ตอนพิเศษ 3: Baby, I Love You
ภาพที่ปรากฏตรงหน้า
หากใครได้เข้ามาเห็น คงจะอดคิดไม่ได้เหมือนกันว่า นอกจากจะแปลกตาแล้วยังเรียกรอยยิ้มได้ดีจริงๆ
ก็จะอะไรเสียอีก ถ้าไม่ใช่สมาชิกวงบอยแบนด์ชื่อดังอันดับหนึ่งของบ้านนี้เมืองนี้ ที่ไม่ว่าจะไปปรากฏตัวที่ไหน หรือทำอะไร แม้แต่ขยับตัวเพียงแค่นิดเดียว ก็แทบจะเรียกได้ว่ากระชากใจและเรียกเสียงกรี๊ดจากบรรดาแฟนเพลงสาวๆที่คลั่งไคล้พวกเขาได้แล้วชนิดถล่มทลาย แน่นอนว่าไม่ใช่แค่หน้าตาที่หลายคนออกปากว่า “หล่อขั้นเทพ” แต่รวมไปถึงความสามารถในการร้องเพลง เต้นรำ แถมยังเอนเตอร์เทนคนดูได้เป็นเยี่ยมบนเวทีนั่นด้วย พวกเขาคือวง God’s Child ที่ประกอบไปด้วย หัวหน้าวงสุดเท่อย่างโย แล้วไหนจะพี่ใหญ่อีกคนที่เป็นเจ้าของ ใบหน้าสวยหวานขึ้นชื่อเกินเด็กผู้ชายทั่วไปอย่าง เจ ยังมีคู่หูคู่ฮาที่ความร่าเริงกับหน้าตามาคู่กันชนิดไม่มีใครกินใครลงอย่าง ซัน และ ชุน รวมไปถึงน้องเล็กผู้ชาญฉลาดอย่างแม็กอีกคน ช่างเป็นวงที่ดูเหมาะเจาะลงตัวไปเสียหมด
ซึ่งไม่น่าจะเป็นเด็กหนุ่มกลุ่มเดียวกับที่เห็นอยู่นี่ได้เลย
เพราะไม่ว่าจะดูยังไง พวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กผู้ชายธรรมดาที่กำลังง่วนอยู่กับกระดาษในมือ โดยนั่งกระจายอยู่ตามมุมต่างๆในสตูดิโอขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กแห่งนี้ แต่ละคนโยกหัวไปตามจังหวะเสียงเพลงที่ดังผ่านหูฟังไอพ็อดที่ถือเอาไว้ในมืออีกข้างแบบของใครของมัน ริมฝีปากขมุบขมิบแบบไม่มีเสียง หัวคิ้วที่ขมวดบ้างคลายบ้างแตกต่างกันไป นานๆทีจะเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง หันไปสะกิดอีกคนเพื่อถามอะไรบางอย่าง ก่อนจะหันกลับไปสนใจกระดาษตรงหน้าอีกครั้ง
ภาพแบบนี้จะเกิดขึ้นซ้ำๆ ทุกครั้งที่เด็กหนุ่มกลุ่มนี้ได้รับมอบเพลงใหม่ และเตรียมที่จะอัดเสียงกัน อย่างเพลงนี้พวกเขาได้รับทำนองและเนื้อร้องมาแล้วล่วงหน้าหลายวัน แม้จะฟังจนขึ้นใจและจำทุกอย่างได้หมดแล้ว แต่พอใกล้ถึงเวลาก็อดที่จะฟังแบบวนไปวนมาซ้ำๆอีกไม่ได้ ส่วนหนึ่งก็คือ แต่ละคนต่างก็พยายามที่จะให้เกิดความผิดพลาดขึ้นน้อยที่สุดนั่นเอง
เมื่อมั่นใจว่าสามารถจดจำทุกอย่างได้จนขึ้นใจ พวกเขาจึงนั่งเล่นนอนเล่นเพื่อเป็นการฆ่าเวลาไปอย่างรู้งาน อัดเสียงก็ต้องใช้เวลาแบบนี้แหละ พวกเขาชินกับมันเสียแล้ว
ร่างสูงใหญ่ที่นั่งเหยียดยาวอยู่บนพื้นห้องที่ปูพรมสะอาดสะอ้านเอาไว้ คลายความเคร่งเครียดลงไปมาก เขาจะรู้สึกสบายใจเวลาทำงานทุกครั้งที่รู้สึกมั่นใจแบบนี้ หันไปมองคนอื่นๆที่เหลือในห้องก็ดูเหมือนว่าทุกคนน่าจะไม่มีปัญหาอะไรกับการอัดเสียงครั้งนี้แน่นอน เพราะต่างคนต่างก็ดูผ่อนคลายลงมากแล้ว ดูได้จากกิจกรรมที่แต่ละคนเลือกทำตอนนี้ปะไร
แล้วจู่ๆหัวหน้าวงอย่างโย ก็นึกครึ้มใจอะไรขึ้นมาสักอย่าง ก่อนที่จะเปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิและหันไปมองรอบๆห้องอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
รอยยิ้มและท่าทางที่แฟนเพลงคนไหนก็คงยากที่จะได้เห็น เพราะหัวหน้าวงกับบุคลิกที่เท่แสนเท่ ดูเป็นผู้ใหญ่และน่าเชื่อถือในยามปกตินั้น แท้ที่จริงแล้วก็คือเด็กหนุ่มขี้เล่นอารมณ์ดีจนคาดไม่ถึงที่สมาชิกคนอื่นๆในวงรู้กันเป็นอย่างดีนั่นเอง
ไอ้ที่จุดประกายเด็กหนุ่มให้นึกวางแผนทำอะไรสนุกๆแกล้งน้องๆในวงก็ไม่ใช่อะไร ก็เนื้อเพลงใหม่ที่ได้มานี่แหละ จะมีท่อนนึงที่เขาต้องร้องคลอขึ้นมาด้วยเสียงทุ้มเบาที่จะว่าน่ารักก็ได้ หรือจะบอกว่าเซ็กซี่นิดๆก็คงไม่ผิดนัก
“Baby, I Love You” เนื้อเพลงท่อนที่เป็นภาษาอังกฤษสั้นๆแบบไม่ต้องแปลความหมายอะไรให้มากความ แต่ฟังแล้วเป็นต้องอดยิ้มออกมาไม่ได้ทุกที ไหนๆก็ไหนๆ... ลองเอามาเล่นดูสักหน่อย ท่าจะสนุกดีเหมือนกัน
เหยื่อรายแรก แบบที่หวังผลได้เลยร้อยเปอร์เซ็นต์ หนีไม่พ้นซันที่กำลังง่วนอยู่กับเกมเพลย์สเตชั่นในมือชนิดไม่สนใจโลกรอบข้างใดๆ ลองไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนี้ ก็ต้องนับว่าเป็นเหยื่อชั้นดีทีเดียว ไวเท่าความคิด พี่ชายคนโตกระโดดผลุงเข้าไปนั่งข้างๆ ก่อนจะกระซิบข้างๆหูเด็กหนุ่มว่า “Baby, I Love You” เท่านั้นแหละ เจ้าซันสะดุ้งหันขวับไปมองที่ต้นเสียงทันที ก่อนจะหน้าแดง และตามมาด้วยเสียงปิ๊ปดังๆเป็นสัญญาณว่า เกมโอเวอร์
“พี่โย..................................” ซันโอดครวญด้วยน้ำเสียงเหมือนคนใกล้จะตาย “ทำไมทำกับผมอย่างนี้” เด็กหนุ่มหันไปมองพี่ชายอย่างขัดใจ มือข้างหนึ่งกุมหูข้างนั้นเอาไว้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าตัวตกใจกับเสียงนุ่มๆทุ้มๆนั่นแค่ไหน ในขณะที่ตัวต้นเหตุหัวเราะชอบใจอย่างไม่รู้สึกสำนึกเลยสักนิด ก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายเป็นคนต่อไป ปล่อยให้คนโดนแกล้งนั่งบ่นกระปอดกระแปดแบบไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านั้นอยู่คนเดียว
รายต่อไป น้องเล็กวัยกำลังกินกำลังนอนของวง ว่างเป็นไม่ได้ หันไปทีไรเป็นต้องเห็นแม็กแอบงีบอย่างสบายอารมณ์อยู่บ่อยๆ พี่ใหญ่หัวหน้าวงตัวแสบ แอบเดินเข้าไปนั่งเงียบๆอยู่ข้างๆเก้าอี้ตัวยาวที่ร่างสูงๆของน้องเล็กนอนเหยียดยาวอยู่อย่างไม่รู้ชะตากรรมตัวเอง ก่อนจะกระตุกริมฝีปากขึ้นข้างหนึ่งอย่างมาดร้าย แล้วจึงก้มลงไป กระซิบแบบพอได้ยินซ้ำๆว่า “Baby, I Love You” จนเจ้าของร่างที่นอนอยู่ค่อยๆกระพริบตาขึ้นอย่างงงวย และถูกน็อกในที่สุด ด้วยเสียง “Baby, I Love You” ที่ดังขึ้นกว่าเดิมเป็นการปิดท้าย
แม็กสะดุ้งจนตกลงมาจากโซฟา เจ็บไม่เท่ากับงง และก่อนที่จะได้ทำอะไรไปมากกว่าแค่มองว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ตัวการที่กำลังหัวเราะร่วนกับผลงานชิ้นเอกก็กระโดดไปถึงโซฟาอีกตัวที่อยู่อีกฟากหนึ่งของมุมห้องเสียแล้ว ปล่อยให้เจ้าน้องเล็กนั่งตาปรือขมวดคิ้วมุ่นอยางขัดเคือง ก่อนที่จะคลานขึ้นไปนอนหมดสติบนโซฟาตัวเดิมอย่างสิ้นมาดสมาชิกวงบอยแบนด์สุดเท่ ชวนให้อดนึกสงสัยไม่ได้เหมือนกันว่า ถ้าเจ้าตัวตื่นขึ้นมาแล้ว จะยังจำได้ไหมว่าได้เกิดอะไรขึ้นกับตัวเองไปบ้าง
เหยื่ออีกรายที่ได้เห็นแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับสมาชิกทั้งสองคนเมื่อก่อนหน้านี้ ทำท่าระวังเต็มที่ แต่ดูเหมือนจะไม่ทันเสียแล้ว เมื่อหัวหน้าวงตัวร้ายกระโดดมาถึงตัวชุนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอาแขนแข็งแรงทั้งสองข้างรัดตัวเขาเอาไว้แน่น พร้อมกับรอยยิ้มที่ดูยังไงมันก็รอยยิ้มของปิศาจชัดๆในความคิดของเขาวินาทีนั้น
แต่เอาน่า ดูๆไปแล้วเขาน่าจะพอสลัดหลุดไหว
ถ้าไม่ใช่เพราะมีแขนอีกคู่หนึ่งรัดตัวเขาเอาไว้อีกแรง
ทำไมเขาถึงได้สะเพร่าอย่างนี้ ทำไมถึงไม่เอะใจสักนิดว่า พี่เจนั่งอยู่ข้างๆ!!! พี่เจที่แสนอ่อนโยน อบอุ่น เป็นห่วงเป็นใย และใส่ใจกับทุกคน ชุนบอกได้เลยว่าเขารักพี่เจมากเหลือเกิน แต่ต้องไม่ใช่พี่เจที่ชอบแกล้งคนอื่นเป็นชีวิตจิตใจในขณะที่ใครก็ห้ามแกล้งพี่เจเด็ดขาดแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ได้ร่วมไม้ร่วมมือกับพี่ใหญ่ของวงอีกคนแกล้งน้องๆในวงอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ยด้วยยิ่งแล้ว...
ชุนเอ๋ย... วันนี้มันวันซวยอะไรของเอ็งหนอ
ไม่ใช่แค่โยที่ร้องท่อน “Baby, I Love You” ใส่หูเขาแบบจังๆ ยังมีเจที่ขอร้องท่อนตัวเองด้วยเสียงที่โคตรจะเซ็กซี่กรอกหูเขาอีกข้างด้วย และน่าจะเหมือนเป็นการทำโทษที่บังอาจรู้ทันและคิดจะขัดขืนการแกล้งของพวกพี่ทั้งสองคน โยจึงกดจมูกฝังลงกับแก้มข้างหนึ่งของเด็กหนุ่ม ในขณะที่อีกข้างตกเป็นของพี่ชายหน้าสวยไปอย่างไม่ต้องสงสัย จนเป็นที่สาแก่ใจแล้วนั่นแหละ พี่ชายคนโตตัวแสบของวงทั้งสองคนจึงยอมปล่อยเขาให้เป็นอิสระแต่โดยดี ในขณะที่เขานั่งทำหน้าปูเลี่ยนๆพร้อมกับรำพึงในใจอย่างคนหมดอาลัยตายอยากและไร้ทางสู้กับตัวเองว่า
มันวันซวยอะไรหนอ ถึงได้ถูกผู้ชายสองคนพร้อมใจกันหอมแก้มเขาอย่างมันเขี้ยวขนาดนี้ ทำไมเขาจะต้องมาใช้ชีวิตอยู่กับคนที่บ้าการสัมผัสอย่างพี่โย และคนที่บ้าแกล้งคนแบบห่ามๆอย่างพี่เจด้วย ก่อนจะหันไปมองสองพี่ชายของวงที่กำลังหัวเราะชอบใจพร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งตีกันกลางอากาศราวกับว่า ไอ้ที่ทำลงไปนั่นเป็นการกู้โลกอะไรสักอย่าง
มันน่าเจ็บใจที่คนเป็นน้องอย่างเขาต้องยอมอย่างไร้ทางสู้เช่นนี้ จะมีใครมาสนใจกับความทุกข์อันนี้หรือ ก็ไม่ เพราะที่จริงเขาควรจะทำตัวให้ชินกับมันได้แล้วต่างหาก จะโอดครวญไปทำไมมี
แผนการกลั่นแกล้งสมาชิกในวงหยุดลงแต่เพียงเท่านั้น เมื่อมีเสียงเรียกให้พวกเขาเตรียมตัวเข้าห้องอัดกันได้แล้ว
ทีพี่เจล่ะรอด
เหยื่อทั้งสามรายคิดในใจราวกับนัดกันไว้ มาคิดดูโลกนี้มันช่างไม่มีความยุติธรรมเอาเสียเลยจริงๆ ในขณะที่พวกเขาทั้งสามคนต้องตกเป็นเหยื่อในการแกล้งของหัวหน้าวง แต่พี่อีกคนกลับรอดตัวไปอย่างน่าเจ็บใจ แถมน้องอย่างพวกเขาจะเอาคืนก็ไม่ได้เสียด้วย มีหวังพี่เจงอนตาย ไม่อย่างนั้นก็ต้องโดนรังสีอำมหิตแผดใส่ หรืออย่างแย่ก็อดกินอะไรอร่อยๆฝีมือพ่อครัวประจำวงไปอีกหลายวันแน่ๆ
วงที่ไร้ความยุติธรรมนี้ มีคนแค่คนเดียวเท่านั้นที่แกล้งพี่เจแล้วไม่โดนว่า ก็คือพี่โย... หัวหน้าวง
และดูเหมือนว่าวันนี้โชคจะเข้าข้างน้องชายทั้งสามคนเสียแล้ว เมื่อเห็นหัวหน้าวงยืนส่งยิ้มและส่งสายตาเป็นนัยมาให้ ก่อนจะยกนิ้วชี้ขึ้นแตะที่ริมฝีปาก พวกเขาไม่รู้หรอกว่าพี่โยจะทำอะไร รู้แต่ว่างานนี้เล่นตามน้ำอย่างเดียวก็พอ
สนุกล่ะครับท่านผู้อ่าน
อย่างดีก็คือพี่เจจะโดนแกล้งเหมือนกับพวกเขา อย่างแย่พี่โยก็โดนเอาคืน แต่จะแบบไหน น้องๆอย่างพวกเขาไม่นึกอยากรู้ ขอรอดูอย่างเดียวล่ะงานนี้
********************
การอัดเสียงรอบแรกเป็นไปด้วยดี ข้อผิดพลาดๆเล็กๆน้อยๆแทบจะไม่เกิดขึ้น หรือไม่ก็ต้องนับว่าน้อยมาก เด็กหนุ่มทั้งห้าคนยิ่งรู้สึกมั่นใจมากขึ้นเมื่อได้ฟังเพลงใหม่ที่พวกเขาเพิ่งร้องจบไป ก่อนที่จะขอร้องใหม่อีกหนึ่งรอบ และเพื่อเป็นการเผื่อเหลือเผื่อขาด รอบที่สามจึงตามมาติดๆ โดยที่น้ำเสียงของคนทั้งห้าไม่ตกลงไปเลยสักนิด
“ขอลองใหม่อีกรอบได้ไหมครับ” จู่ๆหัวหน้าวงก็พูดใส่ไมค์ผ่านลำโพงไปยังซาวนด์เอ็นจิเนียร์และโปรดิวเซอร์ที่นั่งถัดออกไปอีกห้อง โดยมีเพียงกระจกแข็งแรงแต่ใสแจ๋วกั้นอยู่เท่านั้น
“โอเคครับ” ซาวนด์เอ็นจิเนียหนุ่มใหญ่ท่าทางใจดีผิดกับหน้าตาว่าพลางยิ้มตอบกลับไป นอกจากเจที่ไม่นึกสงสัยอะไร น้องๆอีกสามคนก็แอบลอบยิ้มกับพี่ใหญ่ของวงโดยไม่ยอมโตกตากอะไรออกมาให้เป็นที่ผิดสังเกตแม้แต่นิดเดียว
ดนตรีในช่วงอินโทรดังขึ้นทำให้อดไม่ได้ที่จะโยกศีรษะตามไปด้วย เริ่มด้วยเสียงของแม็กในโทนแหลมสูงแต่ก็มีพลังเหลือหลาย ต่อด้วยเสียงของเจที่ประสานรับกับเสียงของซันและโยสลับกับชุน แล้วก็เข้าท่อนฮุกโดยมีเสียงของพวกเขาทั้งห้าคนประสานรวมกัน
จนถึงท่อนบริดจ์ ก่อนเข้าท่อนประสานท่อนที่สอง
เจเปล่งเสียงหวานใสแต่กังวานจับใจออกมา ก่อนที่จะเป็นโย... เจ้าของท่อนที่ต้องร้องว่า “Baby, I Love You” ต่อจากท่อนของเขา
แต่... แล้วมันเรื่องอะไรที่หมอนี่จะต้องร้องท่อนนี้ข้างหูเขาแบบนี้ด้วย!
“เฮ้ย....” เจร้องลั่นขึ้นมา “ทำบ้าอะไรเนี่ย…” แม้ปากจะหันไปแว้ดกับไอ้คนตัวสูงที่ยืนยิ้มกริ่มและทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างน่าหมั่นไส้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าใบหน้าขาวๆนั้นขึ้นสีชมพูระเรื่อไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย มือข้างหนึ่งกุมหูข้างที่โดนเสียงทุ้มนั้นมาทำให้เสียสมาธิอย่างรุนแรงจนทำอะไรไม่ถูก เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากล่างเบาๆอย่างคนที่รู้สึกขัดใจเป็นที่สุด
“เป็นอะไรหรือเปล่า” ซาวนด์เอ็นจิเนียร์ที่อยู่อีกห้อง ถามผ่านเฮดโฟนอันใหญ่ที่ครอบหูของเด็กหนุ่มทั้งห้าคนเอาไว้
“ปละ... เปล่าครับ” เจระล่ำระลักตอบ “ขอใหม่อีกครั้งนะพี่ ขอโทษครับ เสียสมาธินิดหน่อย” พูดจบ หางตากลมโตแต่แฝงแววเฉียบคม เหลือบมองไปยังคนตัวสูงที่ยังคงทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างแนบเนียน
เสียงเพลงดังขึ้นในหูอีกครั้ง และเมื่อถึงท่อนเจ้าปัญหา
“ไอ้.....” เจโวยวายขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่จะหันไปมองหน้าตัวต้นเหตุของอาการหลุดของเขา “หยุดเลยนะ!” น้ำเสียงที่ห้ามนั้นฟังดูเด็ดขาดก็จริง แต่ไอ้อาการเขินนี่สิมันมาจากไหนกัน แล้วมันเรื่องอะไรเขาจะต้องหน้าแดงกับเสียงทุ้มๆของหมอนี่ตอนมากระซิบ ‘ท่อนนี้’ ข้างหูเขาด้วย
เจชูนิ้วขึ้นอย่างมาดร้ายไปยังหัวหน้าวงที่ทำท่ากลั้นหัวเราะเต็มที่ ส่วนผู้สมรู้ร่วมคิดอีกสามคนตีหน้าซื่อทั้งๆที่อยากจะหัวเราะออกมาใจแทบขาด
“ขอโทษครับพี่” เจยกมือขึ้นไหว้หน้าจ๋อย “ขออีกรอบเถอะนะครับ” ก่อนจะยิ้มเจื่อนๆออกมาอย่างคนรู้สึกผิด... ทั้งๆที่ความผิดนั้นเกิดจากไอ้เจ้าหัวหน้าวงที่ยังตีหน้ามึนอยู่นี่ต่างหาก เพลงนี้เขาต้องเปิดหูฟังข้างหนึ่งเอาไว้เสียด้วยสิ เข้าทางพอดีไปหรือเปล่า
เพลงเดิมถูกเปิดดังขึ้นเป็นรอบที่สาม และพอใกล้จะถึงท่อนเจ้าปัญหา...
หนนี้ยังไม่ทันที่โยจะได้ทำอะไร คนบ้าจี้อย่างเจกลับหลุดหัวเราะออกมาเสียก่อน ทำเอาอีกสี่คนที่เหลือระเบิดเสียงหัวเราะออกมาในที่สุด
การแกล้งเจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำ เป็นอันต้องได้เห็นผลอันคุ้มค่ากลับมาทุกครั้ง
“หยุดเลย พอก่อนเลยนะ” ปากแม้จะว่าออกไป แต่ตัวเองกลับหยุดหัวเราะไม่ได้ มือข้างหนึ่งปิดปากพร้อมกับหัวเราะออกมาเต็มที่จนตาหยี มืออีกข้างกุมท้องเอาไว้ ทั้งขำทั้งเคือง
“ขอบคุณครับพี่ พอแล้วครับ” เสียงทุ้มใหญ่ของหัวหน้าวงดังขึ้นอย่างร่าเริง ขณะส่งสัญญาณมือให้กับซาวนด์เอ็นจิเนียร์และโปรดิวเซอร์ที่กำลังนั่งหัวเราะชอบใจกับความขี้เล่นของสมาชิกในวงอยู่อีกห้องหนึ่งเหมือนกัน
“โอเค เรียบร้อยครับ” ซาวนด์เอ็นจิเนียร์ชูนิ้วโป้งขึ้น ก่อนจะส่งยิ้มกว้างมาให้
“อ้าว” เจ หยุดหัวเราะไปแล้ว แต่กลายเป็นว่างงงวยกับปฏิกิริยาของทุกคน ก่อนจะหันไปถามโยด้วยความสงสัยเต็มที่ “แล้วไม่อัดเสียงต่อแล้วเหรอ”
“ไม่ต้องแล้ว” โยตอบกลับไปยิ้มๆ ยิ่งเห็นดวงตากลมโตมองแป๋วกลับมาแบบใสซื่อด้วยแล้ว รอยยิ้มของเขาก็ยิ่งกว้างขวางขึ้นไปอีก ก่อนจะก้มหน้ากระซิบข้างๆหูเพื่อนหน้าสวยว่า “อัดเสร็จไปตั้งนานแล้ว”
โดยไม่ทันได้สังเกต สมาชิกในวงอีกสามชีวิตที่เห็นท่าไม่ดีก็ค่อยๆย่องออกจากห้องอัดไปแบบเงียบๆ โดยไม่ขออยู่รอดูชะตากรรมของพี่ใหญ่หัวหน้าวง ในใจคิดแค่ว่า ถึงจะรักพี่แค่ไหน แต่สุดท้ายมันก็ต้องรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดีเอาไว้ก่อนล่ะครับ
“อ๋อ นี่คือ วางแผนแกล้งเรา” คนถามยืนกอดอกและมองหน้าตัวต้นเหตุอย่างเอาเรื่อง
“กลัวไม่ยุติธรรมไง” นอกจากจะไม่สำนึกแล้วยังกล้าย้อนกลับมาอีกต่างหาก ทำเอาอดรู้สึกฉิวขึ้นมาไม่ได้ “โกรธเหรอ” ทีอย่างนี้มาทำเสียงอ้อน
เจไม่เพียงแต่ไม่พูดอะไร แต่ยังยืนหันหลังให้คนตัวสูงอีกต่างหาก ปฏิกิริยาที่ผิดคาดแบบนี้ทำเอาโยใจเสียขึ้นมาทันที คนอย่างเจ ถ้าไม่พอใจอะไรสู้ให้โวยวายออกมายังจะดีเสียกว่าเงียบไปเลยแบบนี้
“เจ... โกรธเราเหรอ” ร่างนั้นยังไม่ยอมหันมามองเขา โยโอบแขนรัดร่างนั้นเบาๆก่อนจะเอาคางเกยกับไหล่ของอีกฝ่ายที่กำลังรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่เป่ารดหูและไออุ่นจากร่างกายอันแสนคุ้นเคยนั้น “ขอโทษ”
เกิดความเงียบขึ้นในห้องนั้นอยู่เป็นครู่
“ไม่ได้โกรธ” เสียงแหบหวานนั้นเอ่ยขึ้นเบาๆ ทำเอาโยใจชื้นขึ้นเป็นกอง
“แต่ว่า...” ยังไม่ทันที่ร่างสูงใหญ่จะได้ตั้งตัว ร่างขาวๆของเจก็หันกลับมาพร้อมกับเหวี่ยงกำปั้นใส่ต้นแขนแข็งแรงของเจ้าหัวหน้าวงที่วันนี้ทำตัวป่วนได้ใจดีเหลือเกินดังพลั่ก
“โอ๊ย...” เสียงทุ้มนั้นร้องประท้วงออกมาเบาๆ “เจ็บ...” ได้แต่โอดครวญเสียงอ่อย
“แต่ก็ไม่ถึงกับตายนี่ ใช่ไหม” พูดจาอ่อนหวานไม่เข้ากับหน้าตาเลยให้ตายเหอะ เขาได้แต่คิดอย่างประชดชีวิตกับตัวเองในใจ
“ถือว่าหายกันแล้วนะ” เสียงทุ้มๆนั้นยังคงออดอ้อนไม่เลิก แล้วไหนจะทำหางตาตกจนน่าสงสารนั่นอีก ต่อให้ใจแข็งแค่ไหน เด็กหนุ่มหน้าสวยก็คงโกรธได้ไม่นานหรอก แต่จะให้ยกโทษให้ง่ายๆก็คงจะไม่ได้เหมือนกัน เสียชื่อคนอย่างเจหมด
“ยัง” น้ำเสียงนั้นยังคงเด็ดขาดไม่เปลี่ยนแปลง
“จะให้ทำยังไงถึงจะหายงอน”
เจไม่ตอบ ได้แต่ใช้ดวงตากลมโตคู่นั้นจ้องมองเข้าไปในดวงตาเรียวยาวของคนตัวสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างไม่ลดละ ก่อนที่อีกฝ่ายจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นอย่างยอมจำนนในที่สุด
“มื้อเย็นนี้เดี๋ยวเราพาไปเลี้ยงอาหารอิตาเลี่ยนร้านที่นายชอบก็แล้วกัน ดีไหม” โยยื่นข้อเสนอ
ดวงตากลมโตคู่เดิมยังคงจ้องมองเขานิ่งอยู่อย่างนั้น
“กระเป๋าใบใหม่ด้วยอีกใบก็ได้ พอใจหรือยัง”
รอยยิ้มอ่อนหวานปรากฏขึ้นบนใบหน้างามอย่างยินดีและเต็มไปด้วยความพึงพอใจอย่างที่สุด
“ต้องอย่างนี้สิ” คิดจะแกล้งเจก็ต้องทำใจยอมรับผลที่ตามมาหน่อยล่ะ “งั้นไปกันเลย” พูดยังไม่ทันขาดคำ ข้อมือขาวๆก็ถูกคนตัวสูงคว้าเอาไว้
“เดี๋ยว” ก่อนจะออกแรงดึงร่างที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเซปัดเข้ามาและคงจะล้มลงไม่เป็นท่าแน่ๆ ถ้าอ้อมแขนแข็งแรงของโยไม่อ้ารับเอาไว้ชนิดพอเหมาะพอเจาะ
“อะไรเล่า” เสียงประท้วงนั้นไม่สู้จะเด็ดขาดนัก แถมยังไม่ได้แสดงอาการขัดขืนสักเท่าไหร่อีกต่างหาก คนกอดก็เลยพลอยจะได้ใจไปด้วย
“ท่อนที่เราร้องให้นายฟังน่ะ...” เสียงนุ่มทุ้มกระซิบข้างหูของเขาอย่างอ่อนโยน “เราหมายความตามนั้นจริงๆนะ”
ไม่ต้องก้มลงมองก็รู้ว่าคนในอ้อมกอดหน้าแดงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ร่างที่ดูเล็กกว่าเขาไปถนัดใจเวลาอยู่ด้วยกันดิ้นขลุกขลักอยู่สักพัก ก่อนจะค่อยๆผละออกมาจากอ้อมอกแข็งแรงนั้น
“ปล่อยได้แล้ว” เสียงนั้นเอ่ยออกมาเบาๆ แต่ก็ยังไม่ยอมสบตากับเขาเสียที
“ปล่อยก็ได้” โยยิ้มน้อยๆ “อยากให้พูดให้ฟังอีกไหม”
“ไม่ต้องแล้ว”
“Baby… I Love…” ก็เพราะน้ำเสียงแบบนี้ไงเล่า หัวใจของเขามันถึงได้เต้นแรงเสียจนจะทะลุออกมานอกอกอยู่แล้ว
“รู้แล้ว.....” เสียงนั้นเอ่ยอ้อมแอ้มออกมาเสียจนแทบไม่ได้ยิน
“หือ... ว่ายังไงนะ” ใบหน้านั้นก้มต่ำลงมาอีก
“บอกว่ารู้แล้ว ไม่ต้องบอกแล้ว” พูดเสร็จก็เหวี่ยงกำปั้นเข้าใส่ร่างนั้นอีกที แต่ดูเหมือนจะเบากว่าเดิมไปโข “จะไปกันได้หรือยัง หิวแล้ว” ก่อนจะหมุนตัวเดินจ้ำพรวดออกไปอย่างรวดเร็วและไม่อยู่รอคำตอบอะไรอีก
โยถึงกับยืนปิดปากหัวเราะชอบใจ เมื่อเห็นอาการเขินจนไปไม่เป็นของเจแบบนั้น
เอาน่า แลกกับอาหารมื้อนึงแล้วก็กระเป๋าอีกใบนึงก็น่าจะคุ้มค่าล่ะ
“รอด้วยซี” เด็กหนุ่มเอ่ยตามหลัง ก่อนจะรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามออกไปทันที
********************
มันก็ดีอยู่หรอก
ได้มากินอาหารอิตาเลี่ยนร้านอร่อย (ที่พี่เจอยากมากิน) แถมกินฟรีเพราะมีเจ้ามือใจป้ำอย่างพี่โย แต่... เคยไหม ที่จะมีใครมาถามน้องๆอย่างพวกเขาว่า อยากกินอะไร อยากไปที่ไหน ชอบหรือไม่ชอบยังไง นี่ยังดีนะที่พวกเขากินง่ายอยู่ง่าย ไม่เรื่องมาก ถึงได้เออออห่อหมกไปกับพี่ชายทั้งสองคนได้เกือบทุกเรื่อง
แต่ไหนล่ะ...
พี่เจที่โกรธพี่โยหัวฟัดหัวเหวี่ยง พี่เจที่ไม่ยอมให้ใครมาหยามได้ พี่เจที่แสนจะใจแข็งของน้องๆ
แล้วภาพที่เห็นนี่มันอะไรกัน
พี่เจคนนั้นไม่ใช่พี่เจคนเดียวกับที่อยู่กับพี่โยตอนนี้แน่นอน เพราะตอนนี้พี่เจของพวกเขายิ้มหัวอย่างมีความสุขอยู่กับพี่ใหญ่หัวหน้าวง แถมพูดคุยกันราวกับมีกันอยู่แค่สองคนในโลก ยังไม่นับไอ้เรื่องที่แอบได้ยินมาด้วยว่า พี่โยยอมซื้อกระเป๋าใบใหม่ให้ด้วยอีกต่างหาก
ดูเอาเถอะ
ทั้งที่พวกพี่ก็ไม่ได้ทำอะไรที่ดูพิเศษกว่าเพื่อนคนอื่น แต่ทำไมบรรยากาศรอบตัวพี่สองคนมันถึงได้อ่อนหวานแล้วก็อบอุ่นเกินเหตุนักก็ไม่รู้ แค่พี่โยตักอาหารให้พี่เจ เลื่อนจานให้ ใส่เครื่องปรุงให้ พี่เจอยากได้อะไร พี่โยก็ยอมตามใจทุกอย่าง แค่นั้นเอง
เอาเถอะ อย่างน้อยเวลามีอะไรดีๆ น้องๆอย่างพวกเขาก็พลอยได้รับอานิสงฆ์ไปด้วย ถือว่าหยวนกันไปก็แล้วกัน
แต่มีแค่อย่างเดียวเท่านั้นที่เด็กหนุ่มทั้งสามคนมีความเชื่อเหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ตั้งแต่มาอยู่กับพวกพี่ พวกเขาได้เรียนรู้สัจธรรมข้อหนึ่งว่า
ความยุติธรรมมันไม่มีอยู่ในโลกนี้จริงๆ!
___________________________________
เอาตอนที่สองมาส่งให้แล้วนะคะ นานๆจะได้เห็น โย ในมุมขี้เล่นแล้วก็ป่วงขนาดนี้บ้าง ก็เข้าท่าดีเหมือนกัน คนอ่านจะได้ไม่ลืมว่า น้องๆในวงนี้ยังเป็นเด็กกันอยู่ไงคะ
ขอบคุณที่ยังติดตามกันอยู่ตลอดค่ะ