81
Boy's love story / Re: [จีนกำลังภายใน] คู่เพชฌฆาต บทที่ 3 (12/6/2567)
« กระทู้ล่าสุด โดย juon เมื่อ 12-06-2024 09:57:51 »บทที่3 จ้าวฉือ
เทพอสูรทะเลคลั่ง
ฉายานี้เพียงเอ่ยก็สะท้านสะเทือนแผ่นน้ำผืนดิน เนื่องเพราะเทพอสูรผู้นี้ เมื่อสามสิบปีก่อน อาละวาดไปทั่วทะเลโป๋ไห่ ใช้เวลาเพียงห้าปีก็สามารถกำราบพวกโจรสลัดทั้งหลาย ขึ้นเป็นหัวหน้าใหญ่ของพวกมันได้
ฟังว่าวิชาที่ท่านใช้เป็นการรวบรวมความโดดเด่นจากหลายคัมภีร์ฝีมือ หลังผ่านประสบการณ์การต่อสู้อันโชกโชน ที่สุดก็ได้บัญญัติออกมาเป็นวิชาเฉพาะตัว
เรียกว่าวิชาดาบสยบธารา และพลังปราณเคลื่อนสมุทร
ในบั้นปลายชีวิตท่านได้ถ่ายทอดวิชาให้กับบุตรชายทั้งเจ็ด แล้วหายสาบสูญ ว่ากันว่าในบรรดาทั้งเจ็ดคน มิมีผู้ใดสามารถบรรลุถึงแก่นแท้วิชาของท่านได้เลย นี่มิอาจตำหนิพวกมันละเลยการฝึกฝน มาตรแม้นพวกมันถือกำเนิดมาจากบิดาคนเดียวกันก็จริง แต่มิได้ถือพรสวรรค์เยี่ยงบิดาของมันติดมาด้วย
ถึงกระนั้นพวกมันทั้งเจ็ดคล้ายมีความถือดีว่าต่างล้วนเก่งกว่าผู้อื่น ดังนั้นภายในช่วงเวลาสามปีให้หลัง พวกมันถึงกับสังหารกันเองจนหมดสิ้น หลักวิชาฝีมืออันสะท้านสะเทือนแผ่นดินนี้ก็คล้ายดับสูญไป
กระทั่งเวลาล่วงเลยไปอีกสิบห้าปี ในแผ่นดินจงหยวนก็ปรากฏดาวเพชฌฆาตขึ้นมาผู้หนึ่ง วิชาที่มันใช้ถึงกับเป็นบัญญัติอันเฉพาะตัวของเทพอสูรทะเลคลั่งผู้นั้น!
ผู้คนเรียกขานมันเป็นเพชฌฆาตไร้หน้า พฤติการณ์ของมันก็คลุ้มๆ คลั่งๆ มิทราบเป็นดีหรือเป็นร้าย แต่ผู้ใดไหนเลยจะทราบ ที่จริงแล้วดาวเพชฌฆาตผู้นี้ มิได้เพิ่งออกสู่ยุทธจักรเป็นครั้งแรก เพียงแต่เมื่อห้าปีก่อน มันยังมิทันได้มีชื่อเสียง ก็ถูกคนผู้หนึ่งพิชิตลงไป คนผู้นั้นมีอ่อนวัยกว่ามันสองปี ยังมีฝีมือเลอเลิศพิสดารยิ่งกว่ามันเสียอีก
...............................................
ฝน... น้ำทิพย์ที่หยาดหยดลงจากฟากฟ้า หล่อเลี้ยงพืชพรรณธัญญาหาร บันดาลให้ผู้คนมีชีวิตที่แช่มชื่นแจ่มใส
ฝน... บางคราก็คล้ายหยาดน้ำตาแห่งความเศร้าโศก หลั่งไหลลงมาอย่างมิขาดสาย พิลาปรำพันต่อชะตาชีวิตที่โหดร้ายอย่างไม่หยุดยั้ง
บุรุษชุดดำยามนี้นั่งอยู่ในมุมที่มืดที่สุดของเหลาสุรา ด้วยสารรูปและพฤติการณ์ของมัน มิว่าก้าวเท้าไปแห่งหนใด ล้วนแต่เป็นที่สะกิดสายตาของผู้คนทั้งสิ้น บุคคลเช่นมัน เมื่อคิดพักหลบฝนในโรงเตี๊ยม ทางที่ดีควรเก็บตัวอยู่แต่บนห้อง เรียกผู้รับใช้นำส่งอาหารเพื่อมิให้พบกับเรื่องเดือดร้อนรำคาญใจ แต่มันกลับเลือกนั่งอยู่ในเหลาสุราที่มีผู้คนมากหน้าหลายตา อาศัยความมืดอำพรางร่องรอย เพื่อฟังการเสวนาของพวกประดานั้น เพียงหวังจะได้ยินร่องรอยของคนผู้หนึ่ง
มันทำเยี่ยงนี้มาเป็นเวลาถึงสองปี สองปีที่มันออกสู่ยุทธจักรอีกครั้ง เรื่องที่คนผู้นั้นกระทำต่อมัน มันมิเคยปริปากเล่าต่อผู้ใดมาก่อน แม้แต่เสี่ยวเปาที่สนิทสนมกับมันมากที่สุด มันก็มิเคยเอ่ยปากบอกเลย
เนื่องเพราะเรื่องที่บุคคลผู้นั้นกระทำต่อมัน เป็นเรื่องที่มิอาจบอกเล่าต่อผู้ใดได้จริงๆ
เสียงสายฝนตกกระทบหลังคา บางทีอาจดังยิ่งกว่าเสียงสนทนาในเหลาสุราด้วยซ้ำ ดังนั้น พวกมันจึงต้องตะเบ็งแข่งกับเสียงฝน ใจความล้วนเป็นเรื่องทั่วไป มีบ้างเกี่ยวกับการสังหารโหดที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อน บุรุษชุดดำฟังไปพลาง ดื่มสุราคีบกับใส่ปากไปพลาง จังหวะนั้น ประตูของเหลาสุราก็พลันถูกผลักเข้ามา ผู้ที่เข้ามาสวมชุดสีขาวปลอด ถือร่มน้ำมันคันใหญ่ บุรุษชุดดำเหลียวหน้าไปมอง หัวใจของมันพลันเต้นถี่ แทบมิอาจบังคับตัวเองมิให้ลุกพรวดขึ้นมา
.............................................
