สวัสดีครับ ตอนสุดท้ายมาแล้วครับ แล้วก็จะขอลากิจไปต่างจังหวัดซักพักตามประสาคนตกงานนะครับ นี่คือดราฟทืที่หนึ่งนะครับ ไว้มีเวลาจะขัดเกลาภาษา แก้ตัวสะกด แล้วรีทัชให้เรียบร้อยสวยงาม
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านและเป็นกำลังใจนะครับ ขอบคุณที่กดคะแนน ขอบคุณที่ลงคอมเมนท์ ผู้เขียนอ่านทีไรก็ยิ้มได้ทุกที คลายเหงาไปได้เยอะ
ขอให้มีความสุขทุกคนนะครับ
33
วิธวินท์จอดรถมอเตอร์ไซด์ข้างรถเล็กซัสสีดำคันใหญ่แล้วมองอย่างสงสัย ในใจอดคิดไม่ได้ว่าน่าจะเป็นรถของธีรดนย์เพราะรายนั้นมีรถหลายคันจนเขาแปลกใจว่าคนๆ เดียวขับรถอะไรมากมาย
...แต่ธีรดนย์มาทำไม มายุ่งอะไรอีกกับภิรายุ ไหนภิรายุบอกว่าตัดใจจากธีรดนย์ได้แล้ว และธีรดนย์เองพักหลังก็มาจีบเขาแบบรุกหนักกว่าเดิมและประกาศออกมาว่าไม่ได้รักและยังไงๆ ก็ไม่เลือกเพื่อนของเขา แต่ทำไมยังมายุ่งกับภิรายุ...
วิธวินท์ก้าวเท้ายาวขึ้น เร่งเดินให้ถึงห้องทำงานของภิรายุไวๆ ในใจรู้ว่ากำลังมีอะไรบางอย่างผิดปกติ
...สีหน้าของธีรดนย์ครั้งล่าสุดที่มาตื๊อเขานั้นดูแปลกๆ...
วิธวินท์ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งนาทีก็มาถึงห้องทำงานของเพื่อน จริงดังคาด รถคันนั้นเป็นของธีรดนย์ ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มคนที่เข้ามาทำให้ชีวิตของคนหลายคนยุ่งเหยิงกำลังยืนหันหลังให้เขา และบดบังร่างของภิรายุเกือบมิด
“คุณดนย์ มาทำไม” วิธวินท์ถามเสียงดังเมื่อเดินเข้ามาใกล้
ธีรดนย์สะดุ้งและหันหน้ามา แล้วทำท่าอึกอัก ภิรายุรีบหันหน้าหนี แต่ช้าเกินกว่าที่วิธวินท์ทันได้มองเห็นใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มอยู่เป็นนิจตอนนี้กำลังร้องไห้
“คุณทำอะไรภิรายุ ทำไมมายุ่งกับภิรายุอีก” วิธวินท์ถามเสียงห้วน ก้าวเข้ามาใกล้กว่าเดิม แล้วเอื้อมมือจะไปดึงแขนภิรายุออกมาจากด้านหลังของธีรดนย์ซึ่งรีบยกมือขึ้นขวาง
“ผมไม่ได้ทำอะไร ผมแค่มาคุยธุระกับคุณภิรายุ”
“แล้วทำไมร้องไห้” วิธวินท์เสียงกร้าว เอียงตัวมองเพื่อนที่ยืนก้มหน้าสะอื้น “ภิรายุ บอกเรามาว่าคุณดนย์ทำอะไร”
“วิธวินท์ ผมจะไปทำอะไรคุณภิรายุ มาถึงก็จะเอาเรื่องผมให้ได้หรือไง”
“ทำไมคุณจะไม่ทำ คุณเข้ามาในชีวิตและมาเล่นกันความรักและหัวใจของคนดีๆ คนหนึ่ง คุณไม่รู้หรอกว่ามันทำให้เขาเจ็บปวดแค่ไหน” วิธวินท์พูดพร้อมกับยกนิ้วจิ้มหน้าอกของธีรดนย์แรงๆ
“วินท์ พอเถอะ” ภิรายุรีบแทรกขึ้นมา แล้วยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามฝืนยิ้ม
“คุณถอยไป” วิธวินท์สั่งธีดรนย์ซึ่งยอมขยับตัวให้พ้นทางโดยง่าย
“กลับเถอะ” วิธวินท์คว้าข้อมือเพื่อนแล้วดึงให้เดินตาม ก่อนจะหันมาพูกับธีรดนย์เสียงเข้ม “ออกไปจากชีวิตเพื่อนผม อย่ามาทำร้ายภิรายุอีก”
“วินท์” ภิรายุท้วง “คุณดนย์ไม่ได้...”
“ไม่ได้ทำร้ายนาย แล้วที่ร้องไห้นี่เพราะอะไร”
“เพราะเจ้าของที่ดินโรงเรียนนี้ต้องการที่คืน” ธีรดนย์ตอบแทนเจ้าของโรงเรียน
“คุณดนย์ อย่านะครับ” ภิรายุรีบห้าม
วิธวินท์หันขวับมาจ้องหน้าภิรายุอย่างไม่เชื่อสายตา หูได้ยินเสียงของธีรดนย์พูดว่า “คุณภิรายุครับ จะปิดเพื่อนไปทำไม ในเมื่อวิธวินท์ก็เป็น...”
“ทำไมไม่บอกเรา” วิธวินท์แทรก ไม่สนใจที่จะฟังธีรดนย์ต่อ “ทำไมบอกเขาแต่ไม่บอกเรา ทำไมเขารู้แต่เราไม่รู้”
“เราไม่อยากจะ...” ภิรายุขมวดคิ้ว ท่าทางอึดอัด ไม่รู้จะพูดอะไรดี
“แล้วร้องไห้เพราะเรื่องนี้หรือ เราไม่เชื่อหรอก” วิธวินท์เสียงห้วน แล้วหันไปเอาเรื่องธีรดนย์ต่อ “ผมรู้จักเพื่อนผมดี ภิรายุเป็นคนเข้มแข็ง แม้โรงเรียนจะถูกยึด เพื่อนผมก็ไม่มีวันร้องไห้ คุณไม่ต้องมาเบี่ยงเบนให้ผมเข้าใจผิดว่าที่ภิรายุร้องไห้อยู่นี่เพราะเสียดายโรงเรียน ไม่ใช่เพราะคุณทำให้ร้องไห้”
“ใช่ ผมทำให้คุณภิรายุร้องไห้ พอใจหรือยัง” ธีรดนย์เสียงเข้มขึ้น “แต่ความจริงก็คือความจริง เพื่อนคุณก็ดูเหมือนจะยอมรับความจริงได้แล้ว”
“พอเถอะวินท์ ช่างเถอะ” ภิรายุขอร้อง ทำท่าจะร้องไห้อีกครั้ง
“ไปรอเราที่รถ” วิธวินท์บอกภิรายุ นัยน์ตาแน่วแน่
“วินท์” ภิรายุเม้มปาก มองตาวิธวินท์อย่างอ้อนวอนเพราะไม่ต้องการให้มีเรื่อง
“เราจะตกลงกับเขาให้รู้เรื่อง” วิธวินท์พูดเสียงค่อย บีบข้อมือของเพื่อนเบาๆ นัยน์ตาเยือกเย็น
ภิรายุถอนหายใจ แล้วก้มหน้าเดินไปช้าๆ ยอมทำตามที่วิธวินท์บอก สายตาของวิธวินท์นั้นแน่วแน่ การที่ได้รู้จักสนิทสนมกันมาเป็นเวลานานและฝ่ายนั้นคอยปกป้องดูแลมาตลอดทำให้ชายหนุ่มฟังเพื่อนแต่โดยดี
ครั้นภิรายุเดินพ้นไปแล้ว วิธวินท์ก็หันมาเผชิญหน้ากับธีรดนย์ต่อ
“คุณก็รู้ว่าผมไม่คิดจะทำร้ายภิรายุ ผมรู้ว่าภิรายุเป็นคนดี และ...”
“และเป็นเหมือนคนอื่นๆ ที่คุณได้แล้วทิ้ง คนเจ้าชู้อย่างคุณก็คิดอยากลองของแปลกใหม่ พอสมใจ พอรู้รสแล้ว ก็หาคนอื่นต่อไป” วิธวินท์สวนกลับ ไม่รอให้ธีรดนย์ได้อธิบาย
“คุณมองผมในแง่ร้าย”
“ผมไม่ต้องการให้คุณทำร้ายเพื่อนผม”
“งั้นหรือ ดูคุณห่วงภิรายุมากเลยนะ” ธีรดนย์เค้นเสียง หรี่ตาลงช้าๆ แล้วพูดเสียงค่อยลงว่า “หรือห่วงตัวเอง”
“เราเป็นเพื่อนกัน ผมคอยดูแลปกป้องภิรายุมาตลอด” วิธวินท์ยังคงพูดเสียงห้วน ไม่สนใจประโยคสุดท้ายของธีดนย์
“คราวนี้คุณจะปกป้องเขาอีกหรือ คุณทำไม่ได้หรอกวิธวินท์ ภิรายุรักผม แต่ผมไม่ได้รักเขา เพราะฉะนั้นเขาก็จะต้องเสียใจเป็นธรรมดา คุณจะปกป้องเขาไม่ให้เสียใจไม่ได้ คุณทำได้แค่ปลอบ”
“ใครก็รักภิรายุได้ทั้งนั้น คนดีแบบนี้ จิตใจบริสุทธิ์ จริงใจ นุ่มนวล อ่อนโยน ใครอยู่ใกล้ก็สบายใจ ถ้าคุณยอมให้โอกาส เปิดใจตัวเองหน่อย ทิ้งความเจ้าชู้ของคุณ หรือไม่ก็ลดลงมาซักครึ่งหนึ่ง ยอมที่จะเรียนรู้ศึกษากันและกันให้ลึกซึ้ง คุณก็จะรักภิรายุได้ไม่ยาก” วิธวินท์โน้วน้าวธีรดนย์
“ถ้าไม่มีคุณ นั่นอาจจะใช่” ธีรดนย์พูดช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ
“คุณธีรดนย์” วิธวินท์พึมพำเสียงเบา
“ผมไม่ใช่สิ่งของ อย่ามาบริจาคผมให้ใคร” ธีรดนย์เสียงเข้มขึ้น เดินเข้ามาประชิดตัววิธวินท์ อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังตะลึง ยกมือขึ้นจับต้นแขนทั้งสองข้างของชายหนุ่มแล้วดึงเข้ามาหาตัว
“ผมรักคุณ ผมไม่ได้รักภิรายุ ถึงคุณจะผลักใสผมให้เพื่อน หรือสลัดผมทิ้งไป คุณจะแน่ใจได้หรือว่าผมจะกลับไปหาเขา” ธีรดนย์เสียงอ่อนลง น้ำเสียงต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
“คุณรักใครได้ด้วยหรือ” วิธวินท์พึมพำราวพูดกับตัวเอง
“ผมก็มีหัวใจนะวิธวินท์” ธีรดนย์มองตาชายหนุ่มอย่างอ้อนวอน “คุณต่างหากที่ต้องให้โอกาส ยอมเปิดใจตัวเองและมองผมเสียใหม่ ถ้าผมไม่คลั่งคุณขนาดนี้ ผมจะตามตอแยคุณทำไม ผมจะทำอะไรงี่เง่าไร้สาระแบบที่คนทั่วไปไม่ทำหรือ ผมไม่ทุ่มทุนมหาศาลหรือพยายามมายาวนานขนาดนี้เพื่อได้ใครแล้วทิ้งหรอก”
ภิรายุผละกระถางต้นไม้ต้นใหญ่ใกล้มุมเสาแล้วเดินตรงไปที่รถช้าๆ ใบหน้าเยือกเย็น รู้สึกตัวเบาหวิวเหมือนจะลอยหายขึ้นไปบนฟ้า คำพูดของธีรดนย์ยังดังก้องอยู่ในหัว ทั้งคำพูดก่อนที่จะวิธวินท์จะมา และหลังจากที่วิธวินท์มาถึงแล้ว
...คำพูดที่เขาเพิ่งได้ยินสดๆ ร้อนๆ...
เมื่อถึงรถ ชายหนุ่มหันกลับไปมองอาคารเรียนชั้นเดียวที่เพิ่งเดินจากมาด้วยสายตาเรียบนิ่ง แล้วหันไปมองรถมอเตอร์ไซด์ของวิธวินท์ที่จอดอยู่เคียงข้างรถเล็กซัสสีดำคันใหญ่ของธีรดนย์
...ตอนนี้ใช่ไหมคือตอนที่เขากำลังถูกกระแสน้ำเชี่ยวกรากพัดร่างให้ลอยไปกระแทกโขดหิน เขาเคยพูดกับวิธวินท์ว่าตัวเองพร้อมที่จะกระโจนลงไปในหุบเหวแห่งความรัก ยอมแลกที่จะเจอความทุกข์เพื่อให้รู้สึกถึงความสุข แม้จะเป็นช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น เคยบอกตัวเองว่าเตรียมใจไว้แล้วเพราะรู้ว่าธีรดนย์เป็นคนเจ้าชู้และไม่ชอบการผูกมัด แต่ทว่า ตอนนี้เขาไม่แน่ใจแล้วว่ามันจะคุ้มกันหรือเปล่าเพราะดูเหมือนว่าช่วงเวลาทุกข์อาจจะยาวนานและเข้มข้นกว่า เวลานี้ ไม่ใช่แค่น้ำพัดลอยไปกระแทกไปอัดอยู่ในซอกหิน แต่โดนซุงท่อนใหญ่ที่ลอยมากับน้ำเชี่ยวอัดเข้าไปซ้ำ...
...ไม่ยุติธรรมเลย ไม่ยุติธรรมสักนิด...
...ทำไม...
...ครั้งแรกของเขา ทำไมต้องเป็นวิธวินท์ ทำไม...
ศรายุธเบิกตากว้างอย่างแปลกใจเมื่อเดินเข้าไปในผับแล้วเห็นภิรายุนั่งดื่มอยู่ที่เคาท์เตอร์บาร์ท่าทางหงอยๆ คืนนี้เขามีนัดกับเพื่อนที่นานๆ ทีนัดกันมาสังสรรค์ แต่เขามาถึงเร็วกว่าที่คิด
ภิรายุสวมเสื้อเชิร์ทสีขาวกางเกงสีเบจเช่นเคย นั่งนิ่งมองออกไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้สึกตัวแม้ว่ามีคนเข้ามานั่งข้างๆ จวบจนศรายุธเอื้อมมือมาดึงแก้วออกไปจากมือ ชายหนุ่มจึงหันหน้ามามองช้าๆ ครั้นเห็นว่าเป็นใครจึงยิ้มกว้างออกมา แต่ศรายุธเห็นว่ารอยยิ้มที่เคยสดใสของภิรายุนั้น ตอนนี้เป็นยิ้มเศร้าสร้อย
“พี่จะไม่ถามว่าทำไมมานั่งดื่มเหล้าคนเดียว” ศรายุธพูดเสียงนุ่ม
“นี่นะไม่ถาม อายุธพูดแบบนี้ รู้ไหมครับว่าผมได้ยินยังไง” ภิรายุยิ้มแล้วเอื้อมมือไปดึงแก้วคืนจากศรายุธ
“บอกมาซิ จะเหมือนกับที่พี่คิดไว้หรือเปล่า หรือจะเหมือนกับที่วินท์จะพูดไหม”
“พูดว่า บอกมาเดี๋ยวนี้ว่ามานั่งดื่มเหล้าทำไม ไม่รู้หรือว่าเหล้ามันไม่ดีต่อร่างกาย” ภิรายุเลียนเสียงเหมือนวิธวินท์
“วินท์ไปล้อให้ฟังละสิ” ศรายุธส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะปรับให้เป็นเคร่งขรึม แล้วถามเพื่อนของหลานชายด้วยเสียงจริงจังว่า “แต่เมื่อเข้าใจคำถามแล้ว ก็ตอบพี่มาหน่อยซิ”
“เปล่า ไม่มีอะไร ผมแค่อยากดื่ม” ภิรายุส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วยกแก้วขึ้นจิบเหล้าต่อ
“เขาไม่เรียกว่าดื่ม เขาเรียกว่าจิบ” ศรายุธหันไปสั่งเครื่องดื่มจากบาร์เทน์เดอร์แล้วพูดกับภิรายุต่อ “ถ้างั้นพี่จะดื่มเป็นเพื่อน”
“อายุธ ทำไมเรียกตัวเองว่าพี่ ไม่เรียกว่าอาเหมือนเวลาคุยกับวินท์” ภิรายุถามโพล่งขึ้นมา
“ก็เราไม่ใช่อาหลานกันนี่ พี่เห็นภิรายุเป็นน้อง” ศรายุธยักไหล่
“อายุธลองมองผมเป็นอย่างอื่นหน่อยได้ไหม” ภิรายุจ้องตาศรายุธชั่วครู่แล้วหันไปดื่มเหล้าต่อ คราวนี้พรวดเดียวหมดแก้ว แล้วทำหน้าเหยเก
“ดื่มเหล้าไม่เป็นก็ยังคิดจะลองอีก ระวังเถอะจะเมาไม่รู้เรื่อง พรุ่งนี้จะรู้สึกปวดหัวแทบจะระเบิด คอยดูสิ” ศรายุธเตือนเช่นเคย
“นะครับพี่ยุธ” ภิรายุยิ้มออดอ้อนเหมือนเด็กอ้อนผู้ใหญ่
“ถ้าไม่มองเป็นน้องจะให้มองเป็นอะไรล่ะ” ศรายุธถาม รู้สึกแปลกใจที่จู่ๆ ภิรายุก็ถามอะไรแบบนี้ “นี่ใกล้จะเมาแล้วใช่ไหมถึงได้พูดอะไรไม่ค่อยรู้เรื่อง”
“อยากจะรู้จังว่าเวลาเมา คนลืมทุกอย่างได้จริงหรือเปล่า ทำไมเห็นชอบเมากันนัก” ภิรายุทำหน้าสงสัย
“พอเถอะ พี่จะพากลับบ้าน” ศรายุธยกมือห้ามบาร์เทนเดอร์ที่เดินเข้ามารับออเดอร์เพิ่มจากภิรายุที่ยกมือขึ้นเรียก
“อายุธเริ่มจะทำตัวเป็นอาผมอีกคนแล้วนะเนี่ย” ภิรายุส่ายหน้าแล้วยกมือเรียกบาร์เทนเดอร์อีกครั้งและสั่งเครื่องดื่มจนได้ “ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ ผมรู้จักโลกมนุษย์แล้วเป็นอย่างดี ไม่ใช่คุณหนูผู้ไม่ประสีประสาอีกต่อไป ไม่เข้าใจจริงๆ เลยว่าทำไมเราต้องเจ็บก่อนถึงจะรู้จักว่าความ...”
ศรายุธนั่งนิ่งฟังสิ่งที่เพื่อนของหลายชายจะพูด แต่ภิรายุก็หยุด ไม่พูดต่อ ถอนหายใจเบาๆ แล้วหันมาหาศรายุธแล้วถามคำถามที่ทำให้ศรายุธอึ้ง “อายุธรู้สึกใช่ไหมครับว่าวินท์พยายามจับคู่ให้กับเรา วินท์บอกผมว่า ผมเหมาะกับอายุธและคงจะเข้ากันได้ อายุธรังเกียจผมไหมครับ”
“เอ่อ...ไม่ ภิรายุก็เป็นคนดี” ศรายุธเสียงเบา
“ผมก็คิดมาตลอดว่าอายุธเป็นคนดี เป็นผู้ใหญ่ อ่อนโยน นุ่มนวล จริงจัง รักและห่วงใยคนอื่น ดูแลคนอื่นได้ ใครได้ไปเป็นแฟนคงเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก ผู้ชายอย่างนี้ ไม่น่าจะหลงเหลืออยู่ในยุคนี้อีกแล้ว ไม่ได้ว่าอายุธเชยนะ แต่ผมกำลังบอกว่าอายุธเป็นคนที่พิเศษ” ภิรายุยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วหันไปขอบคุณบาร์เทนเดอร์ที่ยื่นแก้วเครื่องดื่มให้
“ไม่เอานะ หยุดดื่มเถอะ เดี๋ยวเมา” ศรายุธเอื้อมมือไปดึงแก้วเหล้าจากมือภิรายุ “เหล้านี้แรง”
“กลัวอะไร เมาก็มีคนพากลับ หรืออายุธจะทิ้งผมไว้ที่นี่” ภิรายุยิ้มกว้าง ดึงเหล้ากลับคืนแล้วยกขึ้นดื่ม ก่อนจะกระแทกแก้วเหล้าลงบนเคาท์เตอร์แล้วอุทานเสียงดังว่าทำไมรุนแรงแบบนี้
“บอกแล้วไม่เชื่อ”
“มันเหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งปรู๊ดจากสมองลงไปที่หัวใจ เหมือนถูกไฟซ๊อตจนสะท้านไปทั้งตัว มิน่า คนถึงชอบดื่มเหล้า” ภิรายุสะบัดหัว มือเอื้อมไปคว้าเหล้าแก้วเดิมแล้วยกจ่อปาก แต่ศรายุธรีบแย่งแล้วบอกให้พอ
“ขอผมอีกนิดเดียว ให้หมดแก้วนี้แล้วผมจะพอ นะครับพี่ยุธ” ภิรายุทำเสียงออดอ้อน นัยน์ตาเริ่มฉ่ำเยิ้ม หัวเราะเสียงดังแล้วยื่นปากเข้าไปหาแก้วเหล้าแล้วดึงดันดื่มจนได้แม้จะมีเหล้าหกบ้างเพราะศรายุธพยายามดึงออกจากปาก
“หยุดเดี๋ยวนี้เลย ไป กลับบ้านกัน” ศรายุธลุกขึ้น จับแขนภิรายุให้ลุกตาม แล้วหันไปจ่ายเงินให้พนักงานประจำเคาท์เตอร์
“ไม่ ไม่กลับ ผมจะเมา”
“วินท์รู้จะต้องโดนดุแน่เลย” ศรายุธเอาวิธวินท์มาขู่
“ไม่กลัววินท์แล้ว” ภิรายุส่ายหน้า “ไม่สนวินท์อีกแล้ว”
ศรายุธดึงแขนภิรายุให้เดินตาม ชายหนุ่มไม่ขัดขืน เดิมตามศรายุธมาช้าๆ และเซไปเซมาบ้างหากศรายุธพาเลี้ยว
“อายุธ ผมยังไม่อยากกลับบ้าน ไม่อยากกลับ ไม่อยากอยู่คนเดียว” ภิรายุเสียงสั่นเมื่อออกมายืนอยู่หน้าประตูผับ
ศรายุธถอนหายใจแล้วหันไปมองชายหนุ่มผู้ที่เขาเคยเห็นแต่รอยยิ้มร่าเริงอยู่เป็นนิจ ตอนนี้ภิรายุยืนก้มหน้าคอตก โอนเอนไปมาโดยมีเขายืดต้นแขนเอาไว้
“อายุธอย่าทิ้งผมนะ”
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป
บารมีถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วหันไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง ลมพัดกระโชกเข้ามาวูบหนึ่งแล้วหยุด รอบตัวเงียบสงัดจนได้ยินเสียงหายใจของคนสองคนประสานกัน
“ว่าไงบารมี จะถามครั้งเดียวเท่านั้นนะ” วิธวินท์พูดขึ้นมาเบาๆ “จะมาเป็นแฟนกันไหม”
“เราก็จะตอบครั้งเดียว” บารมีมองหน้าวิธวินท์นิ่ง แล้วหันกลับไปมองสายน้ำเบื้องหน้าที่สงบนิ่ง ต่างจากในใจของเขาที่กำลังพุ่งพล่าน “แต่ก่อนอื่น เราขอถามวินท์ก่อนว่าคิดดีแล้วหรือ”
“มาถามคำถามนะ ไม่ได้มาตอบคำถาม” วิธวินท์ยังยืนอยู่ที่เดิม จับตามองแผ่นหลังกว้างของบารมี
“ไม่” บารมีพูดขึ้นหลังจากเงียบไปหลายอึดใจ “คำตอบคือไม่”
“ทำไม”
“ทำไมหรือวินท์” บารมีหันมามองวิธวินท์ช้าๆ “เพราะวินท์ไม่ได้รักเรานะสิ เราทนอยู่ในสภาพแบบนั้นไม่ได้หรอก ตอนแรกเราก็คิดจะแย่งมา คิดจะทำทุกวิถีทางให้วินท์เป็นของเราให้ได้ แต่แค่ครั้งแรกที่เราเห็นวินท์กับเขามองตากัน เราก็รู้ว่าไม่ควรเลย ไม่ควรเลยจริงๆ ไม่ควร”
“อีกหน่อยก็รักกันได้เอง จีบกันซักหน่อย” วิธวินท์พูดเสียงเบา หันไปมองสายน้ำเบื้องหน้าด้วยสายตาเรียบนิ่ง ในใจเริ่มตระหนักได้ว่าคืนนี้ไม่น่าตัดสินใจชวนบารมีออกมาเพื่อทำอะไรงี่เง่าแบบนี้เลย
“เลิกหลอกตัวเองได้แล้ว” บารมีเริ่มเสียงสั่น ขบกราม มือกำหมัดแน่น ใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ “ถึงมันไม่เหมาะสม แต่ก็ช่างมันเถอะ ความรัก ไม่จำเป็นต้องสนอะไรหรอก รักที่หัวใจสิวินท์ ไม่ใช่ความควรไม่ควร”
เช้าวันจันทร์วันนี้เป็นวันที่ยุ่งมาก ยิ่งสายงานยิ่งยุ่ง เต้ยผลักแฟ้มเอกสารออกจากตรงหน้าแล้วลุกขึ้นบิดตัวด้วยความปวดเมื่อย ก่อนจะเดินออกไปจากออฟฟิสเพื่อไปห้องน้ำ แต่เมื่อก้าวเท้าออกมาจากประตูห้องก็ชะงัก เพราะชายหนุ่มผิวเข้มคนหนึ่งเดินมาหยุดยืนขวางทางไว้
“คุณเต้ยครับ”
“ครับ” เลขาหนุ่มตอบสั้นๆ แล้วเดินทอดน่องเข้าไปหาศรายุธ
“ผมโทรหาคุณตั้งหลายครั้ง” ศรายุธยิ้มบางๆ ท่าทางอึกอักก่อนจะถามขึ้นว่า “คุณหลบหน้าผมทำไม”
“เปล่าหลบ เต้ยก็นั่งทำงานอยู่ที่บริษัทนี้ทุกวัน” เต้ยยักไหล่
“ผมโทรเท่าไหร่ก็ไม่ติด”
“โทรศัทพ์เต้ยเสีย”
“ผมโทรมาออฟฟิส”
“ไม่เห็นมีใครจดโน๊ต” เต้ยยักไหล่อีกครั้ง
“โกรธอะไรผมหรือครับ” ศรายุธทำหน้าเศร้า “บอกผมหน่อยสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ คุณถึงได้หายไปแบบนี้”
“ตอนนี้เต้ยกำลังยุ่ง ไหนจะเรื่องงาน ไหนจะเรื่องชีวิตรักคุณดนย์ เต้ยต้องคอยทำงานให้เจ้านาย ทั้งในเวลาและนอกเวลาทำงาน” เลขาหนุ่มทำหน้าอ่อนใจเมื่อพูดถึงเจ้านายที่ร้ายไม่เหมือนใคร
“ผมมาพบคุณดนย์เรื่องงานระบบคอมพิวเตอร์ที่คลับ แต่ไม่เห็น...”
“อ๋อ จะพบคุณดนย์ต้องนัดล่วงหน้านานๆ นะครับ ไม่ค่อยอยู่หรอก ออกไปวิ่งไล่จับมอเตอร์ไซด์ซิ่งกวนเมืองอยู่บ่อย ตอนนี้เขากำลังเป็นเอามาก”
“ไม่เห็นคุณ” ศรายุธเสียงเบา ตามองหนุ่มร่างบางที่ยกมือขึ้นกอดอก หย่อนเข่าซ้ายเล็กน้อย เคาะเท้ากับพื้น มองซ้ายมองขวาอย่างไม่รู้จะทำอะไร
“แล้วนี่ตกลงคุณมาหาคุณดนย์หรือเต้ย” เลขาหนุ่มถาม “อยากจะพบใครก็เลือกเอาซักคนนะครับ อย่าโลเล”
“คุณโกรธผมเรื่องภิรายุใช่ไหมครับ”
“เต้ยจะไปโกรธคุณเรื่องคุณภิรายุทำไม” เต้ยยักไหล่ ทำเสียงเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญ “ใจคนเรามันห้ามกันไม่ได้ กายก็ยิ่งไม่ได้ใหญ่ เต้ยรู้ว่าคุณต้องการเวลาตัดสินใจ”
“ผม...” ศรายุธอึ้ง พยายามคิดหาคำพูดจะมาอธิบาย ตอนนี้เขารู้สึกหนักใจและกำลังตำหนิตัวเองที่ทำเรื่องยุ่งยาก ใจที่เคยสับสนยิ่งรู้สึกยุ่งเหยิงมากกว่าเดิม
“เต้ยมาคิดๆ ดู เต้ยก็คงต้องการเวลาตัดสินใจเหมือนกันล่ะ เต้ยอาจจะไวไฟไปหน่อย เร่งรัดคุณเกินไปอย่างที่คุณว่า บางที เต้ยอาจต้องพิจารณาใหม่ ไม่ใช่คิดแต่เรื่องจะรัก รัก รัก อย่างเดียว เต้ยลืมนึกถึงความเหมาะสม ความถูกต้องทำนองคลองธรรม จะรักด้วยหัวใจอย่างเดียวและดันทุรังไม่ได้ ต้องดูความควรไม่ควรด้วย และดูให้ชัดว่าคนที่เราบอกว่ารักนั้น ที่จริงเขาอาจมีใครคนอื่นอยู่ในหัวใจ”
“หมายความว่า...” ศรายุธมองตาเลขาหนุ่มด้วยสายตาเศร้าๆ
“ก็หมายความอย่างที่พูดนั่นล่ะ” เต้ยยิ้มมุมปาก “เราต้องรักคนที่เหมาะกับเรา”
ธีรดนย์โยนแฟ้มลงบนโต๊ะ แล้วกระแทกตัวลงกับพนักพิงเก้าอี้แรงๆ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบใบหน้าด้วยความเหนื่อยอ่อนและทั้งกายและใจ จากนั้นจึงเอื้อมมือไปกดอินเตอร์คอมเรียกให้เลขาเข้ามาเอางานไปแก้
“ไม่ต้องถามผมนะว่าแก้ยังไง ผมวงปากกาแดงให้แล้วว่าตรงไหน” ธีรดนย์กระแทกเสียงแล้วลุกขึ้นยืน เดินตรงไปที่ประตู เป็นจังหวะเดียวกันที่เลขาสาวสวยเดินเข้ามาและเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นเขากำลังจะเดินออกจากห้องทำงาน
“ไม่ต้องถามว่าผมจะไปไหน และไม่ต้องโทรตาม คนโทรมาบอกให้โทรมาใหม่” ธีรดนย์สั่งสั้นๆ แล้วเดินออกไป
“แล้วนัด...” เลขาอ้าปากถาม แต่ก็ต้องรีบหุบเมื่อเจ้านายหันขวับมาทันที
“นัดใหม่สิคุณบีม ถ้าผมไม่อยากเจอใครก็หมายความว่าให้นัดใหม่ จะพรุ่งนี้มะรืนนี้หรือสัปดาห์หน้าก็นัดเถอะ” ธีรดนย์เสียงเข้ม “จะยกเลิกนัดให้หมดเลยก็ตามใจ”
เลขาสาวสวยระดับนางสาวไทยทำหน้ามุ่ย ถอนหายใจยาวๆ แล้วเดินไปที่โต๊ะของเจ้านายที่มีเอกสารวางระเกะระกะ ในใจก็อดด่าตัวเองไม่ได้ว่าคิดผิดที่สมัครใจย้ายจากแผนกการตลาดมาเป็นเลขานุการคนใหม่ให้ท่านประธานบริษัทรูปหล่อ แค่ไม่ถึงอาทิตย์เธอก็อยากจะฆ่าตัวตายวันละหลายหน
เต้ยรัวนิ้วบนแป้นพิมพ์เพื่อเร่งทำงานให้เจ้านายทั้งที่ฝ่ายนั้นบอกว่าไม่ต้องรีบทำก็ได้ แต่เขาต้องการทำงานให้เสร็จโดยเร็ว บ่ายวันนี้เขาต้องไปรับรถที่อู่ เลยต้องเผื่อเวลาให้มากหน่อยต้องการไปนั่งเฝ้าและกดดันให้ช่างรีบทำให้เสร็จตรงเวลานัด
เมื่อใกล้จะพิมพ์งานเสร็จ เต้ยรู้สึกว่ามีใครมายืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงาน แต่เลขาหนุ่มของรองประธานบริษัทก็ยังไม่เงยหน้าขึ้น แค่ปรายตาเหลือบไปมองแค่เสี้ยววินาที เห็นเพียงกางเกงและได้ยินเสียงหายใจ เขาก็รู้ว่าเป็นใคร และนึกภาพออกได้ว่าตอนนี้กำลังยืนกางขา กอดอก เอียงคอ หรี่ตา เม้มปาก ทำหน้าดุ
“ทินอยู่ไหมเต้ย” เสียงห้าวดังขึ้น เลขารองประธานฯ น้องชายของประธานบริษัทพยักหน้าแล้วพิมพ์งานต่อ
“แล้วนี่เขาใช้งานไม่ได้เงยหน้าเงยตาขึ้นมามองดูโลกแบบนี้เลยหรือ”
เต้ยส่ายหน้าเล็กน้อย และกำลังจะเงยหน้าขึ้นมาพูดกับ ‘แขก’ ของเจ้านายแต่เสียงอินเตอร์คอมดังขึ้นเสียงก่อนจึงรีบยื่นหน้าไปพูดใกล้ๆ กับเครื่องด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ครับคุณทิน มีอะไรให้เต้ยทำหรือครับ”
“ยังไม่มีครับ เอกสารของงานหัวหินแจ๊ซที่ให้พิมพ์ คุณเต้ยไม่ต้องรีบก็ได้นะครับ ที่บอกว่าพรุ่งนี้ เป็นบ่ายๆ ก็ได้” เจ้านายพูดเสียงอ่อนโยน
“เต้ยทำใกล้จะเสร็จแล้วครับ อีกไม่ถึงห้านาทีจดหมายนี้จะวางที่บนโต๊ะ แต่ตอนนี้มีการขัดจังหวะ” เต้ยตอบเสียงนุ่มนวล “เต้ยจะรีบทำ เพราะรู้ว่าถ้าเจ้านายสั่งงานลูกน้อง ก็คงต้องการได้ ณ เวลาเดี๋ยวนี้ เต้ยไม่อยากถูกไล่ออก”
“ฮึ” เสียงอดีตเจ้านายดังขึ้นทันที
“คุณดนย์จะพบคุณทินก็เชิญเลยนะครับ คงไม่ต้องให้เลขาหน้าห้องไปเปิดประตูพาเข้าไปหรอกมั๊ง” เต้ยเงยหน้าขึ้นพูดกับธีรดนย์
“ปากดีนักนะเต้ย เดี๋ยวให้ทินไล่ออกซะเลย” ธีรดนย์ก้มหน้าลงมา
“คุณทินไม่กล้าหรอก คุณทินรักเลขาคนนี้จะตาย คุณพ่อคุณก็ไม่มีวันไล่เต้ยออก เพราะเต้ยทำงานเก่ง” เต้ยลอยหน้าลอยตา
“เก่งทุกอย่างเลย”
“ไม่เก่งก็ไม่ใช่เต้ย”
“เก่งนักทำไมไม่เป็นเลขาท่านประธาน มาเป็นเลขารองประธานทำไม” ธีรดนย์เสียงอ่อนลง
“ก็ท่านประธานเขาไม่อยากได้เต้ยนิ” เลขารองประธานยักไหล่
“ทำไมต้องโกรธกันขนาดนี้เต้ย” ธีรดนย์พูดขึ้นหลังจากนิ่งไปชั่วครู่ “ยังไงเราสองคนก็หนีกันไม่พ้น คิดไปคิดมานะ เราทำกรรมมาด้วยกัน คุณก็คงต้องติดอยู่กับผมนี่ล่ะมั๊ง”
“ก็เพราะคิดอย่างนี้สิถึงได้...” เต้ยสวนกลับ แต่ก็รีบหยุดพูดทันที “คุณอย่ามายุ่งกับเต้ยเลย ช่างมันเถอะ ตอนนี้เต้ยมาทำงานกับคุณทินสบายจะตาย ไม่ต้องรีดเค้นสมองส่วนพิเศษในหัวมาสู้กับเรื่องสารพัดเรื่อง”
“กลับไปทำงานด้วยกันเถอะ” ธีรดนย์เปลี่ยนมาเป็นเสียงอ่อนโยน “ผมจะไม่ไหวแล้วนะ อยู่กับทินน่าเบื่อจะตาย ตัวเองก็เคยพูดไม่ใช่หรือว่า ชีวิตมันต้องมีสีสัน”
“สีสันมันเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่เข้ามาในชีวิตครับคุณธีรดนย์คนเจ้าชู้รูปหล่อล่ำกำยำเสน่ห์แรง คิดซะว่า มันเป็นประสบการณ์ชีวิตมันส์ๆ ที่ผ่านเข้ามาให้เราได้เรียนรู้ แล้วชีวิตมันก็ต้องดำเนินต่อไป”
“ไม่คิดหรือว่าชีวิตมันควรย้อนมาเป็นแบบที่มันเคยเป็นก่อนประแจตกใส่หัว ทำให้มึนไปพักหนึ่ง” ธีรดนย์เสียงทุ้ม เท้าแขนลงบนโต๊ะ
เต้ยยิ้มบางๆ แล้วลุกขึ้น มองหน้าเจ้านายคนเก่าแล้วพูดว่า “ตอนนี้เต้ยคิดว่าคุณไม่ใช่แค่มึนนะ เต้ยคิดว่าคุณน่ะ เพี๊ยนไปแบบสุดๆ หยุดไม่อยู่ กู่ไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่ไหวซะแล้ว”
“น่า นะ ถ้ากลับไปจะขึ้นเงินเดือนให้ อยู่กับทินเหงาปากจะตาย เดี๋ยวน้ำลายบูด คุณเป็นคนชอบพูดชอบจำนรรจาหาวิธีแก้ปัญหาสารพัดไม่ใช่หรือ” ธีรดนย์เอียงหน้าอมยิ้ม พูดล้อเลียนเลขา “ผมสัญญาว่าจะรับโทรศัพท์ทุกครั้งที่โทรตาม”
“เต้ยไม่โทรตามคุณอีกแล้ว คุณจะไปวิ่งไล่ตามจับเด็กแว๊นซ์ที่ไหนเมื่อไหร่อย่างไรเต้ยก็ไม่สน” เลขาหนุ่มเบ้ปาก แล้วเดินไปที่ประตูห้องทำงานของท่านรองประธานบริษัท
“ไม่กลับไปแล้วจะเสียใจนะเต้ย ไม่มีเจ้านายที่ไหนเหมือนผมอีกแล้วล่ะ แบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ ในโลก ประสบการณ์ชีวิตเฟสที่สอง มันส์กว่าเฟสแรก” ธีรดนย์พูดแล้วหัวเราะหึๆ ในลำคอ ก่อนจะเดินออกไปจากออฟฟิส
“ใครจะไปหลงตัวเองแบบคุณ” เต้ยเบ้ปาก “คิดว่าตัวเองเจ๋งที่สุด ตอนนี้เป็นไงล่ะ เสือร้ายไม่เหลือลาย จะเรียกว่าเป็นแมวเหมียวก็ไม่ใช่ เรียกว่าหนูแฮมสเตอร์ปั่นกงล้อน่าจะถูกกว่ามั๊ง”
เต้ยส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วผลักประตูห้องทำงานคุณทินเข้าไปเพื่อปรึกษากับท่านรองประธานบริษัทเรื่องพี่ชายคนเดียวที่นับวันจะทำตัวแปลกประหลาดขึ้นเรื่อยๆ
...ธีรดนย์ก็คือธีรดนย์ คนพันธ์พิเศษ ไม่มีเขาคอยดูแลทั้งในและนอกออฟฟิส ชีวิตธีรดนย์ก็คงยุ่งเหยิงไม่จบไม่สิ้น...
...สมน้ำหน้า เจ้าชู้นัก โดนหลอกให้รักแล้วเป็นไงล่ะ หมดสภาพไม่เหลือเค้าธีรดนย์คนเดิม...
...เฮ้อ หัวใจคนกับเรื่องความรักนี่มันยุ่งจริงๆ เลย นี่จะเจออะไรกันอีกก็ไม่รู้...
...รู้แต่ว่า ความรักกับความเหมาะสม มักจะไม่ค่อยไปด้วยกัน และที่สำคัญ พอรู้ใจตัวเองแล้ว แทนที่จะรู้สึกมีความสุขเต็มร้อย มันกลับมีทุกข์แทรกเข้ามาให้รู้สึกเจ็บนิดๆ เป็นครั้งคราว...
...แต่...ก็ไม่เห็นจะมีใครเข็ดสักคน...
*****33*****จบ****33****