__เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสุดท้าย__[28/03/63]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสุดท้าย__[28/03/63]  (อ่าน 13119 ครั้ง)

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
อยากให้พุดตาลอยู่พร้อมกันนน

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

กาลครั้งสิบห้า


                อีกครั้งที่ปู่มาหาผมในความฝัน

                ยังคงเป็นภาพบ้านสวนที่ผมเห็น อาจจะเป็นเพราะมันคือสถานที่เดียวที่ปู่เคยอาศัยอยู่ และเป็นสถานที่แห่งเดียวที่เราได้พบกันบ่อยๆ เราเดินอยู่ข้างกันริมสระน้ำในคืนที่มองเห็นดาวเต็มฟ้า หากแต่ไร้ใครคนอื่น

                เราไม่ได้พูดคุยเพียงเดินข้างกันไปเงียบๆ ในใจผมอยากรู้ว่าครั้งนี้ปู่จะเตือนอะไรแต่ก็เลือกที่จะไม่ถามออกไป คล้ายกับรู้อยู่แล้วว่าปู่จะต้องพูดมันออกมาในไม่ช้า

                จากฝั่งสวนเราเดินเลาะริมสระจนมาถึงบ้านใหญ่ ปู่หันมาหาผม ไม่มีรอยยิ้ม สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล ก่อนจะยอมพูดมันออกมาในที่สุด

                "ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่ปู่จะมาหาหลานแล้วก็ได้"

                "ครับ"

                ผมรู้ดีว่าเรื่องราวใกล้จะจบลงเต็มที สัปดาห์สุดท้ายแห่งบททดสอบ หากผมสามารถผ่านพ้นมันไปได้ ทุกอย่างก็จะจบลง

                "หลานจงระวังตัวเอาไว้"

                "ผมเหรอครับ"

                "ดูแลตัวเองให้ดีๆ"

                "ครับ" เกิดคำถามมากมายแต่ตัวผมในความฝันกลับตอบออกไปเพียงแค่นั้น ก่อนปู่และบ้านสวนจะสลายหายไป

                ผมสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเรียกเข้าจากมือถือที่วางอยู่ข้างหมอน คว้ามันมาดูพลางบิดขี้เกียจไปด้วย ลืมตามองชื่อที่โชว์อยู่ แล้วก็รับรู้ได้ทันทีว่าวันนี้ไม่ใช่วันสบายๆ ของผมแน่ๆ

                หรือจะพูดให้ถูก ทั้งสัปดาห์เลยด้วยซ้ำที่ไม่ใช่วันสบายๆ ของผม

                "ว่าไงครับ" กดรับพร้อมทักทาย ตอนนี้เพิ่งจะเลยเก้าโมงมาแค่ไม่กี่นาที

                [พี่กาล]

                "ครับ"

                [ผมฝันอีกแล้ว]

                เป็นไปตามที่ผมคิดเอาไว้ เข้าสู่สัปดาห์ที่สี่ กับความฝันครั้งที่สี่ เหตุการณ์เลวร้ายที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเราในอดีตจบลง

                "ฝันว่าไง"

                [มันดูคล้ายกับตอนนี้ยังไงก็ไม่รู้ มีคนมาจีบผมแล้วพี่กาลก็หึง เราทะเลาะกัน ผมหนีออกมา ในความรู้สึกตอนนั้นเหมือนอยากจะทำอะไรสักอย่าง ผมนัดเจอกับใครบางคน แล้วก็ถูกซ้อม จากนั้นก็ตื่น]

                รอบนี้ไอ้ดื้อยอมเล่าออกมาโดยไม่ขอให้ผมเดาก่อน น้ำเสียงของอีกฝ่ายฟังดูเคร่งเครียด พูดไปต้องทำคิ้วขมวดไปอยู่แน่ๆ

                "คนที่มาจีบในฝันใช่ไอ้แฮมมั้ย"

                [ผมไม่รู้ ไม่แน่ใจ]

                "คนที่นัดเจอก็ไม่รู้เหมือนกันเหรอ"

                [ครับ]

                ความฝันครั้งนี้มีแต่ความไม่ชัดเจนเหมือนกับไอ้เรื่องราวบ้าๆ นี้ไม่อยากให้ผมรู้ว่าแท้จริงแล้วไอ้ดื้อรู้สึกยังไงในตอนนั้น

                ในตอนนั้นผมไม่รู้ว่าไอ้ดื้อนัดเจอกับใครหลังจากทะเลาะกัน ผมไล่น้อง แล้วอีกฝ่ายก็ยอมเดินออกไปง่ายๆ โดยไม่พูดอะไร ทำให้ผมคิดไปเองว่าเหตุผลที่เด็กดื้อหนีไปนั้นเพราะอยากจบความสัมพันธ์กับคนอย่างผมแล้วจริงๆ ทุกอย่างจบลงด้วยความคลุมเครือ ผมรู้ว่าใครเป็นคนทำ ทุกคนในที่เกิดเหตุต่างบอกเป็นเสียงเดียวกัน แต่ไม่มีหลักฐานมากพอที่จะมัดตัว สุดท้ายคนผิดก็ยังลอยนวล จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเกลียดมันมาจนถึงทุกวันนี้

                "แล้วเราเชื่อมั้ยว่ามันจะเกิดขึ้น"

                [ผมไม่เชื่อ ไม่อยากเชื่อ]

                "มันก็แค่ความฝัน" ที่ผมจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นอีกครั้งเป็นอันขาด

                [แต่ว่าพี่กาล]

                "มีรายละเอียดอื่นที่จะเล่าอีกมั้ย" หลังจากไอ้ดื้อโดนซ้อมปางตายทุกอย่างก็สิ้นสุด แต่ผมอยากรู้ว่าก่อนหน้านั้นมีอะไรเกิดขึ้นมั้ย บางเรื่องที่ผมอาจจะยังไม่รู้

                [ผมรู้สึกไม่ดีเลย ในฝันผมโดนซ้อมก็จริง แต่ในความรู้สึกมันเหมือนไม่ใช่ผม แต่เป็นพี่กาลที่กำลังจะหายไป] เสียงที่พูดเบาลงเรื่อยๆ ผมไม่ได้รู้สึกตื่นตระหนกเมื่อได้ฟัง แต่เมื่อลองนึกย้อนไปถึงคำเตือนของปู่ บางทีอาจจะมีเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นก็ได้

                "พี่ไม่หายไปไหนหรอก"

                [ผมรู้ว่ามันก็แค่ความฝัน แต่ไม่รู้สิ อยากให้พี่กาลระวังตัวมากกว่านี้ได้มั้ย ความฝันของเรามันอาจจะบอกอะไรบางอย่าง]

                "ไม่มีใครทำอะไรพี่ได้หรอกเอิร์ธ"

                [สัญญาได้มั้ยว่าพี่กาลจะระวังตัว]

                "เอิร์ธสิที่ต้องระวังตัว ฝันน่ากลัวแบบนี้"

                [สัญญากับเอิร์ธนะครับ นะ]

                เหมือนเครื่องผมช็อตหลังจากได้ยินไอ้ดื้อแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นทั้งที่ไม่เคยพูดมาก่อน

                [น้องเหนือสัญญากับพี่เอิร์ธนะครับ]

                "เอาใหญ่เลยนะ"

                [ผมจริงจังนะ ต่อจากนี้พี่กาลต้องระวังตัว]

                "เข้าใจแล้วครับ สัญญา"

                ไม่รู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นกับผม คิดๆ ดูแล้วหรือนี่อาจจะเป็นบทลงโทษตัวผมในอดีต เมื่อไอ้ดื้อกลับมา คนที่ต้องหายไปอาจจะเป็นผมก็ได้

                [พี่กาลว่าผมควรไปหาหมอดูมั้ย]

                "ไปทำไม" หัวคิ้วผมวิ่งเข้าหากัน อยู่ๆ ทำไมถามถึงเรื่องนี้

                [มันแปลกไง ผมฝันแบบนี้มาสี่รอบแล้ว และทุกอย่างมันก็เกี่ยวกับพี่กาล ถ้าไม่ใช่ฝันบอกเหตุก็อาจจะเป็นโชคชะตาหรืออะไรสักอย่าง ไปหาหมอดูหรือพระอาจารย์เก่งๆ อาจจะช่วยได้ก็ได้ มันแย่ขึ้นทุกครั้งเลยพี่กาล ผมไม่อยากฝันแบบนี้แล้ว]

                "คิดมากน่า มันไม่มีอะไรเลวร้ายหรอก ที่ผ่านมาก็ไม่เห็นมีอะไร" พระอาจารย์เก่งแค่ไหนก็คงช่วยไม่ได้หรอก

                [แต่มันคิดไปแล้ว ไม่สบายใจเลย]

                "เดี๋ยวมันก็จบแล้ว ฝันร้ายของเราน่ะ"

                [ทำไมถึงคิดแบบนั้น]

                "เพราะพี่รู้สึกว่ามันกำลังจะจบลง"

                [แต่ว่า...]

                "เชื่อพี่นะ ได้มั้ย พี่สัญญากับเราแล้วว่าจะระวังตัว งั้นคราวนี้ขอให้เราเชื่อพี่ สัญญาว่ามันจะจบลงแน่ๆ"

                ไม่มีคำตอบกลับมา คงไม่มีใครอยากสัญญากับความรู้สึกที่เชื่อถืออะไรไม่ได้

                "สัญญานะ"

                [ก็ได้ครับ...พี่กาลแป๊บนึงนะ]

                "ครับ"

                ไอ้ดื้อตอบรับยังไม่ทันจบคำดีก็ขอเวลานอก ผมถือสายค้างไว้ ได้ยินเสียงกุกกักตึงตังไม่แน่ใจว่าปลายสายกำลังทำอะไรอยู่ ผ่านไปไม่กี่วินาทีก็ได้ยินเสียงคนคุยกันก่อนสายจะตัดไป

                เสียงนั้นที่ผมจำได้ดี

                ผมเตรียมกดโทรกลับ ใจที่สงบนิ่งก่อนหน้านี้เหมือนถูกสุมไฟ มันเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้ตัดสาย เสียงของไอ้นั่นที่ได้ยินมันดังมาจากไหน ร้อนใจจนต้องลุกขึ้นหยิบกุญแจรถ แต่ก่อนจะได้ยกมือถือขึ้นแนบหูแจ้งเตือนจากไลน์ก็เด้งขึ้นมา

                'พี่กาลมาหาหน่อย พี่แฮมมาหาที่บ้าน'

                'อย่าให้มันเข้าบ้านนะ'

                ไอ้ดื้อไม่อ่าน ผมโทรกลับก็ไม่มีคนรับ เลยรีบยัดมือถือใส่กระเป๋ากางเกงวิ่งลงไปข้างล่าง

                ถ้าคนของผมเป็นอะไรไปล่ะก็ ผมไม่เอามันไว้แน่

                ระหว่างทางผมพยายามโทรหาไอ้ดื้อตลอดแต่ไม่มีคนรับสาย กระทั่งเลี้ยวรถออกจากซอยมาได้ไม่ไกลปลายสายก็รับ

                "ทำไมเพิ่งรับ"

                [พี่กาลออกมาหรือยัง]

                "พี่กำลังไป"

                [อย่าขับรถเร็วนะ ระวังด้วย] แม้ไอ้ดื้อจะพยายามพูดให้เหมือนปกติ แต่เสียงลมหายใจที่ดังมาให้ได้ยินตลอดไม่ช่วยให้ผมเบาใจได้เลย คำถามที่ถามไปก่อนหน้านี้ก็ไม่ยอมตอบ

                "มันทำอะไรเราหรือเปล่า ทำไมไม่รับสาย"

                [พี่แฮมกลับไปแล้ว ตอนนี้ผมโอเค]

                "แน่นะ" บอกเลยว่าผมไม่เชื่อ

                [ครับ]

                "รออีกแป๊บนะ ไม่เกินครึ่งชั่วโมง"

                [พี่กาลขับรถระวังๆ นะ ไม่ต้องรีบ]

                "ไม่ต้องวางสายนะ"

                [พี่กาลขับรถเถอะ ผมรอนะ] พูดจบก็ชิงตัดสายทิ้ง

                มันดื้อจริงๆ ไอ้เด็กคนนี้



                ครึ่งชั่วโมงตามที่บอกผมก็มาถึงบ้านไอ้ดื้อ เจ้าของบ้านเดินมาเปิดประตูให้ โดยที่ไม่เห็นวี่แววของคนที่บอกว่ามาหาก่อนหน้านี้

                ก้าวลงจากรถไอ้ดื้อก็เดินมารอรับ น้องยิ้มให้ก่อนจะหุบยิ้มทันทีเมื่อเห็นหน้านิ่งๆ ของผม

                ก็อยากจะยิ้มตอบอยู่หรอก แต่ในสถานการณ์แบบนี้ปากมันไม่ยอมยกขึ้นเลย

                พอไม่ยิ้มก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ผมจูงมือไอ้ดื้อเข้าบ้าน ยังไม่อยากรีบถามแม้ในใจจะร้อนรน เห็นตามร่างกายอีกฝ่ายไม่มีร่องรอยอะไรก็พอเบาใจได้เปราะหนึ่ง

                เรานั่งลงที่โซฟา ไอ้ดื้อยังคงพยายามยิ้มให้ขณะที่บีบมือผมเอาไว้แน่น

                "โอเคแน่ใช่มั้ย สรุปว่ามันมาทำอะไร แล้วมันไปไหนแล้ว"

                "กลับไปแล้ว"

                ฟังคำตอบขณะที่สายตากวาดมองรอบบ้าน ก่อนจะกลับมาหยุดที่มือถือของไอ้ดื้อซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ

                "ทำไมหน้าจอแตกขนาดนั้น" แม้จะเป็นแค่ฟิล์มกระกันรอย แต่ผมจำได้ว่าหน้าจอมือถือไอ้ดื้อไม่ได้แตกเยอะขนาดนี้

                "มันหล่นตอนคุยกัน"

                "เล่ามา" ผมบอกอย่างใจเย็น

                "พี่กาลได้ยินใช่มั้ยที่ผมลงไปคุยกับพี่แฮม ตอนนั้นที่ยังไม่ได้วางสาย"

                "ได้ยินไม่ชัดเท่าไร" รู้แค่ว่าเป็นเสียงของใคร บอกว่ามีเรื่องอยากคุยเรื่อง แล้วสายก็ตัด

                "พี่แฮมตื๊อจะเข้าบ้าน ผมเลยวางสาย"

                "ที่จริงไม่ควรวาง"

                "มันถือลำบากไง" เถียงแบบคนดื้อแต่ทำหน้าหงอย ยังบีบมือผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

                "แล้วยังไง"

                "ก็เลยพิมพ์บอกพี่กาลแล้วก็เปิดประตูให้ ผมเองก็อยากคุยให้รู้เรื่องเหมือนกัน"

                "แสดงว่าไม่เห็นที่พี่บอกใช่มั้ย"

                "เพิ่งเห็นหลังจากหน้าจอแตกแล้วนี่แหละ"

                "มันทำอะไร"

                "ต้องบอกว่าผมทำพี่มันมากกว่า"

                ตั้งแต่เริ่มคุยกันมาหัวคิ้วผมยังไม่ถอยห่างออกจากกันเลย ไอ้ดื้อเม้มปากมองมาที่ผม ขอบตาแดงคล้ายจะร้องไห้

                "คือยังไง เอิร์ธทำอะไรมัน"

                "พี่แฮมมันเห็นที่ผมพิมพ์ไปเลยปัดมือถือผมตกพื้น แล้วก็ด่าพี่กาล พี่มันบอกผมโง่ ผมก็เถียงกลับ พี่มันจะพุ่งเข้ามาหาผมอ่ะ เลยหยิบไม้กวาดฟาดหัวไปหนึ่งที แตกมั้ยไม่รู้ ผมก็ขู่ไปว่าถ้าทำอะไรจะแจ้งตำรวจ พี่มันเลยกลับไป แต่คนที่จะโดนตำรวจจับมันคือผมหรือเปล่าพี่ ไปทำร้ายร่างกายพี่มันแบบนั้น"

                สัมผัสได้ถึงความกลัวและตื่นตระหนกที่ออกมาจากคำพูด ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกที่อย่างน้อยไอ้ดื้อก็ไม่ได้เป็นฝ่ายถูกกระทำ ยกมือขึ้นลูบหัวเด็กน้อยที่ใกล้จะร้องไห้เต็มที

                เรื่องนี้แบบนี้มันเคยเกิดขึ้นในอดีตหรือเปล่าผมไม่รู้เลย แต่ถ้ามันเคยเกิดขึ้น แสดงว่าเบื้องลึกเบื้องหลังของเหตุการณ์นั้นมันเลวร้ายกว่าที่ผมคิด

                "เราแค่ป้องกันตัว"

                "ผมจะโดนเอาคืนมั้ย"

                "พี่ไม่ยอมให้มันทำอะไรเอิร์ธหรอก" เลื่อนมือลงมาที่แก้ม เช็ดน้ำใสๆ ที่เอ่ออยู่ขอบตา บอกด้วยสายตามุ่งมั่นให้เด็กดื้อเชื่อใจ

                "แต่พี่มันขู่ผมนะ บอกว่าพี่ไม่ยอมง่ายๆ แน่"

                "พี่ก็ไม่ยอมมันง่ายๆ เหมือนกัน"

                "ไม่ตลกเลยนะพี่กาล" คว้ามือผมที่คลอเคลียอยู่ตรงแก้มมาจับไว้ ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดจ้องมองกัน

                "แล้วใครว่าพี่ตลก"

                "ไม่อยากให้มีเรื่อง"

                "ก็ถ้ามันไม่เริ่มก่อน"

                "ผมสิเป็นฝ่ายเริ่ม"

                "ถ้าเป็นเรื่องที่เราทำร้ายมันเพื่อป้องกันตัวพี่ไม่นับ แต่ถ้ามันคิดจะทำอะไรเราอีกพี่ไม่เอาไว้แน่"

                หากเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นจริงอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ไอ้ดื้อโดนซ้อมจนปางตายในวันนั้น เมาบวกโทสะทำให้คนขาดสติ แต่มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด

                "ต่อไปนี้ห้ามอยู่ห่างจากพี่ ถ้ามันพยายามติดต่อมาอีกต้องรีบบอกโอเคมั้ย"

                คนตรงหน้าพยักหน้ารับเบาๆ

                ยื่นมือไปยีผมเสียสีแสนสะดุดตาหนึ่งที โจมตีกลับไปได้ทั้งที่อยู่ในอาการตกใจก็นับว่าแสบใช้ได้ อย่างน้อยน้องก็ยังรู้จักป้องกันตัว แต่สุดท้ายก็ตื่นตระหนกกลัวจนมานั่งตัวสั่นเป็นลูกแมวแบบนี้

                "พี่กาลว่ามันจะเกี่ยวกับความฝันของผมมั้ย"

                "ถ้าคิดว่าเกี่ยว เราก็ต้องระวังตัวให้มากๆ เหมือนกัน"

                "พี่กาลว่ามันจะเป็นฝันบอกเหตุจริงๆ มั้ย"

                "ก็อาจจะใช่ แต่ที่ผ่านมามันก็ไม่ตรงไม่ใช่เหรอ ถ้ามันคือฝันบอกเหตุจริง เราก็แค่แก้ไขมันเท่านั้นเอง"

                ผมไม่อยากบอกว่ามันเป็นแค่ความฝันอีกแล้ว หากมันจะทำให้ไอ้ดื้อระวังตัวมากขึ้นและเลือกทางเดินที่แตกต่างจากฝันร้ายนั้น หลีกเลี่ยงมันให้มากที่สุดไม่ว่าจะถูกชักจูงให้เดินตามไปยังไงก็ตาม

                "แล้วก็อย่าลืมบอกแม่ด้วยนะ" เรื่องนี้จำเป็นที่ผู้ใหญ่ต้องรู้ ผมเองก็จะบอกฝั่งครอบครัวผมเหมือนกัน

                "ต้องบอกด้วยเหรอ"

                "ต้องบอก ถ้ามันมาอีกจะทำไง บอกให้รู้กันไว้จะได้ช่วยกันดูแล หรือไม่ก็แจ้งตำรวจไปเลย" ผมว่าข้อสุดท้ายก็เป็นความคิดที่ดี แต่ไอ้ดื้อไม่ยอม

                "เดี๋ยวผมบอกแม่ แต่อย่าให้เรื่องถึงตำรวจเลย"

                "ไม่ต้องไปห่วงมันเลย"

                "มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดนั้นไงพี่กาล ผมว่าคุยๆ กันก่อนได้ แจ้งตำรวจไปเสียอนาคตได้เลยนะ ยังไงก็คนเคยรู้จักกัน"

                ผมถอนหายใจออกมากับความใจดีของไอ้ดื้อ นิสัยที่ไม่อยากให้ใครต้องเดือดร้อน แม้ตัวเองจะต้องทนเจ็บปวดก็ตาม

                "ถ้างั้นพี่จะเป็นคนคุยกับมันเอง"

                "แต่ผมเป็นคนก่อเรื่องนะ"

                "ไม่มีแต่ จากนี้ห้ามเข้าใกล้มันอีก โอเคมั้ย"

                แม้ไม่อยากตกลงแต่ก็ต้องพยักหน้ารับ จากนี้ผมจะไม่ยอมให้ไอ้แฮมได้เจอไอ้ดื้ออีกแล้ว ไม่ว่าจะในกรณีไหนก็ตาม จนกว่าเรื่องทุกอย่างจะจบ จนกว่าวันนั้นจะผ่านพ้นไป

                "งั้นวันนี้เดี๋ยวพี่อยู่เป็นเพื่อนจนกว่าแม่จะกลับ โอเคมั้ย"

                เด็กดื้อพยักหน้ารับ เรียกมาหาขนาดนี้แล้วยังไงก็ต้องให้อยู่

                พูดคุยจนเริ่มสบายใจขึ้นเราก็ชวนกันกินข้าวเช้าในเวลาใกล้เที่ยง แม่น้องทำผัดกะเพราะปลาหมึกไว้ให้ ปริมาณเยอะจนเหมือนรู้ว่าจะมีคนมาหาที่บ้าน

                เราใช้เวลาเรื่อยเปื่อยอยู่ด้วยกันทั้งวัน ผมบอกเรื่องที่เกิดขึ้นในกลุ่มไลน์ครอบครัว ฝากเพื่อนๆ ช่วยส่องความเคลื่อนไหวไอ้แฮมเพราะผมโดนบล๊อกทุกช่องทางเป็นที่เรียบร้อย หาพวกให้เยอะที่สุด ประกาศให้รู้กันไปเลยว่าเป็นศัตรูกับใคร

                ในเมื่อยืนอยู่ในสถานะที่ชัดเจนขนาดนี้แล้วมันยังกัดไม่ปล่อยก็มาลองดูกันสักตั้ง


tbc.


มีใครพอเดาเรื่องในอดีตออกแล้วบ้างเอ่ย เหลืออีกห้าตอนก็จะจบแล้วค่ะ
แล้วก็วันนี้ปกพี่น้องเหนือออกแล้ววว เริ่มจำหน่ายวันที่ 25 มี.ค. นี้ ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า


ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

กาลครั้งสิบหก


                ตั้งแต่เกิดเรื่องที่บ้านไอ้ดื้อเมื่อวันก่อนผมก็ตามติดน้องแจเหมือนเป็นปรสิต เช้าไปหาที่บ้าน อยู่เป็นเพื่อนจนแม่กลับมา หรือไม่ก็รับมาเที่ยว พาไปเดินเล่นเดินข้าวดูหนังก่อนจบลงที่หอผมอย่างเช่นวันนี้

                หลังจากก่อเรื่องวันนั้นไอ้แฮมเองก็เงียบไป มันน่าโมโหที่ผมไม่สามารถคาดเดาอะไรได้เลยแม้เรื่องราวเหล่านี้อาจจะเคยเกิดขึ้นในอดีตมาแล้ว ผมไม่รู้ว่าไอ้ดื้อไปทำอะไรมา ไม่รู้ว่าไอ้แฮมมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ เพราะผู้ต้องสงสัยให้การปฏิเสธทุกกรณี มันเมาและไม่รู้เห็นเรื่องเราที่เกิดขึ้น แต่กลับเป็นคนสุดท้ายที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ไม่มีภาพจากกล้องวงจรปิด ไม่มีพยานหลักฐาน สุดท้ายก็เอาผิดใครไม่ได้

                ผมสะดุ้งเบาๆ เมื่อความเย็นสัมผัสที่หน้าผาก เงยขึ้นมองเด็กดื้อที่ยืนอยู่ตรงหน้า เลิกคิ้วเป็นเชิงถามกับกระป๋องเบียร์ที่ส่ายไปมาอยู่ตรงหน้าผม

                "เอาหน่อยมั้ย คลายเครียด"

                รับมาเปิดแล้วยกขึ้นจิบ ไอ้ดื้อนั่งลงข้างผมบนโซฟา ในมือถือเครื่องดื่มชนิดเดียวกัน

                "พี่กาลอยากฟังเรื่องของพี่แฮมมั้ย"

                "เรื่องแบบไหนล่ะ"

                "นิสัยมั้ง"

                "แล้วทำไมถึงอยากเล่าให้พี่ฟัง"

                "เผื่อพี่กาลจะเลิกคิดมากไง เพราะที่จริงพี่มันก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร"

                ไม่เลวร้าย แต่ครั้งก่อนก็ทำเอาเกือบปางตายมาแล้ว ปางตายที่เหมือนกับตายทั้งเป็น

                ผมไม่ตอบ ไม่ได้อยากฟังขนาดนั้น ไม่อยากรู้ว่าเมื่อก่อนมันทำความดีอะไรเอาไว้ไอ้ดื้อถึงยังเชื่อใจ ถ้ารู้ว่าเคยเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองในอดีตยังจะกล้าพูดแบบนี้อยู่หรือเปล่า

                "รู้ว่าไม่ชอบอ่ะแหละ แต่พี่กาลลองคิดดูนะ พี่แฮมมันมาหา แค่พี่มันจะแย่งมือถือไม่ให้ผมคุยกับพี่ ผมก็คว้าไม้กวาดฟาดหัวพี่มันไปแล้ว ไม่รู้ใครน่ากลัวกว่ากันเนอะ"

                "ยังจะมีอารมณ์มาพูดเล่นอีก"

                "หรือไม่จริง"

                ก็จริง จริงที่สุด ไม่งั้นผมคงไม่เรียกว่าไอ้ดื้อ แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ถึงจะแสบแค่ไหนก็อันตรายอยู่ดี

                "แล้วคนที่ซ้อมเอิร์ธในความฝัน ไม่คิดว่าเป็นมันหรือไง"

                "อาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ หน้าก็ไม่เห็น ชื่อก็ไม่รู้ แถมในฝันยังกลับรู้สึกห่วงพี่กาลมากกว่าตัวเองอีก พอเมื่อวันก่อนเกิดเรื่องก็พอรู้เรื่องเลย กลัวพี่กาลไปมีเรื่องกับพี่แฮม"

                "ก็น่ามีอยู่"

                "ไม่เอาดิ โตๆ กันแล้ว ไม่ตีกัน"

                ก็จริง ผมไม่เถียง โตๆ กันแล้วจะตีกันไปเพื่ออะไร แต่พอมองหน้าเด็กดื้อที่สั่งสอนกันแล้วมันก็นึกมันเขี้ยวขึ้นมา มองกันตาแป๋ว เหยียดยิ้มเร็วๆ หนึ่งทีก่อนยกกระป๋องในมือขึ้นดื่ม

                มือผมจิ้มไปที่เอวคนข้างๆ ก็สะดุ้งสุดตัว เบียร์ที่อยู่ในปากพุ่งออกมาด้วยความเร็วสูง มันตรงมาหาผม ในระยะที่ไม่สามารถหลบพ้นได้

                "พี่กาล" รีบวางกระป๋องเบียร์ลงบนพื้น เรียกแล้วหัวเราะเสียงดังลั่น แม้ผมจะทำหน้านิ่งแค่ไหนก็ดูไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลยสักนิด

                ใครมันจะไปคิดว่าอยู่ดีๆ ไอ้ดื้อจะหันมาพ่นเบียร์ใส่หน้าผม อย่างกับวางแผนรับมือมาเป็นอย่างดี

                "ไอ้ดื้อเอ๊ย" วางกระป๋องในมือบนโต๊ะข้างๆ ก่อนพุ่งเข้าหาคนที่ยังหัวเราะไม่เลิก

                สองแขนกดเด็กดื้อในนอนราบไปกับโซฟาก่อนตามไปทาบทับ น้องยังหัวเราะไม่เลิก ช่วยเช็ดเบียร์ที่ตัวเองพ่นออกมาบนหน้าผมให้

                "จะรับผิดชอบยังไง"

                "รับผิดชอบอะไรเล่า"

                "ก็พ่นเบียร์ใส่หน้าพี่เนี่ย"

                "พี่กาลแกล้งผมก่อนนะ ก็รู้ว่าบ้าจี้มาจิ้มเอวทำไม"

                "งั้นก็หายกัน"

                ฝังจมูกลงบนแก้ม เลื่อนลงมากดจูบที่คอ ปล่อยมือจากสองแขนที่ล็อกไว้ สอดเข้าใต้เสื้อยืดที่คนใต้ร่างใส่ แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรไปมากกว่านี้ก็ได้ยินเสียงไขกุญแจก่อนประตูจะเปิดออก

                เด็กดื้อรีบยันตัวลุกขึ้นนั่ง ผมหันหลังกลับไปมอง สบตากับพี่ชายฝาแฝดที่เซ่อซ่าเปิดประตูเข้ามาด้วยบรรยากาศที่ชวนให้ทำอะไรไม่ถูก

                "มึงมาทำไมเนี่ย" ผมเป็นฝ่ายทักออกไปก่อน

                "ที่นี่ก็ห้องกูมั้ยอ่ะ"

                "กาลก็อยู่เหรอ" พุดตานเดินตามเข้ามาข้างในแล้วยิ้มทักทาย ก่อนจะยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อเห็นคนหัวม่วงอมชมพูที่นั่งอยู่ข้างผม

                "หวัดดีครับ" ไอ้ดื้อเอ่ยทักทายผู้มาใหม่ด้วยอาการขัดเขิน พุดตานคงไม่เห็น แต่ขิลิตมันต้องเห็นแน่ๆ ว่าก่อนหน้านี้พวกผมกำลังทำอะไรกันอยู่

                "กูนึกว่ามึงจะอยู่บ้านน้องเลยพาพุดมานี่" ลิขิตบอก มันวางกระเป๋าบนโต๊ะข้างกระป๋องเบียร์ของผม ยืนเท้าโต๊ะมองเหมือนผมเป็นฝ่ายผิดที่จู๋จี๋กับแฟนในห้องของตัวเอง

                "กูก็เหมือนมึงอ่ะ"

                พี่ชายผมยักไหล่ ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความก็พอเข้าใจ ผมพาไอ้ดื้อมาที่นี่ทำไม จุดประสงค์ของมันก็ไม่ต่าง

                ก็แค่อยากใช้เวลาอยู่กับแฟนแบบเงียบๆ กันสองต่อสอง

                ที่ลิขิตมันมันโผล่มาเวลานี้เพราะเพิ่งไปรับพุดตานกลับจากบ้านสวน ออกจากบ้านไปตั้งแต่เมื่อวานตอนเช้า บอกว่าจะกลับวันนี้แต่ไม่ได้ระบุเวลากลับที่แน่นอน ต่างคนต่างไม่บอกสุดท้ายเลยมาจบลงที่เดียวกัน

                "แล้วนี่นึกยังไงกันกินเบียร์ตอนนี้" ลิขิตถามพลางบุ้ยปากไปที่กระป๋องเบียร์ของผม

                "จะกินตอนไหนก็ได้เปล่าวะ ที่ไหนมีกฎห้าม"

                "กวนตีนอีก ปกติมึงไม่กินเวลานี้ไง"

                "เออ ก็แค่อยาก คลายเครียดด้วย"

                "งั้นกูกินด้วย เก็บของแป๊บ" พูดจบลิขิตมันก็กวักมือชวนพุดตานเอาของเข้าไปเก็บในห้อง ส่วนไอ้ดื้อก็เอาแต่ยิ้มมองตามแฟนพี่ชายผมไม่วางตา

                "เหมือนเห็นตัวเองในอีกเวอร์ชันเลย" พุดตานเดินเข้าห้องไปแล้วถึงได้กันมากระซิบกระซาบ

                "เป็นเวอร์ชันน่ารัก"

                "จริง น่ารักอ่ะ"

                "ส่วนคนนี้เวอร์ชันดื้อ"

                "ดื้อตรงไหนเนี่ย ออกจะเป็นเด็กดี"

                อยากจะพุ่งเข้าไปฝังจมูกบนแก้มเด็กดื้อขี้อ้างอีกสักรอบแต่คนในห้องก็ออกมาพอดี จะคิดจะทำอะไรก็ไม่สะดวกเลยให้ตาย

                "ตั้งวงๆ" ลิขิตโบกมือเป็นสัญญาณให้เคลียร์พื้นที่

                ผมกับไอ้ดื้อย้ายลงมานั่งข้างล่าง พุดเตรียมกับแกล้ม ลิขิตไปหยิบเบียร์ในตู้เย็นมาเพิ่ม เริ่มกันตั้งแต่บ่ายแบบนี้ต้องมีคนได้ลงไปซื้อของเพิ่มแน่

                "เล่นกันมั้ย บังเอิญหยิบติดมือมา" พุดตานวางตลับไพ่ลงกลางวง ชวนให้สงสัยว่าไปหยิบติดมือมาได้ไง

                "ของใคร"

                "ไอ้แม็ก เมื่อคืนมีอำลากันนิดหน่อย" ลิขิตมันช่วยตอบคำถามของผม

                "เล่นกันสามคนเหรอวะ"

                "มีลูกอาพิทักษ์ด้วย กลับมาอยู่บ้านกันได้สักพักแล้ว"

                "แล้วไง เล่นกินตังค์เหรอ กูไม่มีนะ" ผมถามต่อ อีกอย่างไม่ค่อยถูกกับการเล่นเสี่ยงดวงเท่าไร

                "ไม่มึง เอาแบบที่พวกกูเล่นเมื่อคืน ให้ชื่อว่า เล่นไพ่ ใฝ่เรื่องเธอ"

                ฟังไอ้ขิลิตพูดจบผมกับไอ้ดื้อก็พากันขมวดคิ้ว ใครมันคิดชื่อ แค่ได้ยินก็รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย ฟังแล้วมันดูเหมือนคนขี้เสือกยังไงชอบกล

                "กติกาง่ายๆ เล่นป๊อกเด้ง ใครป๊อกจะถูกขอให้เล่าเรื่องอะไรก็ได้ ถ้ามึงป๊อก คนที่เหลือจะขอให้มึงเล่าเรื่องของมึงตามหัวข้อที่ขอ ก็คือมึงต้องเล่าสามเรื่อง สมมติกูขอเรื่องแมว มึงก็ต้องเล่าเรื่องมึงที่เกี่ยวกับแมว อย่างเช่นมึงกลัวแมวมากอะไรแบบนั้น"

                "แทนที่คนป๊อกจะได้ขอ"

                "เออน่า แบบนี้น่าสนุกกว่า"

                "จะมีหัวข้อพิเรนทร์ๆ มั้ยวะ"

                "อันนี้ก็แล้วแต่คนถาม"

                "เราโอเคมั้ย" ถามเด็กดื้อที่นั่งข้างๆ ฟังลิขิตอธิบายไปก็อ้าปากค้างพยักหน้ารับตามไปด้วย

                "โอเคครับ"

                ลิขิตเป็นเจ้ามือ สับไพ่แจกรอบวงแล้วต่างคนก็ต่างลุ้นไพ่ของตัวเอง ผมหยิบไพ่ที่เจ้ามือแจกให้ขึ้นมาเปิดก่อนแอบเหล่คนข้างๆ แต่ไอ้ดื้อไหวตัวทันเลยหันมาค้อนใส่

                ผมแค่ 4 แต้ม ยังไงก็รอด

                "มีใครขอเพิ่มมั้ย"

                "ผมๆ" เด็กดื้อข้างๆ ยกมือ

                ผมแอบมองตอนไอ้ดื้อโน้มตัวไปหยิบไพ่ที่ลิขิตมันจ่ายมาไม่ถึง แต่อีกฝ่ายก็ถือไพ่ซะแนบอกจนมองอะไรไม่เห็น

                เมื่อไม่มีใครขอจั่วเพิ่มก็ได้เวลาเปิดไพ่ เจ้ามือห้าแต้ม พุดตานบอด ส่วนไอ้ดื้อได้สี่เท่ากับผม

                "ลิขิตป๊อกห้า" พุดตานพูดกลั้วหัวเราะ เพิ่งเคยได้ยินก็วันนี้ไอ้ป๊อกห้าเนี่ย

                "ตานี้ไม่นับดิ" เจ้ามือรวบไพ่เก็บ สรุปตานี้รอดตัวกันไป

                 เกมดำเนินต่อไปเรื่อยๆ สลับกับการพูดคุย เพราะทุกคนหลีกเลี่ยงการได้ป๊อกผ่านไปสามรอบก็ยังไม่ได้ผู้โชคดีสักที แต่เล่นแบบนี้ก็สนุกแบบแปลกๆ ดีเหมือนกัน

                ไพ่สองใบวางอยู่ตรงหน้า เปิดดูเป็นเลขห้ากับเลขสาม ผมเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าถ้าได้ป๊อกแล้วจะถูกขออะไร เพราะฉะนั้นเลยไม่ขอไพ่เพิ่ม

                "ป๊อกแปด" วางให้ทั้งวงเห็นกันไปเลย

                "เหมือนมึงอยากโดนอ่ะ"

                "ก็เออไง"

                ลิขิตรวบไพ่ไปเก็บ ทำหน้าครุ่นคิดว่าจะถามอะไรผมดี แต่คนที่ขอออกมาคนแรกคือพุดตาน

                "เหนือลิขิต"

                "เอ้า!" เจ้าของชื่ออุทานเสียงดัง หันมองแฟนตัวเองที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ใส่

                มันใช้ถามแบบนี้ได้ด้วยสินะ พุดตานนี่ก็ร้ายใช่เล่น

                "เหนือลิขิต..."

                "มันต้องเกี่ยวกับตัวมึงด้วยนะ" พี่ชายผมมันรีบขัด ร้อนตัวเหมือนคนมีความผิด กลัวว่าผมจะพูดเรื่องน่าอายหรือไง

                "เออ เหนือลิขิตกับเหนือกาลเป็นสองพี่น้อง วิ่งเล่นในบ้านสวน ลิขิตมีแฟนชื่อพุดตานคนดี๊คนดี" ผมร้องใส่ทำนองชิปกับเดลที่ออกจะประหลาดไปหน่อย ทำเอาหัวเราะกันทั้งวง

                "อะไรของมึงเนี่ย"

                "กูพูดเรื่องดีๆ ให้มึงนะเนี่ย"

                "งั้นกูต่อ เอาเป็น...พุดตาน" ลิขิตมันเอาคืนบ้าง สรุปตานี้ที่ผมโดนลงโทษแทบไม่มีผลอะไรเลย เหมือนพวกมันอยากจะจีบกันมากกว่า

                "ถ้าจะจีบกันก็ไปคุยกันสองคน" ผมไล่

                "เร็วๆ" แล้วก็โดนมันเร่งกลับ

                "เหนือลิขิตกับพุดตานเป็นเพื่อนสมัยเด็ก แต่โตมาพุดตานดันโดนพี่ชายเหนือกาลคาบไปแดกซะงั้น"

                "สรุปลิขิตเป็นหมาเหรอ"

                "ได้เลยนะแมว"

                คนเป็นแฟนกันเขาก็หยอกกันเล่น คาดโทษกันไว้ก่อนค่อยจัดการทีเดียวคืนนี้

                "ตาเอิร์ธๆ"

                ไอ้ดื้อยิ้มให้พุดตานจนตาปิดก่อนหันมาหาผม เห็นทำหน้าร้ายกาจแบบนี้ทำเอาผมหวั่นใจ กลัวว่าจะถูกถามอะไรที่คาดไม่ถึง

                "เหนือกาล"

                แต่สิ่งที่ขอกลับเป็นสิ่งที่ผมสามารถตอบได้อย่างง่ายดายที่สุด

                "คนที่รักเอิร์ธหมดหัวใจ"

                ลิขิตกับพุดตานทำหน้าเหมือนสำลักความหวาน ส่วนคนถามนั้นหันหน้าหนีแล้วปิดปากเงียบ แต่หูแดงๆ นั้นไม่สามารถปกปิดความเขินอายเอาไว้ได้

                เรื่องที่ไอ้ดื้อไม่ชอบแสดงความรักต่อหน้าคนอื่นนั้นผมรู้และจำได้ดี รู้ด้วยว่าที่น้องขอคำนี้มาเพราะอยากแกล้ง แต่การแสดงความรักต่อหน้าคนในครอบครัวนั้นไม่ใช่เรื่องแย่เลย

                เกมยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ความจริงมันไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลอะไรกับการพูดเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเราให้คนอื่นฟัง ผมชอบเกมนี้นะ แม้บางเรื่องที่พูดกันจะเหมือนเรื่องแต่งไปบ้าง แต่การได้รับรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นยังไงหรือคิดยังไงเกี่ยวกับสิ่งที่ถูกถามก็ทำให้เราได้รู้จักกันมากขึ้นทีละนิด

                "เพื่อน"

                รอบนี้ไอ้ดื้อเป็นผู้โชคร้าย คำขอแรกมาจากพุดตาน

                "ในกลุ่มมีสี่คน ผมมีเพื่อนไม่ค่อยเยอะ จริงๆ แล้วชอบอยู่กับตัวเองมากกว่า"

                "เหมือนพี่เลย"

                "พวกนิสัยแมว"

                พุดตานหันไปแยกเขี้ยวใส่ลิขิตเมื่อโดนขัด เป็นแมวสมกับที่ลิขิตมันว่า ที่สำคัญคือเป็นแมวมีเจ้าของแล้วทั้งคู่ ไอ้ดื้อเองก็ช่วยยืนยันอีกเสียง

                "ช่วงนี้ก็ติดเจ้าของด้วยครับ" พูดเองแล้วก็ยิ้มเขินเอง ไม่กล้าหันมาสบตาผมด้วย

                "หรือเจ้าของติดแมวอ่ะ ไอ้ข่าวว่าช่วงนี้ตามเขาต้อยๆ" พุดตานเล่นงานผมเข้าแล้ว แต่ไอ้ลิขิตก็เข้าข่ายเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมจะคิดซะว่าพุดตานพูดถึงแฟนตัวเอง

                "มึงเหรอลิขิต"

                "มึงนั่นแหละ"

                เราสองพี่น้องโยนกันไปมาจนพุดตานต้องยกมือห้ามแล้วเชิญคนต่อไปให้ถามวักอย่างกับไอ้ดื้อ ก่อนจะคุยกันออกทะเลาไปไกลกว่านี้

                "สีผม" คำขอที่สองจากลิขิต

                "ผมเป็นคนชอบเปลี่ยนสีผมนะ ตอนเด็กชอบดูอนิเมะด้วย เลยอยากลองทำหลายๆ สี อยากรู้ว่าคนจริงๆ ทำสีผมแบบนั้นด้วยจะเป็นยังไง แต่เปิดเทอมคงจะกลับมาทำสีเข้มๆ"

                "ผมเสียหมด"

                "ก็หัวผมอ่ะ" ไอ้ดื้อหันมาเถียงผมทันที ว่าไม่ได้เลยเรื่องผมเนี่ย

                "อย่าเพิ่งตีกันๆ กาล ตามึงอ่ะ"

                ผมมองหน้าเด็กดื้ออย่างครุ่นคิด อยากจะขอคำว่าเหนือกาลให้น้องตอบแบบเดียวกัน แต่ไม่น่าจะเป็นไปได้ คำตอบอาจจะเป็นคนเจ้าชู้คุยไม่เลือกอะไรเทือกๆ นั้นแทน เพราะฉะนั้นเลยต้องขออะไรที่มันแคบลงหน่อย

                "อาหารฝีมือเหนือกาล"

                "เคยกินหนึ่งครั้ง อร่อยดี อยากกินอีกครับ"

                "มาอยู่ด้วยกันมั้ยจะทำให้กินทุกวันเลย"

                "ได้ข่าวว่าบ้านน้องก็อยู่ใกล้ๆ มอ แถมอยู่กับแม่พ่อ" พี่ชายผมแม่งก็ขยันขัดเหลือเกิน

                "แต่เอาจริงนะ มึงย้ายไปอยู่กับพุดถาวรเลยก็ได้ เทียวไปเทียวมากันทุกวันมันก็เหนื่อย"

                "เรื่องนี้กูก็คิดอยู่"

                ฝันร้ายผมก็หายไปแล้ว และมันคงหายไปแบบถาวรหากเรื่องนี้จบลง ถ้าครั้งนี้ลิขิตมันอยากย้ายไปอยู่กับพุดตานจริงๆ ผมไม่ขัดเลย จะได้เกลี่ยกล่อมให้ไอ้ดื้อมาอยู่ด้วยกันบ้าง แต่รายนี้น่าจะยาก ลักพาตัวมานอนด้วยเป็นรายคืนไปน่าจะสะดวกกว่า

                เราพักยกเรื่องไพ่เมื่อการย้ายหอเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูด นั่งฟังลิขิตกับพุดตานเถียงกันเรื่องระยะทางเลยตั้งใจจะถามคนข้างๆ ว่ามีความคิดอยากจะย้ายมาอยู่ด้วยกันบ้างมั้ย แต่ความสนใจของผมก็ถูกดึงไปที่แจ้งเตือนจากแอพสีเขียวเสียก่อน

                ‘มันลงเมื่อสิบนาทีก่อน’

                ผมคว้ามือถือขอตัวไปเข้าห้องน้ำ เปิดอ่านข้อความและรูปจากเพื่อนที่ฝากมันดูความเคลื่อนของไอ้แฮม

                รูปที่มันลงในไอจีเป็นรูปของผู้ชายคนหนึ่งที่เห็นเพียงด้านหลัง รูปขาวดำที่ผมมองแล้วรู้ได้ทันทีว่าคนในรูปคือใคร เสื้อผ้าชุดนี้มันแอบคงถ่ายที่ร้านเหล้าเมื่อสัปดาห์ก่อน กับแคปชันที่เป็นอีโมรูปมือที่จับกัน

                การปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยที่คิดว่าหากพ้นช่วงเวลาเดียวกับอดีตไปแล้วเรื่องราวคงจบเหมือนจะกลายเป็นความคิดที่ผิด แน่นอนว่าเรื่องประหลาดบ้าๆ นี่คงทำทุกวิธีทางให้เหตุการณ์เลวร้ายแบบในอดีตเกิดขึ้น แต่การที่ผมรับมือโดยการกักขังไอ้ดื้อไว้ไม่ให้ออกไปเจอใคร เวลาผ่านไปก็จริง แต่เรื่องจะจบลงแน่ๆ งั้นเหรอ

                ไอ้แฮมคงไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น

                แล้วถ้าเป็นแบบนั้นผมควรจะทำยังไง

                กักขังไอ้ดื้อแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ หรือออกไปเคลียร์ให้มันจบ

                ‘ฝากมึงตามต่อหน่อย หรือถ้านัดมันให้กูได้จะดีมาก’

                ‘มึงจะทำอะไรวะ’

                ‘แค่คุย หรือถ้ามึงบอกให้มันอันบล็อกกูสักทางได้จะดีมาก’

                ทางที่ง่ายที่สุดในการติดต่อไอ้แฮมคือผ่านทางไอ้ดื้อ แต่ผมไม่อยากให้น้องรู้เรื่องนี้ เลยต้องทำอะไรให้มันยุ่งยากขึ้นมานิดหน่อย

                ‘เออๆ เดี๋ยวลองดู มึงก็ระวังตัวด้วย มีอะไรบอกพวกกู’

                ‘ขอบใจมากมึง’

                กดน้ำก่อนเดินออกมา นั่งลงข้างไอ้ดื้อที่หันมาฟ้องว่าลิขิตกับพุดตานยังตกลงกันเรื่องหอไม่ได้ กับรอยยิ้มที่ทำให้มีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็น

                ผมต้องปกป้องรอยยิ้มนี้เอาไว้

                ต้องทำให้ได้



tbc.


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า


ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
กาลจะโดนทำร้ายแทนใช่มั้ย  :ling3:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เป็นห่วงกาลเลย แฮมมันไม่น่าไว้ใจ

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

กาลครั้งสิบเจ็ด


                คำขอเป็นผลสำเร็จเมื่อไอ้แฮมยอมอันบล็อกผมและเป็นฝ่ายทักมาหา เราคุยกันได้ไม่กี่ประโยคก่อนจบลงด้วยการนัดเจอเพื่อพูดคุยกันเมื่อมันปฏิเสธการคุยผ่านแชต การนัดเจอกันครั้งนี้อาจจะมีกับดักหรือแผนการร้ายซ่อนอยู่ แต่ผมกลับคิดว่าออกมาคุยกันต่อหน้าก็ดีเหมือนกัน จะได้เคลียร์ให้มันจบๆ ไป

                "ไม่ให้กูเข้าไปเป็นเพื่อนแน่นะ" กำลังขึ้นบันไดเลื่อนไปยังร้านที่นัดหมาย ไอ้พี่ชายที่ขอตามผมมาด้วยก็ถามย้ำอีกรอบ

                "คนเยอะแยะมึง ไม่เป็นไรหรอก"

                "ถ้ามีอะไรมึงรีบโทรหากูเลยนะ"

                "ทราบแล้วครับ"

                เราตกลงกันว่าจะนัดเจอกันแบบส่วนตัว เพื่อความปลอดภัยผมเลือกร้านกาแฟกลางห้างฯ ดัง ถ้ามันจะเล่นตุกติกหรือคิดทำร้ายผม อย่างน้อยก็ยังมีพยานและคนที่น่าจะพอมีน้ำใจช่วยเหลือกันได้

                "กูรอแถวๆ นี้นะ"

                "เออ"

                ลิขิตเดินแยกไปอีกทางเมื่อผมตอบรับ เลยเวลานัดมาแล้วสามนาที ไม่มีแจ้งเตือนจากอีกฝ่ายผมจึงเดินเข้าร้าน แล้วก็เห็นมันนั่งกดมือถืออยู่ที่โต๊ะริมกระจก

                มาตรงเวลาดี

                เลื่อนเก้าอี้โดยไม่ทักทายอะไร ไอ้แฮมเงยหน้าขึ้นมอง มันคว่ำมือถือลงบนโต๊ะ ข้างๆ กันมีแก้วกาแฟวางอยู่

                "เอิร์ธรู้มั้ยว่ามึงมาเจอกู" มันเปิดประเด็นด้วยคำถามที่น่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว

                ผมไม่ได้บอกไอ้ดื้อเพราะไม่อยากให้น้องมาเจอมัน ขืนบอกไปต้องโดนตื๊อขอตามมาด้วยแน่ๆ ปฏิเสธไปดีไม่ดีอีกฝ่ายอาจจะแอบตามมา

                "ไม่เกี่ยวกับมึง"

                "เกี่ยวดิ เพราะกูจะคุยเรื่องน้อง"

                "แต่กูไม่อยากให้เกี่ยว"

                มันมองผมด้วยสายตาหงุดหงิด ผมเองก็ไม่ต่าง ไอ้แฮมอาจจะติดต่อไอ้ดื้อไม่ได้แต่มันรู้จักเพื่อนน้องหลายคน ถ้าเพื่อนรู้ ไอ้ดื้อก็มีสิทธิ์รู้ แต่ถ้ารู้หลังจากผมเคลียร์ทุกอย่างกับมันจบแล้วคงไม่เป็นไร

                "กูอยากให้มึงเลิกยุ่งกับเอิร์ธ"

                "ของ่ายไปหรือเปล่าวะ น้องเป็นแฟนกู"

                "แฟนคนที่เท่าไรของมึงล่ะ"

                ผมโคตรรำคาญคำถามแบบนี้จากมัน เพราะต่อให้อธิบายยังไงมันก็คงไม่มีทางเข้าใจ คนมันอคติจ้องแต่จะจับผิด ยิ่งคุยยิ่งรู้สึกว่าเสียเวลาเปล่า

                "กูโคตรเกลียดมึงเลยกาล" มันบอกโดยไม่รอฟังคำตอบของคำถามก่อนหน้านี้จากผม

                "ขอบใจที่บอกตรงๆ"

                "ทำไมเอิร์ธต้องชอบคนอย่างมึงด้วยวะ"

                "มันเป็นความรู้สึกของน้อง มึงห้ามไม่ได้หรอก"

                "คนเหี้ยๆ แบบมึงอ่ะนะ"

                ผมพยายามใจเย็น หันมองทางอื่นเพื่อสงบสติอารมณ์ ผมต้องพิสูจน์ตัวเองให้คนแบบนี้เห็นด้วยเหรอ คนที่ในอดีตทำกล้าร้ายน้องขนาดนั้น เป็นอีกสิ่งที่ผมไม่เข้าใจว่ามันทำไปทำไม ทั้งที่ปากบอกว่าชอบน้องขนาดนั้น แต่กับคนเมาไม่ว่อะไรก็คงเกิดขึ้นได้

                "มึงควรมองคนหลายๆ ด้านมากกว่าจะติดสินจากมุมเดียวที่มึงเห็น ซึ่งนิสัยที่มึงเกลียดมันเป็นแค่อดีตของกู"

                "ไม่ต้องมาสอนกู"

                "กูแค่บอก อยากให้มึงเข้าใจ ทำไมไม่เชื่อใจเอิร์ธวะ"

                "กูเชื่อใจเอิร์ธแต่ไม่เชื่อใจมึง คิดว่ามึงจะกลับตัวได้จริงๆ เหรอวะ กับพี่คนสวยคนนั้นเป็นยังไงล่ะ หลอกเอิร์ธว่าเป็นแค่พี่น้อง จริงๆ แอบไปเอากันหรือเปล่าก็ไม่รู้"

                "มึงควรหยุดกล่าวหาคนอื่น" ผมกำหมัดแน่นอย่างข่มอารมณ์ สะกดจิตตัวเองเอาไว้ไม่ให้ลุกขึ้นไปต่อยหน้ามันให้หายโมโห

                ไอ้แฮมยกกาแฟขึ้นดื่มขณะที่สายตายังจับจ้องมาที่ผม คล้ายกับอยากสังเกตทุกการกระทำของคู่สนทนา แม้ทุกคำพูดของผมจะเหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวามันก็ตาม

                "ที่กูอยากคุยกับมึงเพราะอยากปรับความเข้าใจ อยากให้มึงเปิดใจมากกว่านี้"

                มันวางแก้วกาแฟลง ปฏิเสธทางสีหน้าชัดเจนว่าไม่อาจเปลี่ยนความคิดตัวเองได้ เพราะเป้าหมายของมันคือสิ่งเดียวกับที่ผมกำลังทำอยู่

                ในเมื่อผมอยากให้มันเปิดใจและยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้ดื้อ มันเองก็มาเพื่อทำให้ผมตัดใจจากไอ้ดื้อเหมือนกัน

                "กูชอบเอิร์ธมาตั้งแต่น้องเข้าปีหนึ่งใหม่ๆ แล้วมึงเป็นใครวะ ไอ้เจ้าชู้ที่คุยกับคนอื่นไปทั่ว คั่วไปเรื่อยทั้งผู้หญิงผู้ชาย ตัวมึงมีค่ากับน้องขนาดนั้นเลยเหรอ สันดานน่ะมันแก้ไม่หายภายในเวลาสั้นๆ หรอก"

                เหมือนถูกตัวตนในอดีตตบหน้าจนชา ผมไม่คิดจะเถียง มันคือสิ่งที่เคยเป็นความจริง สันดานย่อมแก้ไม่หายภายในเวลาอันนั้น ซึ่งผมใช้เวลาแก้มันและปรับปรุงตัวมานานนับปี เพียงแต่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถบอกให้ใครต่อใครรับรู้ได้

                โดยเฉพาะคนที่ไม่ยอมเปิดใจรับฟังอะไรเลย

                "กูจะแย่งเอิร์ธมาจากมึง" เก้าอี้เลื่อนออกก่อนคนที่เพิ่งพูดจบจะลุกออกไปโดยที่ผมไม่ทันได้รั้งเอาไว้

                มองแก้วกาแฟที่เหลือเพียงความว่างเปล่า ไม่ต่างกับการสนทนาเมื่อครู่นี้ ไม่มีข้อสรุป ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมา

                ทุกอย่างช่างสูญเปล่า

                หันมองออกไปนอกกระจก ไอ้แฮมหายไปกับผู้คนที่เดินสวนกันไปมา ผมไม่รู้เลยว่ามันคนก่อนชอบไอ้ดื้อมากขนาดนี้หรือเปล่า ตอนที่รู้เรื่องของผมกับน้องแล้วอยากขัดขวางขนาดนี้มั้ย มุมมองที่เคยรับรู้มีเพียงของตัวผมคนเดียว ไม่เคยนึกถึงเลยว่าน้องปกป้องผมยังไงจากการว่าร้ายของคนอื่น และปกป้องตัวเองจากการคุกคามของไอ้แฮมได้ยังไง

                อดีตคือความลับ ไม่มีใครรู้เห็นเรื่องของเรา แม้กระทั่งไอ้แฮมที่เดินหน้าจีบไอ้ดื้อแบบสุดตัว ขณะที่น้องพยายามถอยหนี และผมผู้ที่ยืนอยู่ในเงามืดของการวิ่งไล่จับครั้งนี้ หากในอดีตไอ้แฮมรู้ถึงความสัมพันธ์ของเรา ก็น่าคิดว่าบทสรุปจะออกมาเป็นแบบไหน เรื่องเลวร้ายนั้นอาจจะเกิดขึ้น หรือมันอาจจะเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดมาอยู่แล้ว

                ทุกอย่างนั้นยุ่งยากไม่ยอมจบลงง่ายๆ อย่างที่ผมคิด และอดีตเป็นสิ่งที่ย้อนกลับมาทำร้ายกันได้เสมอ



                ผมออกจากร้านตามหลังไอ้แฮมไม่นาน ในหัวยังคงคิดไม่ตกว่าควรจะทำยังไงให้ปัญหามันจบลงก่อนวันนั้นจะมาถึง แต่ดูเหมือนว่าไอ้เรื่องราวแปลกประหลาดนี้จะไม่ยอมให้ผมทำได้สำเร็จ

                กำลังจะโทรหาลิขิตเพื่อเรียกมันกลับบ้านก็ดันสะดุดตาที่ใครบางคนเสียก่อน เขากำลังเดินตรงไปที่บันไดเลื่อน แต่เมื่อหันมาเห็นผมอีกฝ่ายก็ชะงัก ท่าทางดูลังเลแต่สุดท้ายก็เปลี่ยนทิศทางเดินมายังจุดที่ผมยืนอยู่

                เพื่อนตัวสูงของไอ้ดื้อในอดีต ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อปอนด์

                "สวัสดีครับพี่กาล" น้องมันยกมือไหว้ เป็นการทักทายกันครั้งแรกที่ชวนให้แปลกใจ

                "สวัสดีครับ"

                ผมจำได้ว่าเราไม่เคยคุยกันมาก่อน ในอดีตอีกฝ่ายเองก็ไม่เคยรู้ว่าผมเกี่ยวข้องกับไอ้ดื้อยังไง ที่ผมรู้จักเพราะไอ้ดื้อเคยพูดถึงอยู่บ่อยๆ แต่ตอนนี้น้องมันไม่ใช่เพื่อนไอ้ดื้อแล้ว ถ้างั้นมีเหตุผลอะไรอยู่ๆ ถึงได้เข้ามาทักผม

                "ผมขอคุยด้วยหน่อยได้มั้ย"

                "ครับ?"

                "เรื่องเอิร์ธน่ะครับ"

               

                แค่ได้ยินชื่อไอ้ดื้อผมก็ตอบตกลงโดยไม่ลังเล ปอนด์เป็นคนเคยรู้จักก็ใช่ว่าจะถูกตัดออกจากชีวิตไอ้ดื้อเสียทีเดียว บางทีทั้งคู่อาจจะยังติดต่อกันอยู่โดยที่ผมไม่รู้ก็ได้

                มุมเล็กๆ หน้าร้านกาแฟถูกเลือกเป็นสถานที่สำหรับพูดคุยเมื่ออีกฝ่ายปฏิเสธที่จะเข้าไปนั่งข้างใน ปอนด์ขอรบกวนเวลาผมไม่เกินสิบนาที มีเรื่องที่อยากเล่าให้ฟัง จากนั้นผมต้องตัดสินใจเองว่าควรจะทำยังไงต่อไป

                "ผมเป็นพี่รหัสเอิร์ธนะเผื่อพี่ยังไม่รู้"

                "อ๋อ ครับ" และใช่ ผมยังไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ จากเพื่อนขยับไปเป็นพี่รหัส

                "ผมรู้เรื่องที่เอิร์ธมันเอาไม้กวาดฟาดพี่แฮมแล้วนะ"

                "ครับ" ทำได้เพียงพยักหน้ารับ เพราะไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนรู้จักของไอ้ดื้อจะรู้เรื่อง

                "แต่ที่ผมอยากบอกคือเรื่องเกี่ยวกับพี่แฮม"

                "ทำไมเหรอครับ" ทั้งอยากรู้และหงุดหงิดในเวลาเดียวกัน ดูเหมือนว่าปัญหาครั้งนี้มันจะมีเรื่องวุ่นวายมากเกินไปแล้ว

                "พี่แฮมมันชอบเอิร์ธมานานแล้วครับ เรื่องนี้พี่กาลคงรู้ดีอยู่แล้ว เพื่อนทุกคนรู้หมด ตัวเอิร์ธเองก็รู้แม้พี่แฮมจะไม่เคยบอก แต่เอิร์ธมันไม่ชอบพี่แฮม แล้วก็ไม่มีใครรู้เลยว่ามันชอบพี่กาลตั้งแต่ตอนไหน"

                "ครับ"

                "ที่ทำอยากบอกคือพี่แฮมคอยดูแลเอิร์ธมันมาตลอด พอโดนทำร้ายแบบนั้นก็เลยเสียใจมาก และพี่เขาก็คิดว่าต้นเหตุมาจากพี่กาล"

                "ซึ่งมันไม่ใช่"

                "ครับ คนอื่นๆ ไม่มีปัญหาเลยที่เอิร์ธมันคบกับพี่ เพราะมันเองก็ดูมีความสุขดี แต่ผมอยากเตือนพี่เรื่องพี่แฮม"

                ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ แม้จะยังมีเรื่องที่สงสัยเต็มหัวไปหมด น้องมันจะรู้มั้ยว่าก่อนหน้านี้ผมเพิ่งนัดเจอกับใครมา แล้วการที่เรามาเจอกันที่นี่เป็นความบังเอิญหรือตั้งใจกันแน่ ในเมื่อทุกคนก็ดูจะรู้จักและเชื่อมโยงกันหมดแบบนี้

                "พี่แฮมคงไม่หยุดรังควานง่ายๆ ผมอยากให้พี่ระวังตัว เอิร์ธก็ด้วย"

                "ก็พอจะเดาได้อยู่ ขอบคุณที่มาเตือนครับ"

                "ครับ งั้นผมไปก่อนนะ พอดีว่านัดเพื่อนไว้"

                "ครับ"

                ปอนด์ยิ้มให้ผมก่อนเดินจากไป คล้ายจะหวังดี ทว่าความรู้สึกที่สื่ออกมากลับมีแต่บรรยากาศด้านลบ เป็นแบบนี้แล้วผมควรคิดยังไงกับการสนทนาเมื่อครู่นี้

                ทุกการพบเจอกันในวันนี้ มันไม่แปลกไปหน่อยงั้นเหรอ



                ผมพิมพ์บอกลิขิตไปว่าเจอกันที่ลานจอดรถก่อนตัดสินใจเดินตามไอ้น้องปอนด์ไป เพราะตัวน้องมันสูงเลยมองหาได้ไม่ยาก เว้นระยะห่างพอสมควรไม่ให้คนที่ดูระวังตัวจับได้

                ลงบันไดเลื่อนมาจนถึงชั้นหนึ่งไอ้เด็กตัวสูงก็เดินตรงไปที่ทางออก ก่อนแยกกันน้องมันบอกผมว่านัดเพื่อนเอาไว้ ไม่รู้มันไปนัดกันที่ตรงไหน เพราะเดินออกประตูห้างฯ ก็เจอป้ายรถเมล์แล้ว

                เป้าหมายที่ผมสะกดรอยตามหันมองด้านหลังทุกห้าก้าวที่เดินกระทั่งออกประตู ผมออกจากหลังเสาก้าวยาวๆ ตามไป เพื่อหลบที่หลังเสาอีกต้น เป็นประสบการณ์ลุ้นระทึกที่ไม่คิดว่าจะได้ทดลองทำมาก่อน

                คำว่านัดเพื่อนของไอ้น้องปอนด์อาจจะเป็นการนัดเพื่อไปที่ไหนสักแห่งเมื่อน้องมันขึ้นรถคันหนึ่งไป แต่ดันเป็นคันที่ผมจำได้แม่นเสียอย่างนั้น

                รถคันเดียวกับที่ไอ้แฮมขับมาหาไอ้ดื้อที่คาเฟ่

                ยิ่งใกล้วันนั้นในอดีตยิ่งมีเรื่องให้ลุ้นเต็มไปหมด



                แวะไปส่งลิขิตที่หอพุดตานก่อนตรงไปหาไอ้ดื้อที่บ้าน ผมบอกเหตุผลที่มาช้าไปตั้งแต่เมื่อวาน โดยอ้างว่าต้องพาพี่ชายไปซื้อของขวัญวันเกิดให้เพื่อน และได้เตี๊ยมกับลิขิตไว้เรียบร้อยกันพลาด แต่ไอ้ดื้อไม่ใช่คนขี้สงสัยในเรื่องเล็กน้อยแบบนั้น น้องเข้าใจและไม่ได้ถามอะไรเพิ่ม

                กว่าจะมาถึงก็เลยเที่ยงมาแล้วสามชั่วโมง ผมซื้อขนมมาตุนถึงใหญ่ เราขนขึ้นไปกินบนห้องและเปิดหนังดูไปด้วย กิจกรรมธรรมดาๆ ในวันธรรมดาๆ ของเรา

                "เออใช่ วันนี้พี่เจอพี่รหัสเราที่ชื่อปอนด์ด้วย" ผมชิงสารภาพระหว่างดูหนังทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้ถาม เผื่อว่าพี่น้องเขาจะคุยกันแล้วเอาเรื่องผมมาพูดให้ฟัง

                "รู้จักกันด้วยเหรอ" ทำหน้าสงสัยถามกลับมา

                "ก็พี่รหัสเราอ่ะเข้ามาทัก ก็รู้จักตอนนั้น"

                "แล้วพี่ปอนด์ไปทำอะไรอ่ะ"

                "เห็นบอกนัดเพื่อน"

                "พวกพี่มุนล่ะมั้ง" ว่าพลางทำคิ้วขมวดหยิบมือถือขึ้นมาดู

                "คุยกับพี่รหัสบ่อยมั้ยเรา"

                "ก็คงไม่บ่อยเท่าพี่กาลหรอก"

                "ไม่ต้องแซวก็ได้"

                ไอ้ดื้อหันมองผมแล้วอมยิ้มก่อนจะหันกลับไปสนใจหน้าจอมือถือ จะว่าไปแล้วช่วงนี้ผมก็ไม่ได้คุยกับพี่ณดาเหมือนกัน หลังจากคุณพี่เธอมาแสดงความยินดีที่มีแฟนก็เงียบหายไปเลย

                "ช่วงนี้ก็ไม่ค่อยได้คุยเท่าไร" ตอบคำถามก่อนกดล็อกมือถือวางไว้เหมือนเดิม

                "ปอนด์นี่เป็นคนยังไงเหรอ"

                "ก็ดีครับ พี่เขาก็ช่วยอะไรหลายๆ เรื่อง"

                "ก็ดีแล้ว"

                "แต่จริงๆ ตอนนี้ทะเลาะกันอยู่" บอกแล้วก็ทำหน้าเศร้า

                "ทำไมเป็นงั้น"

                "เรื่องพี่แฮมนั่นแหละ พวกพี่มันก็รู้จักกันคงไปเล่าให้ฟังกันหมดแล้ว พี่ปอนด์ผมทำเกินไป อธิบายเหตุผลให้ฟังไปแล้วนะ แต่ก็ไม่เข้าใจกัน ตอนนี้เลยทะเลาะกันอยู่"

                "ตั้งแต่เมื่อไร"

                "ก็ตั้งแต่วันนั้นนั่นแหละ"

                "ไม่เห็นบอกพี่"

                "แค่นี้พี่กาลก็เครียดแล้วอ่ะ ไม่อยากเอาอะไรไปใส่หัวอีก"

                "แล้วก็เครียดอยู่คนเดียว" นิสัยที่ชอบเก็บบางเรื่องไว้กับตัวคนเดียวไม่เคยเปลี่ยนเลย

                "แต่เดี๋ยวก็ดีกัน ไม่มีอะไรน่าห่วงหรอก"

                "รีบๆ ไปเคลียร์กันให้เข้าใจเลย"

                "รู้แล้วครับ"

                ยีหัวไม้กวาดไปหนึ่งทีก่อนเราจะกลับไปสนใจหน้าจอทีวีต่อ แม้ในหัวผมจะไม่รับรู้เรื่องราวที่กำลังฉายอยู่เลยก็ตาม

                เมื่อปีก่อน ตั้งแต่ไอ้ดื้อออกจากโรงพยาบาลกลับมารักษาตัวต่อที่บ้าน ทั้งที่เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันแต่นับครั้งได้เลยที่ปอนด์แวะเวียนมาเยี่ยม จริงอยู่ที่ความแน่นฟ้อนของสายสัมพันธ์ย่อมลดลงไปตามกาลเวลา จนสุดท้ายเหลือเพียงผมคนเดียวที่คอยเทียวไปหา แต่คนที่ขึ้นชื่อว่าเพื่อนเส้นความสัมพันธ์มันควรยาวกว่านั้นไม่ใช่เหรอ

                บางทีเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต อาจจะมีอีกหนึ่งสาเหตุที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้



tbc.


เรื่องใกล้จะคลี่คลายแล้ว หรือจะซับซ้อนกว่าเดิม
เหลืออีกสามตอนจะจบแล้วค่า มาให้กำลังใจน้องเหนือกัน
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า


ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ปอนด์ชอบแฮม หรือเปล่า?

เผลอ ๆ ตัวร้ายของเรื่อง  อาจเป็นปอนด์ไม่ใช่แฮม

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
มีประเด็นความซับซ้อน ไม่ให้เคลียร์กันง่ายๆหรอก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
สองคนนี้เกี่ยวกันยังไง มีอะไรลับหลังเจ้าดื้อบ้างเนี่ย

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

กาลครั้งสิบแปด



                สุดท้ายเรื่องราวก็ดำเนินมาถึงวันสิ้นสุด โดยที่ผมไม่สามารถแก้ไขหรือหยุดยั้งมันเอาไว้ก่อนได้

                ผมจำไม่ได้แน่ชัดว่าวันที่เท่าไรของเราคือวันสุดท้ายเมื่อครั้งอดีต แต่ที่สามารถยืนยันให้ชัดเจนได้คือความรู้สึก มันบอกผมว่าอย่างนั้น ความรู้สึกวูบโหวงในใจที่เหมือนกับว่ากำลังจะมีบางอย่างหายไป

                เรื่องราวสุดแปลกประหลาดบ้าๆ นี้ สุดท้ายแล้วจะจบลงด้วยดีอย่างที่ทุกคนคอยพร่ำบอกผมจริงๆ น่ะเหรอ

                วันนี้ผมพาไอ้ดื้อมาที่บ้านเพื่อลดความเสี่ยงทุกช่องทาง ออกให้ห่างจากหอพักสถานที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์กาลเลวร้ายในอดีต เราอยู่ด้วยกันสองคนที่นั่น ทะเลาะกัน และผมก็ไล่น้องออกไป แต่วันนี้ที่บ้านผม มีทั้งแม่ ลิขิตและพุดตาน ผมไม่มีทางปล่อยไอ้ดื้อออกไปไหนง่ายๆ เด็ดขาด

                ที่บ้านเราใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ด้วยกันที่โซฟากลางห้องนั่งเล่น กินขนม ดูหนัง สลับกับพูดคุย ผมพยายามไม่เครียด ไม่อยากทำให้ไอ้ดื้อสงสัยแล้วเครียดตามไปด้วย เพราะแค่นี้น้องมันก็ตั้งคำถามกับผมอยู่ทุกวัน

                "เราต้องหลบแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไรอ่ะพี่กาล"

                "จนกว่าไอ้แฮมมันจะยอมตัดใจล่ะมั้ง ทำไมอ่ะ เบื่อที่จะอยู่กับพี่แล้วเหรอ"

                "ไม่ใช่ แค่มันดูลำบาก บางทีอาจจะไม่ได้มีอะไรน่าห่วงขนาดนั้นก็ได้ หรือยังห่วงเรื่องที่ผมฝันอยู่"

                "ก็ส่วนหนึ่ง"

                "มันไม่เป็นจริงหรอก"

                "ก็กันไว้ก่อน"

                "พี่แฮมมันไม่กล้าทำอะไรแบบนั้นหรอกเชื่อสิ"

                ผมคงยอมเชื่อถ้าเรื่องนั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริง วันใดวันหนึ่ง คนที่เคยคิดว่ารู้จักดี อาจจะกลายเป็นคนที่ไม่รู้จักตัวตนจริงๆ ของเขาเลยก็ได้

                "ขอสังเกตการอีกวันแล้วกัน"

                "จริงๆ ผมให้เพื่อนคอยส่องความเคลื่อนไหวพี่แฮมให้อยู่นะ ก็ไม่เห็นว่าพี่มันจะทำอะไรเลย"

                ฟังยังไม่ทันจบประโยคดีคนที่มีเรื่องปิดบังอย่างผมก็เกิดอาการลุกลี้ลุกลนอยู่ภายใน เพื่อนคนไหนกันที่ไอ้ดื้อไปขอให้ช่วย แล้วเพื่อนคนนั้นจะรู้มั้ยว่าเมื่อวานไอ้แฮมมันไปไหนและทำอะไร

                "โกรธเหรอ" เห็นผมเงียบไอ้ดื้อก็ยื่นหน้าเข้ามาถาม"

                "เรื่อง"

                "ที่บอกไปเมื่อกี้ไง แค่ให้เพื่อนส่องให้เฉยๆ นะ ผมไม่ได้คุยกับพี่แฮมมันเลย"

                "ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย"

                "ก็เห็นเงียบ"

                "แค่คิดอะไรอยู่เฉยๆ"

                "คิดอะไรครับ"

                หันไปจ้องตาเด็กดื้อที่มองกันตาแป๋ว ผมแค่กำลังคิดอยู่ว่าเพื่อนคนนั้นเป็นใคร คิดแล้วก็นึกไปถึงอดีตเพื่อนที่ตอนนี้กลายเป็นพี่รหัส ในสถานการณ์ตอนนี้ไม่รู้จะไว้ใจใครได้สักแค่ไหน

                "คิดว่าถ้าไอ้แฮมเลิกรังควานเราจริงๆ ก็คงดี"

                "เพราะงั้นเราเลยต้องคุยกันให้รู้เรื่องไง"

                "คุยกับมันน่ะเหรอ"

                "ก็ใช่ไงครับ"

                "ไม่มีประโยชน์หรอก" ได้แต่ส่ายหน้าอย่างหมดหวัง

                ไอ้ดื้อหรี่ตามองกันเพราะคำพูดของผมมันชวนให้สงสัย รอให้ผ่านวันนี้ไปก่อนแล้วผมจะยอมบอกทุกอย่างเลยว่าทำอะไรลงไปบ้าง จะเล่าให้หมดว่าไอ้คนที่อยากคุยทำความเข้าใจด้วยนักหนามันหัวแข็งขนาดไหน

                "หยุดจ้องเลย" จิ้มหน้าผากคนยื่นหน้าเข้ามาให้ออกห่าง ไอ้ดื้อทำหน้าขัดใจ ไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจง่ายๆ

                "ยังไม่ได้ลองคุยเลย"

                รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ผมไม่อยากคุยเรื่องไอ้แฮมวันนี้เลยจริงๆ

                "ก็ได้ครับ"

                แต่สุดท้ายก็ต้องยอม

                "จะไปคุยกับพี่แฮมตรงๆ แล้วใช่มั้ย"

                "พรุ่งนี้ค่อยคุยโอเคมั้ย วันนี้อยู่กับพี่ก่อน นะครับ"

                เด็กดื้ออมยิ้มกว้างพลางพยักหน้ารับ มองซ้ายมองขวาก่อนขยับเข้ามาหอมแก้มแล้วลุกออกไปเมื่อได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ เดินไปหาพุดตานที่ถูกลิขิตชวนออกไปให้อาหารปลาที่สระน้ำเล็กๆ ในสวนหน้าบ้าน

                ผมเชื่อว่าถ้าผ่านวันนี้ไปได้ปัญหาทุกอย่างจะจบ ความทรงจำของผู้เกี่ยวข้องจะถูกปรับแต่งใหม่เหมือนอย่างที่ลิขิตเคยบอก หากเป็นอย่างนั้นจริง สัญญาที่ให้กันไว้เมื่อครู่นี้ก็ไม่จำเป็นต้องทำอีกต่อไป

               

                ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว และใกล้จะถึงเวลานั้นในอดีตแล้วเช่นกัน

                ผมกับไอ้ดื้อขลุกตัวอยู่บนห้องนอน กินข้าวเสร็จก็ง่วงหลับไปตั้งแต่บ่ายสอง เด็กดื้อที่อยู่ในวัยกำลังโตซุกหน้าอยู่กับหมอนไม่มีท่าทีว่าจะยอมตื่นง่ายๆ ไม่รู้ไปอดนอนมาจากไหนนัก

                มันดีแล้วที่ไอ้ดื้อหลับยาวอยู่แบบนี้ แต่ก็เหมือนไอ้เรื่องราวแปลกประหลาดนี้ไม่เป็นใจ สุดท้ายแล้วเจ้าหญิงนิทราก็ตื่นจากการหลับใหล โดยที่เจ้าชายไม่จำเป็นต้องจุมพิต และตื่นก่อนเวลาที่เจ้าชายอยากจะให้เป็น

                ไอ้ดื้อคว้ามือถือมาดูเวลาเป็นอันดับแรกเมื่อลืมตา ก่อนจะรีบยันตัวลุกขึ้นนั่ง

                "ห้าโมงกว่าแล้วอ่ะ"

                "แค่ห้าโมง นอนต่อก็ได้"

                "พอแล้ว เดี๋ยวกลางคืนนอนไม่หลับ"

                ผมช่วยจัดผมไม้กวาดของคนที่ปฏิเสธคำเชิญชวนให้เข้าที่เข้าทาง ขณะที่อีกฝ่ายยังพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด

                "ผมกลับเลยดีมั้ย ถ้ากลับตอนนี้น่าจะถึงบ้านพร้อมแม่พอดี"

                "ไม่อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนเหรอ"

                "ข้าวกลางวันยังไม่ย่อยเลยพี่กาล กินปุ๊บนอนปั๊บ ดีที่ไม่เป็นกรดไหลย้อน ไม่งั้นปวดท้องทรมานอีก"

                "บ่นเก่ง"

                "พูดให้ฟังเฉยๆ" แล้วก็เถียงเก่งด้วย

                "ครับๆ แล้วยังไม่หิวจริงอ่ะ"

                "จริงๆ ก็เริ่มหิวนิดหน่อย"

                "งั้นรอกินข้าวเย็นก่อนเดี๋ยวพี่ไปส่งที่บ้านโอเคมั้ย"

                ไอ้ดื้อทำหน้าคิดหนัก ลักพาตัวมาอยู่ด้วยกันทั้งวันแล้วน้องคงอยากกลับไปใช้เวลากับแม่บ้าง แต่ยังไงผมก็อยากให้มันผ่านช่วงเวลานี้ไปก่อน ถ้าค้างด้วยกันได้ยิ่งดี หรือไม่ก็ให้ผมไปค้างที่บ้านน้องแทน ทำทุกวิธีทางเพื่อกักตัวน้องเอาไว้

                "ไม่ดึกมากหรอก" บอกเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังตัดสินใจไม่ได้สักที

                "ก็ได้ครับ"

                ดึงแก้มนิ่มๆ ที่เหมือนจะบวมจากการตื่นนอนแทนคำชม ไอ้ดื้อเลยโน้มตัวเข้ามาหา ใช้ปลายจมูกจิ้มแก้มผมหนึ่งทีก่อนผละออก

                "ไปล้างหน้าก่อนนะ" น้องบอกก่อนหยิบมือถือลุกขึ้นจากเตียง

                "เสร็จแล้วตามลงไปข้างล่างเลยนะ เดี๋ยวพี่ไปดูก่อนว่าแม่ทำอะไรไว้ให้กิน"

                ไอ้ดื้อพยักหน้ารับก่อนออกจากห้องไป



                ยิ่งใกล้เวลานั้นผมก็ยิ่งรู้สึกใจคอไม่ดี ลงมาจากห้องนอนได้เกือบสิบนาทีแล้วกลับยังไม่เห็นวี่แววของเด็กดื้อว่าจะตามลงมา สุดท้ายเลยตัดสินใจเดินกลับขึ้นไปดู

                ผมแวะดูที่ห้องน้ำไม่เห็นใครเลยเดินกลับเข้าห้องนอน ไอ้ดื้อนั่งอยู่บนเตียง เมื่อเห็นว่ามีคนเปิดประตูเข้ามาก็ละสายตาจากมือถือในมือเงยหน้าขึ้นมอง ด้วยแววตาและสีหน้าที่ดูเปลี่ยนไป

                "ทำไมยังไม่ลงไปอีก เป็นอะไรหรือเปล่า" ก้าวไปยืนตรงหน้าพร้อมเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ในใจผมยังคงรู้สึกวูบโหวงแปลกๆ

                "เมื่อวานพี่กาลไปเจอพี่แฮมมาเหรอ" แล้วคำถามที่น่าจะเป็นต้นเหตุสีหน้าบึ้งตึงของคนตรงหน้าก็ถูกถามออกมา

                ผมไม่ได้คิดจะปิดบัง แต่ก็ไม่ได้ตอบออกไปในทันที เรื่องราวแปลกประหลาดบ้าๆ นี้มันกำลังเล่นงานผม เพราะฉะนั้นก่อนจะตอบอะไรออกไปต้องคิดให้ดีๆ ผมไม่อยากทะเลาะกับน้องให้เป็นสาเหตุที่จะเกิดเรื่องเดิมซ้ำรอยอีกครั้ง

                "พี่กาล"

                "ครับ ไปเจอมา แค่คุยอะไรกันนิดหน่อย"

                "แล้วทำไมไม่บอกผม"

                "พี่แค่ไม่อยากให้เราเป็นห่วง"

                "แล้วมารู้ทีหลังแบบนี้ผมไม่ห่วงกว่าเดิมเหรอ"

                "มันไม่มีอะไรต้องห่วงเลยเอิร์ธ"

                "พี่กาลคิดว่าพี่ห่วงผมเป็นคนเดียวเหรอ พี่ไม่ยอมให้ผมคุยกับพี่แฮมแต่พี่กลับแอบไปนัดเจอกันโดยไม่บอกผมเนี่ยนะ"

                "ใจเย็นก่อนได้มั้ย" ผมพยายามพูดอย่างใจเย็นเพราะรู้ว่าไอ้ดื้อกำลังอารมณ์ไม่ดี แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมฟังกันง่ายๆ

                เพราะอะไรที่ทำให้เด็กดีของผมดูดื้อร้นถึงเพียงนี้ เพราะผมที่โกหก หรือเพราะเรื่องราวแปลกประหลาดที่พยายามดึงเราเข้าสู่ปัญหาเดิมๆ กันแน่

                "แล้วเราไปรู้เรื่องนี้จากไหน มันบอกเหรอ"

                "สำคัญด้วยเหรอ"

                "เอิร์ธ พี่ขอร้องเลยนะ ไม่อยากทะเลาะ"

                "แต่ก็ทำทั้งที่รู้ว่าต้องทะเลาะกันแน่ๆ"

                "พี่ผิด พี่ขอโทษ แค่อยากไปเคลียร์ อยากคุยให้มันรู้เรื่อง ไม่ได้อยากปิดบัง แล้วก็ไม่ได้อยากทะเลาะกับเราด้วย"

                "งั้นก็แสดงว่าคุยกันไม่รู้เรื่องใช่มั้ย ผมถึงยังต้องมาติดแหง็กอยู่กับพี่แบบนี้"

                "อย่าประชดได้มั้ย"

                คำพูดของไอ้ดื้อรุนแรงจนผมรู้สึกปวดหนึบที่ใจ 'ติดแหง็ก' มันเหมือนกับว่าการที่ต้องมาอยู่กับผมแบบนี้น้องไม่ได้เต็มใจเลย หรือจะพูดในอีกความหมายคือไม่ได้อยากอยู่ด้วยกัน

                "ความฝันบ้าบอ" ไอ้ดื้อพึมพำคล้ายพูดกับตัวเอง

                จุดเริ่มต้นของเรื่องราวบ้าๆ นี้เกิดขึ้นจากความฝัน ฝันร้ายของผมหายไปกลายเป็นไอ้ดื้อที่ฝันถึงเรื่องราวในอดีตแทน ผมเห็นด้วยกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด แต่ใจมันก็อดหงุดหงิดไม่ได้

                เรื่องที่เกิดขึ้นมันโคตรบ้าบอ

                "ลงไปกินข้าวเถอะ เดี๋ยวแม่รอ" ผมเลือกที่จะตัดบทเพื่อยุติการทะเลาะ รอให้ผ่านคืนนี้ไปก่อน ถ้าหากอดีตเลวร้ายครั้งนั้นเปลี่ยนไป จะโดนโกรธหรือถูกโยนอารมณ์ใส่แค่ไหนผมก็ยอม

                ไอ้ดื้อไม่ตอบอะไรแล้วเดินสวนผมออกจากห้องไป ผมอยากรู้นักว่าน้องรู้เรื่องได้ยังไง คนที่บอกไม่น่าใช่ไอ้แฮมเพราะถูกบล็อกทุกช่องทางไปแล้ว คนที่รู้เรื่องที่ผมรู้และน้องรู้จักก็เหลือแค่ลิขิตกับปอนด์ ซึ่งตัดพี่ชายผมออกไปได้เลย เพราะคนที่ไม่น่าไว้ใจที่สุดก็คือพี่รหัสของไอ้ดื้อ คนที่บอกเจ้าตัวบอกว่ากำลังทะเลาะกันอยู่

                หันมองนาฬิกาที่บอกเวลาใกล้หกโมงเย็นความทรงจำให้อดีตก็เริ่มชัดเจนขึ้นมาทุกที เสียงที่ตอบโต้กันด้วยอารมณ์ภายในห้องสี่เหลี่ยมหยุดลง คนหนึ่งไล่ อีกคนก้าวออกจากห้อง แล้วทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็สายเกินแก้

                แต่ด้วยความแปลกประหลาดของครอบครัวผม ด้วยชื่อของผม ปัจจุบันกำลังจะถูกเขียนขึ้นใหม่ ทว่าผมกลับไม่ได้รู้สึกโล่งใจขึ้นเลย

                ตามลงมาข้างล่างเจอแค่ลิขิตกับพุดตานอยู่ที่โต๊ะกินข้าว แม่ยังเตรียมอะไรอยู่นิดหน่อย ไร้วี่แววของเด็กดื้อที่ลงมาก่อนหน้านี้

                "เอิร์ธอ่ะ"

                "เห็นบอกว่าจะออกไปเดินเล่น" ลิขิตตอบ

                "เดินเล่นที่ไหนวะ"

                "แถวบ้านนี่แหละมั้ง มีอะไรหรือเปล่าวะ"

                "เดี๋ยวกูออกไปดูก่อนนะ" ผมก้าวออกจากบ้านอย่างรีบร้อนโดยไม่คิดจะตอบคำถาม

                ปล่อยไอ้ดื้อไปแล้ว ปล่อยไปทั้งที่รู้ว่าเวลานี้ไม่สมควร

                'ไม่ใช่หรอก' ผมพยายามบอกตัวเองขณะเดินหาไอ้ดื้อรอบๆ บ้าน น้องก็แค่ออกมาเดินเล่นไม่ได้หนีไปไหน แต่ทำไมถึงได้หาไม่เจอ เวลาแค่ไม่กี่นาทีจะเดินไปได้ไกลแค่ไหนกัน

                "เอิร์ธ อยู่ไหน"

                ความหวั่นวิตกเริ่มก่อตัวมากขึ้นเมื่อไม่มีเสียงตอบรับ ผมวิ่งกลับเข้าบ้าน คว้ากุญแจรถแล้วขับออกไปทันทีโดยไม่ฟังเสียงทักท้วงจากใคร

                หากเรื่องราวแปลกหลาดนี้กำลังดึงเราให้กลับสู่อดีต จุดหมายที่ไอ้ดื้อมุ่งไป เรื่องราวที่กำลังจะเกิด ยังไงก็ต้องเป็นสถานที่เดียวกัน

                ในใจร้อนรนจนเหมือนจะควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่ได้ รีบร้อนขาดสติถึงขั้นลืมหยิบมือถือติดตัวมา รวมทั้งกระเป๋าสตางค์หรือสิ่งของจำเป็นอื่นๆ แต่ถ้าหากยังรีรอ ทุกอย่างก็อาจจะสายเกินแก้

                แม้จะเป็นเหนือกาล แต่คงไม่มีโอกาสครั้งที่สามให้แก้ตัว

                เส้นทางที่มุ่งหน้าไปชัดเจนในความทรงจำ เลี้ยวรถเข้าซอยที่เป็นชุมชน ที่พักอาศัยของมันอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนัก สองข้างทางมีร้านขายของสลับกับหอพักตลอดแนว ด้านบนมีถนนเส้นใหญ่พาดผ่าน ทำให้แม้จะมีไฟติดตามรายทางแต่สถานที่แห่งนี้กลับดูเหมือนอยู่ใต้พื้นดิน

                ผมเลี้ยวรถเข้าจอดยังพื้นที่ว่างข้างสนามบอลคอนกรีตขนาดเล็ก ไม่ไกลกันนักมีหอพักและร้านเหล้า สถานที่ที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะปลอดภัย เป็นอีกคำถามที่ผมสงสัยว่าทำไมไอ้ดื้อถึงได้กล้ามาที่แบบนี้ตอนมืดๆ คนเดียว

                เพราะมีคนที่คิดว่าไว้ใจได้อย่างนั้นน่ะเหรอ

                ลงรถเดินไปยังร้านที่อยู่ข้างหอพัก กลุ่มไอ้แฮมอยู่ที่นั่น แต่แปลกที่ทุกอย่างกลับยังดุปกติดี

                กวาดสายตามองหาไอ้ดื้อที่ควรจะอยู่ที่นี่ กระทั่งสายตาสบเข้ากับตัวการของปัญหาเมื่อครั้งอดีต รวมถึงใครอีกคนที่ผมไม่คิดว่าจะอยู่ที่นี่ด้วย แต่กลับไร้วี่แววของคนที่ตามหา

                ผมไม่ได้เดินเข้าไปหาคนที่นั่งอยู่ในร้าน แต่เป็นไอ้แฮมที่เลิกคิ้วมองอย่างสงสัยก่อนจะเป็นฝ่ายเดินมาหาผมแทน ดูจากสภาพแล้วมันคงกำลังเมาได้ที่

                "เอิร์ธอยู่ไหน" ผมชิงถามออกไปก่อน ไม่เห็นตัวใช่ว่าคนที่ถามถึงจะไม่มา ถ้าเป็นผมที่มาถึงก่อนก็คงดี

                "กูจะไปรู้มั้ย"

                "น้องมาหามึง"

                "เอิร์ธไม่ได้มาหากู"

                ผมไม่ได้มีธุระกับไอ้แฮม สิ่งที่ตั้งใจไว้คือมาตามตัวไอ้ดื้อกลับเท่านั้น ซึ่งถ้าน้องไม่ได้อยู่ที่นี่จริง ก็ไม่มีความจำเป็นต้องคุยกับมันอีก

                "เดี๋ยวดิวะ" มันเรียกตอนผมกำลังจะหันหลังให้ ความจริงไม่ได้ตั้งใจจะกลับ แค่จะไปหาที่สังเกตการณ์ ผมยังไม่วางใจว่าไอ้ดื้อไม่ได้มาที่นี่จริงๆ

                "อะไร"

                "มึงออกมาตามหาเอิร์ธเหรอ"

                ผมไม่ได้ตอบ ไม่อยากเล่าหรือพูดเรื่องโกหกให้คนอย่างมันฟัง แต่ปากคนเมามักจะชอบหาเรื่อง

                "ไม่ตอบแสดงว่าจริง เอิร์ธอาจจะหนีมึงไปแล้วก็ได้ใครจะรู้ ทำไมวะ สันดานเดิมมันออกเหรอ"

                "กูจะคิดซะว่ามึงเมา"

                "ถึงไม่เมากูก็จะพูด เอิร์ธเห็นสันดานมึงแล้วล่ะสิถึงได้หนีไป ถ้าดูแลไม่ได้ก็ปล่อยน้องออกมา กูมีปัญญาดูแลแทนมึง"

                "ถามน้องหรือยังว่าอยากให้มึงดูแลมั้ย"

                มันแสยะยิ้มใส่ผม เพราะไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับคนเมากับเลยตัดสินใจเดินออกมาทั้งอย่างนั้น โดยมีเสียงไอ้แฮมตะโกนด่าไล่หลัง

                เดินห่างออกมาจากร้านก็นึกโมโหตัวเองที่ใจร้อนจนลืมทุกสิ่ง ถ้ามีมือถือยังพอโทรเช็กได้ว่าไอ้ดื้ออยู่ที่ไหน หรือไม่ก็ติดต่อขอความช่วยเหลือจากคนอื่นได้ แต่ตอนนี้ทำได้แค่หงุดหงิดตัวเองเท่านั้น

                เดินผ่านซอยมืดๆ ก่อนถึงที่จอดรถก็รู้สึกได้ว่าเหมือนมีคนเดินตาม ผมหันหลังกลับไปมอง เป็นผู้ชายสองคนที่ไม่คุ้นหน้า คงเป็นคนที่อยู่แถวนี้

                จะว่าไปในร้านนั้นไอ้ปอนด์พี่รหัสของไอ้ดื้อก็นั่งอยู่ด้วย ผมไม่แปลกใจแต่ยังคงสงสัยว่าสรุปแล้วเรื่องเลวร้ายในอดีตมีใครรู้เห็นบ้างกันแน่ จะเป็นฝีมือไอ้แฮมคนเดียวจริงๆ น่ะเหรอ

                ขณะที่กำลังคิดทบทวนถึงเรื่องราวต่างๆ ไหล่ผมก็ถูกสะกิด เมื่อหันไปหมัดหลุนๆ ก็กระแทกเข้าที่หน้า ความเจ็บปวดแล่นริ้วขึ้นมา ยังไม่ทันได้มองคู่กรณีให้ชัดๆ อีกสองหมัดก็ตามเข้าที่หน้าและท้องจนเซล้มลง

                ผมพยายามมองว่าไอ้คนที่มันเข้ามาเล่นงานผมเป็นใคร พวกมันมากันสองคนซึ่งความจริงก็เดาได้ไม่ยาก แต่เหตุผลที่มันทำแบบนี้เป็นเพราะอะไรกัน

                ก่อนจะพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืนได้ผมก็โดนพวกมันลากเข้ามาในซอย โดนต่อยอีกหลายหมัดจนยากเกินจะเปล่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ เรี่ยวแรงที่เคยมีถูกดึงออกไปด้วยหมัดและเท้า พยายามขัดขืนเท่าที่จะพอมีแรงแต่ก็ไร้ผล

                หมัดที่หนึ่งและสองเข้าที่หน้า หมัดที่สามโจมตีที่ท้อง ลากเข้ามาในซอยได้พวกมันก็รุมกระทืบผมแบบไม่ยั้งมือยั้งตีน

                เจ็บหนักจนชา ผมอาจจะตายก็ได้ถ้าพวกมันเตะอัดผมอีกสักครั้ง ตาพร่าเลือนเปลือกตาหนักจนลืมขึ้นแทบไม่ไหว หูอื้ออึงจนแทบไม่ได้ยินเสียงอะไร ผิวหน้ารู้สึกเหนอะหนะ เหม็นกลิ่นคาวเลือดตัวเอง

                ความรู้สึกตอนถูกซ้อนเจียนตายมันเป็นแบบนี้เองสินะ ความรู้สึกของไอ้ดื้อในตอนนั้น

                สรุปแล้วไอ้เรื่องราวแปลกประหลาดบ้าๆ นี้มันคือโอกาสครั้งที่สองของผม หรือเวรกรรมที่ผมต้องชดใช้กันแน่

                น่าตลกชะมัด แต่เป็นเรื่องตลกที่ขำไม่ออกเลยสักนิด

                "สรุปให้เอาไงต่อ" เสียงของหนึ่งในนั้นแว่วเข้าหูพอให้ผมจับคำได้

                "ถามไอ้ปอนด์ดิ มันจะมายังเนี่ย"

                "นั่นไง เดินมาแล้ว"

                เปลือกตาผมปิดลงเมื่อคำพูดของใครสักคนสิ้นสุด

                ไอ้ปอนด์งั้นเหรอ เป็นชื่อนี้จริงๆ งั้นเหรอ หูผมไม่ได้เพี้ยนไปเองใช่มั้ย

                "จะให้เอาไงต่อ"

                "ทิ้งไว้แบบนี้แหละ" แล้วเสียงที่ผมเคยได้ยินที่ไหนสักที่ก็ดังให้ได้ยิน

                "จะไม่ตายใช่มั้ยวะ"

                "แค่นี้คงไม่ตายหรอก"

                ใครสักคนคงกำลังใช้เท้าเขี่ยผม แต่เปลือกตามันหนักจนไร้เรี่ยวแรงจะเปิดขึ้นดูว่ามันคือใคร

                "แล้วมึงจะไม่โดนอะไรใช่มั้ย"

                "ถ้ามันไม่รู้ว่ากูคือใครก็คงไม่"

                "โกรธเกลียดอะไรขนาดนั้นวะ"

                "ไม่ใช่เรื่องของมึง"

                สิ้นเสียงบางอย่างก็กระแทกเข้าที่หน้าผมอีกครั้ง แล้วทุกอย่างก็ดับวูบไป



tbc.


มีคนเดาถูกด้วย แต่ปอนด์กับแฮมจะมีซัมติงกันหรือเปล่านั้นตอนหน้ามีเฉลยค่ะ
อีกสองตอนจะจบแล้ว มาเอาใจช่วยเหนือกาลของเรากันค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

รอตอนต่อไป

สงสัยต้องมีย้อนเวลาครั้งที่ 3 แล้วเรื่องราวก็จะ  happy ending

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

กาลครั้งสิบเก้า


                เจ็บปวดระบมไปทุกส่วน มันร้าวไปหมดจนไม่อยากขยับ ไม่อยากรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วหลับไปอีกครั้ง แต่ผมคงนอนนานเกินไปร่างกายถึงได้ปฏิเสธคำขอ

                ผมลืมตาขึ้นท่ามกลางความมืด รอจนตาปรับการมองเห็นได้ถึงได้เห็นว่ามีคนนอนอยู่บนโซฟาข้างเตียง ผมยังรู้สึกมึนงง อยากถามออกไปเหมือนกันว่าที่นี่ที่ไหน แต่ความเจ็บปวดที่กำลังเล่นงานร่างกายอยู่ได้ตอบในสิ่งที่ผมอยากรู้แล้ว

                ขอบคุณที่ผมยังสามารถตื่นขึ้นมาได้อีกครั้ง

                เส้นผมยาวๆ ที่โผล่พ้นผ้าห่มออกมาบอกให้ผมรู้ว่าคนที่นอนอยู่ตรงนั้นคือใคร ผมพยายามจะส่งเสียงเรียก ทว่าลำคอนั้นแห้งผาก มันรู้สึกเหนื่อยล้าเกินกว่าจะเค้นแรงให้มากกว่านี้

                ขณะที่หัวกำลังปวดตุบๆ ประตูห้องก็เปิดออก มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามา ผมมองไม่ออกว่าเขาเป็นใครเลยพยายามเพ่งมอง ก่อนไฟในห้องจะถูกเปิดทำให้ผมต้องหลับตาลงอีกครั้ง

                "กาลฟื้นแล้วเหรอลูก" เสียงของพ่อเอ่ยถามแต่มันยากเกินที่จะลืมตา ผมขยับมือบอกเป็นสัญญาณ แล้วทันใดนั้นภายในห้องก็เกิดความวุ่นวายขึ้นทันที



                หลังจากหมอเข้ามาตรวจอาการผมก็หลับไปอีกรอบ ตื่นอีกทีสิบเอ็ดโมง ตอนที่พ่อเห็นว่าผมฟื้นแล้วเล่นตะโกนเรียกหมอซะเสียงดังลั่นทั้งที่เขามีปุ่มให้กดเรียกพยาบาล แม่เองก็ตกใจตื่น ไม่กี่วินาที่ต่อมาหมอกับพยาบาลก็เข้ามาล้อมเตียงผม แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามขั้นตอน

                ตื่นขึ้นมาอีกทีเป็นลิขิตที่นั่งอยู่บนโซฟา มันหลับแบบหมดสภาพ คิดว่าหลังจากผมถูกหามส่งโรงพยาบาลทุกคนคงเหนื่อยกันน่าดู เป็นห่วงจนไม่ได้หลับได้นอน ไอ้ดื้อเองป่านนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้าง

                เห็นพี่ชายกำลังหลับผมเลยไม่อยากกวน เปลี่ยนมาคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้ทุกอย่างจะดูเลือนรางก็ตามที แต่เหมือนว่าโชคชะตาจะยังไม่อยากให้ผมใช้ความคิด เพราะอยู่ๆ ลิขิตมันก็สัปหงกจนสะดุ้งตื่นแล้วหันมาสบตากับผม ไอ้พี่ชายเบิกตากว้างก่อนจะคว้าสายกดมากดเรียกพยาบาลก่อนจะได้ทักทายผมเสียอีก

                การตรวจเช็กอีกครั้งผ่านพ้นไปไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ลิขิตกลับเข้ามาในห้องหลังจากขอตัวออกไปโทรหาพ่อกับแม่เพื่อบอกอาการของผม เมื่อกลับเข้ามามันก็นั่งลงข้างเตียง รอยยิ้มโล่งใจปรากฏบนใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้านั้น

                "กูนึกว่าจะกลายเป็นลูกคนเดียวซะแล้ว"

                "ปากเสียไอ้สัด"

                คนโดนว่าหัวเราะ มันคือการแสดงออกถึงความดีใจที่ผมยังไม่จากมันไปไหน

                "เดี๋ยวแม่มาตอนบ่ายนะ ส่วนพ่อมาหลังเลิกงาน"

                "มึงมาเฝ้ากูเมื่อเช้าเหรอ"

                "เออ แม่โทรหาก็ตาสว่างเลย แต่พอมาถึงมึงก็หลับไปแล้ว เลยให้พ่อกับแม่กลับไปพัก"

                ผมพยักหน้ารับ ใจกำลังนึกถึงใครอีกคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ก่อนจะได้เอ่ยถามลิขิตมันก็บอกขึ้นมาเองอย่างกับรู้ความคิดของผม

                "ส่วนเอิร์ธน่าจะมาตอนบ่ายเหมือนกัน"

                "น้องสบายดีใช่มั้ยวะ"

                "เออ สบายดี แต่จะไม่สบายเพราะอยู่ๆ มึงก็ขับรถออกจากบ้านไปแล้วดันโดนซ้อมจนปางตายนี่แหละ มึงออกไปทำไมวะ ตอนนี้กูยังไม่เข้าใจเลย" มันบ่นยาวเหยียด การติดสินใจของผมทำให้คนรอบข้างลำบากไปด้วย แต่ผมไม่เคยคิดเลยว่าผลจะออกมาเป็นแบบนี้

                "ใครเป็นคนพากูมาโรงบาลวะ"

                "ให้เดา"

                "เอิร์ธเหรอ"

                "เออ"

                ลำดับเหตุการณ์ที่ชวนสงสัยทำให้ผมรู้สึกปวดหัวหนักกว่าเดิม คิ้วขมวดหน้าตาเหยเก พี่ชายแสนดีที่จับสังเกตได้เลยยื่นข้อเสนอบางอย่างออกมา

                "เอางี้ กูจะเล่าเรื่องฝั่งกูให้ฟังก่อน แล้วมึงค่อยเล่าว่าออกไปเจอพวกมันทำไม"

                ไม่มีเหตุผลที่ต้องปฏิเสธ เมื่อผมตอบตกลง จากนั้นลิขิตมันก็เริ่มเล่าเหตุการณ์ที่ผมไม่รู้ให้ฟัง

                "ที่มึงกลับขึ้นไปบนห้องแล้วลงมาถามกูว่าเอิร์ธไปไหน พอกูบอกว่าเอิร์ธออกไปเดินเล่นมึงก็ตามออกไปใช่มั้ย แต่แค่แป๊บเดียวมึงก็กลับเข้ามาแล้วขับรถออกไป กูถามอะไรก็ไม่ตอบ งงกันทั้งบ้าน เอิร์ธก็งง"

                "เดี๋ยว เอิร์ธอยู่ในบ้านเหรอ" ผมรีบเบรกก่อนมันจะได้เล่าต่อ

                "เออไง"

                "แต่มึงบอกน้องออกไปเดินเล่น"

                "ก็เอิร์ธบอกกูว่าแบบนั้น แต่พอมึงขับรถออกไปน้องก็ออกมาจากห้องน้ำ คือยังไม่ได้ออกไปไหน"

                "แม่งเอ๊ย" ผมล่ะอยากเอาหัวโขกกำแพง เพราะความใจร้อนทำให้ผมโง่จนลืมตรวจสอบสิ่งต่างๆ ให้รอบคอบ หรือเป็นเพราะเรื่องแปลกประหลาดที่ทำให้ผมเป็นแบบนั้น

                "ไหนๆ ก็ขัดแล้วงั้นก็ตอบมาเลยว่ามึงขับรถออกไปทำไม" มันขมวดคิ้วถาม

                "เพราะเรื่องแปลกประหลาด ที่จริงวันนั้นเป็นวันที่กูรู้สึกว่าเรื่องทุกอย่างกำลังจะจบ มันจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกูถึงได้พาน้องมาอยู่ด้วยกัน มาอยู่ในสายตามึงกับแม่ ตอนกูขึ้นไปตามน้องเราเถียงกันนิดหน่อย กูปล่อยให้น้องคลาดสายตา กูคิดว่าน้องหนีไปแล้ว กลัวว่าเรื่องร้ายๆ ในอดีตจะเกิดขึ้นอีกเลยรีบตามน้องออกไป"

                "ทั้งที่ไม่รู้ว่าน้องออกไปจริงๆ หรือเปล่า"

                "อดีตมันชี้นำกูไงลิขิต กูเลยตัดสินใจแบบนั้น"

                ลิขิตพยักหน้ารับอย่างเข้าใจไม่ได้ว่ากล่าวอะไรผมเพิ่ม มันเองก็เคยผ่านประสบการณ์แบบนี้ย่อมเข้าใจความรู้สึกผมดี แม้เรื่องราวอาจจะต่างกันก็ตาม

                "แล้วยังไงต่อ" ผมทวงให้มันเล่าต่อ

                "พอมึงขับรถออกไปทุกคนก็งง พวกกูวิ่งตามออกไปดูแต่ก็ไม่รู้ว่ามึงจะไปที่ไหน ลองโทรหาก็ไม่รับ จนกูเห็นมือถือมึงวางอยู่บนโซฟา จะขับรถตามไปก็ไม่ทัน กูทักไปหาเพื่อนมึงแต่ไม่มีใครรู้เรื่องซักคน จนเพื่อนเอิร์ธทักมาถึงได้รู้ว่ามึงไปหาไอ้แฮม แล้วก็โดนซ้อมจนมีสภาพแบบนี้"

                "เพื่อนน้องเหรอวะ"

                "จริงๆ กูก็ไม่รู้แค่เดาเอา เอิร์ธบอกแค่ว่ามึงอยู่ที่ไหน"

                "ที่นั่นไม่มีเพื่อนน้องกูจำได้ แล้วคนที่ซ้อมกูก็ไม่ใช่ไอ้แฮม"

                "เออ พวกกูรู้ เอิร์ธจัดการหมดแล้ว"

                "เอิร์ธเหรอวะ" อีกครั้งที่ผมถามด้วยความแปลกใจ

                "ก็พี่รหัสน้องไงที่ซ้อมมึง"

                "ไอ้ปอนด์"

                "เออ ไอ้นั่นแหละ ตอนไปถึงพวกมันยังนั่งกันอยู่ที่ร้านครบแก๊ง ใครสักคนในกลุ่มเป็นคนคอยบอกเอิร์ธ ตั้งแต่เห็นมึงไปโผล่ที่ร้าน เห็นพวกไอ้ปอนด์เดินตามมึงไป พอกลับมาก็หัวเราะคิกคักไม่รู้เกิดเรื่องอะไรหรือเปล่า ตอนไปถึงเอิร์ธก็เข้าไปคุยดีๆ นะ แต่ไอ้ปอนด์แม่งยั่วโมโหบอกมึงน่าจะตายไปแล้วเลยเกือบมีเรื่อง"

                "พวกมึงไปกันกี่คนวะ ไม่กลัวหรือไง" เห็นสิ่งที่มันทำกับผมแล้วก็หวั่นใจขึ้นมา แม้พี่ชายผมจะยังดูปลอดภัยดีก็เถอะ

                "สามคนรวมพุดตาน จริงๆ กูก็กลัวนะ แต่คนคอยรายงานช่วยกดกันอีกแรง ไอ้แฮมก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนฝั่ง แม่งเมาหรือยังไงไม่รู้ โวยวายใหญ่ว่าไอ้ปอนด์ทำอะไรมึง แบบมันมีสิทธิ์ฆ่ามึงได้คนเดียวอะไรแบบนี้"

                อยากจะหัวเราะแต่ก็รู้สึกปวดตามร่างกาย อยู่ๆ ไอ้คนที่เคยร้ายกลับกลายเป็นคนดีขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไอ้เรื่องราวสุดแปลกประหลาดนี้มันเล่นงานผมหนักหน่วงเสียจริง

                "แล้วไงต่อ"

                "พวกไอ้ปอนด์เลยจะหนี มีกันสามคนมั้ง อีกสองคนไม่ใช่เด็กมอเรา พวกไอ้แฮมเลยช่วยจับไว้ คนที่คอยรายงานเอิร์ธเลยพาพวกกูเดินออกมาหามึง เห็นรถจอดอยู่เลยช่วยกันหาใกล้ๆ แล้วก็เจอมึงนอนอยู่ในซอย ใจกูแม่งร่วงไปอยู่ตาตุ่ม มือสั่นไปหมด เอิร์ธยิ่งแล้วใหญ่ มือสั่นเสียงสั่น เรียกมึงไปน้ำตาไหลไป พามาส่งโรงบาลแล้วก็นั่งเฝ้าหน้าห้องฉุกเฉินไม่ยอมไปไหน จนอาการมึงปลอดภัยย้ายมาห้องพักฟื้นแล้วถึงได้ยอมกลับบ้าน มึงหลับไปหนึ่งวันเต็มๆ เลย"

                ผมนึกภาพไอ้ดื้อออกว่าเป็นยังไง มันเหมือนกับภาพซ้อนทับของผมในอดีต ในหัวหนักอึ้งทำอะไรไม่ถูก มันเหมือนหัวใจถูกควักออกไป ทั้งตื่นตระหนกและเหม่อลอยตอนรู้ข่าว

                "แล้วพวกไอ้ปอนด์..."

                "ส่งให้ตำรวจจัดการไปแล้ว เดี๋ยวตำรวจจะมาสอบปากคำมึงด้วยนะ"

                ได้แต่พยักหน้ารับ

                แม้เรื่องราวบทใหม่จะจบไม่เหมือนเดิม ผมปกป้องไอ้ดื้อไว้ได้ แต่คนที่ถูกทำร้ายจิตใจมากที่สุดยังคงเป็นน้องอยู่ดี

                "แล้วทำไมไอ้ปอนด์มันถึงเล่นงานมึงวะ"

                "กูเองก็ไม่รู้" ยังเป็นเรื่องที่ผมหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ในอดีตตัวละครนี้แทบจะไร้บทบาท หรืออาจจะเป็นเพราะผมไม่ได้รู้จักคนรอบตัวไอ้ดื้อเท่าที่ควร ไม่รู้ว่าคนอื่นๆ คิดกับน้องยังไง และไม่เคยคิดสนใจว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับตัวเองเหมือนกัน

                "ไหงเป็นงั้น"

                "กูคงไปทำอะไรให้มันเกลียดโดยไม่รู้ตัวมั้ง อาจจะเป็นเรื่องในอดีต ตัวกูตอนนั้นก็ใช่ว่าจะดีเท่าไร"

                "แต่มึงเป็นน้องที่ดีสำหรับกูนะ โคตรดีใจเลยที่มึงไม่เป็นอะไร"

                "กูก็ดีใจเหมือนกัน"

                บทสนทนาอันเคร่งเครียดของเราจบเพียงเท่านี้ ลิขิตรินน้ำให้ผมดื่ม ใกล้เที่ยงพยายามก็เอาข้าวกับยามาให้ มันช่วยป้อนทั้งที่มือผมยังใช้การได้ดี โดยให้เหตุผลว่าอยากดูแลผมบ้างตอบแทนที่เคยที่ทำอาหารให้กินแม้จะนานๆ ครั้ง



                ประตูห้องเปิดออกอีกครั้งตอนบายโมงกว่า คนที่ผมอยากเจอที่สุดในตอนนี้เดินเข้ามาพร้อมผลไม้ที่น่าจะเป็นของเยี่ยม และรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าซูบโทรม

                ตอนนี้ลิขิตไม่ได้อยู่ในห้อง มันบอกจะลงไปซื้อกาแฟ โดยบอกล่วงหน้าไว้แล้วว่าใครจะมา

                ของเยี่ยมถูกวางไว้บนโต๊ะ ไอ้ดื้อลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง รอยยิ้มบางๆ ยังคงแต่งแต้มบนใบหน้า ขณะที่สายตาไม่ละจากกันไปไหน

                "ยังเจ็บตรงไหนอยู่มั้ยครับ"

                "เจ็บตรงนี้" ผมแตะที่หัวใจเพื่อตอบคำถาม

                "ผมก็เหมือนกัน"

                มือผมถูกดึงปกุมไว้ รอยยิ้มก่อนหน้านี้หายไป ไอ้ดื้อแนบหน้าลงกับมือผมก่อนเอ่ยโทษตัวเองออกมา

                "ขอโทษนะพี่กาล เพราะผม..."

                "เพราะมันต่างหาก"

                "เพราะมันเป็นพี่รหัสผม"

                "เพราะปอนด์ ไม่ใช่เพราะเอิร์ธ" หรือจะบอกว่าเพราะเรื่องราวสุดประหลาดในชีวิตผมก็ได้ อย่างน้อยก็ต้องขอบคุณมันที่ทำให้ผมมีโอกาสแก้ตัว และขอบคุณตัวผมเองที่ยังไม่ตาย

                "ครับ ยอมก็ได้"

                ผมปล่อยให้ไอ้ดื้อจับมือผมไว้อย่างนั้น เราบีบมือกันเบาๆ คล้ายกับต้องการบอกอีกคนว่าอย่าจากกันไปไหน ต่อจากนี้ขออย่าให้มีเรื่องที่ต้องทุกข์ใจแบบนี้อีก

                "พี่เหนือเล่าให้ผมฟังหมดแล้วนะ ทำไมตอนนั้นถึงได้คิดว่าผมจะไปหาพี่แฮมล่ะ"

                "ก็ใครจะไปคิดว่าเราจะเข้าห้องน้ำ"

                "ตอบไม่ตรงคำถาม" ไอ้ดื้อทำหน้าจริงจังใส่

                ลิขิตมันคงไม่รู้จะอ้างถึงเรื่องราวแปลกประหลาดของพวกเรายังไงเลยปัดให้น้องมาถามผมเอง

                "เพราะความฝัน เพราะกลัวว่ามันจะเกิดขึ้น เราเถียงกันด้วยแล้วพี่ก็หาเอิร์ธไปเจอ เลยคิดไปเองว่าเราจะไปหาไอ้แฮม เพื่อไปเคลียร์อะไรทำนองนั้น" มันเป็นคำให้การที่ไอ้แฮมบอกไว้ในอดีต เอิร์ธไปหามันเพราะมีเรื่องอยากจะคุยด้วย แต่กลับจบด้วยการทำร้ายร่างกายซึ่งมันพยายามปฏิเสธข้อกล่าวหา

                "แล้วมันก็เกิดขึ้นจริง"

                ไอ้ดื้อมองผมด้วยแววตาเศร้าสร้อย ผมไม่ค่อยเข้าใจความหมายในสิ่งที่อีกฝ่ายบอกนัก ในเมื่อความฝันนั้นไม่เป็นจริง ทำไมถึงได้บอกว่ามันเกิดขึ้น

                "พี่กาลจำที่ผมเคยบอกตอนเล่าเรื่องความฝันให้ฟังได้มั้ย ความรู้สึกที่เหมือนว่าพี่กาลจะหายไป ผมกลัวจริงๆ นะ"

                ผมจำได้แต่ไม่ได้ใส่ใจ เพราะใจผมห่วงเรื่องของเด็กดื้อมากกว่าจะคิดถึงเรื่องตัวเอง

                "ที่ผมบอกว่ามันเกิดขึ้นจริงคือความรู้สึกของผม ความจริงแล้วในฝันอาจจะไม่ใช่ผม แต่เป็นพี่กาลก็ได้"

                'ไม่ใช่หรอก' ผมเถียงอยู่ในใจ ในฝันนั้นเป็นไอ้ดื้อจริงๆ ส่วนความรู้สึกที่ว่านั้น ปัญหาคงอยากจะเตือนเรา เหมือนอย่างที่ปู่มาเตือนผม

                "ถ้าพี่หายไปจริงๆ ผมจะทำยังไงดี"

                "ตอนนี้พี่ก็อยู่ตรงนี้แล้วไงครับ"

                ไอ้ดื้อกำลังพยายามกลั้นน้ำตา ผมเข้าใจดีว่าช่วงเวลาแบบนี้มันแย่แค่ไหน ในหัวเอาแต่นึกถึงสาเหตุแล้วโทษตัวเองอยู่ซ้ำๆ ตกอยู่ในวังวนของความทรมาน แม้ในตอนนี้ผมจะไม่เป็นอะไร แต่บาดแผลบนตัวผมยังตอกย้ำอีกฝ่ายให้คิดอยู่ดี

                "ร้องไห้ก็ได้นะ"

                "ร้องจนน้ำตาจะหมดแล้ว" ถึงไอ้ดื้อจะบอกอย่างนั้นแต่น้ำตาก็ไหลออกมา เป็นเด็กดื้อที่ขี้แยกว่าที่คิด

                ผมเช็ดน้ำตาให้ สิ่งยิ้มเพื่อบอกให้อีกฝ่ายทำตาม ก่อนจะได้รอยยิ้มอาบน้ำตากลับมาคืนมา เป็นรอยยิ้มที่ผมเห็นความสุขเล็กๆ ซ่อนอยู่ในแววตาคู่นั้น

                "เอิร์ธเล่าเรื่องปอนด์ให้พี่ฟังได้มั้ย" เอ่ยขอในสิ่งเดียวที่ยังสงสัย

                "มันโดนตำรวจจับไปแล้ว"

                "ไม่ใช่เรื่องนี้ดิ หมายถึงเหตุผลที่มันซ้อมพี่"

                "เพราะเมา และเพราะเกลียด" บอกเหตุผลข้อสองที่เสียงแผ่ว ไอ้ดื้อยังกุมมือผมไว้แน่น แต่ผมไม่เป็นไร ก็แค่ฟังเหตุผลที่ถูกเกลียดมันคงไม่เลวร้ายนักหรอก

                "เล่ามาเถอะ"

                "พี่สาวของพี่ปอนด์เป็นหนึ่งในคนที่พี่กาลเคยคบแล้วทิ้ง"

                บอกแค่นี้ผมก็พอเข้าใจ หลายคนชอบผม อีกหลายคนก็เกลียดผมเหมือนกัน ทุกครั้งที่ตัดสินใจสานสัมพันธ์กับใครผมจะขีดเส้นไว้ชัดเจน แต่บางคนก็ไม่ได้อยากยืนอยู่แค่เส้นกั้นตรงนั้น

                "พี่มันชื่อปิ๋ม"

                "จำได้"

                "พี่ปอนด์ไม่ชอบที่มีกาลคบคนไปทั่ว ทั้งผู้ชายผู้ชายไม่เลือก พอพี่มันรู้ว่าผมชอบพี่เหมือนกันก็ยิ่งเกลียดเข้าไปใหญ่ มันเคยเตือนว่าพี่กาลไม่ใช่คนนิสัยดี แต่กับพี่กาลคนที่ผมได้รู้จักจริงๆ ไม่ใช่คนแบบนั้นผมเลยไม่เชื่อ นอกจากนั้นพี่มันก็ไม่เคยแสดงท่าทีอะไรให้ผมสงสัยเลย เรื่องพี่สาวมันผมเองก็เพิ่งรู้เพราะพี่แฮมเล่าให้ฟัง"

                "เกลียดถึงขนาดต้องทำร้ายกันเลยนะ"

                "พี่ปอนด์มันรักพี่ปิ๋มมันมากนะพี่กาล ตอนที่โดนพี่ทิ้งได้ข่าวว่าเฮิร์ทอยู่เป็นเดือน ไหนจะโดนพี่แฮมเป่าหูมาตลอดอีก เพราะเมาด้วยเลยทำลงไปโดยไม่ทันคิด แต่ยังไงการทำร้ายคนอื่นจนปางตายมันก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยอยู่ดี"

                ความรู้สึกของไอ้ดื้อคงสับสนปนเปน่าดู คนหนึ่งก็แฟน คนหนึ่งก็พี่รหัส เข้าใจแต่เข้าข้างไม่ได้เพราะผิดก็ต้องว่าไปตามผิด หากผมตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้คงเครียดจนป่วยไปแล้วแน่ๆ

                "ว่าแต่เราไปคุยกับไอ้แฮมมันด้วยเหรอ"

                "ก็ต้องคุยดิ พี่แฮมก็มาเยี่ยมพี่กาลนะ"

                "แต่มันบอกใครห้ามฆ่าพี่เพราะมันจะฆ่าเอง"

                "คนเมาก็พูดไปงั้นแหละ พี่แฮมมันไม่กล้าทำอะไรหรอก ขนาดผมเอาไม้กวาดฟาดหัวพี่มันยังไม่ทำอะไรผมเลย"

                "ก็ไม่แน่หรอกคนเมา" เพราะถ้าหากมันเป็นคนดีจริงเรื่องในอดีตคงไม่เกิด

                "อคติอ่ะ"

                "ก็ใช่ไง เพราะพี่กับมันเป็นศัตรูกัน"

                ไอ้ดื้อส่ายหน้าใส่ ปล่อยมือผมหันไปหยิบส้มมาปลอก จากนั้นไม่นานแม่กับลิขิตแล้วก็พุดตานก็มาพอดี

                คำว่า 'อดติ' ที่ไอ้ดื้อบอกยังดังก้องอยู่ในหัวผม ไอ้แฮมอาจจะเป็นคนดีจริง แต่ฤทธิ์แอลกอฮอล์นั้นเปลี่ยนคนได้มานักต่อนัก หากในอดีตถ้าไม่ใช่ไอ้แฮมที่ทำ แล้วจะเป็นใครไปได้อีก



                ความฝันกลับมาเยี่ยมเยือนอีกครั้งเมื่อรัตติกาลมาถึง มันพาผมกลับมายังสถานที่อันคุ้นเคยในความฝันครั้งเก่า ความจริงผมไม่ได้อยู่ที่นี่ในวันเกิดเหตุ แต่ตามมาหลังจากได้ยินคำบอกเล่า รวมถึงเหตุการณ์ที่ผมฝันถึง มันเป็นเพียงจินตนาการที่ถูกสร้างขึ้นมา จำลองเหตุการณ์เองขึ้นในหัวว่าวันนั้นไอ้ดื้อถูกกระทำยังไงจากคำบอกเล่าของผู้คน แล้วมันก็กลายเป็นภาพความโหดร้ายที่กลายเป็นความฝันของผมตลอดมา

                และในคืนนี้หลายอย่างดูไม่ต่างจากฝันร้ายที่หายไปของผมนัก ชวนให้สงสัยว่ามันจะกลับมาเล่นงานผมอีกแล้วงั้นหรือ ทั้งที่เรื่องราวสุดแปลกประหลาดในชีวิตน่าจะจบลงไปแล้ว

                ระหว่างที่ผมกำลังตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความฝันของตัวเองอยู่อีกฝั่งของถนน รถแท็กซี่คนหนึ่งก็ขับมาเทียบหน้าร้านเหล้าที่ผมเพิ่งบุกไปหาไอ้แฮมมาเมื่อวันก่อน ไอ้ดื้อลงมาจากแท็กซี่คนนั้นก่อนเดินเข้าไปในร้าน แล้วอยู่ๆ ภาพรอบตัวผมก็เปลี่ยนไป

                "พี่แฮม"

                "มานั่งก่อนๆ"

                ผมเข้ามาอยู่ในร้านเหล้า ยืนอยู่ข้างโต๊ะแต่เหมือนจะไม่มีใครสังเกตเห็น มองไอ้ดื้อที่ขมวดคิ้วแน่นขณะคุยกับไอ้แฮมที่กำลังเมาได้ที่ การสนทนาจึงเป็นไปอย่างไม่ค้อยราบรื่นนัก

                ไอ้ดื้อพยายามจะคุยกับไอ้แฮมเพื่อขอให้อีกฝ่ายตัดใจและเลิกเข้ามาวุ่นวาย น้องไม่ได้พูดถึงผมสักคำเพราะเรื่องของเรายังเป็นแค่ความสัมพันธ์ลับๆ ในตอนนั้น แต่เป็นไอ้แฮมที่พูดชื่อผมออกมา แล้วการพูดคุยก็ดูจะเลวร้ายลงเมื่อมันประกาศชัดเจนว่าเกลียดขี้หน้าผม ไอ้ดื้อยังคงพยายามปกป้อง แต่ในเมื่อคนมันเกลียดคำด่าว่าเสียๆ หายๆ เลยหลุดออกมาทุกครั้งที่ได้ยินชื่อผม

                คงเพราะหมดความอดทนไอ้ดื้อถึงได้ล้มเลิกความตั้งใจที่จะคุยด้วย ลุกขึ้นเดินไปยังอีกโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลกัน โต๊ะที่ไอ้ปอนด์นั่งอยู่ คนที่ผมจำไม่ได้ว่าเมื่อในอดีตอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วย

                ผมเดินตามไปยืนข้างๆ แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นคนอื่นๆ ที่นั่งร่วมโต๊ะ ทั้งโต๊ะมีไอ้ปอนด์คนเดียวที่อยู่ในกลุ่มเพื่อนน้องแต่กลับไม่ใช่คนเดียวในโต๊ะที่ผมรู้จัก เพราะไอ้สองคนที่ผมซ้อมก็นั่งอยู่ตรงนี้เหมือนกัน

                "เรื่องมึงกับไอ้กาลสรุปยังไง"

                "มึงเป็นคนบอกพี่แฮมเหรอ แล้วรู้เรื่องกูกับพี่กาลไอ้ไง"

                "ตอนไปกินเหล้าเดินออกไปด้วยกันขนาดนั้นกูคงไม่เห็นมั้ง แล้วไง มันยังเก็บมึงไว้เล่นอยู่อีกเหรอ"

                "ไม่พูดแบบนี้ได้มั้ยวะ"

                "ทำไม หรือรับไม่ได้ บอกไว้ก่อนเลยนะว่ากูโคตรเกลียดมันเลย"

                "ทำไมวะ"

                "เพราะแม่งเลวไง"

                ไอ้ดื้อไม่ตอบและไม่ได้แก้ตัวอะไรให้ผม มันคือความจริงที่น้องยอมรับและยอมยืนอยู่ในความสัมพันธ์นั้น เป็นความจริงที่ผมเองก็ไม่อาจปฏิเสธเช่นกัน

                "กูขอเตือนนะ มึงเลิกยุ่งกับมันเถอะ"

                "ขอเวลาอีกนิดได้มั้ยวะ กูรักเขาไปแล้วว่ะ"

                ไอ้ปอนด์แสยะยิ้มด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ยืนแก้วให้คนที่นั่งข้างๆ เติมเบียร์ให้ เป็นจังหวะที่ผมเพิ่งได้สังเกตว่าไอ้ชั่วสองคนนั้นมันกำลังมองไอ้ดื้อด้วยสายตาแบบไหน สายตาที่น่าขยะแขยง

                "มันไม่ได้รักมึงจริงเหรอ สันดานมันใครๆ ก็รู้"

                "แต่กูรู้สึกเหมือนเขากำลังรักจะรักกูนะ" พูดเบาๆ ไร้ซึ่งความมั่นใจ เป็นประโยคที่ชวนให้หัวเราะสำหรับคนฟัง

                "มึงฝันอยู่เหรอ"

                "กูรู้สึกแบบนั้นจริงๆ"

                "งั้นก็แล้วแต่มึงเถอะ"

                คนฟังดูไม่ค่อยพอใจนัก ไอ้ดื้อเองก็เหมือนจะจับบรรยากาศได้จึงเลือกที่จะบอกลาแล้วเดินออกมา

                ผมหันหลังกลับตั้งใจจะเดินตามไอ้ดื้ออกไป แต่กลับได้ยินบทสนทนาที่น่าสนใจเข้าเสียใจก่อนจึงหยุดฟังอยู่ที่เดิม

                "คนนั้นแฟนคนที่มึงเกลียดเหรอ"

                "งั้นมั้ง"

                "ดูนึกอะไรดีๆ ออก ถ้ามึงอยากจะเอาคืนไอ้ห่านั่น"

                "ยังไง"

                "เพื่อนมึงก็น่าสนใจดี"

                "ถ้าไอ้เหี้ยนั่นมันรักเพื่อนมึง ของรักของหวงโดนทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ต้องมีรู้สึกกันบ้าง"

                "ไอ้สัดนั่นเพื่อนกู"

                "แต่กูอยากได้ว่ะ"

                ไอ้ปอนด์ไม่ได้ห้ามตอนที่ไอ้ชั่วสองคนลุกขึ้นแล้วเดินออกมาจากร้าน บทสนทนาที่ได้ฟังชวนให้โมโหแต่ผมกลับทำอะไรไม่ได้ ไม่ว่าจะร้องห้ามหรือเอาตัวไปขวางพวกมันเอาไว้ ทำได้เพียงเดินตามไปดูว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้เท่านั้น

                ไอ้ดื้อออกมายืนรอรถอยู่จุดเดิมที่ลงรถ แต่เมื่อเห็นไอ้ชั่วสองคนนั้นเดินมาน้องกลับเดินหนี ห่างออกมาจากจุดที่มีผู้คนทั้งที่ไม่ควรทำแบบนั้น น้องก้าวเร็วๆ คงตั้งใจจะเดินออกไปที่ถนนใหญ่ แต่เมื่อผ่านหน้าซอยมืดก็ถูกพวกมันรั้งตัวเอาไว้ได้ทัน

                พวกมันสองคนเอ่ยขอแสดงความต้องการออกไปตรงๆ แต่เมื่อไอ้ดื้อขัดขืนมันก็ปิดปากช่วยกันลากน้องเข้าไปในซอย ผมรีบตามเข้าไปแม้จะรู้ว่าทำอะไรกับความฝันครั้งนี้ไม่ได้ แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสิ่งที่พวกมันกำลังทำ

                ไอ้ดื้อถูกจบกดลงกับพื้น พวกมันพยายามจะคุกคามแต่เมื่อเหยื่อดิ้นรนจนน่าหงุดหงิดจึงเปลี่ยนเป็นการทำร้ายร่างกายแทน สิ่งของใกล้มือถูกนำมาใช้เป็นอาวุธ คนหนึ่งกระทืบ อีกคนใช้ก้อนหินที่อยู่แถวนั้นมาทุ่มใส่ โหดร้ายจนผมทนไม่ได้ วิ่งพุ่งเข้าไปหาแต่ผ่านเลยมาเหมือนสิ่งที่เห็นนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา

                เป็นเรื่องง่ายที่ผู้คนทำร้ายกัน แต่กลับเป็นเรื่องยากที่จะทำความเข้าใจว่าเพราะเหตุใด

                เมื่อเหยื่อแน่นิ่งพวกมันก็ทิ้งอาวุธแล้ววิ่งหนีลึกเข้าในซอย ผมยังยืนอยู่ที่เดิมด้วยจิตใจที่เหม่อลอย ก่อนสติที่ใกล้เลือนหายจะกลับมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ใครบางคนปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าผม เขามองคนที่นอนอยู่ตรงหน้าด้วยความตื่นตระหนก

                เมื่อคนคนนั้นทรุดลงข้างไอ้ดื้อผมถึงได้เห็นหน้าเขาชัดๆ มือคู่นั้นสั่นเทา ไม่กล้าแตะใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด เขาหันมองก้อนหินที่ใช้เป็นอาวุธก่อนหยิบมันขึ้นมา พึมพำกับตัวเองว่าใครคือคนที่ทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้

                "พี่แฮมทำอะไร"

                ก้อนหินร่วงจากมือเจ้าของชื่อเมื่อเสียงนั้นดังขึ้นจากด้านหลัง ไอ้ปอนด์เดินนำเข้ามาก่อนจะทำหน้าตกใจเมื่อเห็นภาพตรงหน้า รวมถึงคนอื่นๆ ที่ตามเข้ามาทีหลังก็ดูตื่นตระหนกไม่แพ้กัน

                "พี่ทำเอิร์ธเหรอ"

                "ไม่ใช่พี่"

                ไม่มีคำพูดใดตอบกลับมา ไอ้ปอนด์เข้ามาดูไอ้ดื้อด้วยสีหน้าเป็นกังวล หลังจากนั้นก็เกิดความวุ่นวายขึ้นแต่เสียงที่ผมได้ยินนั้นเบาลงเรื่อยๆ ก่อนภาพตรงหน้าจะหายไป

                ผมเดาไม่ถูกว่าจริงๆ ไอ้ปอนด์รู้สึกยังไงเมื่อเห็นเพื่อนสนิทตัวเองอยู่ในสภาพนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้คือไอ้แฮมบริสุทธิ์อย่างที่มันยืนยันจริงๆ



tbc.


เฉลยแล้ว ตอนหน้าจบแล้ววว และหนังสือก็วางขายแล้ววว
ขอบคุณทุกคนที่ตามกันมาจนถึงตอนนี้นะคะ รักมากๆ
เจอกันตอนจบค่า


ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
มีตัวร้ายตัวลับตัวซวย ครบถ้วน

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

โถ ... ไอ้แฮมเลยกลายเป็นจำเลยสังคม  ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรเลยในอดีต

ในอดีต  ไอ้ปอนด์ก็ไม่ได้เป็นผู้ร้าย  แต่ก็อาจเรียกได้ว่ารู้เห็นเป็นใจ เพราะเจือกไม่ห้าม   
แต่ปัจจุบันไอ้ปอนด์เป็นผู้ร้ายเต็ม ๆ ไร้ข้อกังขา


ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
โอ้โห น้องโดนขนาดนี้เลยหรอ  :katai1:

ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

กาลครั้งสุดท้าย


                แม้จะต้องนอนโรงพยาบาลยาวหลายวันแต่ความเหงาไม่สามารถทำอะไรผมได้เมื่อเพื่อนๆ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาเยี่ยมเยียนกันตลอด ทั้งเพื่อนในกลุ่ม เพื่อนไอ้ลิขิต พี่ณดา รวมถึงไอ้แฮมที่มาหาผมพร้อมของเยี่ยมและประกาศศักดาว่าจะเป็นศัตรูกับผมต่อไป

                ความฝันในคืนวันนั้นทำให้ผมต้องมองไอ้แฮมใหม่ ผมเชื่อว่ามันคือความจริงที่เรื่องราวแปลกประหลาดอยากให้ผมเห็น คล้ายกับการบอกลา ทิ้งทวนให้กับบทสุดท้ายของเรื่องราวครั้งใหม่ กับสิ่งที่ผมเข้าใจผิดมาโดยตลอด

                หากลองคิดให้ลึกสักนิด เหมือนกับว่าไอ้ดื้อเองก็พยายามบอกผมมาตลอดว่าใครคือผู้บริสุทธิ์ คนขี้ขลาดดีแต่ปากอย่างไอ้แฮมจะไปกล้าทำอะไรน้องได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่โดนไม้กวาดตีหัวจนแตกแล้วหนีไปอย่างนั้น

                ถึงแม้เหตุการณ์ครั้งนี้จะจบลงที่ผมเดินเฉียดเข้าใกล้ความตาย แต่ผมกลับดีใจที่การพยายามครั้งนี้ช่วยได้ทั้งไอ้ดื้อ และทวงความบริสุทธิ์กลับมาให้ไอ้แฮมได้ในเวลาเดียวกัน

                แต่ก็อย่างว่าไป ถึงผมจะหายโกรธก็ใช่ว่าไอ้แฮมจะยอมญาติดีด้วย มันยังยืนยันคำเดิมว่าไม่ชอบขี้หน้าผม เกลียดสันดานเดิมๆ ของผมที่มันเชื่อฝังใจว่าแก้ยังไงก็คงไม่หาย

                "กูจะคอยจับตาดู ถ้ามึงทำเอิร์ธเสียใจเมื่อไรกูไม่เอาไว้แน่"

                ตอนฟังมันพูดประโยคนี้ผมเพียงยิ้มให้ นับถือในความตั้งมั่นของมันแต่ผมไม่อยากสัญญากับเรื่องในอนาคต เรื่องที่ทำให้เสียใจย่อมเกิดขึ้นได้ แต่ไม่มีวันใช่เหตุผลของการนอกใจอย่างแน่นอน

                และคำว่า 'ขอโทษ' กับ 'ขอบคุณ' จึงเป็นเพียงสองคำที่ผมบอกกับไอ้แฮมไป



                อีกไม่กี่วันจะเปิดเทอม ร่างกายผมแข็งแรงดีแล้ว ออกจากโรงพยาบาลกลับมาพักที่บ้านตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน และยังมีเรื่องคดีความให้ต้องเคลียร์ต่อ ทำร้ายร่างกายเป็นกฎหมายอาญายอมความไม่ได้ แต่ถึงยอมความได้ผมก็ไม่มีทางยอมเด็ดขาด คนที่เป็นตัวการทั้งเรื่องในอดีตและปัจจุบันสมควรที่จะได้รับโทษเสียที

                ถึงแม้จะกลับมาพักที่บ้านแล้ว ตัวผมเองก็รู้สึกแข็งแรงสบายดีแต่ครอบครัวยังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปเที่ยวเล่นที่ไหน เพราะรอยฟกช้ำซึ่งเป็นหลักฐานว่าผมไปโดนอะไรมายังหลงเหลือตามใบหน้าและร่างกาย โชคดีที่ไม่มีกระดูกส่วนไหนแตกหัก อวัยวะภายในไม่ได้รับความเสียหาย อาจจะเป็นเพราะตอนพวกมันซ้อมผมใช้แค่มือกับเท้า ไม่ได้ใช้ก้อนหินทุบตีอย่างที่ไอ้ดื้อถูกกระทำ

                วันนี้ลิขิตไม่อยู่บ้าน ออกไปหาพุดตานตั้งแต่ช่วงสาย พ่อไปทำงานเหลือแม่ที่อยู่ดูแลผม กับผู้ช่วยอีกคนที่มาหากันที่บ้านก่อนจะถึงเวลาเคารพธงชาติเสียอีก

                ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลไอ้ดื้อก็มาหาผมที่บ้านทุกวัน มาถึงเช้าบ้างสายบ้าง ใช้เวลาอยู่ด้วยกันทั้งวันก่อนจะกลับช่วงเย็นๆ ชวนให้ผมรู้สึกอึดอัดนิดๆ ที่เป็นฝ่ายถูกดูแลทั้งที่ตั้งใจว่าอยากเป็นฝ่ายดูแลอีกฝ่ายมากกว่า การถูกดูแลใช่ว่ามันไม่ดี แต่ผมเองก็ห่วงน้อง กลัวว่าจะเทียวไปเทียวมานั่งแท็กซี่มาเองแล้วจะเหนื่อย แม้ช่วงที่อยู่กับผมจะมีเวลาได้นอนกลางวันอย่างเต็มอิ่มก็เถอะ

                วันนี้เองก็เช่นกัน

                พอบ่ายคล้อยลูกแมวก็เริ่มง่วง นอนขดตัวทำตาปรือเล่นมือถืออยู่ข้างผม ชวนให้รู้สึกอยากลูบผมสีม่วงอมชมพูที่ตอนนี้สีหลุดออกกลายเป็นม่วงอ่อนๆ หรือชมพูอ่อนๆ ผมเองก็ไม่แน่ใจ แต่ผมไม้กวาดนี้ยังแข็งกระด้างไม่เปลี่ยนแปลง

                พูดถึงแมว เมื่อพิจารณาหน้าตาดื้อๆ ที่เหมือนพุดตานอย่างกับแฝดแล้วผมเองก็คิดว่าไอ้ดื้อคล้ายแมวอยู่เหมือนกัน อย่างกับเรื่องตลกที่ชีวิตเราสองพี่น้องถูกกีดกันออกจากแมวด้วยคำว่ากลัวกับแพ้ แต่สุดท้ายเรื่องราวสุดแปลกประหลาดบ้าๆ นี้ดันส่งแมวในรูปแบบของมนุษย์มาให้เราสองคนอยู่ดี

                เรื่องแปลกประหลาดบ้าๆ ที่จะเรียกว่าพรหมลิขิตก็ได้

                เกลี่ยผมหน้าม้าที่ปรกหน้าออกก่อนแนบริมฝีปากลงบนหน้าผากของคนที่ซุกอยู่ใกล้อก ไอ้ดื้อเงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าง่วงเหงาหาวนอน ก่อนจะขยับตัวเองขึ้นมาแล้วจูบผมตอบที่ริมฝีปาก

                วางมือลงบนเอวอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะผอมลงนิดหน่อยช่วงที่ผมเข้าโรงพยาบาล ลูกแมวที่กำลังง่วงซุกตัวเข้าแนบชิดกว่าเดิม เราประโคมจูบกันอย่างไม่รู้เบื่อ แตะริมฝีปากหยอกเย้า จูบๆ พักๆ จนลืมนับเวลาที่ล่วงเลย แม้ไม่อยากให้ไอ้ดื้อผอมไปมากกว่านี้แต่ผมกลับไม่อยากเลิกจูบอีกฝ่ายเลย

                ได้ยินมาว่าจูบหนึ่งนาทีช่วยเผาผลาญพลังงานได้ยี่สิบหกแคลอรี่เลยทีเดียว

                "เหนื่อย"

                ซึ่งการดีพคิสมันกินพลังงานจริงๆ

                ไอ้ดื้อผละหนีซุกหน้าลงที่อกผมหลังจากโดนจูบจนปากช้ำ บอกออกมาคำเดียวสั้นๆ ที่ชวนให้ยิ้ม แต่เอาจริงผมก็เหนื่อยเหมือนกัน เพราะเด็กดื้อคนนี้เองก็ร้ายใช่เล่น

                "พี่กาล"

                "ครับ" ตอบรับคำเรียกอู้อี้ของเด็กในอ้อมกอด ไอ้ดื้อเงยหน้าขึ้นมอง ใช้สายตาออดอ้อนมองกัน

                "มีเรื่องสงสัย ถามได้มั้ย"

                "ไม่เห็นต้องถามก่อนเลย"

                "เผื่อไม่อยากตอบ"

                "งั้นก็ไม่ต้องถามหรอก"

                พอเจอสวนกลับก็ทำหน้างอแงใส่ ผมหยิบมือถือที่ไอ้ดื้อวางทิ้งไว้ตรงกลางระหว่างเราออก ก่อนกระชับกอดให้แน่นขึ้นอีกนิด

                "ไหนจะถามว่าอะไรครับ"

                "ทำไมพี่กาลถึงเลิกเจ้าชู้อ่ะ" คนถามกะพริบตาปริบๆ ผมเองก็ไม่คิดว่าอยู่ๆ ไอ้ดื้อจะถามเรื่องนี้ ใจคิดว่าอาจจะเป็นเรื่องความฝันอะไรแบบนั้นมากกว่า

                "ไม่รู้จริงๆ เหรอ"

                "ไม่เชื่อหรอกว่าเพราะผม" ไอ้ดื้อพูดดักทาง ขนาดเป็นแฟนกันได้สักพักแล้วน้องยังไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลย มันน่าดุนัก

                "เพราะไอ้เด็กหัวไม้กวาดคนนี้นี่แหละ"

                จิ้มหน้าผากไปหนึ่งทีไอ้ดื้อก็ทำหน้าง้ำหน้างอใส่ ทุ่มให้ขนาดนี้ รักขนาดนี้แล้วยังไม่รู้อีกว่าผมเปลี่ยนนิสัยเพราะใครมันน่าน้อยใจนัก ทั้งที่ได้เป็นตัวจริงหนึ่งเดียวของพี่เหนือกาลคนฮอตแล้วแท้ๆ

                "เลิกคุยกับคนอื่นไปทั่วเพราะแค่เจอผมที่ร้านข้าวจริงๆ อ่ะเหรอ"

                "แล้วไม่ได้เหรอ"

                "ไม่รู้ดิ พี่กาลเคยบอกแล้ว แต่มันก็..."

                "ไม่น่าเชื่อ"

                "เปล่า แค่ยังสงสัยนิดหน่อยเฉยๆ"

                "มันก็คงเชื่อยากนั่นแหละ คนเคยเที่ยว คบไปทั่ว คุยไปเรื่อย อยู่ๆ ก็เลิกนิสัยแบบนั้นดื้อๆ แล้วมีแฟนเป็นตัวเป็นตน แต่ที่จริงพี่เลิกนิสัยแบบนั้นตั้งแต่ปีสองแล้วนะ"

                "ก่อนเจอผมอีกเหรอ"

                "จะว่างั้นก็ได้" ถ้าหากหมายถึงก่อนจะได้กลับมาเจอกันใหม่อีกครั้ง

                "แต่ตอนผมเข้ามาเรียนแล้วยังได้ยินเขาพูดกันว่าพี่กาลเจ้าชู้อยู่เลยนะ"

                "ก็ไม่ได้มีใครมารู้กับพี่นี่ว่าตอนนี้พี่เป็นยังไง เปลี่ยนไปยังไงบ้าง" เรื่องที่ผมไปเยี่ยมไอ้ดื้อทุกสัปดาห์มีแค่ครอบครัวน้องกับลิขิตที่รู้ หลังจากเกิดเรื่องผมเองก็ไม่ได้เลิกเที่ยวแบบเด็ดขาด เพียงแต่ไม่เคยคุยเพื่อสานต่อกับใคร นอกจากพี่ณดาที่สนิทกันจนทำใครๆ เข้าใจผิด

                "แล้วไม่คิดจะแก้ข่าวบ้างเหรอ"

                "ให้ไปพูดว่า ‘ผมเลิกเจ้าชู้แล้วนะครับ’ แบบนี้น่ะเหรอ"

                ไอ้ดื้อทำหน้าคิดตามก่อนจะส่ายหน้าบอกยอมแพ้เพราะไม่รู้จะให้ผมแก้ข่าวเรื่องความเจ้าชู้ยังไงเหมือนกัน น้องไม่ได้อยากให้ผมป่าวประกาศ แต่ก็คิดวิธีดีๆ ไม่ออก

                "ทุกคนเข้าใจไปแบบนั้นเพราะสิ่งที่พี่เคยทำมันฟ้อง เพราะงั้นตอนนี้ก็ให้พวกเขาเห็นจากสิ่งที่พี่ทำแล้วทำความเข้าใจใหม่เองคงดีกว่า"

                ใครจะพูดอะไรจะนินทาอะไรผมไม่สนใจแล้ว แค่เรื่องทุกอย่างจบด้วยดี แค่ได้ไอ้ดื้อกลับมาอยู่ข้างกัน ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำให้อีกฝ่าย ได้สร้างความทรงจำดีๆ ขึ้นมาด้วยกันใหม่ แค่นั้นก็พอ

                "อยากฟังนิทานก่อนนอนมั้ย" ถามออกไปเพราะเห็นหน้าไอ้ดื้อใกล้หลับเต็มที

                "นิทานก่อนนอนกลางวันอ่ะนะ"

                ผมพยักหน้าให้ มันคือนิทานที่มีเราสองคนเป็นตัวละครหลัก ผมอยากเล่ามันมานานแล้ว ในเมื่อเรื่องราวบทใหม่จบบริบูรณ์ด้วยดี เรื่องจริงที่คล้ายกับความฝันเหล่านั้น ก็คงเป็นแค่เรื่องแต่งที่เอาไว้เสริมสร้างจินตนาการก่อนนอนได้

                "จะเล่าเรื่องอะไร"

                "เรื่องของคนเคยเจ้าชู้คนหนึ่ง"

                คนฟังอมยิ้ม ขยับตัวออกห่างเล็กน้อยเพื่อมองหน้ากันให้ชัดๆ ก่อนเรื่องราวที่ทุกคนลืมเลือนจะถูกพูดถึงอีกครั้ง

                "กาลครั้งสุดท้าย..."

                "ทำไมเป็นครั้งสุดท้าย" เด็กดื้อถามขัดขึ้นมา คิ้วขมวดด้วยความสงสัย

                "เพราะเรื่องนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นอีก"

                สีหน้าสงสัยหายไปแทนที่ด้วยรอยยิ้ม ผมเริ่มเล่านิทานก่อนนอนกลางวันใหม่อีกครั้ง เรื่องราวของอดีตผู้ชายเจ้าชู้คนหนึ่ง เขาได้เจอกับชายหนุ่มรุ่นน้องที่ร้านข้าวเจ้าประจำ ความประทับใจแรกของทั้งคู่เริ่มต้นไม่ดีเท่าไร จุดจบของเรื่องเองก็เช่นกัน

                "ความฝันของผม..." ไอ้ดื้อเอ่ยเสียงแผ่ว มันคือความฝันทั้งสี่ครั้งของอีกฝ่ายที่ผมหยิบยกมาเล่า

                "และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาคนนั้นเลิกเจ้าชู้ตลอดกาล"

                "จับมายำกันแบบนี้ก็ได้เหรอพี่กาล"

                "ได้แหละ"

                "เข้าใจคิด" คนฟังนิทานของผมหัวเราะเบาๆ แม้มันจะเป็นเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นยังไงสำหรับคนฟังก็คงเชื่อได้ยากอยู่ดี

                แต่บอกไปหมดแล้วนะ เหตุผลที่เลิกเจ้าชู้ของผม

                คนในอ้อมกอดหลับตาลงหลังจากฟังนิทานจบ เกลี่ยผมแข็งเหมือนไม้กวาดที่ปรกหน้าผากออกก่อนจูบที่บอกทิวาสวัสดิ์

                "ฝันดี...ไอ้ดื้อ"

                กับฝันร้ายที่จากไปอย่างถาวร



End


จบแล้วกับการแก้ไขอดีตของเหนือกาล แอบสั้นไปนิสต้องขออภัย แฮ่
ขอบคุณทุกคนมากๆ เลยนะคะที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้
ตอนเขียนเรื่องนี้เป็นอะไรที่เราค่อนข้างเครียดและอ่านทวนหลายรอบมาก
เพราะต้องเล่นกับเวลาทำให้เราคิดและเปลี่ยนบทไปมาว่าควรเอายังไงดี บางช่วงก็ตันคิดอะไรไม่ออก
แบบนั้นเวลาไม่ได้ แบบนี้มันก็แปลกอีก จนสุดท้ายเลือกเส้นทางนี้เพราะคิดว่าเหมาะกับเรื่องที่สุด
หวังว่าทุกคนจะสนุกกับเรื่องราวของเหนือกาลกับไอ้ดื้อนะคะ
เรื่องนี้เริ่มจำหน่ายแล้วพร้อมกับเหนือลิขิต (แอบโปรโมตอีกรอบ) มีใครซื้อแล้วบ้างเอ่ย
ส่วนอีบุ๊กจะเริ่มบายวันที่ 1 เมษายนนะคะ อีกไม่กี่วันแล้ว
แล้วเจอกันใหม่เรื่องหน้า ขอบคุณทุกคนที่ติดตามเสมอมาค่ะ รัก


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
จบลงด้วยดี  :katai2-1:
 :pig4:

ออฟไลน์ Freezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 271
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
น่ารัก ทั้งสองเรื่อง้ลยครับ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด