[ หลงพระจันทร์ ]
บทที่ 3 : ฟ้าหลังฝน
“สรุปแล้วคือ...อยากจะลาออก?”
“ไม่ใช่แบบนั้น”
ผมถอนหายใจกอดเข่าตัวเอง มองแทนทัพผ่านหน้าจอโทรศัพท์ที่ทั้งเก่าและแตกด้วยความรู้สึกกลุ้มใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน วันแรกของการทำงานที่ควรจะเป็นการเริ่มต้นที่ดีผมกลับทำทุกอย่างพังไม่เป็นท่า
หลังจากมื้ออาหารที่แสนอึดอัดจบลง คุณเจโรมกลับไปจัดการธุระต่อ ส่วนผมเหลืองานกองโตที่อาจจะต้องใช้เวลาตลอดทั้งบ่ายหมดไปกับการเก็บหนังสือเข้าชั้น ลูนยังคงนอนบิดขี้เกียจอยู่ในห้องไม่ไปไหน ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไร... แม้ว่าบรรยากาศระหว่างมื้ออาหารจะดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
กระทั่งคล้อยบ่ายแก่ คุณป้าเดินขึ้นมาแจ้งกับผมว่าคุณเจโรมมีธุระด่วนต้องออกไปข้างนอกและจะกลับเข้ามาอีกทีตอนค่ำจึงอนุญาตให้ผมเลิกงานก่อนเวลาเกือบชั่วโมง ทว่าเมื่อผมเอ่ยขอเลิกตามเวลาปกติเพื่อจัดการหนังสือตรงหน้า คุณป้ากลับยืนกรานตามคำสั่งที่ได้รับ
วินาทีนั้นเองที่ความกังวลเริ่มก่อตัวขึ้นภายในใจ...
ผมทำอะไรพลาดไปหรือเปล่านะ
“แค่รู้สึกเหมือนว่าจะโดนไล่ออกต่างหาก” ผมตอบอย่างหวั่นใจ นึกถึงงานที่ตัวเองได้รับมอบหมายให้ทำอย่างไม่เป็นชิ้นเป็นอัน
[เขาพูดหรือเปล่าว่าจะไล่ออก]
“ไม่ได้พูด…”
[ถ้าเขายังไม่ได้พูด จะคิดมากทำไม ไอ้เราก็นึกว่าเขาโทรมาบอกว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องไปทำงานแล้ว แค่เขาบอกให้เลิกงานก่อนเวลาเอง]
“ก็ไม่รู้สิ เราทำเรื่องเสียมารยาทในโต๊ะอาหารขนาดนั้น มันก็ดูน่าไล่ออกไม่ใช่เหรอทำตัวเป็นคนเรื่องมากน่ะ”
ผมเล่าให้แทนทัพฟังเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเรื่องที่คุณเจโรมชวนทานอาหารหรือเรื่องความไม่สบายใจทุกอย่าง ผมหยุดความกังวลในใจไม่ได้เลย พยายามค้นหาคำตอบว่าตัวเองทำผิดพลาดตรงไหนเพื่อจะได้กลับไปแก้ไขมันในพรุ่งนี้
แม้แทนทัพจะยืนยันว่าไม่มีใครโดนไล่ออกจากงานเพียงเพราะปฏิเสธการทานข้าวร่วมโต๊ะก็ตาม แต่ผมก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่ดี คุณเจโรมอาจไม่พอใจก็ได้ใครจะไปหยั่งรู้
“อย่างแรกเลยนะต้องหยุดความคิดมากในหัวตัวเองให้ได้ก่อน” แทนทัพพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “มึงยังไม่ได้ทำงานผิดพลาดร้ายแรงเลยและถ้าเขาอยากจะไล่ออก คงบอกตรงๆ ไม่มาเสียเวลาหรอก คนอยากสมัครงานนี้เยอะแยะไม่ใช่เหรอ”
“อือ”
“เรื่องกินข้าวก็อีก คนรวยไม่ถือตัวก็มีเยอะไป ดูพ่อกูดิ เรียกลุงขับรถดวลเหล้ากันบ่อยจะตายไป”
“เหรอ...”
“หรือถ้าไม่สบายใจจะลาออกไหมล่ะ”
“ทำแบบนั้นได้ที่ไหน ยังต้องใช้เงินอยู่นะ”
ผมทำหน้าจ๋อยจนแทนทัพหัวเราะเสียงดัง หากไม่ใช่ว่าเงินค่าจ้างจากงานของคุณเจโรมเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายแล้ว ผมคงจะไม่กระวนกระวายใจ คิดมากกลัวทำงานผิดพลาดขนาดนี้หรอก เงินจำนวนนั้นมากพอที่จะจ่ายค่าเทอมกับค่ากินไปได้อีกหลายเดือน
“อย่าคิดมากเลย ได้เจอเจ้านายใจดี เขาคงเอ็นดูแหละเห็นเด็กนักศึกษามาฝึกงานด้วย ตัวผอมแห้งคงอยากให้กินข้าวเยอะๆ”
“ไม่ได้ผอมขนาดนั้นสักหน่อย” พอเห็นแทนทัพยิ้มแซว ยืนยันหนักแน่นว่าทุกอย่างไม่น่ากังวล ผมก็เริ่มยิ้มออกได้บ้าง “โอเค ถ้าทัพว่างั้น เราก็จะพยายามไม่คิดมาก”
“ดีมาก ทำใจให้สบาย ควรจะดีใจไม่ใช่เหรอเจอเจ้านายใจดี ถ้าเจอเจ้านายชอบเอาเปรียบสิต้องกลุ้มใจ เหมือนไอ้เหี้ยนั่น”
“มันก็ดีใจอยู่หรอกแต่ก็แอบกังวล”
ผมถอนหายใจ จริงอย่างที่แทนทัพพูด ที่ผ่านมาผมเคยเจอเจ้านายเบี้ยวค่าจ้างจนต้องไปร้องไห้ยกมือไหว้ขอให้จ่ายเงินด้วยซ้ำ หักยิบย่อยจนแทบไม่เหลือเงินกิน ผิดกับคุณเจโรมที่มีน้ำใจ การหยิบยื่นให้ใครคงไม่ใช่เรื่องใหญ่นักหากมีเงินทองมากมาย
“เข้าใจแหละว่าคนใจดีบางทีก็น่ากลัว ระวังตัวเอาไว้ก่อนถูกต้องแล้ว ว่าแต่เขาไม่ได้ดูเป็นแบบนั้นใช่ไหม”
“แบบไหน?”
“แบบพวกหื่นกาม ชอบลวนลามลูกจ้างไง ไอ้พวกนี้นะนัดไปทำงานวันแรกก็ออกลายแล้ว”
“บ้า ไม่ใช่” ผมรีบไหวหน้าปฏิเสธ “เขาก็...ดูสุภาพดี”
“ถ้าดีแล้วทำไมทำหน้าแบบนั้น” แทนทัพขมวดคิ้ว ขยับตัวมามองผมผ่านหน้าจอโทรศัพท์ มันชอบบอกว่าเวลาผมดีใจหรือเจอเรื่องไม่สบายใจ ชอบแสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้าทุกที
“ไม่รู้สิ บอกไม่ถูกเหมือนกัน เขาดูเป็นคนใจดีอยู่นะ...” ผมตอบอย่างไม่เต็มเสียงเท่าไหร่ คุณเจโรมไม่ใช่คนประเภทที่ดูเหมือนจะมีเล่ห์เหลี่ยมอะไร ออกจะสุภาพชวนให้ลำบากใจด้วยซ้ำ แต่ผมแค่รู้สึก…เหมือนมีอะไรสักอย่างที่อธิบายไม่ถูก
“ก็พยายามเว้นระยะห่างไว้ เขาใจดีก็รับไว้อย่าคิดมาก แต่ถ้าโดนลวนลามก็หาข้ออ้างนั้นลาออกเลยนะเว้ย สู้ได้สู้เลย เรื่องกฎหมายเดี๋ยวให้พ่อกูจัดการให้” แทนทัพชอบทำเป็นเล่นจนผมหลุดหัวเราะ ทำอย่างกับจะไปรบราสู้ใครที่ไหน
“ไม่หรอกน่า”
“สมัยนี้ไว้ใจใครได้ ยิ่งไปทำงานที่บ้านเขายิ่งต้องระวังเลย”
“ครับ เข้าใจแล้วครับคุณแทนทัพ ผมสู้แน่นอน”
“ดีมาก หายเครียดแล้วอะดิ เวลากังวลก็ท่องเอาไว้ว่าจงหยุดคิดๆๆ เนี่ย เรื่องหางานไม่ยากเลย พี่ปุ่นยังถามถึงทุกวันเลยนะ”
“อ้าว พี่ปุ่นยังไม่ได้พนักงานเหรอ”
“ไม่รู้ดิ เห็น..บอกว่ารอ...น้อ…ง..อา...ระ...แต่..”
