พิมพ์หน้านี้ - [เรื่องสั้น] The Moment Of Love

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: ภัคD ที่ 05-05-2009 23:14:47

หัวข้อ: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: ภัคD ที่ 05-05-2009 23:14:47
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

******************************

เรื่องนี้เขียนเนื่องในวาเลนไทน์อินุบอร์ดเช่นกันค่ะ...มีพี่เหยากับเอกแจมนิด ตะวันกับฉายแจมหน่อยๆ...

The Moment of Love

...ณ.จุดหนึ่งของเวลา ที่อาจยาวนานแค่ชั่ววินาทีเดียว อาจทำให้เราหลงรักคนๆหนึ่งและอาจจะรักเขาไปจนตลอดชั่วชีวิตของเรา...มีคนเคยพูดไว้อย่างนั้น

 ผมอยากให้วินาทีนั้นเกิดขึ้นกับผม...ทั้งหลงรักและเป็นฝ่ายที่ถูกรัก ผมรอคอยวินาทีนั้นอยู่ทุกเสี้ยวขณะจิต เพราะมันคงงดงามไม่น้อยหากเกิดวินาทีนั้นขึ้นในใจ และยิ่งกว่านั้น สำหรับผม ไม่มีอะไรงดงามและยืนนานไปมากกว่าคำว่า...ชั่วชีวิต...ผมอยากมีใครสักคนให้รักและถูกรักไปจนตลอดชั่วชีวิตของกันและกัน...

.................
............................
.....
...........

ผมแอบหาว แอบชำเลืองมองนาฬิกาบนข้อมือไม่ให้ใครเห็น เพราะมันเป็นข้อห้ามที่ว่า แม้นจะดึกจนดื่น เลยเที่ยงเลยคืนไปจนจะเลยเช้า หากมีลูกค้ายังนั่งอยู่ในร้านแม้สักคน...ผมก็ยังต้องพร้อมที่จะทำหน้าที่ และตอนนี้ไม่ใช่มีแค่คนเดียว แต่มีตั้งสองคน ถึงจะประจำอยู่แค่หนึ่งโต๊ะ ซึ่งก็แปลว่าเขามาด้วยกัน...ผมจึงต้องแอบหาว แอบมองนาฬิกาเพื่อจะได้รู้ว่า มันเกือบๆจะเลยเที่ยงคืนแล้ว...

ร้านอาหารร้านเล็กๆ ในซอกลึกๆ ข้างตึกเก่าๆ  กำแพงสีส้มๆ เจ้าของร้านจนๆ กับบริกรหล่อๆ...ฟังแล้วไม่น่าจะอยู่รอด แต่ก็รอด...เพราะเจ้าของร้านรู้จักคนเยอะ ลูกค้าที่แวะเวียนมาก็คนรู้จักๆกันทั้งนั้น รวมทั้งผม ที่เมื่อวานยังเป็นลูกค้า แต่วันนี้บริกรหล่อๆหยุดงานไปเที่ยวกับแฟนกันหมด ผมเลยต้องมาเป็นบริกรจำเป็นด้วยเหตุผลที่เปิดเผยไม่ได้ในที่สาธารณะ...

ถึงจะยังอยู่ในช่วงหน้าหนาว แต่อากาศมันก็ร้อนมากกว่าหนาวมาหลายวันแล้ว แต่วันนี้ลมหนาวมันกลับพัดถอยหลังมาอีกครั้ง อย่างกับกลัวว่าคู่รักจะไม่ได้เดินกอดกันในวันวาเลนไทน์...

ถึงผมจะบอกว่าร้านอาหารร้านนี้เป็นร้านเล็กๆ ในซอกลึกๆ ข้างตึกเก่าๆ กำแพงสีส้มๆ กับเจ้าของร้านจนๆ ที่มีลูกค้าประจำหน้าเดิมๆ  แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องตั้งแต่สมัยที่ร้านเพิ่งเปิดตัวเท่านั้น หากแต่หลังจากร้านอาหารร้านเล็กๆแห่งนี้ได้ลงหนังสือสารพัดเล่มในฐานะร้านอาหารแนวๆ เพราะสมัยนี้ ความแนวซึ่งน้อยคนจะบอกความหมายของมันได้กำลังเป็นเทรนฮิต อะไรๆที่ถูกเรียกว่าแนว ถึงจะไม่รู้ความหมายแต่ก็กลายเป็นที่นิยมขึ้นมาได้ทันตาเห็น... คนที่มากกว่าคนรู้จักของเจ้าของร้านจึงเริ่มหลั่งไหลกันเข้ามาจนที่นั่งชักจะไม่พอ...จนเจ้าของร้านชักอยากจะขยับขยายร้าน แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะถ้าอยากจะขยายร้านไม่ให้เล็ก มันก็ต้องขยายซอก ทุบตึก และทลายกำแพง...ซึ่งก็คงผิดคอนเซ็พท์ของร้าน...

ตอนนี้คุณคงเริ่มสงสัยว่า ถ้าเป็นอย่างที่ผมพูดจริง...ทำไมท่ามกลางลมหนาว ในคืนก่อนวันวาเลนไทน์ ในร้านถึงมีลูกค้าอยู่แค่สองคน หนึ่งโต๊ะ...

ก็อย่างที่บอก คือ บริกรลาหยุดกันหมด...เหลือแต่ผม บริกรจำเป็น กับพ่อครัวที่เพิ่งหย่าเมียอีกหนึ่ง...เจ้าของร้านเลยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยขึ้นป้ายที่หน้าร้าน...

...ปารตี้สวนกระแส...อกไม่หัก รักไม่คุด ห้ามเข้ามา...

แล้วหน้าไหนมันจะเข้ามาในร้านที่ติดป้ายอย่างนี้ในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์...

ยิ่งกว่านั้น คำว่า...ปาร์ตี้...ก็ดูจะทำให้ใครต่อใครงงรวมทั้งผม เพราะร้านอาหารร้านนี้ให้ดูอย่างไรก็น่าจะยืนอยู่คนละขั้วกับคำว่าปาร์ตี้...

...ยืมเขามา...และนั่นคือคำตอบของเจ้าของร้าน...ป้ายผ้าหน้าร้านที่เล่นลมอยู่ไหวๆนั้น คือป้ายที่เขาเลิกใช้และเจ้าของร้านไปยืมมา...

ผมแอบหาวอีกรอบ มองดูกำแพงสีส้มซีดๆ ที่พวกนิยมความโบร่ำ โบราณคงมองว่ามันดูคลาสสิค ดูเป็นคู่ตุนาหงันกับโต๊ะไม้กลมๆเล็กๆ...และพวกนิยมความเก่าก็คงหลงเสน่ห์ของโต๊ะไม้เก่าๆพวกนี้ ที่ดูดีขึ้นมาได้ภายใต้แสงไฟสีส้มๆที่ลอดแสงออกมา จากโคมผ้าฝ้ายเนื้อหยาบๆสีขาว...ส่วนพวกพิสมัยความแปลกและแหวกแนว ก็คงหลงรักขนาดร้านที่มีหน้ากว้างแค่พอให้คนผอมๆสี่คนยืนเรียงหน้ากระดาน เหล่าโต๊ะไม้ตัวเล็กๆจึงทำได้เพียงชักแถวเรียงแค่หนึ่ง ตั้งเรียงลึกไปตลอดความยาวของกำแพงปูนสีส้มซีดๆ ซึ่งความยาวที่ว่านั่นก็ยาวขนาดที่คนยืนอยู่หน้าร้านมองเข้าไปไม่เห็นถึงหลังร้าน...การแก้ปัญหาให้บริกรไม่ต้องเดินวันหนึ่งๆเป็นหลายๆกิโล เพราะความยาวลึกของร้านก็คือ...ให้ลูกค้าเดินกันเอาเอง...ใครอยากกิน อยากได้อะไร ก็เดินไปสั่งด้านลึกสุดของร้าน...กะเวลา แล้วเดินเข้าไปหยิบ ไปรับของเอง...กินเสร็จจะจ่ายตังค์ก็ถือบิล มาจ่ายที่โต๊ะหน้าร้านก่อนก้าวเท้าออกจากร้าน...บรรยากาศแปลกใหม่ที่เกิดขึ้นจนกลายเป็นเสียงลือเสียงเล่าอ้างจนกลายเป็นชื่อเรียกเล่นๆของร้านก็คือ...ร้านฝากสั่ง...เพราะคนกินเองก็ชักจะขี้เกียจเดิน เห็นใครลุกเดินก็ฝากๆกันสั่งไป...ใครเดินไปหยิบของตัวเอง แต่ยังไม่ได้ก็ถือของคนอื่นติดมือมาส่งแทน...หรือถ้าร้านคนเยอะๆ ก็เล่นกันง่ายๆ คือส่งต่อๆกันไปตามโต๊ะ...แล้วบริกรหน้าหล่อเอาไว้ทำอะไร?...เช็ดโต๊ะไงครับ! บริการเดียวที่ลูกค้าไม่ต้องพกผ้าขี้ริ้วมาเช็ดโต๊ะเองหลังกินเสร็จ...

แต่ในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ที่คนน่าจะเต็มร้าน กลับมีลูกค้าแค่สองคน หนึ่งโต๊ะ  และ ผมไม่เห็นมีคนไหนที่มีวี่มีแววอกหัก รักคุดกันสักคนเดียว...

ถ้าวาดกรอบสี่เหลี่ยมขนาดพอเหมาะรอบคนสองคนที่นั่งด้วยกันที่หนึ่งโต๊ะนั้นไว้ มันก็ดูคล้ายกำลังดูละครผ่านจอทีวีขาวดำ เพราะคนหนึ่งนั้นขาวเหลือเชื่อ ส่วนอีกคนก็ดำได้ใจ...

และเพราะในร้านมีคนอยู่แค่นั้น มันจึงช่วยไม่ได้ที่ผมจะเผลอตามองดูพวกเขา และเผลอหูเงี่ยฟังเสียง

ผู้ชายคนผิวดำคล้ำนั่งคุยโทรศัพท์อยู่นานแล้ว เขาคุยกับใครที่อีกปลายสาย หากแต่ตาก็จับจ้องคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม รอยยิ้มขำ กับ เสียงหัวเราะในบางครั้งนั้นจึงยากที่จะบอกว่า เขาหัวเราะอยู่กับใครกันแน่

ส่วนผู้ชายคนตัวขาวๆ ผมเห็นเขาเริ่มเขียนอะไรขยุกขยิกในเศษกระดาษใบเล็กๆตั้งแต่ที่ผู้ชายอีกคนเริ่มคุยโทรศัพท์

ผมนึกสงสัยว่าเขาเขียนอะไร...สงสัยมากขึ้นเมื่อกระดาษแผ่นนั้นถูกส่งไปให้ผู้ชายคนตัวดำที่หยิบกระดาษขึ้นมาอ่านและหัวเราะทั้งที่ยังคุยกับใครอีกคนที่ปลายสาย  และสงสัยจนทนไม่ไหวเมื่อผมรู้สึกว่า พวกเขาทั้งคู่คลับคล้ายจะส่งสัญญาณอะไรบางอย่างเกี่ยวกับผม...

ผมทำเป็นเดินเฉียดเข้าไปใกล้ ทำทีเป็นจะรินน้ำเติมให้ในแก้วที่ยังมีน้ำอยู่เกือบเต็มแก้ว พร้อมส่งสายตาเนียนแบบยาวๆไปที่กระดาษแผ่นนั้น แต่ก็ต้องหลบสายตาเพราะผู้ชายคนตัวดำเหลือบตาขึ้นมามองผมสลับกับแก้วน้ำที่เต็มจนเกือบล้นของเขาและอมยิ้มขำ  ส่วนคนตัวขาวก็เบี่ยงกระดาษหลบแบบมีมารยาท ก่อนยกน้ำในแก้วตัวเองขึ้นดื่มเผื่อจะมีที่ว่างในแก้วให้ผมพอรินน้ำเติมได้ ผมเลยต้องรักษามารยาท รินน้ำเสร็จก็ถอยหลังกลับมายืนอยู่ที่เดิมพร้อมความสงสัยอันล้นเปี่ยม

ในที่สุดผู้ชายคนตัวดำคล้ำก็วางโทรศัพท์และดึงกระดาษแผ่นเล็กๆนั้นไปเขียนอะไรบางอย่างก่อนส่งคืน ผู้ชายคนตัวขาวเขียนตอบอะไรไปสักอย่างและส่งกลับไปอีก ผู้ชายคนตัวดำยิ้มและเขียนอะไรลงไปอีกครั้งและส่งคืนกลับไปอีกหน ผู้ชายคนตัวขาวก็รับมาเขียนแล้วก็ส่งคืนไปอีกรอบ คราวนี้ผู้ชายคนตัวดำหัวเราะไปเขียนไปและยังไม่หยุดหัวเราะเมื่อส่งกระดาษคืนให้ผู้ชายคนตัวขาวๆ แล้วผู้ชายคนตัวขาวๆก็หัวเราะ ...ส่วนผม...ตลอดเวลามีแต่คำว่าสงสัยแล้วก็สงสัย...

ผมไม่กล้ามองไปทางพวกเขาอีก ทำก็แต่แอบใช้หางตามอง...

แม้ไม่ได้ยินเสียงพวกเขาคุยกัน แต่ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆที่ดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ...

ผมไม่ได้สงสัยว่าพวกเขาเป็นคนรักกันหรือไม่ เพราะถึงแม้สายตาที่พวกเขาใช้จับจ้องกันและกันมันจะไม่ได้หวานจนดื่มด่ำ หากแต่มันมีความรักอยู่แน่นอน

ผมไม่เห็นพวกเขาแตะต้องตัวกัน พวกเขาต่างคนต่างกอดอก เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ของตัวเองและคุยกัน หัวเราะกันเบาๆ  หากแต่บ่อยครั้งเวลาที่ผู้ชายคนตัวดำคล้ำก้มหน้าหัวเราะ เขาขยับขาไปมา  แตะสัมผัสเบาๆกับขาของผู้ชายอีกคน...มันไม่ได้มีความหมายอะไรมากไปกว่าความเคยคุ้นที่พวกเขามีให้กัน

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นผู้ชายคนตัวขาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและผู้ชายอีกคนก็นั่งมอง

โทรศัพท์ถูกวางลง พวกเขาคุยกันพลางขยับตัวคล้ายเตรียมพร้อมที่จะไป  ส่วนผมภาวนาให้พวกเขาวางกระดาษแผ่นนั้นทิ้งไว้และพวกเขาก็วางมันทิ้งไว้จริงๆ...

ที่เคาน์เตอร์หน้าร้าน ผมยื่นใบเสร็จให้พวกเขาด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม  ในขณะที่ผู้ชายคนผิวขาวไล่สายตาดูใบเสร็จที่ผมส่งให้  ผู้ชายอีกคนก็กอดอกยืนรอและบ่อยครั้งเขามองผมพร้อมซ่อนรอยยิ้มขำ  และรอยยิ้มนั้นมันก็ทำให้ผมคิดขึ้นมาว่า เขาน่าจะจงใจลืมกระดาษแผ่นนั้นไว้ให้ผมกระมัง

แน่นอนว่าผมไม่ได้หวังว่าเขาจะแอบหยอดเบอร์ทิ้งไว้ให้ผมอะไรอย่างนั้น  ถึงแม้เขาจะชอบมองและยิ้มให้ผมหรือถึงผมจะต้องยอมรับกับตัวเองก็เถอะว่าผมชอบรอยยิ้มซ่อนรอยขำของเขาอยู่ไม่น้อย...ผมคงตกหลุมรักเขาได้ไม่ยาก หากไม่มีผู้ชายคนที่กำลังยืนอยู่ข้างกายเขา คนที่เขาคอยจับจ้องมอง...ไม่ได้หวานดื่มด่ำหากแต่ก็ไม่ปกปิดว่ารัก...

แม้อยากจะเดินเข้าไปหยิบกระดาษแผ่นนั้นมาอ่านใจจะขาด แต่ผมก็ทำรักษามาดยืนมองส่งพวกเขาที่เดินข้ามไปที่อีกฝั่งถนน ที่ๆรถของเขาจอดอยู่

ผมดีใจที่ตัวเองยังยืนรักษามาดอยู่ตรงนั้น เพราะบ่อยครั้งที่ผู้ชายตัวสูงผิวคล้ำยังเสหันกลับมามองผม สายตาที่มองมายังแฝงรอยขำคล้ายนึกรู้ว่าเดี๋ยวผมต้องวิ่งไปหยิบกระดาษมาอ่านดูแน่...เขาหันมามองบ่อยและเลิกมองเมื่อผู้ชายอีกคนหันมามองผมตามสายตาของเขา พูดอะไรสักอย่างกับเขา เขาหัวเราะก่อนส่ายหัว โน้มตัวลงไปใกล้คล้ายกระซิบบอกอะไรบางอย่าง แล้วเขาก็ไม่หันมามองผมอีกเลย

อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น พวกเขาก็จะขึ้นรถแล้วความสอดรู้สอดเห็นของผมก็จะสัมฤทธิ์ผล...อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น...แต่ผมก็ยังต้องยืนรักษามาดเก็บอาการสอดรู้พร้อมสอดเห็นต่อไป เพราะเวสป้าสีขาวที่เพิ่งเลี้ยวเข้ามาจากมุมถนน มันวิ่งตัดเลนส์ถนนที่ร้างรถด้วยความเร็วระดับเสียงดังแค่แทดๆ มุ่งตรงมาทางผม หากแต่ยังไม่ทันถึง คนที่ซ้อนอยู่ข้างหลังทำท่าคล้ายจะเห็นใคร และสะกิดคนขี่พลางชี้มือชี้ไม้ให้ขี่ตัดเลนส์กลับไป...แล้วคนสองคนที่กำลังจะจากไปก็หันกลับมา...พวกเขารู้จักกัน...คนมาใหม่ยกมือไหว้ คนมาก่อน ส่วนผมก็ต้องยืนรักษามาดต่อไป...

คนมาใหม่ที่กระโดดลงมาจากเบาะท้ายของรถเวสป้านั้นคุ้นตา...เขาเป็นคนรู้จักของเจ้าของร้าน เขาชื่อตะวัน...ผมจำเขาได้ แม้เขาจะยังสวมหมวกกันน็อคครึ่งหัวสีชมพูสด แถมแว่นกันลมแบบครอบลูกกะตามิดเหมือนแว่นกันน้ำและสีก็สดพอๆกับหมวกที่เขาสวมอยู่

ผมเรียกเขาว่า...พี่ตะวัน...ผมเจอเขามาสามถึงสี่ครั้งแล้ว...แต่เขาเจอผมครั้งแรกทุกครั้ง...คือ เขาจำผมไม่เคยได้เลย...ครั้งนี้ก็เหมือนกัน  พี่ตะวันชี้มือมาทางร้านที่ผมยืนอยู่...ทุกคนมองตามมือที่ชี้มา ทั้งผู้ชายตัวสูงผิวดำคล้ำที่ยังมองมาและยังยิ้มขำ ผู้ชายคนผิวขาวก็หันมามองและสบตาผมอย่างไร้ความหมาย และผู้ชายอีกคนที่ยังนั่งประจำตำแหน่งผู้ขี่อยู่บนเวสป้าคันขาว...ผมไม่ได้สบตาเขา เพราะเขาก็ใส่แว่นกันลมสีฟ้าสด สีเดียวกับหมวกกันน็อคกลมๆแบบครึ่งหัวของเขาที่เหมือนกันกับของพี่ตะวันต่างกันก็แค่สี...พวกเขาหันมามองแล้วก็หันกลับ...เหมือนพี่ตะวัน ที่มองมาแล้วก็หันกลับไปแบบไม่มีทีท่าว่ารู้จักหรือจำผมได้สักนิด...

พวกเขาหันมาแล้วก็หันกลับ...ยืนคุยกันอีกแป๊บ ยกมือขึ้นมาไหว้อีกหนแล้วก็ต่างแยกย้าย...รถเวสป้าเสียงดังแท่ดๆ  วิ่งตีโค้งข้ามฟากถนนมาจอดที่หน้าร้านอย่างที่ผมคิดเอาไว้...เพียงแต่มีสิ่งที่ไม่ได้คิดไว้ก็คือ ผมเห็นพี่ตะวันก้าวขาจะขึ้นไปซ้อนที่เบาะหลังเหมือนเก่า  รถเวสป้าสีขาวก็ออกตัววิ่งข้ามถนนมาเสียงดังแท่ดๆ ส่วนพี่ตะวันยังยกขาค้างยืนอยู่ที่เดิม...ผมเผลอตัวหัวเราะออกมาให้กับภาพที่เห็น พี่ตะวันก็หัวเราะในขณะที่วิ่งข้ามถนนตามมา...และผู้ชายคนที่ขี่อยู่บนเวสป้า ผมเห็นเขาหัวเราะพลางมองภาพสะท้อนของพี่ตะวันในกระจกรถ... รถเก๋งสีดำที่เมื่อครู่เพิ่งออกตัวไปก็ชะลอความเร็วลงจนเกือบจอดสนิท  แม้ไม่สามารถมองทะลุความมืดดำของกระจกเข้าไปเห็นคนข้างใน  แต่ผมรู้ว่าพวกเขาก็คงกำลังหัวเราะกับภาพเหตุการณ์ที่พวกเขาหยุดดู...แล้วพวกเขาก็จากไป และผู้ชายอีกสองคนก็เดินเข้ามาในร้านแทน...พวกเขายืนอยู่ตรงหน้าผม...มองหน้าผมผ่านแว่นกันลมอันกลมๆแบบที่มีสายรัดด้านหลังหัว...

พี่ตะวันถอดหมวกกันน็อคออกแล้ว แต่ก็ยังมีผ้าโพกหัวสีชมพูสดอีกชั้นหนึ่งที่ครอบอยู่บนผมยาวๆฟูๆของพี่ตะวัน

“พี่กิจไม่อยู่เหรอ?”พี่ตะวันถาม พลางชะเง้อ ชะแง้ มองเข้าไปในร้านแคบๆ

“ไม่อยู่ครับ...”ผมตอบ เห็นท่าชะเง้อชะแง้ของเขาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหันไปชะแง้ชะเง้อตาม

“ก็บอกแล้วไง วาเลนไทน์ใครๆก็ไปเที่ยวกับแฟน”ผู้ชายอีกคนที่ตัวสูงกว่าพูด เขายังสวมอยู่ครบทั้งแว่นกันลม และหมวกกันน็อคสีฟ้าสด...

“ไม่ใช่วาเลนไทน์ พรุ่งนี้ต่างหาก!”

“ซ้อมใหญ่ไง วันจริงจะได้ไม่ประหม่า!”คนตัวสูงพูดยิ้มๆ ก่อนหันหลังไปยืนดูรูปวาดที่แขวนไว้บนผนังตรงข้ามเคาน์เตอร์

“พี่กิจกลับมา ฝากบอกพี่กิจด้วยว่าตะวันมาหา พรุ่งนี้จะกลับแล้ว แล้วจะมาหาใหม่...”พี่ตะวันพูดกับผม หากแต่ตาจับจ้องอยู่ที่ตุ๊กตาไม้หัวฟูหน้าตาประหลาดตัวใหญ่แค่ฝ่ามือที่ยืนเอียงคอยิ้มยิงฟันอยู่บนเคาน์เตอร์

ตุ๊กตาไม้ตัวนี้ตั้งอยู่บนเคาน์เตอร์มานานก่อนผมจะมีโอกาสเหยียบย่างเข้ามาทำความรู้จักกับเจ้าของร้านเสียอีก...มีคนแนะนำตุ๊กตาไม้ตัวนี้ให้ผมรู้จักและบอกว่าผู้ชายที่แกะสลักตุ๊กตาไม้ตัวนี้ชื่อว่าขุน เป็นเพื่อนกับเจ้าของร้าน ...เจ้าของร้านเคยเล่าให้ผมฟังว่า พี่ขุนคนนี้เป็นเรี่ยวแรงสำคัญคนหนึ่งในจำนวนหลายๆคน ที่ทำให้ร้านอาหารเล็กๆร้านนี้ถือกำเนิดขึ้น...แน่นอนว่าโลกนี้ไม่มีคำว่าฟรีแม้แต่กับเพื่อน...พี่ขุนจึงมีข้อเรียกร้องแลกเปลี่ยนกับเรี่ยวแรงของตัวเองคือ บนผนังร้านต้องแขวนภาพเขียนของพี่ตะวันและหากขายได้ต้องไม่มีการหักหัวคิวแม้แต่สลึงเดียว...เจ้าของร้านยินยอมเพราะบวกลบคูณหารแล้วมีแต่ได้กับได้แล้วก็ได้...ตอนนี้ภาพเขียนที่แขวนบนผนังในร้านไม่มีภาพเขียนของพี่ตะวันแล้ว จะมีก็แค่บางภาพที่พี่ตะวันเอามาแขวนไว้แต่บอกว่าห้ามขาย...ผมไม่เคยเห็นพี่ขุน แต่มีคนบอกว่าภาพที่พี่ตะวันเอามาแขวนไว้คือภาพของพี่ขุน... ส่วนภาพบนผนังร้านส่วนใหญ่ในตอนนี้เป็นของนักเรียน นักศึกษา ที่เจ้าของร้านอนุญาตให้นำมาฝากขายโดยไม่มีการหักค่าหัวคิวหรือค่าเช่าพื้นที่อะไรเลย...และตอนนี้เรี่ยวแรงต่างๆที่ว่าสำคัญด้วยช่วยเหลือกันเมื่อแรกเริ่มร้านนี้มาก็กระจัดกระจายแยกย้ายกันไปหมดแล้ว นานๆจึงแวะเวียนผ่านมาให้ผมรู้จักสักครั้ง...ได้ยินว่า บางคนลงใต้ บางคนขึ้นไปเหนือที่เหนือกว่าเชียงใหม่ บางคนไปอยู่ลาว กับอีกบางคนก็ไปอยู่ไกลถึงบนฟ้า...อย่างเช่นพี่ขุน ที่มีคนบอกว่า คือคนรักของพี่ตะวัน...คือคนที่แกะสลักตุ๊กตาไม้หัวฟูหน้าประหลาดที่พี่ตะวันกำลังยืนจับจ้องอยู่ตอนนี้...




หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: ภัคD ที่ 05-05-2009 23:19:00
“ฝากโน้ตไว้ก็ได้ครับ”ผมบอกเบาๆ ก่อนรีบหยิบกระดาษจดข้อความพร้อมปากกาส่งให้
 
พี่ตะวันรับปากกาและกระดาษไปทั้งที่ตายังจับจ้องอยู่ที่ตุ๊กตาไม้...เขายิ้มนิดนึงก่อนหันกลับมาและ ก้มหน้าก้มตาเขียนข้อความลงในกระดาษอย่างตั้งใจ...


“รูปนี้ตะวันเขียนหรือเปล่า คล้ายงานของตะวันเลย?”คนตัวสูงที่ยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ด้านหลังร้องถาม หลังจากยืนพินิจพิเคราะห์รูปวาดบนผนังอยู่นาน

“แอ้ก!”เสียงพี่ตะวันร้อง...จริงๆก็ไม่เชิงร้องว่า...แอ้ก...น่าจะเป็น โอ๊ย ผสมแอ๊ก ผสม อึก หรืออะไรประมาณนั้น หรือจริงๆอาจะเขียนเป็นคำพูดไม่ได้เพราะร้องออกมาไม่เป็นภาษา เพราะจริงๆก็ไม่ใช่คำตอบต่อข้อร้องถามของผู้ชายตัวสูง

เพราะพอผู้ชายคนตัวสูงถามจบ และพี่ตะวันกำลังจะเอี้ยวตัวกลับไปมอง คนตัวสูงก็เอนตัวพิงหลังลงมาใส่ซะอย่างนั้น เสียงที่หลุดออกมาจากปาก มันเลยผสมกันระหว่าง เสียงตกใจกับเสียงเจ็บหน่อยๆหรืออาจมากเพราะหน้าอกกระแทกเข้ากับเคาน์เตอร์เต็มๆจนผมยังนึกเจ็บแทน

“เจ็บนะ ออกไป!”พี่ตะวันร้อง สองมือก็พยายามยันตัวเองให้ลุกห่างจากเคาน์เตอร์ แต่คนตัวสูงยังยืนพิงหลังพลางเอี้ยวตัวมามองและหัวเราะอย่างชอบใจที่แกล้งได้

ผมยืนมองพวกเขาเล่นกัน ...คงเป็นแฟนใหม่ของพี่ตะวัน...ผมคิดอย่างนั้น เพราะท่าทางพวกเขาเป็นอย่างนั้น...

ผมยืนมอง  รอพวกเขาเล่นกันจนพอใจ จนผู้ชายคนตัวสูงพลิกตัวกลับมายืนหัวเราะอยู่ข้างๆพี่ตะวัน มือสองข้างของเขายังล้วงกระเป๋ากางเกงเมื่อเขาก้มตัวลงนิดคล้ายจะดูว่าพี่ตะวันเขียนอะไร แต่พี่ตะวันปิดไว้ไม่ให้ดูและรีบส่งคืนให้ผมโดยไม่พับซ่อนข้อความแต่อย่างใด

ผมรับกระดาษมาก่อนก้มอ่านแบบลืมแอบเพราะท่าทางคงไม่ใช่ความลับอะไรเท่าไหร่และยิ่งกว่านั้นผมสงสัย...ทำไมเขียนเสร็จไวทั้งที่ตั้งท่าจะพูดอะไรซะมากมาย...

...ตะวันมาหานะ...

สั้นและง่ายแถมได้ใจความ แต่จะเขียนทำไมให้เปลืองกระดาษ? สั้นกว่าที่พูดกับผมอีกนะเนี่ย!

“เขียนทำไมให้เปลืองกระดาษ  ต้นไม้มันปลูกง่ายรึไงตะวัน?”ผมแค่คิด แต่ไม่ได้ถาม แต่เป็นผู้ชายตัวสูงๆที่ยังยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ข้างๆเป็นคนร้องถาม

“พูดมาก!...อย่างงี้น่ะซิถึงไม่มีแฟน!”พี่ตะวันพูดก่อนดึงกระดาษคืนไปจากมือของผม แล้วก็ทำท่าจะเขียนอะไรลงไปเพิ่ม ส่วนผมก็ร้อง...อ้าว...พร้อมเครื่องหมายตกใจในใจ...ก็ดูท่าทางแล้ว ผมนึกว่าพวกเขาเป็นแฟนกันเสียอีก...
 
“มีทำไมแฟน? มีตะวันคนเดียวก็พอแล้ว...”ผู้ชายคนตัวสูงพูด พี่ตะวันเลยหัวเราะ คนตัวสูงก็หัวเราะ ส่วนผมก็งง...ตกลงพวกเขาเป็นอะไรกัน?!...

ยังยืนไม่หายงง พี่ตะวันก็ส่งกระดาษคืนให้ผมอีกครั้ง ข้อความบนกระดาษยังเหมือนเดิม มีเพิ่มขึ้นมาแค่หนึ่งจุด คล้ายจะเขียนอะไรแล้วก็เปลี่ยนใจหรืออาจมัวหัวเราะเพลินเลยลืมเขียนไปซะก่อน...

“งั้นไปก่อนนะ...ต๋อง...”พี่ตะวันบอกแถมเรียกชื่อผมเป็นการแสดงให้ผมรู้ว่า พี่เขาจำผมได้...เพียงแต่เขาจำผิด

“ต๋งครับ”ผมแก้ให้

“ต๋ง?”พี่ตะวันถามคล้ายไม่แน่ใจ

“ครับ!”แต่ผมมั่นใจว่าตัวเองชื่อนี้แน่นอน ไม่น่าจำผิด พี่ตะวันเลยพยักหน้าสองหงึก โบกมือให้ผมแล้วก็เดินออกจากร้านไป และผู้ชายอีกคนก็ทำตาม...โบกมือแล้วก็เดินตามพี่ตะวันออกไป

“เสียมารยาท จำชื่อคนอื่นผิด!”ผมได้ยินผู้ชายคนตัวสูงพูดเมื่อกลับขึ้นไปนั่งประจำตำแหน่งของเขาบนเวสป้าคันเดิม

“ไม่ผิด!”พี่ตะวันเถียงชัดถ้อยชัดคำในขณะที่ผู้ชายคนตัวสูงหันมาเอาหมวกกันน็อคสีชมพูสดวางลงบนหัวพี่ตะวันเหมือนเดิม

“ไม่ผิดได้ไง ก็เขาบอกว่าเขาชื่อต๋ง”เขาพูดพลางทำมือทำไม้ส่งสัญญาณให้พี่ตะวันกระโดดขึ้นไปซ้อนท้ายได้แล้ว

“ก็บอกว่าไม่ผิด!”พี่ตะวันยังเถียงก่อนกลับขึ้นไปซ้อนท้าย

“ทำไมจะไม่ผิด เขาบอกว่าชื่อต๋ง”ผู้ชายคนตัวสูงพูดพลางเอี้ยวตัวไปมองถนนด้านหลัง

“จำคนผิด!”ส่วนพี่ตะวันก็ว่างั๊น

ผมยังยืนงง มองตามควันสีขาวๆของรถเวสป้าสีขาวที่วิ่งจากไปด้วยเสียงดังแทดๆๆ...

ผมยังยืนมองควันรถที่เหลืออยู่...ยังยืนสงสัย ตกลงพี่ตะวันจำชื่อผมผิด หรือชื่อไม่ผิดแต่ผิดคน?...

แต่เมื่อผมบอกตัวเองว่า ให้ยืนงงนานแค่ไหน คำตอบมันก็คงไม่มีวันลอยมาหล่นแหมะอยู่ตรงหน้า ผมเลยหันกลับไปสนใจสิ่งที่มีคำตอบ...อะไรที่เขียนอยู่ในกระดาษแผ่นนั้นที่ผู้ชายคนหนึ่งลืมทิ้งไว้ ส่วนผู้ชายอีกคนน่าจะแกล้งลืม...

ผมหยิบกระดาษแผ่นเล็กๆขึ้นมาดู...ในแผ่นกระดาษช่วงต้นๆ มันมีแต่ตัวเลข คล้ายจะเป็นเกมส์อะไรสักอย่างเกี่ยวกับตัวเลขที่ผมไม่เคยเล่น...เขาคงนั่งเล่นฆ่าเวลา รอผู้ชายอีกคนคุยโทรศัพท์

และต่อจากนั้น ก็มีแต่รอยขีดๆไร้ความหมาย ผมไล่สายตาลงมาที่ด้านล่างตรงที่เริ่มเป็นตัวหนังสือ

อยากแกล้งคน

บรรทัดแรกเขียนไว้อย่างนั้น...อยากแกล้งใคร?...ผมนึกสงสัยก่อนไล่สายตาลงมาอีกบรรทัดที่ยังคงเป็นลายมือเดิม

เขามองเราอยู่ เอกอ่านกระดาษเสร็จแล้วมองเขาแล้วหัวเราะนะ

บรรทัดที่สองเขียนไว้อย่างนั้น...คราวนี้ผมรู้...เขา...ที่ถูกเขียนถึงน่ะใคร...

เดี๋ยวเขาต้องเดินเข้ามาดูแน่ว่าพี่เขียนอะไร

บรรทัดที่สาม ลายมือเดิมว่าอย่างนั้น

ผมนึกเห็นภาพตัวเองทำเนียนเดินเข้าไปรินน้ำ...นึกเห็นภาพคนผิวคล้ำมองผมและยิ้มขำ นึกเห็นภาพคนผิวขาวที่ดึงกระดาษหลบ...และดื่มน้ำในแก้วตัวเองเพื่อให้ผมได้รินน้ำเติม

ผมไล่สายตาอ่านต่อไป...ผู้ชายคนผิวดำ ที่น่าจะชื่อเอกคงวางโทรศัพท์ไปแล้ว เพราะลายมือในบรรทัดต่อไปนั้นต่างจากลายมือในบรรทัดก่อนๆ

แฟนใครเนี่ย ขี้แกล้ง!

แฟนคนรูปหล่อไง

โหปากหวานงี้  แฟนรักน่าดูซิท่า?

ไม่รักเท่าไหร่หรอก วันก่อนเพิ่งเห็นแจกเบอร์ให้สาวไป...อย่าคิดนะว่าไม่เห็น!

เอื้อก!!!

ผมยกกระดาษแผ่นเล็กๆขึ้นมาให้เห็นใกล้ๆและอ่านซ้ำอีกครั้ง...

เอื้อก...มันเขียนไว้อย่างนั้นจริงๆแถมมีเครื่องหมายตกใจห้อยท้ายมาอีกสามตัวแบบไม่ขาดและไม่เกิน

ตอนนี้ผมรู้แล้ว ผู้ชายคนขาวๆนั่งหัวเราะอะไร...เพราะผมเองก็กำลังหัวเราะ...

ในกระดาษไม่ได้เขียนอะไรมากไปกว่านั้นแล้ว ผมเดาว่าถึงตอนนั้นพวกเขาคงเลิกสนใจความสอดรู้สอดเห็นของผมแล้ว...เขาคงอยากพูดคุยกันแค่สองคน...เรื่องของพวกเขาสองคน และคงอยากใช้คำพูดมากกว่าตัวหนังสือ เพราะผมจำได้พอพวกเขาวางปากกา พวกเขาก็คุยกันเบาๆ ยิ้มและหัวเราะให้แก่กันเบาๆ...

ผมหยิบกระดาษแผ่นเล็กๆนั้นขึ้นมาอ่านอีกรอบและยิ้มให้กับถ้อยคำเหล่านั้น...พวกเขาคงเป็นแฟนกันจริงๆอย่างที่ผมคิด หรือจริงๆผมไม่น่าต้องเสียเวลามาสงสัย เพราะตลอดเวลาที่นั่งอยู่ในร้าน ตลอดเวลาที่พวกเขาจับจ้องกัน...มันไม่ได้หวานจนดื่มด่ำ หากแต่มันมีความรักอยู่แน่นอน ผมมองเห็น...

ผมอ่านข้อความไม่กี่บรรทัดนั้นอีกสองสามเที่ยว...นึกถึงรอยยิ้มของพวกเขาและนึกเหงาขึ้นมาอย่างประหลาด...เวลานี้เวลาที่ใครๆก็คงเตรียมซ้อมใหญ่อยู่กับแฟน เพื่อวันจริงในวันพรุ่งนี้จะได้ไม่ประหม่านัก ผมกลับยืนอยู่คนเดียวตรงนี้...

ตอนนี้โต๊ะในร้านว่างคนแล้ว ผมมองไปรอบร้าน...ยืนหาวอีกเป็นรอบที่ร้อย ... ไม่มีเหตุผลอะไรแล้วที่จะอยู่โยงต่อไป หากแต่ผมก็ยังยืนอยู่ที่เดิม หาวแล้วหาวอีกและมองไปตามถนนที่ร้างรถขึ้นทุกทีๆ

...เหงาหรือว่าง่วง?...ผมนึกถามตัวเองเมื่อหาวติดๆกันหลายๆครั้ง และมองถนนที่ว่างรถที่ทำให้ใจมันห่อๆเหี่ยวๆ...มันเลยยากจะบอกว่า...ผมง่วงหรือผมเหงากันแน่...

ผมหันไปมองบนถนนทุกครั้งที่ได้ยินเสียงรถแล่นผ่าน...มองดูรถแต่ละคันที่แล่นเลยผ่านไป คันแล้วแล้วก็คันเล่า ไม่มีสักคันที่จอด และไม่มีสักคันที่ผมมองหา...

มันก็คงเหมือนเรื่องอื่นๆในชีวิต สิ่งที่เรารอคอยมักไม่เคยมาถึงจนกว่าเราจะเลิกรอ...ครั้งนี้ก็เช่นกัน จนผมตัดใจเลือกที่จะเลิกรอ เพียงแค่หันหลัง รถคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอดที่หน้าร้าน...

“ยังไม่ปิดร้านอีก?!”เสียงร้องตะโกนทักพร้อมรอยยิ้มกว้างทำให้ผมเผลอตัวยิ้มตอบแบบกว้างกว่า ก่อนจะทันเตือนตัวเองให้หุบยิ้ม ให้เก็บกักความดีใจไว้เสียบ้าง...

“แขกเพิ่งออกจากร้านไปครับ”ผมพูดโกหก มองเขาที่เพิ่งเดินลงจากรถมาและกำลังเดินตรงมาหาผม

“พี่กิจมาทำไรครับ บอกแล้วไงว่าผมดูได้ หรือว่าไม่ไว้ใจ?”ผมถามเมื่อเขามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า

พี่กิจเป็นเจ้าของร้านร้านนี้...เป็นคนเจ้าชู้  เจ้าชู้ขนาดที่เพื่อนๆพี่กิจเคยแกล้งแซวว่า...ให้มึงมีหาง มึงก็ต้องระวังมัน!...

และครั้งหนึ่งพี่กิจก็เคยจีบผม...ผมเล่นตัว...แต่ ไม่ใช่เพราะไม่รัก ...ผมน่ะตกหลุมรักพี่กิจก่อนที่พี่กิจจะคิดจีบผมเสียอีก หากแต่ผมไม่อยากให้ตัวเองเป็นได้แค่คู่นอน ผมเลยเล่นตัวไว้ก่อน แต่เมื่อผมคิดจะโอนอ่อน พี่กิจกลับละมือ  แถมยกตำแหน่งน้องชายคนสำคัญเพราะฟันไม่สำเร็จให้ผมซะงั๊น

“ใช้คนอื่นมาเฝ้าร้าน ส่วนตัวเองหนีเที่ยว ไม่เคยยอมขาดทุนเลยนะ!”เสียงที่ผมนึกว่าจะไม่ได้ยินร้องทัก ตามด้วยเสียงปิดประตูรถ และเมื่อผมหันไปมอง ก็ทันเห็นเขาหย่อนโทรศัพท์มือถือเครื่องบางลงในกระเป๋าเสื้อ

“หวัดดีครับ”ผมยกมือไหว้เขา

เขา...ผู้ชายผิวขาวที่กับคนไม่มักคุ้น เขามักยิ้มมากกว่าคุย ผมจึงคุยกับเขาไม่บ่อยนัก...

เขา...ผู้ชายคนที่ผมคิดว่าเขามาทีหลัง แต่จริงๆเขามาก่อน... เพื่อนๆพี่กิจรู้จักเขาทุกคน จะมีก็แต่ผมที่ไม่รู้จัก และใครๆก็บอกว่า...คนนี้แหละ ที่พี่กิจรักจริงๆ...อาจจะจริงอย่างที่ใครๆว่า เพราะพี่กิจละมือจากผม เมื่อคนๆนี้ก้าวเข้ามา อาจจะจริงอย่างที่ใครๆว่า เพราะเมื่อคนๆนี้ก้าวเข้ามา ดูเหมือนพี่กิจจะเลิกเจ้าชู้ และดูพี่กิจมีความสุขกว่าเมื่อก่อน ยิ่งกว่านั้น...ผมเคยคิดว่าเขาเพิ่งก้าวเข้ามาในชีวิตพี่กิจ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็รู้ว่า...เขาก้าวกลับเข้ามาในชีวติของพี่กิจต่างหาก...

“ไม่ได้ใช้ อาสามาเองตะหาก”พี่กิจบอก ซึ่งมันก็เป็นเรื่องจริง...ผมอาสามาเองทั้งที่ตอนแรกพี่กิจบอกว่าจะปิดร้าน..ผมรู้ว่าการมาเฝ้าร้านให้พี่กิจ ดูจะเป็นภาระมากกว่าเป็นประโยชน์ และผมก็ดีใจเมื่อพี่กิจอนุญาต โดยไม่ถามแม้เหตุผล เพราะหากพี่กิจถาม ผมก็คงตอบพี่กิจไม่ได้ เพราะมันไม่มีเหตุผล ผมแค่ทำทุกทาง ฉวยทุกโอกาสที่จะให้ความหวังตัวเอง เหมือนที่ผมอยู่โยงจนดึกขนาดนี้ เพราะใครๆก็รู้ รวมทั้งผม...หากพี่กิจอยู่เชียงใหม่ ให้ดึกแค่ไหน ต่อให้รู้ว่าเลยเวลาปิดร้านไปแล้ว นิสัยของพี่กิจคือ ต้องขับรถแวะเวียนผ่านร้านสักรอบ...และนั่นคือเหตุผลที่ผมอยู่โยงจนเลยดึกเลยดื่นเสียขนาดนี้...

“เอารถมาหรือเปล่า?”พี่กิจถาม พลางหันไปกวาดตามองบริเวณริมถนนโดยรอบ

“ไม่ได้เอามาครับ ติดรถเพื่อนมา”ผมตอบ และที่ไม่ได้ตอบจนหมดคือ...และหวังติดรถพี่กิจกลับ...

“อ้าว แล้วเกิดพี่ไม่มา จะกลับยังไง?”พี่กิจหันมาถามดูไม่มีความหมายอะไร หากแต่หน้าผมร้อนผ่าว เพราะเขาอีกคนยิ้ม เขาไม่ได้พูดอะไร...เพียงแค่ยิ้มซึ่งอาจจะมีความหมาย หรืออาจจะไม่มีก็ได้...

สุดท้ายผมก็มานั่งอยู่บนเบาะหลังรถของพี่กิจอย่างที่หวังไว้ แต่ที่ไม่ได้หวังก็คือ ดูคล้ายไม่ใช่แค่นั่งอยู่บนเบาะหลังเท่านั้น  แต่ผมกลายเป็นเบาะหลังไปเลยจริงๆ คือทั้งพี่กิจและเขาคนนั้น พูดคุยหัวเราะกัน ราวกับไม่มีผมอยู่ตรงนั้นด้วย

“วันนี้พี่ตะวันมาหา”ผมพูดแทรกขึ้นเมื่อหาจังหวะได้ พร้อมส่งเศษกระดาษแผ่นเล็กๆให้พี่กิจ แต่คนที่รับไปและเปิดออกอ่านไม่ใช่พี่กิจ

“ ตะวันมาหานะ...”เขาอ่านก่อนพลิกระดาษดูด้านหลัง

“แค่นี้?”พี่กิจถาม

“แค่นี้แหละ!”และเขาตอบทั้งหัวเราะและยื่นกระดาษให้พี่กิจดูเป็นการยืนยัน

“พี่เขาบอกว่า พรุ่งนี้จะกลับแล้ว แล้วจะมาหาใหม่...”ผมบอกเพิ่มเติมในสิ่งที่พี่ตะวันฝากบอกแต่ไม่ได้เขียนไว้

“อ้าว...ตะวันไม่ได้บอกกิจไว้ก่อนเหรอว่าจะมาหา”เขาพูด...บ่งบอกว่ารู้จักพี่ตะวันเช่นกัน

“เปล่า...นึกจะไปก็ไป นึกจะมาก็มา ไอ้คนนี้มันเคยบอกอะไรที่ไหน”พี่กิจตอบและเขาก็หัวเราะคล้ายรู้และเห็นจริงในสิ่งที่พี่กิจพูด...แต่ผมไม่รู้ เพราะอย่างที่บอกพี่ตะวันจำผมไม่ได้ด้วยซ้ำ ผมไม่ได้สนิทอะไรกับพวกเขามากมายนัก

“มากับใคร?”ครั้งนี้พี่กิจถามผมโดยมองผ่านกระจกส่องหลัง

“ไม่รู้ครับ ไม่เคยเห็น”

“ตัวสูงๆ ที่ใส่แว่นหรือเปล่า?”พี่กิจถามและผมพยักหน้าตอบอย่างลังเล เพราะแว่นที่ผมนึกเห็น  ผมไม่แน่ใจนักว่าเป็นแว่นเดียวกับที่พี่กิจหมายความถึง

“นั่นแหละ ฉาย น้องชายมัน”พี่กิจบอก ไม่รู้บอกผมหรือบอกคนที่นั่งข้างๆ

“จำได้ไหม  ที่สมัยก่อนเคยมาช่วยไอ้ตะวันยกของ...ตั้งแต่ยังเรียนม.ปลายอยู่เลยมั้ง”พี่กิจขยายความ...และครั้งนี้ไม่ได้พูดกับผมอย่างไม่ต้องเสียเวลาสงสัย

“อ๋อ!...คนที่ว่าเรียนหมอ”เป็นอันว่าเขารู้จัก ในขณะที่ผมไม่รู้จัก

“เรียนจบตั้งนานแล้ว!”และพี่กิจบอก...บอกในสิ่งที่ผมไม่รู้อยู่ดี

“รู้...ที่ว่าไปเป็นหมออยู่ไชยปราการ!”แต่เขารู้ในสิ่งที่ผมไม่รู้อีกเช่นเคย

“นั่นก็นานแล้ว...จนไปเรียนต่อ จนจบแล้ว นี่เห็นว่าได้ทุน ไปอเมริกาหรือที่ไหนนี่แหละ...ไม่แน่ใจ”พี่กิจบอกและผมเพิ่งนึกสะดุดหู...ผู้ชายคนนั้นเป็นหมอ?...หมอที่ผมคุ้นตา ไม่ได้สวมแว่นแบบนั้น...แว่นกันลมสีฟ้าสดใส เข้าชุดกับหมวกกันน็อคพอดิบพอดี...ผมนึกอยากบอกว่าสงสัยจะเกิดการเข้าใจผิด แต่ก็ไม่ได้บอกเพราะเมื่อฟังพวกเขานั่งรำลึกความหลังมาถึงตอนนี้ ผมก็สรุปได้แล้วว่า...ควรเป็นเบาะรถต่อไป

“แล้วตะวันล่ะ?”เขาถามขึ้นอีก

“เห็นว่าจะไปด้วยกัน...ตอนน้องมันไปเรียนต่อกรุงเทพ มันก็ไปด้วยนี่”

“ไปด้วย? อย่างนั้นแฟนแล้วมั้ง ไม่ใช่น้อง!”

“มันว่าไม่ใช่...มันว่าใครพูดงั๊น มันจะต่อยปากแตก”พี่กิจพูดไปหัวเราะไป...และจากเท่าที่เห็นพี่ตะวัน ผมก็เห็นด้วยกับเสียงหัวเราะของพี่กิจ แต่แม้จะนึกอยากหัวเราะตาม ผมก็ไม่ได้หัวเราะตาม เพราะเบาะรถหัวเราะไม่ได้...ผมเป็นเบาะรถ เลยหัวเราะไม่ได้

เรื่องที่ผมหยิบยกขึ้นมา หวังจะให้ตัวเองมีส่วนร่วมในบทสนทนา กลับกลายเป็นยิ่งตอกย้ำว่าผมเป็นคนนอก...สุดท้ายก็กลับมาเป็นเบาะรถอย่างเก่า...
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: ภัคD ที่ 05-05-2009 23:20:36
“ตะวันเนี่ยนะจะต่อยปากแตก? ไอ้ขุน...ก็ว่าไปอย่าง”เขาคนนั้นพูดต่อ น้ำเสียงแฝงรอยขำ หากแต่แล้วก็สะดุด น้ำเสียงเขาขาดหายไปก่อนจะพูดต่อจนจบประโยคโดยไร้รอยขำ

ผมได้ยินพวกเขาถอนหายใจเบาๆก่อนเงียบกันไป คล้ายกำลังระลึกถึงอะไรบางอย่าง...ถึงใครบางคน

พวกเขากำลังใช้ความทรงจำร่วมกัน...ความทรงจำที่เบาะรถอย่างผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

ผมรู้จักพี่ขุน น้อยยิ่งกว่าน้อย รู้จักก็แค่เพราะใครต่อใครหลายคนยังพูดถึงเขาเสมอ...แต่ผมไม่เคยเจอตัว เมื่อผมรู้จักพี่กิจ...พี่ขุนก็ไม่มีชีวิตอยู่แล้ว แต่ใครๆก็ยังคงพูดถึงเขา ผมจึงรู้จักเขา จากคำพูดถึงของคนอื่น

“ไง!”เสียงพี่กิจร้องเรียกขึ้น คงหวังทำลายความเงียบ และเมื่อผมหันไป ก็สบตากับพี่กิจกำลังมองผมผ่านกระจกส่องหลัง ผมจึงรู้ว่าครั้งนี้ พี่กิจตั้งใจจะคุยกับเบาะรถอย่างผม

“พรุ่งนี้ยังจะอยากมาอีกหรือเปล่า?”พี่กิจ ถามและหัวเราะ

ผมเกือบตอบว่า...มา... หากแต่วินาทีที่แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้เหตุผล ผมเลือกที่จะส่ายหน้าแทนคำตอบว่าไม่

“ทำไม?”พี่กิจถามยิ้มๆ

“อยากไปเที่ยว”ผมตอบโดยไร้การชั่งใจ

“เพิ่งรู้เหรอ วาเลนไทน์ใครๆก็ไปเที่ยวกับแฟนทั้งนั้นแหละ”

“ครับ...  ผมอยากไปกับพี่กิจ”ผมพูดก่อนเสมองออกไปนอกรถ ดูก็แต่ถนนที่ร้างคนผ่านกระจกรถที่สะท้อนเงาที่กำลังหวาดหวั่นของตัวเอง

“ใครเขาเที่ยวกันสามคนล่ะ วันวาเลนไทน์น่ะ...”และคนที่ตอบไม่ใช่พี่กิจ หากแต่คือเขาที่นั่งอยู่ข้างๆ...คือแฟนของพี่กิจ  คือคนที่ใครๆก็บอกว่า...คนนี้พี่กิจจริงจัง...และน้ำเสียงที่พูดนั้นก็มีร่องรอยหึงหวง ประชดและประชันโดยไม่ปิดบังสักนิด...ยิ่งกว่านั้น...ดูคล้ายเขาจะประกาศว่า... เขาจะไม่ใช่ฝ่ายที่ต้องถอยหลบอย่างแน่นอน...

“แต่ก็ไม่แน่นี่เนอะ?!”เขายังพูดต่อ...ครั้งนี้น้ำเสียงเขาส่อเสียดและเยาะหยัน และพี่กิจก็แค่ถอนหายใจ...ส่วนผมยังคงมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่กล้ามองกลับมา ผมรู้...พี่กิจคงลำบากใจ

ถ้าเลือกย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะไม่พูดออกไปแบบนั้น...เพราะผมรู้ว่า ให้หวังยังไง ตัวเองก็ไม่มีหวัง...สิ่งที่ผมคิดและพูด มันก็เป็นได้แค่สิ่งที่ทำให้ทุกคนลำบากใจ หลักฐานคือ ความเงียบงันหลังจากนั้น...

ผมบอกตัวเองไม่ได้ว่าทำไมพูดไปแบบนั้น ทั้งที่ก่อนหน้านั้น แม้จะหวัง แม้จะพยายามทำทุกอย่าง แต่ผมไม่เคยแม้คิดจะทำให้กิจรู้ว่าผมคิดยังไง...

คนบางคนบอกว่า...วินาทีที่เราเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง มันเป็นวินาทีที่ความกล้าเอาชนะความขลาดกลัว...หากแต่สำหรับผมดูจะตรงกันข้าม...เมื่อเห็นความใกล้ชิดกันของพวกเขา ดูคล้ายว่า ผมไม่มีความกล้าพอจะผิดหวัง...ยิ่งเห็นเขาใช้ความทรงจำร่วมกัน ผมยิ่งไม่กล้าพอจะยอมรับความสูญเสีย...ผมกลัวจะสูญเสีย ความกลัวนี่เองกระมังคือเหตุผลที่ทำให้ผมพูดออกมา...

ไม่มีใครพูดอะไรกันอีก เขาไม่ได้พูดอะไรอีก...พี่กิจก็ไม่ได้พูดอะไร...ผมเองก็ไม่ได้พูดอะไรแต่จากหางตา ผมเห็นพี่กิจเอื้อมมือไปข้างๆ...จากช่องเล็กๆตรงเบาะนั่งด้านหน้า ผมเห็นเขาหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง...พวกเขาไม่พูดอะไรกันอีกเลย...

“ไว้ค่อยคุยกันนะ...”พี่กิจบอกผมอย่างนั้น เมื่อผมลงมายืนอยู่หน้าบ้าน...ผมแค่พยักหน้ารับ และยกมือไหว้ลาเขาอีกคนที่พยักหน้าและยิ้มรับการไหว้ลาของผม...แล้วพี่กิจก็ขับรถจากไป...จากไปพร้อมเขา...เขา คนที่ใครๆก็บอกว่าพี่กิจรัก...

“ทำไรวะ?”เสียงร้องทักดังจากข้างหลัง และก็ไม่ได้ทำให้ผมตกใจอะไร...หรือจริงๆผมอาจจะรู้อยู่แล้วว่า หากยืนอยู่อย่างนี้ เดี๋ยวใครคนหนึ่งก็ต้องเปิดประตูบ้านออกมาตาม

แม้ใจหนึ่งจะคิดว่า มันน่าจะนอนไปแล้ว หากแต่อีกใจก็นึกเผื่อไว้ว่ามันน่าจะอยู่รอ...

“ทำใจ...”ผมตอบเสียงเนือยๆ ก่อนหันหน้าไปมองเจ้าของเสียงร้องถามอย่างหน่ายๆ

“อะไรนะ?”มันถาม

“ทำไมยังไม่นอน ไหนว่าพรุ่งนี้ไปแต่เช้า?”ผมเลือกที่จะไม่ตอบ หากแต่ย้อนถามเมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปในบ้านและเห็นเป้เดินทางใบใหญ่ที่เตรียมไว้อย่างพร้อมเพรียงกับขาตั้งสำหรับวาดรูปที่จัดเข้าหีบห่อไว้อย่างดีพร้อมที่จะออกเดินทาง

และเมื่อเดินเข้ามาถึงโต๊ะรับแขกตัวเตี้ยที่กลางบ้าน ผมจึงเพิ่งเห็นถ้วยมาม่า 2 ถ้วยที่วางไว้บนโต๊ะ...ถ้วยหนึ่งกินหมดไปแล้ว กับอีกถ้วย ยังปิดฝาเตรียมรอที่จะกิน

“ก็รอมึง...พรุ่งนี้ไปแต่เช้า มึงก็คงไม่ตื่น ขืนกูนอนก็ไม่เจอมึงน่ะสิ”มันตอบก่อนทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม และเปิดถ้วยมาม่าดูก่อนปิดไว้อย่างเก่า...แปลว่ายังไม่ได้ที่...

...สำหรับพี่กิจ...ผมไม่รู้ว่า ผมเป็นมาม่าถ้วยไหน...ถ้วยที่เลิกสนใจไปแล้ว หรือถ้วยที่น่าจะยังมีความหมายในวันข้างหน้า...ผมคิดเนือยๆขำๆ แต่แล้วก็เหลือแต่ความเนือยไม่เหลือความขำเพราะนึกได้ว่า...พี่กิจไม่กินมาม่าหรืออาหารสำเร็จรูปทุกรูปแบบ...เมื่อผมเปรียบเทียบตัวเองเป็นมาม่า...ผมก็เป็นแค่สิ่งที่พี่กิจไม่เคยสนใจ...เท่านั้น

“พรุ่งนี้ไม่ตื่น อย่าโทษกูแล้วกัน”ผมบอก...เตือนตัวเองให้เปลี่ยนเรื่องคิด...หันกลับไปมองดูมันที่มองหน้าผมสลับกับถ้วยมาม่าและนาฬิกาแขวนผนัง

“ก็ไปอีกวัน...”มันตอบเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ ไม่เห็นเป็นประเด็นอะไรต้องเอามาขบคิด และผมก็พยักหน้าเห็นด้วยไปกับมัน

“กินไหม?”มันถามพลางยื่นถ้วยมาม่าที่ยังปิดฝามาให้แต่ผมส่ายหัวแทนคำตอบ...ถึงจะเริ่มหิว แต่นึกไม่อยากแตะถ้วยมาม่านั้นขึ้นมา... มันจึงดึงคืนเอาไปเปิดฝาดูแล้วก็ปิดลงอีกครั้งก่อนหันไปมองนาฬิกาอีกหน

 “กูจะไปลาวกับมึงดีหรือเปล่าน้า?...”ผมแค่มองดูกระเป๋าเดินทางของมันและนึกเปรยๆขึ้นมาอย่างไร้ความหมายด้วยความเซ็ง...นึกอยากหนีไปไกลๆ อย่างน้อยจะได้หลอกตัวเองได้ว่า...พรุ่งนี้ผมไม่อยู่ เลยไม่ได้คุยกับพี่กิจ...ผมคิด นึกถึงภาพใบหน้าลำบากใจของเขา

“จริงดิ?”มันร้องถามเสียงดังอย่างดีใจ และเสียงร้องถามดีใจของมันก็ทำให้ผมตกใจจนภาพพี่กิจที่อยู่ในหัวกระเด็นหายไปได้ในพริบตา

เมื่อไม่เหลือภาพพี่กิจอยู่ในหัว ผมก็หันกลับไปมองดูมันที่กำลังยิ้มอย่างดีใจอย่างกับผมตัดสินใจว่าจะไปกับมันแล้ว

ครั้งหนึ่งมันเคยคิดจะไปอยู่ปายด้วยเหตุผลที่มันคงคิดว่าเท่ห์ มันว่า...มันจะไปค้นหาตัวเอง

มันเก็บกระเป๋าที่มันบอกว่าคืออนาคต จัดเก็บข้าวของที่มันบอกว่าจะทิ้งไว้ให้เป็นอดีต ไปร่ำลาเพื่อนๆที่มันบอกว่าจะเป็นปัจจุบันตลอดไปและก็มานั่งเศร้ากับผมที่มันบอกว่าคือรักนิรันดร์สำหรับมัน...แต่มันไปได้แค่อาทิตย์กว่าๆ มันก็หอบอนาคตของมันกลับมา...มันค้นพบตัวเองแล้ว มันบอกว่ามันค้นพบว่า...มันรักเชียงใหม่ และ...มันก็คิดถึงผม...

มันรักผม...ไม่ใช่ความลับที่มันปกปิดผม...ผมรู้มานานแล้ว

แต่ผมไม่ได้รักมัน...ไม่ใช่ความลับที่ผมปกปิดมันอีกเช่นกัน...และมันก็รู้มานานแล้วเช่นกัน นานพอๆกับที่ผมรู้ว่ามันรักผม...

พรุ่งนี้มันจะเดินทางอีกครั้ง และครั้งนี้มันบอกว่ามันแน่วแน่ และคิดจะไปไกลถึงฝั่งลาว...ครั้งนี้มันบอกว่ามันไม่ได้ไปเพื่อค้นหาตัวเอง มันมีเหตุผลที่มันคิดว่าเท่ห์ยิ่งกว่านั้น มันว่า...มันไปเพื่อทิ้งตัวตนของมันเอง

‘มึงจะไปจาริก?’เพื่อนๆร้องถามอย่างนั้นเมื่อรู้เรื่องที่มันจะไปและเหตุผลแห่งการไปของมัน มันเลยหน้าง้ำเพราะใครๆก็หัวเราะเหตุผลที่มันคิดว่าเท่ห์  มีก็แต่ผมที่เก็บกลั้นเสียงหัวเราะไว้ได้ทัน มันเลยซาบซึ้งบอกว่ามีแต่ผมที่เข้าใจมัน...

ใจหนึ่งผมก็คิดว่า พออาทิตย์นึงผ่านไป มันก็อาจจะคิดถึงผมและกลับมา...แต่อีกใจผมก็ตั้งคำถาม...ถ้ามันเคยชินกับการคิดถึงและละทิ้งตัวตนของมันได้สำเร็จ...และถ้ามันเลือกที่จะอยู่ที่นั่นและอยู่ได้อย่างที่มันตั้งใจล่ะ?...

ระหว่างผมกับมัน ไม่มีความรักระหว่างกัน...แต่หลายวันมาแล้วที่ผมแอบนึกเหงาล่วงหน้า...เหงาเผื่อวันที่ไม่มีมันอยู่ด้วยกัน...

บางทีที่ผมนึกอยากสารภาพกับพี่กิจ...อาจเพราะผมกลัวเสียพี่กิจไป หรืออาจเพราะ ผมกำลังจะเสียมันไป...เพราะผมรุ้ว่า นับแต่พรุ่งนี้ไป ผมจะไม่มีใคร...

ผมมองมันที่กำลังยิ้มดีใจ...

มันยิ้มดีใจผิดกันลิบลับกับใบหน้าลำบากใจของพี่กิจตอนที่ผมบอกว่าอยากไปเที่ยวกับเขาวันพรุ่งนี้

ผมมองมันที่ยิ้มดีใจอย่างมีความหวังและก็อดที่จะยิ้มตามรอยยิ้มดีใจนั้นไม่ได้...พอผมยิ้ม มันก็ยิ่งยิ้มมากขึ้น...

มีคนบอกว่า...บางครั้งเวลาแค่ชั่ววินาทีก็อาจจะทำให้เราหลงรักคนๆหนึ่งไปชั่วชีวิต แม้เราจะรู้จักคนๆนั้นมานานเกือบทั้งชีวิตที่ผ่านมาโดยไม่เคยรักเขาเลย...แต่วินาทีที่ว่านั้นก็อาจจะเกิดขึ้นได้ในวันหนึ่งโดยที่เราไม่ทันตั้งตัว...

ถ้าเลือกเองได้ ผมก็อยากให้วินาทีนั้นเกิดขึ้นกับผม...เกิดขึ้นกับคนที่กำลังนั่งยิ้มหน้าบานอยู่ตรงหน้า...

ผมรู้...หากผมรักมัน ผมคงมีความสุขแน่ๆ...เพราะแม้ตอนนี้ผมจะไม่ได้รักมัน แต่การอยู่กับมัน..ผมก็มีความสุขเสมอ...

แค่ผมพูดว่าจะไปกับมัน มันก็ยิ้มซะขนาดนี้ ผิดกันเป็นหน้ามือกับหลังตีนกับหน้าของพี่กิจ...ผมคิดเปรียบเปรยในใจแล้วก็ต้องนึกขำตัวเอง...

ถึงผมจะรู้สึกว่าตัวเองเพิ่งถูกพี่กิจหักอกมา แต่ยังไงซะ ความรู้สึกหลงรักมันก็ยังเต้นระบำอยู่ในใจเกินว่าจะยกตำแหน่ง...หลังตีน...ให้พี่กิจได้ และถ้าจะให้พูดอย่างไม่เข้าข้างเพื่อน...พี่กิจหล่อกว่ามัน  มาดดีกว่ามัน มีเสน่ห์กว่ามัน  วินาทีที่ตกหลุมรักพี่กิจจึงเกิดขึ้นบ่อยๆ ผิดกับมันที่นั่งยิ้มอยู่ตรงหน้า วินาทีที่ผมนึกอยากให้เกิดนั้นไม่เคยเกิดขึ้นเลย...ดังนั้นตำแหน่งหลังตีนแม้ไม่อยากยกให้มันด้วยเกรงใจ หากแต่ก็จนใจ เพราะยังไงซะ ตอนนี้ตำแหน่งหน้ามือก็เป็นของพี่กิจอยู่ดี...

“ยิ้มอะไร?”มันถาม เมื่อผมสั่งให้ตัวเองเก็บกลั้นซ่อนรอยยิ้มขันไม่ได้

“เปล่า...”ผมตอบ ทั้งที่ปากยังยิ้มเพราะในใจยังนึกถึง...หน้ามันกับหลังตีน...

“แล้วยิ้มอะไร?”มันถามอีก ผมเลยต้องเบี่ยงเบนความสนใจของมันด้วยการชี้ถ้วยมาม่าที่ดูท่ามันจะลืมให้มันดูว่าน่าจะเลยเวลากินไปนานโขแล้ว

“ไปไหน?”มันถามอย่างร้อนรนเมื่อผมลุกขึ้นยืน และมันก็ลุกขึ้นยืนตามหากแต่ในมือก็ยังไม่ปล่อยถ้วยมาม่าที่มันเพิ่งเปิดฝาออกเห็นควันฉุยๆ

...พลาดวินาทีที่ผมจะตกหลุมรักมันไปอีกวินาที ผมคงไม่สามารถตกหลุมรักใครพร้อมกลิ่นมาม่ารสหมูสับแบบนี้ได้แน่ๆ เพราะยังไงซะผมก็ชอบรสต้มยำมากกว่า...ผมคิดขำๆพลาง มองถ้วยมาม่าในมือมัน

“ไปเก็บของ...ไปลาวกับมึง”ผมบอก... ถึงตอนแรกผมจะนึกอยากไปกับมันเพราะอยากหนีวันพรุ่งนี้ หากแต่ตอนนี้ที่ผมบอกมันว่า..จะไปกับมัน...ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุผลนั้นสักนิด...มันเป็นการตัดสินใจอย่างกะทันหันและอาจจะไร้เหตุผล เช่นเดียวกับการตัดสินใจบอกพี่กิจไปไม่มีผิด...ต่างกันก็แต่ตอนนั้นผมเสียใจในสิ่งที่พูดออกไป...แต่ตอนนี้ผมดีใจในสิ่งที่พูดและตัดสินใจ...

“กูช่วย!”มันพูดและยิ้ม...ว่าเมื่อครู่มันยิ้มดีใจที่สุดแล้ว แต่ตอนนี้มันยังฉีกยิ้มได้กว้างกว่ารอยยิ้มเมื่อชั่วครู่ที่ผมคิดว่าคือที่สุด...

และเป็นอันว่ามันเห็นว่าผมสำคัญกว่ามาม่าในมือ มันเลยไม่เสียเวลานั่งกินอีกต่อไป เพียงแต่มันคงยังเสียดายมาม่าที่เพิ่งนิ่มได้ที่กำลังกิน  มันเลยคีบเส้นมาม่าแค่ครั้งเดียวเข้าปากก่อนวางทิ้งไว้และเดินตามผม...เพียงแต่ครั้งเดียวของมัน มันโกยซะทีเดียวหมดถ้วยชนิดที่พระเจ้าคงช่วยผมได้ไม่ยากหากผมจะเกิดเกลียดขี้หน้ามันขึ้นมาจนนึกแช่งให้มาม่าติดคอมันตาย...และที่แน่ๆ ผ่านไปแล้วอีกวินาทีที่ผมไม่ได้หลงรักมัน...

ผมเดินข้ามไปอีกห้องคว้ากระเป๋าเป้ลงมาจากหลังตู้เสื้อผ้ามาเริ่มเก็บ เลิกนึกถึงเรื่องของพี่กิจ เลิกสนใจทั้งมัน และ วินาทีที่ผมอาจจะตกหลุมรักมันได้

ผมว่าเวลาที่มันจะมีให้ผมคงมีอีกเยอะและเวลาที่ผมยังอยากใช้ร่วมกับมันก็ยังมีอีกแยะ...กะอีแค่วินาทีเล็กๆที่ผมจะตกหลุมรักมันนั้น ถ้าไม่เกิดขึ้นในวินาทีนี้ ก็อาจจะเกิดขึ้นในวินาทีหน้า  กะอีแค่วินาทีเล็กๆนั้น ถ้ามันจะไม่ยอมเกิดขึ้นเลยก็ให้มันรู้กันไป!

จบ...
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 05-05-2009 23:55:52
ขอ :กอด1:ที่เอาเรื่องดีๆมาฝากกัน อ่านแล้วอบอวลไปด้วยความรักจริงๆ
ขออ่านผลงานคุณภักDไปเรื่อยๆนะคะ บอกไม่ถูกว่าชอบตรงไหน
แต่ก็ชอบทุกเรื่องจริงๆ :m13:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: bellary ที่ 06-05-2009 03:11:45
 :กอด1: คิดถึงเอกกับพี่เหยา ตัวดำตัวขาว
 :กอด1: คิดถึงตะวันกับฉาย (เมื่อไร่จะชนะใจตะวันเนี้ย เซ็งฉาย)
 :กอด1: คิดถึงพี่ขุน (รักเดียวของตะวัน แต่มองฉายหน่อย เชียร์ใจจะขาดแล้ว)
 :กอด1: คิดถึงพี่กิจพึ่งนึกได้จำได้เลือนๆ
 :-[ หวัดดีต๋งที่เจอกันครั้งแรก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 06-05-2009 05:02:29
คงมีสักวินาทีจริงๆที่ความรักของต๋งจะเกิดขึ้นกับเพื่อนคนนี้
สมกับเป็นเรื่องสั้น จากวันวาเลนไทน์จริงๆ
ขอบคุณมากๆค่ะ
บวก 1 แต้มแทนคำขอบคุณอีกครั้งค่ะ

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 06-05-2009 08:39:58
คิดถึงฉาย คิดถึงตะวัน คิดถึงเอก คิดถึงเหยา  :z3: :z3:

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: chatori ที่ 06-05-2009 09:35:43
อิอิ น่ารักอีกแล้ว.. ชอบพี่เหยากะเอกจัง

ยังเชียร์ตะวันกับฉายอยู่ หุหุ..

ขอบคุณค่ะ ^^

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 06-05-2009 16:39:27
วันนี้ได้ดีใจ ติดๆกัน ถึง 3 ครั้ง เมื่อได้เห็นชื่อ คุณภักD แล้วก็ได้อ่านเรื่องสั้นที่สนุก แล้วน่าติดตาม ก็คิดว่าวันนี้ โชคดีจัง
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 06-05-2009 17:38:40
คิดถึงฉาย คิดถึงตะวัน คิดถึงเอก คิดถึงเหยา  :z3: :z3:

เห็นด้วยกับคุณทิพ จริงๆ


ปล. ไม่คิดว่า เอก จะดำขนาดนี้ -*-
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: RN ที่ 06-05-2009 17:43:39
คิดถึง ตะวัน กับฉาย :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: maggy ที่ 06-05-2009 19:34:42
ฮืออออออออออชอบบบบบบบบบบบ
ชอบอีกแล้ว
อ่านแล้วเหมือนได้เจอเพื่อนเก่า ได้พบคนรู้จักยังไงอย่างงั้น
คิดถึงตะวัน ฉาย เอก พี่เหยา และก็พี่ขุนด้วยยยยยย
สงสารต๋งมากเลย แต่ตอนจบก็พลอยดีใจไปกับต๋งด้วย
ต๋งน่ารักอะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: DEMON3132 ที่ 06-05-2009 19:53:08
คิดถึงเอกกับเหยา ตะวัน กับฉาย และคิดถึงพี่ขุนด้วย
แม้จะเพิ่งเจอกับต๋งครั้งแรก แต่ก็ได้ใจไปแล้ว มีคนแบบ
ต๋งอีกมากที่หลงรักคนที่เราไม่อาจสัมผัสถึง ชอบใจกับ
การตัดสินใจของต๋งที่จะไปหาวิถีทางรักษาใจของตัวเอง
ชอบผลงานของคุณ ภักD ค่ะ ... :pig4: .....
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: TaEnIaE_CoLi ที่ 06-05-2009 22:10:03
แอบโดนอ่าเรื่องนี้

ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งคับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 06-05-2009 22:49:09
อ่านแล้วอบอุ่นจังเลยค่ะ

เหมือนได้เจอเพื่อนเก่าจริงๆ ด้วยสิ   :L2:

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: SweetSacrifice ที่ 08-05-2009 01:55:05
เอกกับเหยา ตะวันกับฉาย
 :กอด1: :กอด1:
รออ่านต๋งกับมาม่าหมูสับน่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: panpan ที่ 08-05-2009 08:43:10
ชอบอ่านงานของคุณภัคD แต่กลัวใจจริงๆ ที่ชอบจบแบบเศร้าๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 08-05-2009 10:25:43
บีบหัวใจจริงๆ

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: ltahset ที่ 08-05-2009 10:57:21
 :pig4:

ขอบคุณสำหรับเรื่องราว

อ่านแล้วรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่มากกว่าตัวอักษร

ทุกเรื่องของคุณภัคDเลย

มันค้างในใจแบบแปลกๆ

^^
ขอบคุณนะคะ

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: chocolate_ness ที่ 08-05-2009 12:53:53
ชอบเรื่องของคุณภัคDจัง

คิดถึงตะวันจริงๆ :impress2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: MIkz_hotaru ที่ 08-05-2009 14:09:32
ชอบที่สุดยิ่งกว่าอะไรในโลกนี้รวมกัน !!!  :laugh:
คิดถึงพี่เหยา กับเอก
คิดถึงพี่ตะวัน กับ ฉาย
รักคุณ ภัคD  o13
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: panpan ที่ 08-05-2009 16:53:05
เหมือนได้รู้ข่าวคราวของเพื่อนเก่า :pig4:
ดีใจที่พี่เหยากะเอกมีความสุข
ดีใจที่ตะวันจะตามฉายไปเมืองนอก  อ่านตอนนี้แล้วเชื่อว่าตะวันก็คิดกะฉายเกินน้องเหมือนกัน :impress2:
แต่พี่กิจกะต๋งนี่เรื่องอะไรอ่ะ ทำไมเราไม่คุ้นเลย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: กิมตี๋หัดขับ ที่ 08-05-2009 20:48:15

น่ารักทุกเรื่องเลยนะ   o13 :L1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: delufy.monkey ที่ 09-05-2009 01:56:00
เพลิดเพลิน... กับทุกตัวอักษรของ ผู้แต่งเสมอมาครับ...
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: myxt ที่ 10-05-2009 12:52:17
ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมากๆ ขอบคุณจริงๆ
เรื่องนี้ ทำให้คิดอะไรได้นิดหน่อย  :pig4:
และก็เหมือนอีกหลายๆคน
คิดถึงตะวัน คิดถึงฉาย คิดถึงเหยา คิดถึงเอก
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 18-05-2009 17:19:41
แทบจะกรี๊ด
อ่านเรื่องนี้แล้วเจอพี่เหยากะเอก
อ้ายๆๆๆ คิดถึง ><

แอบเหงา+เศร้าๆแทนต๋งเลย
วันวาเลนไทน์ทีรัยพออยู่คนเดียวแล้วมันเหงาโคตรรรรรร
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: mecon ที่ 20-05-2009 14:29:15
อ่านแล้วประทับใจจังเลยคะ
 :-[ ขอบคุณคุณภัคD
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: Seiki ที่ 20-05-2009 20:29:54
คุณภัค D เขียนดีทุกเรื่องเลยฮะ  o13
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: Donald~duck ที่ 25-07-2009 17:11:43
ประทับใจทุกเรื่องของคุณภัคดี  :impress2:

เรื่องนี้น่ารักจังคะ  :-[
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: Gems2535 ที่ 26-07-2009 00:56:27
รู้สึกดีจัง...ชอบจังครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: EverGreen™ ที่ 26-07-2009 02:03:56
พี่เหยาขี้แกล้ง

แฟนใครอ่ะพี่เอก

คิดถึงพี่ตะวันกับนายกรินกรณ์  :กอด1: (คนอื่นเรียกฉาย งั้นผมเรียกนายกรินกรณ์ละกัน ไม่ซ้ำใครดี)

"แต่แม้จะนึกอยากหัวเราะตาม ผมก็ไม่ได้หัวเราะตาม เพราะเบาะรถหัวเราะไม่ได้...ผมเป็นเบาะรถ เลยหัวเราะไม่ได้"  รู้สึกจุกยังไงไม่รู้แฮะ กับประโยคนี้

แล้วก็เปรียบเทียบตัวเองกับมาม่า เศร้าที่สุด  :o12:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 26-07-2009 10:27:03
โอ้ยๆๆๆ เพิ่งเห็นเรื่องนี้ อยากจะเขกหัวตัวเองจริงๆ รวมมิตรตัวละคร ชอบมากๆเลยครับ


อ่านแล้วชอบฉายกับตะวันจังเลยอะ แล้วยิ่งรู้สึกดีขึ้นไปอีก ที่ตะวันจะตามฉายไปเมืองนอกด้วย


 :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: Soulmate ที่ 02-08-2009 10:20:29
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: Mushroom*TBL ที่ 02-08-2009 13:57:31
 :pig4:

THANK , YOU krub b ..

 :กอด1: :L2: o13

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: loveooo ที่ 09-08-2009 20:22:29
...........

เรื่องน่ารักมากๆๆ   ก็ถูกอย่างที่ว่า เวลาเหลืออีกตั้งเยอะ  แค่วินาทีเดียว ถ้าไม่เกิดก็ให้รู้กันไป

ปล.อยากบวกคะแนนให้มาก แต่ทำไม่เป็น

 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: mango ที่ 12-10-2009 12:40:02
Thank you คุณภัคD

good to know that everyone is doing well   :mc4:

ps: will read หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ one more time
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: aaax ที่ 12-10-2009 14:22:10
ดีใจจัง เอกกับเหยา ล้อเล่นได้แบบนี้ ต้องรักกันได้เยอะเลย

อบอุ่นแฮะ

ชอบครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 23-10-2009 20:49:02
อ่านเรื่องนี้ละทำให้อยากอ่านเรื่องเต็มของอีกสองสามเรื่องที่เกี่ยวข้อง
ถ้าจำไม่ผิดเหยานี่น่าจะอ่านแล้ว... :m15:

รักคนที่เค้ารักเราดีกว่า...เปิดใจซักนิดคงรักเค้าได้ซักวัน... :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: popper ที่ 25-10-2009 00:21:37
บอกสั้นคำเดียววววว

เหงาเหมือนกันเนี่ยยย

ถ้ามีมาเเอ่วรอไปลาวงี้มั่ง

จะกระโดดตามไปเลย

คงตามไปตั้งเเต่ปายยย

เห่ออ

เรามันก้อเหงากันต่อไปครับ จีบใครไม่เปน

ไม่กล้าจีบ

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: altctrldelete ที่ 25-10-2009 11:37:56
คิดถึงเอกกะพี่เหยาที่ซูัดด
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: pichayakamon ที่ 27-10-2009 17:01:25
ไม่มีอะไรจะให้

นอกจากหัวใจดวงนี้

ซึ้งมากกกกกกกกกกกกก

ได้ใจจริงๆ ค่ะ  ^-^
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: OhJa ที่ 07-11-2009 12:31:49
ชอบจังเลย เรื่องสั้นๆแต่ได้ความรู้สึกดีๆแบบนี้  :m1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 07-11-2009 22:19:17
ขอบคุณนะคะคุณภัคD
ที่ส่งเรื่องราวน่ารักมาให้ได้อ่าน

คิดถึงเหยา เอก ตะวัน ฉาย มากที่สุด
อ่านเรื่องนี้แล้ว เหมือนได้คลายความคิดถึงไปได้บ้าง
และดีใจที่เห็นพัฒนาการของตะวันกับฉาย (อย่างที่ใจอยากให้เป็น)

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: Y2Y ที่ 12-11-2009 01:14:02
คิดถึงทุกตัวละครของคุณภัคดีอ่ะ ทุกคนล้วนมีเรื่องราว ล้วนมีความประทับใจ

ทุกรายละเอียดทุกเหตุการณ์ที่ถ่ายทอดจากตัวละครของคุณภัคดี มันทำให้เรา .ร้องไห้ หัวเราะ และซาบซึ้ง


ว่าแต่ว่าทุกเรื่องอ่ะขอตอนพิเศษมั้งน๊าเอาแบบไม่เศร้าด้วย หุหุ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: kaehoo ที่ 19-12-2009 14:02:45
 :o8: :o8:อยาดรีมาให้อ่านกันอีกคับ....ชอบมากๆๆกับไปอ่านอีกก้อยังชอบเหมือนเดิม :bye2: o13
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: moony ที่ 18-01-2010 12:13:07
 :sad11:  จำไว้รักคนที่เขารักเราดีกว่า o13
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: n_pom_s8 ที่ 17-02-2010 20:25:56
ชอบจิง ๆๆๆๆๆ o13
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: Chi@ki ที่ 19-02-2010 18:37:39
เห็นชื่อ คุณภัคD ปุ๊บต้องรีบกระโดดเข้ามาอ่านปั๊บเลยค่ะ  ประทับใจจริงๆ เลยค่ะ

ชอบมาตั้งแต่เรื่องของพี่เหยากับเอกแล้วค่ะ อ่านวนไปวนมาหลายต่อหลายรอบจนเกือบจะจำทั้งเรื่องได้แล้วก็ยังไม่เบื่อ

ทุกวันนี้เวลาว่างๆ ก็จะเปิดอ่านอยู่เสมอๆ แล้วจะรู้สึกเหมือนได้อะไรหลายๆอย่างมากมายจากเรื่องของคุณภัคD

แล้วมาวันนี้ก็เพิ่งได้อ่านเรื่องนี้ก็รู้สึกชอบเหมือนกัน บรรยายเรื่องได้ดีมากๆ พออ่านแล้วเห็นภาพตามเลย

ขอบคุณนะคะที่ยังเขียนเรื่องดีๆ เอามาให้อ่านกันอยู่เรื่อยๆ  o13

ปล. รักพี่เหยาจัง ชอบคนขี้แกล้ง!!!
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: Overdose ที่ 16-04-2010 18:47:23
ชอบเรื่อง ที่พี่เขียน

ชอบวิธีการเขียน

ชอบถ้อยคำที่ใช้

ชอบบรรยากาศของเรื่อง

ไม่รุ้ว่ารู้สึกยังไง

แต่อ่านแล้วเหมือนมีมนต์ สะกดใจ

ชอบ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: jincool ที่ 21-05-2010 00:03:06
เป็นเรื่องที่ดีจริงๆ ค่ะ

มันทำให้มองเห็นมุมมองความรักในหลายๆ รูปแบบ

และชวนให้ตัวเองนั่งคิดไปว่า  "เอ....ความรักของชั้นคือแบบไหนน้า...."

ทำให้ยอมรับกับชีวิตตัวเองได้มากขึ้นมากหน่อยว่า

ความรักกับชีวิตของคนหนึ่งคนมันเกิดขึ้นได้หลายครั้ง

แต่จะมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่มันจะพิเศษที่สุด

ตอนนี้ก็รู้สึกเหมือนต๋งอยู่  ที่ต้องการจะรักและถูกรักจากใครสักคน

การตกหลุมรักในช่วงวินาทีอาจจะไม่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ

แต่ความสุขที่เราสร้างและไขว่คว้ามาได้  มันย่อมยาวนานและมีค่ากว่าวินาทีนั้นแน่นอน


ขอบคุณสำหรับเรื่องดีดีนะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: BIRD ที่ 30-10-2010 16:55:54
คิดถึงพี่เหยา คิดถึงเอก คิดถึงพี่ตะวัน คิดถึงฉาย .. อ่านเรื่องนี้ไป ผมมีความสุขจริงๆ :) ขอบคุณคุณภัคD ที่เอาความสุขมาฝากกันนะครับ ^______^
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: Regina_1 ที่ 31-10-2010 00:51:40
"บุคคลทั้งห้า"และ"เขา" คือใคร? (ไปอยู่ไหนมา ไปขุดมาอ่านซะหล่อน...แหร๊)
แต่สักวัน "ต๋ง" ต้องได้ป๊ะกับ "วินาทีนั้น" สำหรับ "มัน"
และ "มัน" ของ "ต๋ง" ต้องทำให้ ต๋งมีความสุขมากๆแน่เลย

อ่านแล้วหลากหลายอารมณ์จัง
แอบยิ้มและขำๆกะ "เอื๊อก!!!"  ฮ่าๆๆๆ ฮาเกือบตกเก้าอี้
และเศร้า สลดไปกับ "ต๋ง" ที่แอบรักพี่กิจ
รู้ใจแป้วมาก กกก ตอนที่ "เขา" พูดมาว่า "ใครเขาเที่ยวกันสามคนล่ะ วันวาเลนไทน์น่ะ..."
"ฉาย" กะ "ตะวัน" และ "พี่ขุน" อื้ม มมม คงต้องไปหามาอ่านจริงๆซะแล้ว....แงมๆๆ

สุดท้าย ยยยยยย อ่านแล้วหิวมว๊าก กกกกกกตอนจบ อ่านดึกๆ อากาศเย็นๆแบบนี้เค้าอยากได้มาม่าอุ่นๆสักชาม -จร๊อก กกกกกก ท้องร้อง ฮื้อๆๆ-
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: Miku ที่ 29-11-2010 03:01:27
อ่านแล้วรู้สึกดีจังค่ะ

เหมือนได้รู้ว่า ตะวันกับฉาย ยังรักกันในแบบของเขาไปอย่างนี้

ส่วน เอก กับพี่เหยา เหมือนได้ติดตามชีวิตเขาต่อ นึกถึงอดีต เรื่องที่ผ่านมาเยอะแยะ แต่เรื่องที่มีความสุขคือ เรื่องราวของพวกเขามันยังไม่จบ
สองคนรักกัน และยังดำเนินไปอย่างนั้น มันรู้สึกอบอุ่นมากๆ


บางทีก็อยากอ่านเรื่อง ในมุมมองของพี่เหยาดูบ้างจัง ค่ะ





Ps. แอบวาดตัวละครตัวนึงตามในจินตนาการไว้ แต่อาจไม่เหมือนแบบที่ใครๆคิด เพราะนี่เป็นภาพที่คิดเอาเอง
เป็นแฟนผลงานของคุณอยู่นะคะ

ขอบคุณคุณภักD

(http://misasaki.exteen.com/images/Zi%20Yao.JPG)
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: Cressent ที่ 01-12-2010 14:08:37
 o13


ไม่รู้จะพูดยัง แต่ เขียนได้ดีมากกๆ เนื้อเรื่องไม่ต้องยาวเลย แต่เปี่ยมไปด้วยความหวัง  o13
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 24-12-2010 19:05:47
 :L1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: kaehoo ที่ 23-03-2011 15:35:26
น่ารักสุดๆๆผมก้ออยากมีช่วงเวลานั้น

ที่จารักและถูกรักไปพร้อมๆกัน :L1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 26-04-2011 19:52:17
ทำไมเรื่องนี้สะเทือนจิตยังไงก็ไม่รู้

มันแสดงให้เห็นว่า คนแต่งเก่งมากครับ  o13
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 13-05-2011 15:17:04
สวัสดีค่ะ ต๋ง

อ่านแล้วอบอุ่นจัง


วันวาเลนไท มันเหงาเนอะ

แต่ตอนนี้คงไม่เหงาแล้วละค่ะ

ก็มีคนคอยอยู่ข้างๆแล้วนิเนอะ

อย่างน้อยก็มีคนคอยอยู่ข้างๆ

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: mickychunchon ที่ 14-05-2011 13:21:46
 :L2:รัก รัก รัก พี่เหยานะคะ คิดถึงมากมาย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: Maprang_W ที่ 14-05-2011 20:54:00
เข้าใจคิดจังนะ
เอาน่ะ  ต้องมีสักวินึงนั่นแหละ สู้ๆนะ 'มัน'
มันคือใคร??
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: aprilmonth4 ที่ 26-05-2011 15:12:37
ขำกับเอกและเหยา
แฟนใครเนี่ยขี้แกล้ง...  แต่น่ารักมาก
ตะวันกับฉายก็ยังคงมีความสุขดี   อ่านแล้วคิดถึงสองเรื่องนั้นเลยค่ะ  ประทับใจจริงๆ

ฮากับวินาทีมาม่ารสหมูสับ  ว่าแล้วก็หิว   
ต้องมีสักวันล่ะนะ  ที่วินาทีนั้นจะเกิดกับ ต๋ง น่ะ เชียร์สุดใจ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 31-05-2011 14:29:53
พึ่งได้มาอ่านเรื่องนี้ประทับใจเช่นเคยกับงานเขียนของคุณ ภัคD หวังว่าจะมีงานอื่นแวะเวียนมาให้ได้อ่านกันอีกน๊า
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: prim--prim ที่ 14-06-2011 23:07:14
อ่านแล้วชอบบบบบบบ ประทับใจมากๆด้วย
คิดถึงเอก พี่เหยา ตะวัน ฉาย

พี่กิจ กับ แฟนก็น่ารักดีจริงๆ
ฮ่าๆๆๆๆ

เอาใจช่วยนายเอก หวังว่าจะมีสักวินาทีที่ตกหลุมรักเพื่อนได้ ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: ZejHaya ที่ 02-08-2011 01:32:37
 :impress2: ชอบงานเขียนของคุณภัคD มากเลยค่ะ
ชอบสำนวน มันให้ความรู้สึกลึกซึ้ง และนุ่มนวลดี....แม้บางทีจะแอบงง (เพราะเลเวลสมองตัวเองยังไปไม่ถึงขั้น)
แต่ก็ถือได้ว่า..เป็นการเล่าเรื่องที่สนุกมากๆ เลยค่ะ

 :m23: ตามอ่านเรื่องของคุณภัคD มาเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 2แล้ว
เรื่องแรกคือ.... หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ  :m15: เรื่องนี้บอกตรงๆ ว่าชวนฆ่าตัวตายจริงๆ
อารมณ์บีบคั้น แทบขาดใจ แต่ก็สนุกสุดยอดเลยค่ะ

ส่วน The Moment Of Love เอง ก็สนุกไม่แพ้กัน
ให้อารมณ์ความรักแบบเศร้าๆ....
ไม่รู็ที่มาของตัวละครอื่นๆ เท่าไหร่...เลยต้องขอย้อนกลับไปอ่านทำความเข้าใจก่อน อิอิ
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวสนุกๆ ที่นำมาแบ่งปันนะคะ....ขอไปตามเก็บเรื่องอื่นก่อน  :bye2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: BossoM ที่ 12-12-2011 15:43:16
รักคุณภัคD
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: janek_alo ที่ 19-02-2012 21:43:30
จบแบบมึนๆๆ  ตามสไตล์คุณภัคD

แต่ภาษาดีเยี่ยมเช่นเคย

ปล.เคยงงว่าตอนจบมันมึนๆๆๆ  รึจินตนาการเราไม่ถึง     :really2:
ปล.2  ดีใจได้ข่าวตะวันด้วย  5555+
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 04-03-2013 23:57:09
ชอบแนวคิดของต๋องจัง
อย่ามองอย่าคิดอะไรที่มันจะบั่นทอนจิตใจเรามากนักเลย
มีคนใกล้ตัวแบบนี้ วินาทีที่ว่าคงจะไม่นานหรอกมั้งเนี่ย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: evz ที่ 02-04-2013 18:22:14
ดีใจที่อ่านเรื่องนี้แล้วเจอเอกกับพี่เหยา เจอฉายกับตะวัน ได้เห็นโมเม้นต์เล็กๆน้อยน่ารักๆของสองคู่นี้อีก   :กอด1:

คนเรากับบางคนนี่ก็สามารถตกหลุมรักได้อย่างง่ายๆแต่กับคนที่สมควรรักบางทีการตกหลุมรักก็ยากเหลือเกิน สำหรับต๋งแล้วรู้ๆทั้งรู้ว่าตกหลุมรักพี่กิจต่อไปก็คงไม่มีประโยชน์แต่ก็เลิกรักไม่ได้ บางทีเลิกรักคนที่ไม่ควรจะรักกับตกหลุมรักคนที่ควรจะรักมันก็ยากพอกัน สู้ๆนะต๋ง ยังต้องอยู่กับ"มัน"(ชื่ออะไรเนี่ย๕๕๕)อีกตั้งนาน ถ้าโชคชะตาไม่เล่นตลกร้ายต้องมีซักวินาทีอยู่แล้วที่จะตกหลุมรัก จนกว่าจะถึงเวลานั้น เป็นกำลังใจให้เน้อออ  :mew1:

ชอบที่พี่ภัคดีเปรียบเทียบเรื่องมาม่ามากๆ อ่านแล้วพูดออกมาได้คำเดียวว่าลึกซึ้ง รักงานพี่จังเลยค่ะ เป็นเรื่องสั้นๆที่ทำให้หัวเราะกับเรื่องตะวัน เรื่องพี่เหยาแกล้งต๋งได้และทำให้น้ำตาตกในกับเรื่องเบาะรถนามว่าต๋งได้ในชั่วพริบตา  :mew4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 08-02-2014 14:54:11
คิดถึงทุกคนเลย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: happy-jigsaw ที่ 08-02-2014 17:04:27
ยินดีทีได้รู้จักจ๊ะต๋ง

(เนื่องเพราะ ตะวัน ฉาย พี่ขุนเนี่ย เสียน้ำตาให้มาแล้ว)

อ่า...อบอุ่นเหมือนเดิม แต่จะให้กลับไปอ่านหนามหยอกอกกลัดหนองของฉายอีกครั้งคงทําใจไม่ได้...

รู้แค่ว่าตอนนี้ตะวันมีความสุขเคียงข้างฉายโดยไม่ลืมเรื่องราวพี่ขุนก็เพียงพอ...

ต๋งเอ๋ย...ตกหลุมรักคนที่เขา 'รัก' เราย่อมมีความสุขกว่าการตกหลุมรักคนที่เขา 'ไม่สน' เราอยู่แล้ว...
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 08-02-2014 17:41:05
รู้สึกจุก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: nopkar ที่ 09-02-2014 14:37:22
เนื้อเรื่องน่ารักมากๆเลยคับ มีผูกกับเรื่องอื่นด้วย...
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: Cloudnine ที่ 10-03-2016 23:55:13
เคยอ่านรอบแรกตอนรู้จักแค่เอกกับเหยา
มาตอนนี้ รู้จักฉาย ตะวัน พี่ขุน และพี่กิจแล้ว
คิดถึงทุกตัวละครเลย
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] The Moment Of Love
เริ่มหัวข้อโดย: Narugojang ที่ 04-02-2019 02:29:18
ดีใจที่ทุกคนมีความสุข คิดถึง…