Chapter 52
รั้ง
“สรุปมึงกับพี่เคนนี่ได้กันหรือยัง”
คำถามที่ดังเอากลางวงกินข้าวใต้อาคารเรียนของกลุ่มนักศึกษาเอกภาษาญี่ปุ่น ทำเอาคนถูกถามถึงกับสำลักน้ำแดงที่กำลังยกซดอยู่
“แค่กๆๆ” จูนหันไปถลึงตาใส่ปิ๊กด้วยไม่อยากจะเชื่อหู “ปิ๊ก?! อะไรของแกวะ”
“ก็ถามไง ก็ถาม”ปิ๊กพูดเสียงสูงยิ่งทำเอาเพื่อนทั้งโต๊ะหันมามองด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“นั่นสิ จูน อะไรไปถึงไหน เมื่อเช้าก็เห็นพี่เคนเดินมาส่งแทบจะถึงหน้าห้อง กระหนุงกระหนิง”
จูนแทบจะเบือนหน้าหนีในทันทีเมื่อได้ยินเพื่อนใช้คำว่า “กระหนุงกระหนิง” พาลคิดถึงพฤติกรรมของบุคคลที่ถูกกล่าวถึง ผู้ชายร่างใหญ่อย่างเคนเดินกุมมือของเขามาส่งจนถึงหน้าห้องถึงจะเขินมากจนอยากจะปล่อยมือแต่เคนก็ดูจะยืนยันที่จะจับเอาไว้อย่างนั้น
‘ไม่อยากปล่อย’ คือคำตอบสั้นๆที่เคนมอบให้ พร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆบนใบหน้าคม
“นั่น...ไม่ตอบไม่ตอบแสดงว่า...” ปิ๊กกระเซ้าแหย่ไม่พอยังขยับไหล่กับหน้าอกอวบๆมาเบียดไหล่ของจูนอีกต่างหาก จนเด็กหนุ่มต้องส่ายหน้าด้วยความระอา
“ก็....เป็นแฟนกัน แค่นั้นยังไม่มีอะไร จบยัง” เด็กหนุ่มตอบพยายามสนใจกับกับข้าวตรงหน้ามือตักข้าวคำโตเข้าปากเคี้ยวกร้วม
“ว้าย...แฟน...อุ้ย หวาน เลิฟอ่ะจูน” แพรยิ่งแหย่หนักเข้าไปใหญ่ “นี่ฉันถึงกับเซิร์ชพันทิปหาเรื่อง “ล้างตู้” ให้เพื่อนเลยนะ” ไม่วายหันหน้าจอโทรศัพท์มือถือไปให้จูนที่นั่งอยู่ตรงข้ามดู
“แค่กๆ” คราวนี้จูนถึงกับสำลักหนักกว่าเดิม จนน้ำหูน้ำตาไหลไปหมด “ไอ้แพร! ไอ้....ไอ้....ไอ้ผู้หญิงเสื่อม มาพูดอะไรตรงนี้วะ กินข้าวอยู่ กินข้าว!” จูนโวยวายหนักกว่าเก่าเมื่อเจอเพื่อนพูดแบบนั้นล้อเล่นแบบนั้น ใบหน้าแดงไปจนถึงหูเพราะในใจก็รู้ดีว่านั่นเป็นอะไรบางอย่างที่คงจะต้องเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเคน
‘และไอ้หมีนั่น...ยิ่งเร่าๆว่าอยากได้อยู่ด้วย’
[/i]
“แล้วกับพี่นิดน่ะ ฝ่ายนั้นเขาเคลียร์แล้วเหรอ”
อยู่ๆปิ๊กก็กระซิบถามระหว่างที่ทุกคนลุกเพื่อเอาจานข้าวไปเก็บ เตรียมตัวไปเรียนคาบถัดไป จูนหันไปมองหน้าเพื่อน ริมฝีปากขยับเป็นรอยยิ้มน้อยๆ
“ก็...ไม่รู้สินะ”
“ได้ไงวะ ไม่รู้ แล้วพวกมึงเมื่อไรจะได้อยู่กันดีๆ”
“พี่เขาก็ว่าเขาเลิกนะ”
“แล้วมันจริงดั่งว่าไหมล่ะ เมื่อคืนกูยังเห็นนางโพสต์อยู่เลยว่านางไปดูงานที่ชมรมมึงมา”
“ก็จริง แต่พี่เคนไม่ได้เป็นคนชวนนะ” จูนว่าพลางโคลงศีรษะเล็กๆ “ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปเอาตั๋วมาจากไหน”
“แล้วมึงเชื่อพี่เคนเขาจริงๆใช่ไหม”
“เชื่อ...เขาก็บอกกับกูนะว่าจะไม่อะไรกับพี่นิดอีก” จูนพึมพำเบาๆ ก่อนจะต้องหยุดเดินเมื่อเห็นว่ามีใครบางคนเดินเข้ามาหา
“กูเผ่นนะมึง....เจอกันที่ห้องเรียน” ปิ๊กชิงออกตัวก่อนเมื่อเห็นว่าคนที่เดินเข้ามาคือคนที่เพิ่งจะพูดถึงไปเมื่อสักครู่
“พี่นิด... สวัสดีครับ” จูนรีบวางจานข้าวลงกับที่วางจานแล้วยกมือสวัสดีเชียร์ลีดเดอร์คนสวยประจำคณะวิทยาการจัดการ เพียงแค่มองหน้าของนิดในตอนนี้หัวใจของเขาก็เต้นไม่เป็นส่ำแล้ว
...สวยจริงๆ...