“ทัพ...ฮัลโหล แทนทัพ?” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้จอโทรศัพท์เห็นภาพขาดๆ หายๆ ได้ยินปลายสายทำเสียงตะกุกตะกักอยู่สักพักก่อนจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
“โหลๆ ได้ยินๆ เหมือนสัญญาณขาดแฮะ สงสัยคืนนี้ฝนจะตกหนัก”
“อืม ถ้าพรุ่งนี้ฝนไม่ตกบ้างก็คงดี”
ผมเงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าครึ้ม เมฆหนาจนบดบังให้เห็นพระจันทร์ลอยเลือนรางอยู่ไกลๆ ช่วงนี้ฝนตกติดต่อกันเกือบทั้งอาทิตย์ ชวนให้รู้สึกถึงบรรยากาศหดหู่ บางทีผมก็รู้สึกไม่ชอบหน้าฝนเท่าไหร่นัก ทั้งว้าเหว่ ทั้งเงียบเหงา …รู้สึกไม่ปลอดภัย
คล้ายว่าสิ่งที่ขอไว้ก่อนนอนจะเป็นผล
หลังจากที่ฝนตกหนักตลอดทั้งคืน เช้าของวันใหม่กลับท้องฟ้าปลอดโปร่ง แดดจ้า อากาศแจ่มใสชวนผู้คนออกมาทำงานด้วยสีหน้าสดชื่นราวกับรอแสงแดดจากพระอาทิตย์มานาน คงจะมีเพียงแต่ผมที่ยืนรอรถโดยสารประจำทางด้วยสีหน้าเหนื่อยล้าเพราะนอนกระสับกระส่ายทั้งคืน
แม้จะพยายามไม่คิดมากแค่ไหน ทว่าหลังจากที่ล้มหัวนอนทุกอย่างกลับประดังประเดเข้ามาชัดเจนจนผมนอนหลับๆ ตื่นๆ ด้วยอาการฝันร้ายว่าคุณเจโรมส่งข้อความมาแจ้งว่าพรุ่งนี้ผมไม่ต้องไปทำงานที่บ้านอีกแล้ว เพราะงั้นตลอดทั้งเช้าผมเลยหยิบโทรศัพท์ติดมือคอยเช็กมันซ้ำๆ ทุกห้านาที
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด คิดกังวลไปก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี
ผมถอนหายใจนึกรำคาญตัวเอง เงยมองกำแพงบ้านที่สูงใหญ่ตรงหน้าพยายามข่มใจตัวเองให้สงบ ไม่นานเกินรอเสียงคลิกเบาๆ ที่ประตูรั้วเล็กก็ดังขึ้น ผมผลักบานประตูเข้าไปข้างใน สายตาก็พลันหันไปเห็นบางอย่าง
ลูน...
ผมเบิกตากว้างมองแมวสีดำตัวโตที่นั่งอยู่ตรงสวนอย่างตกใจ ตากลมสีเหลืองสนิทกำลังนั่งนิ่งจ้องมองผมอย่างไม่ลดละสายตา ลูนไม่ยอมเดินเข้ามาหา นั่งนิ่งจนผมเริ่มคิดว่าลูนหลุดออกมาข้างนอกเพียงลำพังโดยไม่มีใครรู้หรือเปล่า
“ลูน… เดี๋ยวก่อน”
ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปใกล้ ลูนกลับลุกเดินหนีดื้อๆ เหมือนเห็นผมเป็นคนแปลกหน้า ผมรีบเดินตามหมายจะจับตัวเอาไว้ ทว่าแมวตัวกลมก็วิ่งคลาดสายตาหลบหายเข้าไปในสวนข้างบ้านอย่างรวดเร็วเกินกว่าจะตามทัน
ผมหยุดฝีเท้าก้มมองพยายามดูให้แน่ใจว่าลูนไม่ได้หลบซ่อนอยู่ใต้ต้นไม้แถวนั้น ใจก็นึกห่วงกลัวลูนจะหลุดหายไปไกลแต่ถ้าจะให้เดินลึกเข้าไปในสวนเพื่อตามหาก็คงไม่เหมาะ อาจกลายเป็นว่าผมบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวมากกว่าหวังดีช่วยไล่จับแมว
ควรจะทำยังไงดี… ผมยืนกระสับกระส่าย ตั้งท่าที่จะเดินหันหลังกลับเพื่อรีบไปบอกคนในบ้าน อย่างน้อยก็เผื่อว่าลูนหนีออกมาจริงๆ จะได้ไปไม่ไกลมาก ทว่าความรู้สึกเหมือนถูกใครยืนมองอยู่ที่หางตา ทำให้ผมต้องหันขวับไปทันที
“หาอะไรอยู่หรือครับคุณ”
“!!”