เมื่อสิบห้าปีก่อน ขอทานน้อยผู้หนึ่งอาศัยนั่งขอเศษเงินอยู่บนถนนเส้นที่คับคั่งจอแจที่สุดในลั่วหยาง มันตอนนั้นมีวัยเพียงเจ็ดขวบปี หน้าตาสกปรกมอมแมม เสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่ง ตั้งแต่จำความได้ มันรู้จักแต่การนั่งขอทานเท่านั้น ในแต่ละวัน จะมีชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งเรียกกันว่าหนิวต้าเกอ พาพวกมันตระเวนไปขอทานในจุดต่างๆ ตกค่ำจะพาพวกมันไปนอนเบียดเสียดกันในห้องด้านหลังของศาลเจ้าร้างในย่านซอมซ่อ บรรดาขอทานน้อยมีตั้งแต่อายุสามขวบไปจนถึงสิบขวบปี นับจำนวนได้ราวสิบยี่สิบคน นอนเบียดอัดกันอยู่ในห้องคับแคบ สภาพบางทียังอเนจอนาถกว่าลูกสุกรในเล้าเสียอีก
หนิวต้าเกอจะบอกจำนวนเงินที่พวกมันต้องขอให้ได้ในแต่ละวัน ผู้ใดหาได้ต่ำกว่าเกณฑ์จะถูกตีด้วยไม้ เหล่าขอทานน้อยเพราะกลัวถูกตีจับใจ จึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เงินมาครบจำนวน กระทั่งลักเล็กขโมยน้อยก็มี
ในบรรดาขอทานน้อยเหล่านี้ มีผู้หนึ่ง แม้ร่างกายผ่ายผอมแต่กระดูกของมันคล้ายหล่อหลอมมาจากเหล็กกล้า มันเป็นผู้หนึ่งที่แทบจะมิเคยหาเงินมาได้ครบตามจำนวนเลยแม้แต่หนเดียว เนื่องเพราะมันมักแบ่งปันเศษเงินที่หาได้ ให้กับบรรดาขอทานที่ตัวเล็กกว่ามัน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องถูกโบยตี ส่วนตัวมันเองยินยอมโดนโบยตีครั้งแล้วครั้งเล่า
ดังนั้น พวกขอทานอื่นๆ จึงเรียกมันเป็นอาฉือ (ฉือ – เมตตา)
ตอนนี้อาฉือกำลังนั่งมองถุงใส่เงินที่หว่างเอวของคนที่เดินผ่านไปผ่านมา พลางนึกกับตัวเองว่า หากมันขโมยมาได้สักถุงหนึ่งคงจะดีไม่น้อย แต่หากมันขโมยต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ นอกจากจะมิได้เงินในถุงแล้ว น่ากลัวต้องถูกกรมเมืองเอาไปโบยตีอย่างสาหัส ต้องสาหัสกว่าที่หนิวต้าเกอโบยตีมันแน่นอน
ระหว่างนั้นก็มีขอทานน้อยที่ตัวเล็กอย่างยิ่ง สกปรกมอมแมมอย่างยิ่ง ฟันหน้ายื่นพ้นขอบปาก วิ่งกระย่องกระแย่งมาทางมัน ส่งเสียงเรียก “ฉือเกอ” คำหนึ่ง ก่อนจะร่ำไห้เสียงดังสนั่น
อาฉือรีบดึงมันให้นั่งลง รอจนมันหยุดส่งเสียง จึงถาม “เสี่ยวเปา (เหยินน้อย) เกิดเรื่องใด หรือมีผู้ใดทุบตีเจ้า?”
เสี่ยวเปาสะอึกสะอื้นอยู่เป็นค่อนวัน ในที่สุดก็กล่าววาจาออกมาได้ “เสี่ยวเปา... เสี่ยวเปาโดนแย่งถุงเงินไปอีกแล้ว”
อาฉือปั้นหน้าเคร่งเครียดแล้วกล่าว “เป็นผู้ใดแย่งไปอีก เฮยเกอ? โฉ่วเกอ?”
เสี่ยวเปาผงกศีรษะ กล่าวต่ออีก “ทีแรกเสี่ยวเปามิยินยอมให้พวกมัน กอดถุงเงินไว้แน่นๆ อย่างที่ฉือเกอสอน พวกมัน... พวกมันก็เอาดอกหญ้ามาจั๊กจี้เสี่ยวเปา เสี่ยวเปา...”
กล่าวถึงตรงนี้ก็ร่ำไห้ออกมาอีก อาฉือฟังแล้วก็มิทราบสมควรจะหัวร่อ หรือร่ำไห้เป็นเพื่อนมันดี รออยู่ครู่ใหญ่จนมันเริ่มส่งเสียงสะอึกสะอื้นอีก จึงค่อยกล่าวปลอบ
“แล้วก็แล้วไปเถิด เจ้าก็มานั่งข้างฉือเกอที่นี่ รับรองพวกนั้นต้องมิกล้าเอาดอกหญ้ามาจั๊กจี้เจ้าอีกอย่างแน่นอน”
เสี่ยวเปาผงกศีรษะ ยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้า ระหว่างนั้นมีสตรีสองสามนางเดินผ่านมา แลเห็นพวกมันคล้ายพี่น้องสองคนกำลังปลอบกันอยู่ บังเกิดความเห็นใจจึงโยนเงินให้พวกมันคนละเหวินสองเหวิน เสี่ยวเปาเห็นแล้วก็มองพวกนางตาเป็นประกาย เอ่ยปากขึ้นทันที
“ขอบคุณเสียวเจี่ย (คุณหนู) ท่านจึงเป็นเทพธิดากลับชาติมาเกิดแท้ๆ”
ความจริงเสี่ยวเปาหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง ถึงสกปรกมอมแมมไปบ้าง แต่วาจาที่มันกล่าว แม้เรียบง่ายแต่ก็เป็นถ้อยคำรื่นหูที่ผู้ใดฟังแล้วย่อมไม่อาจหุบยิ้มได้ ดังนั้นพวกนางจึงโยนเงินให้มันอีก
ตรงข้ามจุดที่พวกมันนั่งขอทานอยู่ เป็นโรงเตี๊ยมใหญ่ ชั้นบนที่เปิดเป็นเหลาสุราของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ยังมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ตรงระเบียง เป็นบุรุษวัยราวห้าหกสิบปี รูปกายสูงใหญ่ผิดธรรมดา หนวดเคราก็เล็มเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีดั่งคหบดีสูงวัยที่ออกท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ สายตาของคหบดีสูงวัยผู้นี้กำลังจับจ้องไปยังขอทานน้อยสองคนที่นั่งอยู่ แน่นอนว่าขอทานน้อยทั้งสองมิได้รู้สึกตัวเลย
เสี่ยวเปาพอได้เงินมาก็มีสีหน้าดีขึ้น หันไปแย้มยิ้มกล่าวกับฉือเกอของมัน “ท่านดู พวกเราได้มา หนึ่ง... สอง... สาม... สี่... ได้มาถึงห้าเหวิน หากมีนางฟ้าผ่านมาอีกบ่อยๆ พวกเราก็ไม่ต้องถูกตีแล้ว”
อาฉือได้แต่ยิ้มฝืนตอบ ตอนนี้ก็ใกล้พลบค่ำแล้ว ‘นางฟ้า’ ที่เสี่ยวเปาพูดถึง ยิ่งนานจะยิ่งไม่มี มันก้มลงนับเงินในถุงของตัวเอง แล้วหยิบส่งให้เสี่ยวเปาจำนวนหนึ่ง
“เจ้าเก็บไว้ รอจนหนิวต้าเกอมาค่อยยื่นให้”
เสี่ยวเปารีบกล่าวขึ้น “แต่นี่มิใช่เงินของท่านดอกหรือ? ท่านให้เงินเสี่ยวเปาแล้ว ท่านก็ต้องถูกหนิวต้าเกอโบยตี เสี่ยวเปาไม่ต้องการเห็นท่านถูกโบยตี ผู้ที่สมควรถูกโบยตีที่จริงต้องเป็นเฮยเกอโฉ่วเกอคู่นั้นต่างหาก”
“เจ้ามิต้องกังวลแทนเราไป เราแน่ใจสักครู่ต้องมีผู้ใจบุญนำเงินมาให้ วันนี้ไม่ถูกหนิวต้าเกอโบยตีอย่างแน่นอน”
เสี่ยวเปามองมันด้วยความพิศวง แล้วยิ้มอีก “อย่างนั้นเสี่ยวเปาจะช่วยท่านอ้อนวอนผู้ใจบุญนั้นเอง”
‘ผู้ใจบุญ’ ที่อาฉือพูดถึง ปรากฏตัวหลังจากนั้นไม่นาน เป็นกงจื่อรุ่มรวยอายุเยาว์ที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสวยๆ งามๆ สองคน เดินมาพร้อมผู้อารักขาด้านหลังสองคนเช่นกัน อาฉือพอเห็นพวกมันสองคนก็ส่งเสียงเห่าทันที
“โฮ่ง!”
เสี่ยวเปาอ้าปากกว้างแทบจะกลืนไข่ห่านลงไปได้ ขณะที่กงจื่อคู่นั้นยืนหัวร่อจนตัวงอ ผู้อารักขาด้านหลังก็พลอยหัวร่อไปด้วย อาฉือส่งเสียงเห่าแล้วก็กล่าวขึ้น
“ข้าพเจ้าเห่าแล้ว ท่านยังคงต้องจ่ายสิบเหวินมาก่อน”
กงจื่อคู่นั้นหัวร่ออยู่อีกพักใหญ่ ก็ค่อยกล่าววาจาออกมา “เมื่อวานเจ้าเห่า เราจ่ายไปแล้วสิบเหวิน วันนี้เห่าอีกไฉนต้องได้อีกสิบเหวิน?”
“แต่ท่านบอกว่าถ้าข้าพเจ้าเห่าจะได้สิบเหวิน”
“เนื่องเพราะเมื่อวานกว่าเจ้าจะยอมเห่า ใช้เวลาเนิ่นนานอย่างยิ่ง วันนี้เห่าออกมาง่ายๆ ก็คิดจะรับเงินสิบเหวิน โลกนี้ไหนเลยมีเรื่องง่ายๆ เช่นนี้อยู่”
อาฉือพลันขมวดคิ้ว กล่าวสืบต่อ “ท่านหมายความเช่นไร”
“ความหมายคือ เจ้าใคร่ได้เงินมาก เจ้าก็ต้องกระทำเรื่องที่ผู้อื่นกระทำได้ยาก ยกตัวอย่างเช่น... วิ่งมาคลานสี่ขารอบพวกเราสักรอบหนึ่งเป็นไร”
อาฉือเม้มปาก นิ่งคิดอยู่อึดใจ ก็ก้มลงคลานสี่ขาไปรอบๆ กงจื่อสองคนนั้น ทั้งสี่คนยกมือกุมท้องหัวร่อ หนึ่งในกงจื่ออายุเยาว์กล่าวขึ้น
“ดีมากๆ นับว่าเจ้าดูเชื่องคล้ายสุนัขจริงบ้างแล้ว ก้มลงเลียรองเท้าเราหน่อยเป็นไร แล้วเราจะให้เจ้าเพิ่มอีกสิบเหวิน”
ใบหน้าของอาฉือกลายเป็นสีแดงก่ำด้วยความอับอาย แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังก้มหน้าลงไป ถึงกับแลบลิ้นเลียรองเท้ากงจื่อผู้นั้นจริงๆ กงจื่อรุ่มรวยผู้นั้นหัวร่อชอบใจ อาศัยจังหวะนั้น เตะใส่มันไปฉาดหนึ่ง อาฉือถึงกับกระเด็นถอยหลัง มุมปากปรากฏเลือดซึมออกมา เสี่ยวเปาเห็นแล้วก็หวีดร้องขึ้น
“ฉือเกอ!”
อาฉือยกมือขึ้นเช็ดโลหิตตรงมุมปาก ถลึงตามอง ขยับตัวเตรียมจะโถมเข้าใส่กงจื่อผู้นั้น แต่ถูกตวาดไว้
“อะไร แค่นี้เจ้าก็คิดจะกัดเราแล้วหรือ เงินยี่สิบเหวินก็ไม่คิดต้องการแล้วกระมัง”
ได้ยินประโยคนั้น อาฉือมีแต่ต้องกล้ำกลืนโทสะไว้ มันทรุดตัวลงนั่ง หอบหายใจแรง กงจื่อสองคนจึงพากันปรบมือ แล้วกล่าว “เยี่ยมมากๆ เจ้านับว่าเลียนแบบสุนัขได้ละม้ายเหมือนกว่าผู้ใดจริงๆ ดังนั้นพวกเราผู้ใจบุญ จะให้เงินเจ้ายี่สิบเหวิน”
กล่าวจบหนึ่งในสองของพวกมันก็ล้วงเอาพวงเหรียญออกมาพวงหนึ่ง เทออกนับ แล้วจึงโยนใส่ลงไปในถุง
“พรุ่งนี้พวกเราจะมาอีก หากเจ้าเลียนแบบได้ละม้ายเหมือนถูกใจ พวกเราจะให้เจ้าอีกสามสิบเหวิน”
กล่าวจบพวกมันก็เดินหัวร่อจากไป เสี่ยวเปารีบเข้าไปหามัน ร้องขึ้น
“ฉือเกอ คนพวกนั้นมิใช่ผู้ใจบุญ ต้องเป็นผีร้ายกลับชาติมาเกิด จึงสามารถกลั่นแกล้งผู้คนเยี่ยงนี้ได้”
อาฉือถ่มน้ำลายปนเลือดออกมา หัวร่อคำหนึ่ง “จะผีร้ายก็ดี ผู้ใจบุญก็ดี อย่างน้อยวันนี้เราได้เงินมาไม่น้อย สามารถช่วยหลายคนมิให้ต้องถูกหนิวต้าเกอโบยตีได้”
มันก้มลงจะเก็บเงินในถุง แต่ยังมิทันได้เอื้อมมือไปสัมผัส เงินในถุงก็ถูกรองเท้ามหึมาของคนผู้หนึ่งเหยียบเอาไว้ พอเงยขึ้นไปก็คล้ายมีภูเขาลูกหนึ่งมาตั้งขวางหน้าอยู่ก็ไม่ปาน อาฉือกัดฟันระงับโทสะแล้วกล่าว
“ต้าเอี๋ย (นายท่าน) มิทราบต้องการให้ข้าพเจ้าทำสิ่งใด?”
(มีต่อ)
เทพอสูรทะเลคลั่ง
ฉายานี้เพียงเอ่ยก็สะท้านสะเทือนแผ่นน้ำผืนดิน เนื่องเพราะเทพอสูรผู้นี้ เมื่อสามสิบปีก่อน อาละวาดไปทั่วทะเลโป๋ไห่ ใช้เวลาเพียงห้าปีก็สามารถกำราบพวกโจรสลัดทั้งหลาย ขึ้นเป็นหัวหน้าใหญ่ของพวกมันได้
ฟังว่าวิชาที่ท่านใช้เป็นการรวบรวมความโดดเด่นจากหลายคัมภีร์ฝีมือ หลังผ่านประสบการณ์การต่อสู้อันโชกโชน ที่สุดก็ได้บัญญัติออกมาเป็นวิชาเฉพาะตัว
เรียกว่าวิชาดาบสยบธารา และพลังปราณเคลื่อนสมุทร
ในบั้นปลายชีวิตท่านได้ถ่ายทอดวิชาให้กับบุตรชายทั้งเจ็ด แล้วหายสาบสูญ ว่ากันว่าในบรรดาทั้งเจ็ดคน มิมีผู้ใดสามารถบรรลุถึงแก่นแท้วิชาของท่านได้เลย นี่มิอาจตำหนิพวกมันละเลยการฝึกฝน มาตรแม้นพวกมันถือกำเนิดมาจากบิดาคนเดียวกันก็จริง แต่มิได้ถือพรสวรรค์เยี่ยงบิดาของมันติดมาด้วย
ถึงกระนั้นพวกมันทั้งเจ็ดคล้ายมีความถือดีว่าต่างล้วนเก่งกว่าผู้อื่น ดังนั้นภายในช่วงเวลาสามปีให้หลัง พวกมันถึงกับสังหารกันเองจนหมดสิ้น หลักวิชาฝีมืออันสะท้านสะเทือนแผ่นดินนี้ก็คล้ายดับสูญไป
กระทั่งเวลาล่วงเลยไปอีกสิบห้าปี ในแผ่นดินจงหยวนก็ปรากฏดาวเพชฌฆาตขึ้นมาผู้หนึ่ง วิชาที่มันใช้ถึงกับเป็นบัญญัติอันเฉพาะตัวของเทพอสูรทะเลคลั่งผู้นั้น!
ผู้คนเรียกขานมันเป็นเพชฌฆาตไร้หน้า พฤติการณ์ของมันก็คลุ้มๆ คลั่งๆ มิทราบเป็นดีหรือเป็นร้าย แต่ผู้ใดไหนเลยจะทราบ ที่จริงแล้วดาวเพชฌฆาตผู้นี้ มิได้เพิ่งออกสู่ยุทธจักรเป็นครั้งแรก เพียงแต่เมื่อห้าปีก่อน มันยังมิทันได้มีชื่อเสียง ก็ถูกคนผู้หนึ่งพิชิตลงไป คนผู้นั้นมีอ่อนวัยกว่ามันสองปี ยังมีฝีมือเลอเลิศพิสดารยิ่งกว่ามันเสียอีก
...............................................
ฝน... น้ำทิพย์ที่หยาดหยดลงจากฟากฟ้า หล่อเลี้ยงพืชพรรณธัญญาหาร บันดาลให้ผู้คนมีชีวิตที่แช่มชื่นแจ่มใส
ฝน... บางคราก็คล้ายหยาดน้ำตาแห่งความเศร้าโศก หลั่งไหลลงมาอย่างมิขาดสาย พิลาปรำพันต่อชะตาชีวิตที่โหดร้ายอย่างไม่หยุดยั้ง
บุรุษชุดดำยามนี้นั่งอยู่ในมุมที่มืดที่สุดของเหลาสุรา ด้วยสารรูปและพฤติการณ์ของมัน มิว่าก้าวเท้าไปแห่งหนใด ล้วนแต่เป็นที่สะกิดสายตาของผู้คนทั้งสิ้น บุคคลเช่นมัน เมื่อคิดพักหลบฝนในโรงเตี๊ยม ทางที่ดีควรเก็บตัวอยู่แต่บนห้อง เรียกผู้รับใช้นำส่งอาหารเพื่อมิให้พบกับเรื่องเดือดร้อนรำคาญใจ แต่มันกลับเลือกนั่งอยู่ในเหลาสุราที่มีผู้คนมากหน้าหลายตา อาศัยความมืดอำพรางร่องรอย เพื่อฟังการเสวนาของพวกประดานั้น เพียงหวังจะได้ยินร่องรอยของคนผู้หนึ่ง
มันทำเยี่ยงนี้มาเป็นเวลาถึงสองปี สองปีที่มันออกสู่ยุทธจักรอีกครั้ง เรื่องที่คนผู้นั้นกระทำต่อมัน มันมิเคยปริปากเล่าต่อผู้ใดมาก่อน แม้แต่เสี่ยวเปาที่สนิทสนมกับมันมากที่สุด มันก็มิเคยเอ่ยปากบอกเลย
เนื่องเพราะเรื่องที่บุคคลผู้นั้นกระทำต่อมัน เป็นเรื่องที่มิอาจบอกเล่าต่อผู้ใดได้จริงๆ
เสียงสายฝนตกกระทบหลังคา บางทีอาจดังยิ่งกว่าเสียงสนทนาในเหลาสุราด้วยซ้ำ ดังนั้น พวกมันจึงต้องตะเบ็งแข่งกับเสียงฝน ใจความล้วนเป็นเรื่องทั่วไป มีบ้างเกี่ยวกับการสังหารโหดที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อน บุรุษชุดดำฟังไปพลาง ดื่มสุราคีบกับใส่ปากไปพลาง จังหวะนั้น ประตูของเหลาสุราก็พลันถูกผลักเข้ามา ผู้ที่เข้ามาสวมชุดสีขาวปลอด ถือร่มน้ำมันคันใหญ่ บุรุษชุดดำเหลียวหน้าไปมอง หัวใจของมันพลันเต้นถี่ แทบมิอาจบังคับตัวเองมิให้ลุกพรวดขึ้นมา
.............................................
เมื่อสิบห้าปีก่อน ขอทานน้อยผู้หนึ่งอาศัยนั่งขอเศษเงินอยู่บนถนนเส้นที่คับคั่งจอแจที่สุดในลั่วหยาง มันตอนนั้นมีวัยเพียงเจ็ดขวบปี หน้าตาสกปรกมอมแมม เสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่ง ตั้งแต่จำความได้ มันรู้จักแต่การนั่งขอทานเท่านั้น ในแต่ละวัน จะมีชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งเรียกกันว่าหนิวต้าเกอ พาพวกมันตระเวนไปขอทานในจุดต่างๆ ตกค่ำจะพาพวกมันไปนอนเบียดเสียดกันในห้องด้านหลังของศาลเจ้าร้างในย่านซอมซ่อ บรรดาขอทานน้อยมีตั้งแต่อายุสามขวบไปจนถึงสิบขวบปี นับจำนวนได้ราวสิบยี่สิบคน นอนเบียดอัดกันอยู่ในห้องคับแคบ สภาพบางทียังอเนจอนาถกว่าลูกสุกรในเล้าเสียอีก
หนิวต้าเกอจะบอกจำนวนเงินที่พวกมันต้องขอให้ได้ในแต่ละวัน ผู้ใดหาได้ต่ำกว่าเกณฑ์จะถูกตีด้วยไม้ เหล่าขอทานน้อยเพราะกลัวถูกตีจับใจ จึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เงินมาครบจำนวน กระทั่งลักเล็กขโมยน้อยก็มี
ในบรรดาขอทานน้อยเหล่านี้ มีผู้หนึ่ง แม้ร่างกายผ่ายผอมแต่กระดูกของมันคล้ายหล่อหลอมมาจากเหล็กกล้า มันเป็นผู้หนึ่งที่แทบจะมิเคยหาเงินมาได้ครบตามจำนวนเลยแม้แต่หนเดียว เนื่องเพราะมันมักแบ่งปันเศษเงินที่หาได้ ให้กับบรรดาขอทานที่ตัวเล็กกว่ามัน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องถูกโบยตี ส่วนตัวมันเองยินยอมโดนโบยตีครั้งแล้วครั้งเล่า
ดังนั้น พวกขอทานอื่นๆ จึงเรียกมันเป็นอาฉือ (ฉือ – เมตตา)
ตอนนี้อาฉือกำลังนั่งมองถุงใส่เงินที่หว่างเอวของคนที่เดินผ่านไปผ่านมา พลางนึกกับตัวเองว่า หากมันขโมยมาได้สักถุงหนึ่งคงจะดีไม่น้อย แต่หากมันขโมยต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ นอกจากจะมิได้เงินในถุงแล้ว น่ากลัวต้องถูกกรมเมืองเอาไปโบยตีอย่างสาหัส ต้องสาหัสกว่าที่หนิวต้าเกอโบยตีมันแน่นอน
ระหว่างนั้นก็มีขอทานน้อยที่ตัวเล็กอย่างยิ่ง สกปรกมอมแมมอย่างยิ่ง ฟันหน้ายื่นพ้นขอบปาก วิ่งกระย่องกระแย่งมาทางมัน ส่งเสียงเรียก “ฉือเกอ” คำหนึ่ง ก่อนจะร่ำไห้เสียงดังสนั่น
อาฉือรีบดึงมันให้นั่งลง รอจนมันหยุดส่งเสียง จึงถาม “เสี่ยวเปา (เหยินน้อย) เกิดเรื่องใด หรือมีผู้ใดทุบตีเจ้า?”
เสี่ยวเปาสะอึกสะอื้นอยู่เป็นค่อนวัน ในที่สุดก็กล่าววาจาออกมาได้ “เสี่ยวเปา... เสี่ยวเปาโดนแย่งถุงเงินไปอีกแล้ว”
อาฉือปั้นหน้าเคร่งเครียดแล้วกล่าว “เป็นผู้ใดแย่งไปอีก เฮยเกอ? โฉ่วเกอ?”
เสี่ยวเปาผงกศีรษะ กล่าวต่ออีก “ทีแรกเสี่ยวเปามิยินยอมให้พวกมัน กอดถุงเงินไว้แน่นๆ อย่างที่ฉือเกอสอน พวกมัน... พวกมันก็เอาดอกหญ้ามาจั๊กจี้เสี่ยวเปา เสี่ยวเปา...”
กล่าวถึงตรงนี้ก็ร่ำไห้ออกมาอีก อาฉือฟังแล้วก็มิทราบสมควรจะหัวร่อ หรือร่ำไห้เป็นเพื่อนมันดี รออยู่ครู่ใหญ่จนมันเริ่มส่งเสียงสะอึกสะอื้นอีก จึงค่อยกล่าวปลอบ
“แล้วก็แล้วไปเถิด เจ้าก็มานั่งข้างฉือเกอที่นี่ รับรองพวกนั้นต้องมิกล้าเอาดอกหญ้ามาจั๊กจี้เจ้าอีกอย่างแน่นอน”
เสี่ยวเปาผงกศีรษะ ยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้า ระหว่างนั้นมีสตรีสองสามนางเดินผ่านมา แลเห็นพวกมันคล้ายพี่น้องสองคนกำลังปลอบกันอยู่ บังเกิดความเห็นใจจึงโยนเงินให้พวกมันคนละเหวินสองเหวิน เสี่ยวเปาเห็นแล้วก็มองพวกนางตาเป็นประกาย เอ่ยปากขึ้นทันที
“ขอบคุณเสียวเจี่ย (คุณหนู) ท่านจึงเป็นเทพธิดากลับชาติมาเกิดแท้ๆ”
ความจริงเสี่ยวเปาหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง ถึงสกปรกมอมแมมไปบ้าง แต่วาจาที่มันกล่าว แม้เรียบง่ายแต่ก็เป็นถ้อยคำรื่นหูที่ผู้ใดฟังแล้วย่อมไม่อาจหุบยิ้มได้ ดังนั้นพวกนางจึงโยนเงินให้มันอีก
ตรงข้ามจุดที่พวกมันนั่งขอทานอยู่ เป็นโรงเตี๊ยมใหญ่ ชั้นบนที่เปิดเป็นเหลาสุราของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ยังมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ตรงระเบียง เป็นบุรุษวัยราวห้าหกสิบปี รูปกายสูงใหญ่ผิดธรรมดา หนวดเคราก็เล็มเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีดั่งคหบดีสูงวัยที่ออกท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ สายตาของคหบดีสูงวัยผู้นี้กำลังจับจ้องไปยังขอทานน้อยสองคนที่นั่งอยู่ แน่นอนว่าขอทานน้อยทั้งสองมิได้รู้สึกตัวเลย
เสี่ยวเปาพอได้เงินมาก็มีสีหน้าดีขึ้น หันไปแย้มยิ้มกล่าวกับฉือเกอของมัน “ท่านดู พวกเราได้มา หนึ่ง... สอง... สาม... สี่... ได้มาถึงห้าเหวิน หากมีนางฟ้าผ่านมาอีกบ่อยๆ พวกเราก็ไม่ต้องถูกตีแล้ว”
อาฉือได้แต่ยิ้มฝืนตอบ ตอนนี้ก็ใกล้พลบค่ำแล้ว ‘นางฟ้า’ ที่เสี่ยวเปาพูดถึง ยิ่งนานจะยิ่งไม่มี มันก้มลงนับเงินในถุงของตัวเอง แล้วหยิบส่งให้เสี่ยวเปาจำนวนหนึ่ง
“เจ้าเก็บไว้ รอจนหนิวต้าเกอมาค่อยยื่นให้”
เสี่ยวเปารีบกล่าวขึ้น “แต่นี่มิใช่เงินของท่านดอกหรือ? ท่านให้เงินเสี่ยวเปาแล้ว ท่านก็ต้องถูกหนิวต้าเกอโบยตี เสี่ยวเปาไม่ต้องการเห็นท่านถูกโบยตี ผู้ที่สมควรถูกโบยตีที่จริงต้องเป็นเฮยเกอโฉ่วเกอคู่นั้นต่างหาก”
“เจ้ามิต้องกังวลแทนเราไป เราแน่ใจสักครู่ต้องมีผู้ใจบุญนำเงินมาให้ วันนี้ไม่ถูกหนิวต้าเกอโบยตีอย่างแน่นอน”
เสี่ยวเปามองมันด้วยความพิศวง แล้วยิ้มอีก “อย่างนั้นเสี่ยวเปาจะช่วยท่านอ้อนวอนผู้ใจบุญนั้นเอง”
‘ผู้ใจบุญ’ ที่อาฉือพูดถึง ปรากฏตัวหลังจากนั้นไม่นาน เป็นกงจื่อรุ่มรวยอายุเยาว์ที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสวยๆ งามๆ สองคน เดินมาพร้อมผู้อารักขาด้านหลังสองคนเช่นกัน อาฉือพอเห็นพวกมันสองคนก็ส่งเสียงเห่าทันที
“โฮ่ง!”
เสี่ยวเปาอ้าปากกว้างแทบจะกลืนไข่ห่านลงไปได้ ขณะที่กงจื่อคู่นั้นยืนหัวร่อจนตัวงอ ผู้อารักขาด้านหลังก็พลอยหัวร่อไปด้วย อาฉือส่งเสียงเห่าแล้วก็กล่าวขึ้น
“ข้าพเจ้าเห่าแล้ว ท่านยังคงต้องจ่ายสิบเหวินมาก่อน”
กงจื่อคู่นั้นหัวร่ออยู่อีกพักใหญ่ ก็ค่อยกล่าววาจาออกมา “เมื่อวานเจ้าเห่า เราจ่ายไปแล้วสิบเหวิน วันนี้เห่าอีกไฉนต้องได้อีกสิบเหวิน?”
“แต่ท่านบอกว่าถ้าข้าพเจ้าเห่าจะได้สิบเหวิน”
“เนื่องเพราะเมื่อวานกว่าเจ้าจะยอมเห่า ใช้เวลาเนิ่นนานอย่างยิ่ง วันนี้เห่าออกมาง่ายๆ ก็คิดจะรับเงินสิบเหวิน โลกนี้ไหนเลยมีเรื่องง่ายๆ เช่นนี้อยู่”
อาฉือพลันขมวดคิ้ว กล่าวสืบต่อ “ท่านหมายความเช่นไร”
“ความหมายคือ เจ้าใคร่ได้เงินมาก เจ้าก็ต้องกระทำเรื่องที่ผู้อื่นกระทำได้ยาก ยกตัวอย่างเช่น... วิ่งมาคลานสี่ขารอบพวกเราสักรอบหนึ่งเป็นไร”
อาฉือเม้มปาก นิ่งคิดอยู่อึดใจ ก็ก้มลงคลานสี่ขาไปรอบๆ กงจื่อสองคนนั้น ทั้งสี่คนยกมือกุมท้องหัวร่อ หนึ่งในกงจื่ออายุเยาว์กล่าวขึ้น
“ดีมากๆ นับว่าเจ้าดูเชื่องคล้ายสุนัขจริงบ้างแล้ว ก้มลงเลียรองเท้าเราหน่อยเป็นไร แล้วเราจะให้เจ้าเพิ่มอีกสิบเหวิน”
ใบหน้าของอาฉือกลายเป็นสีแดงก่ำด้วยความอับอาย แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังก้มหน้าลงไป ถึงกับแลบลิ้นเลียรองเท้ากงจื่อผู้นั้นจริงๆ กงจื่อรุ่มรวยผู้นั้นหัวร่อชอบใจ อาศัยจังหวะนั้น เตะใส่มันไปฉาดหนึ่ง อาฉือถึงกับกระเด็นถอยหลัง มุมปากปรากฏเลือดซึมออกมา เสี่ยวเปาเห็นแล้วก็หวีดร้องขึ้น
“ฉือเกอ!”
อาฉือยกมือขึ้นเช็ดโลหิตตรงมุมปาก ถลึงตามอง ขยับตัวเตรียมจะโถมเข้าใส่กงจื่อผู้นั้น แต่ถูกตวาดไว้
“อะไร แค่นี้เจ้าก็คิดจะกัดเราแล้วหรือ เงินยี่สิบเหวินก็ไม่คิดต้องการแล้วกระมัง”
ได้ยินประโยคนั้น อาฉือมีแต่ต้องกล้ำกลืนโทสะไว้ มันทรุดตัวลงนั่ง หอบหายใจแรง กงจื่อสองคนจึงพากันปรบมือ แล้วกล่าว “เยี่ยมมากๆ เจ้านับว่าเลียนแบบสุนัขได้ละม้ายเหมือนกว่าผู้ใดจริงๆ ดังนั้นพวกเราผู้ใจบุญ จะให้เงินเจ้ายี่สิบเหวิน”
กล่าวจบหนึ่งในสองของพวกมันก็ล้วงเอาพวงเหรียญออกมาพวงหนึ่ง เทออกนับ แล้วจึงโยนใส่ลงไปในถุง
“พรุ่งนี้พวกเราจะมาอีก หากเจ้าเลียนแบบได้ละม้ายเหมือนถูกใจ พวกเราจะให้เจ้าอีกสามสิบเหวิน”
กล่าวจบพวกมันก็เดินหัวร่อจากไป เสี่ยวเปารีบเข้าไปหามัน ร้องขึ้น
“ฉือเกอ คนพวกนั้นมิใช่ผู้ใจบุญ ต้องเป็นผีร้ายกลับชาติมาเกิด จึงสามารถกลั่นแกล้งผู้คนเยี่ยงนี้ได้”
อาฉือถ่มน้ำลายปนเลือดออกมา หัวร่อคำหนึ่ง “จะผีร้ายก็ดี ผู้ใจบุญก็ดี อย่างน้อยวันนี้เราได้เงินมาไม่น้อย สามารถช่วยหลายคนมิให้ต้องถูกหนิวต้าเกอโบยตีได้”
มันก้มลงจะเก็บเงินในถุง แต่ยังมิทันได้เอื้อมมือไปสัมผัส เงินในถุงก็ถูกรองเท้ามหึมาของคนผู้หนึ่งเหยียบเอาไว้ พอเงยขึ้นไปก็คล้ายมีภูเขาลูกหนึ่งมาตั้งขวางหน้าอยู่ก็ไม่ปาน อาฉือกัดฟันระงับโทสะแล้วกล่าว
“ต้าเอี๋ย (นายท่าน) มิทราบต้องการให้ข้าพเจ้าทำสิ่งใด?”
(มีต่อ)