กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: [1] 2 3 4 5 ... 10
1
Boy's love story / Re: Ginie Gin: Break the Curse จินนี่จิน คำสาปซ่อนรัก ๑๗ (26/03/2568)
« กระทู้ล่าสุด โดย KADUMPA เมื่อ 26-03-2025 11:31:37  »


“มันสำคัญอะไรกันนักหนาหรือไงเนี่ย ถึงต้องแถลงข่าวอะไรกันใหญ่โตขนาดนี้” เสียงผู้ชายคนหนึ่งเอ่ยถามแม่ค้าเจ้าของร้าน เมื่อเห็นว่าตรงนั้น มีคนจับกลุ่มกันอยู่หนาตา รอคอยสัญญาณถ่ายทอดสดมาที่หน้าจอโทรทัศน์ที่แขวนอยู่ด้านบน ในตลาดสดที่ปรับปรุงรูปแบบให้เป็น ตลาดนัดขายสินค้าดูแล้วทันสมัยมากยิ่งขึ้น

“นี่มันข่าวใหญ่คดีดังเลยนะเนี่ย” แม่ค้าเจ้าของร้านดังกล่าว ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าไม่ไกลจอทีวีนั้นตอบกลับมา ผู้ชายคนนั้นก็ยัง ไม่เข้าใจอยู่ดี พลางส่ายหัวให้กับคนที่ดูจะใจจดใจจ่อกับการตั้งโต๊ะแถลงนี้กันมากมาย “เขาว่ายังไงกันบ้างคะ” ลูกค้าคนที่กำลังรอเจ้าของร้านเอาของที่ซื้อใส่ในถุงพลาสติกให้ ถามขึ้นอีกคนด้วยความสนใจ

“ยังไม่รู้เลย สัญญาณถ่ายทอดสดยังไม่มา” แม่ค้าตอบ พลางเงยหน้าขึ้นดูที่หน้าจอโทรทัศน์ที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เข้าไปดูในเว็บไซต์ของสำนักข่าวที่รอการแถลง ก็ยังไม่เห็นพูดอะไร” แม่ค้าที่รอคอยข่าวใหญ่นี้อย่างตามติด บอกกับลูกค้าของเธอ “เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตขนาดนี้กันเชียวหรือ” ผู้ชายคนนั้นถามขึ้นอีก คราวนี้ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแคลนมากกว่าที่จะต้องการรู้เรื่องราวทั้งหมดจริง ๆ

“แค่กะเทยแปลงเพศคนเดียวเนี่ยนะ” ผู้ชายคนนั้นพูดขึ้น “ทำให้คนทั้งประเทศต้องเพี้ยน เป็นบ้าตามขนาดนี้” ปลายน้ำเสียงชัดเจนว่า เขาไม่เห็นด้วยที่คนในสังคมจะมาให้ความสำคัญอะไรกันเกินไปแบบนี้ “แต่นี่มันเกี่ยวกับคดีคนตายเลยนะคะ” ลูกค้าผู้หญิงที่เพิ่งรับถุงพลาสติกใส่ของที่เพิ่งซื้อมาจากแม่ค้า พูดขึ้นทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงของชายคนนั้น

“ทีคดีฆ่ากันตายคดีอื่น ผู้ชายแท้ ๆ ผู้หญิงจริง ๆ ได้มีถ่ายทอดสดอะไรแบบนี้กันทุกครั้งมั้ย” ชายคนนั้นถามขึ้น หากว่าจะเอาไปเทียบกันคนอื่น ๆ ทั่ว ๆ ไป “เห็นว่าคนนี้ เขาดังมากนะในโซเชียล มีคนติดตามไม่น้อย มันเลยเป็นที่สนใจกันเยอะ” ผู้ชายอีกคนที่เดินผ่านมาพอดี แล้วได้ยินการสนทนานี้ ได้กล่าวขึ้น

“เดี๋ยวนี้ก็เลยมีกะเทย ตุ๊ด แต๋ว เต็มไปหมด” ผู้ชายคนแรกยังคงไม่หยุดให้ความเห็นของตัวเองออกมา ทำให้ผู้หญิงสองคน ทั้งเจ้าของร้านและลูกค้าคนที่ถือถุงข้าวของอยู่ เริ่มมองสบตาแบบเป็นอันว่ารู้กัน ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ และนั่นน่าจะเป็นสิ่งเดียวกัน “เดี๋ยวออกทีวีบ้าง เดี๋ยวอยู่ในอินเทอร์เน็ตบ้าง ทั่วไปหมด ถึงว่าพากันให้ท้าย เลยเต็มบ้านเต็มเมือง คนสมัยนี้ก็พิลึกกันจริง ๆ” เสียงหัวเราะท้ายคำพูดของเขา ไม่ได้มาจากความรู้สึกที่เป็นไปในทางบวกอย่างชัดเจน

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้งคะคุณลุง” ลูกค้าสาวจงใจเรียกผู้ชายคนนั้นออกไปแบบนั้น “ที่เขาทำการไลฟ์สดแถลงนี่ ก็เพราะเขาแค่ต้องการแสดงความบริสุทธิ์ใจ ต้องการที่จะพูดถึงด้านเขาบ้าง ให้คนอื่นรับรู้ก็เท่านั้น” เจ้าของร้านพยักหน้าเห็นด้วยกับลูกค้าสาว “เออ พี่ก็คิดแบบนั้น มันไม่เกี่ยวกันหรอก ว่าจะกะเทยหรืออะไร” แม่ค้าเจ้าของร้านเสริมออกมา

“แต่เราก็ไม่รู้นะ ว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง เพราะมีแต่กะเทยนี่ ที่ได้ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวอยู่ด้านเดียว” ผู้ชายคนที่สองให้ความเห็นส่วนตัวเพิ่มเติม แบบที่ไม่ได้มีอารมณ์ส่วนตัวพ่วงเข้าไปด้วย “ก็เนี่ย ที่เรารอฟังกันอยู่ น่าจะมีหลักฐานอะไรมาแสดงด้วยแหละ ไม่งั้นจะมาแถลงข่าวกันทำไม” ลูกค้าผู้หญิงพูดความคิดเห็นในมุมของตัวเองออกมา แม่ค้าพยักหน้าเห็นด้วยตามอีกครั้ง

“เป็นตุ๊ดเป็นแต๋ว ทำตัวเป็นกะเทยกันไปหมด ไม่รู้คิดอะไรกันอยู่ เป็นตัวอย่างที่คนก็ดันเลียนแบบกันเข้าไป” ผู้ชายคนแรกยังไม่หยุดพูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกมา “แล้วลุงล่ะคะ เคยเห็นพี่เขาหรือเปล่า” ลูกค้าผู้หญิงคนดังกล่าว รู้สึกอดรนทนไม่ไหวกับผู้ชายคนนี้ ซึ่งคำตอบของผู้ชายคนนี้กับคำถามของเธอ ก็คือการพยักหน้าตอบรับว่าเคย

“ถ้าเคย แล้วงั้นลุงกลายเป็นกะเทยแบบพี่เขาไปแล้วสิท่า ถ้าแค่เห็นกะเทยออกทีวีก็เลียนแบบ เป็นกะเทยตาม ๆ กันไปน่ะ” น้ำเสียงของลูกค้าสาวนั้นขุ่นมัวไปด้วยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ส่วนแม่ค้าเจ้าของร้าน ที่รู้สึกสะใจไปกับคำพูดของลูกค้าสาว ก็ทำท่ายิ้มเยาะผู้ชายคนนั้น พลางส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ ในลำคออย่างพอใจ

“หมายถึงเด็ก ๆ ต่างหาก ที่ยังไม่รู้ความอะไร ก็โดนกะเทยพวกนี้ล้างสมองกันเสียหมด” ผู้ชายคนแรกตอบกลับไป เพราะรู้สึกไม่เข้าใจกับคำพูดของลูกค้าผู้หญิง ว่าจะต้องมารู้สึกโกรธอะไรเขา เพราะลูกค้าผู้หญิงคนนี้เอง ก็ไม่ได้เป็นญาติโกโหติกาอะไรกับกะเทยที่กำลังเป็นข่าวนั่น

“โอ๊ย ถ้ามีลูกแล้วสอนลูกให้ฉลาดพอที่จะแยกแยะอะไรเป็นอะไรไม่ได้ ก็อย่ามีเลยค่ะลูกน่ะ เพราะเดี๋ยวเด็กจะโง่ตามเราไปด้วย” น้ำเสียงของลูกค้าผู้หญิงเริ่มกระแทกกระทั้น และแสดงอารมณ์ไม่พอใจมากยิ่งขึ้น “ไม่มีลูกน่ะก็ดีแล้ว ให้ชายหญิงเขาได้หายใจหายคอบ้าง ไม่ใช่ว่าเอะอะอะไรก็จะให้คนอื่นเขาเอาใจ ทำตามใจ ไปเสียหมด พูดขัดคอขัดใจอะไรไม่ได้เลย แตะต้องไม่ได้” คราวนี้ผู้ชายคนแรกนั้น ก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เริ่มจะอารมณ์เสียด้วยเช่นกัน

“ว่าแต่มันคือเรื่องชู้สาวใช่มั้ยเนี่ย” ผู้ชายคนที่สองที่เดินมาพอดี แล้วร่วมวงสนทนาด้วย เปลี่ยนคำถามเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ และยับยั้งความตึงเครียดระหว่างลูกค้าหญิงและผู้ชายคนที่ยืนอยู่ก่อนเขาคนนั้น “ผู้ชายก็น่าจะมีชู้นั่นแหละ” พี่เจ้าของร้านพูดขึ้น “แล้วยังไง กะเทยก็เลยจัดการซะ แบบนั้นหรือ” ผู้ชายคนที่สองถามด้วยสีหน้างง ๆ

“กะเทยมันก็ชอบแต่จะจับผู้ชายแท้นั่นแหละ กับพวกเดียวกันกลับไม่สน มันก็ต้องเป็นปัญหา เมื่อผู้ชายก็ต้องเลือกผู้หญิงจริงอยู่แล้ว เพราะครอบครัวจะสมบูรณ์ได้ มันก็ต้องมีลูก พ่อแม่ลูก ผู้ชายผู้หญิงสร้างมันขึ้นมา” ผู้ชายคนแรกพูดออกมาเสียงดัง จนคนอื่น ๆ ที่รอดูการถ่ายทอดสดการแถลงข่าวนั้นหันมามองเป็นตาเดียวกัน