ผมผวาสุดตัวอย่างไม่อาจเก็บอาการตกใจ เมื่อหันมองไปตรงใต้ต้นไม้ใหญ่เห็นคุณลุงวัยกลางคนค่อยๆ เดินโผล่พ้นร่มเงาใบไม้พร้อมกรรไกรตัดหญ้าในมือ…
“ขอโทษที่ทำให้ตกใจครับ”
“ไม่...ไม่ครับ ผมแค่ไม่ทันมอง” หัวใจผมเต้นถี่แรงจนเหมือนจะหลุดออกมา ยกมือขึ้นทาบอกรีบสูดหายใจเฮือกใหญ่เข้าปอดอย่างนึกโล่งอกที่ไม่ใช่ผีสางอะไรอย่างที่นึกกลัว คงจะเพราะวิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาถึงไม่ทันสังเกตเห็น
“หาอะไรอยู่หรือครับ กระผมจะได้ช่วยหา”
“เอ่อ…พอดีผมเห็นแมววิ่งมาทางนี้น่ะครับ” ผมตอบ ยากเกินกว่าจะคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติ คุณลุงเดินกุมมือเข้ามาใกล้ด้วยท่าทีนอบน้อม หน้าตาดูเป็นมิตร
“ลูนน่ะหรือครับ”
“ครับ ผมเห็นลูนวิ่งหลัดๆ มา ไม่แน่ใจว่ามันหลุดออกมาหรือเปล่า”
“อ๋อ ไม่ได้หลุดออกมาหรอกครับ เช้าๆ มีแดดลูนจะชอบออกมาวิ่งเล่นข้างนอกบ้าน บางทีก็นอนเล่นตรงระเบียงสวนข้างบ้านนู้นน่ะครับ ตรงนั้นมีประตูแมวเข้าออกได้ตลอด”
“เหรอครับ ผมก็นึกว่าลูนหลุดออกมาตกใจแทบแย่” ผมยิ้มอย่างโล่งใจ
“เดี๋ยวสักพักลูนก็กลับเข้าบ้านแล้วล่ะครับ” คุณลุงยิ้มตอบ เงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วหันมาพูดต่อด้วยน้ำเสียงเนิบๆ “วันนี้อากาศดีแต่แดดก็เริ่มจะแรงมากแล้ว คุณอารัญเข้าบ้านเถอะนะครับ”
“ครับ?”
“คุณเจโรม ท่านคงจะรออยู่”
“…ครับ” ผมรับคำแล้วนิ่งไป รู้สึกประหลาดใจนิดหน่อยที่คุณลุงรู้จักชื่อทั้งที่เราเพิ่งเคยเจอกันแต่คิดๆ ดูแล้วคงจะทราบมาจากป้านวล บ้านคุณเจโรมหลังใหญ่โต ผมกลับไม่ค่อยเห็นคนในบ้านสักเท่าไหร่ “ว่าแต่คุณลุงครับ...”