[/i]
“สวัสดีจ้ะ จูน เมื่อคืนเลยไม่ค่อยได้คุยกันเลย พอจะมีเวลาหน่อยไหมคะพี่ขอคุยด้วยสักนิด”
“เอ่อ...พอดีเดี๋ยวผมมีเรียน” เด็กหนุ่มพยายามจะบ่ายเบี่ยงแต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อมือเรียวเล็กของคนตรงหน้ายื่นมาแตะแขนของเขาเบาๆ
“นะจ๊ะ พี่ขอคุยด้วยแป๊บเดียว ไม่สายหรอกค่ะ เดี๋ยวพี่ก็ต้องไปเรียนภาษาอังกฤษเหมือนกัน” คนตรงหน้าส่งสายตาออดอ้อนในแบบที่จูนเห็นมาหลายครั้งทั้งต่อตาตัวเองและเห็นอีกฝ่ายทำเพื่ออ้อนใครบางคน
...และคงต้องยอมรับว่ามันได้ผลทุกครั้งไป....
[/i]
“พี่นิด มีอะไรหรือเปล่าครับ” เด็กหนุ่มหันมองซ้ายขวาเมื่อพาอีกฝ่ายเดินมาตรงทางลานจอดรถของคณะด้านหน้าตึกสำนักงานซึ่งเป็นบริเวณที่ปกตินักศึกษาจะไม่ค่อยเดินผ่านซักเท่าไรนัก
“จูนคงพอจะรู้...ว่าหลังๆมานี่พี่กับพี่เคนอาจจะ...ห่าง...กันบ้าง”
คำที่อีกฝ่ายเลือกใช้ทำให้จูนขมวดคิ้วเล็กๆ แต่ก็พยายามจะเก็บอารมณ์เอาไว้ อันที่จริงเขารู้สึกปั่นป่วนในท้องจนไม่แน่ใจว่าควรจะแสดงออกไปอย่างไร
“พอดี ช่วงนี้พี่ก็เห็นว่าจูนกับพี่เคนไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ จูนคงพอรู้ว่าถ้าพี่เคนเขามีคนอื่นหรืออะไร...” หญิงสาว
ตรงหน้าเอ่ย ดวงตากลมโตนั่นมองตรงมายิ่งทำให้จูนรู้สึกกระอักกระอ่วน
“ผม...ผมคิดว่าเรื่องแบบนี้ ผมไม่ใช่คนที่จะบอกพี่นิดหรอกครับ” เด็กหนุ่มตอบไปตามตรง ระมัดระวังเหลือเกินในการใช้คำพูดของตัวเอง “ผมรู้แค่ว่า พี่เคนเป็นคนสรรหาคำมาพูดไม่เก่ง เขาคิดอะไรจะทำอะไร การกระทำของเขาจะมาก่อนเสมอ ถ้าเขาคิดว่ามันยังไม่ชัดมากพอ เดี๋ยวเขาจะโชว์ให้เห็นเอง”
เด็กหนุ่มตอบคนตรงหน้าไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ในหัวยังนึกถึงคำพูดของเคนย้อนไปตั้งแต่ช่วงที่เคนเริ่ม “สนใจ”เขาตั้งแต่เมื่อสองสามเดือนก่อน ริมฝีปากนั้นเผลอเหยียดเป็นรอยยิ้มน้อยๆ
....ถึงจะลังเล งี่เง่า ช้าเป็นเต่าคลานในเรื่องการตัดสินใจไปบ้าง...
...แต่มันเป็นเรื่องของความรักนะ...
...มันจะมาเล่นๆได้ยังไง...
[/i]
“เพราะงั้น...พี่นิดไปคุยกับพี่เคนเถอะครับ” ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งว่าพลางยิ้มให้คนเชียร์ลีดเดอร์คนสวย
“แต่พี่...” เสียงเล็กๆดังขึ้นพร้อมมือเรียวที่เอื้อมมาจับที่แขนของเด็กหนุ่ม “พี่มีเรื่องที่อยากรู้มากกว่านั้นนี่นา”
“ครับ?” เด็กหนุ่มต้องแปลกใจกับดวงตากลมสวยที่จับจ้องมา ในดวงตานั้นมีความสงสัยใคร่อยากจะถามความบางอย่าง
“จูนไม่รู้เรื่องอะไรจริงๆใช่ไหม อย่างเรื่องของคนที่พี่เคนเขาอาจจะแอบไปคุยด้วย...”
“ผม...” ใจในอกของเจ้าของชื่อเต้นแรง เขาควรจะหาคำมาโกหกคนตรงหน้าไป หรือ พูดออกไปตามความจริง เพราะในความเป็นจริงแล้วมันเป็นเขาต่างหากที่มีสิทธิ์ในใจของ
“พี่เคน” ที่ผู้หญิงคนนี้กำลังพูดถึงเขาควรจะบอกออกไปได้สิว่า คนๆนั้นได้เลือกเขาแล้ว
“ผมไม่อยากให้พี่ต้องเสียใจ
ถ้าต้องได้ยินจากปากผม...ผมพูดไม่ได้ครับ พี่นิดไปฟังจากพี่เคนจะดีกว่า”
…………………………
คำพูดกับท่าทีของจูน เด็กหนุ่มผมทองกับดวงตาสีฟ้าเพราะคอนแทคเลนส์คู่นั้นดูเหมือนจะยิ่งทำให้ทุกอย่างดูเป็นปริศนาไปหมดสำหรับนิด แน่นอนว่าเธอหงุดหงิด เธอคิดว่าเด็กผู้ชายที่ท่าทางอ่อนแอแบบนั้นคงจะยอมเปิดปากพูดทุกเรื่องออกมาได้แน่หากได้ยินคำร้องขอจากปากของเธอ แต่ตรงกันข้าม เด็กหนุ่มผมทองคนนั้นกลับตอบกลับมาราวกับการรักษาคำความลับกับรุ่นพี่นั้นเป็นเรื่องใหญ่โต คาบเรียนภาษาอังกฤษยามบ่ายของนิดดำเนินไปด้วยความรู้สึกปั่นป่วนในท้อง แล้วคำตอบแบบไหนกันที่เธอควรจะต้องฟังจากปากของเคนด้วยตัวเองยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกปวดหัวจนเรียนแทบไม่รู้เรื่อง
...หรือจริงๆแล้วมันไม่มีคำตอบอะไร...
....หรือจริงๆแล้วพี่เคนก็แค่โกหกว่ามีคนอื่นเพื่อที่จะไล่เธอไป...
[/i]
ถึงแม้ความเป็นไปได้จะดูเลือนรางแต่ก็ยังอยากจะเข้าข้างตัวเองต่อไป เด็กสาวกลับไปยังหอพักในตอนเกือบสี่โมงหลังจากเลิกเรียน รถยนต์คันเล็กสีแดงของเธอเลี้ยวเข้าไปยังบริเวณหอพัก และประหลาดใจเมื่อเห็นมอเตอร์ไซค์สีดำคันใหญ่ที่คุ้นตาจอดอยู่ตรงที่จอดรถหน้าหอพัก ไม่มีหมวกกันน็อคสีชมพูดของเธอแขวนอยู่อีกแล้ว
“พี่เคน...” นิดเอ่ย ในใจของเธอยังเจ็บปวดจากคำพูดเมื่อคืนก่อนของชายหนุ่มร่างสูง ดวงตากลมโตจ้องใบหน้าคมของอีกฝ่าย ใบหน้าที่ในตอนนี้แทบไม่แม้แต่จะแสดงอารมณ์แปลกใจที่เธอเดินเข้ามาทักเลย
“ขอโทษที่ไม่ได้โทรมาบอกก่อน” ร่างสูงเอ่ย พลางลุกขึ้นยืนหลังจากที่นั่งอยู่กับม้านั่งหินมาพักใหญ่ เคนอยู่ในชุดนักศึกษาดูเรียบร้อยกว่าทุกครั้งเพราะเอาเสื้อเข้าในกางเกงสวมรองเท้าหนังดูแปลกตาใช่ย่อย
“วันนี้มีสอบเหรอคะ”
“อืม...สอบเสร็จไปตอนบ่ายสอง เลยพอมีเวลาน่ะ..” มือแกร่งเอื้อมไปหยิบกล่องพลาสติกใบหนึ่งมาถือเอาไว้ “เลยไปเอานี่มาให้ เดี๋ยวจะถือขึ้นไปให้บนห้องก็แล้วกันนะ หนักเหมือนกัน”
“ของขวัญให้นิดใช่ไหมคะ” อาจเป็นเพราะบรรยากาศที่ต่างออกไปของคนตรงหน้าทำให้นิดเลือกจะแหย่เมื่อเดินตามร่างสูงขึ้นไปที่ห้อง
“อืม..
.ของนิดนั่นล่ะ” เคนตอบรับเบาๆ แล้วหยุดที่หน้าห้องของหญิงสาว รอให้อีกฝ่ายเปิดประตูให้ หญิงสาวกุลีกุจอเปิดประตูห้องให้กับอีกฝ่ายซึ่งชายหนุ่มก็ถอดรองเท้าเดินเอาของเข้าไปวางไว้ด้านในดูท่าทางคล้ายรีบร้อนอยู่ในที
“พี่เคนรีบเหรอคะ” เด็กสาวถามรู้สึกปวดหัวและมวนท้องอย่างประหลาด
“อืม...ต้องรีบไปน่ะ พี่แค่เอาของของนิดที่นิดเคยให้พี่มาคืน” เคนว่าพลางหันไปมองกล่องที่เขาเอาเข้าไปวาง ท่าทางเหมือนมองสำรวจข้าวของของนิดไปด้วยในที “ถ้านิดไม่ทิ้งก็...คงเอาไว้แต่งห้องได้”
“นี่มันอะไรกัน!? พี่เคน! นี่พี่เคนคิดจะเลิกกับนิดจริงๆใช่ไหม พี่เคนเห็นนิดเป็นอะไร อยู่ๆจะเอาของมาคืนแล้วทิ้งกันไป
ง่ายๆเหมือนขยะพวกนี้น่ะเหรอ!”
เด็กสาวตรงเข้าไปหยิบลังพลาสติกนั้นขึ้นมาเท ข้าวของกระจัดกระจายเต็มพื้น ทั้งตุ๊กตา พวงกุญแจ ภาพถ่าย แม้แต่หมวกกันน็อคสีชมพู เป็นตัวแทนความทรงจำตลอดช่วงเวลาที่คบหากัน ทุกอย่างกระจัดกระจายลงบนพื้นเช่นเดียวกันกับหัวใจดวงน้อยของหญิงสาว
“พี่บอกนิดไปแล้ว พี่ไม่อยากให้ทุกอย่างมันยืดเยื้อไปมากกว่านี้” เคนเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างอึดอัดก่อนจะหันมองหน้าของนิด “พี่บอกแล้ว ว่าพี่มีคนใหม่แล้ว พี่ไม่อยากให้เขาเสียใจไปมากกว่านี้”
เผี้ยะ
เสียงฝ่ามือกระแทกเข้ากับใบหน้าของร่างสูงดังลั่นห้อง ใบหน้าคมหันตามแรง
“แล้วนิดไม่เสียใจรึไง! ไม่ ได้ยินไหมว่า ไม่ นิดไม่เลิก!” เชียร์ลีดเดอร์สาวคนสวยตอนนี้กลับกรีดร้องด้วยใบหน้าเหยเก ดวงตาของเธอจ้องมองมาอย่างโกรธเกรี้ยว ร่างเล็กหายใจแรงจนตัวแทบโยนด้วยความรู้สึกที่เธอไม่อาจอดกลั้นเอาไว้ได้อีก สองมือทุบลงบนอกหนาของชายหนุ่ม ริมฝีปากที่แต้มสีพึมพำเป็นคำพูดที่ฟังไม่ได้ศัพท์
“นิดผิดตรงไหน......นิด.....นิด....” นิดยังคงสะอื้นหนัก
“พี่ขอโทษ” เคนได้แต่ถอนหายใจ ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะแตะต้องสองไหล่ที่สั่นระริกนั่น
....ไม่มีความรักไหนที่ไม่เจ็บปวด...
....ไม่ว่าจะตอนเริ่ม หรือ ตอนจบ...
“พี่ไปนะ” ร่างสูงเอ่ยสั้นๆ ก่อนจะทำท่าจะเดินออกไปจากห้องของนิด
“ไม่...ไม่ ...ไม่ให้ไป” เจ้าของห้องกระโจนเข้าไปกอดอีกฝ่ายไว้จากด้านหลัง นิดร้องออกมาเสียงดังในแบบที่เคนเองไม่เคยได้เห็น เหมือนสติของเธอไม่ได้คงอยู่ตรงนั้นแล้ว
“บอกนะว่าคนนั้นเป็นใคร! นิดจะไปบอกให้มันเลิกกับพี่ ไปบอกมันว่าพี่มีนิดแล้ว...นิด ..นิด...” ลมหายใจของนิดเริ่มติดขัด สองขาพยุงตัวเอาไว้ไม่อยู่ มือที่จับเสื้อของเคนเอาไว้ขยุ้มเกร็ง ร่างบอบบางสั่นสะท้านไปทั้งร่างก่อนจะล้มลงกับพื้นตรงเท้าของเคน''
“เฮ้ย?! นิด!? นิดเป็นอะไร นิด!!”
แขนบางเหยียดเกร็งแน่นปลายนิ้วงอหงิก ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้มดวงตากรอกขึ้นด้านบน เคนรีบคว้าร่างเด็กสาวนอนตะแคงทันทีเพราะกลัวว่าจะสำลักน้ำลาย ลองเปิดปากดูแล้วไม่มีอะไรจะเป็นอันตรายก็โล่งใจไปได้หน่อย ชายหนุ่มปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาตัวน้อยของเธอออกหวังอยากให้หายใจได้สะดวก แล้วรีบหาหมอนมารองศีรษะ แต่เพียงแค่ชั่วครู่ก็นิ่งและหมดสติไป เขาเฝ้าดูอาการอีกระยะ ลองหายาดมมาให้ดมแต่นิดก็ยังไม่ได้สติ
“....นี่มันเกิน 10 นาทีแล้ว...” เคนพึมพำ เขาเคยเห็นรุ่นน้องเป็นลมมาก็เยอะในช่วงรับน้องเคยพยายาลเบื้องต้นมาหลายคนแต่ปกติน้องจะรู้สึกตัวอย่างรวดเร็ว
สุดท้ายแล้วจึงตัดสินใจเรียกรถพยาบาล และโทรศัพท์บอกพ่อกับแม่ของนิด...และโทรบอกคนรักของเขาด้วย
....................................
เสียงฝีเท้าดังก้องมาตามทางเดินของโรงพยาบาลในเขตมหาวิทยาลัย คนที่นั่งอยู่ที่หน้าห้องพักผู้ป่วยเหลือบมองก่อนจะยิ้มเมื่อเห็นว่าใครเดินกำลังเดินมาด้วยท่าทีร้อนรน
“พี่เคน?! เป็นอะไรรึเปล่า?”
เคนอดไม่ได้ที่จะยิ้มกับท่าทีนั้นของเด็กหนุ่มผมทอง มือแกร่งยื่นออกไปราวกับจะบอกให้จูนเข้ามาหาใกล้ๆ ก่อนจะรั้งร่างสูงโปร่งนั้นให้โน้มลงมากอดคอเอาไว้หลวมๆ มือแกร่งนั้นสั่นระริก
“พี่ไม่เป็นไร...” แต่เสียงที่เอ่ยออกมานั้นกลับแหบพร่า
“ไม่เป็นไรได้ยังไง แล้วนี่หน้าพี่ไปโดนอะไรมา” จูนถามและยิ่งร้อนรนเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นว่าบนหน้าของเคนนั้นแทบจะเรียกได้ว่าบวมไปข้างหนึ่ง ที่มุมปากยังมีรอยเลือดและมีรอยข่วนจนเลือดซิบอยู่ที่ปลายคาง
“อ่อ...ตอนนพาขึ้นรถพยาบาลอยู่ๆนิดก็ลุกขึ้นมางอแงน่ะ เลยโดนลูกหลงไปหน่อย แต่...เขาก็สลบไปอีก” ร่างสูงถอนหายใจออกมาเบาๆ
“พี่นิด? แล้วพี่เขาเป็นอะไรมากรึเปล่า” แค่เพียงได้ยินชื่อก็นึกถึงคำพูดของตัวเองที่พูดกับนิดไปเมื่อตอนเที่ยง
“ไม่เป็นไรแล้วล่ะ เห็นว่านอนพักอยู่ พ่อแม่เขาก็มาแล้ว”
“พ่อแม่?”
“ใช่...พี่โทรตามน่ะ นิดอยู่หอก็จริงแต่พ่อแม่บ้านก็อยู่ในตัวเมืองนี่ล่ะเลยรีบมาได้พอดี อีกอย่าง...พี่ก็บอกท่านไปแล้วด้วยว่า นิดคงจะเครียดเพราะพี่เพิ่งบอกเลิกเขาไป” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาดวงตาคมเหลือบมองไปทางด้านประตูห้องพัก “เลยโดนพ่อเขาต่อยมาหมัดนึง”
“ต่อย? อะไรเนี่ย ทำไมต้องทำกันขนาดนี้ล่ะ”
“เชื่อเถอะ พี่สมควรโดนแล้วล่ะ...ไปกันเถอะ พี่ต้องกลับไปเอามอเตอร์ไซค์ที่หอนิดอีก”
.....................
“โอย...เจ็บว่ะ” เสียงเคนร้องเมื่อขี่มอเตอร์ไซค์มาส่งจูนที่หอและขอเจ้าของห้องขึ้นมานั่งพักที่ด้านบน จากตอนแรกที่กะว่าจะเพียงแค่ไปคืนของแล้วมารอรับจูนตอนเย็นที่คณะกลายเป็นว่าเวลาล่วงเลยมาจนหัวค่ำกว่าจะได้มาถึง เคนปลดกระดุมเสื้อลงด้วยความอึดอัด รองเท้าหนังถูกถอดทิ้งไว้ตั้งที่หน้าประตู ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งกับโซฟาที่เคยมาอาศัยนอน
“ไหน...ขอดูหน่อยได้ไหม” เสียงเด็กหนุ่มว่าก่อนพาร่างโปร่งมานั่งข้างๆบนโซฟา สองมือจับใบหน้าของอีกฝ่ายให้หันมา ดวงตารีเรียวที่ยังใส่คอนแทคเลนส์สีสวยอยู่นั้นพิจารณาความเสียหายบนใบหน้าของอีกฝ่าย “พี่เนี่ยล่ะน้า ทำไมหาเรื่องใส่ตัวเองได้ตลอด ทำแผลแล้วคืนนี้ก็นอนนี่ละนะ ไม่ต้องขี่รถกลับหรอก”
“อืม.....” เคนไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงแค่ซบหน้าที่บอบช้ำลงกับไหล่ได้รูปของเด็กหนุ่มเจ้าของห้อง “พักสักหน่อยก็ดี”
.............................................
ฝ้าเพดานมีเพียงแสงไฟสะท้อนเข้ามาจากด้านนอก เคนยังนอนไม่หลับจ้องมองฝ้าไปพลางก่ายหน้าผากไปพลางอยู่แบบนั้น
“นอนไม่หลับ?” เสียงนุ่มดังขึ้นในความมืด
“อืม”
“เรื่องวันนี้ความจริงพี่ไม่ต้องไปเองก็ได้ พี่ก็รู้” จูนเอ่ยขึ้นเบาๆ
“อืม ก็แค่ไม่อยากให้เขาคิดไปเองอีก อยากให้ทุกอย่างมันชัดเจน”
“แต่...จริงๆมันก็ไม่ได้ทำให้สบายใจเหมือนที่คิดใช่ไหมล่ะ” จูนพูดขึ้น เขาไม่ได้คาดหวังให้ทุกสิ่งมันจบไปราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นอยู่แล้ว
“พี่แค่...แปลกใจตัวเองที่ไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นวันนี้ เพียงแค่ภาพที่พี่เห็นมันยังติดตา” เคนเอ่ยขึ้น ภาพของนิด เชียร์ลีดเดอร์สาวคนสวย “แฟนเก่า” ของเขา ท่าทีที่เปลี่ยนไป น้ำเสียง การกระทำทุกอย่างเมื่อตอนเย็นกับสภาพที่เธอนอนหมดสติอยู่บนเตียงคนไข้ เขาไม่เคยคิดเลยว่าสุดท้ายของความรักจะทำให้คนๆหนึ่งเปลี่ยนไปได้แบบนั้น
“หืม?” เคนทำเสียงในลำคอเมื่อรู้สึกถึงมือเรียวที่ยื่นเข้ามาดึงแขนของเขาออกจากการก่ายหน้าผาก เมื่อเอนศีรษะไปมองก็เห็นจูนกำลังนอนตะแคงมองมาที่เขาในความมืดสลัวนั้นเขามองไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายสักเท่าไร รู้สึกได้ถึงปลายนิ้วของเด็กหนุ่มที่แทรกเข้ามาไล้เล่นที่เส้นผมของเขาเบาๆ
“หลับตาสิ” เคนทำตามอย่างว่าง่าย สัมผัสแผ่วเบานั้นราวกับปลอบประโลมตัวเขาอยู่โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไร รู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนของคนที่อยู่ข้างๆ น่าแปลกทั้งๆที่อีกฝ่ายก็เป็นผู้ชายแท้ๆแต่กลับไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนมอบสัมผัสแบบนี้ให้เขาเลย
“ผมอยู่ตรงนี้ล่ะ จนกว่าพี่จะหลับ นอนเถอะครับแล้วพรุ่งนี้เช้าเราไปหาอะไรทานที่คณะกัน”
...................................................................
โรงอาหารคณะมนุษฯในตอนเช้า เพียงแค่เดินผ่านก็เรียกน้ำลายสอ กลิ่นอาหารในตอนเช้ายั่วนวนใจเมื่อสองหนุ่มมาถึงตอนใกล้จะแปดโมง จูนอาหารเดินไปซื้อน้ำ ในขณะที่เคนเป็นคนไปซื้อข้าวราดแกงสำหรับสองคน ข้าวสองจานร้อนๆวางตรงหน้า ทั้งสองคนลงมือทานพร้อมรอยยิ้ม เมื่อคืนเพียงแค่ต่างหลับไปเพราะความเหนื่อยอ่อน แต่ตื่นขึ้นมาอยู่ในอ้อมแขนของกันและกันเป็นครั้งแรกก็อดจะยิ้มเขินๆให้กันไม่ได้ สุดท้ายก็แต่งตัวออกมาจากห้องพร้อมกัน
“เสื้อใส่ได้แน่นะ” จูนอดจะขำไม่ได้เมื่อเขาบังคับให้เคนใส่เสื้อนักศึกษาของเขา ตรงต้นแขนกับอกแน่นเสียจนติดกระดุมไม่ได้ เคนต้องปล่อยชายเสื้อเปิดออกไว้อย่างนั้นดีที่มีเสื้อยืดใส่ไว้ด้านใน
“แน่นมาก...ก็บอกแล้วว่าเสื้อตัวเมื่อวานก็ได้ จะระเบียบอะไรกับพี่เนี่ย”
“ก็มันเหม็นแล้วนีนา พี่เคนไม่เข้าใจคนซ้อนท้ายหรอก”
“โอเคๆ ครับๆ ยอมรับพี่ไม่ได้หอมเหมือนเรานี่นา” ว่าพลางก็ทำท่าจะเข้ามาสูดใกล้ๆ จนจูนต้องขยับหนี
“ที่นี่คณะผม....เกรงใจหน่อย”
“เหอะ คอยดูกลับไปตอนเย็นพ่อจะจับหอมให้ทั่วตัวเลย” เคนคาดโทษที่อีกฝ่ายทำท่ารังเกียจแบบนั้น แต่ปากก็ยังคลี่ยิ้มให้ เขาตักข้าวเข้าปากอย่างอารมณ์ดี ตอนเช้ากะจะเข้าไปนั่งเรียนคาบแรกเสียก่อนจะรีบกลับหอไปเปลี่ยนเสื้อเพราะคงทนความแน่นฟิตนี่ไม่ไหว แต่แล้วเมื่อเงยหน้าขึ้นมามองก็ต้องหยุดช้อน เพราะรู้สึกเหมือนเห็นใครบางคนยืนอยู่ไกลๆ
“มองอะไรอ่ะพี่เคน” จูนว่าพลางหันไปมองตาม
“นิด?” to be continued….