ตอนที่ 22
ข่าวใหญ่ตั้งแต่เมื่อคืนนั้นนอกจากข่าวเกี่ยวกับการปราบกบฏแล้ว ก็ยังมีข่าวเกี่ยวกับ ‘โรคระบาด’ แปลกประหลาดบางอย่างที่กำลังระบาดอย่างหนักในหมู่ประชาชน ซึ่งเป็นโรคอุบัติใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแต่กลับแสดงอาการของโรคออกมาอย่างน่ากลัว อาการแรกเริ่มของผู้ป่วยนั้นจะเริ่มต้นจากการครั่นเนื้อครั่นตัว ก่อนที่จะตามมาด้วยอาการหายใจลำบาก และรอยช้ำตามร่างกายต่างๆ ตามลำดับ
หากแต่อาการที่เด่นชัดที่สุดคือการเลือดกำเดาไหลอย่างไม่มีสาเหตุ ซึ่งหากมีอาการเช่นนี้แล้วทางรัฐบาลก็มีคำแนะนำให้ผู้ป่วยนั้นต้องไปโรงพยาบาลทันทีโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ เพราะอาการเลือดกำเดาไหลนั้นคือสัญญาณเตือนสุดท้ายของร่างกาย และถ้าหากปล่อยเอาไว้ไม่รักษาอีกไม่นานอาการก็จะทรุดลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากอาการนี้สะท้อนถึงสภาวะที่ร่างกายไม่สามารถรับมือกับโรคนี้ได้แล้ว
แน่นอนว่าสรีระร่างกายของแต่ละคนนั้นต่างกันการแสดงอาการของโรคจึงค่อนข้างไม่ชัดเจน ทำให้มีคนเสียชีวิตภายในไม่กี่ชั่วโมง ทั้งๆ ที่ร่างกายไม่ได้แสดงอาการอะไรด้วยซ้ำ
ประชาชนในระยะเวลานี้จึงตกอยู่ในความหวาดกลัว ความไม่แน่นอนในชีวิตทำให้พวกเขาเลือกที่จะเลือกเอาชีวิตไว้ก่อน ฉะนั้นไม่ว่าเรากบฏจะเรียกร้องหรือพูดอะไร พวกเขาก็ไม่คิดจะสนใจแล้วเพราะลำพังตัวเองพวกเขายังเอาตัวไม่รอดด้วยซ้ำ
ความหวังเพียงหนึ่งเดียวของประชาชนในประเทศนี้นั้นจึงตกอยู่ที่รัฐบาล และรัฐบาลก็แสดงออกอย่างเต็มที่ในการดูแลประชาชนในประเทศของตัวเอง ทั้งๆ ที่ที่ผ่านมานั้นเพิกเฉยมาตลอด ซึ่งรัฐบาลก็ฉวยโอกาสในตอนที่เหล่าผู้อยู่ใต้การปกครองกำลังหวาดกลัวในการสร้างความศรัทธาในตัวรัฐบาลขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
พวกเขามอบอาหารและเปิดโรงพยาบาลสนามตามท้องที่ต่างๆ ในช่วงเวลาเดียวกับที่เหล่าผู้ชุมนุมเริ่มขึ้นปราศรัย หล่อเลี้ยงความหวาดกลัวของประชาชนเพื่อให้พวกเขาเพิกเฉยต่อสิ่งที่เหล่ากลุ่มกบฏเรียกร้อง ก่อนที่จะฉีกทำลายความพยายามของกลุ่มคนเหล่านั้นด้วยความรุนแรงที่โหดเหี้ยมที่สุด
เสรีภาพ อิสรภาพ และภารดรภาพ
เหล่าชนชั้นนำจะไม่มีวันให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นในประเทศนี้อย่างเด็ดขาด
พวกเขาจึงทำทุกวิถีทางในการรักษาอำนาจของพวกเขาไว้ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีที่เลวทรามขนาดไหนก็ตาม และแน่นอนว่าการเกิดโรคติดต่อในชั่วระยะเวลาสั้นๆ นี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และเกินความสามารถของรัฐบาล
น้ำคือสิ่งที่พวกเขาใช้เป็นตัวกลางในการแพร่ระบาด เพราะเป็นวิธีการที่ง่ายและไวที่สุด เนื่องจากระบบประปาของเมืองนี้นั้นล้วนแล้วแต่อยู่ในการดูแลของรัฐ หากแต่รัฐก็ไม่โง่เสียทีเดียว เลือกที่จะทำให้น้ำให้ปนเปื้อนไปด้วยแบคทีเรียเพียงไม่กี่เมืองเท่านั้น และไปโหมหนักกับการประโคมข่าวแทน
แน่นอนว่าสื่อทุกแขนงทั้งโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วิทยุ ในมือของรัฐบาลนั้นก็ยังคงเป็นสุนัขรับใช้ที่จงรักภักดี ยอมขายวิญญาณให้กับการผลิตข่าวเท็จออกมาเพื่อโจมตีกลุ่มกบฏ กล่าวอ้างว่ากลุ่มกบฏนั้นเป็นต้นเหตุของโรคระบาดโดยไม่สนใจว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร และพยายามเผยแพร่อาการของโรคอย่างคลุมเครือเพื่อสร้างหวาดกลัวให้กับประชาชนให้ได้มากที่สุดตามคำสั่งที่พวกเขาได้รับมา
ซึ่งสิ่งเหล่านี้นั้นก็ส่งผลให้เช้าวันถัดมาหลังจากที่กลุ่มปฏิวัติได้เปิดเผยความจริงต่อสาธารณชนนั้นจึงแทบจะไม่ส่งผลอะไรเลยกับคนส่วนใหญ่ พวกเขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่ากลุ่มกบฏต้องการอะไรเพราะสิ่งที่จุกแน่นอยู่ในอกนั้นคือความหวัดกลัวต่อโรคระบาดและความโกรธเคืองในกลุ่มกบฏ
การโต้กลับครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกลุ่มปฏิวัติจึงล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
พวกเขาพ่ายแพ้ให้กับวิธีอันเลวทรามของรัฐที่จงใจสร้างสถานการณ์ขึ้นเพื่อกระชากคอพวกเขาให้ลงมาเป็นแพะรับบาปในอาชญากรรมที่ตัวเองก่อในครั้งนี้อีกครั้ง
ความสิ้นหวังเกาะกุมกลุ่มปฏิวัติแต่เพราะครั้งนี้เป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้าย พวกเขาจึงดิ้นรนกันต่ออย่างถึงที่สุด กลุ่มคนที่ยังไม่มีอาการป่วยก็พยายามรวมกลุ่มกันแสดงพลังอีกครั้ง แม้ว่าจุดจบของพวกเขาจะใกล้เข้ามาทุกที
อำนาจและอาวุธของศัตรูของพวกเขานั้นยิ่งใหญ่เกินไป แต่สิ่งที่แย่ไปกว่านั้นคือเหล่าชนชั้นนำที่ถือครองอำนาจเหล่านี้ไม่มีความละอายใจใดๆ ต่อสิ่งที่ตัวเองกระทำแม้แต่นิดเดียว ทั้งๆ ที่กลุ่มปฏิวัตินั้นพยายามจะใช้วิธีที่ประนีประนอมและสันติที่สุดในการต่อรอง
เวลาของกลุ่มปฏิวัติในครั้งนี้จึงใกล้จะหมดลงเต็มทีแล้ว
“อยากตรวจก็เข้าแถวดีๆ !!”
ทหารที่ได้รับมอบหมายให้มาช่วยเหลือหน่วยพยาบาลตะคอกออกมาเมื่อแถวที่มารอรับการตรวจนั้นเริ่มแตกแถวจากการที่มีคนมายืนออกันมากเกินไป ซึ่งก็มีผลที่ทำให้แถวนั้นเป็นระเบียบอย่างรวดเร็วเพราะประชาชนที่มาส่วนใหญ่นั้นก็ล้วนแล้วแต่ไม่อยากมีปัญหากับทางการทั้งนั้น และพวกเขาก็เชื่อว่ารัฐบาลอัลฟ่าของพวกเขานั้นจะเลือกหนทางที่ดีที่สุดในการช่วยเหลือพวกเขาจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้
“...”
เวฟซึ่งอยู่ในแถวตรวจเหมือนกันก้มหน้าต่ำ พยายามทำตัวนอบน้อมที่สุดเพื่อไม่ให้สร้างปัญหาให้กับตัวเอง ทั้งๆ ที่ในใจลึกๆ นั้นเจ็บปวดที่แม้แต่ตัวเขาเองนั้นก็ต้องมายืนในแถวนี้
เขาไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดพลาดตรงไหนถึงมีอาการคล้ายกับที่โรคระบาดได้ ทั้งๆ ที่มั่นใจว่าตัวเองนั้นภักดีต่อเหล่าอัลฟ่ามากพอแล้ว แต่ทำไมเขาถึงยังต้องมาอยู่ตรงนี้อีก
เขาไม่รู้จริงๆ และเขาก็ไม่อยากตายด้วย
แววตาของเวฟหม่นหมองเพราะเขายอมแม้กระทั่งทรยศเพื่อนและอุดมการณ์ของตัวเอง แต่เขาก็ยังต้องมาอยู่ในเกมการเมืองของกลุ่มอัลฟ่าอยู่ดี ซึ่งเขาก็รู้ว่ากลุ่มปฏิวัติไม่มีทางทำอะไรชั่วช้าเหมือนอย่างที่สื่อหลักของประเทศบอกแน่ๆ
พอสที่เขารู้จักไม่มีวันทรยศประชาชนด้วยกันเองแน่ๆ
“ตายไปได้ก็ดี!!! พวกเหี้ย!!”
เสียงผู้คนสบถด่าและคำรามดังลั่นเมื่อทหารจงใจลากพวกกบฏที่จับมาได้นั้นด้วยเชือก ปล่อยให้ร่างวิญญาณของคนบาปเหล่านี้นั้นได้ลากไปตามพื้นและให้เหล่าเบต้าผู้ที่โกรธแค้นได้มาระบายอารมณ์ใส่ บ้างก็ถุยน้ำลายใส่ บ้างก็ถอดรองเท้าและยัดเข้าไปในปากพวกเขา ทำซึ่งทุกวิถีทางที่จะทำลายตัวตนของเหยื่อที่ตายไปแล้วให้หมดสิ้นซึ่งความภาคภูมิใจให้พวกเขานั้นทุกข์ทรมานที่สุดให้สาสมกับการทำลายประเทศในครั้งนี้
“…”
เวฟเหลือบมองศพที่ถูกลากผ่านตัวเองด้วยเนื้อตัวอันสั่นเทา มีหลายคนที่เป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงเท่านั้น แต่ผู้คนที่อยู่รอบตัวเขากลับหัวเราะชอบใจกับการที่มีชายวัยกลางคนหนึ่งบ้าดีเดือดมาฉี่รดใส่ และแทบทุกคนในแถวนั้นตะโกนให้ฆ่ากบฏบางคนที่ยังมีชีวิตอยู่ซะราวกับบุคคลที่เหล่านั้นเป็นปีศาจจริงๆ
“แทงเลย! แทงเลย!”
เด็กที่ยืนข้างหลังเขาตะโกนออกมาอย่างสนุกสนานเมื่อเห็นเพื่อนตัวเองอีกคนถือมีดเข้าไปจะแทงกบฏวัยรุ่นที่มีอายุใกล้ๆ กับตัวเอง สีหน้าของเหยื่อคนนั้นหวาดกลัวและร้องไห้ออกมาไม่หยุด พยายามอ้อนวอนขอชีวิตจากประชาชนด้วยกันเอง ก่อนที่จะมันจะกลายเป็นความสูญเปล่าเมื่อปลายมีดคมนั้นถูกแทงเข้าที่อกทันที
“...”
มือของเวฟที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋านั้นกำแน่นจนเลือดซึมออกมา พยายามอย่างยิ่งไม่ให้ตัวเองร้องไห้หรือแสดงอารมณ์เจ็บปวดออกมาเพราะไม่เช่นนั้นเขาก็อาจจะถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏไปด้วย
เขาไม่เข้าใจเลย..
ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าผู้คนยอมรับความรุนแรงแบบนี้ได้ยังไง
“!!”
เวฟเบิกตากว้างเมื่อศพที่ถูกลากมาทีหลังนั้นกลับเป็นคนที่เขารู้จักดีที่สุด
พอส!
นัยน์ตาของเวฟสั่นระริกอย่างควบคุมไม่อยู่และแทบจะร้องไห้ออกมา เพราะใบหน้าของพอสนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ตามลำตัวเต็มไปด้วยเลือดและรอยกระสุน หากแต่สิ่งที่เด่นชัดที่สุดคือลิ่มสีทองที่ถูกตอกไว้ที่อกเพื่อเป็นการปราบปีศาจ ทั้งๆ ที่เพื่อนของเขาก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น
ทำไม..
เวฟพยายามอย่างมากในการไม่ร้องไห้และใช้เสียงหัวเราะลั่นของตัวเองกลบเกลื่อน เสแสร้งความรู้สึกเพื่อผสมโรงไปกับความป่าเถื่อนอันบ้าคลั่งในบริเวณที่กำลังเกิดขึ้น ผนวกตัวเป็นส่วนหนึ่งกับความรื่นเริงในการฆ่ามนุษย์ด้วยกันเองเพื่อที่จะเอาตัวรอดจากความโหดเหี้ยมนี้
ทั้งๆ ที่เขาควรจะดีใจที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่ แต่ในอกเขากลับไม่รู้สึกแบบนั้นสักนิด
“...มึงมันก็ไม่ต่างจากคนพวกนี้หรอก เวฟ”
เวฟสะดุ้งสุดตัวเมื่อคล้ายกับได้ยินเสียงพอสข้างหู ใบหน้าซีดเผือดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อนึกถึงประโยคที่พอสเคยหลุดพูดออกมาตอนที่นั่งกินเหล้าด้วยกัน
“ยืนเฉยๆ ตรงนั้น ไม่ทำอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้พวกมันทำตามอำเภอใจแล้วปลอบใจตัวเองว่ามึงไม่ได้ทำอะไรผิด”
“แล้วกูผิดตรงไหนวะ พอส”
เวฟมองตามร่างของเพื่อนตัวเอง
“กูก็แค่ไม่อยากตายเหมือนมึงเท่านั้นเอง”
หนึ่งในสิ่งที่กลุ่มปฏิวัติคำนึงอยู่เสมอคือกรณีเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นได้กับพวกเขา แน่นอนว่าความพ่ายแพ้ก็เป็นกรณีนั้นแต่สิ่งที่พวกเขาคาดไม่ถึงคือเงื่อนไขในการแพ้ครั้งนี้ของพวกเขาที่ทางการเลือกใช้กลับเป็นโรคระบาด ทั้งๆ ที่หลายครั้งนั้นจะเน้นการปลุกปั่นด้วยวาทกรรมและข่าวปลอม ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นพวกเขาก็ยังจะพาหาทางรับมือได้บ้าง
แต่พอมันเป็นแบบนี้พวกเขาก็จะไม่รู้ว่าจะรับมือกับมันยังไง เพราะลำพังแค่พยายามไม่ให้ตัวเองติดเชื้อก็แทบจะทำไม่ได้แล้ว ไหนจะความกลัวตายของประชาชนที่จะมาฝังกลบทุกข้อเท็จจริงอีก
สิ่งที่พวกเขายังพอทำได้ตอนนี้ก็มีเพียงแค่แบ่งกลุ่มคนที่ยังไม่ติดเชื้อและยังศรัทธาในอุดมการณ์ออกมาเท่านั้น แน่นอนว่าสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์คือการเอาตัวรอด เหล่าผู้ร่วมอุดมการณ์หลายคนจึงยอมถอนตัวจนกลุ่มสุดท้ายที่ยังสามารถยืนหยัดในการต่อต้านเหลือไม่ถึงยี่สิบคนด้วยซ้ำ
ความสิ้นหวังกัดกินกลุ่มปฏิวัติเพราะไม่ว่าพวกเขาเคลื่อนไหวอะไร ประชาชนก็พร้อมที่จะเกลียดชังพวกเขา ประฌามพวกเขาก่อนที่จะใช้ความรุนแรงกำจัดพวกเขาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
แน่นอนว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของตัวเองนั้นติดตาสมาชิกกลุ่มปฏิวัติ
พวกพ้องของเขาถูกกระทำอย่างต่ำทราม โหดเหี้ยม ไร้มนุษยธรรม แต่สิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้กลับมีเพียงเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์เลวร้ายนั้นและออกมาต่อสู้เพื่อสืบสานอุดมการณ์ของเพื่อนตัวเองต่อ
พวกเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้จริงๆ เหรอ?
ถึงแม้จะไม่มีใครพูดออกมาแต่พวกเขาก็รู้อยู่แก่ใจในความสั่นคลอนของอุดมการณ์ของพวกเขา
การต่อสู้ครั้งนี้พวกเขากำลังจะพ่ายแพ้และถ้าหากไม่รีบถอนตัวก็จะตายไปอย่างทุกข์ทรมานเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์คนอื่นๆ หากแต่ถ้าพวกเขาเลือกที่จะยอมศิโรราบกับความชั่วร้ายเหล่านี้ก็ไม่ต่างกับฆาตกรพวกนั้นที่เหยียบย่ำชีวิตของเพื่อนเขา
พวกเขาควรจะเลือกอะไร
อุดมการณ์? ชีวิตตัวเอง? หรือไม่เลือกอะไรเลย
เหล่าสมาชิกกลุ่มปฏิวัติที่ยังมีชีวิตอยู่กว่าครึ่งร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นหวัง ทั้งๆ ที่ก่อนจะแยกกับเพื่อนกลุ่มอื่นตัวเองนั้นก็รับปากมาอย่างดีว่าจะมาสู้ต่ออย่างถึงที่สุด หากแต่ความจริงที่พวกเขาเผชิญตอนนี้มันก็ช่างแสนเจ็บปวด
พวกเขาจนตรอกแล้ว
อาวุธเพียงหนึ่งเดียวที่พวกเขามีและทรงพลังที่สุดคือความจริง แต่ความจริงของพวกเขากลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่าไปแล้ว พวกเขาหมดหนทางแล้วกับการต่อสู้กับชนชั้นนำชั่วร้ายพวกนี้
“...”
ทวิชซึ่งยืนอยู่ข้างหน้าต่างมองจลาจลที่อยู่บนถนนด้วยความรู้สึกสิ้นหวังเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในห้อง เพราะถึงแม้ว่าเขาจะอยากต่อสู้ต่อเพื่อพอสและทุกคนยังไง ความพ่ายแพ้ของพวกเขาก็ชัดเจนพออยู่แล้ว
ตอนนี้พวกเขายังทำอะไรได้บ้างนะ..
[ ...สวัสดีเหล่าลูกที่รักทุกคนของพ่อ ]
สมาชิกหลายคนในกลุ่มปฏิวัติเบิกตากว้างเมื่ออยู่ๆ วิทยุที่ฟังอยู่นั้นกลับปรากฏเสียงของ ‘ผู้ที่ทรงอำนาจ’ ที่สุดในประเทศนี้ ผู้ที่เป็นหนึ่งความชอบธรรมของการมีอยู่ของชนชั้นปกครอง และคอยเฝ้ามองการทำงานของรัฐบาลในประเทศนี้เสมอมา
แน่นอนว่าความสูงส่งยากจะเอื้อมถึงของณภัทรนั้นทำให้เจ้าตัวไม่ค่อยได้แสดงตัวนัก ถ้าหากไม่ใช่เหตุการณ์ที่สำคัญหรือจำเป็นจริงๆ ก็จะหลบอยู่หลังฉาก ปล่อยให้ลิ้วล่อทำงานแทนตัวเองเพื่อสร้างความลี้ลับและความน่ายำเกรงให้กับตัวเอง
“...”
ทวิชยังคงหลุบตามองจลาจลเบื้องล่างด้วยสีหน้าเฉยเมย มองตามเหล่านักบวชของศาสนาซึ่งสวมชุดคลุมสีขาวขลิบทองที่ลงมาจากรถยนต์ต่างประเทศคันหรูและกระจายกันไปให้กำลังใจแก่ประชาชนที่กำลังประสบอยู่ในสภาวะความหวาดกลัวและหลงทาง
[ ..สำหรับพ่อแล้ว วันนี้เป็นวันที่แสนจะวิปโยค เป็นวันที่พ่อรู้สึกไม่มีความสุขและเป็นทุกข์เหลือเกิน ]
ทวิชแค่นเสียงหัวเราะออกมาเมื่อเห็นชาวบ้านหลายคนเบื้องล่างนั้นนั่งน้ำหูน้ำตาไหลกันซึ่งก็คาดว่าน่าจะได้ยินเสียงณภัทรจากลำโพงประจำเมืองด้านนอก สีหน้าของพวกเขาเหล่านั้นเลื่อมใสศรัทธาจนทวิชหัวเราะจนตัวโยน เพราะข้างกายพวกเขาเหล่านั้นเต็มไปด้วยซากศพของกลุ่มปฏิวัติที่ถูกเข่นฆ่าอย่างทารุณ
เขากำลังสู้เพื่อคนพวกนี้เหรอ?
คนที่ไม่เห็นค่าชีวิตของเขาด้วยซ้ำ คนที่พร้อมจะโห่ร้องยินดีเมื่อเขาตาย คนที่เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมการเข่นฆ่าพวกพ้องของเขาในวันนี้
มันคุ้มค่าเหรอกับการที่ต้องมาตายอย่างทุกข์ทรมานด้วยน้ำมือคนที่ไม่เห็นค่าชีวิตของพวกเขา
[ ..พ่อจะไม่โกรธพวกคนชั่วที่ทำในสิ่งชั่วร้าย ถึงแม้การจงใจแพร่โรคระบาดจะเป็นบาปร้ายแรงที่ไม่สามารถให้อภัยได้ แต่ลูกๆ เอ๋ย พวกเราเป็นผู้เจริญแล้ว อย่าปล่อยให้ปีศาจร้ายมาควบคุมร่างกายเหมือนกับกบฏพวกนี้ เราจะเป็นผู้ที่จะให้อภัยแก่ผู้อื่น เราจะต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมเพื่อที่จะชดใช้บาปของเราและไม่ให้บาปของตัวเองไปทำร้ายใครอย่างพวกคนบาปเหล่านี้ ]
น้ำเสียงทุ้มทรงอำนาจนั้นพูดอย่างเป็นจังหวะและน่าฟัง มีการทอดเสียงบ้างในบางจังหวะเพื่อให้ผู้ฟังได้คิดตามและหลงเชื่ออย่างไม่มีเหตุผลเพราะอัลฟ่าในประเทศนี้นั้นคือความถูกต้อง เป็นความจริงแท้ที่ไม่มีสิ่งใดสามารถหักล้างได้ เป็นชุดความคิดเดียวที่ครอบงำสังคมและถูกยึดเป็นเหตุผลตรรกะทุกอย่างในประเทศ
ฉะนั้นสิ่งใดที่ขัดแย้งกับสิ่งที่อัลฟ่าพูดนั้นก็ย่อมเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งสิ้น
“...”
ทวิชสบตากับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ในห้องที่ดูสิ้นหวังมากกว่าเดิม ทั้งๆ ที่ร่างกายของพวกเขานั้นครบสมบูรณ์ที่สุดแต่ในเวลานี้กลับแทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรงหรือแรงใจที่จะต่อสู้เพื่อสิ่งใดอีกแล้ว
[ ..และเพื่อเป็นการชำระบาปของคนชั่วเหล่านี้ พระเจ้าก็ได้ประทานยารักษาโรคระบาดนี้ให้กับพ่อ ยารักษาที่จะทำให้ลูกๆ ของพ่อรอดพ้นจากกระทำอันชั่วร้ายของพวกกบฏ ]
“..เล่นง่ายดีเนอะ”
นิลหรือหนึ่งในแกนนำปฏิวัติครั้งนี้หัวเราะเสียงขืน รู้สึกสิ้นหวังเพราะสิ่งที่พวกอัลฟ่าทำอยู่นั้นไม่เนียนเลยสักนิด การคิดยารักษาโรคระบาดที่เพิ่งอุบัติใหม่ได้ในเวลาไม่ถึงอาทิตย์นี้ดูจะเป็นความบังเอิญเกินไปแล้ว ถ้าหากคนทั่วไปลองคิดไตร่ตรองหรือสงสัยสักนิดก็จะรู้ว่ายารักษานี้มีความไม่ชอบมาพากลอยู่
ให้ตายเถอะ เขาเบื่อข้ออ้างพระเจ้าอะไรนั่นของพวกอัลฟ่าชะมัด เพราะแค่เอ่ยถึงพวกคนธรรมดาทั่วไปก็เชื่อแล้ว ไม่กล้าสงสัยเนื่องจากกลัวว่าบาปของตัวเองจะมากกว่าเดิม จากแต่เดิมที่มีอยู่เยอะแล้วตั้งแต่เกิด
เอาเข้าจริงเขาในสมัยเด็กก็เคยหลงเชื่อเหมือนกัน จนกระทั่งพ่อแม่ของเขาถูกฆ่าตายด้วยข้ออ้างว่าเป็นความต้องการของพระเจ้า เขาถึงได้สำนึกรู้เลยว่าพวกอัลฟ่าไม่ได้สูงส่งอย่างที่พวกมันกรอกหัวใส่ประชาชน
ทุกคนในประเทศนี้ก็เป็นแค่มนุษย์ และมีคนกลุ่มหนึ่งแอบอ้างว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่นก็เท่านั้น แน่นอนว่าการกำจัด ‘ณภัทร’ ไม่ใช่การยุติระบบการปกครองอัปลักษณ์นี้ สิ่งที่เป็นปัญหาจริงๆ คือกลุ่มชนชั้นนำที่สนับสนุนระบบการปกครองนี้และนัยน์ตาที่มืดบอดของประชาชน
ซึ่งตอนนี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าคนส่วนใหญ่นั้นพอใจกับชีวิตลำบากเช่นนี้ มีความสุขกับภาพฝันที่เหล่าชนชั้นปกครองหลอกให้เชื่อและมันจะเป็นแบบนั้นตลอดไปตราบใดที่พวกมันยังคงควบคุมการศึกษาเอาไว้
“ยอมแพ้กันเถอะ” เบต้าคนหนึ่งพูดเสียงเบาและพูดประโยคต่อไปด้วยน้ำเสียงที่เบากว่าเดิม “...ผมยังไม่อยากตาย”
“…”
นิลพูดอะไรไม่ออกเพราะในห้องนี้ มีเพียงเขาเท่านั้นที่เป็นหนึ่งในแกนนำการปฏิวัติครั้งนี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนแกนนำคนอื่นๆ นั้นตายไปหมดแล้วตอนที่พวกอัลฟ่าส่งคนมากวาดล้าง บางคนก็ตายเพราะพวกอาสาสมัครที่แทรกซึมมาเพื่อที่จะเป็นพวกระเบิดพลีชีพ และอีกหลายคนที่ไม่ติดต่อไม่ได้แล้ว
อำนาจการตัดสินใจครั้งสุดท้ายอยู่ที่เขา
แววตาของนิลสั่นระริก
เขาไม่อยากยอมแพ้ ไม่อยากให้สิ่งที่ทุกคนทำมาตลอดหลายอาทิตย์นี้สูญเปล่า
เขา..
[ …แต่พวกกบฏพวกนี้ช่างใจร้ายนัก แม้แต่โบสถ์ของเรามันก็ไม่ละเว้นเผาสิ้นจนพ่อแทบใจจะขาด พี่น้องของเราก็ล้มตายไปมากมาย ลูกๆ เอ๋ยพ่อจะคืนความยุติธรรมให้กับพี่น้องของเรา ถ้าลูกพบพวกกบฏก็จงจับมันมาให้พ่อ พ่อจะชำระล้างบาปมหันต์ที่มันได้สร้างให้แก่เรา เราจะยินยอมให้มันใช้ชีวิตต่อไปอย่างปกติสุขไม่ได้อีกแล้ว ]
“!!!”
ทวิชที่กำลังยืนเหม่ออยู่นั้นสะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ๆ กลับมีบ่วงเชือกคล้องเข้าที่คอและรัดแน่น แน่นอนว่าทวิชขัดขืนตามสัญชาตญาณทันที
“ทำอะไรของมึงวะ!!!”
นิลตะคอกใส่เพื่อนสนิทตัวเองที่เป็นคนกระโจนเข้าใส่ทวิช แล้วถลาเข้าไปช่วยทวิชทันทีแต่คนอื่นที่เหลือก็มาช่วยกันจับนิลเอาไว้ไม่ให้เข้าไปช่วย
“กูไม่อยากตาย! เข้าใจไหม นิล! กูไม่อยากตาย!”
ความสิ้นหวังก็ยังคงทำให้ผู้คนบ้าคลั่ง
เพื่อนร่วมอุดมการณ์ของนิลพยายามต่อสู้กับทวิช เพื่อที่จะนำตัวไปแขวนคอบนดาดฟ้าอันเป็นการแสดงสัญลักษณ์ในการยอมสวามิภักดิ์ต่ออัลฟ่าและจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไปในฐานะผู้ที่ปราบกบฏ
“มึงทำแบบนี้ไม่ได้!!! มึงจะมาฆ่าพวกกันเองทำไมวะ มึงจะทำตัวแบบพวกมันทำไม!!!”
นิลตะโกนออกมาทั้งน้ำตาเพราะร่างต้นของเขาก็เป็นแค่กระต่ายอ่อนแอ เขาเลยไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะขัดขืนจากพันธนาการนี้ได้
“กูก็ไม่อยากทำแต่มันมีทางเลือกให้กูไหมล่ะ ฮึก กูอยากชนะพวกมัน แต่มึงก็ยอมรับความจริงเหอะว่าเราแพ้แล้วและทางเดียวที่เรามีคือต้องมีชีวิตอยู่เพื่อรอโอกาสครั้งต่อไป”
“แล้วทำไมมึงไม่เอาตัวมึงเองวะ”
“กูก็บอกแล้วไง นิล ว่ากูไม่อยากตายแล้วเขาก็เป็นคนที่พวกเราสนิทน้อยที่สุดแล้ว”
กรรซ!!!
ในที่สุดทวิชก็ทนไม่ไหวตัดสินใจคืนร่างต้นครึ่งบนเป็นเสือดำแล้วปล่อยให้สัญชาตญาณสัตว์ป่าครอบงำตัวเองทันที ทวิชกัดแขนของคนที่พยายามจะบีบคอเขาจนจมเขี้ยวก่อนที่จะสลัดออก นัยน์ตาสีทองวาวโรจน์อย่างดุร้าย หอบหายใจเข้าออกอย่างรุนแรงด้วยความโกรธ
“..มึง มึง”
เบต้าที่โดนกัดมองแขนชุ่มเลือดตัวเองด้วยความตกตะลึงเพราะไม่คิดว่าทวิชจะมีเชื้อสายของพวกสัตว์กินเนื้อด้วย ที่เขาพวกเขาแน่ใจคือทวิชนั้นเป็นพวกนกอย่างเต็มตัวแน่ๆ ดังนั้นการตายของทวิชจะช่วยให้พวกเขาทั้งหมดรอดพ้นจากการถูกชำระบาปจากพวกอัลฟ่าอย่างแน่นอน
กรรซ
ทวิชส่งเสียงขู่ออกมาอย่างดุร้าย จ้องมองคนอื่นๆ ที่ปล่อยตัวเขาได้ทันก่อนที่เขาจะกัด แน่นอนว่าด้วยความโกรธที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวินาที ทวิชมั่นใจมากว่าตัวเองจะสามารถขย้ำคนพวกนี้ให้ตายคาห้องด้วยซ้ำ
เขาเกลียด..
เกลียดทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกบ้าๆ นี่!
“ทวิช ใจเย็นๆ นะ อย่าฆ่าพวกเราเลย”
เบต้าวัยกลางคนที่อายุมากที่สุดในกลุ่มพยายามเข้ามาพูดไกล่เกลี่ย ทั้งๆ ที่ตัวเองนั้นเป็นคนเสนอชื่อทวิชและอดนึกเกลียดชังสายพันธุ์สัตว์กินพืชในร่างตัวเองไม่ได้ เพราะมันทำให้เขาหวาดกลัวทวิชจนตัวสั่น ซึ่งนั้นรวมถึงคนอื่นๆ ในห้องด้วยที่ล้วนแล้วแต่เป็นเบต้ากันทั้งนั้น ไม่มีใครที่มีเชื้อสายสัตว์กินเนื้อหรือนกทั้งนั้นนอกจากทวิช
นี่มันเป็นความบังเอิญบ้าบออะไรกัน
เบต้ากว่าครึ่งในห้องคิดอย่างหงุดหงิด เพราะหลังจากลอบปรึกษากันในระยะเวลาสั้นๆ พวกเขาก็คิดว่าทวิชนั้นน่าจะเป็นคนที่จัดง่ายที่สุด ดูอ่อนแอเหมือนจะตายได้ตลอดเวลา แต่ตอนนี้กลับเป็นฝ่ายของพวกเขาที่เพลี่ยงพล้ำเองซะอย่างนั้น
แน่นอนว่าพวกเขาที่ไม่เหลือทางรอดแล้วจึงไม่ได้คิดจะปล่อยทวิชไปจริงๆ
“...ถอยไป”
ทวิชไม่สนใจและยังคงแยกเขี้ยวขู่อย่างดุร้าย ไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้วนอกจากความต้องการของตัวเอง เพราะทุกครั้งที่เขาพยายามจะทำเพื่อคนอื่น ก็จะเป็นทุกครั้งที่เขาถูกเอารัดเอาเปรียบ โดนกระชากคอให้รับเรื่องเลวร้ายเหล่านั้น ทั้งๆ ที่เขายังไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายอะไรด้วยซ้ำ
แค่การที่เขามีเชื้อสายนกเพียงคนเดียวในห้องเหรอ เขาถึงต้องรับผิดชอบการอยู่รอดของคนพวกนี้
ทำไมคนที่เป็นหนึ่งในแกนนำการปฏิวัติครั้งนี้อย่างนิลถึงไม่ถูกเลือก ทำไมคนอื่นๆ ในห้องนอกจากนิลถึงได้เห็นดีเห็นงามกับการตายของเขากัน การอยู่รอดมันสำคัญนักเหรอ อยากให้เขาตายมากนักเหรอ?
กรรซ
ทวิชคำรามซ้ำเมื่อไม่มีใครยอมถอยห่างออกจากประตูแม้แต่คนเดียว นัยน์ตาสิ้นหวังของผู้คนรอบกายเขานั้นเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งไม่ต่างจากพวกที่หลงเชื่อคำโฆษณาชวนเชื่อของพวกอัลฟ่าและไล่ฆ่าผู้คนด้านนอก
คนพวกนี้อยากมีชีวิตต่อ
นัยน์ตาของทวิชสั่นระริกอย่างเจ็บปวด เมื่อชั่วขณะหนึ่งนึกถึงพ่อตัวเองที่โดนแขวนคอเหมือนกัน ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าพ่อโดนพวกพ้องด้วยกันเองทรยศเหมือนเขาหรือเปล่า
เขาเจ็บ.. เจ็บจนแทบบ้า
การมีอยู่ของอัลฟ่าคือสิ่งที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในประเทศนี้ผิดเพี้ยนถึงขนาดนี้เชียว
ผู้คนยอมละทิ้งซึ่งศีลธรรมและอุดมการณ์เพื่อการอยู่รอดของตัวเอง
แน่นอนว่าเขาอยากตายก็จริงแต่การตายของเขาจะไม่มีวันเกิดจากคนอื่น และจะไม่มีใครหน้าไหนมาใช้ประโยชน์จากศพของเขาได้ทั้งนั้น
“ถอยไป”
ทวิชพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ หยิบเชือกที่คล้องคอตัวเองอยู่มากัดออกจนขาดเป็นสองท่อนจนเหลือความยาวแค่ถึงเอว ก่อนจะค่อยๆ เดินไปยังประตูโดยไม่สนว่าคนที่ขวางประตูอยู่
“จับมัน!!”
มีคนหนึ่งให้สัญญาณก่อนที่ความชุลมุนจะเกิดขึ้นในทันที แน่นอนว่าทวิชไม่เหลือความลังเลใดๆ อีกต่อไป ตะปบแขนคนหนึ่งและกระชากเข้าหาตัวก่อนจะกัดไหล่จนจมเขี้ยว เลือดที่ไหล่บ่าออกมาอาบหน้าทวิชจนเลอะไปด้วยเลือดแต่ทวิช
“ปล่อย!! ไม่เอา อย่าฆ่าผม อย่าฆ่าผม”
เบต้าคนที่โดนกรีดร้องออกมาขวัญเสีย แต่คนอื่นๆ ก็ยังคงพยายามต่อ บางส่วนก็คืนร่างต้น บางส่วนก็หยิบเอาไม้ในห้องมาทุบ ทวิชจึงยอมปล่อยออกจากไหล่และงับเข้าที่หลอดลมของคนที่อยู่ในมือแทน
“!!!”
ทวิชสบตากับคนอื่นๆ ที่ยืนตกตะลึงด้วยสีหน้าเฉยชา ก่อนที่จะคายเหยื่อออกจากปากตัวเองและแลบลิ้นเลียเลือดที่เปรอะอยู่ตามปาก
“..จะถอยไหม”
ทวิชถามซ้ำอีกครั้งด้วยการเตะเหยื่อที่กองอยู่แทบเท้าตัวเองไปยังเบต้าที่พยายามฆ่าเขา
คนพวกนั้นสะดุ้งสุดตัวแต่ก็ยังไม่กล้าทำอะไร มีบางคนร้องไห้ออกมาอย่างหวาดกลัวเมื่อเห็นเพื่อนของตัวเองค่อยๆ ตายต่อหน้าจากรอยกัดเหวอะแหวะบริเวณคอ
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบอะไรทวิชก็เดินต่อ ซึ่งคราวนี้ก็ไม่มีกล้ามาขวางทางเขาอีก แน่นอนว่าก่อนที่ทวิชจะปิดประตูก็อดไม่ได้ที่มองอดีตเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของตัวเองด้วยสีหน้าสมเพช และเดินเข้าไปในห้องน้ำอีกห้องเพื่อชำระร่างกายตัวเอง
ทวิชคืนร่างกลับเป็นมนุษย์ ถอดเสื้อที่ชุ่มไปด้วยเลือดออก และวักน้ำจากก๊อกขึ้นมาร่างหน้าตัวเองเพื่อล้างเลือด
ทวิชครางออกมาเมื่อล้างไปได้สักพักร่างกายของเขาอยู่ๆ ก็ร้อนระอุขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ก่อนที่มันจะสร้างความเจ็บปวดให้เขาจนเขาควบคุมร่างของตัวเองไม่ได้
ทุกข์ทรมานอยู่พักใหญ่ในที่สุดความเจ็บปวดก็หยุดลง ทวิชมองตัวเองในกระจกที่มีปีกอีกาคู่ใหญ่บนแผ่นหลังและใบหูของเสือดำ ก่อนที่จะเบิกตากว้างเมื่อเห็นเลือดค่อยๆ ไหลออกจากจมูก
“...”
ทวิชเช็ดเลือดนั้นออกและก้มมองมือชุ่มเลือดของตัวเองด้วยแววตาสิ้นหวัง
เขาติดโรคระบาดแล้ว

-------