“ครับ ต้องการให้ช่วยเหลืออะไรหรือครับ”
“ไม่ครับๆ แค่..เรียกผมว่าอารัญก็พอครับ ไม่ต้องมีคุณหรอก”
ผมเอ่ยบอกอย่างประหม่า ตั้งแต่เหยียบเข้าบ้านก็ถูกเรียกคุณอารัญตลอด แม้จะพอเข้าใจความไม่ถือตัวตั้งแต่เจ้านายจนคนงานในบ้านแต่ผมเข้ามาทำงานเป็นลูกจ้าง ไม่ได้มีฐานะต่างอะไรจากป้านวลหรือคุณลุงเลย
คุณลุงยังคงมองหน้าผมด้วยรอยยิ้ม ท่าทีสุภาพนอบน้อมถ่อมตนจนผมนึกลำบากใจ
“เกรงว่าคงจะทำแบบนั้นไม่ได้หรอกครับคุณอารัญ”
☽
เมื่อหมดความกังวลว่าลูนจะหนีออกมาเที่ยวข้างนอก ผมจึงเดินกลับไปยังประตูหน้าบ้านที่ถูกปิดเงียบ แม้วันนี้แดดจะค่อนข้างจัดแต่ก็ยังพอมีลมเบาๆ พัดผ่านเป็นระลอกชวนให้เปิดหน้าต่างรับลม บ้านของคุณเจโรมก็ยังคงเปิดแอร์เย็นฉ่ำจนเห็นไอน้ำเกาะตรงบานกระจกอยู่ดี
ผมมองแล้วได้แต่นึกหนาวสั่นขึ้นมาเมื่อลองคิดถึงค่าไฟตามประสาคนไม่มีเงินมาก วันนี้ตั้งใจเอาไว้ว่าจะรีบจัดการเคลียร์หนังสือให้เสร็จ ผมนึกพลางยกมือเคาะประตูสองสามทีเชิงขออนุญาตก่อนเปิดเข้าบ้านเหมือนเช่นทุกครั้ง
ทว่าวันนี้กลับเหมือนมีอะไรแตกต่างจากทุกวัน...
ไม่ใช่เรื่องที่ผมเจอลูนนอกบ้านหรือเจอลุงคนสวนยืนใต้ต้นไม้ใหญ่แต่เพราะประตูตรงหน้าถูกเปิดออกก่อนที่ผมจะผลักมันเข้าไป
“เชิญครับ”
คุณเจโรม…
ผมมองคนตรงหน้าแล้วนิ่งไปอึดใจ ด้วยความที่ไม่ทันตั้งตัวว่าจะได้พบหน้ากะทันหัน ตลอดสองวันที่ผ่านมาผมมักจะเปิดประตูไปพบกับความว่างเปล่า ไม่ใช่เจ้าของบ้านที่ยืนยิ้มราวกับกำลังยืนรอผม รอ..เหมือนที่คุณลุงบอก
“เอ่อ...รอลูนเหรอครับ?” คงจะน่าเกลียดเกินไปถ้าหากผมนึกเข้าข้างตัวเอง บางทีคุณเจโรมคงมารอเจ้าแมวตัวกลม “ผมเห็นลูน...”
“ไม่ครับ ผมรอคุณอารัญ”
“…”
“เข้าบ้านเถอะครับ วันนี้แดดแรง”
“...ครับ”
อยู่ดีๆ ภายในหัวก็รู้สึกมึนงงอย่างน่าประหลาด ผมเดินเข้ามาในบ้านด้วยความรู้สึกเหมือนลอยละล่องราวกับเท้าไม่ติดพื้น ยิ่งมองรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าคมก็ยิ่งรู้สึกเหมือนไม่เป็นตัวเอง แม้ควรรู้สึกโล่งใจที่เห็นคุณเจโรมดูไม่ได้โกรธหรือติดใจเรื่องที่เกิดขึ้นแต่ก็เหนือความคาดหมายมากไปเสียหน่อยที่เห็นเขามายืนเปิดประตูรอแบบนี้
“คุณอารัญเจอลูนเหรอครับ”
ปึง- เสียงประตูถูกปิดลงพร้อมๆ กับความคิดในหัว ผมหันมองหน้าคุณเจโรมที่ยืนอยู่ใกล้ๆ อย่างประหม่า ความสูงของเขาทำให้ผมดูตัวเล็กลงถนัดตา
“ครับ ผมเห็นลูนนั่งอยู่ตรงสวนแต่พอเรียกแล้วก็วิ่งหนีไป”
“เหรอครับ เวลาลูนอยู่ข้างนอกไม่ค่อยยอมให้ใครจับเท่าไหร่น่ะครับ” คุณเจโรมบอก ใช้สายตาคมเลื่อนมองหน้าผากที่เต็มไปด้วยเหงื่อจนผมต้องรีบยกมือขึ้นเช็ด อธิบายอย่างเขินอาย
