เป็นเรื่องธรรมดาของห้างสรรพสินค้าไม่ว่าอยู่ในจังหวัดอะไรที่มักจะมีผู้คนมากหน้าหลายตามารวมอยู่กันโดยเฉพาะในวันหยุดดังเช่นวันนี้ จุดประสงค์ของแต่ละคนที่มาที่นี่มีหลากหลายแตกต่างกันออกไป
ดังเช่นวีรมาตุที่มาเลือกซื้อชิ้นส่วนเครื่องดนตรีเพื่อไปซ่อมแซมเครื่องดนตรีของชมรมที่โรงเรียนตามงบประมาณที่เสนอไป ในฐานะประธานชมรมที่กำลังจะหมดวาระ เขาจึงพยายามจัดการเรื่องภายในให้เรียบร้อยก่อนที่ประธานชมรมคนใหม่จะมารับหน้าที่ต่อจากเขาได้อย่างราบรื่น แม้ว่าในส่วนเรื่องการเรียนของตัวเองก็ยังวุ่นวายอยู่ไม่น้อยไปกว่ากันก็ตาม
“อ้าว เฮีย มาทำอะไรเหรอครับ”
วีรมาตุชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงของคนที่เขาไม่คิดว่าจะได้เจอกันในวันนี้ เขาหันไปเจอวีร์ที่แต่งตัวตามสบายและใบหน้าที่ปราศจากแว่นสายตา แต่นั้นก็ไม่ได้ทำความความน่ารักสดใสของวีร์ในสายตาของวีรมาตุลดลงเลย และเมื่อมองเลยไปก็เห็นกลุ่มคนกลุ่มใหญ่หยุดชะงักไปด้วย ในจำนวนนั้นมีคนที่เขารู้จักอย่างธีร์ พ่อและแม่ของวีร์ รวมไปถึงพี่สาวของเพื่อนสนิทของเขาอย่างวนกรที่ยืนอยู่ด้วยกัน
“เอ๋... เอ่อ... อ๋อ... เฮียมาซื้อของเข้าชมรมอะครับ” วีรมาตุตอบพร้อมกับหันไปยกมือไหว้ทักทายคนอื่นๆ ทุกคนส่วนใหญ่ก็รู้จักและเคยเจอวีรมาตุกันแล้วจึงยกมือรับไหว้ แม้แต่กับอรและเอกที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกก็รับไหว้เช่นกัน
“นั้นพี่อร แล้วก็พี่เอกแฟนที่อร วันนี้ขึ้นมาด้วย” วีร์แนะนำคนที่เหลือให้วีรมาตุรู้จัก
“วีร์ยังเหลือพี่ชายอีกคนใช่มั้ย” วีรมาตุหันมาถามวีร์
“อ๋อ ใช่ พี่ภูมิ ติดเรียนอยู่ไม่ได้มา”
วีรมาตุก็พยักหน้ารับ
“ใกล้จะสอบแล้ว ยังวุ่นเรื่องชมรมอีกเหรอเรา” วนกรหันมาคุยกับวีรมาตุ ในกลุ่มของพวกผู้ใหญ่ก็มีเธอที่สนิทกับวีรมาตุมากที่สุด “พี่ไม่เป็นคุณจะทำอะไรแล้วเลย แถมหนังสือก็ไม่อ่านอีก”
“ของชมรมฟุตบอลเขาปิดรายงานไปตั้งแต่แข่งบอลม.ปลายจบแล้วครับ กว่าจะคัดตัวใหม่อีกที่ก็เปิดเทอมหน้าโน้นเลย ไอ้คุณมันก็เลยสบายตัวไปแล้ว”
“ชวนคุณอ่านหนังสือด้วยบ้างสิ เห็นติดโควตานักกีฬาแล้วไม่สนใจอะไรเลย พี่กลัวคุณมันไม่จบแล้วโควตาที่ได้มันจะเสียเปล่า”
“ผมว่าคุณเอาตัวรอดได้นะครับ ถึงจะไม่ได้เกรดดีเลิศ แต่รับรองได้ว่าจบแน่นอน”
วนกรพยักหน้ารับ เธอรู้ดีว่าน้องชายของเธอไม่ได้เรียนเก่งอะไรมากมาย ยังดีที่ว่ามีทักษะฝีมือกีฬาดีเลยยังมีโอกาสสำหรับชีวิตที่ดีในอนาคต แต่ละคนก็มีทางเดินที่ถนัดของตัวเอง
“นี่วากับวีรู้จักกันด้วยเหรอ” นุชเอ่ยถามขึ้นมาเมื่อเห็นบทสนทนาระหว่างจบลง
“อ๋อ ค่ะ... วีเขาเป็นเพื่อนสนิทของน้องชายคนเล็กของวาค่ะ” วนกรหันมาตอบนุช
“ชื่อวีด้วยเหรอเรา” อรพูดแทรกขึ้นมากลางวงด้วยน้ำเสียงแปลกใจปนหยอกเอินเล็กน้อย “นี่ถ้าบอกว่ามีน้องชื่อต่ายด้วยเนี่ย พี่จะนึกว่าเรามาจีบเจ้านุ้ยแล้วนะเนี่ย” แล้วเธอก็หัวเราะเล็กน้อยก่อนที่จะหุบยิ้มลงเมื่อเห็นสีหน้าของแต่ละคนไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ น้องชาย แฟนของน้องชาย รวมไปถึงน้องชายคนเล็กที่พ่วงตำแหน่งหลานชายไปด้วย จะมีก็เพียงเอกแฟนหนุ่มของเธอที่ไม่ได้มีอาการเหมือนคนอื่นๆ “อะไร มีอะไรกันเหรอ หรือว่า...”
วีรมาตุอ้าปากค้างไม่กล้าจะพูดอะไรออกมา ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากยอมรับสิ่งที่อรพูด แต่เพราะเขาได้ตกลงกับวีร์ไปเรียบร้อยแล้วว่าในตอนนี้เขาและวีร์จะยังคงรักษาความสัมพันธ์แบบพี่น้องไปก่อน จนกว่าเขาจะสอบเข้าคณะแพทย์ได้เสียก่อน
ส่วนวีร์ถึงกับส่ายหน้ากับพี่สาวที่พ่วงตำแหน่งป้าไปด้วย
“ครับ เฮียเขาชื่อวีรมาตุ มีน้องชื่อต่าย เป็นเพื่อนห้องเดียวกะนุ้ยเอง พอใจยัง”
“อันนี้นุ้ยพูดเล่นใช่มั้ย” อรถามวีร์ย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“แล้วนุ้ยจะพูดเล่นทำไม”
“นี่ๆ หยุดเล่นกันได้แล้ว” นุชร้องห้ามทั้งอรและวีร์ก่อนที่เรื่องจะเลยเถิด “อรกับเอกไปจองโต๊ะก่อนเลยไป เดี๋ยวคนจะเต็มซะก่อน”
“ค่า ไม่อยากรู้แล้วก็ได้” อรทำเป็นสะบัดหน้าไม่สนใจใยดีแล้วก็หันไปจูงมือของแฟนหนุ่มเดินออกไป แต่ก็หันกลับมาเอ่ยถามเสียก่อน “แล้วจะให้จองกี่คน 7 คนเหมือนเดิม หรือว่าจะให้เพิ่มอีก 1 เป็น 8”
“8 ไปเลย ไปได้แล้ว” นุชรีบรวบรัดตัดความ และมองดูลูกสาวคนโตสะบัดบ๊อบเดินออกไป “วี ยังไม่รีบกลับใช่มั้ย อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนนะ” นุชเอ่ยชวนวีรมาตุร่วมโต๊ะอาหารด้วยกัน
“ไม่ดีกว่าครับ ผมเกรงใจ” วีรมาตุอ้อมแอ้มตอบไปอย่างเสียไม่ได้แม้ว่าในใจจะอยากไปด้วยมากก็ตาม
“เกรงใจอะไรกัน ไปด้วยกันนี่แหละ” นุชยังคงยืนยัน “ไม่มีอะไรต้องไปทำแล้วใช่มั้ย”
“เอ่อ... ก็ไม่มีแล้วครับ” วีรมาตุยังคงเกรงใจอยู่
“งั้นก็ไปกินด้วยกัน นุ้ย ชวนพี่เขาไปด้วย” เป็นยุทธที่ยื่นคำขาด แล้วก็บอกให้ทุกคนออกเดินกันได้แล้ว
เหลือวีร์และวีรมาตุที่ยังยืนอยู่กันสองคนก็หันมามองหน้ากัน
“ถ้าเฮียติดธุระจริงๆ เดี๋ยววีร์บอกพ่อกับแม่ให้เองครับ”
“ไม่เป็นไรครับ เฮียเสร็จธุระแล้ว” วีรมาตุรีบตอบในทันควัน จนวีร์สะดุ้ง
“อ๋อ ครับ... งั้นก็ไปกัน”
ทั้งสองคนจึงรีบออกเดินตามไปให้ทันพวกผู้ใหญ่ที่เดินนำไปไกลแล้ว จุดมุ่งหมายเป็นร้านอาหารแบบบุบเฟต์อาหารทะเล เพราะตัวอ่อนในครรภ์กำลังเรียกร้องอยากกินปูอยากกินกุ้ง จึงเหลือตัวเลือกไม่มากนัก
เมื่อไปถึงที่ร้าน อรและเอกได้จัดการสั่งอาหารเรียบร้อยแล้ว คนอื่นๆที่เหลือแยกย้ายกันไปเลือกอาหารที่ตัวเองอยากจะกิน ยุทธและนุชถูกจับให้นั่งลงอยู่กับที่โดยลูกๆจะเป็นผู้บริการยกอาหารมาให้ ธีร์ก็ให้วนกรนั่งรออยู่ที่โต๊ะด้วยเช่นกัน
ส่วนวีรมาตุก็อาสาจะไปตักอาหารมาเผื่อให้วีร์ด้วยเช่นกันแต่ฝ่ายหลังไม่อยากนั่งรอเพียงอย่างเดียว วีรมาตุเห็นดังนั้นจึงไหว้วานให้วีร์ไปเอาเครื่องดื่มมาให้เขาแทน อีกฝ่ายจึงยอมรับคำ
ธีร์คอยบริการให้ทั้งยุทธและนุชที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขาและวนกรที่นั่งอยู่ข้างๆ คอยแกะเปลือกกุ้งกระดองปูใส่จานของแต่ละคน ส่วนวีร์ที่เห็นท่าทางการแกะเปลือกกุ้งของวีรมาตุแล้วก็อดรนทนไม่ได้ คว้ากุ้งในมือของวีรมาตุมาจัดการแกะให้แล้วจึงวางใส่จานของวีรมาตุ รวมถึงกุ้งตัวอื่นๆด้วย
“ไอ้เราก็เป็นห่วงนึกว่าจะยังตรอมใจอยู่ ที่ไหนได้มาถึงแล้วก็เห็นนั่งสบายใจอยู่เฉยเลย ตอนแรกก็นึกสงสัยอยู่ ที่แท้ก็มีคนใหม่แล้วนี่เอง” อรเปิดสงครามขนาดย่อมขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่เธอมองอากัปกิริยาของสองคนตรงหน้าเธอมานานแล้ว
“อร!” นุชหันมาปรามลูกสาวที่นั่งอยู่ข้างๆเธอ “ไม่ใช่เรื่องที่เอามาพูดเล่นกัน”
อรมองสีหน้าของแต่ละคนบนโต๊ะอาหารแล้วก็สลดลง เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองเพิ่งจะพูดไปก็คิดได้ว่าเธอพูดแรงไปจริงๆ แต่ก่อนที่เธอจะได้เอ่ยอะไรต่อ...
“ช่างป้าอรเขาเถอะ” วีร์ก็สวนกลับขึ้นมาเสียก่อนจนอรอยากจะกลืนความรู้สึกผิดลงท้องไปในทันที “พี่เอก ปากป้าอรว่างแล้ว ทำงานด่วน”
“อะจะ ได้จะ” เอกรีบบริการอาหารและเครื่องดื่มยื่นให้ถึงปากของอรในทันทีจนอรต้องปัดมือหลบหลีกเป็นพัลวัน แล้วก็หันมาชี้หน้าวีร์ที่กำลังยิ้มมุมปากเยาะเย้ยพอเป็นพิธี แต่มือก็กำลังแกะเปลือกกุ้งให้กับวีรมาตุและของตัวเองสลับกันไป
หัวข้อสนทนาระหว่างมื้ออาหารจึงเปลี่ยนกลับมาเป็นเรื่องทั่วไปตามเดิม จนกระทั่งเสร็จสิ้น
เมื่อไม่มีใครต้องการจะทำอะไรต่อ ทั้งหมดจึงคิดที่จะเดินทางกลับบ้านกันเลย นั้นหมายถึงเวลาที่ต้องลาจากคนที่หมายปองของวีรมาตุด้วยเช่นกัน
“เฮียมายังไงเหรอครับ” วีร์หันมาถามขณะที่กำลังเดินตามคนอื่นๆที่เดินผ่านส่วนต่างๆของห้างสรรพสินค้าไปยังลานจอดรถ
“เฮียเอารถมาครับ แล้วบ้านน้องวีร์เอารถมากี่คัน นั่งกันพอรึเปล่า ให้เฮียไปส่งเอามั้ยครับ”
“สองคันครับ ของพี่ธีร์กับของพี่เอก”
วีรมาตุก็พยักหน้ารับ รู้สึกเสียดายอยู่เล็กน้อย
“อืม ว่าแต่พี่ธีร์กับพี่วาเขาสนิทกันเหรอ” วีรมาตุถามข้อสงสัยมาตั้งแต่ที่เขาเห็นวนกรรวมกลุ่มอยู่กับครอบครัวของวีร์ แต่ยังไม่มีโอกาสได้ถามใคร รวมถึงรู้สึกเกรงว่าจะเป็นการละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของคนอื่น
“เขาก็... กำลังดูๆใจกันอยู่” วีร์เองก็ยังไม่แน่ใจว่าจะบอกความสัมพันธ์ระหว่างเขากับธีร์และวนกรอย่างไรดี
“จริงเหรอ”
“ก็... ครับ”
“อย่างนี้แล้ว ไอ้หมูกับน้องวีร์ก็มีแววจะดองเป็นญาติกันแล้วละสิ” วีรมาตุนึกไปถึงความสัมพันธ์ว่าถ้าธีร์และวนกรคบหาดูใจกัน วีร์และคุณกรก็จะกลายเป็นญาติทางกฎหมายไปโดยปริยาย แล้วถ้าหากเขาและวีร์สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ไปได้อีกขั้นจริงๆแล้วนั้น เขาก็จะสามารถนับญาติกับเพื่อนสนิทได้อีก
“ก็... ประมาณนั้นมั้งครับ” ในใจของวีร์ก็คิดว่าระหว่างเขากับคุณกรนั้นไม่ได้ใกล้ชิดกันแค่จะได้ดองเป็นญาติกัน แต่ว่าได้เป็นถึงน้าและหลานกันจริงๆไม่อิงนิยายใดๆเลย
“ถ้ามันรู้ก็คงจะรู้สึกแปลกพิลึก” วีรมาตุยังนึกขำกับความคิดของตัวเองอยู่
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้” วีร์พึมพำเบาๆ
“ครับ?” วีรมาตุหันมามองด้วยความสงสัยว่าวีร์พูดอะไรไป จนวีร์เลิกคิ้วขึ้นทั้งสองข้างเป็นการถามกลับไป “เมื่อกี้น้องวีร์ว่าอะไรเหรอครับ”
“ไม่มีอะไรครับ ว่าแต่เฮียอย่าลืมกลับไปทำแผลซะใหม่นะครับ” วีร์มองดูวีรมาตุยกมือของตัวเขาเองขึ้นมาดู ที่ปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางข้างขวามีแผ่นพลาสเตอร์ปิดอยู่
“ครับ จริงๆมันก็ไม่เป็นอะไรมากนะครับ แค่กรีมันตำไปไม่กี่แผลเอง”
“เฮียครับ นอกจากกรีกุ้งตำนิ้วแล้วเฮียก็โดนกระดองปูบาดด้วยนะครับ อย่าลืมสิว่าเฮียกำลังจะสอบเป็นหมอนะครับ ความสะอาดคือเรื่องสำคัญ ถึงจะเป็นนิดหน่อยก็ระวังไว้ก่อน” วีร์พูดเชิงเล่นเชิงจริงจัง
“ครับ เฮียรู้แล้วครับ” วีรมาตุยิ้มกว้างตอบกลับ
“งั้นวีร์กลับก่อนนะครับ ไว้ค่อยเจอกันที่โรงเรียน” วีร์เอ่ยลาวีรมาตุเพราเห็นว่าทุกคนขึ้นรถไปกันหมดแล้ว
“ครับ ไว้เจอกัน” วีรมาตุรอจนวีร์ขึ้นนั่งด้านหลังของรถยนต์ที่มีธีร์เป็นผู้ขับและมีวนกรนั่งอยู่ด้านข้างคนขับ แล้วเขาก็ปิดประตูให้ ก่อนที่จะยกมือขึ้นโบกลา
*****
การพบปะกันระหว่างพ่อตาและลูกเขยนั้นไม่ค่อยจะราบรื่นเสียเท่าไหร่ ฤทธิกรยังคงตั้งแง่รังเกียจทุกคนที่มาจากครอบครัววรรัญญา เพราะว่าคนจากครอบครัวนั้นนำความอับอายมาสู่ครอบครัวของเขา แค่เพียงเห็นหน้าธีร์ที่กำลังเดินผ่านประตูรั้วบ้านเข้ามาแม้ว่าจะไม่ได้เจอกันมานานกว่าสิบห้าปีแล้วก็ตาม ความรู้สึกโกรธและแค้นก็ผุดขึ้นมาเต็มความคิดในหัวสมอง
ยังดีที่ว่ามีเขมกรคอยฉุดรั้งอารมณ์ที่พลุ่งพล่านให้คลายลงบ้าง
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนที่ดีใจ นวลจันทร์เฝ้ารอโอกาสนี้มานานแสนนานจนเคยมีความคิดที่จะเลิกหวังไปเสียแล้ว ถ้าหากว่าเธอไม่ได้เห็นหน้าคร่าตาของวีร์เมื่อคราวงานวันเกิดของลูกชายคนเล็กของเธอตอนวันสิ้นปี แม้ในตอนแรกนวลจันทร์แค่เพียงรู้สึกคุ้นตาเด็กคนนั้นเสียเหลือเกิน แต่ก็เก็บงำความรู้สึกนั้นไว้ จนเธอมาบังเอิญได้ยินว่าเด็กคนนั้นนามสกุลวรรัญญา แม้จะไม่มีอะไรในตอนนั้นมาพิสูจน์แน่ชัด แต่นวลจันทร์ก็เชื่ออย่างสนิทใจในทันทีว่าวีร์คือหลานของเธอ
วันนี้เธอจึงได้รู้จักหลานของเธออย่างเป็นทางการ
ส่วนคนที่รู้สึกประหลาดใจมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นคุณกร เพราะตอนที่เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นนั้นเขาเพิ่งจะมีอายุไม่ถึงสองขวบปีดี คุณกรเติบโตมาโดยรับรู้ว่าพี่สาวคนโตต้องไปอยู่กับตาและยาย นานๆถึงจะได้เจอกันเสียที จนกระทั้งวนกรเข้าเรียนมหาวิทยาลัยถึงได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน
แค่เรื่องที่วนกรกำลังคบหาดูใจกับธีร์ก็ทำให้คุณกรประหลาดใจมากพอแล้ว เพราะเขาเองก็ไม่ได้ระแคะระคายในความสัมพันธ์ของทั้งคู่มากก่อนเลย ยิ่งได้รู้ว่าตอนนี้วนกรกำลังตั้งท้องแล้วด้วยยิ่งเพิ่มความประหลาดใจมากขึ้นไปอีก พี่สาวคนโตของเขากำลังตั้งท้องก่อนแต่งแม้ว่าจะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยแต่ก็รู้สึกยินดีกับทั้งคู่ด้วยเช่นกัน
แต่การรับรู้ว่าอันที่จริงแล้วนี่เป็นการตั้งท้องครั้งที่สองของวนกรต่างหากที่ทำให้คุณกรงุนงงไปอยู่นาน ในหัวสมองของเขาคิดไปต่างๆนานา พยายามปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดว่าถ้านี่คือครั้งที่สองแล้วครั้งแรกคือเมื่อไหร่ จนเมื่อความจริงทุกอย่างถูกเฉลยออกมาว่าเขาไม่ได้กำลังจะเป็นแค่พี่น้องกับวีร์ ไม่ได้เป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้องที่โรงเรียน และไม่ได้เป็นเพื่อนสนิทที่คนที่ชอบวีร์ แต่เขาเป็นน้าแท้ๆของวีร์
ช่วงสุดท้ายของการสนทนาในวันนั้น ฤทธิกรยังคงไม่ให้อภัยสิ่งที่ธีร์เคยทำไว้ในอดีตแต่ก็ไม่อาจฝืนชะตากรรมที่ว่าทั้งสองคนคงทำบุญบาปร่วมกันมาและให้กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ นวลจันทร์รู้สึกดีใจที่ครอบครัวของลูกสาวได้กลับมาอยู่กันพร้อมหน้าครบสมบูรณ์รวมถึงได้เจอกับหลานคนโต เขมกรยินดีกับพี่สาวของตัวเองและพร้อมรับตำแหน่งน้าชาย ส่วนคุณกรยังคงงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนี้
ถึงทุกคนจะไม่ได้เห็นด้วยในข้อสรุป แต่ธีร์และวนกรตกลงกันว่าจะวางแผนย้ายไปอยู่ด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูกและเตรียมพร้อมรับสมาชิกคนที่สี่ที่จะออกมาลืมตาดูโลกในอีกไม่ช้า หลังจากนั้นพวกเขาจะค่อยบอกกล่าวคนรู้จักอื่นๆ เพื่อนร่วมงานรวมถึงหัวหน้างานของแต่ละคน ไปจนถึงญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย และตัดสินใจจดทะเบียนสมรสให้ถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนเรื่องงานแต่งงานนั้น...
“จะจัดงานแต่งทำไมอีก จะลูกสองแล้วนะ เสียเวลาเปลืองเงินเปล่าๆ”
แต่ละคนต่างหันมามองวีร์เป็นตาเดียวทันทีที่เขาพูดโพล่งออกมากลางวงสนทนา เด็กหนุ่มกำลังนั่งกอดอกเสหน้าไปทางอื่นแบบไม่ได้สนใจอะไรในเรื่องพวกนี้มากนักและดูเหมือนจะติดรำคาญนิดหน่อยด้วย ท่าทางแบบนี้ของวีร์ทำเอาทุกคนต่างพูดไม่ออกไปต่อไม่ถูก จะมีก็เพียงคนใจแข็งที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ใครกำลังพยายามเก็บรอยอมยิ้มเล็กๆไว้ในใจเพราะมีใครได้พูดความในใจออกมาแทนเขาได้เป็นอย่างดี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มเปิดใจยอมรับในตัวหลานชายคนโตของตัวเอง แต่กระนั้นถ้าหากจะให้ยอมรับอย่างเต็มใจก็ยังคงต้องใช้เวลา
*****
“ว่าไงจ๊ะหลานรัก” คุณกรเข้ามาทักทายวีร์และกลุ่มเพื่อนๆที่กำลังนั่งอยู่ในโรงอาหาร โดยมีเพื่อนๆของเขาเองรวมถึงวีรมาตุเดินตามมาด้วย “ที่นั่งว่างมั้ย นั่งด้วยคนสิ”
“ก็เอาสิครับ”
คุณกรนั่งลงข้างๆวีร์พร้อมเอาแขนโอบบ่าของวีร์ไว้ ทั้งพร้อมสรรพ ไมตรีจิต ชัชวาล รวมถึงวีรมาตุต่างงุนงงกับท่าทางสนิทสนมกันระหว่างคุณกรและวีร์ โดยเฉพาะวีรมาตุที่ออกอาการไม่พอใจเพื่อนของเขาค่อนข้างชัดเจน แม้กระทั้งกลุ่มเพื่อนของวีร์เองก็ตามต่างมองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าคุณกรจะมาไม้ไหนในวันนี้
ส่วนวีร์ยังคงนั่งกินอาหารของตัวเองไปตามปกติ
“กูว่านะ ถึงมึงจะเป็นเพื่อนสนิทแต่ถ้ามึงไม่อยากตายตอนนี้ มึงเอาแขนลงจะดีกว่า” พร้อมสรรพพยักพเยิดหน้าไปทางแขนของคุณกร
“อะไร” คุณกรตอบแบบยังไม่รู้ตัว
“ไอ้วีตาเขียวปัดแล้วมึง” ชัชวาลผงกศีรษะไปด้านข้างจนคุณกรมองตามและเห็นแววตานิ่งดุดันของวีรมาตุ
“โอ้ยมึง กูยังชอบผู้หญิงอยู่ กูไม่แย่งของมึงหรอกหน่า” คุณกรพูดให้เพื่อนคลายใจ แล้วก็ดึงวีร์เข้ามาใกล้ๆเขามากกว่าเดิมจนวีร์ตัวเซตามแรงดึงและหันไปเห็นสีหน้าของวีรมาตุ “แล้วอีกอย่างนะ ถึงกูจะเปลี่ยนใจมาชอบผู้ชาย กูก็ไม่นิยมอินเซสท์ ยูโนว”
“อะไรของมึง พูดมาให้มันชัดๆ” วีรมาตุมีสีหน้าอ่อนลงแต่น้ำเสียงยังคงขึงขัง
แต่ก่อนที่คุณกรจะตอบก็ถูกวีร์กระทืบเท้าเบาๆซะก่อนจนเขาหันหน้ามามองวีร์ ก็พบกับแววตาที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี ก็ได้แต่คิดในใจว่าสมแล้วที่เกิดมาเป็นตาหลานกัน แล้วคุณกรก็เอามือของตัวเองออกจากบ่าของวีร์แล้วก็เริ่มลงมือตักอาหารของตัวเองกิน
“เอาเป็นว่ากูไม่แย่งของมึงก็แล้วกัน ถ้าจะแย่ง กูแย่ง...” คุณกรเหล่ตามองคนสูงใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างๆวีร์ “...ดีกว่า”
สุรศักดิ์เองก็ไม่น้อยหน้า ยืดตัวเองขึ้นสูงและขยับบ่าเล็กน้อยพอเป็นพิธี แสดงตัวตนว่าพร้อมสู้รบเต็มที่ ถ้าหากไม่โดนใครมาตัดกำลังใจซะก่อน
“หึๆ ยังมีหน้ามาอวดเบ่ง แต่ความเป็นจริงก็กากกันทั้งคู่” ชัชวาลตบความมั่นใจของสุรศักดิ์และคุณกรดำดิ่งเหลือศูนย์ในทันที
“แล้ววาเลนไทน์ที่ผ่านมามีใครได้ชวนน้องแพรไปออกเดทได้บ้าง ห๊ะ ไม่มีสักคน” ไมตรีจิตตอกย้ำด้วยคำพูดอีกคนจนมีเสียงหัวเราะออกมาจากหลายคน
“ผมนี่ไง” วีร์เอ่ยขึ้นมาลอยๆ
“ของมึงเขาไม่นับ” พร้อมสรรพสวนกลับในทันที “แล้วก็เลยนึกได้ ไอ้นี่ก็กากเหมือนกัน”
วีรมาตุกรอกตาหันไปทางอื่น ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากชวนวีร์ออกไปไหน แต่เพราะว่าเขากับวีร์ตกลงกันไว้ว่าจะรักษาระดับความสัมพันธ์ในตอนนี้ไว้ที่ระดับเดิมจนกว่าเขาจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ก่อน
“อย่าไปว่ามัน ช่วงนี้ดวงมันกำลังซวยเจ็บตัวโน้นนี่ตลอด อาทิตย์ก่อนเห็นพลาสเตอร์พันนิ้วอยู่หลายนิ้ว เมื่อเช้าก็สะดุดอิฐบล็อกล้มข้อศอกถลอก ปล่อยมันไปก่อน”
วีร์หันไปมองนิ้วมือของวีรมาตุที่เป็นปกติดีแล้ว แต่เขาเพิ่งจะสังเกตแผลที่ข้อศอก
“มันแค่ถากๆครับ เฮียไม่ได้เป็นอะไรมาก” วีรมาตุหันไปพูดกับวีร์ วีร์ก็พยักหน้ารับรู้
“ทำเป็นแกร่ง แต่จริงๆก็อยากให้เขามาดูแผลให้ใช่มั้ยล่ะ” คุณกรออกปกแซวเพื่อนตัวเองจนได้รับสายตาเย็นชากลับมา “แซวนิดแซวหน่อยก็ไม่ได้”
“มึง ขึ้นห้องเหอะ เกือบหมดเวลาแล้ว” ศศิทัศน์รีบแทรกขึ้นมา แม้ว่าจริงๆแล้วจะยังพอมีเวลาให้นั่งเล่นกันต่อก่อนที่จะเริ่มเรียนวิชาภาคบ่ายก็ตาม แต่ทุกคนก็เริ่มขยับตัวเก็บจานแก้วน้ำไปวางและแยกย้ายกันไปตามห้องเรียนของตัวเอง
“น้องวีร์ครับ” วีรมาตุเอ่ยเรียกรั้งตัววีร์เอาไว้ก่อน
“ครับ” วีร์หยุดเดินและหันกลับมา
“เอ่อคือ... วันเสาร์นี้น้องวีร์ว่างมั้ยครับ” วีรมาตุถามด้วยความลังเลใจ
“วันเสาร์นี้เหรอครับ” วีร์ถามกลับและวีรมาตุก็พยักหน้ารับ “คงจะไม่ได้อะครับ เฮียมีอะไรด่วนรึเปล่าครับ”
“จริงๆก็ไม่มีอะไรสำคัญหรอกครับ น้องวีร์ติดธุระเหรอครับ”
“ก็...ครับ” วีร์มองดูสีหน้าของวีรมาตุที่สลดลงเล็กน้อยแต่พยายามไม่แสดงออกมา “วันเสาร์นี้เป็นวันเกิดพี่วี วีร์จะไปวัดทำบุญให้พี่เขาอะครับ”
แม้ว่าจะใจชื่นมาเล็กน้อยที่วีร์ไม่ได้หาข้ออ้างมากลบเกลื่อนไม่อยากไปกับเขา แต่ก็วีรมาตุก็รู้สึกใจห่อเหี่ยวเล็กน้อยที่ตัวเขายังมีความสำคัญไม่เท่ากับอีกคน
“งั้นให้เฮียขับรถพาไปมั้ยครับ เฮียก็อยากไปทำบุญให้เขาเหมือนกัน”
วีร์ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง จากเดิมที่ต้องการจะไปทำบุญที่วัดเพียงลำพังและอาจจะไปนั่งสงบจิตใจต่อจนถึงเย็น แต่เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาที่แสดงความจริงใจออกมาของวีรมาตุแล้ววีร์ก็พยักหน้ารับ
“ก็ได้ครับ เดี๋ยววีร์โทรบอกเฮียอีกทีก็แล้วกันนะครับ”
“ได้ครับ” วีรมาตุยิ้มกว้าง แล้วทั้งคู่ก็เดินจากไปห้องเรียนของแต่ละคน
*****
การทำบุญวันเกิดให้กับวีรดนย์เป็นไปอย่างเรียบง่าย วีร์เตรียมอาหารสำหรับถวายพระใส่ปิ่นโตไว้สามเถาและนัดเวลากับวีรมาตุไว้ตั้งแต่เช้า ตั้งใจจะไปถวายภัตตาหารเช้าแด่พระสงฆ์ เดิมทีทั้งธีร์แล้ววนกรตั้งใจจะเดินทางไปด้วย แต่เห็นว่าวีรมาตุอาสามารับไปส่งแล้วจึงเปลี่ยนใจมาวางแผนตกแต่งบ้านกันใหม่แทน ปล่อยให้วีร์และวีรมาตุเดินทางไปกันแค่สองคน
หลังจากที่ได้รับฟังหมู่พระภิกษุสงฆ์สวดให้ศีลให้พร เจริญสติภาวนา และกรวดน้ำแผ่อุทิศส่วนผลส่วนกุศลให้กับผู้ล่วงลับเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น วีร์และวีรมาตุก็ใช้เวลาช่วงสายเดินเล่นรอบๆวัด ซึมซับบรรยาศที่ร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่นานาพันธุ์
“น้องวีร์เจอกับเขาได้ยังไงเหรอครับ”
“พี่วีเหรอครับ” วีร์ถามกลับ และวีรมาตุก็พยักหน้ารับ “อืม ว่ายังไงดีละ วีร์เริ่มสนิทกับไอ้ต่ายประมาณตอนป.5 หมายถึงต่ายคนโน้นอะครับ” วีร์อธิบายเพิ่มเติมเมื่อเห็นสีหน้าของวีรมาตุ
“บางทีเฮียก็งงเหมือนกันครับว่าต่ายคนไหน” วีรมาตุหัวเราะเบาๆ
“ก็นั่นแหละครับ ก็เลยได้รู้จักพี่วีไปด้วย”
ทั้งคู่เดินลัดเลาะไปตามเส้นทางภายในวัดมุ่งหน้าสู่ลานวัดที่วีรมาตุจอดรถยนต์ไว้
“แล้วน้องวีร์เริ่มชอบเขาตั้งแต่ตอนนั้นเลยเหรอครับ”
“เปล่าครับ” วีร์ยิ้มเล็กน้อย “จะว่าเป็นความประทับใจที่สะสมขึ้นเรื่อยๆมากกว่า รู้ตัวอีกทีก็ไปไหนมาไหนกับพี่เขาบ่อยๆ ได้ทำอะไรร่วมกันหลายอย่าง แต่กว่าจะตกลงคบกันจริงๆก็ตอนที่พี่วีเข้าโรงพยาบาลแล้ว”
“แล้วน้องวีร์ทำใจได้แล้วเหรอครับ” เมื่อถามออกไปแล้ววีรมาตุก็แทบจะหยุดหายใจรอลุ้นกับคำตอบ
“อืม... เรียกว่าเข้าใจจะดีกว่า” วีร์มองเห็นคิ้วทั้งสองข้างของวีรมาตุขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เขาจึงอธิบายเพิ่มเติม “เมื่อก่อนวีร์ก็ไม่รู้เรื่องหรอกครับว่าทำไมพี่วีชอบพูดเรื่องที่ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรอยู่ยงไปตลอด ท้ายที่สุดมันก็จะดับสูญไป ไม่ว่าเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ไม่มีอะไรฝืนกฎนี้ได้”
วีรมาตุก็พยักหน้ารับ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยได้เรียนรู้มาก่อน แต่การจะเข้าใจโดยถ่องแท้อาจจะต้องได้ประสบพบเจอเรื่องราวกับตัวเองเสียก่อนเท่านั้น
“แล้วน้องวีร์ไม่คิดว่าคุณงามความดีที่เขาทำไว้มันจะอยู่ได้นานเหรอครับ”
“ถึงอยู่ได้นานก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ได้ตลอดไปนี่ครับ เมื่อไม่มีใครพูดถึงอีกสุดท้ายมันก็จะหายไป ต่อให้มันฝังอยู่ในอินเตอร์เน็ตเรียกออกมาดูได้ทุกเมื่อ แต่ถ้าวันนึงอีกสักพันปีหรือสองพันปีต่อจากนี้ที่มนุษย์ไม่มีอยู่แล้ว ไฟฟ้าก็ไม่มีใช้ แล้วจะยังเหลือคุณงามความดีอันนั้นอีกต่อไปมั้ยครับ”
วีรมาตุพยายามคิดตามสิ่งที่วีร์พูด ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังเดินไปเรื่อยๆ
“แค่เข้าใจและยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีกาลเวลาของมัน อย่าเอามันมาเป็นทุกข์ให้กับตัวเอง”
วีรมาตุเปิดกระโปรงท้ายรถยนต์และวางของต่างๆที่นำมาใส่ไว้ให้เรียบร้อยก่อนที่ปิดลงให้สนิท
“ว่าแต่ตอนแรกเฮียจะชวนวีร์ไปไหนเหรอครับ” วีร์ถามซะก่อนที่วีรมาตุจะเดินไปขึ้นรถ
“ครับ?” วีรมาตุหันกลับมามีสีหน้างุนงงเล็กน้อย
“ก็เมื่อวันก่อนที่เฮียมาชวนวีร์แต่วีร์ปฏิเสธไปซะก่อน จะไปไหนเหรอครับ ถ้ายังทันอยู่เราก็ไปกันต่อก็ได้นะครับ” วีร์มองดูเวลาจากโทรศัพท์มือถือของเขา เห็นว่าตอนนี้ยังเป็นเวลาไม่สายมากนัก ยังจะพอมีเวลาไปทำธุระอื่นกันได้ต่อ
“ก็ ไม่เป็นไรครับ ถือว่าเหมารวมไปเลยก็ได้ครับ” วีรมาตุมองมองดูวีร์ที่ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยด้วยความสงสัย เขาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะบอกต่อไป “คือจริงๆแล้ว วันนี้ก็วันเกิดเฮียเหมือนกันครับ”
“อ้าว... แล้วเฮียไม่บอกก่อนอะครับ”
“เฮียบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไรครับ ก็ถือซะว่าเหมารวมทำบุญร่วมกันไปเลย”
“แต่ว่า...”
“ไม่เป็นไรจริงๆครับ” วีรมาตุให้คำยืนยันแต่วีร์ยังคงมีท่าทีลังเลใจอยู่ “เอาไว้ครั้งหน้าก็ได้ครับ”
“ก็ได้ครับ” วีร์ยื่นนิ้วก้อยของเขาเองไปตรงหน้า “เอาไว้ปีหน้านะครับ”
วีรมาตุเห็นดังนั้นก็ยิ้มกว้างขึ้นมาในทันใด แล้วเขาก็ยื่นนิ้วก้อยของตัวเองไปเกี่ยวไว้กับนิ้วก้อยของวีร์
“สุขสันต์วันเกิดนะครับ”
“ขอบคุณครับ”
แล้วทั้งคู่ก็เดินขึ้นรถยนต์เพื่อเดินทางกลับ วีรมาตุขับรถแวะไปส่งวีร์ที่บ้านก่อนอย่างปลอดภัยตามสัญญาที่ให้ไว้กับธีร์และวนกร ส่วนตัวเขาเองนั้นก็กลับไปฉลองวันเกิดกับครอบครัว โดยมีอาม่าเป็นผู้ลงมือปรุงอาหารจานโปรดเตรียมรอไว้แล้ว
[อ่านต่อด้านล่าง]