“โบราณคร่ำครึมากค่ะลุง ผู้ชายมีสิทธิ์เป็นฝ่ายเลือกได้คนเดียวหรือไงกัน คนอื่น เพศอื่นไม่สามารถเขี่ย อะไรนะ ชายแท้ของลุงทิ้งได้เลยหรือคะ ถ้าชายแท้ที่ว่านั่นน่ะ มันทั้งชั่ว มันทั้งมั่วไม่เลิก” ลูกค้าผู้หญิงของร้านแม่ค้า เริ่มจะเหลืออดกับผู้ชายคนนี้เข้าไปทุกที “กะเทยเอง มันก็มั่วได้นะน้อง เราเที่ยวออกตัวไปรับรองใครไม่ได้หรอก เรื่องแบบนี้ ยิ่งในโซเชียลด้วยแล้ว เขาก็ให้เราเห็นเรื่องที่เขาต้องการให้เราเห็นเท่านั้นแหละ” ผู้ชายที่เข้ามาสมทบวงสนทนา กล่าวเตือนลูกค้าผู้หญิง

“เราเหมารวมก็ไม่ได้ ไม่ว่าจะบอกว่าเขาดีหมด หรือเลวหมด” แม่ค้าเจ้าของร้าน พูดแบบว่าตัวเองเข้าใจในมุมนี้ของคนทั่วไปในสังคม “ไม่รู้ล่ะ สำหรับหนูนะ ถ้าผู้ชายมันสารเลว ตายไปก็ถือว่าทำความดีเป็นครั้งสุดท้ายก่อนลงนรก” ลูกค้าผู้หญิงพอรู้สึกว่า ไม่มีใครเข้าข้างจริง ๆ ก็ใช้ความรู้สึกที่ตั้งต้นมาจากประสบการณ์ส่วนตัว ตัดสินคดีนี้ให้ในทันที

แต่ก่อนที่วงสนทนาจะลุกลามใหญ่โต ตามคดีที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจไปมากกว่านั้น ภาพการถ่ายทอดสดที่รอกันอยู่ ก็แสดงบนหน้าจอโทรทัศน์ขึ้นมา ในนั้น ทุกคนเห็นศรุตานั่งอยู่ที่โต๊ะแถลงข่าว โดยที่อยู่ในชุดเสื้อสูทกางเกงสีขาว ตัดเย็บจากแบรนด์ดีไซเนอร์ชื่อดังระดับโลก ศรุตาใส่แว่นตาดำที่มาจากแบรนด์ดังจากต่างประเทศด้วยเช่นกัน โดยที่ศรุตานั้น ยังไม่ได้พูดอะไร โดยมีทนายความนั่งอยู่ข้าง ๆ

“มาครบกันทุกช่องแล้วใช่มั้ยครับ” เสียงทนายความก้มลงถามผ่านไมโครโฟนของช่องข่าวและสื่อออนไลน์ต่าง ๆ มากมายหลายสำนักหลายชื่อ ทั้งที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว และอีกมากที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก พอได้ยินทนายถามออกไป ก็มีสื่ออีกสองสามที่ เอาไมโครโฟนมาวางไว้รวมกับที่อื่น ๆ ที่วางไมค์ซ้อนทับกันมากมายอยู่ก่อนแล้ว

“ไอ้ทนายนี่ก็คงจะหิวเงินไม่ใช่เล่น ยอมทำทุกอย่างเพื่อเงิน ไม่ต้องสนว่าใครจะถูกจะผิด” ผู้ชายคนแรกไม่พูดเปล่า พลางชี้นิ้วไปที่หน้าจอโทรทัศน์ เมื่อภาพของทนายความคนนั้น เผยตัวเองออกมา “นี่ลุงไปรู้ได้ยังไง พูดจาไปเรื่อง แบบนี้ถ้าเขามาได้ยิน เขาฟ้องหมิ่นประมาทลุงได้เลยนะ” ลูกค้าผู้หญิงที่ตอนแรกคิดที่จะเดินออกไปจากวงสนทนานี้ แต่ก็ยังไม่ก้าวขาเดินออกไปอย่างที่ตั้งใจในทีแรกเสียที

“คอยดูเถอะ” ผู้ชายคนแรกรีบพูดตอบกลับมาในทันที “ดูหน้าก็รู้แล้ว ไม่มีพลาด” ชายคนเดิมพูดเพิ่มเติมขึ้นอีก “แล้วมีสิทธิ์อะไรอยู่ ๆ จะมาฟ้องกัน ถ้าสิ่งที่พูดเป็นความจริง” ชายคนแรกหันไปมองหน้าลูกค้าผู้หญิงคนนั้น “อ้าวลุง ก็ลุงไปพูดว่าเขาทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าน่ะ” แม่ค้าเจ้าของร้านที่ใช้สรรพนามเดียวกันกับที่ลูกค้าหญิงเรียก พูดกับผู้ชายคนแรกนั้น โดยที่ผู้ชายคนนั้น ไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม เมื่อทนายความในหน้าจอโทรทัศน์ เริ่มพูดอะไรบางอย่าง หลังจากที่ได้ยินนักข่าวจากสื่อช่องหนึ่งถามคำถามออกมา

