สูตรที่ 25
Strawberry Chocolate Tart
: โอรีโอ้/เนยจืดละลาย/ดาร์กช็อกโกแลต/วิปปิ้งครีม/สตรอเบอร์รี่ :เวลาเกือบเที่ยงคืนแล้วแต่ผมยังไม่ได้นอนเพราะยังไม่สามารถจัดกระเป๋าเดินทางได้อย่างลงตัว หยิบนั่นออกใส่นี่เพิ่มมาราวๆ สองชั่วโมงแล้วก็ยังไม่เสร็จสักที จนพี่ทาร์ตที่นั่งอ่านเอกสารอยู่บนเตียงต้องลงมาช่วย
"เมื่อไหร่จะเสร็จครับแฟน ใกล้เที่ยงคืนแล้วนะ"
พี่ทาร์ตทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นฝั่งตรงข้ามกัน วันนี้พอเขากลับจากที่ทำงานก็ตรงมาหาผมที่บ้านทันที เพราะพรุ่งนี้ต้องไปเรียนซัมเมอร์ที่เกาหลีและต้องห่างกันไปอีกหนึ่งเดือน ถือว่าเป็นระยะวัดใจหลังคบกันมาเกือบหนึ่งปี
"ก็คิดอยู่ว่ามันควรเอาไปหรือไม่เอาไปดีอะ"
ผมหยิบหนังสือนิยายแล้วพลิกไปมาก่อนจะวางลงที่เดิม ตัดสินใจไม่ได้ว่าควรเอาไปอ่านฆ่าเวลาตอนนั่งเครื่องหรือเปล่า กลัวจะเอาไปลืมไว้ที่เกาหลีเพราะมันเป็นเรื่องโปรด หาซื้อตามร้านก็ไม่ได้แล้วด้วย
"ไม่ต้องเอาไปหรอก ขึ้นเครื่องก็ควรนอนพักผ่อนมากกว่า"
พี่ทาร์ตหยิบหนังสือเอาไปตั้งบนโต๊ะแล้วเอื้อมมือมาขยี้หัวกันด้วยรอยยิ้ม ผมมองอย่างชั่งใจก่อนพยักหน้ารับ นอนก็นอนวะ แต่เชื่อสิว่าไอ้กู๊ดไม่ปล่อยกันง่ายๆ หรอก ครั้งนี้ก็ได้ที่นั่งติดกันอีกแล้ว ส่วนไนน์ก็ตัวติดเป็นปาท่องโก๋กับแฟนเหมือนเดิม
"อื้อ ไม่เอาก็ได้ พรุ่งนี้ไปส่งผมหรือเปล่า"
ผมช้อนตามองเขาด้วยแววตาอ้อนๆ เพราะคราวที่แล้วพี่ทาร์ตไม่ได้ไปส่งกัน
"อืม... ไปดีไหมครับ"
พี่ทาร์ตถามกลับมาด้วยใบหน้าที่ยกยิ้มเล็กน้อย แต่ผมเข้าโหมดอึมครึมแล้วล่ะ ทำไมต้องถามกลับด้วยทั้งๆ ที่ต้องการคำตอบ
"ให้ตอบนะ ไม่ใช่มาถามกลับแบบนี้"
ผมปัดมือพี่ทาร์ตทิ้งแล้วหันไปล็อกกระเป๋าเดินทางแล้วขยับตัวขึ้นเตียงโดยทำเป็นเมินเขา หลายวันมานี้พูดกันแทบนับคำได้เพราะต่างคนต่างยุ่ง พอมีเวลาก็กวนตีนกันอีก เซ็งจริงๆ เลย
"งอนเหรอคนดีของพี่"
เขาขยับตัวขึ้นมานั่งบนเตียงแล้วสอดมือกอดผมจากด้านหลังก่อนที่คางมนๆ จะมาลงมาบนลาดไหล่คล้ายกับกำลังอ้อน แต่จะยอมใจอ่อนง่ายๆ ไม่ได้ เดี๋ยวเสียนิสัยกันพอดี
"ไม่ได้งอน"
ผมตอบน้ำเสียงแข็งแล้วหลบเลี่ยงปลายจมูกซุกซนของเขาที่เอาแต่จะไซร้ซอกคอกัน ง้อแบบนี้พี่ทาร์ตแม่งได้กำไรเต็มๆ
"อื่อ ไอ้พี่ทาร์ต หยุดเลยนะ"
ผมส่งเสียงประท้วงเมื่อเขากดริมฝีปากลงบนซอกคอจนได้แล้วดูดดึงจนรู้สึกเจ็บ พรุ่งนี้ถ้ามันเป็นรอยแดงจะทำยังไง แม่ง เอาพลาสเตอร์ปิดก็ยิ่งเด่น ไอ้กู๊กได้ล้อยันแก่แน่ๆ
"หยุดแน่ครับถ้าเลิกโกหกพี่"
เขาพูดจบก็เป่าลมใส่หูกันเบาๆ แถมท้ายด้วยการขบเม้มติ่งหู ผมสะดุ้งเฮือกเพราะรู้สึกตัวร้อนวูบวาบคล้ายกำลังจะมีอารมณ์ ช่วงนี้กระตุ้นนิดๆ หน่อยๆ ก็เคลิ้มตามพี่ทาร์ตแล้ว บ้าจริง
"เออๆ ก็งอนนิดหนึ่ง ตกลงว่าไม่ไปส่งกันจริงๆ ใช้ปะครับ"
ผมยอมแพ้แล้วรีบพูดทุกอย่างที่คิดออกไปจนหมด เพราะกลัวว่าเขาจะเล่นอะไรแผลงๆ พี่ทาร์ตส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะกดปลายจมูกลงมาบนแก้มแล้วสูดลมหายใจฟอดใหญ่ เกลียดไอ้ทักษะการฉวยโอกาสขึ้นเทพนี่จริงๆ เลย อยู่ใกล้กันทีไรผมเป็นฝ่ายเสียเปรียบทุกที
"พรุ่งนี้พี่ติดประชุมบอร์ดบริหารน่ะ ขอโทษจริงๆ ครับ"
พี่ทาร์ตเอ่ยขอโทษกันเพราะเขาเพิ่งรู้ว่ามีประชุมพรุ่งนี้หลังจากรับปากไปก่อนหน้านั้นแล้ว แต่กำหนดเวลายังไม่ออกแน่นอนเลยทำให้ผมงอแงอยู่แบบนี้ รู้ว่าตัวเองกำลังงี่เง่า แต่จะไม่ได้เจอกันหนึ่งเดือนเลยหวั่นๆ
"อือ... ขอโทษครับ ผมงี่เง่าอีกแล้ว"
ผมเอ่ยขอโทษเขากลับไปเมื่อทบทวนอะไรหลายๆ อย่างแล้ว ไม่อยากทำให้หนักใจและคิดกังวลเรื่องไม่เป็นเรื่องขณะที่เขาต้องทำงาน
"ปูนตั้งนาฬิกาปลุกหรือยัง"
พี่ทาร์ตผละอ้อมกอดออกแล้วดึงตัวผมให้นอนลงพร้อมๆ กับเขา เรากอดกันอยู่แบบนั้น และไม่คิดว่าจะปล่อยจนเช้า...
"หึ ยังไม่ตั้งครับ อยากให้พี่ทาร์ตเป็นคนปลุก"
ผมพูดเสียงอู้อี้เพราะขยับตัวไปซุกอกแกร่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สาเหตุหลักไม่ใช่เพราะต้องการไออุ่นแต่เป็นการปิดบังความอายต่างหาก อยากตีปากตัวเองสักสิบครั้งที่หลุดพูดอะไรแบบนั้นออกไป
"แต่นาฬิกามันก็ต้องปลุกพี่นะปูน ถ้าขืนนอนเพลินกันจะตกเครื่องเอา"
พี่ทาร์ตว่าเสียงกลั้วหัวเราะแล้วขยี้หัวกันเบาๆ ผมถึงกับส่งเสียงจิ๊จ๊ะเพราะโดนขัดใจ คล้ายจะกวนตีนแต่มันคือเรื่องจริงที่ต้องทำ ไม่ตั้งนาฬิกาปลุกชีวิตอาจจะบรรลัยก็ได้
"ตกก็ดีนะ ผมขี้เกียจไป"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก การไปเรียนซัมเมอร์มันสนุกดี ได้เพื่อนใหม่ๆ เยอะ แต่บางทีก็เบื่อเพราะคิดถึงคนที่บ้าน...
"ได้ไงครับ นั่นเรียนซัมเมอร์นะ เดี๋ยวก็ไม่จบหลักสูตรหรอก"
พี่ทาร์ตใช้น้ำเสียงดุๆ เตือนกันจนผมต้องช้อนตามองด้วยความน้อยใจ ทำไมต้องจริงจังด้วยวะ ทั้งๆ ที่ผมพยายามจะเล่นเพื่อคลายอาการคิดมากของตัวเอง บางทีก็กลัวเขาไปเจอคนใหม่ๆ แล้วเกิดถูกใจ
"ไม่ดุดิ แค่ล้อเล่นเอง"
ผมยืดตัวขึ้นไปจุ๊บปลายคางของพี่ทาร์ตก่อนจะกลับมาซุกหน้าที่อกของเขาเหมือนเดิม ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ หลุดออกมา คงชอบใจล่ะมั้งที่เจอไอ้ปูนโหมดลูกหมาอ้อน นี่ไปจำๆ จากไอ้ขนมมาเลยนะ
"ครับๆ ไม่ดุก็ได้ แล้วปูนง่วงหรือยังพี่จะได้ปิดไฟ"
"ง่วง แต่ยังไม่อยากนอน"
ผมยังคงออกอาการอ้อนเขาต่อทั้งๆ ที่หนังตาจะปิดอยู่รอมร่อ แถมยังต้องตื่นเช้าเพื่อไปขึ้นเครื่องที่สนามบินอีก เดือดร้อนแม่ต้องไปส่งด้วย
"ทำไมล่ะ"
พี่ทาร์ตถามกลับก่อนจะใช้มือหนาลูบแก้มกันเบาๆ ผมหลับตาลงเพื่อให้สัมผัสนั้นชัดเจนขึ้น อยากจดจำเอาไว้ให้คิดถึงเวลาต้องห่างกัน
"ก็... พรุ่งนี้ต้องห่างกันแล้วนี่หว่า มันไม่ชิน"
ผมบ่นเสียงงุ้งงิ้งแล้วกระชับอ้อมแขนตัวเองให้แน่นขึ้น ปกติทำตัวเป็นปาท่องโก๋ตลอด แต่พอไปเรียนซัมเมอร์หน้าก็ไม่ได้เจอ สัมผัสก็ไม่ได้สัมผัส โคตรไม่ชินเลยจริงๆ
"แค่เดือนเดียวเองน่า จิ๊บๆ พี่สัญญาว่าจะคิดถึงปูนทุกวันเลย ดีปะ"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแล้วชูนิ้วก้อยตรงหน้า ผมมองนิ่งก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา พี่ทาร์ตคิดว่าแฟนตัวเองอายุกี่ขวบวะนั่น
"พูดอย่างกับผมเป็นเด็กๆ ไปได้"
"อ้าว ไม่อยากให้คิดถึงเหรอ"
พี่ทาร์ตถามกลับด้วยน้ำเสียงแปลกใจแล้วใช้นิ้วก้อยจิ้มแก้มกัน ถ้าใครมาเห็นคงอิจฉา แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าผมทรมานหัวใจมากแค่ไหนเวลาอยู่ใกล้เขา อะไรๆ ก็พาลขัดเขินทำตัวไม่ถูกสักที ไม่ชินเลย
"อยากดิ แต่มันดูปัญญาอ่อนอะ"
"หึ เจ้าเด็กน้อยขี้งอแง"
พี่ทาร์ตจับใบหน้าของผมไว้แล้วกดจูบลงมาหนักๆ ด้วยความมันเขี้ยวจนต้องร้องประท้วง ถ้าปล่อยไว้นานๆ เชื่อว่าคืนนี้จะไม่ได้นอนไปตามระเบียบ
"อื้อ อะไรเล่า"
ผมยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเมื่อพี่ทาร์ตยอมผละตัวออกไป และทำเพียงส่งสายตาหวานเยิ้มมาให้กัน
"ตั้งใจเรียน เวลาผ่านไปไวจะตาย เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้วครับ"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลก่อนจะขยับเข้ามาใกล้จนปลายจมูกชนกัน ผมมองตาเขาก่อนจะกดจูบลงบนริมฝีปากเบาๆ คงคิดถึงแย่เลยว่ะ
"อือ ก็ได้..."
"เก่งมาก"
พี่ทาร์ตเอื้อมมือมาขยี้หัวผมก่อนที่เราจะกอดกันนอนหลับไปตลอดทั้งคืน
นาฬิกาปลุกแผดเสียงดังลั่นห้องแต่ผมยังเอาแต่ซุกตัวเข้ากับอกแกร่งเพราะไม่อยากตื่น พี่ทาร์ตขยับตัวเอื้อมมือไปปิดมันก่อนจะกดปลายจมูกลงมากลางกระหม่อม
"ตื่นได้แล้วครับ"
น้ำเสียงงัวเงียเอ่ยบอกกันแทบฟังไม่รู้เรื่อง ผมอยากจะนอนต่อแต่จำใจต้องตื่นเพราะไม่อยากทำให้พี่ทาร์ตเสียเวลาในการนอน เขามีประชุมช่วงเช้าเลยอยากให้ออมแรงไว้
"อือ ผมไปอาบน้ำแล้วนะ พี่นอนต่อเถอะ"
ผมผละออกจากอ้อมกอดแล้วลุกขึ้นขยี้ตาเบาๆ พี่ทาร์ตใช้มือแตะต้นแขนกันทำให้ต้องหันไปมอง
"ครับ มีอะไรเหรอ"
ผมถามออกไปแต่ได้รับคำตอบเป็นการที่พี่ทาร์ตยันตัวลุกขึ้นมาแตะปากกันไม่นานก่อนจะผละออกไปแล้วส่งยิ้มหวานมาให้
"เดินทางปลอดภัยนะที่รัก"
"อะ ครับ"
ผมตอบได้แค่นั้นก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากของพี่ทาร์ตแทนคำขอบคุณก่อนจะลงจากเตียงเพื่อไปอาบน้ำแต่งตัว
ระหว่างทางไปสนามบินผมนั่งแทะแซนวิชอย่างเหม่อลอย อยากให้แม่ยูเทิร์นรถกลับบ้านใจจะขาด รอบนี้ทำไมรู้สึกว่าเกาหลีมันน่าเบื่อ ทั้งๆ ที่ผ่านมาอยากไปแทบตาย
"ปูนคะ เป็นอะไรหรือเปล่า"
แม่ถามกันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจนผมต้องละสายตาจากวิวข้างทาง แซนวิชในมือถูกงับเข้าปากคำโตเพื่อปกปิดอารมณ์ตอนนี้ก่อนจะส่ายหน้าเพื่อยืนยันว่าไม่เป็นอะไร เพราะไม่อยากให้แม่เป็นกังวล
"ไม่ลืมอะไรไว้ใช่หรือเปล่า ถ้าลืมแม่เอาไปให้ถึงเกาหลีไม่ได้นะ"
"อื้อ... ไม่ลืมหรอกครับ"
ความจริงอยากตอบว่าลืมใจไว้ที่พี่ทาร์ตก็กลัวว่าแม่จะไล่ลงจากรถ
"อื้ม ตั้งใจเรียนล่ะ อย่ามัวเถลไถล เข้าใจไหม"
"ครับผม วางใจได้เลย"
หลังจากที่แยกจากแม่ผมก็ลากกระเป๋าเดินทางใบโตไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ก่อนจะพากันไปเช็คอินและขึ้นเครื่อง คราวนี้ไอ้กู๊ดดูท่าทางจะตื่นเต้นกว่าปกติ หรือเพราะผมอารมณ์ไม่คงที่กันแน่ว่ะ เลยเห็นอะไรๆ น่าเบื่อไปซะหมด
"ปูน..."
ไอ้กู๊ดส่งเสียงเรียกกันเมื่อเครื่องบินขึ้นได้ประมาณครึ่งชั่วโมง ผมไม่ได้หันไปสนใจเพื่อนแต่จ้องมาเมฆปุยๆ ด้านนอกหน้าต่าง เผื่อบางครั้งอาจจะทำให้ความคิดวุ่นวายในหัวหายไป
"อือ"
ผมตอบรับแค่สั้นๆ แล้วใช้มือเท้าคางเอาไว้เมื่อเริ่มรู้สึกเบื่อ เพิ่งแยกจากพี่ทาร์ตไม่เท่าไหร่แต่กลับคิดถึงเขาขึ้นมา แย่จริงๆ
"เป็นอะไรของมึง ไม่พูดไม่จา"
น้ำเสียงของไอ้กู๊ดเจือไปด้วยความห่วงใย มันแตะมือลงบนไหล่คล้ายกำลังปลอบประโลม ผมถอนหายใจเบาๆ แต่ไม่ยอมละสายตาไปไหน มองท้องฟ้าก็เพลินดีเหมือนกัน หลีกหนีความวุ่นวายของบรรดาเพื่อนๆ ร่วมทางได้ดี
"เบื่อๆ อะ"
"แปลก ปกติมึงต้องตื่นเต้นดิ ไปเกาหลีนะเว้ย"
น้ำเสียงแปล่งๆ แบบไม่อยากเชื่อคำพูดดังขึ้น ไม่แปลกพี่ไอ้กู๊ดจะมีอาการแบบนี้ เพราะโดยปกติแล้วผมจะตื่นเต้นกับการไปเยือนเกาหลีมากกว่าใคร เพราะชอบศิลปินที่นั่นมาก แต่ครั้งนี้ความรู้สึกต่างออกไป สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นกลับกลายเป็นแฟนของตัวเอง
"อือ"
"เดี๋ยวๆ มึงลืมเอาวิญญาณมาเหรอ"
ไอ้กู๊ดเอื้อมมือมาประคองหน้ากันและบังคับให้สบตา ผมพ่นลมหายใจเบาๆ ใส่มันก่อนจะสะบัดออก ทำไมต้องมากวนตอนอารมณ์ไม่ปกติด้วยวะ
"ก็เบื่อไง"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายแล้วแสร้งหยิบนิตยสารที่เสียบอยู่ตรงเบาะด้านหน้าขึ้นมาอ่าน ไม่อยากสบตาไอ้กู๊ดตอนนี้เพราะกลัวว่ามันจะจับความรู้สึกบางอย่างได้ เพราะยังไม่อยากโดนตอกย้ำและโดนแซว
"เบื่ออะไรของมึง"
ไอ้กู๊ดถามย้ำด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายพอกัน เข้าใจว่ามันเป็นห่วง แต่ผมไม่อยากทำตัวเป็นเด็กงอแงงี่เง่าในสายตาของใครๆ ทั้งนั้น บางทีก็กลัวว่ามันจะเอาเรื่องไปบอกพี่ทาร์ตแล้วทำให้เขากังวล
"เออน่า อย่ากวน"
ผมบอกปัดๆ ไปเพราะไม่อยากพูดอะไรมาก ขี้เกียจจะโดนเพื่อนเทศนาชุดใหญ่เพราะรู้ว่าตัวเองกำลังออกอาการงอแงเหมือนเด็กๆ อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย พี่ทาร์ตเป็นแฟนคนแรก จะคิดถึงก็ไม่แปลกหรือเปล่า...
"หรือว่าเบื่อที่ต้องอยู่ห่างกับพี่ทาร์ตเป็นเดือนๆ"
ไอ้กู๊ดพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ดวงตาทอประกายระยิบระยิบราวกับจับความรู้สึกกันได้ ผมทำได้เพียงเบ้ปากใส่มันเพราะไม่รู้จะเถียงความจริงข้อนั้นยังไง สุดท้ายก็ต้องยอมรับชะตากรรม
"รู้ดีนะมึง"
ผมพูดเสียงเหน็บแนมแล้วเบนสายตากลับไปมองท้องฟ้าได้นอก รูปร่างประหลาดๆ ของก้อนเมฆทำให้เราจินตนาการไปได้หลายอย่าง แต่มันไม่ได้ลดอาการคิดถึงใครบางคนลงเลย แย่เนอะ
"กูเพื่อนมึงนะปูน อย่าเป็นเด็กขี้งอแงสิวะ เดือนนึงมันแป๊ปเดียวเองเหอะ"
ไอ้กู๊ดเอื้อมมือมาตบบ่ากันเบาๆ เหมือนให้กำลังใจ ผมหันไปมองแล้วพยักหน้ารับแกนๆ ก็พยายามไม่งอแงอยู่นี่ไง มึงอย่าพูดย้ำมากๆ สิวะ เดี๋ยวร้องใส่แม่งเลย
"เออๆ พยายามอยู่ แล้วมึงล่ะ หน้าบานเป็นกระด้งเลยนะจะได้เจอแทจุนเนี่ย"
ผมแซวมันด้วยความหมั่นไส้เพราะสังเกตว่าไอ้กู๊ดหน้าระรื่นกว่าปกติ ดูคล้ายๆ คนกำลังพบเจอเรื่องที่ทำให้มีความสุข
"ใช่ที่ไหน มึงก็มั่วไปเรื่อย"
ไอ้กู๊ดเปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบเฉยทันทีเมื่อประโยคเมื่อครู่จบลง อย่างที่มันว่านั่นล่ะ ผมเดามั่วๆ เพราะตอนนี้สถานการณ์ช่างราบเรียบ ไร้ซึ่งความคืบหน้าใดๆ เหมือนต่างคนต่างถึงจุดอิ่มตัวหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ เพราะแทจุนไม่ได้เอาอะไรมาปรึกษากันเลยในช่วงนี้
"ถามจริง พวกมึงไปถึงขั้นไหนแล้ว"
ผมถามด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนจะเปลี่ยนท่าทางมาเท้าคางรอคำตอบ ไอ้กู๊ดไหวไหล่เล็กน้อยเหมือนไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญอะไร
"ยังไม่ถึงไหน"
คำตอบของมันเป็นไปอย่างที่ผมพอจะเดาได้ เพราะรู้นิสัยกันดี ไอ้กู๊ดเป็นคนประเภทไม่ชอบมีข้อผูกมัดกับใคร ความคืบหน้าส่วนมากก็เปลี่ยนจากคุยเป็นขึ้นเตียง ยังไม่มีใครเปลี่ยนจากคุยแล้วเป็นแฟนสักคน
"ทำไมวะ แทจุนจีบมึงมาจะครบปีแล้วนะ"
ผมถามออกไปเพื่อหวังว่ามันจะมีเหตุผลที่ดีกว่าไม่ชอบผูกมัด เพราะเวลาหนึ่งปีไม่ใช่น้อยๆ ถ้าไม่ชอบไม่รักก็ควรปฏิเสธไปตรงๆ ไม่ใช่ทีเล่นทีจริงให้ความหวังคนอื่นแบบนี้ พ่อแม่มันควรเปลี่ยนชื่อให้นะ จากนายแสนดีเป็นนายแสนเลว...
"กูไม่ชอบผูกมัดกับใครไง ไม่มีสถานะก็ดีแล้ว"
คำตอบไม่ได้แต่ต่างจากที่ผมคิดเอาไว้เลย แถมดูไอ้กู๊ดจะไม่เดือดร้อนอะไรกับเรื่องนี้ อย่าให้เดาว่ามันรู้สึกอะไรกับใครยังไง เพราะแม่แต่เรื่องที่มันชอบหรือเลิกชอบผมเกิดขึ้นเมื่อไหร่ยังไม่รู้ตัวเลย...
"แต่ถ้าแทจุนไปผูกมัดกับคนอื่นมึงจะยอมเหรอ"
ผมถามออกเพราะคิดว่าไอ้กู๊ดคงรู้สึกอะไรขึ้นมาบ้าง ถึงมันจะไม่ชอบผูกมัดกับใครแต่มันก็หวงของ หวงคน หวงที่
"ก็... คงไม่ยอมมั้ง"
ไอ้กู๊ดยักคิ้วกวนๆ ส่งมาให้หลังพูดจบ มันคือความเห็นแก่ตัวที่มีมาแต่ไหนแต่ไร แก้ไม่หายสักที แต่ครั้งนี้แววตาของมันไม่ได้ปกติอย่างแต่ก่อนเพราะมันมีความสั่นไหวถึงแม้จะเป็นช่วงสั้นๆ แต่เพื่อนสนิทอย่างผมมองออก
"นั่นไง เจอกันคราวนี้ก็เคลียร์ๆ ให้จบสักที จะคบหรือจะหยุดความสัมพันธ์ก็เลือกเอาสักอย่าง"
ผมพูดเสียงดุๆ แล้วผลักหัวมันด้วยความหมั่นไส้ คนหล่อจำเป็นต้องเลือกได้แบบนี้ทุกคนหรือเปล่านะ
"เออๆ สั่งจังนะแม่"
มันบ่นงุ้งงิ้งแล้วย่นจมูกใส่กันเหมือนเด็กโดนขัดใจ มีอย่างที่ไหนมาเรียกคนอื่นว่าแม่วะ เดี๋ยวพ่อโบกคอหักเลยนี่
"อะไร กูเป็นเพื่อน"
ผมว่าเสียงแข็งแล้วแยกเขี้ยวใส่มันเป็นเชิงขู่ แต่ได้รับเสียงหัวเราะในลำคอกลับมา
"จ้าๆ ไม่เถียงกับมึงแล้ว"
"ดี"
เกาหลีใต้ยังคงเป็นเมืองที่ทำให้ผมตื่นเต้นได้เสมอ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนอะไรๆ จะกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว มื้อแรกที่มาเหยียบที่นี่คือบิบิมบับให้โรงอาหารมหา'ลัย หลังจากนั้นก็พากันไปเก็บสัมภาระที่หอก่อนจะลงมาฟังอะไรเล็กๆ น้อยๆ ก่อนจะเข้าคลาสเรียนในอีกสองวันข้างหน้า
ผมนอนแผ่อยู่กลางเตียงด้วยสภาพของคนหมดแรงไม่อยากทำอะไรต่อ ส่วนไอ้กู๊ดนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ปลายเตียง รูมเมทที่เป็นคนเกาหลีออกไปหาเพื่อนข้างนอก
"นอนเป็นปลาดาวเลยนะมึง"
ไอ้กู๊ดเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์มาพูดด้วยแล้วก้มกลับไปมองอีก ดูท่าทางช่วงนี้มันจะติดโซเชี่ยลหนัก เพราะตั้งแต่ลงจากเครื่องก็เห็นกดนั่นกดนี่อยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จะแชทกับใครนักหนา ของผมนี่เงียบเหมือนป่าช้า แม้แต่พี่ทาร์ตยังไม่ทักมา อยากร้องไห้วันละร้อยรอบจริงๆ
"เหนื่อย เพลีย อยากตาย"
ผมพูดออกไปด้วยความเบื่อหน่ายแล้วพลิกตัวคว่ำลงกับเตียง ใบหน้าซุกกับหมอนก่อนจะว้ากใส่มัน ว่างจนไม่รู้จะทำอะไร เพื่อนก็เมินกัน แฟนก็หาย หึ!
"ห๊ะ ถึงขนาดอยากตายเลยเหรอวะ"
ไอ้กู๊ดแทบจะขว้างโทรศัพท์เมื่อได้ยินคำว่าอยากตาย มันทำหน้าตาตื่นๆ ใส่กันแถมยังคลานเข้ามาหา แววตาแสดงความเป็นห่วงแบบไม่ปิดบัง ไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่ากำลังโดนประชดอยู่
"เออ จะนอนแล้ว ปิดไฟด้วย"
ผมบอกก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงคอแล้วหลับตาลงเพื่อตัดรำคาญทุกๆ สิ่ง หลับๆ ไปจะได้เลิกคิดฟุ้งซ่านสักที ทั้งวันยังไม่เลิกคิดถึงพี่ทาร์ตอีก บ้าฉิบหาย
"เดี๋ยวๆ มึงจะไม่รอจีฮุนหน่อยเหรอวะ"
ไอ้กู๊ดเอ่ยถึงชื่อรูมเมทอีกคน เอาจริงๆ ผมลืมไปแล้วว่ามาอาศัยห้องคนอื่นอยู่ แต่จะให้นอนลืมตาอยู่มันก็ไม่มีอะไรทำไง น่าเบื่อจะตายจริงๆ นั่นล่ะ
"กูไม่มีอะไรทำ มึงเอาแต่เล่นมือถือ พี่ทาร์ตก็แม่งหายเข้ากลีบเมฆ"
ผมบ่นทั้งๆ ที่ยังหลับตาก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากัน ความรู้สึกโหวงๆ เกิดขึ้นอีกแล้ว พี่ทาร์ตไม่เคยเงียบหายไปนานขนาดนี้เลยนะเว้ย เป็นอะไรหรือเปล่า
"ถ้าจะบ่นขนาดนี้มึงเอาผ้าคลุมหัวแล้วนอนเถอะ จีฮุนกลับมาค่อยปิดไฟ"
ไอ้กู๊ดว่าด้วยเสียงฉุนๆ แล้วเอื้อมมือมาผลักหัวกันจนผมต้องลืมตามาจ้องเขม็ง ไม่สนใจกันแถมทำร้ายอีก ถีบสักทีดีไหม
"หึ เบื่อมึง!"
"อะไรอีกครับคุณปูน"
"ไม่รู้ นอนล่ะ"
สุดท้ายผมก็หนีมันไปนอนจนได้ งอนฉิบหาย แต่ไม่พูด กลัวจะโดนหาว่าเป็นเด็กไม่รู้จักโต...
ผมขยับตัวซุกหาไออุ่นเมื่ออากาศเริ่มหนาวลงในตอนเช้าตรู่ แต่เมื่อประสาทสัมผัสรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติที่พาดอยู่บนเอวเลยต้องลืมตาโพลงอย่างช่วยไม่ได้ เพราะความทรงจำมันบอกว่าผมนอนเตียงเดี่ยว แล้วคนที่กอดกันอยู่คือใครวะ!
ดวงตารีหรี่มองคนที่นอนหายใจสม่ำเสมอก่อนจะต้องตกใจเมื่อใบหน้านั้นช่างแสนคุ้นเคยและวนเวียนอยู่ในความคิดถึงมาตลอดเมื่อวาน หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุออกมาจากอก สมองกำลังคิดวิเคราะห์อย่างหนักว่าทำไมพี่ทาร์ตถึงมาโผล่ที่นี่แล้วขึ้นหอมาได้ยังไง... หรือผมกำลังฝัน แต่หยิกตัวเองแล้วเจ็บนะ
ต่อด้านล่างนะ