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหนหนอ
   
ร่างสูงแต่ติดจะผอมอยู่สักหน่อยนอนพังพาบอยู่กับพื้นไม้ในห้องซ้อมหลังจากการซ้อมเต้นอย่างยาวนานสิ้นสุดลง
   
หมดสภาพอย่างแท้จริง
   
“ทำไมมานอนอยู่อย่างนี้ล่ะ ลุกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไป” โยที่สภาพเหน็ดเหนื่อยไม่แพ้กัน แต่ก็ยังดูมีพลังไม่เปลี่ยนแปลงเดินมานั่งปุอยู่ข้างๆร่างนั้นก่อนจะเอาผ้าขนหนูมาวางไว้บนศรีษะของคนที่นอนคว่ำหน้าอยู่โดยใช้แขนข้างหนึ่งรองหน้าผากเอาไว้
   
“คลาสว้อยซ์ไม่เท่าไหร่ แต่มาคลาสแดนซ์ทีไร โอ้โห... พลังชีวิตจะหมด” แม้ปากจะบ่นเหมือนคนใกล้ตาย เอาเข้าจริงจริงเวลาซ้อมเต้นนั้น เจก็ตั้งอกตั้งใจอย่างถึงที่สุดเหมือนกัน เรื่องจำท่าเต้นยิ่งหายห่วง เพราะจบคลาสเมื่อไหร่ ท่าไหนจำไม่ได้หรือทำได้ไม่ชำนาญ ก็เขานี่แหละที่กลายเป็นครูสอนเต้นจำเป็นของเจไป เรื่องใส่ใจในการเรียน เจไม่เป็นที่สองรองใครจริงๆ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ความมุ่งมั่นของเขาไม่เคยลดน้อยถอยลงไปก็มาจากการได้เฝ้ามองเพื่อนคนนี้นี่แหละ แล้วเขาจะยอมแพ้เจได้อย่างไรกัน
   
“กี่โมงแล้วโย” เด็กหนุ่มบอกเวลาแก่เพื่อน “เดี๋ยวต้องไปทำงานแล้วสิ” เจ้าตัวพูดกับตัวเองก่อนจะใช้ท่อนแขนแข็งแรงยันร่างลุกขึ้น ข้อดีของการเข้าคลาสนี้ก็คือร่างกายที่แข็งแรงและรูปร่างที่ดีนี่แหละ เวลามีคนชมเขาเป็นต้องอดภูมิใจไม่ได้กับช่วงบ่ากว้างๆและกล้ามเนื้อแขนที่สมส่วนของตัวเองไม่ได้จริงๆ แต่ถ้าเป็นเรื่องรูปร่างที่สมส่วนล่ะก็ต้องยกให้โย คนนี้สูงยาวเข่าดี ร่างกายเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่เกิดจากการฝึกเต้นมายาวนาน แต่ถึงอย่างนั้นโยก็ชอบมาบ่นกับเขาว่า อ้วนง่ายเกินไป ลองเขาหยุดออกกำลังแล้วทานมากกว่าปกติ เขาจะอ้วนขึ้นทันที โยเสียอีกที่อิจฉาเจที่ผอมง่ายเหลือเกิน คุยกันเรื่องนี้ทีไรไม่พ้นอวยกันไปมาแล้วก็จบลงที่เสียงหัวเราะสนุกสนานของทั้งคู่ทุกทีไป
   
ทำไมรู้สึกหัวหนักๆก็ไม่รู้วันนี้ เจคิดกับตัวเองหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเป็นที่เรียบร้อย หรือจะเป็นเพราะมีเรื่องโน้นเรื่องนี้เข้ามาให้เขาได้คิดไม่หยุด เลยปวดหัวขึ้นมา แต่ที่แย่คือเขากลับรู้สึกเหนื่อยและครั่นเนื้อครั่นตัวนิดหน่อย หรือจะไม่สบาย
   
ไม่สบายไม่ได้เด็ดขาด
   
ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ต้องไปทำงาน สัปดาห์นี้งานที่ร้านยังคงจะยุ่งต่อไปอีกจนกว่าจะพ้นวันเสาร์ไปโน่นล่ะ ถ้าเขาหยุดคงจะยิ่งวุ่นวายแน่ๆ แม้พี่อ๊อดเจ้าของร้านจะใจดีกับเขามากแค่ไหนก็ตาม แต่เขาก็ไม่อยากจะขาดงานเลยแม้แต่วันเดียว แค่สามสี่ชั่วโมงเท่านั้น เดี๋ยวก็ได้กลับมานอนแล้ว เจกัดฟันบอกตัวเอง
   
“โย เราไปร้านก่อนนะ” กำลังทำท่าจะเดินออกไป แต่มือของเขาก็ถูกร่างสูงใหญ่กว่านั้นคว้าเอาไว้เสียก่อน โยนิ่วหน้าไปเล็กน้อย ก่อนจะถามออกไปอย่างไม่แน่ใจ
   
“ไหวไหม” คำถามนั้นทำเอาเจถึงกับงงไป
   
“ถามแปลกๆ ทำไมจะไม่ไหวเล่า” เจหัวเราะออกมาเบาๆ แต่โยกลับไม่หัวเราะด้วย
   
“นายหน้าซีดมากเลย”
   
“ซีดหรือขาว เอาให้แน่” โชคดีจริงที่ผิวขาวจัดของเขาพอจะทำให้กลบเกลื่อนไปได้ ทำไมช่างสังเกตอย่างนี้นะ ทั้งที่เมื่อกี้ตอนส่องกระจกเขาก็ไม่เห็นว่าตัวเองจะผิดปกติไปจากเดิมตรงไหน นอกจากดูเหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้น เจรีบปลดมือออกจากการกุมของโยเบาๆ ก่อนจะเลี่ยงบาลีไปเสีย
   
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวก็กลับ”
   
“กุญแจห้องไม่ลืมนะ”
   
เจไม่ตอบแต่ชูนิ้วโป้งพร้อมกับส่งยิ้มให้ ก่อนจะเดินออกไป
   
“ยิ้มแบบนี้คงไม่รู้ตัวใช่ไหมว่าทำให้คนอื่นเขาหวั่นไหวขนาดไหน” โยรำพึงกับตัวเองเบาๆก่อนจะส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มออกมา

***********************

สามทุ่ม
   
เด็กหนุ่มก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะเปิดประตูห้องเข้าไป กลิ่นโจ๊กที่ทำง่ายๆทานเป็นมื้อเช้ายังกรุ่นจางๆอยู่ในห้อง ป่านนี้เจคงง่วนทำงานอยู่แน่ๆ รู้ทั้งรู้ว่าเป็นเรื่องปกติแท้ๆ แต่ทำไมอดนึกกังวลขึ้นมาไม่ได้ก็ไม่รู้ สัมผัสจากมือของเจเมื่อตอนค่ำ เขารู้สึกว่ามันอุ่นกว่าปกติชอบกล แต่ก็ไม่สู้แน่ใจนักเพราะเจ้าตัวชอบอาบน้ำอุ่นจัดหลังออกกำลัง หรือเขาจะกังวลเกินไป ชักจะยังไงอยู่เหมือนกันนะนี่
   
สองปีมานี้ แม้จะสนิทสนมกับเจและได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากกว่าเพื่อนคนอื่น จนเขาเองชักไม่แน่ใจว่าจะรู้สึกอะไรกับเจเป็นพิเศษกว่าคนอื่นหรือเปล่า แต่ก็ไม่เคยสักครั้งที่เขาจะก้าวล้ำเส้นความเป็นเพื่อนใดๆ เพราะเจเองก็ไม่ได้แสดงทีท่าอะไรออกมาเกินเพื่อน เขารู้แค่ว่าเขาเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของเจ จึงได้แต่รักษาระยะของความเป็นเพื่อนเอาไว้แค่นั้น ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยต่อไปอีก แม้แต่ตอนที่เจมาปรึกษากับเขาเรื่องที่จะคบหากับแนนเป็นแฟน เขาก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เห็นว่าเพื่อนท่าทางจะชอบฝ่ายผู้หญิงมากจริงๆ ก็เลยสนับสนุนเสียด้วยซ้ำ แม้ลึกๆจะรู้สึกแปลกๆก็ตาม อาจจะเป็นเพราะจิตใต้สำนึกของเขา กลัวว่าจะไม่ได้สนิทกันเหมือนก่อนถ้าหากเพื่อนมีแฟนไปแล้ว แต่ท้ายที่สุด เจก็ยังใช้เวลาอยู่กับเขาเหมือนเดิม ว่าตามจริงเจอยู่กับเขามากกว่าแนนเสียอีก
   
อันที่จริงโยก็เห็นใจทั้งคู่อยู่หรอก เจรักแนนแค่ไหนเขาก็พอจะรู้ แต่ด้วยเพราะชีวิตที่ต้องปากกัดตีนถีบเกินเด็กวัยเดียวกันแบบนี้ ผู้หญิงที่ไหนจะเข้าใจ ยิ่งผู้หญิงที่เหมือนมาจากอีกโลกหนึ่งอย่างแนนด้วยแล้ว การที่แนนอดทนคบกับเจมาได้นานเกือบปี ก็ต้องนับได้ว่ามีความอดทนสูงไม่น้อยอยู่เหมือนกัน เขาเดาเอาว่าสาเหตุที่แนนตัดสินใจคบตั้งแต่แรกน่าจะเป็นเพราะเจเป็นคนโรแมนติกมากแถมตรงไปตรงมา บวกกับความหน้าตาดีด้วยแล้วยังกล้าเดินเข้าไปขอผู้หญิงเป็นแฟนทั้งที่ติดจะขี้อายนี่ก็เป็นอะไรที่ชนะใจผู้หญิงได้ไม่ยากเหมือนกัน
   
นึกขึ้นมาทีไรก็อดหัวเราะให้กับความห่ามของเพื่อนสนิทตัวเองขึ้นมาไม่ได้ทุกที
   
อีกอย่าง ไม่รู้สินะ หรือเขามองโลกในแง่ร้ายเกินไปก็ไม่รู้ การที่ได้ชื่อว่ามีแฟนเป็นนักร้องฝึกหัดของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่และมีโอกาสที่จะได้ออกผลงานของตัวเองนั้น เป็นเรื่องที่เท่ไม่หยอกเสียเมื่อไหร่ ผู้หญิงอย่างแนนถ้าจะเลือกคบใครสักคน ก็จะต้องมีความพิเศษมากพอที่เธอจะเอาไปคุยให้ใครฟังได้ไม่อายนั่นแหละ แต่แนนคงลืมคิดไปว่า ชีวิตมันไม่ได้เหมือนหนังสือการ์ตูน จะได้สวยงามและได้ดั่งใจไปเสียทุกอย่าง เธอคงไม่คิดว่าเจจะมีภาระหน้าที่มากมายขนาดนั้น ที่สำคัญคบกันมาจะเป็นปี แนนก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าเจจะได้เป็นนักร้องกับเขาเสียที
   
สำหรับเจแล้ว สิ่งที่เจต้องการคือคนที่เข้าใจและพร้อมที่จะให้เด็กหนุ่มได้มากกว่าแม้เจ้าตัวจะไม่ได้ร้องขอ ไม่ใช่การถูกเรียกร้องเอาแต่ฝ่ายเดียวเหมือนอย่างที่แนนชอบทำ เจไม่พร้อมที่จะดูแลใคร แต่เป็นฝ่ายที่ต้องการการดูแลมากกว่า เจ้าตัวอาจจะไม่รู้แต่เขารู้ดี จึงยินดีที่จะเป็นผู้ให้มากกว่า ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนดี แต่เพราะเขาอยากทำ และมีแค่คนคนเดียวเท่านั้นที่เขาอยากจะหยิบยื่นสิ่งเหล่านี้ให้ด้วยความเต็มใจ
   
เจ เพียงคนเดียวเท่านั้น
   
เสียงโทรศัพท์กรีดร้องขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำเอาคนที่ตกอยู่ในภวังค์อย่างเขาสะดุ้งขึ้นมาเสียเฉยๆ
   
“ฮัลโหล”
   
“โย เป็นยังไงบ้างลูก”
   
“แม่” เสียงทุ้มๆนั้นร้องออกมาอย่างยินดี ราวกับวินาทีนั้นเขากลายไปเป็นเด็กอายุสิบเจ็ดทั่วไป ไม่ใช่เด็กอายุสิบเจ็ดที่มีบุคลิกเป็นผู้ใหญ่ที่น้องๆในค่ายให้การนับหน้าถือตาเหมือนอย่างทุกครั้ง
   
“ทำอะไรอยู่ลูก แม่โทรมาดึกไปหรือเปล่า”
   
“ไม่ได้ทำอะไรฮะแม่ ก็นั่งทำอะไรก๊อกแก๊กไปเรื่อยๆ”
   
“เป็นยังไงบ้างลูก”
   
“สบายดีครับ ช่วงนี้ฝึกหนัก แต่โยรับมือได้ แม่ไม่ต้องห่วงนะ น้องล่ะแม่”
   
“ดี มันก็ซนไปตามเรื่องของมันน่ะ เป็นไม้เบื่อไม้เมากับพ่อเขาเหมือนเดิม”
   
โยนึกถึงพ่อที่ยังคงขุ่นเคืองใจกับหนทางที่เขามุ่งมั่นเลือกเดิน ทำไมเขาจะไม่เข้าใจความรู้สึกของเจ ในเมื่อเขาเองก็ต้องอยู่กับความรู้สึกผิดในใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเช่นกัน
   
“แม่ครับ”
   
“ว่ายังไงลูก”
   
“โยทำให้พ่อกับแม่ลำบากใจ โยรู้ แล้วก็ขอโทษนะครับ” น่าจะเป็นเพราะเหตุการณ์ที่เกิดกับเจ โยจึงยอมเอ่ยความรู้สึกในใจของตัวเองออกไปในที่สุด “แต่โยอยากให้พ่อกับแม่รอดูว่าโยจะไปได้ไกลแค่ไหน มันอาจจะสำเร็จหรือไม่ก็ได้ แต่โยไม่อยากจะเสียใจทีหลังที่มีโอกาสแล้วไม่ทำมันออกมาให้ดี”
   
ปลายสายเงียบลงไปเป็นครู่ โยไม่รู้ว่าแม่กำลังคิดอะไร และคิดอย่างไรกับสิ่งที่เขาเพิ่งเอ่ยออกไป ที่แน่ๆแม้ในใจจะรู้สึกผิดต่อพ่อแม่ แต่เขากลับรู้สึกชัดเจนว่าเขาตัดสินใจไม่ผิด แม้จะผ่านการเป็นนักร้องฝึกหัดมาถึงสองปี และยังไม่มีวี่แววว่าจะได้มีผลงานออกมา แต่โยเชื่อว่าความมุ่งมั่นของเขาต้องส่งผลออกมาสักวันหนึ่ง และเฝ้าบอกตัวเองทุกวันว่า ต้องรอด้วยความอดทน มีนักร้องฝึกหัดอีกตั้งหลายคนที่ฝึกฝนมานานกว่าเขา แต่ก็ยังไม่ได้รับโอกาสอันนั้น สำหรับใครหลายคนมันอาจจะเป็นเวลานานถึงสองปี แต่สำหรับนักร้องฝึกหัดอย่างเขา จะต้องคอยบอกตัวเองอยู่เสมอว่า แค่สองปีเท่านั้น เพื่อที่จะได้มีกำลังใจต่อไป
   
“โย” เสียงแม่อ่อนโยนจนรู้สึกได้ “ถ้าโยเป็นเด็กไม่ดี แม่คงจะไม่ปล่อยลูกไปหรอก เข้าใจที่แม่พูดใช่ไหม”
   
“ครับแม่”
   
“พ่อกับแม่อาจจะไม่ชอบใจนัก แต่สุดท้ายแล้ว ถ้ามันเป็นสิ่งที่ลูกอยากทำจริงๆ แม้แต่แม่เองก็คงห้ามไม่ได้ พ่อเขารักลูกมากนะ เขาห่วงมาก เขาก็ต้องโกรธมาก”
   
“โยรู้ครับ”
   
“แต่ก็อยากให้ลูกรู้ไว้ว่าพ่อกับแม่รักและเป็นห่วงเสมอ”
   
“ขอบคุณครับ” เขาพูดออกไปและรู้สึกถึงความร้อนผ่าวที่เกิดขึ้นจากน้ำตาที่คลอเบ้าอยู่ “ฝากบอกยูให้ตั้งใจเรียนแล้วเป็นเด็กดีนะครับแม่”
   
“ดูแลตัวเองนะลูก แล้วแม่จะโทรมาอีก”
   
“ครับแม่ นอนหลับฝันดีนะ”
   
ขอบคุณครับแม่
   
โยวางสายยังไม่ทันไรโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นอีก ทำไมคืนนี้มีคนอยากจะคุยกับเขาเยอะดีจัง โยยกโทรศัพท์ขึ้นดูและยิ่งนึกแปลกใจขึ้นไปอีกเมื่อเบอร์นั้นไม่คุ้นเอาเสียเลย
   
“ฮัลโหล โยพูดสายครับ”
   
“โยที่เป็นเพื่อนกับเจใช่ไหม” น้ำเสียงของผู้ชายที่ไม่คุ้นหูถามขึ้นอย่างไม่มีพิธีรีตรองใดๆทั้งสิ้น แถมยังติดจะร้อนรนเสียด้วยซ้ำ
   
“ใช่ครับ นี่โทรจากไหนครับเนี่ย”
   
“พี่ชื่ออ๊อด เป็นเจ้าของร้านที่เจมันทำงานพิเศษอยู่นะ”
   
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” หนนี้กลับเป็นโยที่น้ำเสียงร้อนรนเป็นกังวลขึ้นมาบ้าง “เจเป็นอะไรหรือเปล่า”
   
“มารับเจที่ร้านได้ไหม พี่อยากจะไปส่งนะ แต่ที่ร้านยุ่งมากขอโทษที”
   
“ไม่เป็นไรครับผมรู้จักร้าน ไปรับได้ ว่าแต่เจเป็นอะไรครับ”
   
“ไม่สบาย ไข้สูงมาก เดินไปเดินมาอยู่ดีๆเป็นลมไปเลย”
   
“ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมออกไปเดี๋ยวนี้เลย” ทันทีที่กดวางสาย เด็กหนุ่มคว้ากระเป๋าคู่ใจขึ้นมาก่อนจะผลุนผลันออกไปโดยไม่นึกสนใจอะไรอีก

***********************
   
สภาพของเจที่เขาเห็นทำเอาโยใจหายวูบ ร่างที่นอนเหยียดยาวอยู่ในห้องพักเล็กๆนั้นดูซีดเซียวลงไปกว่าเดิม ไม่ใช่เพราะผิวขาวอย่างที่เจ้าตัวชอบเอามาเป็นข้ออ้างแน่ๆ โยเดินเข้าไปใช้มือแตะลงบนหน้าผากก่อนที่จะสะดุ้งเพราะความร้อนในร่างกายของร่างนั้นมันเพิ่มขึ้นสูงกว่าเมื่อตอนค่ำชนิดเทียบไม่ติด
   
เจที่มีสติเลือนรางเต็มทีปรือตาอันหนักอึ้งขึ้นตอบรับสัมผัสอันคุ้นเคยจากอุ้งมือหนานั้นด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
   
“มาได้ยังไง”
   
“พี่อ๊อดโทรไปบอก” โยเฝ้ามองดวงหน้าซีดเซียวนี้ด้วยความเป็นห่วง แต่ก็นึกโล่งใจที่เห็นคนป่วยยังพูดจามีสติอยู่ได้ แม้สภาพจะแย่กว่าทุกครั้งที่เขาเคยเห็นก็ตาม
   
เด็กหนุ่มผละจากคนไข้หายไปไหนสักครู่ก่อนจะกลับมา พร้อมกับพยุงร่างนั้นให้ลุกขึ้นยืน
   
“ไหวไหม” ร่างอันอ่อนแรงนั้นพยักหน้าอย่างยากเย็น “จะพาไปหาหมอนะ”
   
“ไม่ไป... ได้ไหม” เสียงประท้วงที่ฟังดูไม่หนักแน่นเสียเลยลอดออกมากจากริมฝีปากซีดจนเกือบเป็นสีขาวนั้น
   
“ไม่ได้ นายเฉยๆเถอะ เดี๋ยวเราจัดการเอง”
   
ไม่รู้เป็นเพราะเถียงไม่ออกหรือไม่มีแรงจะเถียง เจยอมให้โยประคองเดินออกไปแต่โดยดีโดยไม่ว่าอะไรอีก รู้แต่ว่าร่างกายมันไม่เป็นไปอย่างใจเลย มันหนักอึ้ง ปวดเมื่อยไปหมด ในหัวเหมือนมีใครมาทุบไม่หยุด ทั้งปวดทั้งมึน ครั้งสุดท้ายที่ป่วยหนักขนาดนี้มันเมื่อไหร่กันนะ ร่างอันอ่อนล้าปล่อยให้ความคิดยุ่งเหยิงตีกันในหัวไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็นั่งอยู่ในรถแท็กซี่แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นความจริงหรือความฝัน เขาเหมือนได้ยินเสียงโยพูดกับแท็กซี่ว่าไปโรงพยาบาลอะไรสักแห่ง แล้วความรู้สึกก็เหมือนดับวูบไปตอนนั้น
   
เจมีสติรู้ตัวขึ้นมารางๆอีกครั้ง ตอนที่โยปลุกให้เขาลงจากรถ ชั่วโมงนี้บอกให้เขาทำอะไรก็ทำหมดนั่นแหละ ขอแค่มีคนช่วยประคองไปอย่างนี้ล่ะก็ พอไหว เจพาร่างกายที่อ่อนล้าเข้าไปหาหมอโดยมีโยตามเข้าไปด้วยไม่ห่าง โชคดีที่ไม่ต้องรอคิว ดึกๆอย่างนี้โรงพยาบาลโล่งดีแท้ หมอพูดอะไรไม่รู้ล่ะ แต่เขารู้สึกว่าได้ยินเสียงโยตอบรับอยู่เป็นระยะๆ
   
“เป็นไข้หวัดใหญ่สมบูรณ์แบบเลยล่ะครับ” น่าจะเป็นเสียงหมอ “แต่ก็ไม่ได้มีอะไรน่าห่วง แค่คนไข้ต้องพักผ่อนมากๆ กินยาให้ครบตามที่หมอสั่ง แล้วก็อย่าเพิ่งไปทำอะไรหักโหมมากนัก นี่คนไข้พักผ่อนน้อยด้วยนะเนี่ย” หมอว่าอะไรต่อไปอีกยาวเหยียดทีเดียว กว่าจะปล่อยให้ทั้งคู่ออกมา โยพาเจไปนั่งก่อนที่เขาจะเดินไปรับยาและชำระเงิน
   
มารู้ตัวอีกที รถแท็กซี่ก็พาเขากลับมายังที่พักจนได้ เจกัดฟันอดทนอย่างที่สุดเพราะร่างกายของเขาตอนนี้อยากจะนอนนิ่งๆเหลือเกิน ไม่อยากขยับตัวไปไหนแล้ว
   
“เจ”
   
“หือ” น้ำเสียงนั้นอ่อนแรงเต็มที
   
“ไหวไหม”
   
“วันนี้นายถามคำถามนี้บ่อยจัง” เจยังอุตส่าห์มีอารมณ์ขัน “ไม่ไหวแล้วล่ะ” เขายอมสารภาพในที่สุด
   
“กินอะไรมาแล้วหรือยัง”
   
“นิดหน่อย”
   
“งั้นกินยาก่อนนะ”
   
โยประคองร่างผอมๆนั้นให้นอนบนเตียง ใบหน้าที่ขมวดมุ่นของคนป่วยดูผ่อนคลายขึ้นเมื่อได้ล้มตัวลงนอนสมใจ บุรุษพยาบาลจำเป็นผละออกไปก่อนที่จะผลุบหายเข้าไปทำอะไรกึงกังในครัว กลับมาอีกทีพร้อมแก้วน้ำและขวดใส่น้ำอุณหภูมิห้องในมือ
   
เขานั่งลงข้างๆคนป่วยที่นอนอยู่ มือง่วนอยู่กับการแกะซองยาและรินน้ำใส่แก้ว
   
“มา ลุกมากินยาเสียหน่อย จะได้ดีขึ้น” เจลุกขึ้นนั่งอย่างว่าง่ายโดยมีมือข้างหนึ่งของโยคอยประคองเขาเอาไว้ คนไข้ไม่ได้กินยายากแต่ก็นับว่าทุลักทุเลพอดู เพราะปากคอที่ไม่รับรู้รสอะไรทั้งสิ้นมันช่างทรมาณต่อการกลืนอะไรต่อมิอะไรลงคอสิ้นดี
   
“นอนซะนะ เดี๋ยวที่เหลือเราจัดการเอง” เจพยักหน้าเบาๆ ร่างกายของเขาต้องการการพักผ่อนเต็มทีแล้ว
   
โยนั่งมองคนป่วยที่ปิดเปลือกตาหนักๆลง ไม่นานร่างนั้นก็เข้าสู่ห้วงนิทราไม่เพราะฤทธิ์ยาก็เพราะร่างกายที่เหนื่อยล้านั่นล่ะ เขาใช้มือวางลงบนหน้าผากมนๆนั่นอีกครั้งก่อนจะส่ายหน้า
   
โยเดินหายออกไปครู่ใหญ่ก่อนจะกลับเข้ามาพร้อมน้ำในอ่างใบเล็กและผ้าขนหนูสองสามผืน เกิดมาไม่เคยเช็ดตัวให้ใครเสียด้วย ไม่เคยทำก็ได้ทำคราวนี้ล่ะ
   
แต่อะไรก็ไม่เท่าเขาต้องจัดการกับเสื้อผ้าที่เจใส่อยู่นี่เสียก่อนนี่สิ ลืมบอกให้เจเปลี่ยนเสื้อผ้าไปเสียสนิท เขาวางข้าวของในมือลงบนหัวเตียงแล้วลงไปนั่งข้างๆคนป่วยอีกครั้ง แล้วจึงลงมือเลิกชายเสื้อยืดที่เจใส่อยู่ก่อนจะถอดออกทางศีรษะอย่างเบามือ ทำขนาดนี้เจ้าตัวยังหลับสนิทแบบไม่มีทีท่าว่าจะรู้ตัวสักนิด นี่ถ้าเกิดเป็นคนอื่นไม่ใช่เขามาทำแบบนี้ เขาไม่ยอมนะนี่ ต่อไปก็กางเกง โชคดีที่วันนี้เจ้าตัวไม่ได้ใส่ยีนส์ก็เลยไม่ค่อยทุลักทุเลสักเท่าไหร่ แต่กว่าจะจัดการเรียบร้อยก็กินแรงไปโขอยู่ เพราะคนป่วยเล่นไม่มีสติเอาเสียเลย

โยลงมือเช็ดตัวให้คนป่วยเสียทีหลังจากปลุกปล้ำอยู่กับเสื้อผ้าอยู่นาน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเจชัดๆแบบนี้ ผิวที่ขาวจัดนั้นขาวและสวยมากจริงๆ ทั้งที่เจ้าตัวไม่เคยจะใส่ใจดูแลมันเลยสักนิดเท่าที่รู้จักกันมานาน เจเป็นเด็กหนุ่มที่ช่วงไหล่กว้างแต่ก็ยังนับว่าผอมเกินไป ยิ่งได้เห็นเอวที่เล็กเกินผู้ชายและเผลอๆจะเล็กเกินผู้หญิงทั่วไปนั่นแล้ว ทำเอาโยถึงกับถอนหายใจ เจผอมเกินไปจริงๆ แล้วคนอะไรขายังกับผู้หญิง ทั้งยาวและเล็กแถมเนียนเรียบอีกต่างหาก ผู้หญิงมาเห็นก็อาจจะอิจฉาได้ง่ายๆเลยนะเนี่ย มิน่าเล่า ถึงได้ภูมิอกภูมิใจกับช่วงขาเรียวยาวของตัวเองนัก โยรำพึงในใจอย่างนึกขัน
   
เมื่อเช็ดตัวให้คนป่วยเสร็จเขาจึงห่มผ้าให้พร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ แค่เช็ดตัวให้คนป่วยแค่นี้ทำไมมันใช้พลังงานเยอะนักนะ ท่าทางเจจะกระสับกระส่ายน้อยลงแล้ว แต่ก็ยังคงมีไข้สูงอยู่ คืนนี้คงต้องคอยเช็ดตัวให้ทั้งคืนกันล่ะ
   
ทั้งๆที่รู้ว่าอาจจะต้องอดนอน แต่ทำไมถึงไม่ได้รู้สึกหนักใจเลยสักนิดก็ไม่รู้สิ

************************
   
กี่โมงแล้วนี่ แสบตาจัง
   
คิ้วหนาได้รูปคู่นั้นขมวดเข้าหากัน เมื่อพยายามจะเปิดเปลือกตาแต่กลับรู้สึกว่ามันช่างยากเย็น กว่าจะลืมตาขึ้นได้และรู้ว่าเช้าแล้ว ก็กินเวลาครู่ใหญ่ มือขาวๆข้างหนึ่งยกขึ้นลูบใบหน้าที่ยังคงร้อนกว่าปกติ แต่ก็แค่กรุ่นๆเท่านั้น ศีรษะก็ไม่รู้สึกหนักเท่าเมื่อวาน ร่างกายก็เบาขึ้นเยอะ ถึงแม้จะยังรู้สึกปวดเมื่อยไปหมดก็ตามที
   
เมื่อคืนจำได้แค่ว่าไม่สบายมาก แล้วดูเหมือนว่าโยจะไปรับเขากลับมา แล้วโยไปไหนเสียล่ะ
   
แต่เมื่อหันไปข้างๆก็เห็นเสี้ยวหน้าอันคุ้นเคยนอนหนุนหมอนอยู่ข้างๆเขานั่นเอง โยยังคงหลับสนิท แต่ดูจากสภาพแล้วคงจะคอยดูแลเขาทั้งคืน เสื้อผ้าก็ยังคงเป็นชุดเดียวกับเมื่อวาน เมื่อได้พิศวงหน้าอันคมคายของเพื่อนที่คบกันมานานแบบนี้ ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ทำไมถึงจะต้องอดหลับอดนอนดูแลเขาถึงขนาดนี้ก็ไม่รู้ เจตะแคงร่างหันไปทางร่างสูงใหญ่ที่นอนตะแคงหันมาทางเขาอย่างหมดสภาพ แต่ก็หล่อได้อย่างน่าทึ่ง ขนาดเขาเป็นผู้ชายแท้ๆ หลายๆครั้งก็นึกชื่นชมความดูดีของคนใกล้ตัวคนนี้ขึ้นมาไม่ได้จริงๆ
   
มือข้างหนึ่งสอดลอดใต้ผ้าห่มออกมา ก่อนจะยกขึ้นวางบนแก้มสากๆของบุรุษพยาบาลจำเป็นที่นอนหลับสนิทดีเหลือเกิน แต่ไอร้อนจากมือข้างนั้นก็ปลุกให้คนที่นอนฝันหวานอยู่ลืมตาตื่นขึ้นในที่สุด
   
“อรุณสวัสดิ์” คนป่วยทักทายด้วยเสียงแห้งๆแต่ใบหน้าดูสดใสขึ้นบ้างแล้ว
   
โยยิ้มให้กับใบหน้าที่ตะแคงข้างมองเขา ก่อนจะยกมือขึ้นแตะกับมือที่วางอยู่บนแก้มของตัวเองเอาไว้อย่างนั้น เหมือนจะบอกเป็นนัยว่าอย่าเพิ่งปล่อยมือข้างนี้ไปไหน
   
“ดีขึ้นแล้วหรือ” เสียงทุ้มถามออกไปเบาๆ
   
“ก็ได้พยาบาลดี คงต้องขอบคุณเขาหน่อย” เจว่ายิ้มๆอย่างติดตลก “ขอบคุณนะที่ช่วยดูแลเรา แล้วก็ขอโทษที่ทำให้ต้องลำบาก”
   
“ไม่ลำบากหรอก” มือที่ใหญ่กว่าของเขายังคงไม่ยอมปลอยจากมือข้างนั้น แต่ยกมันวางไว้บนเตียงนุ่มๆแทน เขาหลับตาลงก่อนจะซุกหน้าลงกับหมอน และเอ่ยออกมาเบาๆโดยที่ยังคงกระชับมือข้างนั้นเอาไว้แน่น “แต่เป็นห่วง”
   
ไม่รู้เพราะอะไร คำว่าเป็นห่วงที่โยพูดให้เขาบ่อยๆกลับไม่เคยทำให้หัวใจของเขากระตุกจนเต้นไม่เป็นจังหวะได้เท่าครั้งนี้
   
“ทำไมไม่บอกว่าไม่สบาย”
   
“ถ้าบอก นายคงไม่ยอมให้เราไป เราไม่อยากขาดงาน ไม่อยากเสียรายได้ ไม่อยากขาดเรียนแม้แต่คลาสเดียวด้วย”
   
“ถ้าป่วย ยังไงก็ต้องหยุดนะเจ” เขาว่าเสียงเบา “ทำไมนายชอบทำอะไรฝืนตัวเองนะ”
   
“มันจำเป็น เราก็เหนื่อยนะ” เจบอกอย่างไม่ปิดบัง “แต่บางทีมันก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก”
   
“ทางเลือกอาจจะไม่มี แต่นายไม่ได้ตัวคนเดียวสักหน่อย” ดวงตาเรียวรีนั้นมองตรงมาที่เขา “สัญญาได้ไหม ว่าต่อไปถ้าเป็นอะไรต้องบอก” ลมหายใจอุ่นๆของโยรินรดอยู่บนมือข้างที่ยังถูกกุมกระชับนั้นอย่างรู้สึกได้ “สัญญานะ” น้ำเสียงนั้นไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการบังคับเลยสักนิด แต่เป็นการขอร้องจนติดจะอ้อนวอนเสียด้วยซ้ำ ไม่รู้เป็นเพราะพิษไข้หรืออย่างไร ใบหน้าของเขาจึงรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาเสียเฉยๆ เจก้มหน้างุด ไม่ได้ว่าอะไรต่อแต่ก็พยักหน้าตอบรับคำขอนั้นในที่สุด
   
“ขอบคุณ” โยยกมือข้างนั้นขึ้นสัมผัสริมฝีปากตัวเองแผ่วเบา ก่อนจะส่งยิ้มให้คนป่วยที่ตอนนี้ทำตาโตเพราะไม่คาดคิดกับการกระทำอันอ่อนโยนนั้น แล้วก็หน้าแดงขึ้นอย่างไม่อาจห้ามได้ หนนี้ไม่น่าจะเป็นเพราะพิษไข้เสียแล้ว
   
“นายยังไม่หายไข้ เพราะฉะนั้นวันนี้นอนพักผ่อนให้เต็มที่ ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น งดเรียน งดคลาส งดงาน” น้ำเสียงทุ้มเปลี่ยนเป็นเข้มงวดและเป็นการเป็นงานขึ้นมาทันที “ห้ามเถียง” เขาพูดสำทับอย่างรู้ทัน “นายไปก็ทำอะไรไม่ได้ รอให้หายซะก่อน ถึงตอนนั้นอยากจะไปกู้โลกเราก็จะไม่ห้ามเลย” คนป่วยได้ยินแล้วไม่เพียงแต่จะเถียงไม่ออกแต่ถึงกับหัวเราะกิ๊กออกมา และพยักหน้ายอมแพ้อย่างว่าง่าย แม้จะรู้สึกดีขึ้น แต่สภาพของเขาตอนนี้ยังไม่พร้อมที่จะลุกเดินไปไหนมาไหนได้แน่ๆ
   
“ดีมาก”
   
“แล้วนายล่ะ”
   
“เราทำไม?”
   
“ไม่ไปเรียนเหรอ”
   
“ลาป่วย” โยว่าง่ายๆ
   
“ป่วยเป็นอะไร”
   
“นอนไม่พอ...” พูดหน้าตาเฉยเสร็จก็เดินออกไปเทิ่งๆทั้งอย่างนั้น ทำเอาเจหัวเราะพรืดออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อได้เห็นอีกมุมหนึ่งของเพื่อนสนิทในแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก
   
นานๆได้ป่วยสักทีก็ดีเหมือนกันนะ

____________________________________

ยาวมากค่ะตอนนี้ หวังใจไว้เช่นเดิมค่ะว่า จะได้รับความบันเทิงจากการอ่านโดยทั่วกัน ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด