[เรื่องสั้น] The Moment Of Love
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love  (อ่าน 42059 ครั้ง)

ภัคD

  • บุคคลทั่วไป
[เรื่องสั้น] The Moment Of Love
« เมื่อ05-05-2009 23:14:47 »

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

******************************

เรื่องนี้เขียนเนื่องในวาเลนไทน์อินุบอร์ดเช่นกันค่ะ...มีพี่เหยากับเอกแจมนิด ตะวันกับฉายแจมหน่อยๆ...

The Moment of Love

...ณ.จุดหนึ่งของเวลา ที่อาจยาวนานแค่ชั่ววินาทีเดียว อาจทำให้เราหลงรักคนๆหนึ่งและอาจจะรักเขาไปจนตลอดชั่วชีวิตของเรา...มีคนเคยพูดไว้อย่างนั้น

 ผมอยากให้วินาทีนั้นเกิดขึ้นกับผม...ทั้งหลงรักและเป็นฝ่ายที่ถูกรัก ผมรอคอยวินาทีนั้นอยู่ทุกเสี้ยวขณะจิต เพราะมันคงงดงามไม่น้อยหากเกิดวินาทีนั้นขึ้นในใจ และยิ่งกว่านั้น สำหรับผม ไม่มีอะไรงดงามและยืนนานไปมากกว่าคำว่า...ชั่วชีวิต...ผมอยากมีใครสักคนให้รักและถูกรักไปจนตลอดชั่วชีวิตของกันและกัน...

.................
............................
.....
...........

ผมแอบหาว แอบชำเลืองมองนาฬิกาบนข้อมือไม่ให้ใครเห็น เพราะมันเป็นข้อห้ามที่ว่า แม้นจะดึกจนดื่น เลยเที่ยงเลยคืนไปจนจะเลยเช้า หากมีลูกค้ายังนั่งอยู่ในร้านแม้สักคน...ผมก็ยังต้องพร้อมที่จะทำหน้าที่ และตอนนี้ไม่ใช่มีแค่คนเดียว แต่มีตั้งสองคน ถึงจะประจำอยู่แค่หนึ่งโต๊ะ ซึ่งก็แปลว่าเขามาด้วยกัน...ผมจึงต้องแอบหาว แอบมองนาฬิกาเพื่อจะได้รู้ว่า มันเกือบๆจะเลยเที่ยงคืนแล้ว...

ร้านอาหารร้านเล็กๆ ในซอกลึกๆ ข้างตึกเก่าๆ  กำแพงสีส้มๆ เจ้าของร้านจนๆ กับบริกรหล่อๆ...ฟังแล้วไม่น่าจะอยู่รอด แต่ก็รอด...เพราะเจ้าของร้านรู้จักคนเยอะ ลูกค้าที่แวะเวียนมาก็คนรู้จักๆกันทั้งนั้น รวมทั้งผม ที่เมื่อวานยังเป็นลูกค้า แต่วันนี้บริกรหล่อๆหยุดงานไปเที่ยวกับแฟนกันหมด ผมเลยต้องมาเป็นบริกรจำเป็นด้วยเหตุผลที่เปิดเผยไม่ได้ในที่สาธารณะ...

ถึงจะยังอยู่ในช่วงหน้าหนาว แต่อากาศมันก็ร้อนมากกว่าหนาวมาหลายวันแล้ว แต่วันนี้ลมหนาวมันกลับพัดถอยหลังมาอีกครั้ง อย่างกับกลัวว่าคู่รักจะไม่ได้เดินกอดกันในวันวาเลนไทน์...

ถึงผมจะบอกว่าร้านอาหารร้านนี้เป็นร้านเล็กๆ ในซอกลึกๆ ข้างตึกเก่าๆ กำแพงสีส้มๆ กับเจ้าของร้านจนๆ ที่มีลูกค้าประจำหน้าเดิมๆ  แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องตั้งแต่สมัยที่ร้านเพิ่งเปิดตัวเท่านั้น หากแต่หลังจากร้านอาหารร้านเล็กๆแห่งนี้ได้ลงหนังสือสารพัดเล่มในฐานะร้านอาหารแนวๆ เพราะสมัยนี้ ความแนวซึ่งน้อยคนจะบอกความหมายของมันได้กำลังเป็นเทรนฮิต อะไรๆที่ถูกเรียกว่าแนว ถึงจะไม่รู้ความหมายแต่ก็กลายเป็นที่นิยมขึ้นมาได้ทันตาเห็น... คนที่มากกว่าคนรู้จักของเจ้าของร้านจึงเริ่มหลั่งไหลกันเข้ามาจนที่นั่งชักจะไม่พอ...จนเจ้าของร้านชักอยากจะขยับขยายร้าน แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะถ้าอยากจะขยายร้านไม่ให้เล็ก มันก็ต้องขยายซอก ทุบตึก และทลายกำแพง...ซึ่งก็คงผิดคอนเซ็พท์ของร้าน...

ตอนนี้คุณคงเริ่มสงสัยว่า ถ้าเป็นอย่างที่ผมพูดจริง...ทำไมท่ามกลางลมหนาว ในคืนก่อนวันวาเลนไทน์ ในร้านถึงมีลูกค้าอยู่แค่สองคน หนึ่งโต๊ะ...

ก็อย่างที่บอก คือ บริกรลาหยุดกันหมด...เหลือแต่ผม บริกรจำเป็น กับพ่อครัวที่เพิ่งหย่าเมียอีกหนึ่ง...เจ้าของร้านเลยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยขึ้นป้ายที่หน้าร้าน...

...ปารตี้สวนกระแส...อกไม่หัก รักไม่คุด ห้ามเข้ามา...

แล้วหน้าไหนมันจะเข้ามาในร้านที่ติดป้ายอย่างนี้ในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์...

ยิ่งกว่านั้น คำว่า...ปาร์ตี้...ก็ดูจะทำให้ใครต่อใครงงรวมทั้งผม เพราะร้านอาหารร้านนี้ให้ดูอย่างไรก็น่าจะยืนอยู่คนละขั้วกับคำว่าปาร์ตี้...

...ยืมเขามา...และนั่นคือคำตอบของเจ้าของร้าน...ป้ายผ้าหน้าร้านที่เล่นลมอยู่ไหวๆนั้น คือป้ายที่เขาเลิกใช้และเจ้าของร้านไปยืมมา...

ผมแอบหาวอีกรอบ มองดูกำแพงสีส้มซีดๆ ที่พวกนิยมความโบร่ำ โบราณคงมองว่ามันดูคลาสสิค ดูเป็นคู่ตุนาหงันกับโต๊ะไม้กลมๆเล็กๆ...และพวกนิยมความเก่าก็คงหลงเสน่ห์ของโต๊ะไม้เก่าๆพวกนี้ ที่ดูดีขึ้นมาได้ภายใต้แสงไฟสีส้มๆที่ลอดแสงออกมา จากโคมผ้าฝ้ายเนื้อหยาบๆสีขาว...ส่วนพวกพิสมัยความแปลกและแหวกแนว ก็คงหลงรักขนาดร้านที่มีหน้ากว้างแค่พอให้คนผอมๆสี่คนยืนเรียงหน้ากระดาน เหล่าโต๊ะไม้ตัวเล็กๆจึงทำได้เพียงชักแถวเรียงแค่หนึ่ง ตั้งเรียงลึกไปตลอดความยาวของกำแพงปูนสีส้มซีดๆ ซึ่งความยาวที่ว่านั่นก็ยาวขนาดที่คนยืนอยู่หน้าร้านมองเข้าไปไม่เห็นถึงหลังร้าน...การแก้ปัญหาให้บริกรไม่ต้องเดินวันหนึ่งๆเป็นหลายๆกิโล เพราะความยาวลึกของร้านก็คือ...ให้ลูกค้าเดินกันเอาเอง...ใครอยากกิน อยากได้อะไร ก็เดินไปสั่งด้านลึกสุดของร้าน...กะเวลา แล้วเดินเข้าไปหยิบ ไปรับของเอง...กินเสร็จจะจ่ายตังค์ก็ถือบิล มาจ่ายที่โต๊ะหน้าร้านก่อนก้าวเท้าออกจากร้าน...บรรยากาศแปลกใหม่ที่เกิดขึ้นจนกลายเป็นเสียงลือเสียงเล่าอ้างจนกลายเป็นชื่อเรียกเล่นๆของร้านก็คือ...ร้านฝากสั่ง...เพราะคนกินเองก็ชักจะขี้เกียจเดิน เห็นใครลุกเดินก็ฝากๆกันสั่งไป...ใครเดินไปหยิบของตัวเอง แต่ยังไม่ได้ก็ถือของคนอื่นติดมือมาส่งแทน...หรือถ้าร้านคนเยอะๆ ก็เล่นกันง่ายๆ คือส่งต่อๆกันไปตามโต๊ะ...แล้วบริกรหน้าหล่อเอาไว้ทำอะไร?...เช็ดโต๊ะไงครับ! บริการเดียวที่ลูกค้าไม่ต้องพกผ้าขี้ริ้วมาเช็ดโต๊ะเองหลังกินเสร็จ...

แต่ในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ที่คนน่าจะเต็มร้าน กลับมีลูกค้าแค่สองคน หนึ่งโต๊ะ  และ ผมไม่เห็นมีคนไหนที่มีวี่มีแววอกหัก รักคุดกันสักคนเดียว...

ถ้าวาดกรอบสี่เหลี่ยมขนาดพอเหมาะรอบคนสองคนที่นั่งด้วยกันที่หนึ่งโต๊ะนั้นไว้ มันก็ดูคล้ายกำลังดูละครผ่านจอทีวีขาวดำ เพราะคนหนึ่งนั้นขาวเหลือเชื่อ ส่วนอีกคนก็ดำได้ใจ...

และเพราะในร้านมีคนอยู่แค่นั้น มันจึงช่วยไม่ได้ที่ผมจะเผลอตามองดูพวกเขา และเผลอหูเงี่ยฟังเสียง

ผู้ชายคนผิวดำคล้ำนั่งคุยโทรศัพท์อยู่นานแล้ว เขาคุยกับใครที่อีกปลายสาย หากแต่ตาก็จับจ้องคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม รอยยิ้มขำ กับ เสียงหัวเราะในบางครั้งนั้นจึงยากที่จะบอกว่า เขาหัวเราะอยู่กับใครกันแน่

ส่วนผู้ชายคนตัวขาวๆ ผมเห็นเขาเริ่มเขียนอะไรขยุกขยิกในเศษกระดาษใบเล็กๆตั้งแต่ที่ผู้ชายอีกคนเริ่มคุยโทรศัพท์

ผมนึกสงสัยว่าเขาเขียนอะไร...สงสัยมากขึ้นเมื่อกระดาษแผ่นนั้นถูกส่งไปให้ผู้ชายคนตัวดำที่หยิบกระดาษขึ้นมาอ่านและหัวเราะทั้งที่ยังคุยกับใครอีกคนที่ปลายสาย  และสงสัยจนทนไม่ไหวเมื่อผมรู้สึกว่า พวกเขาทั้งคู่คลับคล้ายจะส่งสัญญาณอะไรบางอย่างเกี่ยวกับผม...

ผมทำเป็นเดินเฉียดเข้าไปใกล้ ทำทีเป็นจะรินน้ำเติมให้ในแก้วที่ยังมีน้ำอยู่เกือบเต็มแก้ว พร้อมส่งสายตาเนียนแบบยาวๆไปที่กระดาษแผ่นนั้น แต่ก็ต้องหลบสายตาเพราะผู้ชายคนตัวดำเหลือบตาขึ้นมามองผมสลับกับแก้วน้ำที่เต็มจนเกือบล้นของเขาและอมยิ้มขำ  ส่วนคนตัวขาวก็เบี่ยงกระดาษหลบแบบมีมารยาท ก่อนยกน้ำในแก้วตัวเองขึ้นดื่มเผื่อจะมีที่ว่างในแก้วให้ผมพอรินน้ำเติมได้ ผมเลยต้องรักษามารยาท รินน้ำเสร็จก็ถอยหลังกลับมายืนอยู่ที่เดิมพร้อมความสงสัยอันล้นเปี่ยม

ในที่สุดผู้ชายคนตัวดำคล้ำก็วางโทรศัพท์และดึงกระดาษแผ่นเล็กๆนั้นไปเขียนอะไรบางอย่างก่อนส่งคืน ผู้ชายคนตัวขาวเขียนตอบอะไรไปสักอย่างและส่งกลับไปอีก ผู้ชายคนตัวดำยิ้มและเขียนอะไรลงไปอีกครั้งและส่งคืนกลับไปอีกหน ผู้ชายคนตัวขาวก็รับมาเขียนแล้วก็ส่งคืนไปอีกรอบ คราวนี้ผู้ชายคนตัวดำหัวเราะไปเขียนไปและยังไม่หยุดหัวเราะเมื่อส่งกระดาษคืนให้ผู้ชายคนตัวขาวๆ แล้วผู้ชายคนตัวขาวๆก็หัวเราะ ...ส่วนผม...ตลอดเวลามีแต่คำว่าสงสัยแล้วก็สงสัย...

ผมไม่กล้ามองไปทางพวกเขาอีก ทำก็แต่แอบใช้หางตามอง...

แม้ไม่ได้ยินเสียงพวกเขาคุยกัน แต่ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆที่ดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ...

ผมไม่ได้สงสัยว่าพวกเขาเป็นคนรักกันหรือไม่ เพราะถึงแม้สายตาที่พวกเขาใช้จับจ้องกันและกันมันจะไม่ได้หวานจนดื่มด่ำ หากแต่มันมีความรักอยู่แน่นอน

ผมไม่เห็นพวกเขาแตะต้องตัวกัน พวกเขาต่างคนต่างกอดอก เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ของตัวเองและคุยกัน หัวเราะกันเบาๆ  หากแต่บ่อยครั้งเวลาที่ผู้ชายคนตัวดำคล้ำก้มหน้าหัวเราะ เขาขยับขาไปมา  แตะสัมผัสเบาๆกับขาของผู้ชายอีกคน...มันไม่ได้มีความหมายอะไรมากไปกว่าความเคยคุ้นที่พวกเขามีให้กัน

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นผู้ชายคนตัวขาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและผู้ชายอีกคนก็นั่งมอง

โทรศัพท์ถูกวางลง พวกเขาคุยกันพลางขยับตัวคล้ายเตรียมพร้อมที่จะไป  ส่วนผมภาวนาให้พวกเขาวางกระดาษแผ่นนั้นทิ้งไว้และพวกเขาก็วางมันทิ้งไว้จริงๆ...

ที่เคาน์เตอร์หน้าร้าน ผมยื่นใบเสร็จให้พวกเขาด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม  ในขณะที่ผู้ชายคนผิวขาวไล่สายตาดูใบเสร็จที่ผมส่งให้  ผู้ชายอีกคนก็กอดอกยืนรอและบ่อยครั้งเขามองผมพร้อมซ่อนรอยยิ้มขำ  และรอยยิ้มนั้นมันก็ทำให้ผมคิดขึ้นมาว่า เขาน่าจะจงใจลืมกระดาษแผ่นนั้นไว้ให้ผมกระมัง

แน่นอนว่าผมไม่ได้หวังว่าเขาจะแอบหยอดเบอร์ทิ้งไว้ให้ผมอะไรอย่างนั้น  ถึงแม้เขาจะชอบมองและยิ้มให้ผมหรือถึงผมจะต้องยอมรับกับตัวเองก็เถอะว่าผมชอบรอยยิ้มซ่อนรอยขำของเขาอยู่ไม่น้อย...ผมคงตกหลุมรักเขาได้ไม่ยาก หากไม่มีผู้ชายคนที่กำลังยืนอยู่ข้างกายเขา คนที่เขาคอยจับจ้องมอง...ไม่ได้หวานดื่มด่ำหากแต่ก็ไม่ปกปิดว่ารัก...

แม้อยากจะเดินเข้าไปหยิบกระดาษแผ่นนั้นมาอ่านใจจะขาด แต่ผมก็ทำรักษามาดยืนมองส่งพวกเขาที่เดินข้ามไปที่อีกฝั่งถนน ที่ๆรถของเขาจอดอยู่

ผมดีใจที่ตัวเองยังยืนรักษามาดอยู่ตรงนั้น เพราะบ่อยครั้งที่ผู้ชายตัวสูงผิวคล้ำยังเสหันกลับมามองผม สายตาที่มองมายังแฝงรอยขำคล้ายนึกรู้ว่าเดี๋ยวผมต้องวิ่งไปหยิบกระดาษมาอ่านดูแน่...เขาหันมามองบ่อยและเลิกมองเมื่อผู้ชายอีกคนหันมามองผมตามสายตาของเขา พูดอะไรสักอย่างกับเขา เขาหัวเราะก่อนส่ายหัว โน้มตัวลงไปใกล้คล้ายกระซิบบอกอะไรบางอย่าง แล้วเขาก็ไม่หันมามองผมอีกเลย

อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น พวกเขาก็จะขึ้นรถแล้วความสอดรู้สอดเห็นของผมก็จะสัมฤทธิ์ผล...อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น...แต่ผมก็ยังต้องยืนรักษามาดเก็บอาการสอดรู้พร้อมสอดเห็นต่อไป เพราะเวสป้าสีขาวที่เพิ่งเลี้ยวเข้ามาจากมุมถนน มันวิ่งตัดเลนส์ถนนที่ร้างรถด้วยความเร็วระดับเสียงดังแค่แทดๆ มุ่งตรงมาทางผม หากแต่ยังไม่ทันถึง คนที่ซ้อนอยู่ข้างหลังทำท่าคล้ายจะเห็นใคร และสะกิดคนขี่พลางชี้มือชี้ไม้ให้ขี่ตัดเลนส์กลับไป...แล้วคนสองคนที่กำลังจะจากไปก็หันกลับมา...พวกเขารู้จักกัน...คนมาใหม่ยกมือไหว้ คนมาก่อน ส่วนผมก็ต้องยืนรักษามาดต่อไป...

คนมาใหม่ที่กระโดดลงมาจากเบาะท้ายของรถเวสป้านั้นคุ้นตา...เขาเป็นคนรู้จักของเจ้าของร้าน เขาชื่อตะวัน...ผมจำเขาได้ แม้เขาจะยังสวมหมวกกันน็อคครึ่งหัวสีชมพูสด แถมแว่นกันลมแบบครอบลูกกะตามิดเหมือนแว่นกันน้ำและสีก็สดพอๆกับหมวกที่เขาสวมอยู่

ผมเรียกเขาว่า...พี่ตะวัน...ผมเจอเขามาสามถึงสี่ครั้งแล้ว...แต่เขาเจอผมครั้งแรกทุกครั้ง...คือ เขาจำผมไม่เคยได้เลย...ครั้งนี้ก็เหมือนกัน  พี่ตะวันชี้มือมาทางร้านที่ผมยืนอยู่...ทุกคนมองตามมือที่ชี้มา ทั้งผู้ชายตัวสูงผิวดำคล้ำที่ยังมองมาและยังยิ้มขำ ผู้ชายคนผิวขาวก็หันมามองและสบตาผมอย่างไร้ความหมาย และผู้ชายอีกคนที่ยังนั่งประจำตำแหน่งผู้ขี่อยู่บนเวสป้าคันขาว...ผมไม่ได้สบตาเขา เพราะเขาก็ใส่แว่นกันลมสีฟ้าสด สีเดียวกับหมวกกันน็อคกลมๆแบบครึ่งหัวของเขาที่เหมือนกันกับของพี่ตะวันต่างกันก็แค่สี...พวกเขาหันมามองแล้วก็หันกลับ...เหมือนพี่ตะวัน ที่มองมาแล้วก็หันกลับไปแบบไม่มีทีท่าว่ารู้จักหรือจำผมได้สักนิด...

พวกเขาหันมาแล้วก็หันกลับ...ยืนคุยกันอีกแป๊บ ยกมือขึ้นมาไหว้อีกหนแล้วก็ต่างแยกย้าย...รถเวสป้าเสียงดังแท่ดๆ  วิ่งตีโค้งข้ามฟากถนนมาจอดที่หน้าร้านอย่างที่ผมคิดเอาไว้...เพียงแต่มีสิ่งที่ไม่ได้คิดไว้ก็คือ ผมเห็นพี่ตะวันก้าวขาจะขึ้นไปซ้อนที่เบาะหลังเหมือนเก่า  รถเวสป้าสีขาวก็ออกตัววิ่งข้ามถนนมาเสียงดังแท่ดๆ ส่วนพี่ตะวันยังยกขาค้างยืนอยู่ที่เดิม...ผมเผลอตัวหัวเราะออกมาให้กับภาพที่เห็น พี่ตะวันก็หัวเราะในขณะที่วิ่งข้ามถนนตามมา...และผู้ชายคนที่ขี่อยู่บนเวสป้า ผมเห็นเขาหัวเราะพลางมองภาพสะท้อนของพี่ตะวันในกระจกรถ... รถเก๋งสีดำที่เมื่อครู่เพิ่งออกตัวไปก็ชะลอความเร็วลงจนเกือบจอดสนิท  แม้ไม่สามารถมองทะลุความมืดดำของกระจกเข้าไปเห็นคนข้างใน  แต่ผมรู้ว่าพวกเขาก็คงกำลังหัวเราะกับภาพเหตุการณ์ที่พวกเขาหยุดดู...แล้วพวกเขาก็จากไป และผู้ชายอีกสองคนก็เดินเข้ามาในร้านแทน...พวกเขายืนอยู่ตรงหน้าผม...มองหน้าผมผ่านแว่นกันลมอันกลมๆแบบที่มีสายรัดด้านหลังหัว...

พี่ตะวันถอดหมวกกันน็อคออกแล้ว แต่ก็ยังมีผ้าโพกหัวสีชมพูสดอีกชั้นหนึ่งที่ครอบอยู่บนผมยาวๆฟูๆของพี่ตะวัน

“พี่กิจไม่อยู่เหรอ?”พี่ตะวันถาม พลางชะเง้อ ชะแง้ มองเข้าไปในร้านแคบๆ

“ไม่อยู่ครับ...”ผมตอบ เห็นท่าชะเง้อชะแง้ของเขาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหันไปชะแง้ชะเง้อตาม

“ก็บอกแล้วไง วาเลนไทน์ใครๆก็ไปเที่ยวกับแฟน”ผู้ชายอีกคนที่ตัวสูงกว่าพูด เขายังสวมอยู่ครบทั้งแว่นกันลม และหมวกกันน็อคสีฟ้าสด...

“ไม่ใช่วาเลนไทน์ พรุ่งนี้ต่างหาก!”

“ซ้อมใหญ่ไง วันจริงจะได้ไม่ประหม่า!”คนตัวสูงพูดยิ้มๆ ก่อนหันหลังไปยืนดูรูปวาดที่แขวนไว้บนผนังตรงข้ามเคาน์เตอร์

“พี่กิจกลับมา ฝากบอกพี่กิจด้วยว่าตะวันมาหา พรุ่งนี้จะกลับแล้ว แล้วจะมาหาใหม่...”พี่ตะวันพูดกับผม หากแต่ตาจับจ้องอยู่ที่ตุ๊กตาไม้หัวฟูหน้าตาประหลาดตัวใหญ่แค่ฝ่ามือที่ยืนเอียงคอยิ้มยิงฟันอยู่บนเคาน์เตอร์

ตุ๊กตาไม้ตัวนี้ตั้งอยู่บนเคาน์เตอร์มานานก่อนผมจะมีโอกาสเหยียบย่างเข้ามาทำความรู้จักกับเจ้าของร้านเสียอีก...มีคนแนะนำตุ๊กตาไม้ตัวนี้ให้ผมรู้จักและบอกว่าผู้ชายที่แกะสลักตุ๊กตาไม้ตัวนี้ชื่อว่าขุน เป็นเพื่อนกับเจ้าของร้าน ...เจ้าของร้านเคยเล่าให้ผมฟังว่า พี่ขุนคนนี้เป็นเรี่ยวแรงสำคัญคนหนึ่งในจำนวนหลายๆคน ที่ทำให้ร้านอาหารเล็กๆร้านนี้ถือกำเนิดขึ้น...แน่นอนว่าโลกนี้ไม่มีคำว่าฟรีแม้แต่กับเพื่อน...พี่ขุนจึงมีข้อเรียกร้องแลกเปลี่ยนกับเรี่ยวแรงของตัวเองคือ บนผนังร้านต้องแขวนภาพเขียนของพี่ตะวันและหากขายได้ต้องไม่มีการหักหัวคิวแม้แต่สลึงเดียว...เจ้าของร้านยินยอมเพราะบวกลบคูณหารแล้วมีแต่ได้กับได้แล้วก็ได้...ตอนนี้ภาพเขียนที่แขวนบนผนังในร้านไม่มีภาพเขียนของพี่ตะวันแล้ว จะมีก็แค่บางภาพที่พี่ตะวันเอามาแขวนไว้แต่บอกว่าห้ามขาย...ผมไม่เคยเห็นพี่ขุน แต่มีคนบอกว่าภาพที่พี่ตะวันเอามาแขวนไว้คือภาพของพี่ขุน... ส่วนภาพบนผนังร้านส่วนใหญ่ในตอนนี้เป็นของนักเรียน นักศึกษา ที่เจ้าของร้านอนุญาตให้นำมาฝากขายโดยไม่มีการหักค่าหัวคิวหรือค่าเช่าพื้นที่อะไรเลย...และตอนนี้เรี่ยวแรงต่างๆที่ว่าสำคัญด้วยช่วยเหลือกันเมื่อแรกเริ่มร้านนี้มาก็กระจัดกระจายแยกย้ายกันไปหมดแล้ว นานๆจึงแวะเวียนผ่านมาให้ผมรู้จักสักครั้ง...ได้ยินว่า บางคนลงใต้ บางคนขึ้นไปเหนือที่เหนือกว่าเชียงใหม่ บางคนไปอยู่ลาว กับอีกบางคนก็ไปอยู่ไกลถึงบนฟ้า...อย่างเช่นพี่ขุน ที่มีคนบอกว่า คือคนรักของพี่ตะวัน...คือคนที่แกะสลักตุ๊กตาไม้หัวฟูหน้าประหลาดที่พี่ตะวันกำลังยืนจับจ้องอยู่ตอนนี้...




Share This Topic To FaceBook

ภัคD

  • บุคคลทั่วไป
Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
«ตอบ #1 เมื่อ05-05-2009 23:19:00 »

“ฝากโน้ตไว้ก็ได้ครับ”ผมบอกเบาๆ ก่อนรีบหยิบกระดาษจดข้อความพร้อมปากกาส่งให้
 
พี่ตะวันรับปากกาและกระดาษไปทั้งที่ตายังจับจ้องอยู่ที่ตุ๊กตาไม้...เขายิ้มนิดนึงก่อนหันกลับมาและ ก้มหน้าก้มตาเขียนข้อความลงในกระดาษอย่างตั้งใจ...


“รูปนี้ตะวันเขียนหรือเปล่า คล้ายงานของตะวันเลย?”คนตัวสูงที่ยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ด้านหลังร้องถาม หลังจากยืนพินิจพิเคราะห์รูปวาดบนผนังอยู่นาน

“แอ้ก!”เสียงพี่ตะวันร้อง...จริงๆก็ไม่เชิงร้องว่า...แอ้ก...น่าจะเป็น โอ๊ย ผสมแอ๊ก ผสม อึก หรืออะไรประมาณนั้น หรือจริงๆอาจะเขียนเป็นคำพูดไม่ได้เพราะร้องออกมาไม่เป็นภาษา เพราะจริงๆก็ไม่ใช่คำตอบต่อข้อร้องถามของผู้ชายตัวสูง

เพราะพอผู้ชายคนตัวสูงถามจบ และพี่ตะวันกำลังจะเอี้ยวตัวกลับไปมอง คนตัวสูงก็เอนตัวพิงหลังลงมาใส่ซะอย่างนั้น เสียงที่หลุดออกมาจากปาก มันเลยผสมกันระหว่าง เสียงตกใจกับเสียงเจ็บหน่อยๆหรืออาจมากเพราะหน้าอกกระแทกเข้ากับเคาน์เตอร์เต็มๆจนผมยังนึกเจ็บแทน

“เจ็บนะ ออกไป!”พี่ตะวันร้อง สองมือก็พยายามยันตัวเองให้ลุกห่างจากเคาน์เตอร์ แต่คนตัวสูงยังยืนพิงหลังพลางเอี้ยวตัวมามองและหัวเราะอย่างชอบใจที่แกล้งได้

ผมยืนมองพวกเขาเล่นกัน ...คงเป็นแฟนใหม่ของพี่ตะวัน...ผมคิดอย่างนั้น เพราะท่าทางพวกเขาเป็นอย่างนั้น...

ผมยืนมอง  รอพวกเขาเล่นกันจนพอใจ จนผู้ชายคนตัวสูงพลิกตัวกลับมายืนหัวเราะอยู่ข้างๆพี่ตะวัน มือสองข้างของเขายังล้วงกระเป๋ากางเกงเมื่อเขาก้มตัวลงนิดคล้ายจะดูว่าพี่ตะวันเขียนอะไร แต่พี่ตะวันปิดไว้ไม่ให้ดูและรีบส่งคืนให้ผมโดยไม่พับซ่อนข้อความแต่อย่างใด

ผมรับกระดาษมาก่อนก้มอ่านแบบลืมแอบเพราะท่าทางคงไม่ใช่ความลับอะไรเท่าไหร่และยิ่งกว่านั้นผมสงสัย...ทำไมเขียนเสร็จไวทั้งที่ตั้งท่าจะพูดอะไรซะมากมาย...

...ตะวันมาหานะ...

สั้นและง่ายแถมได้ใจความ แต่จะเขียนทำไมให้เปลืองกระดาษ? สั้นกว่าที่พูดกับผมอีกนะเนี่ย!

“เขียนทำไมให้เปลืองกระดาษ  ต้นไม้มันปลูกง่ายรึไงตะวัน?”ผมแค่คิด แต่ไม่ได้ถาม แต่เป็นผู้ชายตัวสูงๆที่ยังยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ข้างๆเป็นคนร้องถาม

“พูดมาก!...อย่างงี้น่ะซิถึงไม่มีแฟน!”พี่ตะวันพูดก่อนดึงกระดาษคืนไปจากมือของผม แล้วก็ทำท่าจะเขียนอะไรลงไปเพิ่ม ส่วนผมก็ร้อง...อ้าว...พร้อมเครื่องหมายตกใจในใจ...ก็ดูท่าทางแล้ว ผมนึกว่าพวกเขาเป็นแฟนกันเสียอีก...
 
“มีทำไมแฟน? มีตะวันคนเดียวก็พอแล้ว...”ผู้ชายคนตัวสูงพูด พี่ตะวันเลยหัวเราะ คนตัวสูงก็หัวเราะ ส่วนผมก็งง...ตกลงพวกเขาเป็นอะไรกัน?!...

ยังยืนไม่หายงง พี่ตะวันก็ส่งกระดาษคืนให้ผมอีกครั้ง ข้อความบนกระดาษยังเหมือนเดิม มีเพิ่มขึ้นมาแค่หนึ่งจุด คล้ายจะเขียนอะไรแล้วก็เปลี่ยนใจหรืออาจมัวหัวเราะเพลินเลยลืมเขียนไปซะก่อน...

“งั้นไปก่อนนะ...ต๋อง...”พี่ตะวันบอกแถมเรียกชื่อผมเป็นการแสดงให้ผมรู้ว่า พี่เขาจำผมได้...เพียงแต่เขาจำผิด

“ต๋งครับ”ผมแก้ให้

“ต๋ง?”พี่ตะวันถามคล้ายไม่แน่ใจ

“ครับ!”แต่ผมมั่นใจว่าตัวเองชื่อนี้แน่นอน ไม่น่าจำผิด พี่ตะวันเลยพยักหน้าสองหงึก โบกมือให้ผมแล้วก็เดินออกจากร้านไป และผู้ชายอีกคนก็ทำตาม...โบกมือแล้วก็เดินตามพี่ตะวันออกไป

“เสียมารยาท จำชื่อคนอื่นผิด!”ผมได้ยินผู้ชายคนตัวสูงพูดเมื่อกลับขึ้นไปนั่งประจำตำแหน่งของเขาบนเวสป้าคันเดิม

“ไม่ผิด!”พี่ตะวันเถียงชัดถ้อยชัดคำในขณะที่ผู้ชายคนตัวสูงหันมาเอาหมวกกันน็อคสีชมพูสดวางลงบนหัวพี่ตะวันเหมือนเดิม

“ไม่ผิดได้ไง ก็เขาบอกว่าเขาชื่อต๋ง”เขาพูดพลางทำมือทำไม้ส่งสัญญาณให้พี่ตะวันกระโดดขึ้นไปซ้อนท้ายได้แล้ว

“ก็บอกว่าไม่ผิด!”พี่ตะวันยังเถียงก่อนกลับขึ้นไปซ้อนท้าย

“ทำไมจะไม่ผิด เขาบอกว่าชื่อต๋ง”ผู้ชายคนตัวสูงพูดพลางเอี้ยวตัวไปมองถนนด้านหลัง

“จำคนผิด!”ส่วนพี่ตะวันก็ว่างั๊น

ผมยังยืนงง มองตามควันสีขาวๆของรถเวสป้าสีขาวที่วิ่งจากไปด้วยเสียงดังแทดๆๆ...

ผมยังยืนมองควันรถที่เหลืออยู่...ยังยืนสงสัย ตกลงพี่ตะวันจำชื่อผมผิด หรือชื่อไม่ผิดแต่ผิดคน?...

แต่เมื่อผมบอกตัวเองว่า ให้ยืนงงนานแค่ไหน คำตอบมันก็คงไม่มีวันลอยมาหล่นแหมะอยู่ตรงหน้า ผมเลยหันกลับไปสนใจสิ่งที่มีคำตอบ...อะไรที่เขียนอยู่ในกระดาษแผ่นนั้นที่ผู้ชายคนหนึ่งลืมทิ้งไว้ ส่วนผู้ชายอีกคนน่าจะแกล้งลืม...

ผมหยิบกระดาษแผ่นเล็กๆขึ้นมาดู...ในแผ่นกระดาษช่วงต้นๆ มันมีแต่ตัวเลข คล้ายจะเป็นเกมส์อะไรสักอย่างเกี่ยวกับตัวเลขที่ผมไม่เคยเล่น...เขาคงนั่งเล่นฆ่าเวลา รอผู้ชายอีกคนคุยโทรศัพท์

และต่อจากนั้น ก็มีแต่รอยขีดๆไร้ความหมาย ผมไล่สายตาลงมาที่ด้านล่างตรงที่เริ่มเป็นตัวหนังสือ

อยากแกล้งคน

บรรทัดแรกเขียนไว้อย่างนั้น...อยากแกล้งใคร?...ผมนึกสงสัยก่อนไล่สายตาลงมาอีกบรรทัดที่ยังคงเป็นลายมือเดิม

เขามองเราอยู่ เอกอ่านกระดาษเสร็จแล้วมองเขาแล้วหัวเราะนะ

บรรทัดที่สองเขียนไว้อย่างนั้น...คราวนี้ผมรู้...เขา...ที่ถูกเขียนถึงน่ะใคร...

เดี๋ยวเขาต้องเดินเข้ามาดูแน่ว่าพี่เขียนอะไร

บรรทัดที่สาม ลายมือเดิมว่าอย่างนั้น

ผมนึกเห็นภาพตัวเองทำเนียนเดินเข้าไปรินน้ำ...นึกเห็นภาพคนผิวคล้ำมองผมและยิ้มขำ นึกเห็นภาพคนผิวขาวที่ดึงกระดาษหลบ...และดื่มน้ำในแก้วตัวเองเพื่อให้ผมได้รินน้ำเติม

ผมไล่สายตาอ่านต่อไป...ผู้ชายคนผิวดำ ที่น่าจะชื่อเอกคงวางโทรศัพท์ไปแล้ว เพราะลายมือในบรรทัดต่อไปนั้นต่างจากลายมือในบรรทัดก่อนๆ

แฟนใครเนี่ย ขี้แกล้ง!

แฟนคนรูปหล่อไง

โหปากหวานงี้  แฟนรักน่าดูซิท่า?

ไม่รักเท่าไหร่หรอก วันก่อนเพิ่งเห็นแจกเบอร์ให้สาวไป...อย่าคิดนะว่าไม่เห็น!

เอื้อก!!!

ผมยกกระดาษแผ่นเล็กๆขึ้นมาให้เห็นใกล้ๆและอ่านซ้ำอีกครั้ง...

เอื้อก...มันเขียนไว้อย่างนั้นจริงๆแถมมีเครื่องหมายตกใจห้อยท้ายมาอีกสามตัวแบบไม่ขาดและไม่เกิน

ตอนนี้ผมรู้แล้ว ผู้ชายคนขาวๆนั่งหัวเราะอะไร...เพราะผมเองก็กำลังหัวเราะ...

ในกระดาษไม่ได้เขียนอะไรมากไปกว่านั้นแล้ว ผมเดาว่าถึงตอนนั้นพวกเขาคงเลิกสนใจความสอดรู้สอดเห็นของผมแล้ว...เขาคงอยากพูดคุยกันแค่สองคน...เรื่องของพวกเขาสองคน และคงอยากใช้คำพูดมากกว่าตัวหนังสือ เพราะผมจำได้พอพวกเขาวางปากกา พวกเขาก็คุยกันเบาๆ ยิ้มและหัวเราะให้แก่กันเบาๆ...

ผมหยิบกระดาษแผ่นเล็กๆนั้นขึ้นมาอ่านอีกรอบและยิ้มให้กับถ้อยคำเหล่านั้น...พวกเขาคงเป็นแฟนกันจริงๆอย่างที่ผมคิด หรือจริงๆผมไม่น่าต้องเสียเวลามาสงสัย เพราะตลอดเวลาที่นั่งอยู่ในร้าน ตลอดเวลาที่พวกเขาจับจ้องกัน...มันไม่ได้หวานจนดื่มด่ำ หากแต่มันมีความรักอยู่แน่นอน ผมมองเห็น...

ผมอ่านข้อความไม่กี่บรรทัดนั้นอีกสองสามเที่ยว...นึกถึงรอยยิ้มของพวกเขาและนึกเหงาขึ้นมาอย่างประหลาด...เวลานี้เวลาที่ใครๆก็คงเตรียมซ้อมใหญ่อยู่กับแฟน เพื่อวันจริงในวันพรุ่งนี้จะได้ไม่ประหม่านัก ผมกลับยืนอยู่คนเดียวตรงนี้...

ตอนนี้โต๊ะในร้านว่างคนแล้ว ผมมองไปรอบร้าน...ยืนหาวอีกเป็นรอบที่ร้อย ... ไม่มีเหตุผลอะไรแล้วที่จะอยู่โยงต่อไป หากแต่ผมก็ยังยืนอยู่ที่เดิม หาวแล้วหาวอีกและมองไปตามถนนที่ร้างรถขึ้นทุกทีๆ

...เหงาหรือว่าง่วง?...ผมนึกถามตัวเองเมื่อหาวติดๆกันหลายๆครั้ง และมองถนนที่ว่างรถที่ทำให้ใจมันห่อๆเหี่ยวๆ...มันเลยยากจะบอกว่า...ผมง่วงหรือผมเหงากันแน่...

ผมหันไปมองบนถนนทุกครั้งที่ได้ยินเสียงรถแล่นผ่าน...มองดูรถแต่ละคันที่แล่นเลยผ่านไป คันแล้วแล้วก็คันเล่า ไม่มีสักคันที่จอด และไม่มีสักคันที่ผมมองหา...

มันก็คงเหมือนเรื่องอื่นๆในชีวิต สิ่งที่เรารอคอยมักไม่เคยมาถึงจนกว่าเราจะเลิกรอ...ครั้งนี้ก็เช่นกัน จนผมตัดใจเลือกที่จะเลิกรอ เพียงแค่หันหลัง รถคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอดที่หน้าร้าน...

“ยังไม่ปิดร้านอีก?!”เสียงร้องตะโกนทักพร้อมรอยยิ้มกว้างทำให้ผมเผลอตัวยิ้มตอบแบบกว้างกว่า ก่อนจะทันเตือนตัวเองให้หุบยิ้ม ให้เก็บกักความดีใจไว้เสียบ้าง...

“แขกเพิ่งออกจากร้านไปครับ”ผมพูดโกหก มองเขาที่เพิ่งเดินลงจากรถมาและกำลังเดินตรงมาหาผม

“พี่กิจมาทำไรครับ บอกแล้วไงว่าผมดูได้ หรือว่าไม่ไว้ใจ?”ผมถามเมื่อเขามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า

พี่กิจเป็นเจ้าของร้านร้านนี้...เป็นคนเจ้าชู้  เจ้าชู้ขนาดที่เพื่อนๆพี่กิจเคยแกล้งแซวว่า...ให้มึงมีหาง มึงก็ต้องระวังมัน!...

และครั้งหนึ่งพี่กิจก็เคยจีบผม...ผมเล่นตัว...แต่ ไม่ใช่เพราะไม่รัก ...ผมน่ะตกหลุมรักพี่กิจก่อนที่พี่กิจจะคิดจีบผมเสียอีก หากแต่ผมไม่อยากให้ตัวเองเป็นได้แค่คู่นอน ผมเลยเล่นตัวไว้ก่อน แต่เมื่อผมคิดจะโอนอ่อน พี่กิจกลับละมือ  แถมยกตำแหน่งน้องชายคนสำคัญเพราะฟันไม่สำเร็จให้ผมซะงั๊น

“ใช้คนอื่นมาเฝ้าร้าน ส่วนตัวเองหนีเที่ยว ไม่เคยยอมขาดทุนเลยนะ!”เสียงที่ผมนึกว่าจะไม่ได้ยินร้องทัก ตามด้วยเสียงปิดประตูรถ และเมื่อผมหันไปมอง ก็ทันเห็นเขาหย่อนโทรศัพท์มือถือเครื่องบางลงในกระเป๋าเสื้อ

“หวัดดีครับ”ผมยกมือไหว้เขา

เขา...ผู้ชายผิวขาวที่กับคนไม่มักคุ้น เขามักยิ้มมากกว่าคุย ผมจึงคุยกับเขาไม่บ่อยนัก...

เขา...ผู้ชายคนที่ผมคิดว่าเขามาทีหลัง แต่จริงๆเขามาก่อน... เพื่อนๆพี่กิจรู้จักเขาทุกคน จะมีก็แต่ผมที่ไม่รู้จัก และใครๆก็บอกว่า...คนนี้แหละ ที่พี่กิจรักจริงๆ...อาจจะจริงอย่างที่ใครๆว่า เพราะพี่กิจละมือจากผม เมื่อคนๆนี้ก้าวเข้ามา อาจจะจริงอย่างที่ใครๆว่า เพราะเมื่อคนๆนี้ก้าวเข้ามา ดูเหมือนพี่กิจจะเลิกเจ้าชู้ และดูพี่กิจมีความสุขกว่าเมื่อก่อน ยิ่งกว่านั้น...ผมเคยคิดว่าเขาเพิ่งก้าวเข้ามาในชีวิตพี่กิจ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็รู้ว่า...เขาก้าวกลับเข้ามาในชีวติของพี่กิจต่างหาก...

“ไม่ได้ใช้ อาสามาเองตะหาก”พี่กิจบอก ซึ่งมันก็เป็นเรื่องจริง...ผมอาสามาเองทั้งที่ตอนแรกพี่กิจบอกว่าจะปิดร้าน..ผมรู้ว่าการมาเฝ้าร้านให้พี่กิจ ดูจะเป็นภาระมากกว่าเป็นประโยชน์ และผมก็ดีใจเมื่อพี่กิจอนุญาต โดยไม่ถามแม้เหตุผล เพราะหากพี่กิจถาม ผมก็คงตอบพี่กิจไม่ได้ เพราะมันไม่มีเหตุผล ผมแค่ทำทุกทาง ฉวยทุกโอกาสที่จะให้ความหวังตัวเอง เหมือนที่ผมอยู่โยงจนดึกขนาดนี้ เพราะใครๆก็รู้ รวมทั้งผม...หากพี่กิจอยู่เชียงใหม่ ให้ดึกแค่ไหน ต่อให้รู้ว่าเลยเวลาปิดร้านไปแล้ว นิสัยของพี่กิจคือ ต้องขับรถแวะเวียนผ่านร้านสักรอบ...และนั่นคือเหตุผลที่ผมอยู่โยงจนเลยดึกเลยดื่นเสียขนาดนี้...

“เอารถมาหรือเปล่า?”พี่กิจถาม พลางหันไปกวาดตามองบริเวณริมถนนโดยรอบ

“ไม่ได้เอามาครับ ติดรถเพื่อนมา”ผมตอบ และที่ไม่ได้ตอบจนหมดคือ...และหวังติดรถพี่กิจกลับ...

“อ้าว แล้วเกิดพี่ไม่มา จะกลับยังไง?”พี่กิจหันมาถามดูไม่มีความหมายอะไร หากแต่หน้าผมร้อนผ่าว เพราะเขาอีกคนยิ้ม เขาไม่ได้พูดอะไร...เพียงแค่ยิ้มซึ่งอาจจะมีความหมาย หรืออาจจะไม่มีก็ได้...

สุดท้ายผมก็มานั่งอยู่บนเบาะหลังรถของพี่กิจอย่างที่หวังไว้ แต่ที่ไม่ได้หวังก็คือ ดูคล้ายไม่ใช่แค่นั่งอยู่บนเบาะหลังเท่านั้น  แต่ผมกลายเป็นเบาะหลังไปเลยจริงๆ คือทั้งพี่กิจและเขาคนนั้น พูดคุยหัวเราะกัน ราวกับไม่มีผมอยู่ตรงนั้นด้วย

“วันนี้พี่ตะวันมาหา”ผมพูดแทรกขึ้นเมื่อหาจังหวะได้ พร้อมส่งเศษกระดาษแผ่นเล็กๆให้พี่กิจ แต่คนที่รับไปและเปิดออกอ่านไม่ใช่พี่กิจ

“ ตะวันมาหานะ...”เขาอ่านก่อนพลิกระดาษดูด้านหลัง

“แค่นี้?”พี่กิจถาม

“แค่นี้แหละ!”และเขาตอบทั้งหัวเราะและยื่นกระดาษให้พี่กิจดูเป็นการยืนยัน

“พี่เขาบอกว่า พรุ่งนี้จะกลับแล้ว แล้วจะมาหาใหม่...”ผมบอกเพิ่มเติมในสิ่งที่พี่ตะวันฝากบอกแต่ไม่ได้เขียนไว้

“อ้าว...ตะวันไม่ได้บอกกิจไว้ก่อนเหรอว่าจะมาหา”เขาพูด...บ่งบอกว่ารู้จักพี่ตะวันเช่นกัน

“เปล่า...นึกจะไปก็ไป นึกจะมาก็มา ไอ้คนนี้มันเคยบอกอะไรที่ไหน”พี่กิจตอบและเขาก็หัวเราะคล้ายรู้และเห็นจริงในสิ่งที่พี่กิจพูด...แต่ผมไม่รู้ เพราะอย่างที่บอกพี่ตะวันจำผมไม่ได้ด้วยซ้ำ ผมไม่ได้สนิทอะไรกับพวกเขามากมายนัก

“มากับใคร?”ครั้งนี้พี่กิจถามผมโดยมองผ่านกระจกส่องหลัง

“ไม่รู้ครับ ไม่เคยเห็น”

“ตัวสูงๆ ที่ใส่แว่นหรือเปล่า?”พี่กิจถามและผมพยักหน้าตอบอย่างลังเล เพราะแว่นที่ผมนึกเห็น  ผมไม่แน่ใจนักว่าเป็นแว่นเดียวกับที่พี่กิจหมายความถึง

“นั่นแหละ ฉาย น้องชายมัน”พี่กิจบอก ไม่รู้บอกผมหรือบอกคนที่นั่งข้างๆ

“จำได้ไหม  ที่สมัยก่อนเคยมาช่วยไอ้ตะวันยกของ...ตั้งแต่ยังเรียนม.ปลายอยู่เลยมั้ง”พี่กิจขยายความ...และครั้งนี้ไม่ได้พูดกับผมอย่างไม่ต้องเสียเวลาสงสัย

“อ๋อ!...คนที่ว่าเรียนหมอ”เป็นอันว่าเขารู้จัก ในขณะที่ผมไม่รู้จัก

“เรียนจบตั้งนานแล้ว!”และพี่กิจบอก...บอกในสิ่งที่ผมไม่รู้อยู่ดี

“รู้...ที่ว่าไปเป็นหมออยู่ไชยปราการ!”แต่เขารู้ในสิ่งที่ผมไม่รู้อีกเช่นเคย

“นั่นก็นานแล้ว...จนไปเรียนต่อ จนจบแล้ว นี่เห็นว่าได้ทุน ไปอเมริกาหรือที่ไหนนี่แหละ...ไม่แน่ใจ”พี่กิจบอกและผมเพิ่งนึกสะดุดหู...ผู้ชายคนนั้นเป็นหมอ?...หมอที่ผมคุ้นตา ไม่ได้สวมแว่นแบบนั้น...แว่นกันลมสีฟ้าสดใส เข้าชุดกับหมวกกันน็อคพอดิบพอดี...ผมนึกอยากบอกว่าสงสัยจะเกิดการเข้าใจผิด แต่ก็ไม่ได้บอกเพราะเมื่อฟังพวกเขานั่งรำลึกความหลังมาถึงตอนนี้ ผมก็สรุปได้แล้วว่า...ควรเป็นเบาะรถต่อไป

“แล้วตะวันล่ะ?”เขาถามขึ้นอีก

“เห็นว่าจะไปด้วยกัน...ตอนน้องมันไปเรียนต่อกรุงเทพ มันก็ไปด้วยนี่”

“ไปด้วย? อย่างนั้นแฟนแล้วมั้ง ไม่ใช่น้อง!”

“มันว่าไม่ใช่...มันว่าใครพูดงั๊น มันจะต่อยปากแตก”พี่กิจพูดไปหัวเราะไป...และจากเท่าที่เห็นพี่ตะวัน ผมก็เห็นด้วยกับเสียงหัวเราะของพี่กิจ แต่แม้จะนึกอยากหัวเราะตาม ผมก็ไม่ได้หัวเราะตาม เพราะเบาะรถหัวเราะไม่ได้...ผมเป็นเบาะรถ เลยหัวเราะไม่ได้

เรื่องที่ผมหยิบยกขึ้นมา หวังจะให้ตัวเองมีส่วนร่วมในบทสนทนา กลับกลายเป็นยิ่งตอกย้ำว่าผมเป็นคนนอก...สุดท้ายก็กลับมาเป็นเบาะรถอย่างเก่า...

ภัคD

  • บุคคลทั่วไป
Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
«ตอบ #2 เมื่อ05-05-2009 23:20:36 »

“ตะวันเนี่ยนะจะต่อยปากแตก? ไอ้ขุน...ก็ว่าไปอย่าง”เขาคนนั้นพูดต่อ น้ำเสียงแฝงรอยขำ หากแต่แล้วก็สะดุด น้ำเสียงเขาขาดหายไปก่อนจะพูดต่อจนจบประโยคโดยไร้รอยขำ

ผมได้ยินพวกเขาถอนหายใจเบาๆก่อนเงียบกันไป คล้ายกำลังระลึกถึงอะไรบางอย่าง...ถึงใครบางคน

พวกเขากำลังใช้ความทรงจำร่วมกัน...ความทรงจำที่เบาะรถอย่างผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

ผมรู้จักพี่ขุน น้อยยิ่งกว่าน้อย รู้จักก็แค่เพราะใครต่อใครหลายคนยังพูดถึงเขาเสมอ...แต่ผมไม่เคยเจอตัว เมื่อผมรู้จักพี่กิจ...พี่ขุนก็ไม่มีชีวิตอยู่แล้ว แต่ใครๆก็ยังคงพูดถึงเขา ผมจึงรู้จักเขา จากคำพูดถึงของคนอื่น

“ไง!”เสียงพี่กิจร้องเรียกขึ้น คงหวังทำลายความเงียบ และเมื่อผมหันไป ก็สบตากับพี่กิจกำลังมองผมผ่านกระจกส่องหลัง ผมจึงรู้ว่าครั้งนี้ พี่กิจตั้งใจจะคุยกับเบาะรถอย่างผม

“พรุ่งนี้ยังจะอยากมาอีกหรือเปล่า?”พี่กิจ ถามและหัวเราะ

ผมเกือบตอบว่า...มา... หากแต่วินาทีที่แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้เหตุผล ผมเลือกที่จะส่ายหน้าแทนคำตอบว่าไม่

“ทำไม?”พี่กิจถามยิ้มๆ

“อยากไปเที่ยว”ผมตอบโดยไร้การชั่งใจ

“เพิ่งรู้เหรอ วาเลนไทน์ใครๆก็ไปเที่ยวกับแฟนทั้งนั้นแหละ”

“ครับ...  ผมอยากไปกับพี่กิจ”ผมพูดก่อนเสมองออกไปนอกรถ ดูก็แต่ถนนที่ร้างคนผ่านกระจกรถที่สะท้อนเงาที่กำลังหวาดหวั่นของตัวเอง

“ใครเขาเที่ยวกันสามคนล่ะ วันวาเลนไทน์น่ะ...”และคนที่ตอบไม่ใช่พี่กิจ หากแต่คือเขาที่นั่งอยู่ข้างๆ...คือแฟนของพี่กิจ  คือคนที่ใครๆก็บอกว่า...คนนี้พี่กิจจริงจัง...และน้ำเสียงที่พูดนั้นก็มีร่องรอยหึงหวง ประชดและประชันโดยไม่ปิดบังสักนิด...ยิ่งกว่านั้น...ดูคล้ายเขาจะประกาศว่า... เขาจะไม่ใช่ฝ่ายที่ต้องถอยหลบอย่างแน่นอน...

“แต่ก็ไม่แน่นี่เนอะ?!”เขายังพูดต่อ...ครั้งนี้น้ำเสียงเขาส่อเสียดและเยาะหยัน และพี่กิจก็แค่ถอนหายใจ...ส่วนผมยังคงมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่กล้ามองกลับมา ผมรู้...พี่กิจคงลำบากใจ

ถ้าเลือกย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะไม่พูดออกไปแบบนั้น...เพราะผมรู้ว่า ให้หวังยังไง ตัวเองก็ไม่มีหวัง...สิ่งที่ผมคิดและพูด มันก็เป็นได้แค่สิ่งที่ทำให้ทุกคนลำบากใจ หลักฐานคือ ความเงียบงันหลังจากนั้น...

ผมบอกตัวเองไม่ได้ว่าทำไมพูดไปแบบนั้น ทั้งที่ก่อนหน้านั้น แม้จะหวัง แม้จะพยายามทำทุกอย่าง แต่ผมไม่เคยแม้คิดจะทำให้กิจรู้ว่าผมคิดยังไง...

คนบางคนบอกว่า...วินาทีที่เราเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง มันเป็นวินาทีที่ความกล้าเอาชนะความขลาดกลัว...หากแต่สำหรับผมดูจะตรงกันข้าม...เมื่อเห็นความใกล้ชิดกันของพวกเขา ดูคล้ายว่า ผมไม่มีความกล้าพอจะผิดหวัง...ยิ่งเห็นเขาใช้ความทรงจำร่วมกัน ผมยิ่งไม่กล้าพอจะยอมรับความสูญเสีย...ผมกลัวจะสูญเสีย ความกลัวนี่เองกระมังคือเหตุผลที่ทำให้ผมพูดออกมา...

ไม่มีใครพูดอะไรกันอีก เขาไม่ได้พูดอะไรอีก...พี่กิจก็ไม่ได้พูดอะไร...ผมเองก็ไม่ได้พูดอะไรแต่จากหางตา ผมเห็นพี่กิจเอื้อมมือไปข้างๆ...จากช่องเล็กๆตรงเบาะนั่งด้านหน้า ผมเห็นเขาหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง...พวกเขาไม่พูดอะไรกันอีกเลย...

“ไว้ค่อยคุยกันนะ...”พี่กิจบอกผมอย่างนั้น เมื่อผมลงมายืนอยู่หน้าบ้าน...ผมแค่พยักหน้ารับ และยกมือไหว้ลาเขาอีกคนที่พยักหน้าและยิ้มรับการไหว้ลาของผม...แล้วพี่กิจก็ขับรถจากไป...จากไปพร้อมเขา...เขา คนที่ใครๆก็บอกว่าพี่กิจรัก...

“ทำไรวะ?”เสียงร้องทักดังจากข้างหลัง และก็ไม่ได้ทำให้ผมตกใจอะไร...หรือจริงๆผมอาจจะรู้อยู่แล้วว่า หากยืนอยู่อย่างนี้ เดี๋ยวใครคนหนึ่งก็ต้องเปิดประตูบ้านออกมาตาม

แม้ใจหนึ่งจะคิดว่า มันน่าจะนอนไปแล้ว หากแต่อีกใจก็นึกเผื่อไว้ว่ามันน่าจะอยู่รอ...

“ทำใจ...”ผมตอบเสียงเนือยๆ ก่อนหันหน้าไปมองเจ้าของเสียงร้องถามอย่างหน่ายๆ

“อะไรนะ?”มันถาม

“ทำไมยังไม่นอน ไหนว่าพรุ่งนี้ไปแต่เช้า?”ผมเลือกที่จะไม่ตอบ หากแต่ย้อนถามเมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปในบ้านและเห็นเป้เดินทางใบใหญ่ที่เตรียมไว้อย่างพร้อมเพรียงกับขาตั้งสำหรับวาดรูปที่จัดเข้าหีบห่อไว้อย่างดีพร้อมที่จะออกเดินทาง

และเมื่อเดินเข้ามาถึงโต๊ะรับแขกตัวเตี้ยที่กลางบ้าน ผมจึงเพิ่งเห็นถ้วยมาม่า 2 ถ้วยที่วางไว้บนโต๊ะ...ถ้วยหนึ่งกินหมดไปแล้ว กับอีกถ้วย ยังปิดฝาเตรียมรอที่จะกิน

“ก็รอมึง...พรุ่งนี้ไปแต่เช้า มึงก็คงไม่ตื่น ขืนกูนอนก็ไม่เจอมึงน่ะสิ”มันตอบก่อนทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม และเปิดถ้วยมาม่าดูก่อนปิดไว้อย่างเก่า...แปลว่ายังไม่ได้ที่...

...สำหรับพี่กิจ...ผมไม่รู้ว่า ผมเป็นมาม่าถ้วยไหน...ถ้วยที่เลิกสนใจไปแล้ว หรือถ้วยที่น่าจะยังมีความหมายในวันข้างหน้า...ผมคิดเนือยๆขำๆ แต่แล้วก็เหลือแต่ความเนือยไม่เหลือความขำเพราะนึกได้ว่า...พี่กิจไม่กินมาม่าหรืออาหารสำเร็จรูปทุกรูปแบบ...เมื่อผมเปรียบเทียบตัวเองเป็นมาม่า...ผมก็เป็นแค่สิ่งที่พี่กิจไม่เคยสนใจ...เท่านั้น

“พรุ่งนี้ไม่ตื่น อย่าโทษกูแล้วกัน”ผมบอก...เตือนตัวเองให้เปลี่ยนเรื่องคิด...หันกลับไปมองดูมันที่มองหน้าผมสลับกับถ้วยมาม่าและนาฬิกาแขวนผนัง

“ก็ไปอีกวัน...”มันตอบเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ ไม่เห็นเป็นประเด็นอะไรต้องเอามาขบคิด และผมก็พยักหน้าเห็นด้วยไปกับมัน

“กินไหม?”มันถามพลางยื่นถ้วยมาม่าที่ยังปิดฝามาให้แต่ผมส่ายหัวแทนคำตอบ...ถึงจะเริ่มหิว แต่นึกไม่อยากแตะถ้วยมาม่านั้นขึ้นมา... มันจึงดึงคืนเอาไปเปิดฝาดูแล้วก็ปิดลงอีกครั้งก่อนหันไปมองนาฬิกาอีกหน

 “กูจะไปลาวกับมึงดีหรือเปล่าน้า?...”ผมแค่มองดูกระเป๋าเดินทางของมันและนึกเปรยๆขึ้นมาอย่างไร้ความหมายด้วยความเซ็ง...นึกอยากหนีไปไกลๆ อย่างน้อยจะได้หลอกตัวเองได้ว่า...พรุ่งนี้ผมไม่อยู่ เลยไม่ได้คุยกับพี่กิจ...ผมคิด นึกถึงภาพใบหน้าลำบากใจของเขา

“จริงดิ?”มันร้องถามเสียงดังอย่างดีใจ และเสียงร้องถามดีใจของมันก็ทำให้ผมตกใจจนภาพพี่กิจที่อยู่ในหัวกระเด็นหายไปได้ในพริบตา

เมื่อไม่เหลือภาพพี่กิจอยู่ในหัว ผมก็หันกลับไปมองดูมันที่กำลังยิ้มอย่างดีใจอย่างกับผมตัดสินใจว่าจะไปกับมันแล้ว

ครั้งหนึ่งมันเคยคิดจะไปอยู่ปายด้วยเหตุผลที่มันคงคิดว่าเท่ห์ มันว่า...มันจะไปค้นหาตัวเอง

มันเก็บกระเป๋าที่มันบอกว่าคืออนาคต จัดเก็บข้าวของที่มันบอกว่าจะทิ้งไว้ให้เป็นอดีต ไปร่ำลาเพื่อนๆที่มันบอกว่าจะเป็นปัจจุบันตลอดไปและก็มานั่งเศร้ากับผมที่มันบอกว่าคือรักนิรันดร์สำหรับมัน...แต่มันไปได้แค่อาทิตย์กว่าๆ มันก็หอบอนาคตของมันกลับมา...มันค้นพบตัวเองแล้ว มันบอกว่ามันค้นพบว่า...มันรักเชียงใหม่ และ...มันก็คิดถึงผม...

มันรักผม...ไม่ใช่ความลับที่มันปกปิดผม...ผมรู้มานานแล้ว

แต่ผมไม่ได้รักมัน...ไม่ใช่ความลับที่ผมปกปิดมันอีกเช่นกัน...และมันก็รู้มานานแล้วเช่นกัน นานพอๆกับที่ผมรู้ว่ามันรักผม...

พรุ่งนี้มันจะเดินทางอีกครั้ง และครั้งนี้มันบอกว่ามันแน่วแน่ และคิดจะไปไกลถึงฝั่งลาว...ครั้งนี้มันบอกว่ามันไม่ได้ไปเพื่อค้นหาตัวเอง มันมีเหตุผลที่มันคิดว่าเท่ห์ยิ่งกว่านั้น มันว่า...มันไปเพื่อทิ้งตัวตนของมันเอง

‘มึงจะไปจาริก?’เพื่อนๆร้องถามอย่างนั้นเมื่อรู้เรื่องที่มันจะไปและเหตุผลแห่งการไปของมัน มันเลยหน้าง้ำเพราะใครๆก็หัวเราะเหตุผลที่มันคิดว่าเท่ห์  มีก็แต่ผมที่เก็บกลั้นเสียงหัวเราะไว้ได้ทัน มันเลยซาบซึ้งบอกว่ามีแต่ผมที่เข้าใจมัน...

ใจหนึ่งผมก็คิดว่า พออาทิตย์นึงผ่านไป มันก็อาจจะคิดถึงผมและกลับมา...แต่อีกใจผมก็ตั้งคำถาม...ถ้ามันเคยชินกับการคิดถึงและละทิ้งตัวตนของมันได้สำเร็จ...และถ้ามันเลือกที่จะอยู่ที่นั่นและอยู่ได้อย่างที่มันตั้งใจล่ะ?...

ระหว่างผมกับมัน ไม่มีความรักระหว่างกัน...แต่หลายวันมาแล้วที่ผมแอบนึกเหงาล่วงหน้า...เหงาเผื่อวันที่ไม่มีมันอยู่ด้วยกัน...

บางทีที่ผมนึกอยากสารภาพกับพี่กิจ...อาจเพราะผมกลัวเสียพี่กิจไป หรืออาจเพราะ ผมกำลังจะเสียมันไป...เพราะผมรุ้ว่า นับแต่พรุ่งนี้ไป ผมจะไม่มีใคร...

ผมมองมันที่กำลังยิ้มดีใจ...

มันยิ้มดีใจผิดกันลิบลับกับใบหน้าลำบากใจของพี่กิจตอนที่ผมบอกว่าอยากไปเที่ยวกับเขาวันพรุ่งนี้

ผมมองมันที่ยิ้มดีใจอย่างมีความหวังและก็อดที่จะยิ้มตามรอยยิ้มดีใจนั้นไม่ได้...พอผมยิ้ม มันก็ยิ่งยิ้มมากขึ้น...

มีคนบอกว่า...บางครั้งเวลาแค่ชั่ววินาทีก็อาจจะทำให้เราหลงรักคนๆหนึ่งไปชั่วชีวิต แม้เราจะรู้จักคนๆนั้นมานานเกือบทั้งชีวิตที่ผ่านมาโดยไม่เคยรักเขาเลย...แต่วินาทีที่ว่านั้นก็อาจจะเกิดขึ้นได้ในวันหนึ่งโดยที่เราไม่ทันตั้งตัว...

ถ้าเลือกเองได้ ผมก็อยากให้วินาทีนั้นเกิดขึ้นกับผม...เกิดขึ้นกับคนที่กำลังนั่งยิ้มหน้าบานอยู่ตรงหน้า...

ผมรู้...หากผมรักมัน ผมคงมีความสุขแน่ๆ...เพราะแม้ตอนนี้ผมจะไม่ได้รักมัน แต่การอยู่กับมัน..ผมก็มีความสุขเสมอ...

แค่ผมพูดว่าจะไปกับมัน มันก็ยิ้มซะขนาดนี้ ผิดกันเป็นหน้ามือกับหลังตีนกับหน้าของพี่กิจ...ผมคิดเปรียบเปรยในใจแล้วก็ต้องนึกขำตัวเอง...

ถึงผมจะรู้สึกว่าตัวเองเพิ่งถูกพี่กิจหักอกมา แต่ยังไงซะ ความรู้สึกหลงรักมันก็ยังเต้นระบำอยู่ในใจเกินว่าจะยกตำแหน่ง...หลังตีน...ให้พี่กิจได้ และถ้าจะให้พูดอย่างไม่เข้าข้างเพื่อน...พี่กิจหล่อกว่ามัน  มาดดีกว่ามัน มีเสน่ห์กว่ามัน  วินาทีที่ตกหลุมรักพี่กิจจึงเกิดขึ้นบ่อยๆ ผิดกับมันที่นั่งยิ้มอยู่ตรงหน้า วินาทีที่ผมนึกอยากให้เกิดนั้นไม่เคยเกิดขึ้นเลย...ดังนั้นตำแหน่งหลังตีนแม้ไม่อยากยกให้มันด้วยเกรงใจ หากแต่ก็จนใจ เพราะยังไงซะ ตอนนี้ตำแหน่งหน้ามือก็เป็นของพี่กิจอยู่ดี...

“ยิ้มอะไร?”มันถาม เมื่อผมสั่งให้ตัวเองเก็บกลั้นซ่อนรอยยิ้มขันไม่ได้

“เปล่า...”ผมตอบ ทั้งที่ปากยังยิ้มเพราะในใจยังนึกถึง...หน้ามันกับหลังตีน...

“แล้วยิ้มอะไร?”มันถามอีก ผมเลยต้องเบี่ยงเบนความสนใจของมันด้วยการชี้ถ้วยมาม่าที่ดูท่ามันจะลืมให้มันดูว่าน่าจะเลยเวลากินไปนานโขแล้ว

“ไปไหน?”มันถามอย่างร้อนรนเมื่อผมลุกขึ้นยืน และมันก็ลุกขึ้นยืนตามหากแต่ในมือก็ยังไม่ปล่อยถ้วยมาม่าที่มันเพิ่งเปิดฝาออกเห็นควันฉุยๆ

...พลาดวินาทีที่ผมจะตกหลุมรักมันไปอีกวินาที ผมคงไม่สามารถตกหลุมรักใครพร้อมกลิ่นมาม่ารสหมูสับแบบนี้ได้แน่ๆ เพราะยังไงซะผมก็ชอบรสต้มยำมากกว่า...ผมคิดขำๆพลาง มองถ้วยมาม่าในมือมัน

“ไปเก็บของ...ไปลาวกับมึง”ผมบอก... ถึงตอนแรกผมจะนึกอยากไปกับมันเพราะอยากหนีวันพรุ่งนี้ หากแต่ตอนนี้ที่ผมบอกมันว่า..จะไปกับมัน...ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุผลนั้นสักนิด...มันเป็นการตัดสินใจอย่างกะทันหันและอาจจะไร้เหตุผล เช่นเดียวกับการตัดสินใจบอกพี่กิจไปไม่มีผิด...ต่างกันก็แต่ตอนนั้นผมเสียใจในสิ่งที่พูดออกไป...แต่ตอนนี้ผมดีใจในสิ่งที่พูดและตัดสินใจ...

“กูช่วย!”มันพูดและยิ้ม...ว่าเมื่อครู่มันยิ้มดีใจที่สุดแล้ว แต่ตอนนี้มันยังฉีกยิ้มได้กว้างกว่ารอยยิ้มเมื่อชั่วครู่ที่ผมคิดว่าคือที่สุด...

และเป็นอันว่ามันเห็นว่าผมสำคัญกว่ามาม่าในมือ มันเลยไม่เสียเวลานั่งกินอีกต่อไป เพียงแต่มันคงยังเสียดายมาม่าที่เพิ่งนิ่มได้ที่กำลังกิน  มันเลยคีบเส้นมาม่าแค่ครั้งเดียวเข้าปากก่อนวางทิ้งไว้และเดินตามผม...เพียงแต่ครั้งเดียวของมัน มันโกยซะทีเดียวหมดถ้วยชนิดที่พระเจ้าคงช่วยผมได้ไม่ยากหากผมจะเกิดเกลียดขี้หน้ามันขึ้นมาจนนึกแช่งให้มาม่าติดคอมันตาย...และที่แน่ๆ ผ่านไปแล้วอีกวินาทีที่ผมไม่ได้หลงรักมัน...

ผมเดินข้ามไปอีกห้องคว้ากระเป๋าเป้ลงมาจากหลังตู้เสื้อผ้ามาเริ่มเก็บ เลิกนึกถึงเรื่องของพี่กิจ เลิกสนใจทั้งมัน และ วินาทีที่ผมอาจจะตกหลุมรักมันได้

ผมว่าเวลาที่มันจะมีให้ผมคงมีอีกเยอะและเวลาที่ผมยังอยากใช้ร่วมกับมันก็ยังมีอีกแยะ...กะอีแค่วินาทีเล็กๆที่ผมจะตกหลุมรักมันนั้น ถ้าไม่เกิดขึ้นในวินาทีนี้ ก็อาจจะเกิดขึ้นในวินาทีหน้า  กะอีแค่วินาทีเล็กๆนั้น ถ้ามันจะไม่ยอมเกิดขึ้นเลยก็ให้มันรู้กันไป!

จบ...

ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
«ตอบ #3 เมื่อ05-05-2009 23:55:52 »

ขอ :กอด1:ที่เอาเรื่องดีๆมาฝากกัน อ่านแล้วอบอวลไปด้วยความรักจริงๆ
ขออ่านผลงานคุณภักDไปเรื่อยๆนะคะ บอกไม่ถูกว่าชอบตรงไหน
แต่ก็ชอบทุกเรื่องจริงๆ :m13:

bellary

  • บุคคลทั่วไป
Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
«ตอบ #4 เมื่อ06-05-2009 03:11:45 »

 :กอด1: คิดถึงเอกกับพี่เหยา ตัวดำตัวขาว
 :กอด1: คิดถึงตะวันกับฉาย (เมื่อไร่จะชนะใจตะวันเนี้ย เซ็งฉาย)
 :กอด1: คิดถึงพี่ขุน (รักเดียวของตะวัน แต่มองฉายหน่อย เชียร์ใจจะขาดแล้ว)
 :กอด1: คิดถึงพี่กิจพึ่งนึกได้จำได้เลือนๆ
 :-[ หวัดดีต๋งที่เจอกันครั้งแรก

namtaan

  • บุคคลทั่วไป
Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
«ตอบ #5 เมื่อ06-05-2009 05:02:29 »

คงมีสักวินาทีจริงๆที่ความรักของต๋งจะเกิดขึ้นกับเพื่อนคนนี้
สมกับเป็นเรื่องสั้น จากวันวาเลนไทน์จริงๆ
ขอบคุณมากๆค่ะ
บวก 1 แต้มแทนคำขอบคุณอีกครั้งค่ะ


ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
«ตอบ #6 เมื่อ06-05-2009 08:39:58 »

คิดถึงฉาย คิดถึงตะวัน คิดถึงเอก คิดถึงเหยา  :z3: :z3:


chatori

  • บุคคลทั่วไป
Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
«ตอบ #7 เมื่อ06-05-2009 09:35:43 »

อิอิ น่ารักอีกแล้ว.. ชอบพี่เหยากะเอกจัง

ยังเชียร์ตะวันกับฉายอยู่ หุหุ..

ขอบคุณค่ะ ^^

 :กอด1:

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
«ตอบ #8 เมื่อ06-05-2009 16:39:27 »

วันนี้ได้ดีใจ ติดๆกัน ถึง 3 ครั้ง เมื่อได้เห็นชื่อ คุณภักD แล้วก็ได้อ่านเรื่องสั้นที่สนุก แล้วน่าติดตาม ก็คิดว่าวันนี้ โชคดีจัง

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
«ตอบ #9 เมื่อ06-05-2009 17:38:40 »

คิดถึงฉาย คิดถึงตะวัน คิดถึงเอก คิดถึงเหยา  :z3: :z3:

เห็นด้วยกับคุณทิพ จริงๆ


ปล. ไม่คิดว่า เอก จะดำขนาดนี้ -*-

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
« ตอบ #9 เมื่อ: 06-05-2009 17:38:40 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ RN

  • Global Moderator
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1650/-14
Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
«ตอบ #10 เมื่อ06-05-2009 17:43:39 »

คิดถึง ตะวัน กับฉาย :กอด1:

maggy

  • บุคคลทั่วไป
Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
«ตอบ #11 เมื่อ06-05-2009 19:34:42 »

ฮืออออออออออชอบบบบบบบบบบบ
ชอบอีกแล้ว
อ่านแล้วเหมือนได้เจอเพื่อนเก่า ได้พบคนรู้จักยังไงอย่างงั้น
คิดถึงตะวัน ฉาย เอก พี่เหยา และก็พี่ขุนด้วยยยยยย
สงสารต๋งมากเลย แต่ตอนจบก็พลอยดีใจไปกับต๋งด้วย
ต๋งน่ารักอะ

ออฟไลน์ DEMON3132

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +170/-1
Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
«ตอบ #12 เมื่อ06-05-2009 19:53:08 »

คิดถึงเอกกับเหยา ตะวัน กับฉาย และคิดถึงพี่ขุนด้วย
แม้จะเพิ่งเจอกับต๋งครั้งแรก แต่ก็ได้ใจไปแล้ว มีคนแบบ
ต๋งอีกมากที่หลงรักคนที่เราไม่อาจสัมผัสถึง ชอบใจกับ
การตัดสินใจของต๋งที่จะไปหาวิถีทางรักษาใจของตัวเอง
ชอบผลงานของคุณ ภักD ค่ะ ... :pig4: .....

TaEnIaE_CoLi

  • บุคคลทั่วไป
Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
«ตอบ #13 เมื่อ06-05-2009 22:10:03 »

แอบโดนอ่าเรื่องนี้

ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งคับ

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6
Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
«ตอบ #14 เมื่อ06-05-2009 22:49:09 »

อ่านแล้วอบอุ่นจังเลยค่ะ

เหมือนได้เจอเพื่อนเก่าจริงๆ ด้วยสิ   :L2:


ออฟไลน์ SweetSacrifice

  • I always get,what I aim for
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +479/-1
Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
«ตอบ #15 เมื่อ08-05-2009 01:55:05 »

เอกกับเหยา ตะวันกับฉาย
 :กอด1: :กอด1:
รออ่านต๋งกับมาม่าหมูสับน่ะ

ออฟไลน์ panpan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 366
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
«ตอบ #16 เมื่อ08-05-2009 08:43:10 »

ชอบอ่านงานของคุณภัคD แต่กลัวใจจริงๆ ที่ชอบจบแบบเศร้าๆ

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
«ตอบ #17 เมื่อ08-05-2009 10:25:43 »

บีบหัวใจจริงๆ

ขอบคุณครับ

ltahset

  • บุคคลทั่วไป
Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
«ตอบ #18 เมื่อ08-05-2009 10:57:21 »

 :pig4:

ขอบคุณสำหรับเรื่องราว

อ่านแล้วรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่มากกว่าตัวอักษร

ทุกเรื่องของคุณภัคDเลย

มันค้างในใจแบบแปลกๆ

^^
ขอบคุณนะคะ


ออฟไลน์ chocolate_ness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
«ตอบ #19 เมื่อ08-05-2009 12:53:53 »

ชอบเรื่องของคุณภัคDจัง

คิดถึงตะวันจริงๆ :impress2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
« ตอบ #19 เมื่อ: 08-05-2009 12:53:53 »





ออฟไลน์ MIkz_hotaru

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2153
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-4
Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
«ตอบ #20 เมื่อ08-05-2009 14:09:32 »

ชอบที่สุดยิ่งกว่าอะไรในโลกนี้รวมกัน !!!  :laugh:
คิดถึงพี่เหยา กับเอก
คิดถึงพี่ตะวัน กับ ฉาย
รักคุณ ภัคD  o13

ออฟไลน์ panpan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 366
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
«ตอบ #21 เมื่อ08-05-2009 16:53:05 »

เหมือนได้รู้ข่าวคราวของเพื่อนเก่า :pig4:
ดีใจที่พี่เหยากะเอกมีความสุข
ดีใจที่ตะวันจะตามฉายไปเมืองนอก  อ่านตอนนี้แล้วเชื่อว่าตะวันก็คิดกะฉายเกินน้องเหมือนกัน :impress2:
แต่พี่กิจกะต๋งนี่เรื่องอะไรอ่ะ ทำไมเราไม่คุ้นเลย

ออฟไลน์ กิมตี๋หัดขับ

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-3
Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
«ตอบ #22 เมื่อ08-05-2009 20:48:15 »


น่ารักทุกเรื่องเลยนะ   o13 :L1:

delufy.monkey

  • บุคคลทั่วไป
Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
«ตอบ #23 เมื่อ09-05-2009 01:56:00 »

เพลิดเพลิน... กับทุกตัวอักษรของ ผู้แต่งเสมอมาครับ...

ออฟไลน์ myxt

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
«ตอบ #24 เมื่อ10-05-2009 12:52:17 »

ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมากๆ ขอบคุณจริงๆ
เรื่องนี้ ทำให้คิดอะไรได้นิดหน่อย  :pig4:
และก็เหมือนอีกหลายๆคน
คิดถึงตะวัน คิดถึงฉาย คิดถึงเหยา คิดถึงเอก
 :กอด1:

ออฟไลน์ manami1155

  • ~I Still Love You~
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
«ตอบ #25 เมื่อ18-05-2009 17:19:41 »

แทบจะกรี๊ด
อ่านเรื่องนี้แล้วเจอพี่เหยากะเอก
อ้ายๆๆๆ คิดถึง ><

แอบเหงา+เศร้าๆแทนต๋งเลย
วันวาเลนไทน์ทีรัยพออยู่คนเดียวแล้วมันเหงาโคตรรรรรร

mecon

  • บุคคลทั่วไป
Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
«ตอบ #26 เมื่อ20-05-2009 14:29:15 »

อ่านแล้วประทับใจจังเลยคะ
 :-[ ขอบคุณคุณภัคD

ออฟไลน์ Seiki

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 838
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2726/-64
Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
«ตอบ #27 เมื่อ20-05-2009 20:29:54 »

คุณภัค D เขียนดีทุกเรื่องเลยฮะ  o13

Donald~duck

  • บุคคลทั่วไป
Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
«ตอบ #28 เมื่อ25-07-2009 17:11:43 »

ประทับใจทุกเรื่องของคุณภัคดี  :impress2:

เรื่องนี้น่ารักจังคะ  :-[

Gems2535

  • บุคคลทั่วไป
Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
«ตอบ #29 เมื่อ26-07-2009 00:56:27 »

รู้สึกดีจัง...ชอบจังครับ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด