#*#*# Beats of Life.......
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: #*#*# Beats of Life.......  (อ่าน 101302 ครั้ง)

MaeMoo

  • บุคคลทั่วไป
ดีใจที่เม้นท์ต่างๆ มีส่วนช่วยสร้างกำลังใจให้คุณนิ้วไขว้นะคะ
ชอบสไตล์การเขียนของคุณนิ้วไขว้อยู่แล้ว ละเอียด อ่านง่าย
ภาษาก็สวย

แล้วเรื่องนี้ มีโครงการรวมเล่มหรือเปล่าคะ
อยากให้รวมนะ จะได้เก็บเป็นคอลเลคชั่นเลย
ตั้งแต่ เพลงรัก Beats of Live และเรื่องต่อๆมา

ยังไงก็แจ้งข่าวให้ทราบด้วยนะคะ

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณอีกครั้งสำหรับกำลังใจ และคำอวยพรจากทุกท่านค่ะ

Beats of Life จะมีการรวมเล่มแน่นอนค่ะ และจะมีการแต่งตอนพิเศษเพิ่มจากเดิมด้วยเช่นกัน ซึ่งจะเป็นเมื่อไหร่นั้นต้องรออีกสักหน่อยค่ะ เพราะอย่างที่บอกว่านิยายเรื่องยาว แม้จะใกล้จะจบแล้ว แต่ก็ยังไม่เรียกว่าจบเสียเลยทีเดียว ซึ่งโพสต์ตอนต่อไปจะเฉลยให้ได้ทราบกัน แต่รวมเล่มน่ะน่าจะรวมแน่นอนล่ะค่ะ

สำหรับนิยายเรื่องก่อน เพลงรัก หากมีใครที่ต้องการจะซื้อเก็บไว้เป็นที่ระลึกเพิ่มเติม ก็จะรวมเล่มให้ค่ะ น่าจะพร้อมๆกันกับ Beats of Life นี่แหละ ซึ่งจะมาบอกกล่าวกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวอีกครั้งใกล้ๆจะรวมเล่มอีกทีแน่นอนค่ะ

ขอบคุณที่ถามไถ่และให้ความสนใจนะคะ

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
ตามสัญญาค่ะ Part II เอามาต่อให้จนจบพาร์ตแล้วอย่างรวดเร็วค่ะ

____________________________________

บทที่ 10 PART 2 (จบบท)

เหงาเหมือนกัน

เด็กหนุ่มที่ครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่เป็นเตียงคนป่วยในห้องพิเศษเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง แม้จะมีเสียงทีวีที่เปิดทิ้งเอาไว้เป็นเพื่อน แต่กลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอ้างว้างน้อยลงแต่อย่างใด หรือเป็นเพราะปกติเขามีอะไรจะต้องทำอยู่ตลอดเวลา และดูเหมือนจะมีผู้คนรายรอบเขาอยู่เสมอ ที่ผ่านมาเขาจึงไม่เคยนึกถึงมันเลย แต่เมื่อต้องมานอนป่วยจนขยับไปไหนไม่ได้แบบนี้ อีกทั้งยังต้องอยู่คนเดียวโดยได้แต่เฝ้ารอให้ใครสักคนเปิดประตูเข้ามา กลับยิ่งรู้สึกอ้างว้างอย่างน่าใจหาย

เพิ่งจะบ่ายสามโมงเองหรือนี่ อีกตั้งนานกว่าโยกับน้องๆจะแวะมาหาเขาได้ รู้ทั้งรู้ว่าทุกคนต้องลำบากมาเฝ้าเขา แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะร่างกายและจิตใจที่อ่อนแอลงหรือเปล่า จึงทำให้เขาโหยหาเสียงหัวเราะพูดคุยของใครก็ได้ แม้หลายครั้งปากจะพูดออกไปว่าไม่เป็นไร เขาอยู่คนเดียวได้ก็ตาม แต่ลึกๆแล้วเด็กหนุ่มรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นการพูดตามมารยาทไปอย่างนั้นเอง

อีกไม่กี่วันเขาก็ต้องเริ่มฝึกเดินแล้ว นี่ถ้าไม่ใช่เพราะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของหมออย่างเคร่งครัดล่ะก็ เขาอยากจะลุกขึ้นมาเดินเสียมันตั้งแต่วันนี้เลยด้วยซ้ำ แต่ก็เพราะรู้ดีว่าอาการบาดเจ็บของตัวเองไม่เล็กน้อยเลย จึงได้แต่พยายามอดทน นี่ดีแค่ไหนแล้วที่ทั้งหมอและพยาบาลต่างก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า เขาจะสามารถกลับมาเดินได้ตามปกติอย่างแน่นอน และถ้าหากเชื่อฟังหมอและรักษาสุขภาพให้แข็งแรงล่ะก็ ใช้เวลาเพียงสามเดือนเท่านั้น ไม่ใช่แค่เดินได้ แต่ยังสามารถลุกขึ้นมาเต้นได้เหมือนเดิมด้วย

แม้จะรู้สึกเบาใจขึ้น ก็อดเป็นกังวลไม่ได้ว่า อาการบาดเจ็บของเขาจะส่งผลกระทบต่อสมาชิกคนอื่นในวง หรือแม้แต่อนาคตของเขามากแค่ไหน
ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า แค่เขาอยากเป็นนักร้องมันจะยากเย็นและเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมายขนาดนี้

เสียงลูกบิดดังขึ้นทำให้เด็กหนุ่มหันไปมองที่ประตูห้องโดยอัตโนมัติ ใบหน้าที่โผล่เข้ามามองหาเขา จุดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าขาวจัดชวนให้น่ามองมากขึ้นไปอีก

“ตื่นอยู่หรือเปล่า” เสียงทุ้มๆถามออกไปทั้งที่เห็นอยู่ว่าดวงตากลมโตคู่นั้นมองมาทางเขาแท้ๆ ร่างบนเตียงพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะยกรีโมททีวีขึ้นกดปิด

“หอบหิ้วอะไรมาตั้งมากมายหรือโย” เสียงแหบที่ฟังดูสดใสขึ้นมากเอ่ยถามเมื่อเห็นข้าวของในมือของอีกฝ่าย

“ของฝากไง” เดาดูก็รู้ว่าหนักไปทางอาหารการกินทั้งนั้น

“โธ่ ไม่เห็นต้องวุ่นวายเลย ขนาดอาหารที่โรงพยาบาลเรายังกินได้ไม่เท่าไหร่เอง”

“ก็นั่นไง ถึงต้องซื้อเข้ามาให้ด้วย” คนพูดจัดวางถุงอาหารเหล่านั้นเอาไว้ในที่ของมันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งข้างๆเตียงคนป่วย

“เป็นยังไงบ้าง” น้ำเสียงทุ้มนุ่มหูถามออกมาอย่างอ่อนโยน

“ก็ขาหัก เหมือนเดิมเลย” คนป่วยตอบกลับมาอย่างมีอารมณ์ขัน

“ยังเจ็บอยู่ไหม” โยถามกลับยิ้มๆ คนป่วยที่เริ่มจะมีอารมณ์ขันทำให้เขาเบาใจขึ้นมาก

“ก็มีบ้าง แต่ว่าชินแล้วล่ะ” เจ้าตัวตอบพลางยิ้มออกมาบ้าง ทำเอาอีกฝ่ายรู้สึกหัวใจกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนมือเรียวยาวของตัวเองไปกุมมือข้างหนึ่งของอีกฝ่ายเอาไว้

“เข้มแข็งอย่างนาย เดี๋ยวก็หาย” เสียงปลอบโยนนั้นเอ่ยขึ้นก่อนจะยกมือของคนป่วยขึ้นและประทับริมฝีปากลงไปเบาๆ สัมผัสอ่อนโยนคุ้นเคยนั้นเรียกรอยยิ้มบางๆจากอีกฝ่าย เจแนบมือลงบนแก้มของโยโดยยังมือมือใหญ่ข้างนั้นวางทับเอาไว้อีกต่อหนึ่ง ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่เขาเริ่มชินกับสัมผัสเหล่านี้และรู้สึกว่ามันพิเศษสำหรับเขาเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น

“นายชักทำให้เราเคยตัวแล้วนะ” จู่ๆเจก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้น

“เคยตัวยังไง”

“ก็... ชอบทำแบบนี้ ชอบมาจับมือ ชอบเข้ามากอด…” คนพูดเริ่มหน้าระเรื่อขึ้นมา

“เราก็ทำกับน้องๆแบบนี้ทุกคน” อีกฝ่ายเถียงด้วยน้ำเสียงที่ติดจะล้อเขาอย่างไรพิกล

“แล้วนายจับมือเขามาจูบ หรือกอดเขาแล้วหอมเขาอย่างเราไหมล่ะ” เสียงนั้นเหวออกมาราวกับจะต่อว่าอีกฝ่ายว่าไม่รู้ตัวหรืออย่างไรว่าวิธีปฏิบัติมันต่างกัน กว่าจะรู้ตัวก็จนเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายนั่นแหละถึงได้รู้ว่าตัวเองเสียทีไอ้คนเจ้าเล่ห์นี่อีกแล้ว

“ไอ้นี่...” พอทำท่ายกมือเงื้อง่าขึ้นเท่านั้น คนเฝ้าไข้ก็หลุดหัวเราะออกมาแต่ก็ไม่ลืมจะจับแขนของอีกฝ่ายที่เตรียมจะซัดลงมาเอาไว้เสียก่อน ถึงจะป่วยแต่แรงน้อยเสียเมื่อไหร่ล่ะ

“น่า... น่า... ขอโทษ ไม่แซวแล้วก็ได้” โยว่ายิ้มๆ “ถ้านายไม่ชอบ แค่บอกมาก็พอ”

“เคยบอกเหรอว่าไม่ชอบ...” เสียงแหบๆนั้นบ่นกับตัวเองงึมงำในคอมากกว่าจะอยากให้อีกคนได้ยิน ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะถามอะไรออกไป ก็ดูเหมือนจะมีแขกเคาะประตูเพิ่มขึ้นมาอีกแล้ว

“พี่เจ...” เสียงคุ้นหูดังขึ้น พร้อมกับใบหน้าอันแสนคุ้นเคยของน้องๆอีกสามคนที่โผล่หน้าเข้ามาทางประตู

คนป่วยพยายามดึงมือของตัวเองให้หลุดจากการเกาะกุมของคนที่นั่งตีหน้าซื่อ อะไรก็ไม่เท่าหมอนี่ไม่ยอมปล่อยมือเขาสักทีนี่สิ ไม่ว่าจะออกแรงดึงหรือถลึงตาใส่สักเท่าไหร่ อีกฝ่ายก็ทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ แถมยังใช้นิ้วทั้งห้าสอดประสานเข้ามากุมมือของเขาเอาไว้แน่นกว่าเดิมอีกต่างหาก ดูมันทำ
   
เด็กหนุ่มทั้งสามคนเดินเข้ามายังเตียงคนป่วยพร้อมถุงในมือคนละถุงสองถุง เห็นได้ชัดว่าน้องๆชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเลิกใส่ใจและเดินเรียงหน้าไปล้อมรอบเตียงคนป่วยเอาไว้
   
“พี่โย...” น้องเล็กของวงถือวิสาสะเดินไปยืนอยู่ข้างๆพี่ใหญ่หัวหน้าวงก่อนจะวางมือลงบนบ่าแข็งแรงนั้น และเอ่ยออกมาหน้าตาเฉย “ผมรู้ว่าพี่ห่วงพี่เจ แต่พี่เขาไปไหนไม่ได้หรอกครับ จะเกรงใจน้องนุ่งบ้างล่ะไม่มีหรอก”
   
ทำเอาพี่ใหญ่ทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วหัวเราะพรืดออกมาโดยไม่ได้นัดหมาย ดูความร้ายของมันเสียก่อนเถอะ ส่วนน้องอีกสองคนที่ยืนอยู่อีกฝั่งของเตียง ก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้เช่นกัน โธ่ พี่จะมาเขินน้องอะไรตอนนี้ ไม่รู้ตัวเลยใช่ไหมว่าเวลาที่อยู่ด้วยกัน พวกพี่มีโลกส่วนตัวกันขนาดไหน
   
“แล้วนี่ไม่มีเรียนกันเหรอ เลยพร้อมใจมากันได้เร็วขนาดนี้ เหมือนนัดกันมาเลย” เจว่าอย่างไม่นึกเกร็งหรือเขินอะไรอีก
   
“ช่วงนี้ใกล้สอบปลายภาคแล้วพี่เจ โรงเรียนก็ให้เลิกเร็ว ก็เลยนัดกันตั้งแต่เมื่อวานว่าเลิกแล้วเดี๋ยวไปหาซื้ออะไรเข้ามาให้พี่กันดีกว่า” ซันว่าอย่างร่าเริง
   
“แต่ไม่ทันพี่โย ดูสิ ของเต็มตู้เลย”
   
“แบ่งเอาไปกินกันบ้างก็ได้ พี่กินคนเดียวไม่หมดหรอก” คนป่วยว่าอารมณ์ดี ความเหงาเมื่อก่อนหน้านี้หายไปจนหมดสิ้น หลายครั้งที่เขาอดคิดกับตัวเองไม่ได้ว่า ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้างตรงที่ เขามีเพื่อนที่ดีแสนดีอยู่มากมายเหลือเกิน “จะขุนกันให้อ้วนหรือไง” เจ้าตัวว่าพลางหัวเราะออกมาเบาๆ
   
“ไม่ได้สิ พี่เจต้องกินเยอะๆ จะได้หายเร็วๆไง เวลาไปซ้อมยังไงไปพร้อมหน้าห้าคนก็ต้องดีกว่าอยู่แล้ว”
   
“นั่นสิ ไม่มีพี่อยู่บ้านซักคนนะ นอกจากจะไม่มีคนมาคอยจู้จี้ให้ทำความสะอาดแล้ว ยังไม่มีใครทำอะไรอร่อยๆให้กินด้วย”
   
“ผมเลยไม่รู้จะไปทะเลาะกับใครเลย” เสียงเจ้าน้องเล็กเอ่ยขึ้นลอยๆ สมเป็นแม็กจริงๆ
   
“เพราะฉะนั้น นายต้องรีบหายแล้วล่ะ” หลังจากฟังน้องๆแย่งกันพูดอยู่เป็นนาน คนข้างๆตัวจึงเอ่ยขึ้นบ้าง “แล้วก็ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องคิดว่าทำให้พวกเราเดือดร้อน เพราะพวกเราเต็มใจ วงเราไม่ว่าจะยังไงก็ต้องมีห้าคน เสียงของพวกเราจะเพราะที่สุดถ้ามีเสียงของนายด้วย แล้วก็ต้องเป็นนายคนเดียวเท่านั้น เข้าใจไหม”
   
คนป่วยที่ได้แต่นั่งฟังรู้สึกนัยน์ตาร้อนผ่าวขึ้นทันที เด็กหนุ่มพยายามอย่างที่สุดที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมา ก่อนจะกัดริมฝีปากและพยักหน้าอย่างหนักแน่นโดยไม่เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
   
“ผมรู้นะว่าพี่เจขี้เกรงใจ แถมยังคิดมากด้วย ที่ผมกลัวยิ่งกว่าอาการที่ขาก็คือพี่จะเครียดเกินไป อยู่กับพี่มาตั้งนานมีหรือผมจะไม่รู้” ชุนว่า “พี่ดูแลพวกผมมาตลอดไม่ว่าพี่รู้ตัวหรือไม่ก็ตาม คราวนี้พวกผมก็เลยอยากจะดูแลพี่บ้าง และแทนที่พี่จะเปลืองแรงคิดโทษตัวเองหรือเกรงใจอะไรก็แล้วแต่อย่างที่พี่ชอบทำ ผมว่าพี่คิดแค่ทำยังไงก็ได้ที่จะหายดีเร็วที่สุดก็พอ”
   
“บ้านเราที่ไม่มีพี่นี่โคตรเหงาเลย” ซันเอ่ยออกมาตรงๆ
   
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีก จนกระทั่งเจรู้สึกว่า มือเรียวยาวแข็งแรงที่ยังคงจับมือของเขาเอาไว้ไม่ปล่อยนั้นกระชับแน่นขึ้น
   
เด็กหนุ่มยิ้มกว้างออกมาอย่างคนที่มีความสุขที่สุด
   
“สัญญาเลย สัญญาด้วยว่าถ้าหายเมื่อไหร่จะทำอะไรอร่อยๆให้กินกันด้วย”
   
“เย้... มันต้องอย่างนี้สิพี่ผม” น้องเล็กที่เห็นเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดร้องออกมาอย่างไม่ปิดบังความดีใจ เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนออกมาได้ในที่สุด

****************************

ไม่มีใครสังเกตเห็นเงาที่ยืนอยู่เป็นนานตรงหน้าประตูห้องคนป่วยที่ตอนนี้ดูจะครึกครื้นเหลือเกินจนเกือบจะลืมไปแล้วว่า หลายคืนก่อนหน้านั้นบรรยากาศเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดเพียงใด ชายวัยกลางคนยืนนิ่งอยู่เป็นนานและเลือกที่จะถอยห่างออกมาจากประตู ไม่มีใครรู้ว่าตั้งแต่รู้ข่าวว่าเด็กหนุ่มประสบอุบัติเหตุ เขาเดินทางมาที่โรงพยาบาลนี้ทุกวัน มาหยุดยืนรอที่หน้าห้องนี้ทุกวัน และต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเองอยู่ทุกวันว่าควรจะเปิดประตูเข้าไปดีไหม
   
แล้วลูกจะให้อภัยกับความเห็นแก่ตัวของพ่อไหม
   
ความโกรธที่เคยคุกกรุ่นอยู่ในใจตลอดหลายปีที่ผ่านมาดูเหมือนจะจางหายไปจนหมดสิ้น ทันทีที่ได้รู้ว่าลูกชายเพียงคนเดียวประสบอุบัติเหตุหลังจากที่ทะเลาะกับผู้เป็นพ่ออย่างเขาอย่างรุนแรง เขาเกือบจะสูญเสียลูกไปแล้ว
   
จริงอยู่แม้เขาจะไม่ใช่คนเมาที่ขับรถชนลูกชายตัวเอง ไม่ใช่คนที่ทำให้ลูกเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่เขาเป็นคนทำร้ายหัวใจลูกตัวเองกับมือ จนเกือบจะสายเกินไปนั่นแหละ จนเจต้องบาดเจ็บสาหัส ต้องมานอนรักษาตัวอยู่แบบนี้ เขาถึงจะได้คิดว่า ความสุขที่สุดของเขาคือ การที่ยังมีลูกอยู่ต่างหาก ไม่ใช่ลูกที่ต้องเรียนเก่ง ไม่ใช่ลูกที่เป็นหน้าเป็นตาให้เขาได้เอาไปคุยอวดใครต่อใครไปสามบ้านแปดบ้าน ไม่ใช่คนที่สอบได้ที่หนึ่ง หรือสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เรียนในคณะที่พ่ออยากให้เรียน ไม่ใช่แม้แต่อย่างเดียว
   
แค่ลูกยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นเอง
   
แต่ทุกครั้งที่ตั้งใจว่าจะแวะมาเยี่ยมลูกชาย เขาทำได้เต็มที่แค่หยุดยืนอยู่หน้าประตู ก่อนจะลงไปถามอาการจากพยาบาล แล้วก็กลับ นั่นเพราะเขาละอายแก่ใจ เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดกับลูกอย่างไรดีว่าขอโทษ อยากจะบอกว่าเขาเป็นพ่อที่ไม่เอาไหน แต่ก็ไม่กล้าพอ


“สวัสดีค่ะ” ชายวัยกลางคนสะดุ้งเมื่อจู่ๆก็มีเสียงเรียกเขาขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว “เอ่อ... มีอะไรให้ช่วยไหมคะ” หญิงสาวผมสั้นท่าทางคล่องแคล่ว ที่เดินคู่มากับผู้ชายอีกคนที่ท่าทางภูมิฐานเหมือนกับเป็นคนสำคัญที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต ถามออกมาเมื่อเห็นว่าชายแปลกหน้าคนนี้ทำท่าลังเลเหมือนไม่แน่ใจว่าจะเข้าไปในห้องคนป่วยดีไหม

“คือ ผม...” เขาชั่งใจ จะตอบอย่างไรออกไปดี จะเลี่ยงเหมือนกับทุกครั้ง หรือถึงเวลาที่จะต้องเผชิญหน้ากับความจริงได้แล้ว “ผมเป็นพ่อของคนป่วยในห้องนี้ครับ”
   
“อ้าว คุณพ่อน้องเจหรือคะ” เมษประหลาดใจอย่างที่สุด แต่ก็ไม่ลืมที่จะยกมือไหว้โดยอัติโนมัติ “เมษขอโทษนะคะ คือเมษไม่ทราบจริงๆ เพราะไม่มีโอกาสได้เจอคุณพ่อสักที” นายอานนท์ยกมือขึ้นรับไหว้ “เมษเป็นคนดูแลน้องเจกับน้องๆอีกสี่คนค่ะ ส่วนท่านนี้...” เธอหันไปทางชายร่างสูงอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ “คุณเอ็ม ประธานบริษัทของเราเอง” ชายหนุ่มวัยอ่อนกว่าเขายกมือขึ้นไหว้อย่างไม่ถือเนื้อถือตัว ทำเอาอีกฝ่ายรับไหว้แทบไม่ทัน นี่ประธานบริษัทถึงกับต้องเดินทางมาเยี่ยมเด็กในสังกัดด้วยตัวเองเชียวหรือ
   
“เข้าไปด้วยกันไหมคะ” เมษถาม ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าชายผู้นี้ห่วงใยลูกที่นอนเจ็บอยู่ข้างในมากเพียงไร รู้แม้กระทั่งว่าเพราะอะไรเขาจึงได้ลังเล ราวกับตัดสินใจไม่ได้เสียทีว่าควรจะเข้าไปหาลูกชายดีไหม “เถอะค่ะคุณพ่อ เจจะต้องดีใจแน่ๆที่คุณพ่อมาเยี่ยมเขา”
   
ราวกับจะตัดสินใจได้ในวินาทีนั้นเอง อานนท์พยักหน้า ก่อนจะปล่อยให้เมษทำหน้าที่เคาะประตูและเปิดเข้าไปอย่างคุ้นเคย
   
เสียงพูดคุยกับเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นเป็นระยะหยุดลงทันทีเมื่อประตูเปิดออก
   
เมษเดินนำเข้าไปก่อน และก่อนที่เด็กๆจะได้ทักทายผู้จัดการวง ก็ถึงกับชะงักไปทันทีเมื่อเห็นว่ามีใครอีกคนเดินตามเข้ามาติดๆ
   
คุณเอ็ม
   
ทั้งคนป่วยที่ยังครึ่งนั่งครึ่งนอนและบุรุษพยาบาลจำเป็นอีกสี่คนก็พร้อมใจกับยกมือไหว้แขกพิเศษที่เดินทางมาโดยไม่บอกไม่กล่าวชนิดไม่ทันได้ตั้งตัว ประธานบริษัทยกมือขึ้นรับไหว้พร้อมกับรอยยิ้มบางๆบนใบหน้า
   
“พ่อ…” หนนี้คนป่วยเป็นฝ่ายตกใจมากกว่าเมื่อได้เห็นว่า แขกคนสุดท้ายที่เดินตามเข้ามาในห้องเป็นใคร “พ่อ...” เด็กหนุ่มเรียกออกไปได้เท่านั้น เหมือนคำพูดจุกอยู่ที่คอจนไม่อาจเปล่งเสียงใดๆออกไปได้อีก ความรู้สึกทั้งหมดประเดประดังเข้ามาจนตั้งตัวไม่ติด หยดน้ำใสๆไหลออกมาจากดวงตากลมโตคู่นั้นโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่เขาควรจะโกรธพ่อ ควรจะน้อยใจที่พ่อทำเหมือนไม่รักเขา แต่เอาเข้าจริงๆเมื่อเห็นผู้เป็นพ่อเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ดูก็รู้เป็นเป็นห่วงเขาสุดหัวใจ ความรู้สึกเหล่านั้นกลับมลายหายไปจนหมดสิ้น
   
อานนท์ไม่เอ่ยอะไร สีหน้าของเขาโล่งใจอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าลูกชายยังสบายดี เขาเดินตรงไปยังเตียงคนไข้ โยลุกขึ้นสละที่ให้กับชายวัยกลางคนอย่างรู้งาน ก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะเข้าไปสวมกอดลูกชายที่ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาจจะอดกลั้นอะไรเอาไว้ได้อีก เขาจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่กอดลูกชายคนนี้เอาไว้แบบนี้มันตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่เขารู้แน่ๆก็คือ ลูกชายของเขาตัวโตขึ้น และเติบโตขึ้นมาก แม้อาจจะผอมไปสักหน่อยก็ตาม
   
เขาลูบศีรษะลูกชายที่ยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาเบาๆ
   
“พ่อขอโทษนะลูก” คำพูดเบาแสนเบาแต่ราวกับจะดังก้องไปทั้งห้องที่เงียบกริบ “เจยกโทษให้พ่อได้ไหม” ศีรษะกลมๆนั้นส่ายไปมาช้าๆ เด็กหนุ่มไม่อาจจะเอ่ยคำใดออกมาเป็นคำพูดได้ เขาเอาแต่ร้องไห้และกอดพ่อให้แน่นขึ้นกว่าเดิม แต่เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว “ที่ผ่านมาพ่ออยากบอกเหลือเกินว่ารักลูกมากแค่ไหน แต่เพราะทิฐิและความดื้อดึงของพ่อแท้ๆ ที่ทำให้เราห่างเหินกัน พ่อขอโทษนะลูก” คำพูดที่ก่อนหน้านี้เคยคิดว่ากว่าจะเอ่ยออกไปได้มันช่างยากเย็น แต่พอถึงเวลาจริงๆ มันกลับพรั่งพรูออกมาได้เองอย่างเป็นธรรมชาติจนน่าแปลกใจ
   
ภาพที่เห็นและคำพูดที่ได้ยินเป็นที่น่าสะเทือนใจต่อผู้ที่ได้เห็นยิ่งนัก เด็กหนุ่มอีกสามคนแม้พยายามจะกลั้นน้ำตาเอาไว้เต็มที่ แต่ไม่วายต้องยกมือปาดน้ำตาที่ไหลออกมาเอง โยยืนกัดริมฝีปากเอาไว้แน่น เมษยิ้มแต่ก็เห็นได้ชัดว่าพยายามสะกดอารมณ์เอาไว้อย่างหนักเหมือนกัน คงจะมีแต่คุณเอ็มเท่านั้นที่ยิ้มน้อยๆให้กับภาพตรงหน้า

*************************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-01-2010 19:49:00 โดย fingerscrossed »

ออฟไลน์ Chatcha

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 717
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
น้ำตาแอบซึมอะ

ดีใจจัง

ที่พ่อกับเจเข้าใจกันซะที

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
“อยู่กันพร้อมหน้าแบบนี้ก็ดีแล้ว” คุณเอ็มเอ่ยขึ้น หลังจากที่ปล่อยให้พ่อลูกปรับความเข้าใจกันไปแล้ว บรรยากาศภายในห้องดูจะคลี่คลายมากขึ้น ที่สำคัญเห็นได้ชัดว่า การที่พ่อของคนป่วยมาเยี่ยมในคราวนี้ ทำให้เด็กหนุ่มมีสีหน้าที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า การที่เอาเรื่องนี้มาบอกกับพวกคุณในสถานการณ์แบบนี้ จะเหมาะสมหรือเปล่า” คุณเอ็มเอ่ยขึ้นอย่างเป็นการเป็นงาน หลังจากที่ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของเด็กแต่ละคนไปบ้างแล้ว

“แต่นี่เป็นเรื่องที่สำคัญจริงๆ และผมจำเป็นต้องหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกับพวกคุณเร็วที่สุด”
   
ภายในห้องเงียบกริบ ทุกคนรอฟังอย่างใจจดใจจ่อว่าเรื่องสำคัญที่คุณเอ็มกำลังจะพูดออกมานั้นเป็นเรื่องอะไรกันแน่
   
“ที่จริงเราตั้งใจจะแจ้งให้ทุกคนทราบอยู่แล้วว่า อีกไม่ถึงสามเดือนต่อจากนี้ พวกคุณจะได้เปิดตัวในฐานะนักร้องหน้าใหม่เป็นที่แน่นอน” เด็กหนุ่มทั้งห้าคนหันไปมองกันด้วยสายตาที่อ่านออกมาได้ว่า ไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน “ผมเห็นแล้วว่าพวกคุณมีความพร้อม และด้วยศักยภาพที่มีผมจึงเลือกพวกคุณห้าคนเข้ามา แต่...”
   
ชายผู้กุมบังเหียนชีวิตของเด็กที่มีความฝันหลายคนเอาไว้ในมือ เงียบไปเป็นครู่
   
“อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นคราวนี้ มันส่งผลกระทบกับโปรเจ็กต์ใหญ่นี้โดยตรงอย่างไม่อาจจะเลี่ยงได้” ทุกสายตาหันไปจับจ้องอยู่ที่คนป่วยที่นั่งฟังอยู่อย่างตั้งใจ เจประสานมือทั้งสองข้างเอาไว้บนตักแน่นเสียจนขาวซีดแทบไม่มีสีเลือด เหมือนกับจะรู้ว่า นายใหญ่ของบริษัทจะเอ่ยอะไรต่อไป
   
“มันร้ายแรงขนาดที่ เราอาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงสมาชิกในวง” เจก้มหน้าพลางกัดริมฝีปากตัวเองอย่างไม่รู้ตัวเหมือนกับทุกครั้งที่รู้สึกเครียดหรือตื่นเต้น ในขณะที่เด็กหนุ่มอีกสี่คนหันไปมองคุณเอ็มราวกับจะคาดคั้นว่าคำพูดนั้นมีความจริงจังแค่ไหน
   
คุณเอ็มไม่ยิ้ม ไม่มีวี่แววของการล้อเล่นเลยแม้แต่นิดเดียว
   
“เข้าใจที่ผมพูดไหมเจ” หนนี้คุณเอ็มหันไปถามจากคนป่วยเองโดยตรง เด็กหนุ่มพยักหน้ารับรู้ เขามีหรือจะไม่คิดว่าเรื่องนี้ว่ามันจะมีผลกระทบมากแค่ไหน แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ

“มีอะไรจะพูดไหม” คุณเอ็มออกปากถามตรงๆ

เจเงยหน้าขึ้นมองคุณเอ็มสลับกับเมษ ที่ตอนนี้มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่แพ้กับสมาชิกในวงอีกสี่คนเช่นกัน ห้องสีขาวที่ดูแคบลงไปถนัดตาเมื่อทุกคนเข้ามาอยู่รวมกันแบบนี้ และตอนนี้มันก็ตกอยู่ในความเงียบชนิดที่แทบจะได้ยินเสียงหายใจของแต่ละคนได้เลย เด็กหนุ่มมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่เป็นครู่ ก่อนจะเงยหน้าสบตากับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนายใหญ่ของพวกเขา
   
“ถ้าผมต้องกลายเป็นคนพิการ หรือกลายเป็นตัวถ่วงของวงไปตลอด ผมก็คงจะยอมรับได้” เจเอ่ยออกมาชนิดชัดถ้อยชัดคำจนแม้แต่ตัวเองก็ยังนึกแปลกใจ เขาน่าจะเสียใจ ร้องไห้ฟูมฟายกับโอกาสที่ลอยอยู่ตรงหน้าแต่จู่ๆก็กำลังจะหลุดลอยไปเสียแล้วมากกว่า แต่นี่เขากลับรู้สึกนิ่งอย่างประหลาด “แต่ผมยังหายได้ อีกแค่สามเดือนเท่านั้น ผมก็จะหายแล้ว”
   
ทุกสายตาจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนเตียง
   
“ผมอาจจะเห็นแก่ตัว ถ้าจะบอกว่าขอเวลาให้ผมรักษาตัวให้หายได้ไหม ผมหายได้แน่นอน อาจจะไม่ทันใจนัก แต่ผมจะหายให้ดู แล้วผมจะลุกขึ้นไปร้องเพลง เต้น อะไรก็ได้ที่คุณอยากให้ผมทำ” เขาหันไปสบตากับสมาชิกในวงอีกสี่คน “ผมพูดจากใจจริง ผมอยากเป็นนักร้อง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ผมอยากร้องเพลงกับสมาชิกในวงของผมเท่านั้น เราต่อสู้ด้วยกันมา ผูกพันกันมา ผมรักพวกเขา และผมก็รู้ว่าพวกเขารอผมอยู่”
   
เด็กหนุ่มหันไปมองหน้าคุณเอ็มด้วยสายตาที่เด็ดเดี่ยว
   
“เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งตัดโอกาสผมเลยนะครับ”
   
หนุ่มใหญ่ร่างสูงแม้ไม่เอ่ยอะไร แต่หันไปมองเด็กหนุ่มอีกสี่คนที่เหลือ
   
“แล้วพวกเธอล่ะจะว่ายังไง จะยอมไหม”
   
“พวกผมยอมออกอัลบั้มช้าไปอีกปีนึงก็ยังได้ครับคุณเอ็ม ถ้าต้องรอพี่เจ จะนานกว่านั้นอีกสักเท่าไหร่ก็ได้”
   
“ผมเคยคิดว่า ตัวเองอยากเป็นนักร้องชนิดจะให้แลกกับอะไรผมก็ยอม” ซันว่าขึ้น “แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว ผมรักวงของผม ตลกนะครับทั้งที่เรายังไม่มีชื่อวงกันเลยแท้ๆ” เด็กหนุ่มหัวเราะขื่นๆ “ไม่รู้เพราะ อะไร ถ้าไม่ใช่กับสมาชิกที่เหลืออีกสี่คนแล้ว มันเหมือนกับบางอย่างมันขาดหายไป”
   
“แม้ว่าเธอจะมีศักยภาพมากถึงขนาดจะเป็นนักร้องเดี่ยวก็ได้อย่างนั้นหรือ”
   
ซันพยักหน้า เด็กหนุ่มที่เหลือต่างก็พยักหน้า เด็กพวกนี้ไม่มีความลังเลเลยสักนิด
   
“แล้วความเสียหายที่เกิดขึ้นล่ะ พวกคุณจะให้ผมทำยังไง”
   
“เสียหายมากแค่ไหนล่ะครับคุณเอ็ม” เสียงทุ้มของเด็กหนุ่มที่ทำหน้าที่หัวหน้าวงเอ่ยออกมาในที่สุด
   
“หลักแสน อาจจะถึงหลักล้าน”
   
“คุณเอ็มเชื่อมั่นไหมครับว่าพวกผมจะดังได้”
   
“ผมเลือกพวกคุณเองกับมือ ผมย่อมเชื่อในสายตาของผมอยู่แล้ว”
   
“ถ้าอย่างนั้นพวกผมก็เชื่อเหมือนกันครับ ถึงตอนนั้นพวกผมจะโด่งดังมีชื่อเสียง และจะทำผลกำไรให้กับบริษัทได้แน่นอน”
   
คุณเอ็มถึงกับอึ้งไปเมื่อได้ยินคำพูดที่ออกจากปากเด็กหนุ่มที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีเลยด้วยซ้ำ หากเป็นคนอื่นมาพูดแบบนี้ให้เขาฟัง เขาคงจะปรามาสว่าช่างโอหังและทะนงตนนัก แต่ในขณะที่เด็กหนุ่มคนนี้ยืนเผชิญหน้ากับเขา ยืดอกพูดอย่างไม่หวาดหวั่น ด้วยสายตาที่มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง ทำไมเขาจึงรู้สึกเชื่อมั่นในคำพูดที่ได้ยินนัก เขารู้มานานแล้วว่าเด็กหนุ่มคนนี้นิสัยใจคอเป็นผู้ใหญ่เกินตัว อีกทั้งความคิดความอ่านก็โตเกินวัย แล้วยังมีน้ำจิตน้ำใจยังเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก เพิ่งได้มาเจอกับตัวเองก็คราวนี้
   
“แล้วถ้าพวกเธอไม่ดัง ไม่ประสบความสำเร็จ หรือแม้แต่ทำให้บริษัทของเราขาดทุนล่ะ” เขายังเอ่ยลองใจต่อไป “เคยคิดบ้างไหมว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป”
   
“ไม่ทราบเหมือนกันครับ” หนุ่มใหญ่หรี่ตาลงเมื่อได้ยินคำตอบที่ไม่คาดฝันนั้น “เพราะพวกผมไม่เคยคิดถึงมันเลย”
   
เขาประเมินเด็กพวกนี้ต่ำเกินไปจริงๆ
   
“เราคิดแค่ว่า ถ้าเป็นพวกเราห้าคนล่ะก็ อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น” แม็กเอ่ยขึ้นบ้าง ปกติน้องเล็กของวง เวลาอยู่หน้าคนอื่นจะขี้อาย พูดน้อยเหมือนคนที่ไม่ค่อยมีปากเสียงอะไรนัก ยากจะเชื่อว่าคำพูดที่เต็มไปด้วยความมั่นใจเต็มร้อยจะออกมาจากปากเด็กหนุ่มร่างสูงคนนี้
   
“โดยเฉพาะเจ” โยว่าต่อ “ถ้าเปรียบพวกเราเป็นร่างกาย พวกผมอาจจะเป็นแขนและขา แต่เจ... เป็นหัวใจของวงครับ”
   
เด็กหนุ่มที่นั่งฟังอยู่น้ำตาไหลออกมาเมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้ รู้แค่ว่า คำพูดต่างๆที่ทุกคนเอ่ยมานั้นมันกินใจเขาเหลือเกิน เขารู้ว่าเขารักทุกคนในวง แต่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีความหมายและมีความสำคัญต่อสมาชิกในวงมากถึงขนาดนั้น
   
“แล้วถ้าคุณเอ็มหรือใครๆยังยืนยันจะถอดพี่เจออกจากวงเราให้ได้ พวกเราก็คงจะต้องขอถอนตัวด้วยเหมือนกัน”
   
“พวกเธอยอมทิ้งโอกาสดีๆแบบนี้เลยหรือ ไม่เสียดายเลยงั้นหรือ”
   
“เสียดายสิครับ คงเสียดายที่สุดในชีวิตเลยล่ะ แต่คงจะไม่เท่ากับที่ต้องเสียพวกเราคนใดคนหนึ่งไป”
   
“เชื่อไหมครับว่าพวกเราทำได้จริงๆ”
   
หนนี้กลายเป็นนายใหญ่อย่างคุณเอ็มที่พูดไม่ออก จริงอย่างที่เมษว่าไว้ เด็กพวกนี้ผูกพันกันยิ่งกว่าเพื่อน มันยิ่งกว่าความเป็นวง พวกเขาเป็นอะไรที่มากกว่านั้นมากมายนัก
   
“เพราะฉะนั้น คุณเอ็มครับ” โยมองเข้าไปในดวงตาของชายหนุ่ม “พวกเราขอร้องนะครับ ให้โอกาสเจเถอะนะครับ ให้เจได้อยู่ต่อไปเถอะ อย่าตัดโอกาสเขาเลย”
   
“ได้โปรดเถอะนะครับ” เด็กหนุ่มที่เหลือพร้อมใจกันเอ่ยปากขอร้องหนุ่มใหญ่ที่ยังคงนิ่งเงียบ ไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก
   
“ถือว่าผมขอร้องด้วยอีกคนเถอะครับ” เจทำตาโตเมื่อคนที่เอ่ยคำพูดที่คาดไม่ถึงนี้ออกมาก็คือพ่อของเขาเอง “ที่ผ่านมา ผมไม่ได้ทำตัวเป็นพ่อที่ดีของลูกสักเท่าไหร่ เพราะผมไม่คิดว่าสิ่งที่ลูกทำมันสำคัญและมีความหมายต่อเขาแค่ไหน” อานนท์ยกมือวางบนศีรษะของลูกชายเบาๆและเต็มไปด้วยความรักใคร่ เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ความพยายามของลูกชายนั้นช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน ที่ทำให้เขาตื้นตันยิ่งกว่าก็คือ เจเป็นที่รักของทุกคน จนพ่อของเขานึกละอายว่าได้มองข้ามลูกชายตัวเองไปได้อย่างไรกันหนอทั้งที่เป็นพ่อแท้ๆ
   
“แต่ผมเชื่อว่าลูกผมเป็นนักสู้ และรักษาคำพูด ถ้าเขาบอกว่าทำได้ ก็แปลว่าเขาทำได้จริงๆ ผมรับประกันให้ได้” เขาพูดอย่างเด็ดเดี่ยว “แล้วถ้าลูกผมเหลวไหล หรือทำให้พวกคุณผิดหวังอะไรก็ตาม ความเสียหายมากเท่าไหร่ ผมก็จะขอรับผิดชอบเอง”
   
“พ่อครับ” เจจับมือพ่อเอาไว้แน่น ราวกับจะบอกว่า เพียงแค่พ่อเข้าใจและสนับสนุนเขาเท่านี้ก็พอแล้ว พ่อไม่จำเป็นต้องออกหน้าแทนเขาขนาดนี้เลยสักนิด
   
“ผมอาจจะไม่ใช่คนสำคัญอะไร เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่คุณอาจจะไม่ต้องสนใจเลยก็ได้ แต่ผมก็ยังอยากจะขอร้องคุณอยู่ดี ให้โอกาสลูกผมอีกครั้งนะครับ”
   
คุณเอ็มที่เอาแต่นิ่งเงียบอยู่เป็นนาน สีหน้าของเขาเรียบนิ่งเสียจนอ่านไม่ออกว่าในใจคิดอะไรอยู่ จนกระทั่งจู่ๆรอยยิ้มกว้างในแบบที่ยากจะมีใครเคยเห็นได้ก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะเบาๆ ทำให้ใบหน้าที่ปกติดูเคร่งเครียดและน่าเกรงขามนั้น น่ามองขึ้นเป็นอักโข
   
“ตั้งแต่เกิดมา ผมยังไม่เคยถูกใครรุมขอร้องอะไรมากเท่านี้มาก่อนเลยจริงๆ”
   
แน่นอนว่าสีหน้าของแต่ละคนในยามนี้ยิ่งงงหนักเข้าไปอีกเมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นถึงประธานบริษัทบันเทิงที่ใหญ่ติดอันดับต้นๆของประเทศ
   
“คุณพ่อครับ ผมขออะไรคุณพ่อแค่อย่างเดียวได้ไหมครับ” ชายวัยกลางคนพยักหน้าตอบทั้งที่ยังไม่หายแปลกใจสักเท่าไรนัก “ส่งเสียให้เจเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยเถอะนะครับ ผมคงจะดีใจกว่านี้ถ้าเด็กในสังกัดผมได้เรียนไปด้วย”
   
นายอานนท์ยิ้มก่อนจะยื่นมือออกไป
   
“ผมตั้งใจจะบอกลูกแบบนี้อยู่แล้วล่ะครับ” คุณเอ็มจับมือตอบราวกับจะบอกว่านี่คือสัญญาลูกผู้ชาย
   
“ส่วนพวกเธอ อาทิตย์นี้ถือซะว่าผมให้พักกันยาวหน่อย จะได้ดูแลคนป่วยได้เต็มที่ด้วย แต่ตั้งแต่อาทิตย์หน้าเป็นต้นไป ตารางซ้อมอันใหม่ของพวกคุณจะออกมาแล้ว อย่าอู้เด็ดขาด ไม่งั้นจะหาว่าผมไม่เตือนไม่ได้นะ” ปากแม้จะขู่ แต่สีหน้าดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนที่จะใจร้ายขนาดนั้นได้เลย
   
“ส่วนคนป่วย” คุณเอ็มหันไปพูดกับเด็กหนุ่มที่ยังนั่งหน้าเหวออยู่บนเตียง “สามเดือนเท่านั้นนะ ผมรอได้แค่สามเดือน คุณต้องลุกขึ้นมาร้องเพลงและเต้นได้เหมือนอย่างที่สัญญากับผมเอาไว้ รับรองเลยว่าหายดีเมื่อไหร่ ผมจะจัดตารางให้คุณชนิดที่จะทำให้คุณพูดไม่ออกเลยทีเดียว”
   
เจยิ้มออกมาได้ในที่สุด ก่อนจะเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยวไม่แพ้กัน
   
“ผมจะนับวันรอเลยล่ะครับ”
   
“ดี ผมชอบนะ คนแบบพวกคุณเนี่ย ใจถึงดี” ก่อนจะหันไปพูดกับหญิงสาวที่ได้แต่ยืนยิ้มโดยไม่เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
   
“ไปคุณเมษ ไปช่วยผมเตรียมการประชุมคราวหน้าหน่อย คงได้ถกกันสนุกล่ะหนนี้”
   
ทั้งคู่ยกมือไหว้ลาชายวัยกลางคนที่อาวุโสสูงกว่าใครในห้อง ก่อนจะขอตัวกลับ
   
ทันทีที่ประตูห้องปิดลง เด็กหนุ่มทั้งห้าคนได้แต่หันไปมองหน้ากันไปมา เหมือนกับยังไม่หายงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น ก่อนที่ใครสักคนจะเอ่ยทำลายความเงียบอย่างอดรนทนไม่ได้
   
“แปลว่าอะไรวะพี่...” ชุนหันไปถามหัวหน้าวงที่ก็กำลังหันไปมองหน้าคนป่วยที่หน้าเป็นเครื่องหมายคำถามไม่ต่างกับน้องคนอื่นๆ
   
“ก็... “ ขนาดโยยังไม่กล้าเอ่ยออกไป เพราะไม่แน่ใจเหมือนกัน กลัวแต่ว่ามันจะเป็นแค่ความฝันที่พอตื่นขึ้นแล้วเรื่องจะกลับตาลปัตรไปเสีย “แปลว่าวงเราน่าจะยังอยู่พร้อมหน้ากันห้าคนนะ ถ้าพี่เข้าใจอะไรไม่ผิดน่ะ”
   
“ให้ผมสรุปนะพี่ อาทิตย์นี้เราได้พัก อาทิตย์หน้ากลับไปซ้อม พี่เจก็รักษาตัวให้หาย หายแล้วต้องซ้อมหนัก แต่ที่แน่ๆพวกเราอยู่กันครบห้าคนเหมือนเดิม ประมาณนี้” น้องเล็กที่ฉลาดล้ำตามประสาเด็กเรียนเอ่ยออกมาพลางส่ายหน้าเบาๆเป็นเชิงตำหนิกลายๆว่า พวกพี่เนี่ย คิดอะไรช้าเสียจริง
   
“งี้... พี่เจก็ยังอยู่กับพวกเราใช่ไหม” ซันร้องออกมา “โอ๊ย... ดีใจ” ว่าแล้วก็ตรงเข้าไปกอดพี่ชายคนโตของวงทันทีด้วยความยินดี ชุนก็เลยเข้าไปร่วมวงด้วย โยกอดทั้งสามคนเอาไว้ก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งให้น้องชายคนเล็กที่ก็เดินเข้ามาร่วมวงกอดคนป่วยด้วยอีกคน
   
คำพูดที่ว่ากอดกันกลม ก็คงไม่ต่างอะไรกับภาพที่เห็นตรงหน้านี่แหละ
   
“ว้า... ไม่เอาสิพี่เจ ร้องไห้อีกแล้ว” หนุ่มผู้อ่อนไหวอย่างชุนเอ่ยขึ้นเมื่อผละออกมาแล้วเห็นคนป่วยน้ำตาไหลออกมาเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้ “เดี๋ยวผมก็ร้องตามหรอก”
   
“พี่ซึ้งน้ำใจทุกคนมาก ขอบใจนะที่ให้ความสำคัญกับพี่ขนาดนี้” เจว่าตามความรู้สึกที่แท้จริง ก่อนจะหันไปทางหัวหน้าวง “ขอบใจมากโย” ร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่นั้นไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป แต่กระชับมือที่วางบนบ่าของคนป่วยอย่างอ่อนโยนและหนักแน่นในที
   
“พ่อครับ” เด็กหนุ่มเรียก ก่อนจะยกมือขึ้นไหว้พ่อ ทั้งอยากจะขอบคุณที่พ่ออุตส่าห์เอ่ยปากขอร้องคุณเอ็มด้วยตัวเอง ขอบคุณที่พ่อยอมรับการตัดสินใจของเขา และขอบคุณที่พ่อจะส่งเสียให้เขาได้เรียนต่อ แม้จะเป็นเพียงความคิดที่ไม่รู้จะเรียบเรียงออกมาอย่างไรดี แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีความจำเป็นเสียแล้ว เพราะพ่อพยักหน้าให้เขาก่อนจะเดินเข้ามาสวมกอดลูกชายอีกครั้ง มีหรือเขาจะไม่รู้ว่าเจคิดอะไร พร้อมกับบอกตัวเองว่า ต่อไปนี้เขาที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อนี่แหละจะคอยสนับสนุนลูกอย่างเต็มที่เอง

*************************
   
น่าแปลกที่หลังจากเกิดเรื่องราวตั้งมากมาย ทั้งที่เขาต้องกลับมานอนอยู่คนเดียวแบบนี้อีกครั้ง แต่กลับไม่รู้สึกอ้างว้างเหมือนอย่างที่เคยรู้สึกอีกแล้ว พ่อกลับไปแล้ว น้องๆก็ขอตัวกลับไปก่อน ส่วนโยกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะกลับมานอนเฝ้าเขาพร้อมกับหนังสือเตรียมสอบชุดใหญ่ แถมต้องรับศึกหนักติวให้เขาด้วย ยังดีที่ก่อนหน้านั้นเขาเข้าเรียนตามปกติและอ่านหนังสือเตรียมสอบปลายภาคมาบ้างแล้ว ที่สำคัญสำหรับเด็กนักเรียนที่เตรียมเอ็นทรานซ์อย่างพวกเขา ไม่จำเป็นต้องเข้าเรียนตลอดทั้งวันและทุกวันอีกต่อไป เรื่องโรงเรียนจึงหายห่วง เพราะเพื่อนต๊อกที่ทราบข่าวช่วยเป็นธุระให้เขาเป็นที่เรียบร้อย
   
เขาจะได้กลับไปสอบเอ็นทรานซ์เหมือนคนอื่นๆเสียที แล้วก็จะได้เรียนต่อแล้วด้วย
   
เด็กหนุ่มยกมือขึ้นทาบอกข้างซ้าย ก่อนจะคิดกับตัวเองในใจว่า วันนี้หัวใจทำงานหนักเกินไปเสียแล้ว ขอนอนเอาแรงสักหน่อยก็แล้วกัน โยกลับเข้ามาเมื่อไหร่ค่อยตื่นขึ้นมาทานมื้อเย็นก็ยังไม่สาย ก่อนจะปิดเปลือกตาลงทั้งที่ยังมีรอยยิ้มจุดอยู่ที่มุมปากแบบนั้น

**********************
   
หญิงสาวที่นั่งรถคู่กับประธานบริษัทเป็นครั้งที่สองในรอบวัน หันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของหนุ่มใหญ่ที่นั่งยิ้มไม่พูดมาจาอยู่เป็นนานตั้งแต่รถประจำตำแหน่งเคลื่อนตัวออกจากโรงพยาบาล โดยมีคนขับรถส่วนตัวทำหน้าที่ของตนอย่างขยันขันแข็ง อดรนทนไม่ได้ เมษจึงต้องเป็นฝ่ายออกปากเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาเสียเอง
   
“เมษยังงงอยู่เลยค่ะคุณเอ็ม” คำพูดตรงไปตรงมานั้น ทำเอาคนฟังหลุดขำออกมาในที่สุด
   
“งงอะไร ผมก็ว่าผมชัดเจนออกจะขนาดนั้นแล้วนะ”
   
“แค่เมษนึกไม่ถึงว่า คุณเอ็มจะเล่นแบบนี้เลยน่ะค่ะ”
   
“เขาเรียกว่าวัดใจไงคุณเมษ ก่อนมาที่นี่ผมบอกตัวเองว่า จะขอลองเสี่ยงกับเด็กพวกนี้ดูสักตั้ง” เสียงทุ้มใหญ่นั้นลดความเข้มงวดลง และดูจะชอบอกชอบใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปหมาดๆนั้นอย่างไม่ปิดบัง “ผมว่าตัวเองตาถึงแล้วนะ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะตาถึงขนาดนี้”
   
“เรื่องเด็กๆน่ะหรือคะ”
   
“ผมเป็นคนเลือกเขามาเองนะ มีหรือจะไม่รู้ว่าเด็กที่เลือกมาน่ะเป็นยังไง แล้วผมเองก็ไม่ใช่คนใจร้ายขนาดนั้นด้วย” คุณเอ็มว่าต่ออย่างสบายอารมณ์ “แค่เด็กบาดเจ็บแค่นี้ ทำไมจะรอไม่ได้ล่ะ ไอ้ความเสียหายอะไรนั่นก็เหมือนกัน ถ้ามันจะเกิดมันก็ต้องเกิด เราก็ต้องช่วยกันคิดอ่านแก้ไขกันไป เด็กมันไม่ได้ผิดอะไรสักหน่อย”
   
คุณเอ็มยังเล่าต่อทั้งรอยยิ้ม
   
“แต่ไอ้ที่ผมอยากรู้น่ะ ก็คือเด็กพวกนี้จะมีปฏิกิริยาอย่างไรต่างหาก ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับสมาชิกในวงของเขา คุณเมษ เด็กเก่งน่ะ หาที่ไหนก็มี แต่เด็กที่นอกจากจะขยันและมุ่งมั่นแล้วยังมีความเป็นทีมเวิร์กแบบนี้ ไม่ได้หากันง่ายๆนะ ผมชอบความเป็นทีมของพวกเขามาก ถ้าไม่ได้มาเห็นกับตาหรือได้ยินกับหูล่ะก็ ผมคงไม่เชื่อว่าเด็กพวกนี้จะรักกันขนาดนี้”
   
“นึกดูนะ เด็กเจนั่น... ใจมันแข็งไม่เข้ากับหน้าหวานๆของมันเลยจริงๆ” ว่าถึงตรงนี้เขาก็หัวเราะชอบใจออกมา “ถ้าเป็นคนอื่น ผมอาจจะได้ยินคำพูดอย่าง ผมไม่อยากเป็นตัวถ่วงเพื่อนๆ หรือผมยอม หรือแล้วแต่คุณเอ็ม หรือไม่ก็คร่ำครวญขอร้องอะไรก็ตาม แต่นี่ผมไม่คิดเลยว่าจะกล้าต่อรองกับผม เห็นแววตามันแล้ว ผมยอมให้เลยนะ เด็กอะไรอย่างนี้ก็ไม่รู้”
   
“เจเป็นคนแบบนี้แหละค่ะ บทเขาจะอ่อนโยนเขาก็น่ารัก แต่พอจะเข้มแข็งขึ้นมาก็น่านับถือใจเขา”
   
“ส่วนเด็กโย เหมาะแล้วที่เป็นหัวหน้าวง ไอ้เราก็คิดว่า เป็นเพราะอายุมากกว่าคนอื่นก็เลยได้เป็นหัวหน้าวงโดยอัตโนมัติ แต่คนๆนี้มันเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำจริงๆ เห็นใช่ไหมตอนมันบอกมันจะดัง จะประสบความสำเร็จให้ดูน่ะ มันกล้ามากเลย พูดทีไม่มีหลบตาผมสักนิด” เมษถึงกับนึกขำเมื่อเห็นนายใหญ่พูดถึงเด็กๆในความดูแลด้วยความชื่นชม ไม่ต่างอะไรกับเด็กที่กำลังปลื้มกับอะไรสักอย่าง
   
“ส่วนอีกสามคนนั่น ก็ยืนหยัดให้เพื่อนร่วมวงตัวเองชนิดถวายหัวจริงๆ ถ้าไม่ใช่ห้าคนนี่ยังไงก็ไม่ได้งั้นหรือ” หนุ่มใหญ่หัวเราะเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง “มันแน่จริงๆแฮะ ไอ้เด็กพวกนี้”
   
“คุณเอ็มเพิ่งรู้หรือคะ” เมษอดรนทนไม่ได้ถึงกับออกปากแซวท่านประธานขึ้นมาบ้าง
   
“รู้มานานแล้ว แต่เพิ่งเคยเจอกับตัวไง” เขาว่าด้วยน้ำเสียงรื่นเริง “ผมเลือกคนไม่ผิดจริงๆ วงน่ะคุณเมษ ต่อให้เก่งมาจากไหน แต่ถ้าไม่มีความรักและความเป็นหนึ่งเดียวต่อกัน ไม่นานก็ต้องแยกย้ายกันไป ผมไม่อยากให้วงที่ผมหมายมั่นปั้นมือเป็นแบบนั้น ผมอยากให้พวกเขาสู้ไปด้วยกัน ฝ่าฟันไปด้วยกันให้ได้นานที่สุด และถ้าหากมีวันนึงที่แต่ละคนต้องไปตามทางของตัวเอง ก็ขอให้แน่ใจว่าเพราะมันถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ไม่ใช่เพราะโกรธกัน เกลียดกัน แก่งแย่งชิงดีกัน หรือเข้ากันไม่ได้เหมือนอย่างเวลาที่วงอื่นๆออกมาพูดกันปาวๆ” เขาหันไปมองเออาร์สาวที่นั่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
   
“พวกเขาคือวงในฝันที่ผมต้องการเลยล่ะ”
   
“แล้วตกลง” เมษเว้นระยะไปครู่หนึ่ง “คุ้มค่าเสี่ยงไหมคะคุณเอ็ม”
   
“เกินคุ้ม”

“งั้นเมษก็ขอดูแลเด็กห้าคนนี้ต่อเลยก็แล้วกันนะคะ” เธอว่าขึ้นหน้าตาเฉย
   
“เมื่อไหร่พวกเขาดังคงจะเหนื่อยกว่านี้มาก ไหวไหมล่ะ”
   
“คุณเอ็มพูดอยู่กับใครคะ” เรียกเสียงหัวเราะชอบใจจากชายหนุ่มออกมาได้อีกครา
   
“แต่ก่อนอื่น เตรียมใจไว้เลย ประชุมคราวหน้าคุณกับผมคงต้องโน้มน้าวบอร์ดกันเหนื่อยเลยล่ะ”
   
“หายห่วงค่ะคุณเอ็ม เดี๋ยวเมษจัดให้”
   
ทำเอาคนที่ได้ชื่อว่าเป็นประธานหันไปมองหญิงสาวที่นั่งข้างๆอย่างนึกทึ่งในที
   
“ลองคุณเอ็มไฟเขียวมาแบบนี้แล้ว เมษจะได้เอาจริงเสียที”
   
ก็ขนาดประชุมครั้งล่าสุดหญิงสาวยังทำเอาบอร์ดสะอึกกันทั้งห้อง นี่ถ้าเอาจริงขึ้นมา เผลอๆประธานอย่างเขาอาจจะแทบไม่ต้องลงมืออะไรเลยเสียแล้วกระมัง

----------------------------------------------

จบตอนสำคัญไปแล้ว ขนาดคนเขียนเองแท้ๆ เอามาลงจนจบยังรู้สึกโล่งใจเลยล่ะค่ะ

Beats of Life ตอนหน้าจะเป็นตอนจบแล้วนะคะ

แต่... แต่และแต่...

มันยังไม่จบบริบูรณ์หรอกค่ะ ^_^ เนื่องจากว่า หลายคนที่ก่อนหน้านี้เคยได้อ่านงานของเราไป ต่างก็บ่นกันอุบว่าคิดถึงน้องขนาดหนัก ถึงขนาดที่มากดดันให้เราเขียนภาค 2 ต่อ ซึ่งขอบอกค่ะว่า การเขียนนิยายภาคต่อนั้น เอามีดมาแทงกันเลยยังจะง่ายเสียกว่า ยิ่งเป็นนิยายที่วางพล็อตเสร็จสมบูรณ์แบบไม่คิดว่าจะมีภาค 2น่ะ ยากมากค่ะ แต่ถึงอย่างนั้น... เราก็เกิดนึกสนุก ทำไซด์โปรเจ็กขึ้นมา นั่นก็คือ ตอนพิเศษสั้นๆของ Beats of Life โดยเน้นไปที่เรื่องราวของเด็กๆทั้ง 5 คนนี้โดยเฉพาะค่ะ ซึ่งบอกไว้ก่อนนะคะว่า เป็นการเขียนแบบทดลองสนุกๆ คิดอะไรได้ก็เขียน และไม่มีการวางพล็อต แต่ละตอนจะจบสมบูรณ์ในตอนไปเลย และที่สำคัญ เป็นการเขียนแบบเอาแต่ใจตัวเองเพียงอย่างเดียว แต่ก็เชื่อว่าน่าจะถูกใจแฟนโยกับเจ และน่าจะทำให้หายคิดถึงน้องได้อย่างแน่นอนค่ะ

ก็เอาเป็นว่า ตอนหน้า ตอนที่ 12 จะเป็นตอนจบของนิยายเรื่องนี้แล้ว แต่หลังจากนั้น คนเขียนก็จะเอาตอนพิเศษมาลงให้ได้อ่านกันเรื่อยๆจนกว่าจะหมดสต๊อกค่ะ และอย่างที่บอกไปแล้ว Beats of Life จะมีรวมเล่มแน่นอน และจะนำเรื่องสั้นไซด์โปรเจ็กต์ทั้งหมดมารวมเอาไว้ด้วย ที่สำคัญตามธรรมเนียมค่ะ รวมเล่มจะมีตอนพิเศษที่แต่งเพิ่มและจะไม่ถูกนำมาลงไว้ในนี้ค่ะ ส่วนจะรวมเล่มเมื่อไร คนเขียนจะคอยเข้ามาบอกเล่าเก้าสิบให้ได้ทราบกันนะคะ

อ่านให้สนุก มีความสุขทุกท่านเช่นเคยค่ะ

OhJa

  • บุคคลทั่วไป
บอกได้คำเดียว  "ซึ้ง"   :monkeysad:
แบบว่าตอนพ่อยอมมาหาเจเนี่ย  น้ำตาแตกไปเรียบร้อย 

ออฟไลน์ maio2000

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 203
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
ซึ้งมากๆ  แต่ตอนหน้าจบแล้วเหรอสั้นเนอะ เขาก็รอตอนหน้ามาเร็วนะ   :bye2:

ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
พอพายุใหญ่ ผ่านพ้นไป ท้องฟ้าก็สดใส ไร้ซึ่งเมฆหมอก

อ่านตอนนี้แล้ว รับรู้ได้ถึงความรักที่แต่ละคนมีให้กัน อีกทั้งความรักของพ่อ

ซึ่งยอมทุกอย่างแม้กระทั่งศักดิ์ศรีที่ตัวยึดเอาไว้ แม้เกือบจะสายไป แต่ก็ยังทันท่วงที

มีความสุขจริง ๆ ครับ เป็นกำลังใจให้เสมอ ๆ +1 ด้วย  :m1:

MaeMoo

  • บุคคลทั่วไป
หวัดดีค่ะ คุณนิ้วไขว้

ฮือๆๆๆ ทำเราร้องไห้เลยอ่ะ จนน้องๆ งงว่าพี่เป็นอะไร
ทำเราหน้าแดง หูแดง น้ำตาไหลพรากกก
แต่ก็มีความสุขมาก ที่เรื่องราวทุกอย่างคลี่คลายไปได้เป็นอย่างดี

อย่างที่บอกว่า แต่งภาค 2 เอามีดมาแทงกันดีกว่า....
งั้น แทงแทงแทง อีกหลายๆ ทีเลยค่ะ เผื่อ เพลงรัก จะมีภาค2 กับเค้า อิอิ
นะนะนะนะคะ พรีสสสส

ก่อนจะได้อ่าน เพลงรัก ภาค 2 (ใครเค้ารับปากกับเธอยะ) ก็ขออ่าน Beats of Life ภาค2
ไปก่อนก็ได้ค่ะ

บวก1 ให้คุณนิ้วไขว้ค่ะ
เราเพิ่งจะ บวก1 ได้ กดให้คุณนิ้วไขว้เป็นคนแรกเลยนะเนี่ย

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
กดดันคนเขียนมันบาปนะคะคุณ MaeMoo

เอาเป็นว่า รออ่านไซด์โปรเจ็กต์ไปก่อนนะคะ... รับรองว่าถ้าเป็นแฟนน้องสองคนนี้จะต้องชอบและหายคิดถึงแน่ๆค่ะ...  :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






MaeMoo

  • บุคคลทั่วไป
ก็ได้ค่า รออ่านไซด์โปรเจ็กต์ก่อนก็ได้ค่ะ

เดี๋ยวบาปไปมากกว่านี้ ไว้สักพักค่อยมาบาปต่อ อิอิ

ขอบคุณอีกครั้งสำหรับเรื่องราวดีๆ แบบนี้นะคะ

ออฟไลน์ กุหลาบเดียวดาย

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 812
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2
ขอบคุณค่ะคุณนิ้วไขว้

+ให้ :pig4:

Yukisae

  • บุคคลทั่วไป
ซึ้งงง ความรักของเด็กๆมันมากมายจริงๆ
เจคือหัวใจของวง TT_______TT ร้องไห้ไป3รอบ
ตกใจหมดที่บอกว่าพาทหน้าตอนจบ
ม่ายน้า..... :serius2: อย่าเพิ่งจบเลยยยยยยย
โยเจ  :o12:

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
ตอนจบแล้วนะคะทุกคน ^_^

อ่านจบแล้ว อย่าลืมอ่านข้อความจากคนเขียนต่อนะคะ

--------------------------------------------------

บทที่ 12

เด็กหนุ่มนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ในห้องขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่สีขาวที่เต็มไปด้วยเก้าอี้ ข้าวของ สัมภาระมากมายวางกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองเงาตัวเองในกระจกบานใหญ่ แล้วก็ให้อดทึ่งไม่ได้จริงๆ ที่ว่าคนเราพอแต่งหน้า ทำผม แต่งตัวออกมาแล้วจะดูดีขึ้นเองโดยอัตโนมัติ เห็นทีจะเป็นเรื่องจริง ที่ผ่านมาเวลาที่ถูกชมว่าหน้าสวย ตัวเขาที่เป็นเด็กผู้ชายแท้ๆ จะรู้สึกไม่คอยชอบเท่าไหร่แท้ๆ แต่พอได้มาเห็นตัวเองในสภาพนี้แล้ว ก็ชักจะเริ่มเชื่อขึ้นมาแล้วเหมือนกัน
   
ต้องยกความดีความชอบให้กับช่างแต่งหน้า ทำผม และสไตลิสต์ที่ฝีมือดีโดยแท้ ผมสีดำสนิทของเขาถูกทำสีให้สว่างขึ้นรับกับใบหน้าอย่างยิ่ง ที่เคยยาวรุงรังไม่เป็นทรง ก็ถูกจัดแต่งเสียใหม่จนดูดีและทันสมัยรับกับใบหน้า ดวงตากลมโตนั้นถูกวาดให้คมขึ้นแต่ก็ไม่ได้ดูจัดจ้านเกินไป ริมฝีปากอิ่มๆที่มีสีสวยตามธรรมชาติอยู่แล้วก็ไม่ได้ถูกแต่งแต้มจนเกินไป แม้ใบหน้าจะดูสวยหวานก็จริงแต่ก็ยังคงดูเป็นเด็กผู้ชายอยู่ดี นี่แหละที่เขาชอบ
   
ก้มลงมองเสื้อผ้า สีสันโดยรวมออกมาเป็นโทนดำ เทา สลับกับขาว เป็นสีแบบที่เขาชอบ เสื้อถูกออกแบบมาอย่างพอเหมาะพอเจาะ ใส่สบายและดูดี ส่วนกางเกงสีดำเข้มก็ช่วยเน้นช่วงขาของเขาให้ดูเพรียวและยาวขึ้น บวกกับสร้อยเงิน แหวนบนนิ้วและต่างหูที่เป็นสมบัติของเขาเอง แถมได้รองเท้าบู๊ตคู่สวยที่เท่เอามากๆเสียจนเขาชักอยากมีไว้เป็นเจ้าของขึ้นมาตงิดๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะดูดีขึ้นได้ถึงเพียงนี้
   
หันไปมองดูน้องๆคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นซัน ชุน หรือแม็ก ก็ล้วนแล้วแต่ดูดีขึ้นผิดหูผิดตา จนเขาที่เป็นพี่ใหญ่ของวงก็ยังอดชื่นชมไม่ได้ ความวุ่นวายภายในห้องดูเหมือนภาพสโลว์โมชั่น มันดูเหมือนภาพฝันมากกว่าความจริงเหลือเกินในความรู้สึกของเขาตอนนี้
   
เจวางมือที่สวมถุงมือสีดำข้างหนึ่งลงบนขาของตัวเอง ขาข้างที่เคยบาดเจ็บ และเป็นการบาดเจ็บที่เกือบจะเปลี่ยนชีวิตของเขาไปทั้งชีวิต แต่ตอนนี้มันไม่เจ็บอีกต่อไปแล้ว
   
นับจากอุบัติเหตุคราวนั้นจนถึงตอนนี้ เป็นเวลาหกเดือนพอดี ในตอนแรกเขาคิดว่ามันคงเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเหลือเกิน แต่เอาเข้าจริงๆมันช่างผ่านไปรวดเร็วยิ่งนัก เจรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนานสองสัปดาห์ หมอจึงอนุญาตให้กลับไปรักษาตัวต่อที่บ้านได้ และย้ำนักย้ำหนาว่า เขาจะต้องฝึกเดินอย่างสม่ำเสมอโดยจะต้องไม่หักโหมจนเกินไป เด็กหนุ่มต้องทนรำคาญกับไม้เท้าที่ใช้ค้ำยันตัวเองให้เดินเหินไปไหนมาไหนนานเป็นเดือน จากที่ไม่สามารถลงน้ำหนักบนขาข้างที่หักได้ ก็ค่อยๆดีขึ้น สองเดือนนับจากเกิดอุบัติเหตุเขาก็สามารถเดินได้เองโดยไม่ต้องอาศัยไม้ค้ำยันอีกต่อไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องระมัดระวังไม่ให้ทำอะไรเกินตัวอยู่ดี
   
ระหว่างนั้นหอพัก หรือที่ทุกคนพร้อมใจกับเรียกว่า “บ้าน” ของพวกเขา ก็ต้องคอยต้อนรับแขกที่ทยอยมาเยี่ยมคนป่วยกันชนิดมากหน้าหลายตา พ่อกับแม่และพี่ๆของเด็กหนุ่ม สลับกันมาเยี่ยมเสียจนจะกลายเป็นแขกประจำของบ้านไปแล้ว และดูท่าน้องๆของเขาจะชอบอกชอบใจไปเสียทุกครั้งเนื่องจากมาทีไรแม่ของเขาเป็นต้องหอบหิ้วอาหารการกินติดมือมาด้วยมากมาย ถือเป็นลาภปากกันไป ต๊อกพร้อมกับเพื่อนๆที่โรงเรียนมาเยี่ยมพร้อมกับตำราเรียนและการบ้านกองโต ที่เขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะยินดีหรือหนักใจดีเมื่อได้เห็นกองตำราและชีทตัวอย่างข้อสอบจำนวนมหาศาลขนาดนั้น แต่ต๊อกก็ยืนยันให้เขาเบาใจได้ว่าทั้งเรื่องเรียนและเรื่องสมัครสอบเอ็นทรานซ์นั้น “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเพื่อนต๊อกสุดหล่อเอง” ซึ่งก็เรียกเสียงฮาจากเพื่อนฝูงได้เป็นอย่างดี
   
เพื่อนๆในวง Sonic Energy ที่สลับกันไปเยี่ยมช่วงที่เขารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ก็ถึงคราวมาเยี่ยมกันได้แบบพร้อมหน้าพร้อมตาตอนที่คนป่วยกลับบ้านแล้วนี่ล่ะ ที่ทำให้เจยินดีมากขึ้นไปอีกก็คือตอนนี้วงได้นักร้องใหม่มาแล้ว เป็นผู้หญิงเสียด้วย เจแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะถึงบางอ้อ เมื่อสมาชิกในวงบอกว่า “หาคนมาแทนนายยากมาก แต่คนนี้เขาเจ๋ง เป็นผู้หญิงที่ร้องเสียงต่ำได้ดี แต่พอขึ้นเสียงสูงก็สูงได้โล่มาก” ใครคนหนึ่งแอบมากระซิบเบาๆให้เขาฟังว่า “เหมือนนายในเวอร์ชั่นผู้หญิงเลยแหละ” ที่สำคัญ Sonic Energy กำลังจะได้ออกอัลบั้มของตัวเองกับสังกัดอินดี้ที่ค่อนข้างเป็นที่รู้จักในวงกว้างเสียด้วย ได้ยินมาว่าที่นี่ผลิตศิลปินมีฝีมือออกมามากมายเลยทีเดียว ทำเอาโยถึงกับอดหยอกเจไม่ได้ว่า ท่าทางเด็กหนุ่มจะยินดีกับเพื่อนนักดนตรีของเขามากยิ่งกว่าที่ตัวเองกำลังจะได้ออกอัลบั้มเสียอีกล่ะกระมัง แต่ไอ้ที่น่าแปลกใจก็คือ ไหงเจ้าแม่คนจัดงานกลายมาเป็นผู้จัดการของวงแถมยังกุมหัวใจมือเบสของวงไปได้อย่างไร ตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมเขาไม่นึกเอะใจมาก่อนก็ไม่รู้ ได้แต่หัวเราะชอบใจเมื่อได้รู้ข่าวจากเพื่อนๆที่หยิบประเด็นนี้ขึ้นมาแซวกันเป็นที่สนุกสนาน
   
วงแนวโมเดิร์นร็อคอย่าง Sonic Energy จึงกลายมาเป็นเพื่อนกับวงบอยแบนด์หน้าใหม่มาแรงอย่าง God’s Childs โดยที่น้อยคนนักจะทราบเรื่องนี้
   
ช่วงที่รักษาตัวไปด้วย เด็กหนุ่มต้องติวหนังสืออย่างหนักเพื่อที่จะเตรียมสอบเอ็นทรานซ์หลังจากผ่านการสอบปลายภาคเรียนสุดท้ายไปแล้วได้อย่างสบายๆ ทั้งโยและเพื่อนที่โรงเรียนต่างทุ่มสุดตัวเพื่อจะให้เจผ่านช่วงเวลานี้ไปได้อย่างปลอดโปร่งที่สุด ว่าตามจริง เจเองก็ไม่ได้เครียดกับการสอบเอ็นทรานซ์สักกี่มากน้อย เพราะพ่อกับแม่บอกให้เขาสบายใจเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า สอบได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่ปัญหา เพราะถึงอย่างไรพ่อกับแม่ก็พร้อมจะส่งเสียให้เขาเรียนต่ออยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสถาบันของรัฐบาลหรือเอกชนก็ตาม
   
เมื่อสอบเสร็จ ยังไม่ทันได้พักหายใจ ตารางงานก็เริ่มเข้ามาทันที เพราะถึงแม้เจ้าตัวจะยังไม่สามารถออกแรงเต้นได้อย่างเต็มที่ แต่การอัดเสียงเพลงแรกในชีวิตจะต้องเริ่มขึ้นก่อนที่แผนการทุกอย่างจะดำเนินต่อไป และการที่เขาเริ่มจะเดินได้โดยไม่ต้องอาศัยไม้เท้าก็ช่วยได้มากจริงๆ
   
ในเมื่อยังเต้นไม่ได้ เขาก็ขอพุ่งความสนใจทั้งหมดให้กับการร้องเพลงเสียก่อนก็แล้วกัน
   
การเข้าห้องอัดครั้งแรกในชีวิตก็เหมือนกับที่เขาเห็นนักร้องหลายคนทำงานมาแล้วผ่านทางทีวีนั่นแหละ มันเต็มไปด้วยเครื่องเครามากมาย และน่าตื่นตาตื่นใจ กว่าจะผ่านพ้นไปได้อย่างราบรื่นก็เรียกว่าใช้เวลาไปมากโขทีเดียว อย่างที่เด็กหนุ่มทั้งห้าคนได้รับการตอกย้ำอยู่ตลอดเวลาว่าโปรเจ็กต์ของพวกเขามีความสำคัญอย่างที่สุด ทุกอย่างที่จะออกสู่สายตาผู้คนจึงต้องเนี้ยบและพิถีพิถัน จะต้องไม่มีข้อผิดพลาดอย่างเด็ดขาด
   
แต่ที่สร้างความประหลาดใจให้กับพวกเขาก็คือ ในเบื้องต้นพวกเขาจะมีเพลงแค่สามเพลงเท่านั้น โดยจะมีเพลงเปิดตัวเพลงแรกออกมาก่อน และจะโหมโปรโมตให้มันกลายเป็นเพลงฮิตที่ทุกคนรู้จักโดยไม่ให้รู้ว่าใครคือเจ้าของเสียงร้องจนกว่าจะถึงเวลา แล้วจึงจะทยอยปล่อยอีกสองเพลงออกมาในภายหลัง เป็นวิธีการที่แปลก แหวกแนว และไม่เหมือนใคร ไม่มีใครรู้ว่านายใหญ่ที่นั่งแท่นเป็นเจ้าของโปรเจ็กต์นี้ คิดอะไรในใจ แต่ทุกคนก็มั่นใจและพร้อมที่จะเดินตามแนวทางที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วนี้อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
   
ครบสามเดือนที่เคยสัญญา ตารางการฝึกของเจโดยเฉพาะก็ออกมาทันที และจริงอย่างที่คุณเอ็มเคยบอก มันแทบจะทำให้เด็กหนุ่มหงายหลังตึงได้เลย เพราะมันอัดแน่นไปด้วยคิวฝึกที่หนักหนากว่าคนอื่นจริงๆ แต่ที่ทำให้เขายิ้มออกมาได้ก็คือ เห็นได้ชัดว่าในช่วงแรกๆ ตารางการซ้อมเต้นของเขาดูจะไม่หนักหนามาก เหมือนกับรู้ว่าเขายังไม่อาจจะโหมฝึกหนักได้ในระยะแรกแม้อาการที่ขาจะหายดีแล้วก็ตาม เจนึกขอบคุณและซึ้งน้ำใจคุณเอ็มที่ใส่ใจเขาแม้จะเป็นเรื่องเพียงเล็กน้อย ที่สำคัญ เขาไม่ค่อยนึกกังวลสักเท่าไหร่เมื่อมีโยอยู่ทั้งคน ไม่มีใครที่จะเก่งเรื่องเต้นเท่ากับโยอีกแล้ว
   
ตลอดระยะเวลาที่เจรักษาตัวและต้องง่วนอยู่กับการเรียนไปพร้อมกับการทำงาน เขาอาจจะเหนื่อยเสียจนแทบหมดแรงเพราะดูเหมือนมีอะไรจะต้องทำอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่เคยท้อใจหรือยอมแพ้เลยแม้สักครั้ง อาจจะเพราะกำลังใจจากคนรอบข้าง น้องๆอีกสามคนก็คอยดูแลเอาใจใส่เขามากเสียจนบางครั้งก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า นี่เขาเป็นน้องหรือเป็นพี่กันแน่ แต่ก็อดรู้สึกอบอุ่นขึ้นในหัวใจไม่ได้จริงๆ ใครจะไปนึกว่าเกิดมาเคยแต่เป็นน้องเล็กของครอบครัว มีพี่สาวทีตั้งสี่คน จู่ๆก็เกิดมีน้องชายขึ้นมารวดเดียวสามคนเสียอย่างนั้น แถมแต่ละคนยังทโมนได้ใจเสียด้วย จะพูดอะไรมากก็ไม่ได้ เพราะเวลาที่เขาอยู่กับน้องๆ ดูอย่างไรก็เหมือนเพื่อนมากกว่าจริงๆ ส่วนโย เขาเองก็ไม่รู้แน่ว่าระหว่างเขากับเด็กหนุ่มอีกคนเป็นอะไรกันแน่ เป็นเพื่อนน่ะไม่เถียง เพื่อนสนิทยิ่งไม่ต้องสงสัย แต่ความดูแล เอาใจใส่ ห่วงใย และวิธีปฏิบัติของโยที่มีต่อเขามันช่างพิเศษเสียจน อย่าว่าแต่น้องๆในวงเลย คนช่างสังเกตก็ดูออกได้ไม่ยาก ก็เขาจะปฏิเสธได้อย่างไร เมื่อรู้ทั้งรู้ว่าเขาเองชอบโยมากเสียยิ่งกว่าใคร
   
ช่วงที่เขาต้องใช้ไม้เท้า โยนี่แหละจะคอยประคองเขาไปไหนมาไหน คอยระวังระไวให้เสมอ อะไรที่เห็นว่าดีและมีประโยชน์ก็จะไปสรรหามาให้โดยไม่รีรอ แม้จะทิ้งไม้เท้าไปแล้ว ก็ดูเหมือนความเอาใจใส่นั้นจะไม่เคยลดน้อยลงเลย แถมยังคอยหยิบจับทำอะไรให้เขาไปเสียหมดทุกสิ่ง จนเจอดหัวเราะและออกปากออกมาไม่ได้ว่า เขาไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อย แต่ก็พูดไม่ออกทุกทีเวลาที่โยทำหน้าจริงจังแล้วบอกแก่เขาว่า “ถ้านายยังไม่หายดี เราก็ไม่วางใจอะไรทั้งนั้น ถ้านายเป็นอะไรไปอีก เราจะทำยังไง” เวลาคนอื่นพูดทำไมมันถึงไม่รู้สึกอุ่นวาบในหัวใจอย่างนี้ก็ไม่รู้
   
มีวันหนึ่งเขาทำท่าเหมือนสะดุดอะไรสักอย่างเข้า โยทำท่าตกอกตกใจ แล้วจู่ๆก็ยกตัวเขาขึ้นวางไว้บนโต๊ะได้แบบสบายๆเหมือนอุ้มเด็กไม่มีผิด ก่อนจะก้มลงสำรวจว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ แล้วจึงระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เจถึงกับยิ้มออกมากับกริยาอาการนั้น ก่อนจะถามออกมาอย่างสงสัยว่าโยสามารถยกเขาขึ้นได้ง่ายๆแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
   
“นายผอมลงไปตั้งเยอะรู้ไหม” เจพยักหน้าน้อยๆเป็นการรับรู้ จริงอยู่เขารู้สึกว่าเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ประจำตัวใหญ่ขึ้น (หรือที่จริงคือเขาตัวเล็กลงนั่นแหละ) ยิ่งกางเกงไม่ต้องพูดถึง หลวมโพรกทุกตัว แต่ก็ไม่คิดว่าน้ำหนักจะลดลงมากมายอะไร จนกระทั่งเดินไปชั่งน้ำหนักเองนั่นแหละ
   
“ลดไปตั้งแปดกิโลเลยเหรอ” เสียงนั้นเอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจ
   
“ความรู้สึกช้าจริงๆ” โยได้แต่ส่ายหัว ก่อนจะตอกย้ำลงไปอีกว่า “ตอนนี้วงเรา นายน่ะตัวเล็กที่สุดเลย”
   
“แล้วถ้าเราหยุดโตไปเลยล่ะจะทำยังไง” สีหน้านั้นจริงจังเสียจนน่าขำ บทจะคิดอ่านทำอะไรเป็นเด็กๆขึ้นมา เจก็ทำออกมาได้น่าเอ็นดูนัก
   
“จะบ้าหรือ นายเพิ่งจะสิบแปด เดี๋ยวก็สูงขึ้นได้อีก” เขาว่าพลางลูบศีรษะคนผอมบางที่ทำหน้ามุ่ยอย่างไม่ชอบใจที่ตัวเองหดเล็กลงไปชนิดผิดหูผิดตา “แต่ต้องบำรุงเยอะๆหน่อยนะ ผอมง่ายขึ้นยากเสียด้วยนายน่ะ”
   
อาหารมื้อถัดจากนั้นเขาเลยทานเสียจนอิ่มแปล้กว่าทุกมื้อไปเลย

คิดขึ้นมาทีไรก็อดหัวเราะไม่ได้ทุกที

ตอนนี้แม้น้ำหนักตัวของเด็กหนุ่มจะกลับคืนมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังเรียกได้ว่าผอมอยู่ดีนั่นเอง เจหันไปมองรอบห้องที่แสนจะวุ่นวายนั้นและสังเกตว่าร่างสูงทะมัดทะแมงที่คุ้นตาไม่ได้อยู่ในห้องด้วย แต่ก็ไม่ได้วิตกอะไร เพราะในวันสำคัญแบบนี้ หัวหน้าวงอย่างโยก็ต้องเหนื่อยมากกว่าคนอื่นหน่อยเป็นธรรมดา

วันนี้เป็นวันเปิดอัลบั้มและเป็นวันเปิดตัว God’s Childs อย่างเป็นทางการ เป็นวันสำคัญที่สุดที่พวกเขารอคอยมานาน

พวกเขารู้ดีว่า เพลงเปิดตัวเพลงแรกของพวกเขาเป็นเพลงที่ดี แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงถึงเพียงนี้ วันแรกที่ได้ยินเพลงนี้ผ่านทางรายการวิทยุ พวกเขาที่ตั้งใจนั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อถึงกับเฮออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เด็กหนุ่มกอดกันกลมแสดงความยินดีต่อกัน ชุนถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจจนเขาต้องปลอบอยู่เป็นนาน หลังจากนั้นไม่ว่าคลื่นวิทยุคลื่นไหนก็พร้อมใจกันเปิดเพลงนี้จนต้องยอมรับกับตัวเองว่า ได้ยินกันแทบจะทุกวัน ไม่น่าแปลกใจหรอกที่หลังจากนั้นมันจะขึ้นไปติดอันดับหนึ่งบนชาร์ตเพลงต่างๆราวกับนัดกันไว้

ความโด่งดังของเพลงยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีกเมื่อมันไปกระตุ้นความสนใจให้คนอยากจะรู้ว่า ใครคือเจ้าของเสียงร้องอันไพเราะที่ถ่ายทอดเพลงนี้ออกมาได้อย่างจับใจ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครรู้เลยสักคน เป็นระยะเวลาถึงสามเดือนที่พวกเขาเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเสียที และตลอดช่วงระยะเวลานั้น เด็กหนุ่มทั้งห้าคนทุ่มเทให้กับการฝึกซ้อมอย่างหนัก ทั้งการร้องเพลงประสานกัน เต้นจนเข้ากันได้อย่างลงตัว เพื่อที่จะกลายเป็นหนึ่งเดียวกันยิ่งกว่าเดิม
เจหัวเราะออกมาเบาๆ จะมีใครรู้ไหมนะว่าพวกเขาฝึกร้องและและฝึกเต้นแค่เพลงๆนี้มาหนักแค่ไหน จนเนื้อเพลงแทบจะหลอมละลายอยู่ในสายเลือด ท่าเต้นทุกสเต็ปถูกบันทึกเก็บเอาไว้ในสมอง ไม่รู้กี่ร้อยต่อกี่ร้อยรอบจนขึ้นใจและแม่นยำ จนตอนนี้ไม่ว่าจะนอนหลับหรือตื่นมันได้กลายเป็นลมหายใจของพวกเขาไปแล้ว
แต่เมื่อวันนี้มาถึง พวกเขาก็ยังตื่นเต้นและกลัวความผิดพลาดอยู่นั่นเอง ทุกคนตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด เขาเองแม้จะดูว่านิ่งเฉย แต่ภายใต้สีหน้าเรียบนิ่งนั้น คงจะมีแต่พวกเขานี่แหละที่มองกันออก

ร่างสูงใหญ่ในชุดโทนสีเดียวกัน อาจจะต่างแบบกันเพียงเล็กน้อยเปิดประตูเข้ามา วันนี้โยดูดีชนิดผิดหูผิดตา เด็กหนุ่มที่ปกติก็ดูมีเสน่ห์ดึงดูดมากอยู่แล้ว วันนี้ยิ่งดูพิเศษขึ้นไปอีก เหมือนมีรัศมีบางอย่างที่ทำให้เขาดูเฉิดฉายอย่างยิ่ง เขายิ้มให้กับร่างที่เดินตรงเข้ามาทางเขา ใบหน้าเรียวได้รูปนั้นยิ้มในแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วจึงเดินมาก้มกระซิบข้างหูเขาเบาๆว่า

“นายดูดีมากเลยเจ” คำชมสั้นๆที่ใครต่อใครพูดกับเขามานับครั้งไม่ถ้วน แต่กลับไม่รู้สึกเขินอายจนร้อนผ่าวไปทั้งหน้าเมื่อมันออกจากปากของคนที่มองเขาด้วยสายตาที่อ่อนโยนคู่นี้

โยยื่นมือให้เจจับก่อนจะจูงเด็กหนุ่มให้มานั่งรวมกลุ่มกับสมาชิกในวงอีกสามคนที่บอกไม่ถูกว่าสีหน้าในตอนนี้ดีใจหรือกังวลใจกันแน่

หญิงสาวเดินเข้ามาในห้องก่อนจะยิ้มอย่างภูมิใจกับภาพที่เห็น น้องๆที่เธอดูแลเป็นอย่างดี ในวันนี้ดูมีสง่าราศี และหล่อกันเหลือเกิน ปกติเด็กพวกนี้ดูดีกันอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหน้าตา รูปร่างหรือบุคลิก หาไม่แล้วคงไม่เตะตาแมวมองมือหนึ่งอย่างคุณเอ็มแน่ๆ แต่เมื่ออยู่ในชุดเสื้อผ้าที่ถูกออกแบบมาอย่างดี บวกกับการแต่งหน้าทำผมที่ดูเหมาะเจาะลงตัวไปเสียหมด เมษถึงกับบอกตัวเองว่าเด็กพวกนี้พร้อมแล้วจริงๆ

“ทำไมทำหน้าไม่สบายกันอย่างนั้นล่ะ” เธอเอ่ยปากแซวเมื่อเดินเข้ามาใกล้ๆ

“วันนี้พี่เมษดูดีจังครับ” ซันเอ่ยชมออกมาตามใจนึก

“พี่ก็ได้แค่นี้แหละน้องเอ๊ยยย...” เธอว่าอย่างนึกขัน “ว่าแต่พวกเราเถอะ” เมษทรุดตัวลงนั่งลงบนเก้าอี้ที่ยังว่างอยู่ “พี่รู้ว่าพวกเราตื่นเต้น”

ทุกคนโดยเฉพาะซัน ชุน และแม็ก พร้อมใจกันพยักหน้ารับโดยไม่ได้นัดหมายกันอย่างพร้อมเพรียง

“ทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเหมือนตอนซ้อม แค่นั้นก็พอ” เธอว่าอย่างหนักแน่น “พวกเราน่ะพร้อมกันแล้วจริงๆ เห็นเท่านี้พี่ก็รู้แล้ว”

“ผมรู้สึกเหมือนฟันโยก เหมือนฟันจะหลุดออกมาเลยครับพี่” ซันยอมรับออกมาในที่สุด ก็ตื่นเต้นทีไรเป็นอย่างนี้ทุกที

“ผมเข้าห้องน้ำมาสามหนแล้ว” ชุนว่าเสียงอ่อย

“ผมกินอะไรไม่ลงเลย” เท่านั้นแหละ เรียกเสียงฮาครืนออกมาได้ทันที เมื่อไหร่ที่น้องเล็กของวงที่รักการกินเสียยิ่งกว่าอะไรในโลกออกปากว่ากินไม่ลง ก็แปลว่าอาการต้องหนักหนาเอาการทีเดียว

“สองคนนี่ล่ะ” เมษหันไปถามโยกับเจบ้าง

“ผมกังวลก็แค่ที่ขาน่ะครับ แปลกดีนะ ตอนซ้อมไม่รู้สึกอะไร แต่พอวันจริงมันกลับอดนึกกังวลขึ้นมาไม่ได้” เจสารภาพ

“ผมก็ต้องยอมรับเหมือนกันครับว่าตื่นเต้นมาก” แม้แต่หัวหน้าวงก็ยังไม่อาจจะปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงได้เช่นกัน

เมษยิ้มออกมาอีกครั้ง

“ตื่นเต้นได้ เพราะวันนี้มันวันสำคัญ แต่ก็ต้องบอกตัวเองนะว่าเวทีวันนี้เป็นของพวกเรา ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ขึ้นไปร้องเพลง เต้น พูดคุย ใช้สิ่งที่มีอยู่ให้เต็มที่ เชื่อสิ... พวกเราเอาอยู่แน่ๆ” เมษหยุดมองหน้าแต่ละคน ก่อนจะเอ่ยต่อ “นี่พี่ไม่ได้จะพูดให้พวกเรากลัวนะ แต่วันนี้นักข่าวมากันเยอะมาก มากกว่าครั้งไหนที่เราเคยจัดงานแถลงข่าวกันเลยก็ว่าได้ เพราะพวกเขาอยากรู้ว่า คนที่ร้องเพลงที่ขึ้นไปติดชาร์ตทั่วบ้านทั่วเมืองนานตั้งสองสามเดือนเป็นใคร”

เธอยกมือขึ้นตบบ่าโยเบาๆ

“พวกเขามารอเจอพวกเราเลยนะ เพราะฉะนั้นนี่คือโอกาสที่เราจะแสดงให้เขาเห็นว่าเราเป็นใคร เก่งแค่ไหน น่าเชียร์ขนาดไหน”

เด็กหนุ่มทุกคนหันหน้าไปมองกันและกัน

“ขึ้นไปทำให้พวกเขาได้รู้กันไปเลย นะ”

สายตาของเด็กหนุ่มพร้อมใจกันจับจ้องไปที่ผู้จัดการของวงที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเขามาโดยตลอด

“อีกยี่สิบนาที เขาจะมาเรียกให้เราไปสแตนด์บาย พวกเราพร้อมไหม”

“พร้อมครับ” เด็กหนุ่มทั้งห้าคนตอบออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันด้วยความรู้สึกมุ่งมั่นที่มีมากกว่าครั้งไหน

**************************

อีกห้านาทีเท่านั้น

เจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ปล่อยคิวส่งสัญญาณมือให้พวกเขารอต่อไปอีกหน่อยเมื่อพิธีกรบนเวทีปล่อยคิววีทีอาร์แนะนำเด็กหนุ่มหน้าใหม่ห้าคนในนาม God’s Childs ที่น่าจะกินความยาวไม่เกินห้านาที เสียงฮือฮาดังขึ้นจากที่นั่งคนดูที่กว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เป็นนักข่าว เพราะวันนี้เป็นการแถลงข่าวภายใน อีกไม่นานต่อจากนี้พวกเขาจึงจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการให้กับกลุ่มแฟนเพลงเสียที

หัวหน้าวงหันมามองหน้าสมาชิกในวงแต่ละคน เขากางแขนออก ทุกคนทำอย่างเดียวกันก่อนจะรวบวงแขนกอดกันเอาไว้อย่างหนักแน่น

“เราจะแสดงให้พวกเขาเห็นนะว่าพวกเราแน่จริง เจ๋งจริง” เขาว่า “เวทีเป็นของเรา ไม่มีใครเอามันไปจากเราได้ ทำอย่างที่ซ้อมทุกอย่าง ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น พวกเรามีกันและกันอยู่แล้ว โอเคไหม” ทุกคนพร้อมใจกันพยักหน้า ความมั่นใจ ความฮึกเหิมก่อตัวขึ้นอย่างรู้สึกได้ชัดเจน

โยยื่นมือออกไป เจวางมือของตัวทับลงข้างบน ต่อด้วยซัน ชุนและแม็ก ถ้าเป็นปกติพวกเขาต้องตะโกนชื่อวงออกมาให้สะใจไปแล้ว แต่ขณะที่ข้างนอกนั่นยังมีเสียงพิธีกร และมีบรรดานักข่าวที่ตั้งอกตั้งใจรอดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นบนเวทีต่อไปแบบนี้ คงไม่เหมาะนัก จึงทำได้เพียงแต่พร้อมใจกันกดมือลงไปอย่างพร้อมเพรียงและปล่อยออกจากกัน พลางตบไหล่ตบหลังให้กำลังใจกันอย่างเต็มที่

โยจับมือเจกระชับเอาไว้แน่น ก่อนจะดึงร่างนั้นเข้าไปกอดเป็นคนสุดท้าย ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั้งร่าง ทั้งคู่ตบไปที่หลังของอีกฝ่ายเบาๆก่อนจะกระชับกอดให้แน่นอีกครั้งและคลายมือออก สายตาทั้งห้าคู่หันไปจับจ้องอยู่บนเวที

พวกเขาพร้อมแล้ว

“ขอเชิญพบกับพวกเขา” เสียงพิธีกรบนเวทีพูดอย่างเร้าใจ

“God’s Childs!!!”
______________________ END _______________________

จบไปแล้วค่ะ สำหรับ Beats of Life

แต่อย่างที่ได้บอกไปตั้งแต่คราวที่แล้ว หลังจากนี้ต่อไป จะมีไซด์โปรเจ็กต์ของ Beats of Life ซึ่งถือเป็นเรื่องสั้นจบในตอนมาลงให้อ่านแทน ซึ่งก็หนีไม่พ้นเรื่องราวของน้องๆทั้งห้าคนนี่แหละค่ะ โดยตัวละครหลักก็จะยังคงเป็น โย และ เจ เช่นเคย รับรองว่าได้หายคิดถึงกันแน่นอน แล้วก็คงจะเอาลงต่อกระทู้นี้ไปเลยจนกว่าจะหมดสต๊อกกันไป ย้ำอีกครั้งนะคะว่า ไซด์โปรเจ็กต์ที่เป็นเรื่องสั้นตอนพิเศษนี้ เป็นการเขียนเชิงทดลอง หรือพูดอีกอย่างก็คือ เป็นการเขียนแบบเอาแต่ใจตัวเองของคนเขียน ที่คิดอะไรได้ก็เขียนขึ้นมา แต่ทุกตอนจะเน้นไปที่ความสัมพันธ์ของน้องๆในวงให้ชัดเจนขึ้นมากกว่านิยายเรื่องยาวนะคะ เคยเอาให้เพื่อนพ้องน้องพี่หลายคนอ่าน ก็เห็นชอบกัน ก็เลยขอตีขลุมเอาเองว่า แฟนโยเจในนี้ก็น่าจะชอบเหมือนกัน

ก็ยังหวังให้ทุกคนติดตามอ่านกันต่อไปนะคะ ขอบคุณเหลือเกินที่ติดตามอ่าน อีกทั้งยังดูเหมือนจะได้เผื่อแผ่ความรักให้กับโยและเจกันชนิดท่วมท้นจริงๆ จนกว่าจะลงตอนพิเศษจนครบ ถึงตอนนั้นจะแจ้งรายละเอียดเรื่องการรวมเล่มให้ทราบอีกครั้งนะคะ

ขอบคุณมากค่ะ

ออฟไลน์ NumPing

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2
จบลงได้อย่างน่าประทับใจ วันที่ฝันเป็นจริง

ยินดีด้วยนะ God's childs

ขอบคุณผู้เขียนมากนะคะ สำหรับเรื่องราวดี ๆ นี้

รอติดตามตอนพิเศษอย่างใจจดใจจ่อค่ะ
 :L2:

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
ประทับใจมากมาย สำหรับมิตรภาพของเด็กๆ (พูดยังกะคนแก่ :o8:)
ขอบคุณไรเตอร์นะคร้า ที่แต่งเรื่องดีๆอย่างนี้ให้อ่าน
จะรออ่านไซด์โปรเจ็กต์ต่อนะคร้า :L2:

MaeMoo

  • บุคคลทั่วไป
สวัสดีค่ะ คุณนิ้วไขว้

จบแล้วเหรอ...
รู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในงานแถลงข่าว วง God's Childs
ได้พบกับห้าหนุ่ม และเพลงฮิตติดชาร์ต พร้อมท่าเต้นสุดมันส์

เว่อร์ไปแล้วชั้น.......อินจัด อิอิ

ขอบคุณนะคะคุณนิ้วไขว้ ที่ทำให้เจผ่านเรื่องร้ายๆมาได้
จนได้ในสิ่งที่เจต้องการมาโดยตลอด ชื่นใจจัง

ไซด์โปรเจกต์จะมาเมื่อไรเอ่ย
เมื่อวานก็หยิบเพลงรักมาอ่านอีกรอบ คิดถึงอ่ะ...

รอเรื่องรวมเล่มด้วยนะคะ

มีความสุขมากๆในทุกวันนะคะ



OhJa

  • บุคคลทั่วไป
จบลงแบบสวยงาม ประทับใจ  o13

รออ่านตอนต่อนะคะ

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
ตอนพิเศษ 1: ป่วย

แม้อยากจะเอนกายลงนอนกับเก้าอี้ยาวตัวนุ่มที่นั่งอยู่นี้สักแค่ไหนก็ทำไม่ได้ เพราะอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าพวกเขาจะต้องอัดรายการต่อแล้ว

มือเรียวยาวแข็งแรงข้างหนึ่งของเขายกกระดาษแผ่นหนึ่งที่ละลานตาไปด้วยตัวหนังสือเล็กๆที่อัดกันแน่นอยู่ในแต่ละบรรทัด แม้จะลายหูลายตาจนน่าเวียนหัว แต่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าวงอย่างเขา มีหรือจะจดจำรายละเอียดบนกระดาษแผ่นที่เขายกขึ้นดูซ้ำแล้วซ้ำอีกมาตั้งแต่เช้าไม่ได้
   
ก็มันตารางการทำงานที่แน่นเอี้ยดของพวกเขาเองนี่นา
   
โชคดีที่รายการนี้จะเป็นงานสุดท้ายของวันที่ลากยาวมาจนถึงตอนค่ำแบบนี้ แต่โชคร้ายก็คือ
   
อาการป่วยของเขานี่สิ
   
อันที่จริงไอ้อาการหวัดอย่างไอ หรือคัดจมูกแบบนี้ ถือว่าเป็นอาการป่วยเล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้นเป็นปกติของสมาชิกวง God’s Childs ไปแล้ว เพราะพวกเขาทั้งทำงานหนัก ทั้งพักผ่อนน้อย แถมยังกินนอนไม่เป็นเวลา อีกต่างหาก ร่างกายต่อให้แข็งแรงแค่ไหน ลองได้โหมทำงานหนักจนแทบไม่ได้หยุดพักขนาดนี้ มีหรือจะทนไหว ก็ต้องล้มป่วยลงจนได้นั่นแหละ
   
แต่ป่วยหนักขนาดนี้มันก็อีกเรื่องหนึ่ง
   
ที่จริงตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเมื่อเช้า เขาก็เริ่มรู้สึกแล้วว่าท่าทางจะไม่ค่อยดีเสียแล้ว อาการครั่นเนื้อครั่นตัวที่จู่โจมเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัวนั่นทำให้รู้ได้ทันทีว่า คราวนี้คงไม่ใช่แค่ป่วยธรรมดาแน่นอน แต่เพราะตารางการทำงานที่แน่นเหลือเกิน ทำให้ไม่ว่าอย่างไรก็คงจะหยุดไม่ได้จริงๆ ถึงได้กลั้นใจฝืนร่างกายตัวเองออกมาทำงานจนได้
   
นี่ถ้าคนคนนั้นรู้ว่าเขาป่วยแล้วปิดปากไม่ยอมบอก แล้วยังฝืนทำอะไรเกินตัวอีก เขาคงโดนโวยชุดใหญ่แน่ๆ ดีไม่ดีจะโดนงอนไม่ยอมพูดด้วยไปอีกหลายวันเป็นของแถมด้วย ใครจะรู้บ้างว่าหนึ่งในนักร้องนำของวงบอยแบนด์ที่โด่งดังที่สุด คนที่ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายก็ต้องอิจฉาในใบหน้าที่งดงามเกินผู้หญิง และบุคลิกท่าทางที่สง่างามกว่าผู้ชายหลายๆคน บวกกับความสามารถในการร้องเพลงที่ไม่เป็นรองใครคนนั้น จะเป็นคนแสนงอนและขี้ใจน้อยขนาดนี้กันเล่า

ที่สำคัญ คนคนนั้นเป็นคนพิเศษเพียงคนเดียว ที่เขายอมให้ได้ทุกอย่างแม้จะรู้ดีกว่าอีกฝ่ายติดจะเอาแต่ใจตัวเองไปบ้างก็ตาม

ลมหายใจดูเหมือนจะร้อนขึ้นจนรู้สึกได้ และถ้าจะให้สารภาพตามตรงตอนนี้เลยล่ะก็ แม้แต่ดวงตาทั้งคู่ก็ยังรู้สึกพร่าพรายเต็มที เขาอยากจะล้มตัวลงนอนใจแทบขาดอยู่แล้ว

“พี่โย... ข้าวกล่องมาแล้วพี่” น้องคนเล็กของวงเดินนำพี่ชายอีกสองคนเข้ามาพร้อมถุงใส่ข้าวกล่องในมือ ซึ่งก็คืออาหารมื้อเย็นของพวกเขานั่นล่ะ ใครที่ไม่รู้ก็มักจะคิดว่านักร้องดังอย่างพวกเขาคงจะได้กินแต่อาหารดีๆทุกมื้อ หารู้ไม่ว่า ด้วยตารางการทำงานที่แน่นเอี้ยด บวกกับเวลาว่างที่มีอยู่เพียงน้อยนิด พวกเขาก็ได้ข้าวกล่องหน้าตาธรรมดาอย่างที่เห็นนี่ล่ะเป็นตัวช่วย นานๆทีหรอกถึงจะมีเวลาได้ออกไปหาอะไรทานกันสักหน แต่ส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะทานอะไรกันที่บ้านมากกว่าด้วยซ้ำ

“เอาวางไว้ตรงโต๊ะนั่นแหละ พวกนายกินกันได้เลย” เขาเสลุกขึ้นไปนั่งอยู่ตรงหน้ากระจกบานใหญ่ ที่มีเก้าอี้วางเรียงกันหลายตัว หลักๆก็คือมันเป็นที่สำหรับให้ดารานักร้องที่มาร่วมรายการอย่างพวกเขามานั่งแต่งหน้าทำผมนั่นเอง มือข้างหนึ่งถือปากกาเอาไว้ โดยทำท่าราวกับว่าสนใจอะไรบางอย่างในกระดาษที่วางอยู่ตรงหน้าอย่างเป็นจริงเป็นจังเสียเต็มประดา
   
เด็กหนุ่มอีกสามคนตั้งหน้าตั้งตากินพร้อมกับพูดคุยกันอย่างออกรส จนกระทั่งจัดการกับข้าวกล่องตรงหน้าจนหมดแล้วนั่นแหละ แม็ก น้องเล็กของวงถึงได้ออกปากถามพี่ใหญ่หัวหน้าวงในที่สุด

“พี่ไม่หิวเหรอ”

“ยังไม่หิวหรอก” จะบอกได้ยังไงว่าตอนนี้เขากินอะไรไม่ลง ปากคอมันขมไปหมด อย่าว่าแต่จะกินเลย แค่อ่านตัวหนังสือในกระดาษแผ่นเดียวนี่ ยังจะไม่ไหวเอา ที่ต้องแยกตัวออกไปนั่งคนเดียวก็เพราะกลัวน้องๆในวงจะผิดสังเกตนี่แหละ “ว่าแต่...” เขาเพิ่งจะนึกเอะใจขึ้นมา

“เจ ไปไหน ทำไมไม่มากินด้วยกันล่ะ”
   
“ไม่รู้เหมือนกัน ผมเห็นพี่เจเดินไปคุยอะไรกับพี่เมษก็ไม่รู้” ซันหมายถึงผู้จัดการคู่บุญของวงที่คอยดูแลพวกเขามาตั้งแต่ก่อนจะเป็นนักร้องชื่อดัง
   
“ว่าแต่พี่โยไม่กินจริงๆเหรอ” น้ำเสียงแบบนั้น ไม่ต้องพูดต่อ เขาก็รู้ว่าคนถามหมายถึงอะไร ถึงจะเป็นน้องเล็กของวงแต่ก็สูงกว่าพี่ๆ แถมยังกินเก่งจนอดสงสัยไม่ได้ว่า ในท้องของเจ้าน้องเล็กนั่นเป็นหลุมดำหรืออย่างไรกันแน่
   
“ถ้าไม่อิ่ม พวกนายก็กินส่วนของพี่ไปเลย เดี๋ยวพี่ไปหาอะไรกินที่บ้านก็ได้”
   
“แน่ใจนะพี่” ชุนถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
   
เมื่อหัวหน้าวงพยักหน้ายืนยันเท่านั้น ข้าวกล่องส่วนของเขาก็ถูกน้องๆสามคนร่วมใจสามัคคีกันจัดการเสียจนเรียบวุธ
   
กระทั่งเจ พี่ใหญ่หน้าหวานอีกคนของวงเดินเข้ามาในห้องพักก่อนจะเรียกให้สมาชิกในวงออกไปเตรียมอัดรายการในสตูดิโอ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า โยจึงรู้สึกเหมือนสายตาคมสวยคู่นั้นเหลือบมองมาที่เขาแว่บหนึ่ง ก่อนจะออกปากเตือนไม่ให้น้องแต่ละคนลืมตรวจความเรียบร้อยของเสื้อผ้าและข้าวของในห้องเสียก่อนตามประสาคนเจ้าระเบียบ
   
น้องๆออกไปแล้ว แต่คนที่เข้ามาเรียกกลับยังยืนนิ่งอยู่ตรงประตูที่ปิดสนิท ทำไมเจไม่ตามน้องๆออกไปนะ เขานึกสงสัย อดทนแสร้งทำเป็นไม่สนใจได้ไม่นาน ในที่สุดหัวหน้าวงที่นั่งอยู่หน้ากระจกก็ยอมวางปากกาในมือลง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างอ่อนแรง ก่อนจะเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนเพลียไม่ปิดบัง
   
“ทำไมนายไม่ตามน้องๆไปล่ะ”
   
“ก็แล้วทำไมนายไม่ลุกออกไปพร้อมกัน” เจยังคงกอดอกถามอยู่อย่างนั้น
   
“ขอเราดูอะไรแป๊ปนึง เดี๋ยวตามออกไป นะ” หางเสียงของเขาแผ่วเบาเสียจนรู้สึกได้
   
เจนิ่วหน้า ไม่ยิ้ม ไม่แสดงอารมณ์อันใดออกมา ก่อนที่จะคลายมือที่กอดอกลง แล้วจึงล้วงกระเป๋าหยิบอะไรบางอย่างออกมา คนหน้าสวยส่ายศีรษะเบาๆอย่างไม่สู้จะชอบใจนัก เด็กหนุ่มเดินไปหยิบแก้วที่วางเอาไว้ใกล้ๆพร้อมกับรินน้ำจากขวดที่วางอยู่ข้างกันนั้นลงไป
   
เขาเดินถือแก้วน้ำเอาไว้ในมือตรงไปยังเด็กหนุ่มร่างสูงอีกคนที่ยังคงปักหลักนั่งอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับตัวไปไหน ก่อนจะวางแก้วลงบนโต๊ะ มือข้างหนึ่งจับมือที่ร้อนรุ่มจนน่าเป็นห่วงขึ้นไว้ แบออก ก่อนจะหย่อนอะไรบางอย่างที่กำเอาไว้ลงในมือเรียวยาวข้างนั้น
   
ยาสองเม็ด
   
“กินซะ พอให้มันประทังไปได้จนจบรายการ แล้วค่อยกลับไปนอนที่บ้าน” เสียงนั้นเอ่ยออกมานิ่งๆ ไม่แสดงว่าโกรธหรือไม่พอใจอะไร แบบนี้ล่ะ น่ากลัวเสียยิ่งกว่าตอนที่เจ้าตัวโวยวายอะไรออกมาเสียอีก
   
“เจ...” หัวหน้าวงครางออกมาอย่างยอมจำนน
   
“ไม่ต้องพูดอะไร เราไปขอยาจากพี่เมษมาให้เมื่อกี้ รู้อยู่แล้วว่านายคงไม่สบาย” ไม่รู้ทำไม คำพูดที่แสนจะธรรมดาแค่นี้ กลับทำให้เขารู้สึกเต็มตื้นเหลือเกิน เขาพยายามไม่บอกใคร รวมทั้งไม่แสดงออกให้ใครเห็นว่าป่วย แต่เจกลับรู้ โดยที่เขาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาสักคำด้วยซ้ำ
   
“กินยาซะ” เสียงนั้นสั่งแฝงแววเด็ดขาดในที
   
โยโยนยาเข้าปากง่ายๆก่อนจะกลืนน้ำตามลงไปอย่างยากลำบาก กว่าจะทันได้ตั้งตัวก็รู้สึกถึงอุ้งมืออุ่นๆจับหน้าผากของเขาค้างนิ่งเอาไว้อยู่เป็นนาน
   
“ตัวร้อนจี๋เลย” เจนิ่วหน้า “ไหวไหม”
   
คนป่วยพยักหน้า
   
“หนาวหรือเปล่า”
   
“นิดหน่อย แต่ทนได้”
   
“งั้นไปกัน” เจยื่นมือออกมาจับมือของหัวหน้าวงที่ยื่นส่งมากระชับไว้แน่น ก่อนจะดึงร่างสูงใหญ่นั้นให้ลุกขึ้นยืนทรงตัวได้อย่างมั่นคง และทำท่าจะเดินผละออกไป
   
“เดี๋ยวก่อนเจ” ร่างขาวๆตกใจกับไออุ่นร้อนๆของร่างที่โอบกอดเขาเอาไว้อย่างไม่ทันได้รู้เนื้อรู้ตัว “ขออยู่อย่างนี้แป๊ปนึงนะ”
   
ดวงตากลมโตคู่สวยเบิกกว้าง ก่อนจะลดความแข็งขืนของร่างกายที่เกิดจากความไม่พอใจที่สะสมอยู่เงียบๆมาตลอดทั้งวันลง พร้อมกับโอบแขนกอดตอบร่างนั้น เขาลูบหลังคนตัวสูงเอาไว้ ราวกับจะปลอบประโลมว่าให้ทนต่อไปอีกสักนิด อีกสักประเดี๋ยวก็จะได้พักแล้ว
   
“ขอโทษนะ ที่ทำให้เป็นห่วง” เสียงทุ้มอ่อนแรงนั้นเอ่ยขึ้นในที่สุด
   
“ไม่เป็นไร” เจตอบกลับไปอย่างอ่อนโยนทั้งที่ก่อนหน้านั้นยังรู้สึกโกรธคนตรงหน้านี้อยู่แท้ๆ “ค่อยกลับไปคุยกันที่บ้านนะ” เด็กหนุ่มรู้สึกถึงศีรษะที่พยักหงึกหงักทั้งที่ยังไม่ยอมคลายมือออกจากตัวเขา ก่อนจะผละออกจากกันและเดินออกไปเตรียมตัวอัดรายการสุดท้ายของวันนี้เสียที

************************
   
“โย...” เสียงเรียกชื่อเขาเหมือนเสียงที่ดังแว่วมาแต่ไกล แต่เมื่อตั้งสติได้ ถึงได้รู้ว่ามันดังอยู่ข้างๆหูเขานี่เอง “ลุกขึ้นไหวไหม”
   
ร่างสูงใหญ่ที่นอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟาเนื้อนุ่มค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างยากลำบาก โดยมีร่างที่แสนคุ้นเคยนั่งอยู่ข้างๆและปลุกเขาอย่างอ่อนโยนด้วยสีหน้าเป็นกังวล
   
อา... ใช่สิ หลังจากที่เขาอัดรายการเสร็จแล้ว ก็พาร่างอันอ่อนแรงกลับมานอนในห้องนี้ชนิดหมดสภาพอย่างสมบูรณ์แบบ แล้วก็หลับเป็นตายไปเลยแม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม
   
“ไข้กลับมาอีกแล้ว” มือนุ่มๆข้างหนึ่งสัมผัสกับหน้าผากคนป่วยก่อนจะลูบลงมาที่แก้มร้อนอย่างเบามือ “ฝืนลุกหน่อยนะ เราจะกลับบ้านกันแล้ว” น้ำเสียงนั้นเจือความห่วงใยไม่ปิดบัง
   
“พวกนายมาช่วยพี่หน่อย” ตอนนั้นเองหัวหน้าวงจึงได้รู้ว่า สมาชิกในวงคนอื่นๆก็อยู่ในห้องนี้ด้วยชนิดพร้อมหน้าพร้อมตา ทุกคนมีสีหน้าไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อได้เห็นสภาพของหัวหน้าวงในตอนนี้แบบที่ไม่ค่อยจะได้เห็นกันบ่อยนัก
   
ชุนเข้ามาประคองพี่ใหญ่ของวงให้ลุกขึ้น โดยมีพี่ใหญ่อีกคนประคองอยู่อีกด้านหนึ่ง
   
“พี่ไม่เป็นไรชุน ไปช่วยซันกับแม็กถือของก็ได้” เสียงทุ้มของหัวหน้าวงเอ่ยขึ้น ชุนหันไปมองหน้าพี่เจราวกับจะรอคำอนุญาต และผละไปช่วยสมาชิกอีกสองคนหยิบจับข้าวของที่วางกองอยู่หลังจากที่เจพยักหน้าให้ครั้งหนึ่ง
   
“ไปหาหมอดีไหม” เจถาม
   
“เราไม่ได้เป็นหนักขนาดนั้นหรอก” ฝ่ายที่กำลังประคองเขาอยู่เงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่อยากเชื่อในคำพูดนั้นสักเท่าไหร่ “จริงๆ เป็นไข้อย่างนี้ มันคิดแต่อยากจะนอนอย่างเดียวเลย”
   
“แน่ใจนะ”
   
“ถ้านอนแล้วไม่หาย จะยอมไปหาหมอเลยเอ้า”
   
เจยิ้มน้อยๆออกมาเป็นครั้งแรก ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
   
“ชอบหาว่าเราดื้อ นายเองก็ไม่เบาหรอก”
   
ทั้งคู่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก แต่แขนแข็งแรงข้างหนึ่งของเจคอยพยุงร่างของโยเอาไว้อย่างมั่นคง โดยที่ตัวคนป่วยเองก็ไม่ยอมคลายมือข้างหนึ่งที่จับยึดคนข้างๆเอาไว้เลยเหมือนกัน

*******************************

เสียงกึงกังที่ดังอยู่ในห้องครัว เรียกความสนใจจากน้องอีกสามคนที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น ให้นึกสงสัยว่า พี่เจกำลังง่วนทำอะไรอยู่ในนั้น ในขณะที่พี่ใหญ่หัวหน้าวงเปลี่ยนเสื้อผ้าและนอนหลับพักผ่อนไปแล้วอยู่ในห้องนอนนั่นเอง
   
ทุกคนละสายตาจากรายการโทรทัศน์ที่วันนี้เห็นได้ชัดว่าเปิดเสียงเบากว่าปกติ น่าจะเพราะเกรงใจคนป่วยที่นอนซมอยู่อีกห้อง เมื่อเห็นร่างขาวๆของพี่ชายอีกคนเดินออกมาจากห้องครัว
   
“พี่เจทำอะไรหอมฉุยเลย” แม็ก ที่ประสาทรับรู้เรื่องอาหารการกินนั้นอยู่ในระดับเหนือมนุษย์ทั่วไป เอ่ยปากถามอย่างใคร่รู้ ก็กลิ่นหอมที่โชยมากจากในครัวมันกระตุ้นน้ำย่อยในกระเพาะเสียนี่กระไร ทั้งที่เมื่อตอนเย็นก็ซัดเข้าไปแล้วชนิดไม่ยั้งแท้ๆ
   
“ซุป” เจเอ่ยเสียงเย็น “ของโย” ก่อนจะกราดสายตามองน้องที่นั่งหน้าสลอนอยู่อย่างรู้ทัน
   
“เพราะฉะนั้นพวกนายห้ามแตะ”
   
“โห... พี่เจ ผมก็น้องพี่นะ” เสียงประท้วงที่ไม่สู้จะหนักแน่นนักเอ่ยออกมาจากปากของซัน
   
“ข้อแรก พวกนายไม่ได้ป่วย ข้อสองโยยังไม่ได้ทานอะไร และข้อสาม…” เจชูนิ้วขึ้นสามนิ้ว ก่อนจะหยุดมองหน้าน้องๆแต่ละคนเรียงตัวอย่างคาดโทษ “ใครใช้ให้พวกนายกินข้าวส่วนของโยเมื่อตอนเย็น”
   
“โหยยย... ก็พี่โยบอกว่าไม่กินเองอ่ะพี่ แล้วก็เลยยกให้พวกผมกิน จะทิ้งไว้ก็น่าเสียดาย ใช่ไหม...” หางเสียงเจ้าน้องเล็กอ่อยลงไปทันทีที่เห็นพี่ใหญ่ยืนเท้าเอวมองมาอย่างเอาเรื่อง
   
“ไม่ต้องมาโอดครวญ เอาเป็นว่า ซุปที่อยู่ในครัวไม่ใช่ของพวกนาย ถ้าไม่อยากตายห้ามแตะ” น้ำเสียงเด็ดขาดพอๆกับดวงตาคู่สวยที่ในตอนนี้ดูน่ากลัวเป็นบ้า “พี่จะเข้าไปดูโยในห้อง” ก่อนจะหันมาสำทับว่า “ถ้าไม่อยากแก่ตายจะลองดูก็ยังได้นะ”
   
ทั้งสามชีวิตหันไปมองหน้ากันอย่างสิ้นหวัง แม้น้องเล็กอย่างเจ้าแม็กจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับพี่เจเป็นประจำ แต่ลองพี่ชายหน้าสวยของเขาได้ลั่นวาจาสิทธิ์ออกมาแบบนี้ มีหรือเขาจะกล้าเอาชีวิตเข้าเสี่ยง อย่างเก่งก็ทำได้แค่เดินเข้าไปในครัว เปิดฝาชามซุปที่ส่งกลิ่นหอมฉุยยั่วใจ แล้วก็สูดกลิ่นนั้นเข้าไปให้เต็มปอด ก่อนจะค่อยๆปิดคืนให้ด้วยความรู้สึกเสียดาย แต่ก็คงไม่เสียดายมากเท่ากับชีวิตเล็กๆของตัวเอง
   
พี่เจนะพี่เจ ไม่เห็นต้องใจร้ายกับน้องแบบนี้เลย
   
แล้วจึงเดินลากเท้าคอตกออกไปจากห้องครัว โดยไม่อาจจะทำอะไรได้มากกว่านั้น

**************************

ผ้าขนหนูผืนใหม่ถูกนำมาวางไว้บนหน้าผากของคนป่วยแทนที่ผืนเก่าที่อุ่นจนเกือบร้อน แม้คนป่วยจะมีสีหน้าสบายขึ้นมากกว่าที่เห็นเมื่อตอนค่ำ แต่ก็ยังไว้ใจอะไรไม่ได้ นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่เห็นโยนอนป่วยจนหมดสภาพแบบนี้ คนที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็แข็งแรงอยู่เสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะคอยเป็นธุระจัดการดูแลสมาชิกทุกคนในวงมาโดยตลอด และไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะคอยอยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลา แต่ตอนนี้กลับต้องมานอนซมเพราะพิษไข้ไปเสียแล้ว
   
เขานึกเอะใจมาตั้งแต่เช้าแล้วว่า โยดูผิดปกติไปจากเดิม ไม่ร่าเริง ไม่แจ่มใส หรือช่างพูดชวนคุยเหมือนอย่างเคย แถมสีหน้าก็ดูไม่ดีเอาเสียเลย ยิ่งเวลาเขาเดินเข้าไปใกล้แล้วเจ้าตัวทำท่าเดินเลี่ยงออกไปก็ยิ่งผิดสังเกต จนกระทั่งตอนนั่งรถไปด้วยกันนั่นแหละ ไม่ต้องแตะตัวก็รู้แล้วว่า โยต้องไม่สบายแน่ๆ ไหนจะไอร้อนที่แผ่ออกมาขนาดนั้น บวกกับท่าทางที่ไร้เรี่ยวแรงผิดปกตินั่นอีก แต่จนแล้วจนรอดโยก็ไม่ยอมปริปากบอกเขาสักคำ
   
บอกตามตรงว่ามันทำให้เขาหงุดหงิดเป็นบ้า ทำอย่างกับว่าเขาพึ่งพาอะไรไม่ได้เลย แม้จะนึกเป็นห่วงเหลือเกิน แต่ด้วยเพราะความโกรธที่กรุ่นอยู่ลึกๆ จึงทำให้เกิดทิฐิ และนึกต่อต้านเจ้าคนป่วยหัวดื้อขึ้นเงียบๆในใจ แต่ท้ายที่สุด ด้วยความที่อดเป็นห่วงไม่ได้นั่นแหละ เขาจึงต้องเดินเข้าไปบอกพี่เมษ ผู้จัดการวง ว่าโยอาการไม่ค่อยดีนัก ก่อนจะถามหายาเผื่อว่าจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยให้กับหัวหน้าวงลงได้สักนิด อย่างน้อยก็ขอให้พอมีแรงอัดรายการต่อได้จนจบก็ยังดี
   
สุดท้ายก็ไม่พ้นต้องเป็นเขานี่เองที่คอยเป็นธุระจัดการเรื่องหยูกยาและอาหารให้
   
เราจะโกรธนายได้สักแค่ไหนกันเชียวนะ
   
เขารำพึงขึ้นในใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืนชั่งใจว่าจะเดินไปเอาถ้วยซุปมาให้คนป่วยทานตอนนี้เลยดีไหม เพราะเจ้าตัวยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่ตอนเย็น แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาออกไป บุรุษพยาบาลจำเป็นก็สัมผัสถึงแรงกระชับที่กรุ่นไปด้วยไอร้อนของพิษไข้จากอุ้งมือที่จับมือของเขาเอาไว้
   
“จะไปแล้วเหรอ” คนป่วยถามออกมาด้วยเสียงแหบโหย “อยู่ด้วยกันก่อนได้ไหม”
   
ร่างที่ยืนอยู่เต็มความสูงทรุดตัวลงนั่งทันทีแบบไม่ต้องคิดอะไรอีก ก่อนจะสอดมือของคนป่วยคืนเข้าไปใต้ผ้าห่ม
   
“ถ้าอยากให้อยู่ ก็จะอยู่ด้วย” เจว่าสั้นๆ พร้อมกับคลี่ยิ้มอ่อนหวานให้กับคนป่วย จนคนที่นอนซมอยู่อดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าจะป่วยหนักขึ้นก็เพราะยิ้มแบบนี้แหละ
   
“เจ... เราขอโทษ”
   
“ทำไมไม่บอกกันบ้างว่าป่วย”
   
“ไม่อยากให้ห่วง”   
   
ใบหน้าหวานที่เขาชอบมองนักหนาก้มต่ำลงมาหาเขาก่อนจะเท้าคางลงบนแขนที่ซ้อนทับกันไว้ข้างๆหมอนของคนป่วยนั่นเอง
   
“นายห่วงเราเป็นแค่คนเดียวเหรอโย” คำถามนั้นทำเอาเขาพูดไม่ออก “เราเองก็อยากจะดูแลนายบ้างเหมือนกันเวลาที่นายต้องการใครซักคนน่ะ” ดวงตากลมโตคู่นั้นหรุบต่ำลง
   
“นึกไปมันก็น่าน้อยใจนะ” เจยังตัดพ้อต่อไม่หยุด “ไอ้เราก็คิดว่าตัวเองน่าจะพอเป็นที่พึ่งพาได้บ้าง แต่สงสัยจะสำคัญตัวเองผิดไปหน่อย”
   
“พอเถอะน่า... นะ...” คนป่วยพูดอย่างอ่อนแรงแต่ก็ยังไม่วายแฝงแววขบขันระคนยอมแพ้ในน้ำเสียง “เรายอมนายแล้ว... ขอโทษ วันหลังถ้ามีอะไรจะบอก จะไม่เก็บเอาไว้คนเดียวอีกแล้ว”
   
“แน่ใจ?”
   
“แน่ใจ”
   
“สัญญา?”
   
“สัญญา”
   
ใบหน้าหวานนั้นยิ้มออกมาในที่สุด
   
“ดีมาก”
   
“จะไปไหน?” คนป่วยระล่ำระลักถามเมื่อเห็นคนข้างๆทำท่าจะลุกขึ้นผละไป
   
“ไปเอาซุปมาให้กิน นายตื่นแล้วนี่ จะได้มีแรงไง” น้ำเสียงแหบหวานนั้นมีแววล้อ
   
“แล้วไป...”
   
“กลัวโดนทิ้งหรือไง คนป่วย”
   
“กลัว” ร่างสูงใหญ่สารภาพออกมาตรงๆ เหมือนเด็กที่กลัวการถูกทิ้งอย่างเป็นจริงเป็นจัง เรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากคนที่เป็นต่อกว่าอยู่หลายขุมออกมา
   
“ใครจะกล้าทิ้งนายกัน เดี๋ยวมานะ”
   
คงจะเป็นครั้งแรกล่ะมังที่การเป็นคนป่วยจะทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและชื่นใจได้ถึงเพียงนี้
   
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาการไข้ หรือเพราะคนที่กำลังเดินเปิดประตูออกไปกันแน่ ที่ทำเอาเขาเพ้อมากผิดปกติจนน่าหมั่นไส้
   
แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้รู้แค่ว่า นานๆจะป่วยสักทีแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน

___________________________________
มาแล้วค่ะ สำหรับตอนพิเศษตอนแรก สั้นๆ แต่ได้ใจความมาก

ติดตามอ่านกันต่อไปเรื่อยๆนะคะ

ขอบคุณค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-01-2010 19:27:42 โดย fingerscrossed »

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
อยากได้คนดูแลแบบนี้บ้างงงง หุหุ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
โยกะเจดูแลกันดี๊ดี
ตอนป่วยก็ไม่ทิ้งกัน งื้ออ น่ารักที่สุดเลยยย
+1 ขอบคุณคุณนิ้วไขว้คร้า :L2:

OhJa

  • บุคคลทั่วไป
มาสั้นๆ แต่เจน่าร้ากกกกก  :o8:

ai_no_uta

  • บุคคลทั่วไป
เฮ้อออออ


ยิ่งอ่าน ยิ่งคลั่ง ยุนแจ โยเจ เอิ๊ก กกกๆ ^^


ขอบคุณนะคะ ไรเตอร์ ที่อุตส่า แต่งเรื่อง หนุกๆ มาให้อ่านกัน


กอด หน่อย ๆๆ  :กอด1:

ออฟไลน์ NumPing

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2
น่ารักและอบอุ่นมาก

 :กอด1:

MaeMoo

  • บุคคลทั่วไป
มาสั้นๆ แต่ได้ใจมาก

ชอบที่เจงอนโย ที่ไม่สบายแล้วไม่ยอมบอก
ดูห่วงใยกันดีจังเลยค่ะ

รอตอนพิเศษ 2 ต่อนะคะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ

Yukisae

  • บุคคลทั่วไป
เนื้อเรื่องจบลงอย่างสวยงาม
God's Childs กับการก้าวไปข้างหน้า
เพื่อแสดงให้ทุกๆคนได้เห็นถึงพลังของเด็กทั้ง5คน :-[
ปลาบปลื้ม ตอนพิเศษน่ารักอ่ะ
โยขี้อ้อนเหมือนกันนะเนี่ย 555++
+1ให้คนแต่งค่ะ ^ ^

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
ตอนพิเศษ 3: Baby, I Love You

ภาพที่ปรากฏตรงหน้า

หากใครได้เข้ามาเห็น คงจะอดคิดไม่ได้เหมือนกันว่า นอกจากจะแปลกตาแล้วยังเรียกรอยยิ้มได้ดีจริงๆ
   
ก็จะอะไรเสียอีก ถ้าไม่ใช่สมาชิกวงบอยแบนด์ชื่อดังอันดับหนึ่งของบ้านนี้เมืองนี้ ที่ไม่ว่าจะไปปรากฏตัวที่ไหน หรือทำอะไร แม้แต่ขยับตัวเพียงแค่นิดเดียว ก็แทบจะเรียกได้ว่ากระชากใจและเรียกเสียงกรี๊ดจากบรรดาแฟนเพลงสาวๆที่คลั่งไคล้พวกเขาได้แล้วชนิดถล่มทลาย แน่นอนว่าไม่ใช่แค่หน้าตาที่หลายคนออกปากว่า “หล่อขั้นเทพ” แต่รวมไปถึงความสามารถในการร้องเพลง เต้นรำ แถมยังเอนเตอร์เทนคนดูได้เป็นเยี่ยมบนเวทีนั่นด้วย พวกเขาคือวง God’s Child ที่ประกอบไปด้วย หัวหน้าวงสุดเท่อย่างโย แล้วไหนจะพี่ใหญ่อีกคนที่เป็นเจ้าของ ใบหน้าสวยหวานขึ้นชื่อเกินเด็กผู้ชายทั่วไปอย่าง เจ ยังมีคู่หูคู่ฮาที่ความร่าเริงกับหน้าตามาคู่กันชนิดไม่มีใครกินใครลงอย่าง ซัน และ ชุน รวมไปถึงน้องเล็กผู้ชาญฉลาดอย่างแม็กอีกคน ช่างเป็นวงที่ดูเหมาะเจาะลงตัวไปเสียหมด   
   
ซึ่งไม่น่าจะเป็นเด็กหนุ่มกลุ่มเดียวกับที่เห็นอยู่นี่ได้เลย
   
เพราะไม่ว่าจะดูยังไง พวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กผู้ชายธรรมดาที่กำลังง่วนอยู่กับกระดาษในมือ โดยนั่งกระจายอยู่ตามมุมต่างๆในสตูดิโอขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กแห่งนี้ แต่ละคนโยกหัวไปตามจังหวะเสียงเพลงที่ดังผ่านหูฟังไอพ็อดที่ถือเอาไว้ในมืออีกข้างแบบของใครของมัน ริมฝีปากขมุบขมิบแบบไม่มีเสียง หัวคิ้วที่ขมวดบ้างคลายบ้างแตกต่างกันไป นานๆทีจะเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง หันไปสะกิดอีกคนเพื่อถามอะไรบางอย่าง ก่อนจะหันกลับไปสนใจกระดาษตรงหน้าอีกครั้ง
   
ภาพแบบนี้จะเกิดขึ้นซ้ำๆ ทุกครั้งที่เด็กหนุ่มกลุ่มนี้ได้รับมอบเพลงใหม่ และเตรียมที่จะอัดเสียงกัน อย่างเพลงนี้พวกเขาได้รับทำนองและเนื้อร้องมาแล้วล่วงหน้าหลายวัน แม้จะฟังจนขึ้นใจและจำทุกอย่างได้หมดแล้ว แต่พอใกล้ถึงเวลาก็อดที่จะฟังแบบวนไปวนมาซ้ำๆอีกไม่ได้ ส่วนหนึ่งก็คือ แต่ละคนต่างก็พยายามที่จะให้เกิดความผิดพลาดขึ้นน้อยที่สุดนั่นเอง
   
เมื่อมั่นใจว่าสามารถจดจำทุกอย่างได้จนขึ้นใจ พวกเขาจึงนั่งเล่นนอนเล่นเพื่อเป็นการฆ่าเวลาไปอย่างรู้งาน อัดเสียงก็ต้องใช้เวลาแบบนี้แหละ พวกเขาชินกับมันเสียแล้ว
   
ร่างสูงใหญ่ที่นั่งเหยียดยาวอยู่บนพื้นห้องที่ปูพรมสะอาดสะอ้านเอาไว้ คลายความเคร่งเครียดลงไปมาก เขาจะรู้สึกสบายใจเวลาทำงานทุกครั้งที่รู้สึกมั่นใจแบบนี้ หันไปมองคนอื่นๆที่เหลือในห้องก็ดูเหมือนว่าทุกคนน่าจะไม่มีปัญหาอะไรกับการอัดเสียงครั้งนี้แน่นอน เพราะต่างคนต่างก็ดูผ่อนคลายลงมากแล้ว ดูได้จากกิจกรรมที่แต่ละคนเลือกทำตอนนี้ปะไร
แล้วจู่ๆหัวหน้าวงอย่างโย ก็นึกครึ้มใจอะไรขึ้นมาสักอย่าง ก่อนที่จะเปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิและหันไปมองรอบๆห้องอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

รอยยิ้มและท่าทางที่แฟนเพลงคนไหนก็คงยากที่จะได้เห็น เพราะหัวหน้าวงกับบุคลิกที่เท่แสนเท่ ดูเป็นผู้ใหญ่และน่าเชื่อถือในยามปกตินั้น แท้ที่จริงแล้วก็คือเด็กหนุ่มขี้เล่นอารมณ์ดีจนคาดไม่ถึงที่สมาชิกคนอื่นๆในวงรู้กันเป็นอย่างดีนั่นเอง   

ไอ้ที่จุดประกายเด็กหนุ่มให้นึกวางแผนทำอะไรสนุกๆแกล้งน้องๆในวงก็ไม่ใช่อะไร ก็เนื้อเพลงใหม่ที่ได้มานี่แหละ จะมีท่อนนึงที่เขาต้องร้องคลอขึ้นมาด้วยเสียงทุ้มเบาที่จะว่าน่ารักก็ได้ หรือจะบอกว่าเซ็กซี่นิดๆก็คงไม่ผิดนัก

“Baby, I Love You” เนื้อเพลงท่อนที่เป็นภาษาอังกฤษสั้นๆแบบไม่ต้องแปลความหมายอะไรให้มากความ แต่ฟังแล้วเป็นต้องอดยิ้มออกมาไม่ได้ทุกที ไหนๆก็ไหนๆ... ลองเอามาเล่นดูสักหน่อย ท่าจะสนุกดีเหมือนกัน
   
เหยื่อรายแรก แบบที่หวังผลได้เลยร้อยเปอร์เซ็นต์ หนีไม่พ้นซันที่กำลังง่วนอยู่กับเกมเพลย์สเตชั่นในมือชนิดไม่สนใจโลกรอบข้างใดๆ ลองไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนี้ ก็ต้องนับว่าเป็นเหยื่อชั้นดีทีเดียว ไวเท่าความคิด พี่ชายคนโตกระโดดผลุงเข้าไปนั่งข้างๆ ก่อนจะกระซิบข้างๆหูเด็กหนุ่มว่า “Baby, I Love You” เท่านั้นแหละ เจ้าซันสะดุ้งหันขวับไปมองที่ต้นเสียงทันที ก่อนจะหน้าแดง และตามมาด้วยเสียงปิ๊ปดังๆเป็นสัญญาณว่า เกมโอเวอร์
   
“พี่โย..................................” ซันโอดครวญด้วยน้ำเสียงเหมือนคนใกล้จะตาย “ทำไมทำกับผมอย่างนี้” เด็กหนุ่มหันไปมองพี่ชายอย่างขัดใจ มือข้างหนึ่งกุมหูข้างนั้นเอาไว้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าตัวตกใจกับเสียงนุ่มๆทุ้มๆนั่นแค่ไหน ในขณะที่ตัวต้นเหตุหัวเราะชอบใจอย่างไม่รู้สึกสำนึกเลยสักนิด ก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายเป็นคนต่อไป ปล่อยให้คนโดนแกล้งนั่งบ่นกระปอดกระแปดแบบไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านั้นอยู่คนเดียว
   
รายต่อไป น้องเล็กวัยกำลังกินกำลังนอนของวง ว่างเป็นไม่ได้ หันไปทีไรเป็นต้องเห็นแม็กแอบงีบอย่างสบายอารมณ์อยู่บ่อยๆ พี่ใหญ่หัวหน้าวงตัวแสบ แอบเดินเข้าไปนั่งเงียบๆอยู่ข้างๆเก้าอี้ตัวยาวที่ร่างสูงๆของน้องเล็กนอนเหยียดยาวอยู่อย่างไม่รู้ชะตากรรมตัวเอง ก่อนจะกระตุกริมฝีปากขึ้นข้างหนึ่งอย่างมาดร้าย แล้วจึงก้มลงไป กระซิบแบบพอได้ยินซ้ำๆว่า “Baby, I Love You” จนเจ้าของร่างที่นอนอยู่ค่อยๆกระพริบตาขึ้นอย่างงงวย และถูกน็อกในที่สุด ด้วยเสียง “Baby, I Love You” ที่ดังขึ้นกว่าเดิมเป็นการปิดท้าย
   
แม็กสะดุ้งจนตกลงมาจากโซฟา เจ็บไม่เท่ากับงง และก่อนที่จะได้ทำอะไรไปมากกว่าแค่มองว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ตัวการที่กำลังหัวเราะร่วนกับผลงานชิ้นเอกก็กระโดดไปถึงโซฟาอีกตัวที่อยู่อีกฟากหนึ่งของมุมห้องเสียแล้ว ปล่อยให้เจ้าน้องเล็กนั่งตาปรือขมวดคิ้วมุ่นอยางขัดเคือง ก่อนที่จะคลานขึ้นไปนอนหมดสติบนโซฟาตัวเดิมอย่างสิ้นมาดสมาชิกวงบอยแบนด์สุดเท่ ชวนให้อดนึกสงสัยไม่ได้เหมือนกันว่า ถ้าเจ้าตัวตื่นขึ้นมาแล้ว จะยังจำได้ไหมว่าได้เกิดอะไรขึ้นกับตัวเองไปบ้าง
   
เหยื่ออีกรายที่ได้เห็นแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับสมาชิกทั้งสองคนเมื่อก่อนหน้านี้ ทำท่าระวังเต็มที่ แต่ดูเหมือนจะไม่ทันเสียแล้ว เมื่อหัวหน้าวงตัวร้ายกระโดดมาถึงตัวชุนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอาแขนแข็งแรงทั้งสองข้างรัดตัวเขาเอาไว้แน่น พร้อมกับรอยยิ้มที่ดูยังไงมันก็รอยยิ้มของปิศาจชัดๆในความคิดของเขาวินาทีนั้น
   
แต่เอาน่า ดูๆไปแล้วเขาน่าจะพอสลัดหลุดไหว
   
ถ้าไม่ใช่เพราะมีแขนอีกคู่หนึ่งรัดตัวเขาเอาไว้อีกแรง
   
ทำไมเขาถึงได้สะเพร่าอย่างนี้ ทำไมถึงไม่เอะใจสักนิดว่า พี่เจนั่งอยู่ข้างๆ!!! พี่เจที่แสนอ่อนโยน อบอุ่น เป็นห่วงเป็นใย และใส่ใจกับทุกคน ชุนบอกได้เลยว่าเขารักพี่เจมากเหลือเกิน แต่ต้องไม่ใช่พี่เจที่ชอบแกล้งคนอื่นเป็นชีวิตจิตใจในขณะที่ใครก็ห้ามแกล้งพี่เจเด็ดขาดแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ได้ร่วมไม้ร่วมมือกับพี่ใหญ่ของวงอีกคนแกล้งน้องๆในวงอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ยด้วยยิ่งแล้ว...
   
ชุนเอ๋ย... วันนี้มันวันซวยอะไรของเอ็งหนอ
   
ไม่ใช่แค่โยที่ร้องท่อน “Baby, I Love You” ใส่หูเขาแบบจังๆ ยังมีเจที่ขอร้องท่อนตัวเองด้วยเสียงที่โคตรจะเซ็กซี่กรอกหูเขาอีกข้างด้วย และน่าจะเหมือนเป็นการทำโทษที่บังอาจรู้ทันและคิดจะขัดขืนการแกล้งของพวกพี่ทั้งสองคน โยจึงกดจมูกฝังลงกับแก้มข้างหนึ่งของเด็กหนุ่ม ในขณะที่อีกข้างตกเป็นของพี่ชายหน้าสวยไปอย่างไม่ต้องสงสัย จนเป็นที่สาแก่ใจแล้วนั่นแหละ พี่ชายคนโตตัวแสบของวงทั้งสองคนจึงยอมปล่อยเขาให้เป็นอิสระแต่โดยดี ในขณะที่เขานั่งทำหน้าปูเลี่ยนๆพร้อมกับรำพึงในใจอย่างคนหมดอาลัยตายอยากและไร้ทางสู้กับตัวเองว่า
   
มันวันซวยอะไรหนอ ถึงได้ถูกผู้ชายสองคนพร้อมใจกันหอมแก้มเขาอย่างมันเขี้ยวขนาดนี้ ทำไมเขาจะต้องมาใช้ชีวิตอยู่กับคนที่บ้าการสัมผัสอย่างพี่โย และคนที่บ้าแกล้งคนแบบห่ามๆอย่างพี่เจด้วย ก่อนจะหันไปมองสองพี่ชายของวงที่กำลังหัวเราะชอบใจพร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งตีกันกลางอากาศราวกับว่า ไอ้ที่ทำลงไปนั่นเป็นการกู้โลกอะไรสักอย่าง
   
มันน่าเจ็บใจที่คนเป็นน้องอย่างเขาต้องยอมอย่างไร้ทางสู้เช่นนี้ จะมีใครมาสนใจกับความทุกข์อันนี้หรือ ก็ไม่ เพราะที่จริงเขาควรจะทำตัวให้ชินกับมันได้แล้วต่างหาก จะโอดครวญไปทำไมมี
   
แผนการกลั่นแกล้งสมาชิกในวงหยุดลงแต่เพียงเท่านั้น เมื่อมีเสียงเรียกให้พวกเขาเตรียมตัวเข้าห้องอัดกันได้แล้ว
   
ทีพี่เจล่ะรอด
   
เหยื่อทั้งสามรายคิดในใจราวกับนัดกันไว้ มาคิดดูโลกนี้มันช่างไม่มีความยุติธรรมเอาเสียเลยจริงๆ ในขณะที่พวกเขาทั้งสามคนต้องตกเป็นเหยื่อในการแกล้งของหัวหน้าวง แต่พี่อีกคนกลับรอดตัวไปอย่างน่าเจ็บใจ แถมน้องอย่างพวกเขาจะเอาคืนก็ไม่ได้เสียด้วย มีหวังพี่เจงอนตาย ไม่อย่างนั้นก็ต้องโดนรังสีอำมหิตแผดใส่ หรืออย่างแย่ก็อดกินอะไรอร่อยๆฝีมือพ่อครัวประจำวงไปอีกหลายวันแน่ๆ
   
วงที่ไร้ความยุติธรรมนี้ มีคนแค่คนเดียวเท่านั้นที่แกล้งพี่เจแล้วไม่โดนว่า ก็คือพี่โย... หัวหน้าวง
และดูเหมือนว่าวันนี้โชคจะเข้าข้างน้องชายทั้งสามคนเสียแล้ว เมื่อเห็นหัวหน้าวงยืนส่งยิ้มและส่งสายตาเป็นนัยมาให้ ก่อนจะยกนิ้วชี้ขึ้นแตะที่ริมฝีปาก พวกเขาไม่รู้หรอกว่าพี่โยจะทำอะไร รู้แต่ว่างานนี้เล่นตามน้ำอย่างเดียวก็พอ
   
สนุกล่ะครับท่านผู้อ่าน

อย่างดีก็คือพี่เจจะโดนแกล้งเหมือนกับพวกเขา อย่างแย่พี่โยก็โดนเอาคืน แต่จะแบบไหน น้องๆอย่างพวกเขาไม่นึกอยากรู้ ขอรอดูอย่างเดียวล่ะงานนี้

********************

การอัดเสียงรอบแรกเป็นไปด้วยดี ข้อผิดพลาดๆเล็กๆน้อยๆแทบจะไม่เกิดขึ้น หรือไม่ก็ต้องนับว่าน้อยมาก เด็กหนุ่มทั้งห้าคนยิ่งรู้สึกมั่นใจมากขึ้นเมื่อได้ฟังเพลงใหม่ที่พวกเขาเพิ่งร้องจบไป ก่อนที่จะขอร้องใหม่อีกหนึ่งรอบ และเพื่อเป็นการเผื่อเหลือเผื่อขาด รอบที่สามจึงตามมาติดๆ โดยที่น้ำเสียงของคนทั้งห้าไม่ตกลงไปเลยสักนิด

“ขอลองใหม่อีกรอบได้ไหมครับ” จู่ๆหัวหน้าวงก็พูดใส่ไมค์ผ่านลำโพงไปยังซาวนด์เอ็นจิเนียร์และโปรดิวเซอร์ที่นั่งถัดออกไปอีกห้อง โดยมีเพียงกระจกแข็งแรงแต่ใสแจ๋วกั้นอยู่เท่านั้น

“โอเคครับ” ซาวนด์เอ็นจิเนียหนุ่มใหญ่ท่าทางใจดีผิดกับหน้าตาว่าพลางยิ้มตอบกลับไป นอกจากเจที่ไม่นึกสงสัยอะไร น้องๆอีกสามคนก็แอบลอบยิ้มกับพี่ใหญ่ของวงโดยไม่ยอมโตกตากอะไรออกมาให้เป็นที่ผิดสังเกตแม้แต่นิดเดียว   

ดนตรีในช่วงอินโทรดังขึ้นทำให้อดไม่ได้ที่จะโยกศีรษะตามไปด้วย เริ่มด้วยเสียงของแม็กในโทนแหลมสูงแต่ก็มีพลังเหลือหลาย ต่อด้วยเสียงของเจที่ประสานรับกับเสียงของซันและโยสลับกับชุน แล้วก็เข้าท่อนฮุกโดยมีเสียงของพวกเขาทั้งห้าคนประสานรวมกัน

จนถึงท่อนบริดจ์ ก่อนเข้าท่อนประสานท่อนที่สอง

เจเปล่งเสียงหวานใสแต่กังวานจับใจออกมา ก่อนที่จะเป็นโย... เจ้าของท่อนที่ต้องร้องว่า “Baby, I Love You” ต่อจากท่อนของเขา

แต่... แล้วมันเรื่องอะไรที่หมอนี่จะต้องร้องท่อนนี้ข้างหูเขาแบบนี้ด้วย!

“เฮ้ย....” เจร้องลั่นขึ้นมา “ทำบ้าอะไรเนี่ย…” แม้ปากจะหันไปแว้ดกับไอ้คนตัวสูงที่ยืนยิ้มกริ่มและทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างน่าหมั่นไส้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าใบหน้าขาวๆนั้นขึ้นสีชมพูระเรื่อไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย มือข้างหนึ่งกุมหูข้างที่โดนเสียงทุ้มนั้นมาทำให้เสียสมาธิอย่างรุนแรงจนทำอะไรไม่ถูก เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากล่างเบาๆอย่างคนที่รู้สึกขัดใจเป็นที่สุด

“เป็นอะไรหรือเปล่า” ซาวนด์เอ็นจิเนียร์ที่อยู่อีกห้อง ถามผ่านเฮดโฟนอันใหญ่ที่ครอบหูของเด็กหนุ่มทั้งห้าคนเอาไว้

“ปละ... เปล่าครับ” เจระล่ำระลักตอบ “ขอใหม่อีกครั้งนะพี่ ขอโทษครับ เสียสมาธินิดหน่อย” พูดจบ หางตากลมโตแต่แฝงแววเฉียบคม เหลือบมองไปยังคนตัวสูงที่ยังคงทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างแนบเนียน
เสียงเพลงดังขึ้นในหูอีกครั้ง และเมื่อถึงท่อนเจ้าปัญหา

“ไอ้.....” เจโวยวายขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่จะหันไปมองหน้าตัวต้นเหตุของอาการหลุดของเขา “หยุดเลยนะ!” น้ำเสียงที่ห้ามนั้นฟังดูเด็ดขาดก็จริง แต่ไอ้อาการเขินนี่สิมันมาจากไหนกัน แล้วมันเรื่องอะไรเขาจะต้องหน้าแดงกับเสียงทุ้มๆของหมอนี่ตอนมากระซิบ ‘ท่อนนี้’ ข้างหูเขาด้วย

เจชูนิ้วขึ้นอย่างมาดร้ายไปยังหัวหน้าวงที่ทำท่ากลั้นหัวเราะเต็มที่ ส่วนผู้สมรู้ร่วมคิดอีกสามคนตีหน้าซื่อทั้งๆที่อยากจะหัวเราะออกมาใจแทบขาด

“ขอโทษครับพี่” เจยกมือขึ้นไหว้หน้าจ๋อย “ขออีกรอบเถอะนะครับ” ก่อนจะยิ้มเจื่อนๆออกมาอย่างคนรู้สึกผิด... ทั้งๆที่ความผิดนั้นเกิดจากไอ้เจ้าหัวหน้าวงที่ยังตีหน้ามึนอยู่นี่ต่างหาก เพลงนี้เขาต้องเปิดหูฟังข้างหนึ่งเอาไว้เสียด้วยสิ เข้าทางพอดีไปหรือเปล่า

เพลงเดิมถูกเปิดดังขึ้นเป็นรอบที่สาม และพอใกล้จะถึงท่อนเจ้าปัญหา...

หนนี้ยังไม่ทันที่โยจะได้ทำอะไร คนบ้าจี้อย่างเจกลับหลุดหัวเราะออกมาเสียก่อน ทำเอาอีกสี่คนที่เหลือระเบิดเสียงหัวเราะออกมาในที่สุด

การแกล้งเจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำ เป็นอันต้องได้เห็นผลอันคุ้มค่ากลับมาทุกครั้ง

“หยุดเลย พอก่อนเลยนะ” ปากแม้จะว่าออกไป แต่ตัวเองกลับหยุดหัวเราะไม่ได้ มือข้างหนึ่งปิดปากพร้อมกับหัวเราะออกมาเต็มที่จนตาหยี มืออีกข้างกุมท้องเอาไว้ ทั้งขำทั้งเคือง

“ขอบคุณครับพี่ พอแล้วครับ” เสียงทุ้มใหญ่ของหัวหน้าวงดังขึ้นอย่างร่าเริง ขณะส่งสัญญาณมือให้กับซาวนด์เอ็นจิเนียร์และโปรดิวเซอร์ที่กำลังนั่งหัวเราะชอบใจกับความขี้เล่นของสมาชิกในวงอยู่อีกห้องหนึ่งเหมือนกัน

“โอเค เรียบร้อยครับ” ซาวนด์เอ็นจิเนียร์ชูนิ้วโป้งขึ้น ก่อนจะส่งยิ้มกว้างมาให้

“อ้าว” เจ หยุดหัวเราะไปแล้ว แต่กลายเป็นว่างงงวยกับปฏิกิริยาของทุกคน ก่อนจะหันไปถามโยด้วยความสงสัยเต็มที่ “แล้วไม่อัดเสียงต่อแล้วเหรอ”

“ไม่ต้องแล้ว” โยตอบกลับไปยิ้มๆ ยิ่งเห็นดวงตากลมโตมองแป๋วกลับมาแบบใสซื่อด้วยแล้ว รอยยิ้มของเขาก็ยิ่งกว้างขวางขึ้นไปอีก ก่อนจะก้มหน้ากระซิบข้างๆหูเพื่อนหน้าสวยว่า “อัดเสร็จไปตั้งนานแล้ว”

โดยไม่ทันได้สังเกต สมาชิกในวงอีกสามชีวิตที่เห็นท่าไม่ดีก็ค่อยๆย่องออกจากห้องอัดไปแบบเงียบๆ โดยไม่ขออยู่รอดูชะตากรรมของพี่ใหญ่หัวหน้าวง ในใจคิดแค่ว่า ถึงจะรักพี่แค่ไหน แต่สุดท้ายมันก็ต้องรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดีเอาไว้ก่อนล่ะครับ

“อ๋อ นี่คือ วางแผนแกล้งเรา” คนถามยืนกอดอกและมองหน้าตัวต้นเหตุอย่างเอาเรื่อง

“กลัวไม่ยุติธรรมไง” นอกจากจะไม่สำนึกแล้วยังกล้าย้อนกลับมาอีกต่างหาก ทำเอาอดรู้สึกฉิวขึ้นมาไม่ได้ “โกรธเหรอ” ทีอย่างนี้มาทำเสียงอ้อน

เจไม่เพียงแต่ไม่พูดอะไร แต่ยังยืนหันหลังให้คนตัวสูงอีกต่างหาก ปฏิกิริยาที่ผิดคาดแบบนี้ทำเอาโยใจเสียขึ้นมาทันที คนอย่างเจ ถ้าไม่พอใจอะไรสู้ให้โวยวายออกมายังจะดีเสียกว่าเงียบไปเลยแบบนี้

“เจ... โกรธเราเหรอ” ร่างนั้นยังไม่ยอมหันมามองเขา โยโอบแขนรัดร่างนั้นเบาๆก่อนจะเอาคางเกยกับไหล่ของอีกฝ่ายที่กำลังรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่เป่ารดหูและไออุ่นจากร่างกายอันแสนคุ้นเคยนั้น “ขอโทษ”

เกิดความเงียบขึ้นในห้องนั้นอยู่เป็นครู่

“ไม่ได้โกรธ” เสียงแหบหวานนั้นเอ่ยขึ้นเบาๆ ทำเอาโยใจชื้นขึ้นเป็นกอง

“แต่ว่า...” ยังไม่ทันที่ร่างสูงใหญ่จะได้ตั้งตัว ร่างขาวๆของเจก็หันกลับมาพร้อมกับเหวี่ยงกำปั้นใส่ต้นแขนแข็งแรงของเจ้าหัวหน้าวงที่วันนี้ทำตัวป่วนได้ใจดีเหลือเกินดังพลั่ก

“โอ๊ย...” เสียงทุ้มนั้นร้องประท้วงออกมาเบาๆ “เจ็บ...” ได้แต่โอดครวญเสียงอ่อย

“แต่ก็ไม่ถึงกับตายนี่ ใช่ไหม” พูดจาอ่อนหวานไม่เข้ากับหน้าตาเลยให้ตายเหอะ เขาได้แต่คิดอย่างประชดชีวิตกับตัวเองในใจ

“ถือว่าหายกันแล้วนะ” เสียงทุ้มๆนั้นยังคงออดอ้อนไม่เลิก แล้วไหนจะทำหางตาตกจนน่าสงสารนั่นอีก ต่อให้ใจแข็งแค่ไหน เด็กหนุ่มหน้าสวยก็คงโกรธได้ไม่นานหรอก แต่จะให้ยกโทษให้ง่ายๆก็คงจะไม่ได้เหมือนกัน เสียชื่อคนอย่างเจหมด

“ยัง” น้ำเสียงนั้นยังคงเด็ดขาดไม่เปลี่ยนแปลง

“จะให้ทำยังไงถึงจะหายงอน”

เจไม่ตอบ ได้แต่ใช้ดวงตากลมโตคู่นั้นจ้องมองเข้าไปในดวงตาเรียวยาวของคนตัวสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างไม่ลดละ ก่อนที่อีกฝ่ายจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นอย่างยอมจำนนในที่สุด

“มื้อเย็นนี้เดี๋ยวเราพาไปเลี้ยงอาหารอิตาเลี่ยนร้านที่นายชอบก็แล้วกัน ดีไหม” โยยื่นข้อเสนอ

ดวงตากลมโตคู่เดิมยังคงจ้องมองเขานิ่งอยู่อย่างนั้น

“กระเป๋าใบใหม่ด้วยอีกใบก็ได้ พอใจหรือยัง”

รอยยิ้มอ่อนหวานปรากฏขึ้นบนใบหน้างามอย่างยินดีและเต็มไปด้วยความพึงพอใจอย่างที่สุด

“ต้องอย่างนี้สิ” คิดจะแกล้งเจก็ต้องทำใจยอมรับผลที่ตามมาหน่อยล่ะ “งั้นไปกันเลย” พูดยังไม่ทันขาดคำ ข้อมือขาวๆก็ถูกคนตัวสูงคว้าเอาไว้

“เดี๋ยว” ก่อนจะออกแรงดึงร่างที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเซปัดเข้ามาและคงจะล้มลงไม่เป็นท่าแน่ๆ ถ้าอ้อมแขนแข็งแรงของโยไม่อ้ารับเอาไว้ชนิดพอเหมาะพอเจาะ

“อะไรเล่า” เสียงประท้วงนั้นไม่สู้จะเด็ดขาดนัก แถมยังไม่ได้แสดงอาการขัดขืนสักเท่าไหร่อีกต่างหาก คนกอดก็เลยพลอยจะได้ใจไปด้วย

“ท่อนที่เราร้องให้นายฟังน่ะ...” เสียงนุ่มทุ้มกระซิบข้างหูของเขาอย่างอ่อนโยน “เราหมายความตามนั้นจริงๆนะ”

ไม่ต้องก้มลงมองก็รู้ว่าคนในอ้อมกอดหน้าแดงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ร่างที่ดูเล็กกว่าเขาไปถนัดใจเวลาอยู่ด้วยกันดิ้นขลุกขลักอยู่สักพัก ก่อนจะค่อยๆผละออกมาจากอ้อมอกแข็งแรงนั้น

“ปล่อยได้แล้ว” เสียงนั้นเอ่ยออกมาเบาๆ แต่ก็ยังไม่ยอมสบตากับเขาเสียที

“ปล่อยก็ได้” โยยิ้มน้อยๆ “อยากให้พูดให้ฟังอีกไหม”

“ไม่ต้องแล้ว”

“Baby… I Love…” ก็เพราะน้ำเสียงแบบนี้ไงเล่า หัวใจของเขามันถึงได้เต้นแรงเสียจนจะทะลุออกมานอกอกอยู่แล้ว

“รู้แล้ว.....” เสียงนั้นเอ่ยอ้อมแอ้มออกมาเสียจนแทบไม่ได้ยิน

“หือ... ว่ายังไงนะ” ใบหน้านั้นก้มต่ำลงมาอีก

“บอกว่ารู้แล้ว ไม่ต้องบอกแล้ว” พูดเสร็จก็เหวี่ยงกำปั้นเข้าใส่ร่างนั้นอีกที แต่ดูเหมือนจะเบากว่าเดิมไปโข “จะไปกันได้หรือยัง หิวแล้ว” ก่อนจะหมุนตัวเดินจ้ำพรวดออกไปอย่างรวดเร็วและไม่อยู่รอคำตอบอะไรอีก

โยถึงกับยืนปิดปากหัวเราะชอบใจ เมื่อเห็นอาการเขินจนไปไม่เป็นของเจแบบนั้น

เอาน่า แลกกับอาหารมื้อนึงแล้วก็กระเป๋าอีกใบนึงก็น่าจะคุ้มค่าล่ะ

“รอด้วยซี” เด็กหนุ่มเอ่ยตามหลัง ก่อนจะรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามออกไปทันที

********************

มันก็ดีอยู่หรอก

ได้มากินอาหารอิตาเลี่ยนร้านอร่อย (ที่พี่เจอยากมากิน) แถมกินฟรีเพราะมีเจ้ามือใจป้ำอย่างพี่โย แต่... เคยไหม ที่จะมีใครมาถามน้องๆอย่างพวกเขาว่า อยากกินอะไร อยากไปที่ไหน ชอบหรือไม่ชอบยังไง นี่ยังดีนะที่พวกเขากินง่ายอยู่ง่าย ไม่เรื่องมาก ถึงได้เออออห่อหมกไปกับพี่ชายทั้งสองคนได้เกือบทุกเรื่อง

แต่ไหนล่ะ...

พี่เจที่โกรธพี่โยหัวฟัดหัวเหวี่ยง พี่เจที่ไม่ยอมให้ใครมาหยามได้ พี่เจที่แสนจะใจแข็งของน้องๆ

แล้วภาพที่เห็นนี่มันอะไรกัน

พี่เจคนนั้นไม่ใช่พี่เจคนเดียวกับที่อยู่กับพี่โยตอนนี้แน่นอน เพราะตอนนี้พี่เจของพวกเขายิ้มหัวอย่างมีความสุขอยู่กับพี่ใหญ่หัวหน้าวง แถมพูดคุยกันราวกับมีกันอยู่แค่สองคนในโลก ยังไม่นับไอ้เรื่องที่แอบได้ยินมาด้วยว่า พี่โยยอมซื้อกระเป๋าใบใหม่ให้ด้วยอีกต่างหาก

ดูเอาเถอะ

ทั้งที่พวกพี่ก็ไม่ได้ทำอะไรที่ดูพิเศษกว่าเพื่อนคนอื่น แต่ทำไมบรรยากาศรอบตัวพี่สองคนมันถึงได้อ่อนหวานแล้วก็อบอุ่นเกินเหตุนักก็ไม่รู้ แค่พี่โยตักอาหารให้พี่เจ เลื่อนจานให้ ใส่เครื่องปรุงให้ พี่เจอยากได้อะไร พี่โยก็ยอมตามใจทุกอย่าง แค่นั้นเอง

เอาเถอะ อย่างน้อยเวลามีอะไรดีๆ น้องๆอย่างพวกเขาก็พลอยได้รับอานิสงฆ์ไปด้วย ถือว่าหยวนกันไปก็แล้วกัน

แต่มีแค่อย่างเดียวเท่านั้นที่เด็กหนุ่มทั้งสามคนมีความเชื่อเหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมาย

ตั้งแต่มาอยู่กับพวกพี่ พวกเขาได้เรียนรู้สัจธรรมข้อหนึ่งว่า

ความยุติธรรมมันไม่มีอยู่ในโลกนี้จริงๆ!

___________________________________

เอาตอนที่สองมาส่งให้แล้วนะคะ นานๆจะได้เห็น โย ในมุมขี้เล่นแล้วก็ป่วงขนาดนี้บ้าง ก็เข้าท่าดีเหมือนกัน คนอ่านจะได้ไม่ลืมว่า น้องๆในวงนี้ยังเป็นเด็กกันอยู่ไงคะ

ขอบคุณที่ยังติดตามกันอยู่ตลอดค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-01-2010 15:08:19 โดย fingerscrossed »

ออฟไลน์ CMYK

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ขอบคุณครับสำหรับตอนพิเศษ ...หยั่งงี้ น้องๆก็รู้ความสัมพันธ์ของพี่ใหญ่ทั้ง 2 คนแล้วสิครับ

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
อะโห... คุณเอ็ดเวิร์ดคะ น้องๆน่ะมันไม่พูดไม่ได้แปลว่าไม่รู้นะคะ ต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลาขนาดนั้น ต่อให้เป็นคนไม่ช่างสังเกตก็รู้ค่ะ แค่ไม่มีเหตุผลอะไรต้องพูดออกมาเฉยๆ อยู่ๆไปก็ท่าจะเคยชินกันไปเองอีกต่างหากค่ะ

ไม่งั้นตอน เจ นอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล แม็กมันไม่แซวพี่โยหรอกค่ะตอนที่เห็นพี่โยจับมือพี่เจไม่ปล่อยแบบนั้น ^_^


ออฟไลน์ LoveAholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-0
มาอ่านอีกที เด็ก ๆ ก็ได้เป็นนักร้องดังไปเสียแล้ว

เจ กับ พ่อ ก็เข้าใจกัน ดีใจจัง สำหรับตอนพิเศษ

ชอบมากค่ะ เพราะว่าได้เห็นความรัก ความผูกพัน

ของเด็ก ๆ มากขึ้น แถมโยกับเจ ก็หวานกันมากขึ้น

อ่านแล้ว อดยิ้มตามไม่ได้เลย อะไรจะน่ารักกันขนาดนี้นี่

ส่วนน้อง ๆ  อีกสามคน ก็น่ารัก น่าหยิก ไปตาม ๆ กัน

เหมือนว่าตอนพิเศษ คุณนิ้วไขว้ เขียนได้ลื่นไหล และ

มีคำพูด คำจา  ที่สละสลวยมากขึ้นเรื่อย ๆ  ทำให้เรื่องนี้

มีเสน่ห์มากขึ้นไปด้วย  o13  ชอบมากค่า




 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด