ขอบคุณนะครับที่เป็นกำลังใจ
อ่านบทที่ 32 ต่อกันนะครับ ใกล้จบแล้วล่ะ
32
เต้ยนั่งมองสายน้ำที่กำลังไหลเอื่อย มือกำโทรศัพท์แน่น อยากโทรหาศรายุธแต่ก็ไม่กล้า เขาลางานฉุกเฉินโดยให้ให้เหตุผลว่าต้องการมาเยี่ยมพ่อที่ป่วยเป็นไข้หวัด บ้านริมคลอง ลมเย็นเอื่อยๆ นักท่องเที่ยวนั่งเรือผ่านไปมาโบกไม้โบกมือทักทายเป็นระยะๆ ทำให้เขาสบายใจขึ้นมาบ้าง เลขาหนุ่มผู้ซึมเศร้าตั้งใจว่าจะพักอยู่ที่อัมพวากับครอบครัวสักสองวันแล้วค่อยกลับเข้ากรุงเทพฯ ไปเผชิญเรื่องราวยุ่งๆ ต่อไป ตอนนี้ขอนั่งเงียบๆ ไตร่ตรองอะไรเสียก่อน แต่เขาก็นั่งเงียบได้ไม่นานเมื่อเสียงเรียกดังขึ้นด้านหลัง
“อาเต้ยเอ๊ย มาหม่ำข้าวได้แล้วลูก”
“แม่ บอกว่าอย่าเรียกแบบนี้” เต้ยตะโกนตอบกลับ “เรียกชื่อเฉยๆ ก็ได้ เรียกแบบนี้เต้ยเคืองนะ”
“หรือจะให้เรียกชื่อจริง” ผู้เป็นมารดายิ้มกว้าง เดินเข้ามาใกล้
“อย่านะ” เต้ยหันไปทำตาดุใส่มารดา
“เป็นอะไร มาเยี่ยมบ้านก็เอาแต่อยู่คนเดียว แม่เห็นนั่งเงียบตั้งนาน อย่าคิดกระโดดคลองนะลูก เดี๋ยวนักท่องเที่ยวเขาจะไม่มาดูหิ่งห้อยที่ต้นลำพูหน้าบ้านเรา”
“แม่ก็...” เต้ยทำหน้าง้ำ “คนกำลังหนักใจ เปลี่ยวเหงา เศร้าซึม ยังจะมาพูดเล่นอีก”
“เรื่องรัก หนักอกนักก็พักไว้ก่อน” มารดานั่งลงข้างๆ แล้วโอบไหล่ลูกชายคนกลาง
“พักก็โดนคืนอื่นงาบไปสิ ไม่ได้หรอก คนนี้เต้ยชอบ ขนาดเฝ้าอย่างดียังโดนเลย” เลขาหนุ่มพูดเสียงเศร้าๆ
“แค่ชอบหรือ”
“รัก เต้ยรัก” เต้ยเปลี่ยนเป็นเสียงหนักแน่น “รักแรกพบ”
“งั้นพามาให้แม่ดูตัวหน่อยสิ ให้คนในครอบครัวช่วยตัดสินใจ”
“ไม่ได้หรอก ลองได้พามาดูสิ เขาได้วิ่งหนีกันพอดี บ้านเราเหมือนใครที่ไหน” เต้ยส่ายหน้าเร็วๆ
“นั่นสิ ลูกแม่เหมือนใครที่ไหน”
“ชมหรือด่านี่แม่” เต้ยทำหน้ามุ่ย “แต่เต้ยยังไม่รู้เลยว่ามันจะลงเอยยังไง เขาดูลังเลยังไงก็ไม่รู้ และอีกอย่าง มีคนพยายามจับคู่เขากับคนอื่น หาว่าเหมาะสมกัน แต่เขาก็ดูเหมือนว่าจะมีใจให้กับพ่อสื่อพ่อชัก เฮ้อ ใครจะเหมาะสมกับคุณยุธมากกว่าเต้ย คนนิ่งๆ เงียบๆ แบบเขา ต้องมีสีสันให้ชีวิตใช่ไหมแม่ เต้ยนี่ล่ะ จะเป็นรุ้งสีสวยให้กับเขา ลองได้อยู่กับคนเงียบๆ เหมือนกันสิ เหงาปากตายเลย วันๆ ก็คงมีแต่นั่งมองตากันเหมือนปลากัด น่าเบื่อตาย”
เต้ยพูดเรื่อยเปื่อย แต่ในหัวนึกภาพของศรายุธหยอกล้อกับวิธวินท์ในออฟฟิส อดอิจฉาไม่ได้
...แบบนั้นไม่เรียกว่าน่าเบื่อหรอก ดูยังไงๆ ก็ไม่น่าเบื่อ...
