#*#*# Beats of Life.......
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: #*#*# Beats of Life.......  (อ่าน 101304 ครั้ง)

ออฟไลน์ maio2000

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 203
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
รอไรเตอร์ :monkeysad: มาลงที่เถอะ สงสารโยจะตายอยู่แล้ว
ลุ้นอยู่แนนจะทำไรต่อ อยากให้พี่นนท์กับน้ำต้นมาแจมด้วยอะ :กอด1: :L2:

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 7

เด็กหนุ่มที่ดูจะตัวใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะการออกกำลังและการฟิตซ้อมร่างกายที่หนักขึ้นกว่าเดิม เดินสะพายกระเป๋าออกไปเตรียมจะกลับบ้าน ระหว่างที่หยุดทักทายรุ่นน้องที่สนิทสนมกันอยู่นั้น ก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้เมื่อเห็นร่างแบบบางของเด็กสาวที่คุ้นหน้าคุ้นตาเดินตรงมาทางเขา
   
“แนน” เสียงทุ้มๆนั้นเรียกออกไป “เจไปทำงานแล้ว มีอะไรหรือเปล่า ติดต่อไม่ได้หรือ”
   
เด็กสาวส่ายหน้า   
   
“เราอยากคุยกับเธอ ขอเวลาได้ไหม”
   
“ตามสบายพี่โย ไว้เจอกันครับ” เด็กหนุ่มรุ่นน้องเอ่ยอย่างรู้หน้าที่ โยพยักหน้าพลางยิ้มให้เป็นนัยว่าขอบใจ
   
“ไปครับ สะดวกที่ไหนว่ามาเลย” โยว่าเสียงทุ้มอารมณ์ดี แม้จะนึกประหลาดใจไม่น้อยก็ตาม
   
ผู้ชายคนนี้ ทำไมเธอจึงไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่าดูดีและมีสเน่ห์ดึงดูดใจมากมายถึงเพียงนี้ ร่างสูงใหญ่ที่เห็นได้ชัดว่าดูกำยำมากขึ้นจากเมื่อครั้งสุดท้ายที่แนนได้เจอ ท่าทางอกผายไหล่ผึ่ง น้ำเสียงทุ้มหู กริยาที่ดูสุภาพ และใบหน้าหล่อเหลาดูดีที่มักจะแต้มไปด้วยรอยยิ้มเสมอนั่น ถ้าเขาจะมีแฟนคลับเสียตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นนักร้อง เธอคงไม่นึกแปลกใจเลยสักนิด
   
แต่ที่เธอสงสัยคือ คนที่เพียบพร้อมขนาดนี้ ทำไมจึงยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนเสียที
   
ร้านกาแฟที่อยู่ใกล้กับบริษัทดูจะเป็นทางเลือกที่ดีและสะดวกที่สุด ทั้งคู่เดินเข้าไปจับจองโต๊ะตัวที่ตั้งอยู่ด้านในสุด ดึกขนาดนี้แล้ว คนย่อมบางตาเป็นธรรมดา ยังดีที่ร้านนี้เป็นร้านเดียวที่เปิดบริการจนถึงเที่ยงคืน ทั้งคู่เลือกสั่งเครื่องดื่มคนละแก้ว ก่อนที่เด็กหนุ่มร่างใหญ่จะเป็นฝ่ายเอ่ยอะไรออกมาก่อน
   
“ไม่ได้เจอกันนานเลย เป็นยังไงบ้าง”
   
“ก็ดี ท่าทางเธอก็ดูจะสบายดีนี่” อดรนทนไม่ได้เด็กสาวจึงโพล่งออกมาในที่สุด “เราจะไม่อ้อมค้อมล่ะนะ”   
   
“เราก็ไม่คิดว่าเธอจะมาเพื่อชวนเรากินกาแฟเหมือนกัน” ความนิ่งราวกับจะไม่หวั่นไหวอะไรทำให้เด็กสาวใจฝ่อไปเล็กน้อย แต่เธอก็รวบรวมความกล้าเอ่ยออกไปในที่สุด
   
“เมื่อคืนเราคุยกับเจ เรื่องร้องเพลงของเขา” เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบ เธอจึงว่าต่ออย่างถือดี “ส่วนตัวเราอยากให้เจไปร้องเพลงกับวงของเขามากกว่ามาทำอะไรแบบนี้” ได้ผล หนนี้เธอเห็นว่าคิ้วคู่นั้นขมวดมุ่นลงจนได้
   
“เราไม่เข้าใจ”
   
“หมายความว่ายังไง ไม่เข้าใจ”
   
“ไมเข้าใจที่คนที่ไม่เคยสนใจเรื่องนี้ของเจ จู่ๆจะแสดงความสนใจถึงขนาดเอ่ยปากแนะนำเจไปแบบนั้น”  
   
เด็กสาวรู้สึกถึงใบหน้าที่ร้อนผ่าว เธอโกรธที่เด็กหนุ่มพูดเหมือนรู้จักเจดีกว่าเธอ โกรธที่เขาพูดราวกับเธอช่างไม่รู้อะไรเสียเลย เขามีสิทธิ์อะไรมาพูดกับเธอแบบนี้
   
“เราเป็นแฟนเจนะ”
   
“แฟนที่ทิ้งเขาไป แล้วก็กลับมาขอคืนดีกับเขาน่ะหรือ” โยจ้องไปที่เด็กสาวไม่วางตา เธอดูไม่ออกเลยว่าตอนนี้อารมณ์ของเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอเป็นอย่างไร รู้แต่ว่าความสงบนิ่งที่เขามีนั้น ทำให้เธอหวั่นไหวเหลือเกิน
   
“แต่เขาก็กลับมาคบเราแล้ว” เธอปดแม้จะรู้ทั้งรู้ว่าเจยังไม่เคยรับปากว่าจะกลับไปคบเธอเหมือนเดิม “และที่เราไม่ชอบอย่างมากก็คือ คนที่เป็นแค่เพื่อนอย่างเธอดูเหมือนจะยุ่งเรื่องของเขาเกินไปหน่อยแล้ว”
   
“นี่อย่าบอกนะ...” โยทำตาโต “ว่าเธอคิดว่าที่เจเลือกจะเข้าคัดตัวเป็นเพราะเรา”
   
“ก็ถ้าไม่ใช่เพราะเธอจะเป็นเพราะใคร เจเขาบอกฉันว่าเขาชอบวงร็อคของเขามากกว่า”
   
โยมองเด็กสาวอย่างไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เพิ่งได้ยินเลยสักนิด นี่ตกลงว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเจเลยใช่ไหม มาถึงตอนนี้ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเธอโกหกคำโตเพียงไร
   
“ขอบอกอะไรให้รู้สักหน่อยได้ไหมแนน” โยระบายลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน “เราไม่มีสิทธิ์ไปบอกให้เจทำนั่นทำนี่ได้หรอกนะ เจตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวของเขาเอง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเขาไม่ใช่เรา และไม่ว่าเจจะตัดสินใจเลือกอะไร เราก็พร้อมที่จะยินดีกับเขา”
   
ดวงตายาวรีคู่นั้นยังคงจับจ้องอยู่กับดวงหน้าของเด็กสาว แต่ไม่รู้เพราะอะไรเธอจึงรู้สึกเหมือนกับเห็นแววของความผิดหวังผ่านออกมาจากดวงตาคู่นั้น
   
“หน้าที่ของเรา คือคอยดูแลและเป็นพลังให้เขาในเวลาที่เขาไม่มีใคร ไม่ใช่ไปบังคับเขา การที่เธอมาพูดกับเราแบบนี้ เราถือว่าเธอดูถูกเขามากเลยนะ” ร่างนั้นลุกขึ้นยืนช้าๆแต่ดวงตายังไม่ยอมละไปไหน “กลับมาคราวนี้ เราขอเธอแค่ช่วยดูแลเขาให้ดี แล้วก็อย่าทิ้งเขาไปอีกก็พอ คงไม่มากเกินไปใช่ไหม”
   
เด็กหนุ่มหยิบกระเป๋าขึ้นสะพายและเดินออกจากร้านไปโดยไม่สนใจจะหันกลับมามองหรือฟังคำตอบใดๆอีก ทิ้งให้เด็กสาวนั่งเม้มปากอย่างไม่พอใจ เมื่อสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดนั้นมันกระแทกใจเธอเต็มๆโดยที่เธอไม่อาจจะเถียงอะไรออกไปได้เลยแม้แต่คำเดียว แต่... ช่วยดูแลเขาให้ดี แล้วก็อย่าทิ้งเข้าไปอีกก็พออย่างนั้นหรือ เธอไม่ชอบใจในน้ำเสียงนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว น้ำเสียงที่แม้เจ้าตัวจะไม่รู้ตัว แต่ก็แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นต่อเธออย่างมาก

*******************************

“โว้ยยยยย!!!” จู่ๆไอ้เพื่อนหน้าสวยของเขาก็ตะโกนออกมาราวกับไม่พอใจอะไรสักอย่าง ก่อนจะฟุบหน้าลงกับท่อนแขนขาวๆที่เขาเห็นแล้วโคตรจะอิจฉา
   
“เป็นอะไรไปไอ้เจ” เด็กหนุ่มอีกคนยื่นหน้าไปมองว่าเพื่อนซี้เป็นอะไรมากหรือเปล่า ก่อนจะหันไปลุกขึ้นยืนพลางชูมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นให้กับโต๊ะอื่นๆที่หันมามองว่าดาวดังของโรงเรียนเป็นอะไรไปเสียแล้ว
   
“กลุ้ม” เขาตอบสั้นๆ “ไอ้ต๊อก ข้าถามอะไรเอ็งหน่อยเหอะ”
   
“ว่ามา” เด็กหนุ่มอารมณ์ดีที่มีความเชื่อผิดๆว่า ในโรงเรียนนี้ เห็นจะมีแต่เขานี่แหละที่หล่อเหลาพอจะสูสีไอ้เพื่อนคนนี้ได้
   
“คนที่เคยสนิทกันดีๆ จู่ๆก็หนีหน้า เลี่ยงที่จะไม่คุย เลือกที่จะไม่เจอ โดยที่ไอ้เราก็ไม่ได้ทำอะไรให้มันเจ็บช้ำน้ำใจ มันหมายความว่าไงวะ” ดูเอาเถอะ ขนาดมันทำหน้ามู่ทู่ เอามือขยี้หัวจนยุ่งเหยิงไปหมด หน้าตาก็เหมือนคนอดหลับอดนอน แต่ทำไมยังดูดีได้ขนาดนี้ ต๊อกอิจฉาครับเพื่อน
   
“ไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจแล้วไม่รู้ตัวหรือเปล่าวะ”
   
“ไม่รุ” เจตอบส่งๆ “แต่ข้าอึดอัด มีอะไรไม่พูด ใครจะไปรู้วะว่าคิดอะไร”
   
“นี่พูดถึงแนนใช่ไหม”
   
“ไม่ใช่” เจตอบหางเสียงสะบัด ก่อนเสียงจะอ่อยลง “เพื่อน”
   
“อ้าวไม่ใช่แนนหรอกหรือ” เจส่ายหน้า ทำเอาเพื่อนต๊อกไม่เข้าใจไปครู่ใหญ่ “ทีแรกข้านึกว่าหมายถึงแฟน”
   
“แนนไม่ใช่แฟนข้า”
   
“เอ๊า... ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” ต๊อกยิ่งงงหนัก นี่เพื่อนเขาจะซับซ้อนเกินไปหน่อยหรือเปล่า
   
“ก็ไม่ได้เป็นมาตั้งนานแล้ว”
   
“แล้วนี่ไม่ได้กลับมาคบกันเหรอ”
   
“เขาก็ขอ แต่ข้ายังไม่ได้รับปาก”
   
“ไอ้หอกเจ...” เขายกเท้าขึ้นเตรียมประเคนให้เพื่อนหน้าหล่อ ติดแต่แฟนคลับที่มานั่งเฝ้าจะเข้ามาสะกรัมเขาเสียก่อนนี่สิ ถึงได้ยั้งเอาไว้เสียก่อน“ยังไงของเอ็งวะ”
   
“ข้าไม่รู้เว้ย”
   
“แล้วเพื่อนที่ว่า เอ็งอย่าบอกนะ...”
   
“เออ...”
   
“เฮ้ย... มันเป็นห่วงเอ็งจะตาย ทำไมจู่ๆถึงเกิดไม่พอใจอะไรเอ็งขึ้นมาวะ ต้องมีอะไรผิดพลาดสักอย่าง” พอเห็นเพื่อนทำท่าครุ่นคิดราวกับเป็นวาระแห่งชาติอะไรสักอย่าง เจที่หน้าดำคร่ำเครียดมาตั้งแต่เช้า ถึงกับหลุดขำออกมาอย่างไม่อาจห้ามได้ เพื่อนต๊อก แกจะฮาไปไหน ว่าตามจริงชีวิตในโรงเรียนที่สร้างสีสันให้เขาได้ส่วนหนึ่งก็มาจากเพื่อนคนนี้นี่แหละ ต๊อกอาจจะไม่ใช่คนดังในโรงเรียน อาจจะไม่ใช่เด็กหนุ่มที่หน้าตาดีอะไร ท่าทางออกจะไม่น่าไว้ใจด้วยซ้ำในสายตาของเด็กผู้หญิง จนบ่อยครั้งหลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่าคนที่ดูแตกต่างกันเหลือเกินราวฟ้ากับเหวจะกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันขนาดนี้ได้อย่างไร
   
น้ำใจ เจมักจะตอบออกไปแบบนี้เสมอเมื่อถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับต๊อก เพื่อนของเขาเป็นคนมีน้ำใจชนิดที่หาใครมาเปรียบได้ยาก และเป็นคนที่ถัดจากโยแล้วก็เห็นจะเป็นต๊อกนี่แหละที่คอยเป็นห่วงเป็นใยเขาอย่างจริงใจเสมอมา จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ถึงแม้ต๊อกจะไม่ใช่คนหน้าตาดี ตัวก็ดำเหมือนจรกาอย่างที่หลายคนปรามาสเอาไว้ แต่กลับมีเพื่อนอยู่มากมาย
   
“หรือข้าควรจะถามมันไปตรงๆเลยวะ”
   
“ถามเหอะ” ต๊อกตอบแบบไม่ต้องคิดเลยสักนิด “เอ็งไม่ต้องถามข้าก็รู้แล้วว่าเอ็งไม่ปล่อยให้มันคาใจหรอก”
   
“มันเอาแต่หลบหน้าข้านี่สิ”
   
“ไอ้เจ ข้าถามเอ็งจริงๆ”
   
“ว่า?”
   
“เอ็งยังรักแนนอยู่ไหม”
   
“ไม่แน่ใจว่ะ”
   
“งั้นไปคิดให้ตกก่อนไป ว่ารักหรือไม่รัก แล้วก็ไปบอกเขาให้รู้เรื่อง อย่าให้มันคาราคาซังแบบนี้ ผู้หญิงเขาจะมีความหวังเปล่าๆ”
   
เมื่อเห็นดวงตากลมโตของเพื่อนหน้าหวานจ้องกลับมาแบบไม่วางตาราวกับรอคาดคั้นจะเอาคำตอบอะไรบางอย่าง ต๊อกจึงได้แต่เกาศีรษะอย่างขัดเคือง
   
“เออ ข้าพูดจริงๆ ถึงข้าจะไม่ค่อยชอบแฟนเอ็ง ก็ไม่ได้แปลว่าข้าจะเป็นคนเลวขนาดไปยุให้เพื่อนเลิกคบแฟนด้วยเหตุผลแค่นี้หรอกโว้ย แต่บางอย่างมันก็ควรจะชัดเจนนะไอ้เจ การไปตอบรับไมตรีเขาเพียงเพราะกลัวเสียน้ำใจทั้งที่ไม่ได้รักแล้วน่ะ อย่าทำเลย”
   
“ขอบใจว่ะต๊อก”
   
“เก็บไปคิดเป็นการบ้านก็แล้วกันว่าจะเอายังไงกะแนน ส่วนเรื่องโยน่ะ ไปคุยกันซะ เพื่อนดีๆหาไม่ได้ง่ายๆนะเว้ย”
   
“เหมือนเอ็งอ่ะเหรอ”
   
“อันนี้มันก็แน่นอนนะ” ไม่เพียงแต่ยื่นหน้าตอบรับแบบไม่มีถ่อมตัว ยังชูนิ้วโป้งและนิ้วชี้ขึ้นมาราวกับว่าเท่เสียเต็มประดา ทำเอาเจที่นั่งกลุ้มใจอยู่เป็นนาน หลุดหัวเราะชอบใจออกมาในที่สุด

*******************************


fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
งานพิเศษคืนนี้ออกจะให้ความรู้สึกแปลกกว่าทุกครั้ง ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น จู่ๆแนนที่ร้อยวันพันปีไม่เคยสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับงานที่เขาทำอยู่สักนิด กลับมาออดอ้อนขอให้พาไปดูที่ทำงานของเขาอย่างเป็นจริงเป็นจังเสียอย่างนั้น น่าแปลกที่เขากลับรู้สึกเกรงใจทุกคนที่ร้านขึ้นมาทันที ต่างกับตอนที่พาโยมา เขากลับไม่รู้สึกแบบนั้นเลยสักนิด ไม่ว่าจะยกเหตุผลอะไรมาบอกเด็กสาว ก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนความคิดของเธอไม่ได้แน่แล้ว สุดท้ายเจก็ต้องพาแนนมาด้วยจนได้ในที่สุด
   
“ต้องขอโทษด้วยนะครับพี่อ๊อด” เจว่าอย่างเกรงใจ
   
“เฮ้ย จะต้องมาขอโทษทำไมกัน ก็นั่นแฟนเราไม่ใช่เหรอ นานๆมาทีจะเป็นไรไป”
   
“แฟนเก่าน่ะครับ”
   
“อ้าว...” แต่เมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของเด็กหนุ่มแล้ว เจ้าของร้านก็ไม่ว่าอย่างไรต่อ ได้แต่ยกมือขึ้นตบไหล่เจเบาๆและยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
   
“งั้น ไปทำงานเถอะไป”
   
ในคืนที่อยู่ในช่วงปลายเดือนแบบนี้ ลูกค้าจะไม่หนาตามากเท่ากับช่วงต้นเดือน บรรยากาศในการทำงานจึงเป็นไปอย่างค่อนข้างสบาย ไม่ถึงกับยุ่งมากมายสักเท่าไร ครัวจึงสามารถปิดได้ตอนห้าทุ่มตามปกติ ไม่ต้องลากยาวไปจนถึงเที่ยงคืน เมื่อลูกค้ากลุ่มสุดท้ายออกจากร้านไปแล้ว จึงยังพอมีเวลาให้พนักงานในร้านเก็บกวาดและหาอะไรทานก่อนกลับได้อย่างไม่ต้องเร่งรีบอะไรนัก ยิ่งคืนนี้มีสาวสวยมานั่งอยู่ด้วย ก็ยิ่งสร้างความสดชื่นให้กับพนักงานหนุ่มๆ ที่ทำเป็นเอ้อระเหยไม่ยอมกลับสักทีได้ไม่น้อยเหมือนกัน
   
“แนน โทรเรียกให้ที่บ้านมารับแล้วใช่ไหม” เด็กหนุ่มที่ตอนนี้ถอดเครื่องแบบพนักงานออกกลับมาอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์เหมือนเดิม เดินมาถามเธออย่างนึกเป็นห่วง คืนนี้แทนที่จะได้ทำงานเต็มที่ เขาก็เลยต้องเทียวไปเทียวมาถามเด็กสาวอยู่ตลอดเวลา เพราะกลัวเธอจะเบื่อและงอนเขาขึ้นมาอีก แม้จะเป็นฝ่ายขอมาเองก็ตาม
   
“อือ” แนนตอบด้วยท่าทางเนือยๆ ในใจก็ได้แต่คิดว่า เจมาทนทำงานอยู่ในที่แบบนี้ได้อย่างไร ทั้งเหนื่อย ทั้งดูน่าวุ่นวายและน่าเบื่อออกขนาดนี้ “เจจะทำงานนี้ไปอีกนานแค่ไหนน่ะ”
   
“ก็” เจทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงกันข้ามกับเด็กสาว “จนกว่าอะไรๆจะดีขึ้น แนนอย่าลืมสิว่าทางบ้านเราเขาไม่ได้ส่งเสียเราตรงนี้” เจหมายถึงการเป็นนักร้องฝึกหัด “เราก็ต้องช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด”
   
“เจก็เลิกสิ” เจหน้านิ่วอย่างไม่สู้จะชอบใจในน้ำเสียงของแนนนัก “ก็อย่างที่แนนบอกนั่นแหละ เจเหมาะกับวงร็อคนั่นมากกว่าอีก แถมไม่ต้องเหนื่อยฝึกร้องเพลง ฝึกเต้นจนหัวหมุนอย่างทุกวันนี้ด้วย” แนนว่าราวกับรู้เรื่องการร้องเพลงดีเสียเต็มประดา
   
“แนนไม่รู้อะไรอย่าพูดดีกว่า” เจหงุดหงิดมากเสียจนต้องเสมองไปทางอื่น ทำเอาเด็กสาวฉุนกึก
   
“ทำไมแนนจะไม่รู้ เจทำอะไรเยอะเกินตัวไปแล้วรู้ไหม ที่จริงแค่เจไม่ต้องเป็นนักเรียนฝึกหัดอะไรนั่นก็ไม่ต้องมาเหนื่อยแบบนี้แล้ว อยากร้องเพลงก็ไปร้องกับวงสิ ไม่ต้องซ้อมเต้น ไม่ต้องเข้าคลาสอะไรให้วุ่นวายด้วยซ้ำ ทำไมเจยังดื้ออยู่อีก”
   
“แนน!” เจเสียงแข็ง “แนนสนใจเรื่องเราร้องเพลงตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ผ่านมา แนนไม่เคยสนเลยว่าเราจะทุ่มเทให้กับการฝึกซ้อมแค่ไหน พอพาไปดูไลฟ์แนนก็บอกไม่ชอบ แนนไม่เคยชอบสิ่งที่เราทำเสียหน่อย แล้วพอมาวันนึงแนนก็มาบอกให้เราเลือกทำอย่างนั้นอย่างนี้ เคยถามเราสักคำไหมว่าเราชอบหรือเปล่า หรือเราทำทำไม เคยถามไหมว่าเราอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร นอกจากแค่แนนอยากให้เราทำอะไร”
   
แนนถึงกับคอแข็งและตกใจที่ได้เห็นเจในมุมที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน เจไม่เคยพูดจากับเธอแบบนี้เลยสักครั้ง เกิดอะไรขึ้นกับเจ ทำไมเด็กหนุ่มจึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้
   
“งั้นพูดมาเลยตรงๆดีกว่า เจตัดสินใจจะอยู่วงบอยแบนด์ก็เพราะโยใช่ไหม”
   
“โยเข้ามาเกี่ยวอะไรด้วย” เจถึงกับงงเป็นไก่ตาแตกที่จู่ๆแนนก็พูดถึงโยขึ้นมา
   
“โยใช่ไหมที่ยุให้เจเลือกทางนี้แทนที่จะเป็นวงดนตรี โยมันมากล่อมอะไรเจถึงได้ใจอ่อนยอมอยู่ มันหวังอะไรจากเจหรือเปล่า เคยถามมันไหม”
   
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับโย ทุกอย่างเกิดจากการตัดสินใจของเราทั้งนั้น แล้วขอนะแนน อย่าพูดถึงโยแบบนั้น ไม่น่ารักเลย” เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงความโกรธที่คุกรุ่นขึ้นมา แต่เพราะอะไรเขาถึงได้รู้สึกไม่พอใจขนาดนี้เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
   
“ใช่สิ แนนมันไม่น่ารักนี่ บอกอะไรเจ เจถึงไม่เชื่อฟังเลย” เด็กสาวแค่นหัวเราะ “ใครจะไปดีแสนดีเหมือนเพื่อนรักของเจล่ะ มันพูดอะไรก็เชื่อมันไปหมด”
   
“ขอบอกอีกครั้งเดียว ไม่รู้อะไรอย่าพูดดีกว่าแนน” ไม่เชื่อฟังอย่างนั้นหรือ ผู้หญิงคนนี้เห็นเขาเป็นหมาเป็นแมวหรืออย่างไรกัน
   
“ทำไมจะไม่รู้อะไร ทำไมแนนจะไม่รู้ เจหายใจเข้าออกเป็นมันตลอดนี่เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวก็โยอย่างนั้น เดี๋ยวก็โยอย่างนี้ แนนไม่ได้อยู่ในสายตาเจอีกแล้ว อยากรู้จริงๆมันมีดีตรงไหน” ใช่แล้ว เธอหวงเจกับเด็กผู้ชายคนนั้น เธอไม่ชอบที่เจเอาแต่พูดถึงมัน ไม่ชอบที่เจก็ดูเหมือนจะเชื่อฟังมันทุกอย่างด้วย และที่สำคัญเจที่เคยยอมเธอทุกอย่าง กล้าเถียงเธอหน้าดำหน้าแดงแบบนี้ก็เพราะมันอีกเหมือนกัน
   
“ก็ตรงที่ตอนที่แนนทิ้งเราไป ก็ได้เขานี่แหละคอยดูแล คอยเป็นห่วง ในวันที่เราไม่มีใคร โยเป็นคนที่อยู่ตรงนั้นกับเรา เข้าใจหรือยัง!”
   
เด็กสาวถึงกับกัดริมฝีปากด้วยความคับแค้นใจ เธอเถียงไม่ออกเพราะสิ่งที่เจพูดมันคือความจริงทุกอย่าง แต่ความโกรธดูจะมีอำนาจเหนือเหตุผลไปหมดแล้วในตอนนี้
   
“แนนเกลียดมัน!” เด็กสาวเข่นเขี้ยว “เกลียดท่าทียะโสโอหัง ทำเหมือนกับรู้เรื่องของเจทั้งหมดคนเดียว ปากก็ทำเป็นบอกว่า เป็นสิทธิ์ของเจ ยอมรับการตัดสินใจของเจ แต่ทำท่าเหมือนตัวเองเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ แล้วทำท่าอวดดีใส่แนน แนนเป็นแฟนเจนะ แต่มันเป็นแค่เพื่อนสั่วๆคนนึงที่หวังอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้”
   
เจหน้าบึ้งอย่างไม่ปิดบังความรู้สึกอะไรอีก ก่อนจะถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่คาดคั้นและไม่พอใจอย่างยิ่ง
   
“อย่าบอกนะว่าแนนไปเจอกับโยมา”
   
“เออ แนนไปคุยกับมันมา บอกให้มันปล่อยเจไปซะ ถ่วงความเจริญ มาทำเป็นหวังดีอยากให้เจได้รับคัดเลือก มันชอบเจแนนรู้ มันถึงอยากให้เจอยู่กับมัน โธ่เอ๊ย...หวังดีจอมปลอมน่ะสิ ทำเพื่อตัวเองแท้ๆ ยังจะ...” พูดได้เท่านั้นเด็กสาวก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อเด็กหนุ่มใช้มือข้างหนึ่งตบลงบนโต๊ะอย่างแรง เสียงดังของมันทำเอาใครหลายคนที่เดินไปเดินมาอยู่แถวนั้นถึงกับหันมามองด้วยความประหลาดใจ เจผุดลุกขึ้นทันที
   
“อย่าพูดถึงโยแบบนั้นอีก ไม่อย่างนั้นเราจะไม่ให้อภัยเธอเลย” เขาตวัดสายตามองเธออีกครั้งด้วยสีหน้าท่าทางที่แนนไม่เคยเห็นมาก่อน “เราจะไปรอรถบ้านเธออยู่หน้าร้านก็แล้วกัน มาถึงเมื่อไหร่จะให้คนมาเรียก ขอตัวนะแนน”
   
หญิงสาวอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ทั้งแค้นใจ ทั้งเจ็บใจ ผสมปนเปกันมากมายไปหมด ทำไมถึงไม่ได้ดั่งใจกันสักคน ทำไมถึงได้ โง่ โง่ โง่ กันไปหมด
   
คืนนั้นแม้เด็กสาวจะก้าวขึ้นรถ รอจนกระทั่งรถเก๋งคันงามออกตัวไปแล้ว ก็ไม่ปรากฏเงาของคนที่เธอเชื่อว่ายังรักเธออยู่ให้เห็นอีกเลย

***************************
   
เกือบตีหนึ่งแล้ว เจค่อยๆไขกุญแจเข้าไปในห้องพักอย่างเบามือ ด้วยไม่อยากรบกวนเจ้าของห้องที่ไม่รู้ว่านอนไปแล้วหรือยัง เขายังคงรู้สึกมึนไม่หายจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เพื่อนพนักงานในร้านชงให้ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าทุกคนพยายามที่จะปลอบใจเขา คนที่ร้านมีหรือจะไม่รู้ว่าเขากับแนนทะเลาะกัน ก็เสียงดังขนาดนั้น ปกติเขาก็มีดื่มๆอยู่บ้างเหมือนกัน แต่หนนี้ดูจะหนักข้อกว่าปกติเล็กน้อย ที่จริงก็ไม่น่าจะเล็กน้อยหรอก ลองถ้าทำให้คนคอแข็งอย่างเขามึนๆได้ขนาดนี้ล่ะก็
   
แต่ที่น่าแปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ ทะเลาะกันหนักขนาดนี้ แต่เจกลับไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องตามง้องอนเหมือนทุกครั้ง เขาโกรธแนนขนาดที่ว่ายังแปลกใจตัวเองที่เกรี้ยวกราดกับเด็กสาวได้ขนาดนั้นเชียวหรือ ที่สำคัญเขาไม่นึกอยากโทรไปปรับความเข้าใจกับเธอเลยสักนิดนี่สิ
   
ยังไม่ทันจะเดินไปเปิดไฟ เด็กหนุ่มก็นิ่วหน้าเพราะจู่ๆแสงไฟในห้องก็ติดสว่างขึ้นโดยไม่ทันได้รู้เนื้อรู้ตัว
   
“ยังไม่นอนเหรอโย” แม้จะเอ่ยออกไปตามธรรมดา แต่ก็รู้สึกได้ถึงหางเสียงที่ลากยาวกว่าปกติ
   
“ดื่มมาหรือ” น้ำเสียงนั้นติดจะเข้มนิดๆ
   
“นิดหน่อย ทำไมยังไม่นอนอีก ดึกแล้วนะ”
   
“วันนี้ดึกเกินปกติ เราเป็นห่วงเลยมานั่งรอ” โยตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “แล้วทำไมถึงต้องดื่มด้วย”
   
เจเดินลากขาลงไปนั่งบนโซฟาอย่างหมดเรี่ยวแรง ยกมือข้างหนึ่งขึ้นบีบขมับทั้งสองข้าง ก่อนจะระบายลมหายใจออกมา
   
“วันนี้แนนเขาขอไปที่ร้านด้วย นึกอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้” เจนิ่วหน้าเมื่อนึกย้อนกลับไป “จบที่เราทะเลาะกัน”
   
เด็กหนุ่มตัวสูงทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ใบหน้าแสดงความเป็นห่วงไม่ปิดบัง เจหันไปสบตากับโย
   
“เขามาพูดอะไรกับนายหรือโย”
   
“เขาบอกหรือ”
   
“ก็หลุดปากออกมาน่ะ”
   
“เขามาบอกว่า เป็นเพราะเรา นายถึงเลือกที่นี่แทนที่จะเลือกวงดนตรี ทั้งที่จริงๆนายไม่ได้อยากอยู่วงบอยแบนด์อะไรนั่น” เสียงทุ้มๆนั้นเล่าออกมาอย่างไม่ยินดียินร้ายอะไร
   
“บ้าเอ๊ย!” เจสบถออกมาอย่างหัวเสีย
   
“เราก็บอกว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับนาย เราไม่มีสิทธิ์ยุ่ง แต่เราเคารพการตัดสินใจของนาย”
   
“เขาพยายามจะยุให้เราเลือกวงแทน ทั้งที่ที่ผ่านมาเขาไม่เคยชอบสิ่งที่เราทำเลยโย เรางงมากเลยนะ” เจหันไปมองเสี้ยวหน้าของคนข้างๆก่อนจะก้มหน้ามองมือของตัวเองที่ประสานกันเอาไว้บนตัก

“จน... เขาบอกว่า” เจไม่ยอมพูดต่อ

“บอกว่าอะไร”

“บอกว่านายชอบเรา” เจว่าต่อ “เราก็เลยมาคิดว่า หรือที่เขาเข้ามายุให้เราเลือกวง ก็เพราะอยากจะแยกเราออกจากนาย ไม่ใช่เพราะหวังดีอะไรกับเราหรอก”
เด็กหนุ่มอีกคนนั่งเงียบ ไม่พูด ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธอะไรทั้งสิ้น

“บอกตามตรงเราผิดหวังกับเขานิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจหรอกนะว่าที่เขาทำน่ะ เพราะความต้องการของเขาล้วนๆ ไม่ได้นึกหวังดีอะไรกับเราหรอก ว่าตามจริงที่ผ่านมา เขานึกอยากทำอะไรก็ทำ ไม่เคยสนหรอกว่าเราจะอยากหรือไม่อยากยังไง” เจยักไหล่อย่างไม่นึกยี่หระอะไร “แต่ที่ติดใจเรา ก็คงจะเป็นเรื่องนายมากกว่า”

โยหันไปมองหน้าเจเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็หลบตาเสีย

“นายบอกเรามาตรงๆได้ไหมโย ว่าระยะนี้นายหลบหน้าเราทำไม”

เด็กหนุ่มหันมาทำตาโต เขาเกือบจะพูดแก้ตัวออกไปแล้ว แต่ก็ยิ้มออกมาแทนก่อนจะระบายลมหายใจหนักๆออกมาราวกับว่าตัดสินใจแล้วว่าควรจะพูดอะไรออกไปให้ชัดเจนเสียเลยก็ดีเหมือนกัน

“แนนกลับมาหานายแล้ว จะให้เราเข้าไปเป็นก้างคงไม่เหมาะหรอกเจ”

“ทำไมจะไม่ได้ นายเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเรานะ”

โยได้แต่ส่ายหน้าไปมา แต่ไม่ยอมสบตากับเขา

“เราไม่ได้คิดจะกลับไปคบเขาเป็นแฟนหรอกนะ”

หนนี้เจหันไปสบตากับโยที่มองมาพอดีราวกับจะหาคำตอบจากดวงตากลมโตของเขา

“เราไม่ได้รักเขาแล้ว ยิ่งเกิดเรื่องคืนนี้เรายิ่งแน่ใจ” เจเงียบไปเป็นครู่ “แต่ที่ติดใจเราก็คือเรื่องที่เขาบอกว่านายชอบเรา” เกิดความเงียบขนาดที่ถ้าเข็มสักเล่มตกลงบนพื้นก็คงได้ยินอย่างชัดเจนทีเดียว

“นายชอบเราจริงๆเหรอ”

คำถามนั้นทั้งสั้นทั้งง่าย

โยไม่ตอบ แต่เลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ๆเพื่อนหน้าหวานของตัวเอง ดวงตาเรียวของเขามองเข้าไปยังดวงตาสีดำสนิทที่จ้องตอบกลับมาคู่นั้นโดยไม่คิดจะหลบเลยสักนิด ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ใกล้กันชนิดรู้สึกได้ถึงลมหายใจของกันและกัน โยได้กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆจากอีกฝ่าย ริมฝีปากที่เป็นสีชมพูอยู่ตลอดเวลาทั้งที่ไม่เคยผ่านเครื่องสำอางอะไรเลยเผยอออกอย่างลืมตัว ยิ่งเหมือนเป็นการเชื้อเชิญให้เขาประกบริมฝีปากของเขาลงไปอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยนที่สุด เจถึงกับหายใจติดขัดกับจูบที่แสนจะจริงจังและอ่อนหวานนั้น

เวลาผ่านไปเนิ่นนานแค่ไหนต่างฝ่ายต่างไม่สนใจใคร่รู้ รู้แต่เหมือนกับเวลาได้หยุดลงไปชั่วครู่อย่างไรอย่างนั้น ร่างกายที่แข็งเกร็งของเจผ่อนคลายลงเมื่อเริ่มคุ้นชินกับสัมผัสนั้น โยค่อยๆถอนริมฝีปากตัวเองออกจากริมฝีปากอ่อนนุ่มนั้นอย่างอ้อยอิ่ง จมูกโด่งสวยของเขายังคงคลอเคลียอยู่กับจมูกของอีกฝ่าย และรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่เหนื่อยหอบของเจ

“ไม่เคยโดนจูบเหรอ” เสียงทุ้มนุ่มหูนั้นกระซิบถามแผ่วเบา เจได้แต่ก้มหน้างุดพลางส่ายหน้าไปมาเบาๆก่อนที่จะพิงร่างเข้ากับอีกฝ่ายอย่างหมดเรี่ยวแรงไปเสียอย่างนั้น โยยกแขนทั้งสองข้างโอบร่างนั้นเอาไว้ รู้สึกได้ถึงไออุ่นที่เผื่อแผ่ออกมาถึงเขา

“ได้คำตอบหรือยังว่าเรารู้สึกยังไงกับนาย” โยกระซิบลงข้างหูของอีกฝ่าย เจไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ได้แต่พยักหน้าหงึกๆโดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นสบตาเขาเลยสักนิด “รังเกียจไหม” เสียงนั้นยังถามต่ออีก

เขาจะรังเกียจได้อย่างไร แต่ที่พูดไม่ออกอยู่นี่ก็เพราะมันสั่นไปหมด หัวใจเต้นแรงเหมือนกับจะหลุดออกมานอกอกอยู่แล้ว ที่สำคัญเขาไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรดี อายจะตายอยู่แล้ว หมอนี่ทำเรื่องแบบนี้ได้หน้าตาเฉยได้ยังไงกันนะ

โยหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นว่าร่างในอ้อมแขนเอาแต่พยักหน้าและส่ายหน้าอยู่อย่างนั้นโดยไม่ยอมเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว

“นายล่ะ ชอบเราไหม”

ได้ผล ร่างนั้นผละออกจากอ้อมแขนแข็งแรงของเขาทันทีก่อนจะเบิกตาโต ไม่รู้จะตอบคำถามนั้นอย่างไรดี นั่นสิ แล้วเขารู้สึกยังไงกับโยกันล่ะนี่

“คือ...” เด็กหนุ่มหน้าหวานได้แต่อ้ำอึ้ง เขารู้สึกอย่างไรอย่างนั้นหรือ ที่แน่ๆคือ รู้สึกดี ไม่รู้สึกรังเกียจอะไรเลยซักนิดทั้งที่โดนหมอนั่นจูบเอาได้อย่างหน้าตาเฉย เอาล่ะสิ...

โยเห็นสีหน้าที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกของเจแล้วทนไม่ไหว ถึงกับหลุดขำพรืดออกมาในที่สุด แต่อ้อมแขนนั้นกลับไม่ยอมปล่อยให้ร่างนั้นหนีไปไหนได้ เจหน้ามุ่ยที่จู่ๆไอ้เพื่อนหน้าหล่อนี่หัวเราะใส่เขาแบบไม่มีปี่มีขลุยขึ้นมา

“นายไม่ต้องตอบก็ได้” พูดได้แค่นี้แต่ก็ยังหยุดหัวเราะไม่ได้อยู่ดี “เราพอจะรู้อยู่แล้ว”

“รู้ว่าอะไร” คิ้วคู่นั้นขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติ

“ไม่บอก” โยยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบศีรษะเจอย่างอ่อนโยน “แค่นี้เราก็รู้สึกดีแล้วล่ะเจ แค่นายไม่ปฏิเสธเราก็ดีใจแล้ว” ก่อนที่จะใช้มือข้างนั้นออกแรงดึงศีรษะของอีกฝ่ายเข้ามาและประทับจูบลงบนหน้าผากมนๆนั่นอีกครั้ง “ไปอาบน้ำเถอะ จะได้นอน ดึกแล้ว”

เจมองร่างที่ลุกเดินหายเข้าไปในห้อง ก่อนจะยกมือขึ้นมาทาบไว้กับอกแล้วระบายลมหายใจออกมาเบาๆอย่างโล่งใจ รู้สึกใบหน้าตัวเองร้อนผ่าว แล้วจึงฝังใบหน้าตัวเองลงกับหมอนอิงที่วางอยู่บนโซฟา ไอ้บ้าเอ๊ย มันไปหัดจูบแบบนี้จากที่ไหนกันวะ รู้สึกดีเป็นบ้าเลย

กว่าจะตั้งสติลุกขึ้นพาร่างอันเหนื่อยอ่อนไปอาบน้ำผลัดเสื้อผ้าได้ ก็กินเวลาไปนานโข เป็นครั้งแรกที่เขาหยุดยืนมองร่างที่นอนอยู่อย่างรู้สึกขัดเขินทั้งที่นอนด้วยกันแบบนี้ทุกวันแท้ๆ แต่ก็ตัดสินใจสอดร่างเข้าไปในผ้าห่มอย่างแผ่วเบาที่สุด ไม่น่าเชื่อว่าแค่จะล้มตัวลงนอนมันจะยากเย็นได้ถึงเพียงนี้ แต่ก่อนที่จะหลับตาลง ท่อนแขนแข็งแรงที่คุ้นเคยก็คว้าเอวของเขาเอาไว้อย่างถือวิสาสะ แล้วก็รู้สึกถึงไออุ่นของร่างที่เขยิบใกล้เข้ามา จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่เป่ารดหูเขา อ้อมแขนที่หายไปนานนับตั้งแต่วันที่แนนกลับมา โยไม่เคยกอดเขาแบบนี้อีกเลย จนกระทั่งคืนนี้

มันก็ดีหรอกนะ แต่ทำไมเขาจะต้องดีใจและรู้สึกดีขนาดนี้ด้วยก็ไม่รู้

ไม่เอาแล้ว นอนดีกว่า วันนี้ดูเหมือนจะมีเรื่องให้คิดมากเกินไปเสียแล้ว นอนเอาแรงแล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน เด็กหนุ่มระบายลมหายใจออกมาก่อนจะปิดเปลือกตาและเข้าสู่ห้วงนิทราไปในแทบจะทันที โดยไม่รู้สักนิดว่าเจ้าของอ้อมแขนแข็งแรงนั้นลอบยิ้มอยู่ เมื่อเห็นร่างอุ่นๆนั้นนิ่งไปพร้อมกับได้ยินเสียงลมหายใจที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ เขาจึงปิดตาลงและหลับตามไปในที่สุด

-------------------------------------------

ตอนนี้ถือว่าสั้นค่ะ เมื่อเทียบกับหลายๆตอนก่อนหน้านี้ แต่ก็เชื่อว่าน่าจะทำให้หลายๆคนที่รออยู่ สบายใจขึ้นได้บ้าง ความสัมพันธ์ของเด็กสองคน มาถึงตอนนี้ก็นับได้ว่าก้าวหน้าขึ้นมาก (คงถูกใจ แฟนโยหลายๆท่านนะคะ) ส่วนเจ เขาเป็นคนหัวช้าเรื่องนี้ค่ะ ต้องใจเย็นๆกับน้องเขาหน่อยนะคะ

ขอบคุณที่ยังติดตามกันสม่ำเสมอนะคะ

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ CMYK

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
อ่า ตอนนี้สั้นๆแต่ได้ใจความ(มากๆ) ครับ ชอบครับชอบ...หวังว่าน้องแนนนี่ คงไม่มาป่วนอีกหรอกนะ (แต่คาดว่ามาแน่นอน) ไม่รู้เรื่องนี้จะมีฉากก่อนตัดไปโคมไฟหัวเตียงมั่งอ่ะเปล่าเนี่ย หุหุ

OhJa

  • บุคคลทั่วไป
อ่านตอนนี้แล้วกรี๊ดดดด อ่ะ
แบบว่าโยชัดเจนที่สุดกับความรู้สึกของตัวเองที่มีให้เจ
แสดงออกได้อย่างไม่ต้องใช้คำพูดอะไรเลย
ตอนนี้ก็รอลุ้นว่าเส้นทางของทั้งคู่จะเป็นยังไงต่อ  :impress2:

Yukisae

  • บุคคลทั่วไป
โฮกกกกก :m3:
ถึงจะสั้น แต่ก็โดนใจเป็นที่สุดดดดด
เค้ารู้ใจกันแล้วอ่ะ
โยเท่ห์สุดยอดดดด
เจน่ารักไม่ไหวแล้ววววว
หลังจากนี้จะเป็นยังไงเนี่ย
แนนไม่ยอมง่ายๆแน่เลย
รอต่อนะคะ :L2: +1เป็นกำลังใจ

Sakana2yunjae

  • บุคคลทั่วไป
เย้บอกรักกันเสียที ที่รอมานาน เหลือแต่แค่เจใจอ่อนก็พอ อิอิ

ชอบจังเลยอ่าๆๆ

ออฟไลน์ maio2000

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 203
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
โยน่ารักโครตๆ :o8: ซะใจมากที่เจว่าแนนไป o13 ตอนนี้หวานกันมาก เมื่อไร่เจจะรู้ตัวซักที
รอตอนหน้าด้วยมาลงเร็วๆ ยาวๆด้วยก็จะดีมากๆเลยค่ะ :bye2:

MaeMoo

  • บุคคลทั่วไป
ถึงตอนนี้จะสั้นไปนิด
แต่ถูกใจที่สุดเลย ...ในที่สุดโยก็เปิดเผยความรู้สึกซะที

รอน้องเจล่ะค่ะ ถึงจะความรู้สึกช้า แต่อย่านานนะ
แควนๆ รออยู่นะ


C2U

  • บุคคลทั่วไป
ตามอ่านตั้งแต่เมื่อคืน  เพิ่งทัน

ชอบมากๆ  โดยเฉพาะ ตอนล่าสุด   :m1:


รักเจจัง   :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ กุหลาบเดียวดาย

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 812
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด อายจัง

 :-[ :-[

ออฟไลน์ NumPing

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2
หวานหอมมากตอนนี้

ติดตามอยู่นะคะ มาไว ๆ เน้อ

 :pig4:

ออฟไลน์ AidinEiEi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 776
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-1
เพิ่งจะตามอ่านจนทัน

น่ารักมากเลย~~~

โอย... น่ารักอ่ะ
ไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากคำว่า น่ารัก


ออฟไลน์ CHOKUN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 8

ถ้าช่วงเวลาที่ผ่านมาของเจนับว่าหนักหนาแล้ว ช่วงระยะเวลาก่อนการคัดเลือกตัวยิ่งหนักหนามากขึ้นไปอีกอย่างเทียบกันไม่ได้เลยจริงๆ นั่นเพราะการฝึกซ้อมในทุกคลาสนั้นเพิ่มความเข้มข้นมากขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว คลาสวอยซ์ที่ขนาดเจถนัดนักหนา หลายครั้งก็ทำเอาเขาถึงกับต้องถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจ เพราะความยากยิ่งของมัน คลาสแดนซ์ก็ยากสาหัส ถ้าไม่ได้โยคอยช่วยทบทวนให้ในแต่ละครั้ง เจคงจะลำบากกว่านี้มาก ตลอดระยะเวลาสามเดือนมานี้ แต่ละคลาสจะมีการให้นักเรียนฝึกหัดออกไปแสดงความสามารถแบบเดี่ยวอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้การบ้านไปเตรียมตัวสำหรับการแสดงของตัวเองในวันต่อไป หรือการให้ออกไปแสดงกันแบบสดๆ ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลงแบบอิมโพรไวซ์ การคิดท่าเต้นสำหรับแนวเพลงที่แตกต่างกันไป การร้องเพลงสดๆควบคู่ไปกับการเต้นเต็มรูปแบบ การจับกลุ่มเป็นวงตั้งแต่สองคนขึ้นไป จนถึงวงแบบห้าคน โดยเลือกจับคู่กันเอง หรือครูผู้สอนเป็นผู้เลือกให้
   
ฝึกหนักสามเดือนเหมือนฝึกมาสามปี
   
ความหนักหนาของมันขนาดที่แม้แต่นักเรียนที่เข้าเรียนอย่างสม่ำเสมอทุกวันไม่ได้ขาดอย่างโยกับเจ ยังถึงกับแทบล้มทั้งยืน นักเรียนคนอื่นๆหลายคนถึงกับบ่นท้อแท้ ส่วนอีกหลายๆคนที่ปกติก็ไม่ได้เข้าเรียนสม่ำเสมอก็ถึงกับถอดใจไปเลยก็มี
   
และเพราะการที่ต้องฝึกหนักขนาดนี้ เจจึงต้องตัดใจคุยกับพี่อ๊อดเจ้าของร้านอาหารที่เขาไปทำงานพิเศษอยู่ทุกวันว่า ขอลดวันทำงานลงให้เหลือเพียงสัปดาห์ละสามวันเท่านั้น แม้จะต้องเสียรายได้ไปครึ่งต่อครึ่ง แต่ก็จำเป็นต้องทำ เพราะนี่คือช่วงเวลาที่สำคัญมากสำหรับเขา จะเหลือก็แต่การไปซ้อมดนตรีสัปดาห์ละครั้ง เพื่อเล่นไลฟ์ในช่วงปลายเดือนเท่านั้น ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อาจตัดใจทิ้งวงไปในทันที โดยเฉพาะในชั่วโมงที่ยังหานักร้องนำคนใหม่ไม่ได้ด้วยยิ่งแล้ว ที่สำคัญการเล่นไลฟ์ช่วยเขาได้มากในเรื่องของการแสดงออกบนเวที เขานึกขอบคุณประสบการณ์บนเวทีที่ทำให้เขาไม่รู้สึกประหม่าเลยสักนิดเวลาที่โดนเรียกให้ออกไปร้องเพลง หรือเต้นรำในแต่ละคลาส เจมีความกล้าและมีความน่าดึงดูดใจเป็นอย่างมากเวลาที่เขาออกไปโชว์ความสามารถให้เพื่อนร่วมคลาสได้เห็น
   
หลังเลิกเรียนของทุกวันเจจะรีบไปที่บริษัทก่อนเวลาทันที เพื่อทบทวนสิ่งที่เรียนมา โยก็ทำเหมือนกัน วันไหนหมดคาบเรียนเร็วเขาก็จะตรงดิ่งไปยังห้องซ้อมทันทีเพื่อรอเจ ถ้าวันไหนเลิกเรียนช้าเขาก็จะเห็นเจไปซ้อมรอเขาอยู่ก่อนแล้วเหมือนกัน หลังเลิกคลาส หากวันไหนเจไม่ต้องรีบไปทำงานเขาก็จะอยู่ซ้อมต่อกับโย เจอาจจะหัวช้าในเรื่องการเต้นเมื่อเทียบกับโย แต่เพราะความมุมานะ ขยันและตั้งใจจริงนี่เอง ที่ทำให้เทคนิคการเต้นของเขาดีวันดีคืน
   
กว่าจะได้พาร่างกายอันอ่อนล้ากลับห้องพักได้ก็ต้องเรียกว่าบักโกรกกันไปเลยทั้งคู่
   
“อีกไม่ถึงครึ่งเดือนแล้วนะโย” ร่างที่นอนแผ่อยู่บนโซฟาทั้งที่ยังอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์อย่างที่เห็นกันจนคุ้นตาเอ่ยขึ้น “นายว่าเราทั้งคู่จะมีสิทธิ์ไหม” เจหันไปมองโยที่ครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนโซฟาอีกตัวไม่ไกลกัน
   
“ไม่รู้สิ” เด็กหนุ่มตอบออกไปตรงๆ มองแบบนี้เห็นได้ชัดเหลือเกินว่าเจดูตัวใหญ่ขึ้น ร่างกายมีกล้ามเนื้อดูแข็งแรงปราดเปรียวขึ้นผิดหูผิดตา ผลจากการฝึกซ้อมอย่างหนักนั่นเอง “แต่เราว่าความพยายามของเรามันก็ต้องส่งผลอะไรบ้างล่ะ จริงไหม”
   
“นั่นสิ อย่างน้อยเราก็ทำเต็มที่ล่ะนะ ถ้ามันจะไม่ได้ เราก็คงผิดหวัง แต่ก็คงไม่เสียใจเพราะเราทำเต็มที่แล้วจริงๆ” เจว่าพลางมองเพดานห้องก่อนจะหลับตาลง ปล่อยความคิดไปเรื่อยเปื่อย
   
“เจ” เสียงทุ้มนั้นจู่ๆก็เรียกชื่อเขาออกมา
   
“หือ”
   
“โทรหาที่บ้านบ้างหรือเปล่า”
   
“พักนี้ไม่ค่อยได้โทร”
   
“ทำไมล่ะ”
   
“เรา... คงรู้สึกผิดมั้งโย”
   
เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่กว่าใช้แขนพยุงตัวเองลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนจะเดินมาหาร่างที่นอนสบายอยู่ โยตัดสินใจยกศีรษะของอีกฝ่ายขึ้นโดยเขาสอดร่างเข้าไปนั่งแทน ใช้ตักตัวเองให้อีกฝ่ายนอนหนุนต่างหมอน เจลืมตาขึ้นอย่างประหลาดใจต่อการกระทำอันปุบปับแต่อ่อนโยนนั้น ก่อนจะยิ้มลืมให้กับคนที่ก้มหน้าลงสบตาเขาและกำลังยิ้มตอบมาให้เช่นกัน
   
“รู้สึกผิดที่ดื้อกับเขาน่ะหรือ” โยว่าต่อ
   
“เรารู้ดี ถ้าเขารู้ว่าเราตัดสินใจไม่เอ็นท์ฯปีนี้ เขาจะต้องผิดหวังมาก” โยยกมือวางบนหน้าผากของอีกฝ่ายก่อนจะลูบเส้นผมสีดำสนิทอ่อนนุ่มนั้นเสยขึ้นไป เขาชอบทำแบบนี้ เพราะเจชอบปล่อยผมให้ปิดหน้าผากสวยๆของตัวเองเอาไว้เสมอ เวลาทำแบบนี้ เขาก็จะได้เห็นเจในแบบที่แปลกตาออกไปซึ่งเป็นมุมที่คงมีแต่เขาเท่านั้นที่ได้เห็นแต่เพียงผู้เดียว
   
“แน่ใจแล้วเหรอเจ”
   
เด็กหนุ่มที่นอนอยู่พยักหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว “ในเมื่อมันต้องเลือก นี่ก็คือสิ่งที่เราเลือกแล้ว”
   
“นายเข้มแข็งนะ”
   
“ไม่หรอก” เจส่ายหน้า “เราต้องต่อสู้กับข้างในนี่มาก” เจยกมือข้างหนึ่งวางบนหน้าอกด้านซ้าย “ถึงเราจะรู้สึกผิดกับพ่อแม่ แต่เราไม่อยากจะนั่งเสียใจทีหลังนะโย ถ้าเราเลือกอย่างที่เขาอยาก สิ่งที่เราเฝ้าเพียรต่อสู้มาตลอดสองปีกว่ามานี้มันจะสูญเปล่าหมดเลย เราคงไม่ให้อภัยตัวเองถ้าเราจะทิ้งมันไปง่ายๆ”
   
โยลูบศีรษะกลมๆนั้นอย่างเบามือ แม้จะไม่ได้พูดอะไรออกมา เจก็รู้ว่านั่นคือวิธีที่โยใช้ปลอบใจและให้กำลังใจเขา คนคนนี้ ไม่เคยบอกให้เขาทำอย่างนั้น ไม่เคยชี้นิ้วสั่งให้เขาต้องทำอย่างนี้ สิ่งที่โยทำก็แค่อยู่ตรงนี้ ฟังเขา ถามเขาว่าเขาอยากทำอะไร แล้วก็พยักหน้ายิ้มให้อย่างอ่อนโยน แล้วก็ปล่อยให้เขาได้ทำทุกอย่างที่อยากทำ โดยคอยอยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลา สำหรับเจแล้ว บางครั้งแทบไม่ต้องเอ่ยอะไรออกมา อีกฝ่ายก็ดูจะรู้ไปหมดว่าเขารู้สึกอย่างไร
   
“เราเป็นลูกที่แย่มากใช่ไหม”
   
เด็กหนุ่มร่างสูงส่ายศีรษะเบาๆ “นายเป็นลูกที่ดี เป็นลูกที่จะสร้างความภาคภูมิใจให้กับพ่อแม่ เชื่อเราสิ”
   
“เราไม่ได้ทำอะไรผิดใช่ไหม”
   
“เจ นายไม่ได้ตัดสินใจจะไปเป็นขโมยขโจรที่ไหนนะ นายแค่อยากเป็นนักร้อง นายแค่มีความฝันที่อยากจะทำอย่างแรงกล้า ก็แค่พ่อแม่ไม่เห็นด้วย และนายก็กำลังจะพิสูจน์ให้เขาเห็นว่านายตัดสินใจไม่ผิด จงยึดมั่นกับความเชื่อของตัวเองต่อไปเถอะ”
   
เจเปิดเปลือกตาให้เห็นดวงตากลมโตเป็นประกายที่จ้องมองดวงตาอีกคู่ที่มองตอบกลับมา เด็กหนุ่มยกมือขึ้นลูบแก้มและคางสากๆของคนที่เสียสละขาตัวเองแทนหมอนให้เขาได้หนุนนอนอย่างสบาย คนที่คอยเป็นกำลังใจยามที่เขาอ่อนแอ คนที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ทำให้เขารู้สึกดีอยู่เสมอ
   
“พูดจาไม่เหมือนเด็กอายุสิบเจ็ดเลยนะนายนี่” เจว่ายิ้มๆ “ทำยังไงเราถึงจะเข้มแข็งให้ได้อย่างนายบ้าง”
   
“ไม่ต้องทำอะไร” เจรู้สึกถึงริมฝีปากที่กระดกยิ้มให้เขาผ่านปลายนิ้วของตัวเองที่ยังสัมผัสกับใบหน้าคมคายนั้น “แค่เป็นตัวเองอย่างนี้ก็พอ เราเข้มแข็งก็เพราะมีนายที่เป็นอย่างนี้อยู่ข้างๆเรา”
   
ไม่รู้เพราะอะไรคำพูดสั้นๆแค่นี้ ถึงทำให้เจรู้สึกตื้นตันได้อย่างมากมาย
   
“เราเป็นคนเข้มแข็งก็เพราะนาย” โยว่าต่อ “นายเป็นคนเข้มแข็งกว่าใครที่เราเคยรู้จักมาเลยล่ะเจ ดังนั้นถ้าเราอยากจะอยู่ข้างๆ อยากดูแลนาย เราก็ต้องเข้มแข็งให้ได้มากกว่านาย มันไม่ง่ายหรอก แต่เราก็พยายามนะ”
   
“จริงเหรอ”
   
“อือ”
   
“สำเร็จไหม”
   
“นายว่าสำเร็จไหมล่ะ”
   
เจหัวเราะออกมา พลางพยักหน้าถี่ๆ ก่อนจะจ้องตอบดวงตายาวรีที่แม้จะไม่ได้กลมโตเหมือนของเขาแต่ก็เด็ดเดี่ยวเหลือเกินคู่นั้น เด็กหนุ่มใช้แขนข้างหนึ่งยกตัวขึ้น มือที่ลูบไล้ใบหน้าที่ใครๆบอกว่าหล่อเหลาเหลือเกินข้างนั้นโน้มคออีกฝ่ายลงมาจนกระทั่งรู้สึกได้ถึงลมหายใจของกันและกัน ดวงตาของอีกฝ่ายที่สบตอบกลับมาเริ่มพร่าพรายไม่ชัดเจน เขาหลับตาลงก่อนจะที่รู้สึกถึงริมฝีปากของอีกฝ่ายประกบเข้ากับริมฝีปากของเขาอย่างนุ่มนวล ตอนแรกก็เป็นเพียงสัมผัสเบาๆที่อ่อนนุ่ม สักพักก็กลายเป็นรุกเร้ามากขึ้น ไม่มีใครรู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ รู้แต่ว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดีเหลือเชื่อ ราวกับตกอยู่ในความฝันก็ไม่ปาน กว่าจะถอดถอนริมฝีปากออกจากกันได้ก็กินเวลาไปมากโข เพราะต่างฝ่ายต่างก็อ้อยอิ่งคลอเคลียกันอยู่อย่างนั้นไม่เลิก
   
มือข้างหนึ่งของโยช้อนร่างนั้นเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าตัวยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ส่วนเจหอบน้อยๆด้วยอาการสำลักจูบทั้งที่เป็นฝ่ายเริ่มเองแท้ๆ พอเริ่มรู้สึกตัวว่าเพิ่งทำอะไรลงไป ก็ได้แต่ยกมือขึ้นปิดปากด้วยอาการเขินอย่างที่ชอบทำทุกครั้งจนเป็นนิสัย ใบหน้าร้อนผะผ่าวจนรู้สึกได้ว่าตอนนี้มันคงจะแดงก่ำทีเดียว หนักเข้าก็หลบตาเสทำเป็นนอนตะแคงไปเสียอย่างนั้น เรียกรอยยิ้มจากอีกฝ่ายออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
   
“ห้ามพูดเลยนะ” เสียงคนที่นอนอยู่งึมงำออกมา
   
“ยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” ทีนี้โยถึงกับหลุดขำออกมาจริงๆ
   
“ไม่เอาแล้ว เราจะไปอาบน้ำ” ว่าแล้วก็ผลุนผลันลุกขึ้นโดยไม่ยอมหันมาสบตากับคนที่นั่งหัวเราะเบาๆไม่เลิก แต่ก่อนที่จะได้ผละออกไป ข้อมือข้างหนึ่งก็โดนดึงเอาไว้เสียก่อน ด้วยไม่ทันตั้งตัวจึงเซถลากลับลงมานั่งข้างๆอีกฝ่ายชนิดพอดิบพอดี
   
“เป็นอะไร”
   
“ไม่ได้เป็นอะไร” แต่ก็ยังไม่ยอมหันไปมองหน้าอีกฝ่าย
   
“นายนี่... จะขี้อายอะไรขนาดนี้” น่ารักชะมัด เขาเกือบหลุดออกปากออกไปแล้ว มือข้างหนึ่งรัดร่างนั้นเอาไว้ก่อนจะซุกหน้าเข้าที่หลังของอีกฝ่าย อีกข้างก็โอบเอวเล็กๆนั้นเอาไว้อย่างที่ชอบทำอยู่บ่อยๆ คนเดียวในโลกที่จะกอดเขาได้แบบนี้มีแค่คนคนนี้คนเดียวจริงๆ จริงอยู่เขาไม่เคยเอ่ยปากออกไปว่ารู้สึกกับโยอย่างไรกันแน่ แต่ยิ่งเวลาผ่านไปและยิ่งได้อยู่ด้วยกันมากขึ้น ก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่จำเป็นจะต้องพูดอะไรแล้ว เพราะการกระทำทุกอย่างก็ดูเหมือนจะตอบคำถามเหล่านั้นได้จนหมด โยเองแม้จะเคยพูดออกมาตรงๆว่าชอบเขา ก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะมาคาดคั้นเอาคำตอบอะไรจากเขา เหมือนอยากจะปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามวิถีของมันเองอย่างเป็นธรรมชาติมากกว่า ก็สมกับเป็นโยจริงๆ
   
ยกเว้นก็แต่เวลาที่เขาเขินมากๆแล้วโยมันชอบใจหนักหนานี่แหละ ทำให้อยากจะสวนกลับไปสักที หมั่นไส้ไอ้ท่าทางรู้ทันพวกนี้จริงๆ
   
“ปล่อยเราไปอาบน้ำได้หรือยังเนี่ย” เจว่าขึ้นในที่สุด “พอไม่ว่าอะไรก็เอาใหญ่เลยนะ”
   
โยได้แต่ยิ้มกริ่มแต่ก็ยอมปล่อยมือออกในที่สุด
   
“ปล่อยก็ได้ ยอม... ยังไงเดี๋ยวก็ได้กอดอีกอยู่แล้ว”
   
“ไอ้บ้า” เจเหวใส่ได้เท่านั้นก็เดินหน้าแดงหูแดงกระแทกเท้าปึงปังหายเข้าห้องไป ปล่อยให้อีกคนฉีกยิ้มกว้างตามหลังอยู่อย่างนั้นก่อนจะยกมือขึ้นแตะริมฝีปากตัวเอง เกือบไปแล้วสิ

*****************************

   
ตกลงว่าร้านนี้มันจะต้องกลายเป็นสักขีพยานชีวิตรักลุ่มๆดอนๆของเขาไปอีกนานเลยใช่ไหมนี่ เด็กหนุ่มครุ่นคิดกับตัวเองอย่างนึกขัน หลายวันมานี้เขาใช้เวลาตัดสินใจอยู่นานว่าจะพูดคุยกับแนนให้ชัดเจนไปเลยเสียทีดีไหม ก็ต้องโทษว่าเป็นความผิดของเขาที่ไม่ยอมทำอะไรให้เด็ดขาดชัดเจนไปเสียตั้งแต่แรก ปล่อยให้เรื่องมันคาราคาซังจนเพื่อนต๊อกเกือบจะยกพระบาทขึ้นฟาดพระโอษฐ์เขาอยู่ครามครัน
   
ระยะหลังเขาเลี่ยงที่จะไม่พูดคุยกับเด็กสาวนับตั้งแต่ทะเลาะกันที่ร้านพี่อ๊อดไปคราวนั้น ฝ่ายแนนเองก็รู้สึกได้ว่าเด็กหนุ่มเปลี่ยนแปลงไปมาก และไม่โทรมาง้อเธอเหมือนอย่างที่เคยทำมา ส่วนเจเองกลับไม่ได้รู้สึกร้อนใจแต่อย่างใด รู้แค่ว่าระหว่างเขากับเด็กสาวมันคงไม่อาจจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกแน่ใจมากขึ้น จึงตัดสินใจว่าควรจะพูดอะไรออกไปให้ชัดเจนเสียที   
   
เขาบอกโยให้ล่วงหน้าไปรอเขาที่ห้องซ้อมก่อนได้เลย หลังจากพูดคุยกับแนนแล้ว เขาจะตามไปทีหลัง
   
“นายโอเคนะ” โยถามด้วยสีหน้าราวกับจะประเมินอะไรบางอย่าง
   
“ท่าทางเราดูโอเคไหมล่ะ” เจถามย้อนกลับไปพร้อมกับริมฝีปากที่กระตุกยิ้มขึ้น
   
“งั้นเจอกันเย็นนี้นะ เราจะรอ”
   
พวกเขาแยกกันบนรถเมล์สายประจำที่นั่งมาด้วยกัน ระยะหลังมานี้โยไม่ต้องไปส่งเขาถึงหน้าประตูโรงเรียนอีก เพราะเจไม่เห็นประโยชน์อันใดที่เด็กหนุ่มอีกคนจะต้องเสียเวลานั่งรถย้อนไปย้อนมา แถมเขาเองก็ไม่ได้ดูอ่อนแอจนต้องมีใครคอยดูแลตลอดเวลาขนาดนั้นด้วย แค่เตี้ยกว่านิดหน่อย ก็ไม่ได้แปลว่าบอบบางสักหน่อย
   
“เจ สบายดีนะ” เด็กสาวเดินมานั่งที่โต๊ะตัวประจำตรงเวลานัดเป๊ะก่อนจะเป็นฝ่ายออกปากทักทายเด็กหนุ่ม
   
“ก็ฝึกหนัก ไม่สบายเท่าไหร่ แต่ก็มีความสุขดี” เจตอบไปอย่างที่คิด “แนนล่ะ”
   
“ก็ดี ไม่ค่อยมีอะไรหวือหวาหรอกช่วงนี้”
   
บทสนทนาเป็นไปอย่างแกนๆจนรู้สึกได้ ราวกับรู้คำตอบล่วงหน้าแล้ว แนนจึงเลือกที่จะไม่สบตากับเด็กหนุ่มตรงๆ เจรู้สึกได้ถึงความอึดอัดอันนี้ เขาจึงตัดสินใจเข้าเรื่องเลยทันที โดยไม่อยากจะอ้อมค้อมอีกต่อไป
   
“แนน ที่ผ่านมาเราขอโทษนะ”
   
“เจจะมาขอโทษแนนเรื่องอะไร”
   
“เรื่องที่เราพูดแรงๆกับแนนวันนั้น กับเอ่อ... เรื่องของเราที่เราเองก็ไม่ชัดเจนเสียที”
   
เด็กสาวเม้มริมฝีปาก เตรียมรับฟังในสิ่งที่กำลังจะได้ยินต่อไปแต่โดยดี
   
“แนน อย่าว่าแต่เราเลย แม้แต่แนนเองก็คงรู้สึกได้ ว่าระหว่างเรามันไม่เหมือนเดิมอีกแล้วนะ” เจเอ่ยออกไปในที่สุด “เราผิดเองที่ไม่พูดอะไรออกไปให้ชัดเจนเสียตั้งแต่แรก แต่ก็ยอมรับว่าตอนที่แนนขอกลับมาคบกับเรา เราก็มีสับสนอยู่เหมือนกัน”
   
เด็กสาวยังคงก้มหน้าเหม่อลอย ไม่ได้พูดตอบอะไรกลับมาสักคำ
   
“เราเคยรักแนนมากนะ แต่พอวันที่แนนเลือกเดินออกจากชีวิตเรา เราถึงได้รู้ว่าที่จริงเราอาจจะไม่ได้เหมาะกันมาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ เราไม่ใช่คนที่จะทำให้แนนมีความสุขได้หรอก เพราะเรามีสิ่งที่ต้องทำซึ่งมันสวน ทางกับความต้องการของแนน... มาตลอด”
   
แนนส่ายหน้าเบาๆ
   
“ทำไมแนนจะไม่รู้” เด็กสาวเอ่ยเสียงเรียบ “เราไม่เหมาะกันจริงๆนั่นแหละ แต่แนนเองนี่แหละที่พยายามจะฝืนมันด้วยการมองข้ามมันไป”
   
เจมองหน้าเด็กสาว
   
“ที่ผ่านมา แนนขอโทษนะที่เอาแต่ใจ แล้วก็ทำอะไรไม่ดีกับเจไปหลายอย่าง แนนอาจจะอิจฉาก็ได้” เจเอียงคอเหมือนกับยังไม่ค่อยเข้าใจนัก “อิจฉาความฝันของเจที่มันช่างยิ่งใหญ่ จนแนนเหลือความสำคัญเพียงแค่น้อยนิด แล้วก็เลยพลอยอิจฉาโยที่ดูจะเป็นคนเดียวที่เข้าใจเจที่สุด จนแนนเข้าไปแทรกไม่ได้เลย”
   
“แนน...” เด็กหนุ่มเอ่ยออกมาด้วยเสียงแหบโหย
   
“สิ่งที่แนนควรจะทำในตอนนั้น ก็คือสิ่งที่โยทำให้เจมาตลอด แต่แนนเป็นคนใจแคบเกินไป แนนทำไม่ได้หรอก ตอนนี้ก็ยังทำไม่ได้”
   
“เราก็ต้องขอโทษนะที่เป็นอย่างที่แนนอยากให้เป็นไม่ได้”
   
“ขอโทษทำไม ความรักของแนนน่ะ มันเป็นความรักที่เห็นแก่ตัว วันนั้นที่เจว่าแนนน่ะ แนนเก็บไปคิดตลอดเลย เจพูดถูกทุกอย่าง” เด็กสาวก้มหน้า “คนที่ต้องขอโทษคือแนนต่างหาก”
   
“แล้ว...” เจชั่งใจ “เรายังจะเป็นเพื่อนกันได้หรือเปล่า”
   
แนนกัดริมฝีปากเหมือนพยายามที่จะกล้ำกลืนความรู้สึกอันมากมายลงไป ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่เธอคิดและยังคงคิดมาตลอดว่าดีแสนดี แต่เธอเป็นคนเลือกจะปล่อยมือจากเขาไปเองแต่แรก ดังนั้นจึงควรต้องยอมรับผลของมันอย่างเข้มแข็งดีกว่า เธอยิ้มให้เด็กหนุ่มก่อนจะจับมือข้างหนึ่งของเขากระชับเอาไว้
   
“ต้องได้สิ”
   
“ขอบคุณมากนะแนน” เขาพูดออกมาอย่างจริงใจ
   
เด็กสาวส่ายหน้าเหมือนกับจะบอกว่าไม่ต้องขอบคุณอะไรเธอทั้งสิ้น ก่อนที่จะตัดสินใจเอ่ยถามสิ่งที่ติดค้างในใจเธอออกมาในที่สุด แม้จะยากเย็นเพียงไรก็ตาม
   
“เจ แนนขอถามอะไรอย่างหนึ่งได้ไหม” เด็กหนุ่มพยักหน้า “มันอาจจะเป็นเรื่องส่วนตัวนะ ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร” เจยังคงยิ้มให้เธอเป็นเชิงอนุญาตอย่างอ่อนโยน
   
“เจรู้สึกยังไงกับโย” เด็กสาวว่าต่อ “เรารู้ว่าโยชอบเจมาก ผู้หญิงน่ะมีเซ้นส์กับเรื่องแบบนี้แรงนะ แต่แนนก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจรู้สึกกับโยยังไง”
   
เจที่ควรจะทำตัวไม่ถูก ควรจะรู้สึกอึดอัดที่ถูกถามคำถามแบบนี้ และควรจะโกรธด้วยซ้ำ แต่เด็กหนุ่มกลับยิ้มออกมาและตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมาที่สุดชนิดไม่มีอ้อมค้อม
   
“เราก็ไม่เคยบอกโยนะว่าเรารู้สึกยังไงกับเขา มันบอกไม่ถูกเพราะเราไม่เคยรู้สึกกับใครแบบนี้มาก่อน” เด็กหนุ่มหยุดคิดอยู่เป็นครู่ “แต่เราคงผ่านอะไรมากมายแบบนี้ไม่ได้ถ้าไม่มีโย เขาเป็นคนที่เข้าใจเราที่สุด และคอยอยู่เคียงข้างให้เราอุ่นใจเสมอ แค่คิดว่าถ้าไม่มีโยอยู่ข้างๆ เราจะอยู่ได้ยังไง”
   
“แต่โยเป็นผู้ชายนะ”
   
“ก็นั่นน่ะสิ” เด็กหนุ่มตอบรับอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ “แต่มันไม่ใช่เพราะโยเป็นผู้ชายนะ เพราะโยเป็นโยต่างหาก ถ้าไม่ใช่โยก็ไม่ได้เหมือนกัน เข้าใจยากเหมือนกันนะเรื่องแบบนี้”
   
“เข้าใจไม่ยากหรอก ต้องเป็นโยเท่านั้น ไม่ใช่ใครที่ไหนก็ได้ นี่น่ะ ชัดเจนที่สุดแล้ว” แนนยิ้มออกมาได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่เดินเข้ามานั่งคุยกับเด็กหนุ่ม “แนนสารภาพเลยนะว่าทีแรกน่ะ อิจฉาโยมากที่เข้าใจเจไปเสียทุกอย่าง แต่ตอนนี้มานึกดูเจเป็นคนที่โชคดีมากนะที่ได้เจอคนดีๆแบบโย คนคนนั้นน่ะดูดีไปหมดทุกอย่างทั้งรูปร่างหน้าตา นิสัยใจคอ ที่สำคัญเขาเป็นห่วงเจมากจริงๆ แนนยอมแพ้เลย เทียบไม่ติด” เด็กสาวว่าพลางหัวเราะ ยิ่งได้เห็นสีหน้าแปลกๆของเจ เธอก็ยิ่งกลั้นหัวเราะไม่อยู่ “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”
   
“ก็ มันแปลกๆนะแนน พูดอย่างกับเรากะโยเป็นอะไรกัน... มากกว่านั้น” เจ้าตัวทำหน้าปูเลี่ยนๆ
   
“อ้าว แล้วไม่ใช่เหรอ”
   
เด็กหนุ่มยังคงได้แต่เอียงคอ คิ้วขมวดกันเป็นปม มองไปที่คู่สนทนาราวกับจะบอกว่าขอคำอธิบายเพิ่มเติมหน่อยได้ไหม
   
“ตกลงว่าเจเป็นคนซื่อหรือความรู้สึกช้ากันแน่เนี่ย” หนนี้เด็กสาวหัวเราะออกมาเต็มเสียง “เอาเถอะ ยังไงก็ไม่มีใครเหมาะกับเจเท่าคนนี้แล้วจริงๆ”
   
“ทำไมเรามาลงท้ายที่เรื่องนี้ได้ละเนี่ย” เจเกาศรีษะแกรกๆอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก
   
“เป็นอย่างนี้ล่ะดีแล้ว เชื่อแนนสิ” เด็กสาวว่าอย่างจริงใจ “แล้วก็… อันนี้จากใจแนนเลยนะ ขอให้ทั้งสองคนได้รับเลือกอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ แนนเอาใจช่วย”
   
“ขอบคุณมากแนน” เด็กหนุ่มเอ่ย “มันมีความหมายกับเรามากนะถ้ามันออกมาจากปากแนนแบบนี้น่ะ”
   
เจมองตามร่างของเด็กสาวที่เดินออกจากร้านไป คราวนี้ ไม่มีน้ำตา ไม่มีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกันหลงเหลืออยู่ เขารู้สึกโล่งใจอย่างที่สุดเมื่อสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจมานานได้รับการคลี่คลายลงเสียที ตอนนี้เขาก็เหลือแค่ต้องสู้สุดตัวเท่านั้น อีกไม่กี่วันก็จะรู้แล้วว่าจะออกหัวหรือก้อย
   
ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นดูนาฬิกา ยังพอมีเวลา โยคงไปรออยู่ที่ห้องซ้อมแล้ว ได้เวลาที่ต้องไปเสียที เด็กหนุ่มคว้ากระเป๋าเป้ใบใหญ่ขึ้นสะพายก่อนจะเดินจนเกือบเหมือนวิ่งออกไปขึ้นรถไฟฟ้าทันที

****************************

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
วันนี้แล้วสินะ
   
คืนที่ผ่านมา กว่าเด็กหนุ่มทั้งสองคนจะข่มตานอนได้ก็ดึกเต็มที ความทุ่มเท ความขยันมุมานะ ความเหนื่อยยากตลอดสองปีกว่าๆและตลอดสามเดือนอันแสนสาหัสกำลังจะส่งผลของมันในวันนี้แล้ว ทั้งสองคนถึงกับทานมื้อเช้าไม่ลงเพราะความเครียดและความกดดันที่ถาโถมเข้ามา ลำพังแค่กังวลเรื่องตัวเองก็เรียกได้ว่าเต็มที่แล้ว แต่นี่ยังต้องคอยลุ้นอีกฝ่ายไปด้วย ก็ยิ่งหนักหนาขึ้นไปอีก อดรนทนไม่ได้จึงลุกขึ้นมากอดให้กำลังใจกันเสียอย่างนั้น
   
พอได้กอดกันแบบนี้ ความกังวลทั้งหมดเหมือนจะสลายหายไปได้อย่างง่ายดายแบบไม่น่าเชื่อ กว่าจะคลายอ้อมกอดออกจากกันกินเวลาอยู่เป็นนาน พอแยกออกจากกันเท่านั้นต่างฝ่ายต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทำลายบรรยากาศแห่งความตึงเครียดที่คุกครุ่นอยู่ตั้งแต่เช้าออกไปจนหมด
   
“รู้งี้กอดกันแบบนี้ตั้งแต่แรกก็หมดเรื่องไปแล้ว”
   
“นั่นสิ”
   
โยก้มลงมองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะใช้มือประคองศีรษะของเจเอาไว้ เพียงแค่รั้งเบาๆหน้าผากของเจก็สัมผัสกับหน้าผากของเขา เจวางมือประกบลงไปบนมือที่ใหญ่กว่าที่ยังคงไม่ยอมละห่างจากเขาไปไหน
   
“ขอให้เราโชคดีนะเจ”
   
“ขอให้เราทั้งคู่โชคดี”
   
โยถือวิสาสะก้มลงใช้ริมฝีปากสัมผัสริมฝีปากนุ่มๆของอีกฝ่ายเบาๆและผละออกอย่างรวดเร็วชนิดไม่ให้ได้ตั้งตัว
   
“ขอนิดนึง เป็นกำลังใจ”
   
“ไอ้บ้า” ว่าแล้วเจก็สวมกอดร่างสูงๆที่ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้ง
   
*****************************
   
บ่ายสี่โมงเป็นเวลาที่นักเรียนฝึกหัดทุกคนมารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาในห้องซ้อม บรรยากาศคึกคักมากเสียจนคนที่คอยลุ้นหัวใจแทบจะหลุดออกมาจากอกเลยทีเดียว มีที่ขาดหายไปเพียงไม่กี่คน ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกที่ไม่ใส่ใจจะเข้าเรียนมาตั้งแต่แรกและรู้ตัวดีว่าถึงจะมาวันนี้ก็ไม่มีประโยชน์ แต่ก็มีอีกหลายคนที่มาเพราะอยากจะลุ้นว่าใครบ้างที่จะได้รับเลือกแม้จะรู้เต็มอกว่าตัวเองคงไม่มีโอกาสก็ตาม หลายคนมาด้วยความหวังอันเต็มเปี่ยมแต่ก็เตรียมพร้อมกับความผิดหวังเหมือนอย่างโยและเจและใครอีกหลายคน
   
เด็กหนุ่มยังเลือกที่จะนั่งข้างๆกันเหมือนเดิม แต่ก็แอบมีกระซิบบอกกันอย่างนึกขันว่า วันนี้ต่างก็ไม่มีสมาธิจดจ่อกับการเรียนที่โรงเรียนเลย เอาแต่เฝ้ารอลุ้นว่าเมื่อไหร่จะเลิกเรียนเสียที เพื่อที่จะได้รีบเข้าบริษัทไวๆ
   
เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจเงียบลงไปแทบจะทันทีเมื่อครูอินเดินเข้ามาพร้อมกับเอกสารบางอย่างในมือ ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานที่เดินตามหลังครูอินเข้ามานั่นต่างหากที่ทำให้ความตึงเครียดทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก
   
“นักเรียนทุกคน” ครูอินเอ่ยทำลายความเงียบ “คงไม่ต้องแนะนำแล้วนะว่าท่านผู้นี้เป็นใคร”
   
จะลืมได้อย่างไรในเมื่อคนผู้นี้เป็นคนก่อตั้งค่ายเพลงแห่งนี้ และเป็นคนเดียวกับที่ในวันแรกของการเรียนเดินเข้ามาพูดต้อนรับพวกเขาทุกคนในฐานะของสมาชิกในครอบครัวด้วยสีหน้าที่จริงจังและท่าทีอันเข้มงวด แสดงให้เห็นถึงความเป็นคนเด็ดขาดแต่ในขณะเดียวกันและแฝงไปด้วยความอ่อนโยนอยู่ในที
   
“ผมดีใจที่ได้พบกับทุกคนแบบพร้อมหน้าแบบนี้อีกครั้ง” เสียงที่มีพลังเปล่งออกมาจากปากผู้กุมบังเหียนบริษัทแห่งนี้และเป็นเหมือนผู้กุมชะตาชีวิตของพวกเขาเอาไว้ “แต่ถึงแม้ผมจะไม่ได้เข้ามาเยี่ยมเยียนทุกคนบ่อยๆ ก็ใช่ว่าผมจะไม่ใส่ใจ” เขายิ้ม “ครูของพวกคุณทุกคนจะต้องรายงานผลการสอนให้ผมฟังอย่างเป็นประจำและสม่ำเสมอ ดังนั้น ผมพูดได้เลยว่า ผมรู้จักชื่อและจดจำใบหน้าของพวกคุณได้ทุกคน และรู้ด้วยว่าใครเป็นอย่างไร” เท่านั้นเอง เสียงฮือฮาจากกลุ่มนักร้องฝึกหัดที่นั่งอยู่ในห้องก็ดังอื้ออึงขึ้นราวกับนัดกันไว้
   
ขอบคุณเหลือเกินที่ความมุ่งมั่นทำให้เขาสามารถนั่งอยู่ตรงนี้ได้อย่างสง่างาม เด็กหนุ่มคิดบอกตัวเองในใจ
   
“ที่ผมมาอยู่ที่นี่ในวันนี้ เป็นการยืนยันว่า วงหน้าใหม่ที่จะประกอบไปด้วยสมาชิกห้าคนที่นั่งอยู่ในกลุ่มพวกคุณในวันนี้ มีความสำคัญมากแค่ไหน และเชื่อเถอะว่านี่เป็นโปรเจ็กต์ที่ผมหมายมั่นปั้นมือมากจริงๆ เมื่อเทียบกับวงรุ่นพี่ของพวกคุณที่ผ่านมา ผมไม่สนหรอกว่าจะมีคนข้างนอกปรามาสวงที่ได้ชื่อว่าเป็นวงบอยแบนด์มากแค่ไหน แต่ผมบอกได้เลยว่าวงวงนี้จะไม่ธรรมดาแน่ๆ ไม่ใช่แค่ร้องเพลงได้ดี ไม่ใช่แค่เต้นรำได้เก่ง ไม่ใช่แค่หน้าตาดี สมาชิกในวงนี้จะต้องเป็นเลิศในทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าสังคม มนุษยสัมพันธ์ ความพร้อมที่จะเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ ที่สำคัญความรับผิดชอบและใจสู้เป็นสิ่งที่ผมคาดหวังเป็นอย่างมาก” เขาว่าอย่างยืดยาว แต่ก็สะกดให้ทุกคนในห้องเงียบกริบราวกับลืมหายใจไปชั่วขณะ “ผมไม่ได้คิดจะปั้นให้พวกคุณดังอยู่แค่ในนี้ ผมจะปั้นให้พวกคุณไปได้ไกลกว่านั้นอีก ถ้าพวกคุณใจสู้จริงๆ”
   
ห้องทั้งห้องยังเงียบกริบ
   
“ดังนั้น” จู่ๆใบหน้าอันเคร่งขรึมนั้นก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น “ผมบอกได้เลยว่า คนที่ได้รับเลือกในวันนี้ พวกคุณคือสุดยอด และผมก็คาดหวังกับพวกคุณจริงๆ เชิญครูอินต่อเลยครับ”
   
“ขอบคุณคุณเอ็มมากนะคะ” เธอเรียกชื่อเล่นของประธานบริษัทตามความประสงค์ของเจ้าตัวเอง บทท่านจะเข้มงวดก็เข้มงวดจนน่ากลัว แต่บทจะเป็นกันเองก็เป็นกันเองเสียน่ารักเลยเหมือนกัน ไม่รู้ว่าคนที่มีความเป็นศิลปินและนักธุรกิจอยู่ในตัวจะเป็นอย่างนี้เหมือนกันหมดหรือเปล่า ครูอินได้แต่เก็บความคิดนี้เอาไว้ในใจเงียบๆ
   
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็มาเข้าเรื่องของเรากันเลยดีกว่า” ครูอินเว้นจังหวะพูด “ครูรู้ว่าทุกคนคงลุ้นกันน่าดู แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ ใครทำอะไรเอาไว้แบบไหน ก็จะได้ผลแบบนั้น” เธอกวาดสายตามองนักเรียนในห้องจนทั่ว “ขอให้ทุกคนโชคดีนะคะ”
   
“คนแรก” ทุกคนพร้อมใจกลั้นหายใจราวกับนัดกันไว้ “ครูจะเรียกชื่อตามรหัสของแต่ละคน อักษรด้านหน้าก็อย่างที่รู้ คือรุ่นที่ออดิชั่นเข้ามา ส่วนตัวเลขก็คืออันดับของแต่ละคนในรุ่นนั้น เข้าใจตรงกันนะ“ ทุกคนพร้อมใจกันพยักหน้า

“A07 ซัน” เด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักขวัญใจใครต่อใครลุกขึ้นอย่างดีใจ หลายคนส่งเสียงฮือฮาและอีกหลายคนก็ปรบมือแสดงความยินดี ซันแม้จะอายุเพียงสิบหกปี แต่ก็ถือว่าเป็นนักเรียนฝึกหัดที่อยู่มานานกว่าใครหลายคน เรื่องความสามารถของเขาไม่เป็นที่กังขาทั้งในหมู่อาจารย์และกลุ่มเพื่อนรุ่นเดียวกันหรือแม้แต่รุ่นพี่เองก็ตาม ถ้าถามว่าใครที่สมควรจะเป็นหนึ่งในสมาชิกวงบอยแบนด์หน้าใหม่ ซัน ก็คือหนึ่งในนั้น

“ยินดีด้วยนะ” ซันยกมือไหว้ครูทุกคนรวมถึงประธานที่ยืนยิ้มอยู่อย่างเบิกบานนั่นด้วย

“คนต่อไป B09 แม็ก” หนนี้เสียงฮือฮายิ่งดังขึ้นกว่าเก่า เพราะเด็กหนุ่มที่ถูกเรียกชื่อนั้นอายุเพียงสิบห้าปี แต่ก็เป็นนักเรียนฝึกหัดมานานถึงสองปี บุคลิกของเขาอาจจะดูขี้อายและเคร่งขรึมเกินอายุ แต่ก็เป็นคนฉลาด หัวไว เรียนรู้เร็ว และมีน้ำเสียงอันน่าทึ่ง ที่ต้องยกให้ก็คือความขยันหมั่นฝึกฝนของเจ้าตัวนั่นเอง รุ่นพี่หลายคนที่มั่นใจว่าฝีมือแน่กว่าเด็กคนนี้ ทำท่าไม่พอใจ แต่ก็ทำได้แต่เพียงเท่านั้น ยิ่งเห็นคนที่ได้ชื่อว่าเป็นประธานอ้าแขนต้อนรับอยู่เบื้องหลัง ก็ยิ่งต้องหุบปากให้สนิทเอาไว้

“เหลืออีกสามคน” ครูอินกวาดสายตาไปรอบห้องก่อนจะเอ่ยรหัสและชื่อออกมาโดยไม่ต้องดูโพย “C01 ชุน”

หนนี้อย่าว่าแต่เสียงใครหลายคนจะร้องออกมาอย่างคาดไม่ถึงเลย ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเองก็ไม่อยากจะเชื่อที่ตัวเองมีชื่อติดอยู่ในโผนี้กับเขาด้วยเหมือนกัน ก็เพราะเด็กหนุ่มอายุสิบหกปีคนนี้เพิ่งเข้ามาเป็นนักเรียนฝึกหัดได้แค่เพียงปีเดียว หลายคนยังไม่คุ้นหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ จะมีก็เพียงแต่เพื่อนร่วมรุ่นกันเท่านั้นที่จะรู้ว่า ชุน เป็นคนมีเสียงร้องเพลงที่เป็นเอกลักษณ์และไพเราะเพียงใด ยังไม่นับความสามารถทางด้านดนตรีอื่นๆของเขา ที่สำคัญชุนเพิ่งย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยได้ไม่นานก่อนจะเข้ามาเป็นนักเรียนฝึกหัด แถมยังคว้ารางวัลด้านการร้องเพลงมาครองได้ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ตั้งแต่ตอนที่ยังเรียนอยู่ต่างประเทศแล้วด้วยซ้ำ ข้อกังขาทั้งปวงจึงมีอันตกไป

เด็กหนุ่มที่นั่งเคียงกันอยู่ในห้องท่ามกลางเพื่อนนักเรียนหลายสิบคนจับมือกันเอาไว้แน่น เหลืออีกเพียงสองคนเท่านั้น โอกาสของพวกเขาดูจะเหลือน้อยเต็มที ตอนนี้พวกเขาคิดแค่ว่าขอให้อีกฝ่ายได้เถอะ ตัวเองจะไม่ติดก็คงไม่เป็นไรแล้วตอนนี้

“B01 โย” เสียงปรบมือพร้อมใจดังขึ้นทันที เจโล่งใจเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อโย เพื่อนของเขานี่แหละคือคนที่สมควรจะได้รับเลือก คนที่มีทั้งบุคลิก ทั้งความสามารถ อุปนิสัยใจคอก็น่าชื่นชม อย่างน้อยถ้าเขาไม่ได้รับเลือก ก็ยังมีโยที่จะสานต่อความฝันแทน เด็กหนุ่มร่างสูงปล่อยมือของอีกฝ่ายอย่างไม่สู้จะเต็มใจนัก ทั้งที่มีรายชื่อติดอยู่ในโผ แต่สีหน้ากลับเป็นกังวล ถ้าเป็นไปได้เขาไม่อยากปล่อยมือข้างนี้ไปเลย แต่คนที่ถูกเรียกชื่อจะต้องออกไปยืนรวมกันอยู่หน้าห้อง และแม้จะต้องไปยืนรวมกลุ่มกับคนอื่น สายตาของโยก็ยังไม่ยอมละจากใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มยินดีของเจ

“เหลืออีกคนหนึ่ง แล้วก็อย่างที่บอก คนที่ผิดหวังอย่าเสียใจ โอกาสของคุณอาจจะไม่ใช่วันนี้ แต่มันจะยังมีครั้งต่อไปอีก ขอแค่อย่าเพิ่งยอมแพ้หรือถอดใจไปเสียก่อน”

“คนสุดท้าย ครูยินดีด้วยนะคะ B02 เจ” เจ้าตัวยังคงนั่งนิ่งด้วยความตกตะลึง ทุกอย่างรอบตัวดูจะเคลื่อนไหวช้าลงไปหมด หลังจากนั้นก็เหมือนจะไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก จนกระทั่ง “เอ๊า เจ... ยังไม่ยอมลุกไปอีก จะสละสิทธิ์หรือไง” เท่านั้นแหละทำเอาเจ้าตัวพรวดพราดลุกขึ้นด้วยความตกใจ เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนในห้องได้ราวกับนัดกันไว้

น่าแปลกใจที่ทั้งที่รู้สึกเหมือนเป็นความฝัน แต่อย่างเดียวที่ชัดเจนที่สุดกลับเป็นใบหน้าของโยที่คงจะดีใจกว่าใคร เพราะขณะที่เจเดินเข้าไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ มือข้างหนึ่งของโยยื่นออกมารับมือของเขามาจับกระชับเอาไว้ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเจก็รู้แล้วว่าโยรู้สึกอย่างไร เด็กหนุ่มทั้งห้าคนหันไปมองหน้ากันเอง แต่ละคนล้วนรู้จักคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี เพราะเป็นเพียงไม่กี่คนที่ฝึกซ้อมมาอย่างหนักร่วมกัน ช่วยเหลือกัน และคอยดูแลกันและกันมาโดยตลอด

พวกเขาสวมกอดแสดงความยินดีต่อกันและกัน บางคนน้ำตาคลอ บางคนร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจไม่ปิดบัง บางคนแค่ยิ้มแล้วก็ปลอบโยนคนอื่นๆที่ร้องไห้ บางคนได้แต่หัวเราะออกมา ไม่น่าเชื่อว่าความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจะก่อเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ เสียงปรบมือจากทุกคนที่นั่งเป็นสัขขีพยานในห้องนั้นดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง

“ครบแล้วทั้งห้าคน ครูอยากจะบอกว่า ทุกคนที่ถูกเลือกมา เหมาะสมแล้วด้วยประการทั้งปวงแบบไร้ข้อกังขา พวกคุณมีคุณสมบัติพร้อมที่จะเป็นวงที่จะไปสู้กับใครก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรูปลักษณ์หรือความสามารถ พวกคุณไม่เป็นรองใครแน่นอน ต่อไปนี้ขอให้พยายามเข้านะ พวกคุณยังจะต้องเหนื่อยอีกมากกว่าจะถึงวันเปิดตัวในฐานะวงบอยแบนด์หน้าใหม่”

เด็กหนุ่มทั้งห้าคนยกมือไหว้ครูทุกคนในห้องอีกครั้ง ก่อนจะหันไปมองหน้ากันและยิ้มให้กันอีกครั้งด้วยความยินดี

------------------------------------------

เป็นตอนที่ไม่ยาวเท่าไหร่นะคะตอนนี้ แต่ก็ได้เห็นความก้าวหน้าของน้องในการไขว่คว้าหาความฝันกันไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว

สำหรับคนที่คิดว่า แนน น่าจะร้ายกว่านี้ คงจะผิดคาดสินะคะ ตอนที่เราแต่งนิยายเรื่องนี้ เรามีคิดอยากให้มันลองแตกต่างจากเรื่องที่แล้วดูบ้างน่ะค่ะ แล้วด้วยความที่วัยของตัวละครมันก็ค่อนข้างจะแตกต่างกันอยู่พอสมควร คอนฟลิกในเรื่องของความรักจึงไม่ใช่เรื่องหลักของนิยายเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ชีวิตของเจที่ผ่านมา ถ้าทุกคนคิดว่า โอ้โห... ลำบากจัง ขอบอกค่ะว่า ยังไม่หมดแค่นี้ เจอยังต้องเจอบททดสอบอะไรอีกพอสมควรค่ะ แต่ในความโชคร้ายของเจ ก็ยังมีความโชคดีที่ชื่อโย และมิตรภาพจากคนรอบตัวอีกมากมาย

ลองติดตามอ่านกันต่อไปนะคะ ความเข้มข้นจะเพิ่มขึ้นต่อไปเรื่อยๆแล้วล่ะค่ะ

ขอบคุณสำหรับกำลังใจจากทุกคน และขอบคุณที่ยังติดตามอ่านกันอยู่เสมอนะคะ



Sakana2yunjae

  • บุคคลทั่วไป
คราวนี้มีฉากจูบด้วย ว้าวชอบจิงๆๆเลย  :impress2:

ออฟไลน์ JJHJJH

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +293/-2
น่าร๊าาาาาก จอเจหัวช้าแต่น่าเอ็นดู อิอิ

ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
ไม่ได้เข้ามาพักหนึ่ง ตามอ่านกันจนตาลาย แต่ขอบอกว่า ชอบมาก

ขอบคุณนะครับ ส่วนตอนต่อไปคงต้องลุ้นไปกับเจแล้วละว่าจะเจอกับอะไรอีก

ไม่ว่ายังไง เจก็มีโยอยู่เคียงข้างเสมอ เท่านี้คงพอแล้วมั่งสำหรับกำลังใจ  :กอด1:

+1 ให้เป็นการขอบคุณนะครับ เป็นกำลังใจให้เสมอ ๆ นะครับ

ออฟไลน์ LoveAholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-0
ดีใจจัง เข้าใจกันแล้ว น่ารักกันจัง

อ่านไปลุ้นไป มีฉากหวานด้วย

ชอบมากค่ะ เอาใจช่วยทั้งสองคนต่อไป

และเป็นกำลังใจให้คนแต่งด้วยค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






OhJa

  • บุคคลทั่วไป
ดีนะเนี่ย ที่น้องหนูแนนเธอไม่ร้ายเท่าไหร่
อะไรๆก็ดูเหมือนจะดีขึ้น
เจกับโยจะเจออุปสรรคอะไรอีก  รอลุ้นกันต่อไป :L2:

MaeMoo

  • บุคคลทั่วไป
เห็นด้วยกับคุณนิ้วไขว้นะคะ ที่บอกว่าแนนไม่ร้ายอย่างที่หลายคนคาด

คงไม่เหมือนกับ ไหม ในเพลงรัก ที่สิ่งแวดล้อมรอบตัวแข่งขันกันจนหล่อหลอมให้ไหมร้ายการอย่างมาก
แต่กับแนน ก็ด้วยวัย และความคิดของแนนด้วย ที่เป็นอย่างนี้ รวมทั้งสิ่งแวดล้อมของแนนที่ยังเป็นนักเรียน
ความร้ายกาจ ก็คงเบาบางลง....

ถึงเจกับโย จะมีเรื่องเหนื่อยยากเข้ามา
แต่อย่าขาดเรื่องหวานๆ นะคะ ให้กำลังใจคนอ่านหน่อยนะคะ อิอิ

ออฟไลน์ CMYK

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
อ่า..คู่นี้เพิ่งมีแค่จูบหรอกเหรอเนี่ย หุหุ ขนาดแนนยังคิดไปนู่นแล้ว

ออฟไลน์ NumPing

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2
ขอปรบมือให้กับความฝันอันยิ่งใหญ่ของเด็ก ๆ ที่มาออดิชั่นทุกคนนะคะ

สุดยอดอ่ะ

ออฟไลน์ maio2000

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 203
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
ว้าวจูบกันแล้ว :o8:  เจต้องเจอไรอีกเนี่ยเป็นกำลังใจให้เจ สู้ๆๆ  คราวหน้าของตอนยาวๆอีกนะ :bye2:

shine

  • บุคคลทั่วไป
และแล้วความฝันก็เป็นจริง ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น ประโยคนี้ยังใช้ได้เสมอ o13

แต่เจจะมีวิบากอะไรอีกเนี่ย แต่ถ้ามีโยอยู่ข้างๆแบบนี้ก็ช่วยได้เยอะแล้ว

Yukisae

  • บุคคลทั่วไป
ในที่สุด ตอนหนึ่งที่รอคอย
น่าประทับใจมากๆเลยคะ
 :m4:
มีจุ๊บกันด้วยอ่ะ >____<
+1เป็นกำลังใจค่ะ

CuteBear

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องน่ารักมากค่ะ น่ารักมากกกกกก >/////////////////////<

อ่านแล้วก็เอายุนแจมาจิ้นซะ ได้อีกค่ะ !! >///<  :-[

Sakana2yunjae

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ AidinEiEi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 776
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-1
คิดถึงเจกับโยจัง~~~~

มามะ มาต่อเถอะ
ไวๆ

  :กอด1:
 :L2: :L2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด