{ทฤษฎีข้างขวา}
โปรดเตรียมใจก่อนอ่าน... ขวาร้าย…
ซ้ายดี…
เชื่อว่าคนอ่านทุกคนที่ไล่สายตากวาดมองตัวหนังสือข้างบนคงเคยได้ยินประโยคนี้
‘ถ้าตากะพริบข้างขวา แปลว่าจะเกิดเรื่องร้ายนะ ลูบตาถอนเรื่องร้ายออกไปซะ’
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เอ่อ ประมาณเท่าไหร่ดี สักห้าร้อยปีดีมั้ย ไม่สิ นั่นนานไปหน่อย สักห้าสิบปีที่ผ่านมาดีกว่า คนๆนั้นคงจะต้องรีบยกมือขึ้นลูบตา แล้วพูด ขวาดี ซ้ายดี เป็นกุสโลบายแก้เคล็ด ทำให้ใจไม่คิดกังวลว่าที่ตาขวากระตุกจะเกิดเรื่องร้ายตามมาจนพาลทำให้เสียสุขภาพจิตไปเปล่าๆ แต่ตอนนี้วิทยาศาสตร์ก้าวหน้า มีหรือใครจะมายกมือขึ้นลูบตา คนอื่นคงมองเป็นเรื่องตลกกันพอดี คงจะมีแต่ประโยคนี้หลุดจากปากเสียมากกว่าว่า ไร้สาระจริงๆ
เอาเถอะ แต่ที่เขาจะเล่ามันไม่ใช่เรื่องตากะพริบ แล้วเป็นโชคร้ายโชคดีอะไรนั่น
เขาเองก็ไม่ได้เชื่อเรื่องตากะพริบเสียเท่าไหร่ด้วยสิ
ไม่สิ…
ใช่… เขาไม่เชื่อเรื่องตากะพริบ ให้บอกกี่ครั้งกี่ครั้งเขาก็ยังยืนยันคำเดิมว่า
นายภาวิน พาสกร ปัจจุบันศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยXX คณะศึกษาศาสตร์ ไม่เชื่อเรื่องตากะพริบ
แต่นายภาวิน พาสกร ปัจจุบันศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยXX คณะศึกษาศาสตร์ เชื่อประโยคที่ว่า
ขวาร้าย… ซ้ายดี…
อย่างยอมจำนน
วันนั้นเป็นวันที่ 30 กันยายน ท้องฟ้าปลอดโปร่ง มีแสงแดดส่องตลอดวัน เขา นายภาสการในวัยเด็กมัธยมปลาย กำลังพรวนดินอย่างยากลำบาก เนื่องจากถูกลงโทษเพราะคุยกันเสียงดังในห้อง ในขณะที่คุณครูสอนอยู่ ในสวนนอกเขตแปลงเกษตรของนักเรียนที่ลงเรียนวิชานี้ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาไม่โชคร้ายได้ลงเรียนกับอาจารย์สายสมร เรื่องแบบนี้มันก็ไม่เกิดขึ้น อาจารย์คนอื่นรึจะทำพิเรนทร์ ลงโทษนักเรียนมัธยมปลายมอหก ที่กำลังจะจบ และต้องเตรียมตัวสอบไล่แบบนี้ มีอาจารย์คนนี้คนเดียวเท่านั้นล่ะ พูดแล้วก็ใจขึ้น
ฉึก!
ปักส้อมพรวนลงดินอย่างหาที่ระบายที่ดีที่สุดไม่ได้แล้ว
ไม่ เขาไม่ได้เจ็บใจจนอยากเข้าไปตั๊นหน้าอาจารย์สายสมร ซึ่งพฤติกรรมแบบนั้นนายพาสกรคนนี้เรียกว่าเสียสติและไร้สมองอย่างที่สุด แต่ที่เขาโกรธจนกรามสั่นและเคียดแค้นเช่นนี้เพราะ…
ไอ้คู่กรณีที่เขาคุยด้วย กลับไม่ได้ลงดินกินต้นไม้แบบเขา โน่น นั่งคัดนั่งเขียนรายงานให้อาจารย์อยู่ในห้องแอร์โน่น ฮึก สองมาตรฐานไม่มีใครเกิน
“วี๊ด พี่พาสสู้ๆ พี่พาสสู้ตาย พี่พาสไว้ลาย เสือกตายก่อนสู้ ฮ่าๆๆๆๆๆ”
ชีวิตนี้จะมีอะไรหน้าขายหน้า เท่ากับนายพาสกรที่สวมใส่เสื้อนักเรียนสีขาว บนหัวมีหมวกชาวนา นั่งตากแดดพรวนดินให้ไอ้เด็กมอหนึ่งมันหัวเราะเยาะอยู่แบบนี้
คิดถึงคินจะแย่แล้ว อยากกลับไปนั่งในห้องเรียนแล้ว
อยากกลับไปนั่งโต๊ะตัวเดิมตากแอร์เย็นๆ แล้วมองยิ้มที่ไอ้คินส่งมาให้แบบเขินๆ ฮืออออออออออ
แล้วยังไง ใจก็ได้แค่คิด แต่ตัวก็ติดอยู่ที่แปลงเกษตรเพราะมีหย้าที่อันใหญ่หลวงที่อาจารย์สายสมรสั่งกำชับมาว่าให้
พรวนดินต่อไป
ฮึก
“พี่พาสไหวมั้ย ทำหน้าเหมือนแพ้ลมแดด”
ไอ้เด็กมอหนึ่ง ไอ้พวกเด็กบ้า เขาไม่ได้แพ้ลมแดด แต่เขาอยากร้องไห้ต่างหาก
“ไปไกลๆเลยไอ้พวกเวร”
“อะไรนะ”
พวกมึงนี่กวนตีนชิบหาย
ไม่สนพวกมันละแม่ง เงียบปากไม่เถียง แล้วเอาส้อมพรวนจิ้มๆดินต่อไป หวังใจว่างานจะเสร็จทันก่อนเลิกเรียน
นี่เขากำลังจะจบแล้วแน่เหรอ เด็กมอหกต้องเป็นเด็กที่ได้รับความใส่ใจเป็นพิเศษ ยุงก็ไม่ให้ไต่ ไรรึจะกล้ามาตอมได้ แต่นี่อะไร บัดซบ
แดดร้อนเปรี้ยงปร้าง
ได้แต่ภาวนาในใจว่า
เย็นหนอ เย็นหนอ
ถ้ามีไอศกรีมสักถ้วยคงชื่นใจ
แต่มองไปทางไหน ก็มีแต่ดิน
ตึง!
“เฮ้ยยยยยย พี่พาสเป็นลม”
นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่เขาได้ยิน ก่อนทุกอย่างจะเงียบงัน และความร้อนก็ค่อยๆบรรเทาลง
หืออออออออ
ได้กลิ่นแอมโมเนีย กับลมเย็นๆที่พัดผ่านหน้าไปมา
เขาลืมตาโพรง แต่ก็ต้องปิดเปลือกตาไป เพราะแพ้แสงจ้าที่กระทบเข้าตาเนื่องจากหลับตานานจนสายตาไม่ชินกับแสง ต้องค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นมาช้าๆ เอามือบังหน้าถึงได้ปรับเข้ากับแสงได้
พอการมองเห็นเริ่มชัดเจน เขาก็ค่อยๆกวาดสายตามองรอบด้านตามสัญชาตญาณ และภาพแรกที่ปรากฏแก่สายตาก็คือรอยยิ้มน้อยๆของคินที่ส่งตรงมาให้
“พาส ไหวมั้ย”
เขาค่อยๆลุกขึ้นนั่งช้าๆ เอนหลังพิงกับขอบเตียง
“ไหวๆ” พอปรับอะไรได้บ้าง ก็เปิดปากบอกคนที่คอยพัดวีให้ตรงหน้า
“พอไม่มีพาสแล้วคินเรียนหนังสือไม่รู้เรื่องเลย”
คินบอกเสียงหวานนุ่ม
“ทำไมล่ะ”
“ก็ใจคินเอาแต่เป็นห่วงกลัวพาสจะเป็นอะไร แล้วก็เป็นจริงๆด้วย”
“เอาน่า อย่างน้อยก็แค่ลมแดด”
หลังพูดประโยคนี้จบ แทบจะทันทีที่ตัวเขาถูกคินดึงไปกอด
“อื้อ เหม็นเหงื่อๆ ปล่อยก่อน”
“ใครบอก พาสหอมจะตาย”
มันเล่นเอาจมูกมาซุกไซ้ไปมาจนจั๊กจี้ จนเขาต้องดิ้นพรวดพราดไปมา
“ปล่อยก่อนๆ ฮ่าๆ”
เราทั้งคู่เงียบไปแปดสิบวินาที แล้วคินก็เป็นฝ่ายปิดฉากความเงียบ ด้วยการจ้องมองมาด้วยสายตาที่คาดเดาได้ยาก
“คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ”
“ที่เป็นลมน่ะเหรอ อือๆ รู้แล้วว่าเป็นห่วง”
แกล้งตอบแบบส่งๆไป แต่ในใจกลับลิงโลดดีใจที่คินเป็นห่วง แต่ประโยคถัดมาจากคินก็ทำเอาเขาอยากตรงเข้าไปกระชากหัวกระซวกไส้
“เปล่า หมายถึงคุยกันในห้องเรียน มันไม่ดี อย่าทำอีก”
อ้าวเรอะ นี่มึงเป็นห่วงกลัวกูจะเสียการเรียนหรอกหรือ ไอ้เหี้ยไอ้สัดเอ๊ย
“หน้าบูดละ โถ คินล้อเล่นครับตะเอง”
แหวะ เสียงหวานบาดหู รับฟังไม่ได้ แต่ทำไมกูเขินวะ
นั่นแหละ ชีวิตรักของเด็กวัยเรียนก็เป็นแบบนี้ ชีวิตก็มีสีสันดี ช่วงสอบก็ติวหนังสือให้กัน อยากไปเที่ยวไหนก็ไปด้วยกัน ไปรับไปส่ง มาโรงเรียนด้วยกันตอนเช้า ตอนเย็นก็ส่งกลับบ้าน ชีวิตแฮปปี้ แถมครอบครัวเราก็ยอมรับได้ เดี๋ยวนี้สังคมเปิดกว้างมากๆ ยุคสมัยที่ชายต้องคู่กับหญิงมันกำลังจะหมดไปแล้ว
“งั้นเย็นนี้ไปดูหนังกัน”
เขาเอ่ยปากชวนคิน
แต่ทำไม จบประโยคปุ๊บ รับรู้ได้ถึงบรรยากาศแห่งความตึงเครียดปั๊บ อะไรนี่ แค่ชวนหนูหนังเองไม่ได้ชวนไปเผาบ้านใคร ทำไมหน้าเคร่งแบบนั้น
“เย็นนี้คินมีนัดติวหนังสือให้แจนน่ะ”
ไม่ต้องถามว่าแจนไหน ไฟแรงเฟ่อ ก็แจนหกทับสอง ห้องเดียวกับพวกเขานี่แหละ คนที่นั่งโต๊ะถัดไปจากคิน
ก็คนที่นั่งโต๊ะฝั่งขวาของไอ้คินยังไงล่ะ
ยุคสมัยที่ผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิงมันกำลังจะหมดไปแล้ว
…จริงๆเหรอ
ทำไมตาขวากระตุกแปลกๆ
สองอาทิตย์ต่อจากนั้น
“คินนนนนนนน”
“จ๋า”
“คินนนนนนน”
“จ๋า”
“คินนนนนน”
“จ๋า”
“คินนนนนน”
“โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”
อิช้างฉายาที่ทั้งห้องยกให้ด้วยความเต็มใจแผดเสียงร้องกลบเสียงหวานฉ่ำ ที่คู่รักสองคนถ่ายทอดให้กันอย่างนึกรำคาญ
“เป็นอะไร อิช้าง” คินถามเสียงห้วน
“มึงจะพลอดรักกันหรือทำห่าอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ที่นี่ ห้องนี้กูจะอ่านหนังสือ” อิช้างตอกกลับเสียงขุ่นไม่แพ้กัน
แล้วศึกน้ำลายที่ขึ้นกับศักดิ์ศรี ระหว่างตุ๊ดและอดีตเคยรุกอย่างคินก็เกิดขึ้น
ใช่ ฟังไม่ผิดหรอก นายคิน หรือพานุวงษ์ บุญรอด อดีตเคยรุก เปลี่ยนรสนิยมแล้ว
จะว่าเปลี่ยนจากหลัง มาเอาหน้า มันก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะตลอดเวลาที่คบกัน ไม่เคยมีเรื่องเซ็กระหว่างกันมาเกี่ยวข้อง
ใช่ ประโยคข้างบนอ่านไม่ผิดหรอก คินเป็นอดีตไปแล้ว เขาเลิกกับมันแล้ว
และพีคสุดๆคือมันมาขอเลิก เพราะบอกว่ากำลังคบหาและเริ่มความสัมพันธ์ใหม่ กับผู้หญิงที่ชื่อแจน
ผ่านไปแค่อาทิตย์เดียวหวังใจว่าทุกคนจะยังจำแจนได้ ก็ผู้หญิงที่นั่งโต๊ะฝั่งขวาของไอ้คินนั่นแหละ
นี่สินะ รักแท้แพ้ใกล้ชิด ทำกับพาสกรคนนี้ได้ลงคอ ฮึก
สงสัยวันนั้นที่มึงเบี้ยวดูหนังกู เพราะไปซั่มกับอินังแจนแน่ๆ
พอ… พอกันที
สุดท้ายแล้วผู้ชายมันก็กลับไปเอาผู้หญิง ก็นะ ของมันเกิดมาคู่กันตามธรรมชาติ
และแล้ว ชีวิตของคนทั้งคู่ก็สมหวังหลังจากนั้นไม่นานคินและแจนก็พบว่าตัวเองต้องกลายเป็นเด็กซิ่ว เพราะคะแนนไม่ถึงที่ไหนสักที่ เหตุเพราะ ซั่มกันจนไม่อ่านหนังสือ อิสัด โชคดี
ส่วนตัวเขานั้น สอบติดมหาลัยดังทางภาคเหนือ ชีวิตต้องระหกระเหินเดินทางไกล จากเมืองใหญ่อันศิวิไลซ์สู่เมืองเหนือที่ศิวิไลซ์เหมือนกัน แต่แฝงไปด้วยกลิ่นอายของวัฒนธรรมยุคโบราณ
ใช่ว่าเลิกกับคินไปเขาจะเจ็บใจจากความรักเสียหน่อย แต่อะไรก็ไม่เท่า ช้ำรักไม่พอซ้ำยังไม่จดไม่จำ ยังมีใหม่เรื่อยๆ ให้ได้กินแห้วอีกทุกครั้งไป แต่ทำไม ชีวิตรักเขาถูกผูกพันกับคำสองพยางค์นี้อยู่เรื่อย
ไอ้คำว่าข้างขวา…
เนี่ย!!!
“พาส เราเลิกกันเถอะ นายดีเกินไป เรามันเลว”
ประโยคยอดฮิต เหตุผลหรือข้ออ้างของคนที่จะไป แฟนคนที่สอง เรียนคณะแพทย์ ตอนตามจีบเขาใหม่ๆนี่เทียวไล้เทียวส่งทั้งเช้าทั้งเย็น ดีนะกูไม่หลงคารมมึงจนยอมพลีกายถวายตัว แม้ความรักแบบผู้ชายมันจะไม่ต้องมาวอรี่เรื่องแบบนี้ก็เหอะ แต่มาวันนี้ เขาดีใจเหลือเกินที่ไม่ได้ให้สิ่งที่มันต้องการไป
ไอ้หมอเคน คนที่นั่งข้างขวาของเขาตอนวันตรวจร่างกาย ในวันสัมภาษณ์เข้าเรียนต่อที่นี่
นับตั้งแต่เขาก้าวมาในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ชีวิตทุกตารางนิ้วก็มีมันมาตลอด ถึงแม้มันจะเรียนหมอ ไม่มีเวลาว่างมาเจอกัน แต่ตอนเย็นเราก็หาช่วงเวลามาเจอหน้าจนได้ พักหลังๆ เขาก็พอได้ข่าวแว่วๆว่ามันไปติดใจผู้ชายคนหนึ่ง ตอนแรกเขาก็ไม่เอะใจนะ เพราะเชื่อมั่นในรักเก้าเดือนเหลือเกิน พออีกไม่กี่วันจะจบปีสองเท่านั้นล่ะรู้เลย ก็มันเพิ่งบอกเลิกเขาไปสดๆร้อนๆเมื่อกี้ไง
แถมยังควงไอ้หนุ่มคนนั้นมาเย้ยอีก ไอ้เหี้ยเอ๊ย
เขาไม่ได้ติดใจอะไรกับข้างขวาเลยนะ แต่ทำไมตากูถึงจ้องมองนาฬิกาข้อมือ ที่ไอ้แฟนใหม่หมอเคนมันใส่อยู่วะ
เปล่านะ มันไม่ใช่ของแบรนด์เนมมีราคาอะไรขนาดนั้น เพียงแต่ว่า
มันใส่ไว้ที่ข้างขวา เป็นนาฬิกาเรือนเดียวกับที่เขาเคยบ่นว่าอยากได้จากไอ้หมอเคน
ก็แค่นั้นเอง…
หึ
ไอ้หมอเคนนั่งข้างขวาตอนตรวจร่างกาย
ไอ้หนุ่มนี่ แฟนใหม่ไอ้หมอเคนใส่นาฬิกาข้างขวา
พอกันที
เขาเดินคอตกเข้ามาในร้านน้ำปั่นด้วยอารมณ์ที่อธิบายไม่ถูก ในหัวมันว่างเปล่า จะบอกว่าไม่คิดอะไรกับประโยคบอกเลิกของไอ้หมอเคนเมื่อครู่นี้ก็ดูจะเป็นการหมิ่นความรักที่มีให้กันมาเกือบเก้าเดือน อยู่ด้วยกันนานขนาดนี้ มันคงจะต้องรู้สึกอะไรบ้างล่ะ หมายถึงตัวเขาเองอ่ะนะ ส่วนไอ้หมอเคนพอมันบอกเลิกเสร็จ ก็ขึ้นตัส ถ่ายรูปกับคู่ขาคนใหม่สบายใจเฉิบ มีแต่เขาที่มานั่งงี่เง่าอยู่คนเดียวแบบนี้
เขาเลือกโต๊ะติดกับผนังร้าน ที่เป็นกระจกใส มองทะลุเห็นบรรยากาศภายนอก กับความเขียวขจีรอบๆ ที่เรียกได้ว่าเป็นสวนย่อมๆก็ได้
อือ มองสีเขียวแล้วใจชื้นขึ้นมาหน่อย
“แจน ฟังเราก่อน อย่าเพิ่งวาง”
ทุกอย่างลงตัว พาให้อารมณ์ขุ่นมัวหายไป จะมีก็แต่เสียงทุ้มๆ ที่เกือบจะตะโกนของโต๊ะฝั่งขวานี่ล่ะ ที่แปลกแยก
“แจน แจน แจน”
มันแผดเสียงอีกสามรอบ แล้วเจ้าตัวก็ดึงไอโฟนเครื่องสีดำออกจากหู
เขาเผลอมองอย่างช่วยไม่ได้
ทำไมวิศวะทุกคน ถึงหน้าตาดี
ไม่ใช่ประโยคคำถาม แค่เรียบเรียงความหมายของคำพูด ที่จะเอามาอธิบายไอ้คนโต๊ะข้างๆตอนนี้เท่านั้นเอง
“มองอะไร ไม่เคยเห็นคนอกหักรึไงวะ”
ไม่น่าเชื่อว่าถ้อยคำหยาบคายจะพ่นออกมาจากคนๆนี้ได้ อย่างโบราณว่าไว้ รู้หน้าไม่รู้ใจสินะ
เขาไม่ตอบโต้ ไม่ได้อยากมีเรื่องกับวิศวะหรอกนะ แถมตัวเองก็ไม่ใช่ผู้ชายร้อยเปอร์เซ็นต์ ไอ้เรื่องจะไปชกต่อยใครก็พักไว้ก่อนเถอะ
เหมือนฝ่ายตรงข้ามจะรับรู้ว่าควรควบคุมอารมณ์ตัวเอง จึงไม่ได้เกิดเหตุการณ์อะไรต่อจากนั้น เราต่างคนต่างอยู่
เขานั่งแช่ในร้านน้ำปั่นเนิ่นนาน จนน้ำใสๆจากท้องฟ้าตกลงมากระทบกระจกใสนั่นล่ะ ถึงได้รู้สึกตัว
ฝนตกเหรอเนี่ย ทั้งที่เมื่อเช้าอากาศสดใสแท้ๆ
เขาก้มมองเวลาในจอไอโฟน นาฬิกาดิจิตอลบอกเวลาหกโมงเย็น เย็นขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย
ให้ตายเถอะ รายงานอาจารย์ปราโมทย์ส่งพรุ่งนี้เสียด้วย
แต่ไม่ได้เอาร่มมา จะทำไงดี จะทำไงดีนะ
“ถ้าไม่รังเกียจ ก็ไปด้วยกัน”
ขณะที่กำลังลุกลี้ลุกลน กระวนกระวายใจว่าจะกลับยังไง เสียงทุ้มที่ตอนนี้ปรับให้นุ่มกว่าเดิมก็พูดขึ้น คงเพราะพฤติกรรมกังวลออกนอกหน้าของตัวเขาเองที่แสดงออกชัดเจนขนาดนี้ คงไม่มีใครไม่รู้แล้วล่ะ ว่ากำลังติดฝน
เขาจ้องมองใบหน้าคมคาย
ที่ยักไหล่แล้วว่า “ไถ่โทษเรื่องที่ตะคอกใส่เมื่อเช้าน่ะ”
อือ
“ขอบคุณนะ”
เย็นวันนั้น เขาติดร่มกับชายคนนั้นไปตลอดเส้นทาง จนถึงหลังมอเราก็แยกกัน จะป็นเรื่องบังเอิญหรืออะไรก็แล้วแต่ ที่หอพักของเขากับชายคนนั้นอยู่หลังมอเหมือนกัน ถือว่าเขาโชคดีที่เจอเพื่อนร่วมทางที่พกร่มมาด้วย
แม้จะเป็นร่มคันเล็กที่เราต้องเบียดกัน
และแม้เขาจะเดินอยู่ข้างขวาของชายคนนั้นตลอดทาง
มันก็ไม่มีเรื่องโชคร้ายใดๆเกิดขึ้นอีก หรืออาจเป็นเพราะ มันคงมีเรื่องโชคดีอยู่ในความโชคร้ายกระมัง
ตกดึกเขาไม่เป็นอันทำงาน ไล่หาไอจีหนุ่มวิศวะคนนั้นทั้งคืน จนได้รู้ว่าเขาเพิ่งอยู่ปีหนึ่ง
อ่า ต้องเรียกน้องสินะ
ชื่อพลเหรอ ชื่อเท่สมกับหน้าตาดีจริงๆ
แล้วมันเกี่ยวอะไรกันล่ะ นี่เขาเป็นอะไรเนี่ย เอาแต่ชมหมอนั่นไม่หยุดตั้งแต่แยกกัน หรืออาจเป็นเพราะเขามีบุญคุณให้เราติดร่มกลับหอ ต้องใช่แน่ๆ เขาไม่ได้หลงเสน่ห์ร้ายแรงที่ไอ้เด็กนั่นแผ่ออกมาหรอกนะ ไม่
ไม่ จริงๆนะ
ไม่…
ยอมรับก็ได้ ว่าสนใจมัน แต่แล้วยังไงล่ะ เราสองคนก็แค่คนรู้จักที่ผ่านเข้ามาร้านน้ำปั่นก็เท่านั้นเอง อืม ก็เท่านั้นเอง
“พาส อย่าลืมหาข้อมูลนะจ๊ะ แล้วรีบส่งมาให้นี่ในแชทนะ”
ปิ่นเพื่อนเมเจอร์ที่เรียนวิชาไทยแล้งเซคเดียวกันกำชับนักหนาว่าให้ส่งข้อมูลสืบค้นรายงานมาให้ภายในคืนนี้เท่านั้น เพราะเขาเบี้ยวหล่อนมาหลายวันแล้ว เขาพยักหน้าหงึกหงักอย่างละอายใจ ต้องโทษไอ้เด็กวิศวะปีหนึ่งที่ชื่อพลคนนั้น ที่ทำเขาวันๆเอาแต่เข้าไอจีดูสตอรี่ของมันเนี่ย
อัพเก่งจริงๆนะ
อัพทุกที่ ที่ไปจริงๆ
คนเราวันนึงจะมีสตอรี่เป็นพันๆก็น้องมันนี่แหละ
ทำงาน T^T
เป็นรูปมันที่ใส่แมสก์ปิดหน้า ชูสองนิ้วแล้วยักคิ้วหนึ่งข้าง พร้อมแคปชั่นข้างบน หือ คิดว่าตัวเองแอ๊บแบ๊วลืมโลกอยู่ใช่มั้ย แต่ชุดพนักงานเซเว่นมันดึงดูดสายตาชะมัด
ถ้าให้เขาเดานะ เขาต้องไปเซเว่นหอสี่ชาย เซเว่นภายในมหาวิทยาลัยหนึ่งในสองแห่งที่มาตั้งรกรากและดูดเงินนักศึกษาได้เป็นกอบกำ
เจอจริงๆด้วย ไม่เสียแรงที่ลงทุนนั่งรอรถประจำทางเป็นชั่วโมง ขนส่งแสนสะดวกที่ทางมหาวิทยาลัยจัดให้
เขาจะไม่ถามตัวเองว่ามาที่นี่ทำไม
เพราะคำตอบที่ได้คือคำว่า ไม่รู้เหมือนกัน
นี่เดินผ่านเคาท์เตอร์เซเว่นไปแบบเหลือบมองน้องเขาสุดๆ เขาไม่รู้เลยว่ามาแอบมอง จริงๆนะ ไม่รู้เล้ยยยยย
โอ๊ย อยากตบหน้าตัวเองให้หันไปทางอื่น แต่คอบ้ามันก็เอาแต่หันไปข้างขวาตลอด ช่วยไม่ได้นะ ก็เคาท์เตอร์พนักงานเซเว่นมันอยู่ทางด้านขวาพอดีนี่นา
เอาเป็นว่าแกล้งเดินไปดูนั่นนี่ แต่มือนี่หยิบไปเรื่อยแบบสุดๆ ไม่รู้อ่ะ สมาธิไม่มี ใจมันอยู่ที่ไอ้บ้าวิศวะคนนั้นไปหมดแล้ว
สาบานนี่คืออาการของคนที่เพิ่งโดนแฟนบอกเลิก เหอๆ อารมณ์คนเปลี่ยนเร็วยิ่งกว่ารถไฟชิงกันเซ็นจริงๆ
ก็นะ เขามีความคิดว่า จมปลักกับอดีตไปก็เท่านั้น ถ้าอดีตเจอคนที่ดีกว่าแล้วทิ้งเราไป ทำไมเราจะหาใหม่ไม่ได้ล่ะ อย่าทำร้ายตัวเองด้วยการเฝ้าฝันว่าเขาคนนั้นจะกลับมา เพราะมันไม่มีวันเป็นจริงหรอก บทรักมากมายสอนให้เขารับรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี
แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าความรู้สึกนี้จะเกิดกับใครก็ได้
เคยได้ยินมั้ยว่า
ถ้ามันจะใช่ ยังไงมันก็ใช่อยู่ดี
แต่ตอนนี้ เหมือนตัวเองจะเข้าเซเว่นนานไปแล้ว ไอ้ที่เข้านานน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ยืนอยู่ที่เดิมแล้วจ้องพนักงานคนเดิมของเขานี่สิ จำใจหยิบกระทิชชูติดมือมาแพ็คหนึ่งแล้วเดินไปจ่ายตังค์
ไม่รู้เป็นความบังเอิญหรือโชคดี คิวของมันจู่ๆก็ว่างขึ้นมา
แต่เขาจะเรียกมันว่าพรหมลิขิต
เอาเถอะ เพ้อใหญ่แล้วเรา
แอบอยากให้มันจำเขาได้จัง แต่จะเอาอะไรกับคนที่เคยเจอหน้ากันแค่ครั้งเดียว
“ทั้งหมดสามสิบหกบาทครับ”
เสียงมันวันนี้นุ่มกว่าวันนั้นประมาณแปดล้านเท่า แหงล่ะ พูดกับลูกค้านี่เนอะ
เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงนักศึกษา หมายใจว่าจะเจอกระเป๋าสตางค์สีน้ำเงินเข้ม ที่เพิ่งถอยออกมาสดๆเมื่อวาน แต่ก็ต้องพบกับความว่างเปล่า
ว่างเปล่า
“แป้บนะครับ”
ให้ตายเถอะจอร์จ เขาลืมกระเป๋าตังค์ไว้ที่ห้อง เพิ่งนึกได้ว่าวันนี้ไม่ได้พกเงินมา
กำลังหยิบไอโฟนขึ้นมาจะโทรหาเมทให้เอากระเป๋ามาส่ง แต่เสียงทุ้มนุ่มของพนักงานตรงหน้าก็ดังขัดขึ้นมาก่อน
“ค่าทิชชูสามสิบหกบาท”
“เอ่อ…”
อะไรวะ ก็บอกรอแป้บนึงไง เร่งจริงจังป่ะเนี่ย
“ค่าร่มไม่ตีราคา”
“ฮะ”
“สรุปคุณลูกค้าจะจ่ายเป็นอย่างอื่นแทนนะครับ”
แล้วมันก็ยื่นทิชชูแพ็คนั้นที่ใส่ถุงมาเสร็จสรรพให้เขาที่รับมากอดไว้อย่างงงๆ
แล้วเดินออกจากเซเว่นหอสี่ชายแบบงงๆ
หยิบใบเสร็จในถุงออกมาอ่านตัวหนังสือที่ถูกเขียนไว้ข้างหลังแบบหวัดๆ
‘ติดค้างสองรายการ’
ไม่ ยังไม่หมดแค่นั้น
083 411 32XX
ไอ้เหี้ยไอ้สัดเอ๊ย
ทำไมใจเต้นแรง
นี่ก็เข้าสู่อาทิตย์ที่สองแล้ว ที่เขากับพลใช้เวลาคุยกันมาสักพักใหญ่ ฟังไม่ผิดหรอก หลังจากที่น้องมันแจกเบอร์ให้วันนั้น ตอนเย็นปุ๊บก็ได้เกิดการแลกไลน์แลกเฟซแบบทันที บอกให้รู้ว่ากูแม่งไม่ง่ายเลย
ไม่ง่ายเลยที่จะให้ ไอ้สัด
สงสัยหลงคารมเด็กมันแล้วว่ะ อกหักมารักเด็กแบบสุดๆตอนนี้
จากข้อมูลที่เขาเก็บได้จากการคุยกับพลอาทิตย์กว่าๆ ก็พอจะรู้เรื่องรสนิยมของน้องมันบ้างล่ะ ความจริงแล้วพลได้หมดทั้งผู้ชายผู้หญิง จะเรียกว่าไบก็ได้
แต่กับผู้ชาย พลบอกว่าต้องแวบแรกเท่านั้น
ถ้าไม่ใช่ ก็ไม่ได้
ง่อออออ ฟังประโยคนี้แล้วรู้สึกว่าตัวเองดูน่ารักขึ้นมาล้านเท่าว่ะ
ไอ้หมอเคน มึงตาต่ำแล้วจริงๆ ที่ทิ้งเขาไป
หรือต้องขอบคุณมันดีวะ ที่ทำให้มาเจอพล
เลี่ยนกันมั้ย ช่วยไม่ได้ เพราะช่วงนี้ชีวิตเป็นสีชมพู
พลพล
พรุ่งนี้ไปส่งผมซื้อนาฬิกาหน่อยดิ
จะให้ไปช่วยเลือก
พาสกร
ว่างบ่ายสอง
เคาะมั้ย
พลพล
เคาะ ตกลงบ่ายสองนะครับ
แฟนใครวะ น่ารักโคตร
พาสกร
รู้ตัวอยู่แล้ว ไม่ต้องชม
*ส่งรูปเซลฟีตัวเองไป
พลพล
ไม่ไหวแล้ว เห็นแล้วแข็งเลยว่ะพี่
พาสกร
ทนไม่ไหวก็ไม่ต้องทน
พลพล
เปล่า ตาแข็งเลย
คืนนี้นอนไม่หลับแล้ว
พาสกร
ไอ้เหี้ยพล ไอ้สัด
ร้านไหนดีลมาซิ
พลพล
XXXX
แล้วเจอกัน
เขาเงียบอยู่นาน หลังจากกดอ่านคำตอบล่าสุด
ร้าน XXXX เหรอ
หึ อะไรจะบังเอิญขนาดนี้
นี่มันร้านขายนาฬิกาเรือนที่เขาเคยอยากได้ แต่ตอนนี้ล่าสุดมันไปใส่อยู่บนมือแฟนใหม่ไอ้หมอเคนแล้ว
ช่างเถอะ
คิดอะไรมากนะเรา
หยุดกระตุกสักทีเถอะตาขวา
“รอนานมั้ย”
เขาที่รีบมาแบบสุดๆเอ่ยถามคนที่นั่งรอตรงมานั้งใต้ต้นสักที่ใช้เวลารอมาแล้วไม่ต่ำกว่ายี่สิบนาที เหตุเพราะเขาไม่ได้คาดการณ์ล่วงหน้าว่าอยู่ๆอาจารย์สายสมรอาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์จะปล่อยช้าเลยมาเกือบสามสิบนาทีขนาดนี้ เป็นเหตุให้พลต้องมานั่งรอ
“ขอโทษ อาจารย์ปล่อยเลทน่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ ไปกันได้ยัง”
เจ้าตัวเก็บไอโฟนที่น่าจะเล่นรอเขาใส่ในกระเป๋ากางเกง แล้วก้าวเดินฉับๆไปที่ลานจอดรถแบบไม่พูดอะไรต่อ
ส่วนตัวเขาเองก็ได้แต่เดินหงอยๆตามไป
เป็นใครใครก็โกรธ อากาศร้อนๆบวกกับต้องมานั่งรอคนไม่ตรงเวลาอีก
แล้วตาขวานี่เป็นอะไร หยุดกระตุกเสียที
{มีต่อ}