...ศรายุธไม่ได้รักวิธวินท์ แค่อาหยอกหลาน แค่คนสนิทกันเล่นล้อกันเล่นๆ...
“บางครั้งเราอยู่ในวังวนของมันก็มองมันไม่ออกนะลูก” มารดาพูดเสียงอ่อนโยน “ให้คนนอกเขามองให้ก็ไม่เลวนะ”
“คนนอกอย่างวิธวินท์นี่นะ ตัวเองก็ไม่รู้ใจตัวเอง แล้วยังจะมาจับคู่ให้คนอื่น” เต้ยพยายามทำเสียงเข้ม หารู้ไม่ว่าน้ำเสียงที่ออกมาผู้เป็นแม่รู้สึกได้ว่าลูกชายนั้นพูดเสียงขื่น
...วิธวินท์อยากให้อาตกลงปลงใจกับเพื่อนเพราะต้องการให้ปลอบภิรายุที่อกหักมาจากธีรดนย์ ยังไงวิธวินท์ก็ไม่ยอมมีอะไรกับอาของตัวเองหรอก ทำแบบนั้นได้ยังไง มันผิดทำนองคลองธรรม ศรายุธก็น่าจะตระหนักถึงข้อนี้ และเมื่อวิธวินท์พยายามผลักศรายุธให้ภิรายุก็คงไม่สมหวังเพราะภิรายุคงไม่ลืมธีรดนย์...
...แล้วทำไมเขาต้องพยายามผลักให้ธีรดนย์ลงเอยกับภิรายุนะ เพราะยังไงๆ เจ้านายเขาก็ไม่ยอม ไม่มีทางสำเร็จแม้แต่นิด...
...โอ๊ย ยิ่งคิดยิ่งสับสน ยิ่งปวดหัว...
“แล้วคนนอกอย่างแม่ล่ะ” มารดาพูดยิ้มๆ “หรืออย่างพ่อ หรืออย่างพี่ชาย พี่สาว”
“โอ๊ยไม่เอา พี่ตั๋มนะเรอะ เห็นตอนที่เขาเจอคุณดนย์แล้วไม่อยากจะคิด” เต้ยโวยวายลั่น
“ตั๋มเขาตาดี” ผู้เป็นมารดายิ้มเมื่อพูดถึงลูกชายคนโตที่ต่างจากคนกลางราวฟ้ากับดิน
“ตาถั่ว ตาเหล่ ตาเข ตาส่อน ตาไม่มีแวว” เต้ยเบ้ปากเมื่อนึกถึงพี่ชายคนโตและคำพูดของพี่ที่ทำให้เขาต้องตะโกนโวยวายลั่นบ้านเมื่อครั้งที่ธีรดนย์แวะมาส่งเขาเยี่ยมพ่อซึ่งตกบันไดขาหักเมื่อต้นปี ธีรดนย์กำลังจะขึ้นรถ ถึงกับเดินย้อนกลับมายืนมองอยู่ที่หน้าบันไดบ้านเพื่อถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย
...พี่ตั๋มพูดบ้าๆ เรื่องแบบนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นได้หรอก ไม่เคยอยู่ในหัวฉลาดๆ ของเต้ยเลยแม้แต่นิด เต้ยไม่อยากตกนรกทั้งเป็น...