“ตอนแรกผมนึกว่าลูนหลุดออกจากบ้านน่ะครับเลยวิ่งตามไป แต่ลุงคนสวนบอกว่าเช้าๆ ลูนชอบออกไปเดินเล่นข้าง…”
“คนสวนเหรอครับ?” คุณเจโรมเลิกคิ้วมอง ย้อนถามด้วยสีหน้าสงสัยโดยที่ผมยังไม่ทันจะพูดจบ ท่าทีของเขาทำผมนิ่งไปแวบนึง
“ครับ คนสวน…บ้านคุณเจโรมมีคนสวนใช่ไหมครับ”
ผมรีบถามกลับอย่างเสียมารยาท ใจที่สงบกลับเต้นรัวทันที ทว่าคุณเจโรมยังคงไม่ตอบ มองผมด้วยสีหน้าที่ตั้งคำถามเหมือนว่าคุณพูดเรื่องอะไรน่ะ ที่นี่ไม่มีคนสวนหรอก ยิ่งทำผมหน้าถอดสี ขยับตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว
“แต่เมื่อกี้…ผมคุยกับคนสวนจริงๆ นะครับ… ไม่มีเหรอครับ?”
ผมถามย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง ถ้าหากคนที่คุยไม่ใช่คนสวนแล้วจะเป็นใครไปได้ล่ะ คุณลุงวัยกลางคนที่ถือกรรไกรตัดหญ้าออกมาจากมุม..อับสายตา
ผมตาโต เงยมองคุณเจโรมด้วยสีหน้าตื่นตนกอย่างไม่ปิดบัง จังหวะนั้นเองที่คุณเจโรมจุดรอยยิ้มตรงมุมปาก ผมถึงตระหนักได้ว่าตัวเอง...โดนแกล้งเข้าให้แล้ว
“มีครับ ลุงแดงเป็นคนสวนที่นี่มานานมากแล้ว ไม่ใช่ผีที่ไหนหรอก”
“อย่าแกล้งกันแบบนี้สิครับ” ผมถอนหายใจเสียงดังด้วยความโล่งอก แวบแรกผมเชื่อสนิทใจด้วยซ้ำว่าตัวเองเจอดีเข้าแล้ว ก่อนที่จะเผลอตำหนิอีกฝ่ายอย่างลืมตัว “ขอโทษด้วยครับ”
“คุณอารัญกลัวผีเหรอครับ”
“ผม…ไม่เคยเจอและก็ไม่อยากเจอครับ”
คุณเจโรมมองผมด้วยรอยยิ้ม เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ เดินนำขึ้นไปยังห้องหนังสือชั้นสอง ผมลอบถอนหายใจออกมาอีกครั้งอย่างโล่งใจ มองแผ่นหลังกว้างๆ ของคนตรงหน้าด้วยความคาดไม่ถึงว่านอกจากคุณเจโรมจะชอบพูดจาเป็นกันเองไม่ถือตัวแล้ว เจ้าตัวจะมีอารมณ์ขัน นึกแกล้งคนอะไรแบบนี้ด้วย
ทว่ามันก็ช่วยลดความประหม่าและความอึดอัดใจของผมที่มีต่ออีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี บางทีผมคงจะคิดมากไปเอง
“เมื่อวานผมมีธุระด่วนต้องออกไปข้างนอกเลยไม่ได้เข้ามาคุยด้วย คุณอารัญจัดหนังสือเป็นยังไงบ้างครับ”
“ผมพยายามคัดแยกหมวดหนังสือก่อนเก็บเข้าชั้นครับจะได้ไวขึ้น คุณเจโรมอยากให้ผมช่วยอะไรเพิ่มไหมครับ”
“ยังไม่มีครับ” คุณเจโรมทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา เมื่อมีผู้ชายสองคนอยู่ด้วยกันในห้อง ห้องหนังสือก็ดูจะแคบลงถนัดตา “หนังสือคงต้องใช้เวลาเก็บอีกนานหน่อย ถ้าเหนื่อยก็นั่งพักได้นะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ วันนี้ผมตั้งใจว่าจะทำให้เสร็จ...”
“ยังเหลืออีกเยอะ ยังไงก็เอาไว้ทำต่อพรุ่งนี้”
“แต่ว่า...”
“ทำอย่างที่ผมบอกเถอะครับ”
คุณเจโรมคงเป็นเจ้านายคนแรกที่ใจดีจนผมรู้สึกเกรงใจ อยากจะทำงานตรงหน้าให้เสร็จภายในหนึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำแต่หากทำตามที่เขาบอก ผมมีเวลาทดลองงานแค่ 1 อาทิตย์ขืนใช้เวลาหมดไปกับการเก็บหนังสืออย่างเดียว ไม่ได้ช่วยอะไรอย่างอื่นคงไม่พ้นได้แค่ค่าเสียเวลางานเท่านั้น
“คุณอารัญอ่านนิยายที่ให้ไปหรือยังครับ”
“อ่านแล้วครับ เมื่อวานผมเอามาคืนคุณเจโรมด้วยแต่ลืมบอกไป”
ผมวางหนังสือในมือลง หมายจะเดินไปหยิบถุงหนังสือที่วางทิ้งไว้ในห้องแต่คุณเจโรมกลับยกมือห้าม จังหวะเดียวกับที่เจ้าแมวตัวกลมเดินนวยนาดเข้ามาในห้องท่าทางไม่ทุกข์ร้อนที่ปล่อยให้ผมวิ่งไล่ตาม มันกระโดดขึ้นไปนอนบนตักเจ้าของ มองผมเหมือนที่เจ้าของกำลังทำ
“เก็บไว้เถอะครับ ผมให้”
“..ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้ขอบคุณ จะปฏิเสธอย่างเกรงใจก็รู้สึกว่าเปล่าประโยชน์ “นิยายคุณเจโรมสนุกมาก ผมอ่านรวดเดียวถึงตีสาม”
“ครับ ขอบตาของคุณก็พอจะบอกได้อยู่” คุณเจโรมยิ้มเรียบๆ ทำผมรู้สึกเขรอะเขิน ไม่ได้ชมเพื่อเอาใจเลยสักนิดเดียว “อ่านจบหมดทุกเล่มที่ผมให้ไปเลยเหรอครับ”
“ครับ เมื่อวันอาทิตย์ผมไม่ได้มีธุระไปไหนเลยมีเวลาอ่านทั้งวัน”
“คุณอารัญชอบเรื่องไหนเป็นพิเศษไหมครับ”
“เรื่อง...ครับ” ผมตอบทันที อยากจะชวนแทนทัพคุยเรื่องนิยายด้วยก็กลัวจะพลั้งปากพูดอะไร “ตอนที่เมสันกับเจนโดนคนร้ายซุ่มโจมตีแล้วพลัดหลงกันในป่า อ่านแล้วลุ้นมากเลยครับ ไหนจะเนื้อเรื่องหักมุมหลอกคนอ่านนั่นก็ด้วย หลอกจนสนิทใจ นึกว่าจอชเป็นผู้ร้ายพอเฉลยแล้ว ผม...เอ่อ”
“ครับ พูดต่อสิครับ”
“ผมอ่านแล้วร้องว้าวออกมาเลยครับ สนุกมาก” ใบหน้าผมร้อนฉ่า เมื่อรู้ตัวว่ากำลังปล่อยให้คุณเจโรมนั่งมองผมที่พูดจ้อไปเรื่อยไม่หยุด ผมเป็นพวกมนุษยสัมพันธ์ไม่ค่อยดีนัก ถ้าหากไม่สนิทใจผมแทบไม่กล้าอ้าปากคุยยาวๆ ด้วยซ้ำ
“แล้วฉากเลิฟซีนล่ะครับ ไม่สนุกเหรอ?”
คุณเจโรมลูบขนของลูนเบาๆ คำถามที่เหมือนกับว่ากำลังทดสอบ ผมเผลอบีบข้อนิ้วมือเย็นๆ ของตัวเองใต้หนังสือเล่มหนาอย่างประหม่า แม้รู้ว่ามันเป็นงานที่ต้องให้ฟีดแบ็คนักเขียนแต่ก็เขรอะเขินขึ้นมานิดหน่อย เมื่อต้องพูดต่อหน้าตรงๆ แถมนักเขียนอย่างคุณเจโรมก็หล่อมากจนเหมือนเป็นพระเอกนิยายที่ว่าด้วย
“สนุกครับ อ่านแล้วรู้สึกคล้อยตาม ถึงจะมีฉากเลิฟซีนเยอะแต่ไม่ได้ดูยัดเยียดมากเกินไปจนอ่านแล้วอึดอัด พระเอกในนิยายทุกเรื่องมีคาแรกเตอร์นิสัยแตกต่างกันไปแต่พอลองอ่านดีๆ ก็จะดูใจเย็นและเข้าใจนางเอกมาก โดยเฉพาะตอนมีฉากเลิฟซีนที่ดูชัดเจนว่าพระเอก...”
“....”
“…มักเต็มไปด้วยความต้องการ โหยหาแต่ก็รั้งรอเฝ้าดูท่าทีอยู่ตลอดเวลา”
“...อย่างงั้นเหรอครับ” คุณเจโรมยิ้มเรียบๆ ก้มมองลูนที่นอนอยู่บนตัก “อีกเล่มนึงเป็นยังไงบ้างครับ ผมได้รับรีเควสจากบก. ให้ลองเขียนแนวที่แตกต่างจากเดิมบ่อยๆ เพิ่งลองเขียนเป็นเรื่องแรก ได้อ่านใช่ไหมครับ? ”
“อ่านครับ” ผมพยักหน้า นึกถึงนิยายที่เนื้อหาแตกต่างจากเล่มอื่นๆ “ตอนเมลินดาบอกว่าเธอไม่อยากมีเซ็กส์แบบนั้น... เอ่อ แบบที่ดูล่อแหลม แดนก็ให้เวลาเธอกลับไปตัดสินใจทั้งที่จะเซ้าซี้ทำให้เธอจำยอมเลยก็ได้ ผมว่ามันดีมากเลยครับ อ่านแล้วรู้สึกตื่นเต้นคล้อยตามอารมณ์ตัวละครมากกว่าอึดอัด”
ผมนึกถึงฉากที่ตัวละครทั้งสองคนนั่งตัวเปลือยเปล่าอยู่บนเตียง แดนไม่ใช่พระเอกนิสัยอ่อนโยนหรือใจเย็นเลยสักนิดเดียวแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอดทนรอความยินยอมจากคนรัก หลังจากที่เมลินดายอมเปิดใจ ผมรู้สึกว่าพวกเขาเหมือนจิ๊กซอว์ที่ตามหากันจนเจอสนุกสุดเหวี่ยงกับเรื่องบนเตียงไปเลยด้วยซ้ำ
“ต่อให้เป็นแนวรสนิยมส่วนตัว คนลองอ่านครั้งแรกก็น่าจะชอบนะครับ มีฉากหยาบโล้น แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอนาจารอะไร”
“มีตรงไหนน่าเบื่อบ้างไหมครับ’
“ไม่มีนะครับ” ผมนิ่งไปอย่างตกตะกอนความคิด “คุณเจโรมไม่ค่อยชอบนิยายตัวเองเหรอครับ”
“ไม่ครับ แค่เขียนมากก็รู้สึกจำเจไปหน่อย” คุณเจโรมยิ้ม ขยับตัวอย่างชวนมอง “บางทีก็เขียนไปแต่ไม่ค่อยรู้สึกร่วมด้วยสักเท่าไหร่”
“อาจต้องลองเปลี่ยนบรรยากาศดูบ้างครับ”
“หมายถึง...เซ็กน่ะเหรอครับ? ”
“ไม่ใช่ครับ” ผมหน้าขึ้นสี เห็นรอยยิ้มที่มุมปากของคุณเจโรมก็เริ่มมองออกว่าตัวเองกำลังถูกล้อเล่นเข้าอีกครั้งแล้ว “หมายถึงตอนทำงานน่ะครับ ลองเปลี่ยนที่คิดงานหรือไปสถานที่ที่ชอบ น่าจะช่วยได้อยู่นะครับ”
“สถานที่ที่ชอบ... ครับ เดี๋ยวผมจะลองดู”
☽
- tbc -
น้องอารัญ said : 'บ้านคุณน่ะมีผี' 'ผมไม่ออก ออกแล้วจะเอาอะไรกิน' ฝากติดตามด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ #หลงพระจันทร์