“เฮ้อ แม่ มันทรมานจังเลย เต้ยสับสนไปหมดแล้ว” เลขาหนุ่มถอนหายใจ แล้วเอนศีรษะไปพิงไหล่ของมารดา มือก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมามอง “อยากโทรไปหาเขา แต่ตอนนี้ไม่รู้ทำไมเต้ยถึงไม่กล้า”
“ถอยไปหนึ่งก้าว มองภาพให้ชัด ปรับโฟกัสให้คม อย่าจมอยู่กับความคิดเดียว ทางออกมันมีหลายทาง สิ่งที่เราคิดว่ามันใช่ตอนนี้ ที่จริงอาจเป็นภาพลวงตา หาใช่ทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด” มารดาแนะนำ
“จำคำพูดใครมาละนี่” เต้ยทำหน้าแปลกใจที่ได้ยินมารดาพูดอะไรเช่นนี้
“คำพูดนักปรัชญาคนหนึ่งที่แม่รู้จักดี”
“อย่าบอกนะว่านักปรัชญาตั๋มตึ๋งหนืด” เต้ยอมยิ้ม
“แล้วพี่เคยคิด เคยพูด เคยทำอะไรผิดหรือเปล่าล่ะลูก” แม่ของเลขาปากดีแก้ต่างให้ลูกชายคนโต
“เต้ยว่าแม่แอบไปเก็บพี่ตั๋มมาเลี้ยงแหงๆ ไปได้มาจากบ้านทรายทองหรือเปล่า หรือจากโรงพยาบาลศิริราช บางทีเขาอาจเป็นลูกศาสตราจารย์ปรัชญาของธรรมศาสตร์ก็ได้นะแม่” เต้ยพึมพำแล้วหัวเราะเสียงเบาประสานกับมารดา เสียงเรือหางยาวแล่นผ่านไปช้าๆ ลมเย็นพัดมาเอื่อยๆ ดังจะช่วยบรรเทาความรุ่มร้อนในใจของเลขาหนุ่มผู้กำลังเศร้าซึม
วิธวินท์ขับรถออกจากบริษัทช้าๆ ไม่นานก็เห็นว่ามีคนขับตาม เขาเหลือบไปมองไม่กี่ครั้งก็รู้ว่าเป็นธีรดนย์จึงเร่งความเร็วขับหนี แต่ฝ่ายนั้นก็ตามมาอย่างไม่ลดละ นานเข้าวิธวินท์ชักจะทนไม่ไหวจึงแวะเข้าปั๊มน้ำมันและหายเข้าไปในห้องน้ำอยู่นาน ออกมาก็เห็นธีรดนย์นั่งคล่อมรถอยู่บน Ducati สีแดง รออยู่อย่างใจเย็น วิธวินท์จึงเดินไปที่ร้านกาแฟ ธีรดนย์ไม่ตามแต่จอดรถไว้ชิดกันแล้วเดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อแล้วออกมายืนดื่มเครื่องกาแฟกระป๋องอยู่หน้าร้าน ปรายตาหันไปมองวิธวินท์ที่นั่งดื่มกาแฟอยู่เป็นครั้งคราวจนวิศวกรหนุ่มทนไม่ไหวที่ธีดนย์กำลังเล่นสงครามประสาท จึงเดินออกมาเอาเรื่อง
“คุณจะเอายังไง” วิธวินท์กระชากเสียง “มาตามติดอยู่แบบนี้ไม่เบื่อหรือไง ทำไมไม่ไปดูแลกิจการโรงเหล้าของคุณ”
“คุณจะไปไหน” ธีรดนย์ไม่สนใจที่วิธวินท์ถาม
“ผมจะกลับบ้านนอน คุณเลิกตามผมได้แล้ว” วิธวินท์ตอบห้วนๆ
“จะกลับบ้าน แล้วขับรถวนไปวนมารอบเมืองแบบนี้นี่นะ” ธีรดนย์เลิกคิ้ว ส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน
“ก็ถ้าคุณไม่ตาม ผมก็คงถึงบ้านแล้วล่ะ”
“ก็ถ้าคุณไม่หนี คุณก็คงถึงบ้านแล้ว ผมตามจีบ คุณจะหนีทำไมก็ไม่รู้ ยอมเป็นแฟนผมซะเถอะ” ธีรดนย์ขอดื้อๆ
“จะบ้าหรือคุณธีรดนย์ ที่เราพูดๆ กันมานี่คุณไม่ฟัง ไม่ยอมรับอะไรเลยใช่ไหม” วิธวินท์โวย
“ผมฟังหัวใจผม คุณล่ะ วิธวินท์ คุณฟังอะไร ฟังเสียงหัวใจตัวเองหรือเปล่า” ธีรดนย์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ตาประสานกับวิธวินท์นิ่ง
“ไม่ต้องมาพูดอะไรแบบนี้กับผม มันเลี่ยน ผมแสดงจุดยืนแล้วว่า...” วิธวินท์ชะงัก เกิดไม่แน่ใจขึ้นมาเฉยๆ ว่าควรจะพูดต่อดีหรือไม่ ภาพใบหน้าของภิรายุแวบขึ้นมาในหัว
...เสียงของหัวใจตัวเองนั้นเขาได้ยิน แต่เขาก็ไม่อยากฟัง เพราะมันบอกสิ่งที่ขัดแย้งกับสมองยิ่งนัก...
...หากเขาทำตามใจตนเอง ผลที่จะออกมาก็มีทั้งดีและไม่ดี แต่ที่แน่ๆ มันจะทำให้คนเสียใจหลายคน และดูท่าว่าผลด้านลบจะมากกว่าด้านบวก...
"คุณคิดว่าตัวเองหล่อล่ำเซ็กซี่และใครต้องหลงรักคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรวยของคุณจะเป็นส่วนเสริมดึงใครให้เข้าหา แต่สำหรับผม คุณก็แค่ผู้ชายคนหนึ่ง ที่พอหันไปมองแล้วก็ไม่อยากหันไปอีก" วิธวินท์พูดช้าๆ ชัดๆ แล้วกลั้นหายใจ เบือนหน้าออกไปด้านข้าง ยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม ก่อนจะปิดฉากการสนทนากับธีรดนย์ว่า “ไปจากชีวิตผมซะเถอะ”
“วิธวินท์” ธีรดนย์คราง รู้สึกเหมือนถูกฆ้อนทุบหัว หูอื้อ แทบไม่ได้ยินเสียงใดๆ รอบข้าง วิธวินท์พูดเสร็จก็รีบเดินไปที่รถ สวมหมวกนิรภัยแล้วขับรถออกไปโดยเร็ว ทิ้งให้ธีรดนย์ยืนอึ้งอยู่คนเดียว ก่อนจะเดินไปที่รถมอเตอร์ไซด์คันหรูอย่างคนไร้เรี่ยวแรง
กลางดึกคืนวันเสาร์ ในห้องนอนที่ตกแต่งด้วยโทนสีม่วงอ่อน ชายหนุ่มร่างบางยืนเท้าสะเอวมองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำยำที่นอนแผ่ไร้สติอยู่บนเตียง
“เฮ้อ จะสงสารหรือสมน้ำหน้าดีนะ” เต้ยยืนมองธีรดนย์แล้วถอนหายใจ ก่อนจะเดินไปปรับความเย็นของแอร์ให้ลดลงแล้วเดินออกไปยังห้องครัวเพื่อต้มน้ำ แล้วกลับเข้ามาในห้องนอนอีกครั้งพร้อมกับผ้าเย็น
“ไม่นึกเลยว่าพ่อเทพบุตรเจ้าชู้จะโดนหักอกแบบนี้” เลขาหนุ่มวางผ้าเย็นบนศรีษะของเจ้านาย “แต่อย่าคิดนะว่าเต้ยจะเช็ดตัวให้ ไม่มีทางหรอก”
“วิธวินท์” ธีรดนย์พลิกตัว มือยกขึ้นปัดผ้าเย็นออกจากหน้าผาก แล้วดึงทิ้งเสื้อของตัวเองราวกับอยากจะถอดเสื้อ
“อย่านะคุณดนย์” เลขาปัดมือเจ้านาย “ให้นอนพักเฉยๆ อย่ามาถอดเสื้อในห้องผมนะ”
“ภิรายุ” ธีรดนย์ครางเบาๆ
“บ้าจริงๆ คนอะไรไม่รู้ จะเพ้อทั้งทีก็เพ้อถึงคนสองคน แล้วเมื่อไหร่จะได้แฟนเป็นตัวเป็นตนซักทีเนี่ย” เต้ยโวยวาย พยายามดึงผ้าเย็นออกมาจากใต้แก้มของธีดนย์
“เต้ย”
“เฮ้ย ไม่เอานะ อย่าเอาเต้ยเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย” เลขาหนุ่มตาเหลือก “เต้ยไม่อยากมาเป็นของเล่นขบเคี้ยวของคุณ”
เต้ยดึงผ้าเย็นออกมาได้แล้วรีบเดินออกนอกห้องพร้อมบ่นพึมพำ “คิดผิดหรือคิดถูกว๊าที่พาคุณดนย์มาบ้าน เกิดบ้าลุกขึ้นมาปล้ำเราจะทำยังไง รู้ยังงี้ไม่ยอมออกไปดื่มเหล้าเป็นเพื่อนด้วยหรอก เวลางานก็ต้องดูแล เลิกงานก็ต้องดูแล แล้วนี่เมื่อไหร่คุณทินกับคุณพ่อจะมาดึงตัวเต้ยกลับไปไปทำงานด้วย จะได้พ้นๆ คุณดนย์ซะที คนอะไรก็ไม่รู้ ไม่เหมือนใครที่ไหน คิดว่าตัวเองหล่อล่ำ เจ้าเสน่ห์นัก คราวนี้เป็นไงล่ะ ถลาลงจากฟ้าเป็นเหยี่ยวปีกหัก อยากจะรู้นักว่าโดนใครปฏิเสธก่อนกันระหว่างวิธวินท์กับภิรายุ”
เลขาหนุ่มผู้ต้องดูแลเจ้านายที่เมามายไม่ได้สติเดินไปชงกาแฟแล้วนั่งดื่มเงียบๆ ในใจครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี ตอนแรกเขาตั้งใจจะพาธีรดนย์ไปสิ่งที่บ้าน แต่ในที่สุดก็เปลี่ยนใจพากลับมาที่คอนโดของตัวเองเพราะคิดว่าคงสะดวกกว่าและนึกได้ว่าการจะขึ้นไปบนที่พักของธีรดนย์นั้นต้องใช้ลิฟท์โดยสารเฉพาะที่ขึ้นไปถึงชั้นเพนท์เฮาส์ซึ่งเฉพาะเจ้าของห้องเท่านั้นที่จะใส่รหัสกดลิฟท์ขึ้นไปได้
“จะหาที่อยู่ทั้งทีก็ให้มันยุ่งยาก” เต้ยบ่นเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ “แล้วนี่จะนอนยังไง รู้ยังงี้ซื้อคอนโดที่มันเป็นสองห้องนอนก็ดีหรอก”
...นิวัต จริงสิ นิวัตเป็นคนสนิทของธีรดนย์ ถ้าเจ้านายเมา ทำไมไม่เรียกนิวัตมาพาธีรดนย์ไปล่ะ ไปนอนบ้านไม่ได้ก็ไปนอนที่คลับ ห้องทำงานของธีรดนย์มีเตียงนอนนี่นา ห้องอาบน้ำก็มี ลืมนึกไปเสียสนิท...
เต้ยคว้าโทรศัพท์มากดเบอร์ของนิวัต ชายหนุ่มรับโทรศัพท์ทันใด แต่คำตอบที่ได้รับทำให้เต้ยเกือบจะร้องตะโกนออกมาด้วยความไม่พอใจ
“คุณนิวัต พูดยังงี้ได้ยังไง คุณดนย์ก็เจ้านายคุณนะ เจ้านายเมา ลูกน้องต้องพาไปนอนสิ”
“คุณก็เป็นเลขาคุณดนย์ ผมกำลังขับรถกลับบ้าน แฟนผมรออยู่ แล้วคุณดนย์ก็อยู่ที่บ้านคุณแล้ว จะทำอะไรให้ยุ่งยากทำไม” นิวัตตอบแล้วรับบอกว่าต้องวางสายแล้วเพราะมีอีกสายหนึ่งเรียกเข้ามาซึ่งอาจะเป็นสายของแฟนตัวเอง
“ให้มันได้ยังงี้สิ” เต้ยบ่นเมื่อกดตัดสายโทรศัพท์ นั่งดื่มกาแฟจนหมดแล้วจึงเดินย้อนกลับไปที่ห้องนอนเพื่อดูธีรดนย์
เจ้านายของเขาตอนนี้ถอดเสื้อเรียบร้อยแล้วและนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง กางแขนกางขาเต็มเตียง ท่าทางกำลังหลับสบาย
“คุณดนย์” เต้ยก้มลงเขย่าตัวธีรดนย์ แต่คนที่เมาหลับไปแล้วไม่ขานรับ
“บ้าจริง นี่ถ้าไม่ใช่เจ้านายไม่ให้นอนเตียงนะเนี่ย แล้วกางเกงก็รัด อย่าคิดนะว่าเต้ยจะถอดให้” เต้ยบ่นอยู่คนเดียว หากในใจลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะพยายามพลิกตัวธีรดนย์ให้นอนหงาย
“หนักชิบหาย”
ไม่นาน เลขาคนเก่งก็ประสบความสำเร็จ ธีรดนย์นอนแผ่หราอยู่บนเตียง อกกว้างอุดมไปด้วยมัดกล้ามสะท้อนขึ้นลงตามจังหวะหายใจ หน้าทองแบนเรียบเห็นเป็นลอน ตะขอกางเกงถูกปลดออกแล้วและรูดซิบลงพอให้เห็นขอบกางเกงชั้นในสีขาว
“เก่งเหมือนกันนี่นะ เมาพับขนาดนี้ยังถอดเสื้อกับปลดตะขอกางเกงของตัวเองได้ แล้วเก่งอย่างนี้ทำไมไม่มีปัญญาแอ้มวิธวินท์” เต้ยเอื้อมมือไปยังหน้าขาของธีรดนย์เพื่อจับซิป แต่ทันใดก็หดมือกลับ
“เป้าตุงเหมือนกัน นี่นะหรือสิ่งที่พวกดารานักร้องหลงไหลได้ปลื้ม ตรงนี้เองหรือ ไม่ใช่ตรงหัวใจหรือไง” เต้ยบ่นคนเดียวต่อไป แต่ในใจนึกถึงใบหน้าหวานๆ ยิ้มสวยๆ ของอีกคนซึ่งตอนแรกเขาคิดว่ากำลังจะมาเป็นอุปสรรคความรักของตัวเอง แต่ใบหน้าของวิธวินท์ก็เข้ามาแทนที่ ไล่ภาพของภิรายุออกไปจากหัวของเขาจนสิ้น
...ศรายุธมีใจให้วิธวินท์...
...ธีรดนย์ผิดหวังจากวิธวินท์ เขาผิดหวังจากศรายุธ เลขากับเจ้านาย ไปนั่งดื่มเหล้าด้วยกัน ธีรดนย์พร่ำรำพัน แต่เขานั่งฟังเสียเป็นส่วนมาก...
...ธีรดนย์ดูอาการหนักกว่าเขา นี่ยังแปลกใจอยู่เลยว่าตัวเองไม่ได้ฟูมฟายเหมือนดารามิวสิควีดีโอ...
“เขาไล่ผมเหมือน เหมือน เหมือน...” เต้ยจำได้ถึงภาพที่ธีรดนย์คร่ำครวญ
“อ๋อ เต้ยเข้าใจแล้วว่าเหมือนอะไร” เลขาพยักหน้า ทำเป็นเข้าใจสิ่งที่เจ้านายพยายามพูด ก่อนจะโดนฝ่ายนั้นดุที่บังอาจมาคิดว่าเจ้านายเหมือนสุนัข
“เปล่านะ เต้ยเข้าใจว่าคุณเหมือนราชสีห์บาดเจ็บ” เต้ยยักไหล่
...ส่วนเขาเหมือนอะไรล่ะ หลงระแวงภิรายุ ความจริง ศรายุธนั้นแอบชอบหลานตัวเอง...
...แอบชอบ หรือหลงรัก แล้ววิธวินท์จะรู้ว่าอาของตัวเองคิดยังไงหรือเปล่านะ และที่สำคัญ จะรู้ว่าตัวเองคิดยังไงกับอาหรือเปล่า...
...ศรายุธมีใจให้วิธวินท์...
...ธีรดนย์ก็มีใจให้วิธวินท์...
...เขารับไม่ได้...
เต้ยถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อนึกถึงการสนทนากับธีรดนย์เมื่อหลายชั่วโมงที่ผ่านมา ในใจคิดไปเรื่อยเปื่อย ทั้งเรื่องของตัวเองและของเจ้านาย พลางถอนหายใจเป็นระยะๆ เมื่อตระหนักได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันวุ่นวายจนไม่อยากจะแก้ปม
...ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะธีรดนย์โดนวิธวินท์ทำประแจหล่นเฉียดหัวนั่นล่ะ แล้วธีรดนย์ก็โดนสะกดจิตด้วยใบหน้าขาวๆ คิ้วเข้มๆ จมูกโด่งๆ ปากแดงๆ...
...เฮ้อ อะไรนักหนา...
...เรื่องคงไม่ยุ่งขนาดนี้ถ้าไม่มีภิรายุเข้ามาเกี่ยวด้วย และท่าทางคงน่าหนักใจไม่ใช่น้อย ไม่งั้นคงไม่เพ้อออกมาสองชื่อติดๆ กันหรอก อุตส่าห์เคยช่วยเรื่องวิธวินท์ คุณดนย์ก็ยังทำเสียเรื่อง...
...ถ้าไม่บีบให้วิธวินท์มาขอโทษถึงบริษัท เขาก็คงไม่ต้องตกหลุมรักศรายุธ แล้วถ้าธีรดนย์ไม่เจ้าชู้ก็คงไม่ไปยุ่งกับภิรายุ ขนาดไปงานเลี้ยงของนักวิชาการ ยังได้หนุ่มติดไม้ติดมือกลับบ้าน ธีรดนย์นี่สร้างแต่ปัญหาจริงๆ เลย ใครได้เป็นแฟน คงปวดหัวจนแทบระเบิด มิน่า วิธวินท์เลยไม่ตกลงปลงใจด้วยซักที...
...แต่หากวิธวินท์ไม่เอาธีรดนย์ล่ะ แล้วถ้าศรายุธเผยความในใจให้วิธวินท์รู้เหมือนกับที่บารมีทำ จะเกิดอะไรขึ้น เขาก็ต้องผิดหวังจากศรายุธอีกละสิ...
...เอาล่ะ ขณะที่ธีรดนย์กำลังอยู่ตรงกลางระหว่างวิธวินท์กับภิรายุ เขาจะผลักให้เลือกซักข้าง จะมาเหยียบเรือสองแคมแบบนี้ไม่ได้ ธีรดนย์ต้องรักใครซักคน เอาให้แน่ จริงจังซักที เขาสงสารเจ้านายของเขาเหลือเกิน และทำแบบนี้ก็ได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย ธีรดนย์ก็จะมีความสุข เขาก็จะได้ลงเอยกับศรายุธ...
...อ้าว แล้วภิรายุล่ะ...
...บารมี...บารมีนั่นไง ถ้าแอบรักเพื่อนอย่างวิธวินท์ได้ก็น่าจะแอบรักภิรายุซึ่งบางทีอาจจะเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันก็เป็นได้ ความจริงแล้วบารมีก็ไม่เห็นจะคืบหน้าเรื่องความรักกับวิธวินท์เท่าไหร่เลย เพราะอะไรนั่นหรือ ก็เพราะวิธวินท์ไม่ได้มีใจด้วย...
...ลงตัวแล้ว สบายใจ นอนดีกว่า...
เต้ยยิ้มออกหลังจากนั่งไตร่ตรองอยู่นาน ชายหนุ่มลุกขึ้นรูดซิปกางเกงของธีรดนย์ลงมาแล้วดึงกางเกงสีดำของเจ้านายออกมาจนสุดปลายเท้า คนเมาขยับตัวไปมาแล้วพยายามจะกางขาแต่เขารีบจับข้อเท้าธีรดนย์เอาไว้และถอดกางเกงจนเสร็จเรียบร้อย อดเงยหน้ามองขึ้นสูงไปเกินต้นขากำยำของเจ้านายไม่ได้
...คุณดนย์นะคุณดนย์ คุณคนเดียวทำให้ทุกอย่างยุ่งวุ่นวายไปหมด เดือดร้อนเต้ยต้องคอยจัดการทุกอย่างให้เหมือนเคย เป็นคนเจ้าชู้เหมือนเดิม ไม่ต้องไปรักใครเลยจะดีกว่าไหมเนี่ย...
******32******