“เรื่องคดีก็เป็นไปตามกระบวนการนะครับ” ทนายความพูดออกไมโครโฟน “คุณศรุตายืนยันในความบริสุทธิ์ของตัวเอง และมีหลักฐานแน่นอนในชั้นศาล ว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่น่าเศร้าเป็นอย่างมากนี้” ทนายความพูดบรรยายสิ่งที่เกิดขึ้นกับคดีที่เกี่ยวข้องกับลูกความของเขา อย่างที่ทนายความต้องทำ เพื่อปกป้องลูกความ

“มีแหล่งข่าวบอกมาว่า คุณศรุตาเองรู้ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว เกี่ยวกับพฤติกรรมของเจ้าบ่าว ไม่ทราบว่า คุณศรุตามีความเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ อยากจะพูดอะไรผ่านสื่อบ้างมั้ยคะ” นักข่าวอีกค่ายหนึ่งถามขึ้นในทันทีที่มีโอกาส “แหล่งข่าวที่ว่านี่ คือใครครับ พอจะเปิดเผยชื่อได้มั้ย” ทนายย้อนถามนักข่าวคนนั้นกลับไป

“แหล่งข่าวก็คือแหล่งข่าวค่ะ เราไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะแหล่งข่าวไม่ได้เกี่ยวกับคดีแต่อย่างใด” นักข่าวคนเดิมตอบกลับทนายที่กำลังยิ้ม ๆ เมื่อฟังสิ่งที่เขาเรียกว่าคำแก้ตัวนั้น “ใช่ครับ ในโซเชียลมีเดียก็พูดกัน คอมเม้นท์กันเยอะมาก” ใครอีกคนในกลุ่มของนักข่าวนั้นกล่าวเสริมขึ้น “แหล่งข่าวก็ควรจะมีความน่าเชื่อถือไงครับ ยิ่งผมได้ยินว่า นักข่าวเองไปหยิบเอาสิ่งที่คนซุบซิบกันในอินเทอร์เน็ต ผมว่าอันนี้น่าเป็นห่วงนะครับ” ทนายหัวเราะออกมาเบา ๆ เมื่อพูดแบบนั้นออกมา

“คุณศรุตายืนยันหนักแน่นนะครับ ว่าไม่มีส่วนรู้เห็นอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลย เพราะนี่ก็ทำให้คุณศรุตานั้นทั้งช็อก เสียขวัญ หวาดกลัว และเสียใจอย่างที่สุดกับการสูญเสียนี้” ศรุตาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กันกับทนายความยกมือที่กำผ้าเช็ดหน้าในมือเอาไว้จนแน่น ขึ้นแนบเข้ากับหน้าอกหน้าใจของเธอ เสียงนักข่าวรีบพยายามแย่งกันยิงคำถามใส่ในทันที เมื่อเห็นความเคลื่อนไหวนั้น

“คุณศรุตาอยากจะพูดอะไรหน่อยมั้ยครับ เพราะคดีนี้เป็นที่คดีที่สังคมให้ความสนใจเป็นอย่างมาก และอยากจะทราบความกระจ่าง เพื่อให้กลุ่มเพศทางเลือก ไม่ดูแล้วตกเป็นจำเลยทางสังคม ว่าเป็นเพราะมักมากในเรื่องอะไรแบบนี้เอง ยังไงก็ต้องจบลงด้วยความสูญเสีย ไม่มีทางจะสมหวังไปได้ ต่อให้มีกฎหมายสมรสเท่าเทียมรับรองแล้วก็ตาม คุณศรุตามีความเห็นอะไรบ้างมั้ยครับ ในมุมมองนี้” นักข่าวจากสำนักหนึ่งที่ดูจะมีชั่วโมงบินมามากพอสมควรถามขึ้น ทำให้สำนักข่าวอื่น ๆ หยุดนิ่ง และรอคอยที่จะฟังศรุตาตอบกลับมา

“นี่ไง อย่างน้อยก็มีนักข่าวที่ยังพอมีสติดี ๆ หลงเหลืออยู่บ้าง ไม่ใช่เฮละโลตาม ๆ กันไป กับเรื่องไร้สาระไปทั้งหมด” ผู้ชายคนแรกร้องออกมาอย่างเสียงดัง เมื่อได้ยินคำถามที่ถูกใจจากนักข่าวคนนั้น “แต่งแล้วเดี๋ยวก็หย่ากัน” ผู้ชายคนนั้นพูดต่อไปอีก “ผู้ชายผู้หญิง แต่งแล้วก็หย่ากันเยอะแยะ ไม่ได้ดีเด่มากไปกว่ากันเลย” ลูกค้าผู้หญิงคนนั้นสวนกลับในทันที “อ้าว ก็ถ้ามันไม่ดี แล้วพวกกะเทย ตุ๊ด แต๋ว จะมาทำตามทำไม” ผู้ชายคนแรกคนนั้นรีบตอบกลับไปเช่นกัน

“ลุงนี่ ไม่สามารถเห็นคนอื่นมีความสุขได้เลยใช่มั้ย เพราะมันก็เป็นเรื่องของเขาไม่ใช่เรื่องของลุงนะ ถ้าเขาจะแต่งงานกัน จะจดทะเบียนกัน ถ้ามันเป็นความสุขของเขา” ผู้ชายคนที่เข้ามาสมทบกับวงสนทนานี้ ยังอดรนทนไม่ไหว ต้องหันกลับมาถามผู้ชายคนแรกคนนั้นเช่นกัน เพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้สนับสนุนอะไรกับกลุ่มเกย์พวกนี้ แต่ก็คิดแค่ว่า ถ้าไม่ชอบก็แค่ไม่ยุ่งไม่เกี่ยวกันเท่านั้นก็คงพอแล้ว

ภาพในจอโทรทัศน์มีเหตุการณ์บางอย่างกำลังเกิดขึ้น เมื่อศรุตาที่ยังคงนั่งนิ่งเงียบอยู่ ยกมือที่ถือผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น ขึ้นเช็ดเมคอัพที่เธอลงเอาไว้ที่ตรงมุมปากด้านขวา ที่หันข้างให้กับกลุ่มนักข่าว ที่ถ้าเป็นมุมนี้ ราวกับจะรับรองว่า มันจะเป็นมุมที่เห็นได้ชัดที่สุด ก่อนที่แสงแฟลชจะวูบวาบจนแสบตาไปหมด เมื่อเมคอัพที่หลุดออก เผยให้เห็นถึงความช้ำที่เกิดจากการโดนอะไรบางอย่างกระแทกเข้าให้อย่างแรง

“อ้าว ดูกันให้เต็มตานะ พวกคุณ เห็นอะไรนั่นมั้ย” ผู้ชายคนแรกร้องตะโกน มีเสียงหัวเราะออกมาอย่างสะใจ ด้วยความที่ตัวเองรู้สึกว่าคิดถูกแล้ว ชี้นิ้วไปที่หน้าจอโทรทัศน์ “นั่นดูเหมือนว่ากำลังมีความสุขอยู่มั้ย” ทั้งหมดทุกคนในวงสนทนานิ่งเงียบ จ้องมองไปที่ศรุตาในหน้าจอโทรทัศน์ ที่ถอดแว่นตากันแดดนั้นออก แล้วเผยให้เห็นถึงรอยช้ำใหญ่ที่เบ้าตาข้างเดียวกันนั้น “ที่เห็นว่ากำลังร้องไห้ออกมานั่นน่ะ ต้องถามด้วยนะ ว่ากะเทยไปพูดอะไรหมา ๆ ใส่ผู้ชายเขาก่อนหรือเปล่า เขาถึงได้จัดให้อย่างสาสมแบบนี้” เสียงผู้ชายคนแรกคนนั้นกล่าวปิดท้าย

***********************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาไทย โดย KADUMPA

Harder to Breathe - MAROON 5

https://www.youtube.com/watch?v=_UWO89-eUKo


How dare you say that my behavior's unacceptable

กล้าดียังไงถึงบอกว่าพฤติกรรมของผมนั้นรับกันไม่ได้

So condescending, unnecessarily critical

ทั้งข่มเหงรังแก และแสนจะพูดจาเหน็บแนมจิกกัดโดยไม่จำเป็น

I have got the tendency of getting very physical

แถมผมยังมีแนวโน้มที่จะลงไม้ลงมืออีกต่างหาก

So, watch your step 'cause if I do you'll need a miracle

แบบนั้นแล้ว ก็จงระวังตัวให้ดี เพราะถ้าผมทำจริง คุณคงต้องสวดอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์

You drain me dry and make me wonder why I'm even here

คุณทำให้ผมรู้สึกหมดแรงกำลัง แถมยังต้องสงสัยตัวเองว่ามาทำอะไรอยู่ตรงนี้

This double vision I was seeing is finally clear

ไอ้ที่สองจิตสองใจอยู่ ก็ถึงกับได้คำตอบชัดเจนกันเลยทีเดียว

You want to stay but you know very well I want you gone

คุณอยากให้ผมอยู่กับคุณต่อ แต่ก็รู้ดีว่า ผมต่างหากที่อยากให้คุณไปซะ

Not fit to fuckin' tread the ground that I am walking on

ไม่เหมาะเลยสักนิดที่จะย่ำตัวเองอยู่กับที่ บนหนทางที่เดินกันอยู่


When it gets cold outside and you got nobody to love

เมื่อมันหนาวเหน็บจนเกินไปที่ข้างนอกนั่น และไม่มีใครให้แสดงความรักด้วย

You'll understand what I mean when I say

คุณจะเข้าใจกับความหมายที่มีกับที่ผมเคยได้บอกไป

There's no way we're gonna give up (yeah, yeah, yeah)

ว่าเราพูดกันว่าเราจะไม่ยอมเลิกร้างห่างไกล

And like a little girl cries in the face

ให้รู้สึกเหมือนกับเด็กหญิงตัวน้อยร้องห่มร้องไห้ขี้มูกโป่ง

Of a monster that lives in her dreams

หวาดกลัวกับสัตว์ประหลาดที่เห็นทุกครั้งในความฝันยามหลับตานอน

Is there anyone out there

มีใครบ้างมั้ยที่อยู่ที่ด้านนอกนั่นที่จะช่วยได้

'Cause it's getting harder and harder to breathe

เพราะมันเริ่มที่จะทรมานเมื่อหายใจติดขัดติดคอขึ้นทุกที

Is there anyone out there

มีใครบ้างมั้ยที่อยู่ด้านนอกนั่นที่จะมาสนใจ

'Cause it's getting harder and harder to breathe

เพราะมันเริ่มที่จะทรมานเมื่อหายใจไม่ออกมากขึ้นในตอนนี้


What you are doing is screwing things up inside my head

สิ่งที่คุณทำมันกำลังปั่นหัวผมให้เสียศูนย์ไปหมดแล้ว

You should know better you never listened to a word I said

คุณควรจะรู้ดีกว่าใครว่าคุณไม่เคยฟังกับสิ่งที่ผมพูดเลย

Clutching your pillow and writhing in a naked sweat

กดกระชับหมอนที่คุณหนุนจนแน่นจนร่างเปลือยเปล่าชักดิ้นกระแด่วกระแด่ว

Hoping somebody someday will do you like I did

ได้แต่หวังว่าสักวันใครสักคนจะทำแบบเดียวกันกับที่ผมทำ


When it gets cold outside and you got nobody to love

เมื่อมันหนาวเหน็บจนเกินไปที่ข้างนอกนั่น และไม่มีใครให้แสดงความรักด้วย

You'll understand what I mean when I say

คุณจะเข้าใจกับความหมายที่มีกับที่ผมเคยได้บอกไป

There's no way we're gonna give up (yeah, yeah, yeah)

ว่าเราพูดกันว่าเราจะไม่ยอมเลิกร้างห่างไกล

And like a little girl cries in the face

ให้รู้สึกเหมือนกับเด็กหญิงตัวน้อยร้องห่มร้องไห้ขี้มูกโป่ง

Of a monster that lives in her dreams

หวาดกลัวกับสัตว์ประหลาดที่เห็นทุกครั้งในความฝันยามหลับตานอน

Is there anyone out there

มีใครบ้างมั้ยที่อยู่ที่ด้านนอกนั่นที่จะช่วยได้

'Cause it's getting harder and harder to breathe

เพราะมันเริ่มที่จะทรมานเมื่อหายใจติดขัดติดคอขึ้นทุกที

Is there anyone out there

มีใครบ้างมั้ยที่อยู่ด้านนอกนั่นที่จะมาสนใจ

'Cause it's getting harder and harder to breathe

เพราะมันเริ่มที่จะทรมานเมื่อหายใจไม่ออกมากขึ้นในตอนนี้


Does it kill

มันเรียกว่าฆาตกรรมได้มั้ย

Does it burn

มันเผาทำลายล้างลงได้มั้ย

Is it painful to learn

มันรู้สึกเจ็บปวดหรือเปล่าที่ได้รู้ว่า

That it's me that has all the control

ว่าเป็นผมเองที่ควบคุมทุกอย่างเอาไว้ทั้งหมด

Does it thrill

มันทำให้รู้สึกตื่นเต้นเร้าใจใช่มั้ย

Does it sting

หรือมันทำให้รู้สึกปวดหนึบกันบ้าง

When you feel what I bring

เมื่อคุณรู้สึกรับรู้ถึงสิ่งที่ผมมอบให้

And you wish that you had me to hold

และคุณหวังคุณยังมีผมอยู่ในชีวิตให้ได้กอดสัมผัส


When it gets cold outside and you got nobody to love

เมื่อมันหนาวเหน็บจนเกินไปที่ข้างนอกนั่น และไม่มีใครให้แสดงความรักด้วย

You'll understand what I mean when I say

คุณจะเข้าใจกับความหมายที่มีกับที่ผมเคยได้บอกไป

There's no way we're gonna give up (yeah, yeah, yeah)

ว่าเราพูดกันว่าเราจะไม่ยอมเลิกร้างห่างไกล

And like a little girl cries in the face

ให้รู้สึกเหมือนกับเด็กหญิงตัวน้อยร้องห่มร้องไห้ขี้มูกโป่ง

Of a monster that lives in her dreams

หวาดกลัวกับสัตว์ประหลาดที่เห็นทุกครั้งในความฝันยามหลับตานอน


Is there anyone out there

มีใครบ้างมั้ยที่อยู่ที่ด้านนอกนั่นที่จะช่วยได้

'Cause it's getting harder and harder to breathe

เพราะมันเริ่มที่จะทรมานเมื่อหายใจติดขัดติดคอขึ้นทุกที

Is there anyone out there

มีใครบ้างมั้ยที่อยู่ด้านนอกนั่นที่จะมาสนใจ

'Cause it's getting harder and harder to breathe

เพราะมันเริ่มที่จะทรมานเมื่อหายใจไม่ออกมากขึ้นในตอนนี้
2
นิยายที่โพสจนจบแล้ว / Re: ✻✻ ค ว้ า เ ดื อ น ✻✻ Chapter 7 P.6 [27.04.2018]
« กระทู้ล่าสุด โดย Xiaoyongyi เมื่อ 25-03-2025 21:34:18  »
 :laugh3:



ผมรู้ว่าเวลานี้คงเป็นเวลาใกล้เช้าแล้ว อาจจะประมาณสักตีห้าได้


ไม่ว่าจะพยายามข่มตายังไงก็หลับไม่ลงทั้งคืน ได้แต่หลับๆ ตื่นๆ อยู่ตลอด เพราะงั้นตอนที่คนที่นอนด้านล่างเตียงลุกขึ้นมาเก็บของในความมืด ผมถึงรู้สึกตัว


ทว่าเปลือกตายังคงปิด ยามที่กายสูงใหญ่มานั่งลงข้างเตียง


กลิ่นกายหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของครามอวลเข้าจมูก ลมหายใจร้อนรินรดเหนือหน้าผาก รู้สึกถึงปลายจมูกโด่งที่ลากผ่านจากกลางหว่างคิ้วไล้ลงมาตามสัน ก่อนเคลื่อนไปยังซีกแก้มซ้าย น่าจะเป็นแพขนตายาวที่ระไปตามผิวยามคนด้านบนกระพริบตา


ความนุ่มและชุ่มชื้นบดเบียดที่ริมฝีปาก กลีบปากบนถูกกัดเม้มและดุนดึง ก่อนที่กลีบปากล่างจะถูกทำแบบเดียวกัน แล้วเจ้าของลมหายใจร้อนก็ผละออกไป เบนเป้าหมายไปที่ข้างลำคอ


เผลอขยับตัวและส่งเสียงจากในคอเมื่อถูกคมฟันขบกัด เนื้อกายตรงจุดที่ถูกเม้มร้อนผ่าว


รู้สึกเจ็บและจักจี้นิดๆ ไม่นานนักครามก็ลุกออกไป


สองหูได้ยินเสียงประตูห้องงับปิด หลังจากแน่ใจแล้วว่าเดือนร่างสูงออกไป ผมก็ลุกพรวดขึ้นมานั่ง


หัวใจเต้นโครมครามไม่หยุด มันเต้นแรงจนเจ็บแปลบๆ


ผมนั่งกอดเข่าบนเตียง ใบหน้าซุกลงกับขา ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะทำยังไงต่อไป

.

.

 

ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมรู้สึกเหมือนถูกครามเมิน


ปกติเราต้องได้เจอหน้ากัน คุยกัน กินข้าวด้วยกัน แต่นี่โทรศัพท์ส่วนตัวผมไม่มีสายเข้าสักสาย ไม่มีข้อความสักข้อความ เวลาที่ไปกินข้าวเป็นกลุ่มใหญ่ เห็นหน้ากันก็แค่พยักหน้าทักทาย


ไม่สิ จะว่าปกติก็ไม่ถูก แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าปกติ


...ก็แค่กลับไปเป็นเหมือนเดิมเท่านั้นเอง จะคิดอะไรมากห้ะแดน?


ก็แค่กลับไปเป็นคนที่รู้จักกันเผินๆ ไม่ได้คุย ไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกัน เมื่อก่อนผมก็อยู่ได้ไม่มีปัญหาอะไรซะหน่อย


แต่ทำไมหัวใจถึงได้รู้สึกโหวงๆ ขนาดนี้นะ...


“นี่จะนั่งซึมไปอีกนานมั้ย?”


หนึ่งทัก เมื่อเห็นผมเอาแต่นั่งซึมกะทือไร้วิญญาณ


“ซึมอะไร ไม่ได้ซึม” ตอบไป แต่น้ำเสียงบ่งบอกตรงกันข้าม


“ไม่ซึมแล้วมาทำหูตกหางตกแบบนี้เนี่ยนะ? บอกใคร ใครเค้าจะเชื่อ บอกมาตรงๆ ดีกว่าว่าเกิดอะไรขึ้น”


“......”


“เพราะอ่อยเดือนถา’ปัตย์ไม่ติดเหรอ”


ผมส่ายหน้า เพราะไม่ได้แม้แต่จะอ่อยด้วยซ้ำ


“อ้าว ถ้างั้นเพราะอะไร บอกมาสิ จะได้ช่วยคิดได้ว่าจะทำยังไง”


“ไม่มีอะไรหรอก”


“ไม่เชื่อ”


ใบหน้าขาวๆ ขยับเข้ามาใกล้ ตาโตถลึงมองอย่างคาดคั้น


สุดท้ายผมก็ถอนหายใจ และเล่าให้หนึ่งฟังเท่าที่จะเล่าได้ ผมรู้ว่าหนึ่งจะไม่บอกใคร และหนึ่งก็เป็นคนที่ผมเชื่อใจ เหมือนกับที่เขาก็เชื่อใจผมเหมือนกัน


“ก็...ยกตัวอย่างเฉยๆ นะ สมมติว่ามีคนที่เราเคยคุยกันทุกวัน ทำอะไรด้วยกันบ่อยๆ อยู่ๆ ก็หายไปไม่คุยกับเรา มันเป็นเพราะอะไรเหรอ?”


“บอกแล้วไม่เชื่อว่าไอ้เดือนนั่นมันไม่จริงใจ ดูซิ มาหลอกอยากแล้วก็ทิ้ง!”


พอผมซึมกว่าเดิม หนึ่งก็เลยพูดต่ออย่างจริงจัง


“ที่เค้าไม่คุย ไปทำอะไรให้โกรธรึเปล่าล่ะ”


เรื่องที่ผมไม่ได้ให้พาสเวิร์ดเขาเพื่อใช้คอมพิวเตอร์แวบเข้ามาในหัว


“ถ้าเราทำผิด ก็ต้องขอโทษนะรู้มั้ย...แต่จริงๆ ก็อาจจะไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายโกรธเลยไม่คุยเสนอไปนะแดน”


เห?


ผมทำท่าสนใจกว่าเก่า ว่าทำไมหนึ่งถึงพูดแบบนั้น


“ไม่เคยดูหนังเหรอ หรือเข้าเวบบอร์ด ฟังพี่อ้อยพี่ฉอด? บางคนนะ ถ้าอยากจะเรียกร้องความสนใจจากเรา ก็จะทำเป็นเมินเรา เพื่อให้เราเข้าหาก่อนไง”


คิ้วผมชนกันทันที


“ก่อนหน้านี้ ใครเป็นคนโทรหาก่อน แดน หรือเดือนนั่น?”


“ค..คราม...”


“แล้วใคร ที่เป็นคนเริ่มชวนไปไหนต่อไหนก่อน?”


“ส่วนมากก็คราม...เฮ้ย เรายังไม่ได้บอกเลยนะว่าหมายถึงใคร?”


รู้สึกเหมือนถูกหลอกถามเลยอะ


“ไม่ต้องมาอ้อมค้อมแล้วแดน...มองจากพระจันทร์ยังรู้ว่าเดี๋ยวนี้แดนสนิทกับใคร ไปไหนกับใคร”


“......”


“เอาล่ะ พูดตรงๆ เลย เราว่าเดือนนั่นน่ะ ลองใจแดนอยู่”


ลองใจ?


“ก็ที่แดนบอกมาว่าฝ่ายนั้นเค้าเป็นคนคุยก่อนชวนก่อน ถ้าแดนไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มเลย เป็นใครก็เซ็งมั้ย?”


“......”


“เลยลองหายไป ให้แดนเป็นฝ่ายตามบ้าง”


ที่หนึ่งพูดก็ดูมีเหตุผล แต่ครามจะรู้สึกอย่างงั้นจริงเหรอ? ให้บอกว่าเขาโกรธผม ยังจะน่าเชื่อกว่าอีก


“ถึงเราจะไม่ชอบเดือนทั้งโลก แต่เราจะไม่เข้าข้างแดนในเรื่องนี้นะ ถ้าแดนแคร์ฝ่ายนั้น ก็ไปคุยให้รู้เรื่อง คนเราไม่ควรปล่อยให้ใครเป็นฝ่ายไล่ตามอยู่ฝ่ายเดียว”


นี่ครามเป็นฝ่ายไล่ตามผมเหรอ? หนึ่งเชื่อมั่นในหน้าตาเพื่อนเกินไปรึเปล่า?


“แต่! ถ้าไม่อยากเจ็บ ไม่อยากไปต่อ ก็ไม่ต้องไปคุย ปล่อยไว้งี้แหละ จะได้รู้บ้างว่าไม่ใช่ทุกคนจะไปวิ่งตามเดือน!”


ประโยคนี้หนึ่งเริ่มใส่อารมณ์


ผมเองก็ไม่ได้เห็นด้วยกับหนึ่งทุกอย่างหรอก แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อก็คือ


ถ้าเราทำผิด ก็ควรเป็นฝ่ายไปขอโทษ ไม่ใช่รอให้ฝ่ายนั้นมาหาเรา


แล้วผมตัดสินใจได้ ว่าผมจะไปขอโทษคราม

.

.





ในตอนเย็น ผมมาด้อมๆ มองๆ อยู่แถวตึกสถาปัตย์ ยืนดักรอตรงทางเดินที่นักศึกษาจะต้องเดินผ่าน


ผมรู้ว่าวันนี้ครามเลิกคาบสุดท้ายเวลานี้ อีกไม่นานก็คงจะเดินออกมา


ระหว่างที่ยืนเหงื่อแตกอยู่นั้น ผมรู้สึกถึงสายตาของคนมองมาไม่หยุด ยิ่งทำให้ประหม่าและเครียดหนักกว่าเดิม


สองมือสอดประสานกุมกันไว้ด้านหน้าแน่น หัวใจเต้นแรงด้วยความกังวล เมื่อสายตาเห็นเดือนคณะสถาปัตย์เดินออกมากับกลุ่มเพื่อน ผมก็ก้าวขาสั่นๆ ไปหา


หยุดยืนอยู่หน้ากลุ่มของคราม มือยกทักทายไป ทว่าริมฝีปากกลับพูดอะไรไม่ออก


เพื่อนของครามเป็นคนสังเกตเห็นผมก่อน


“อ้าว มีใครมาหาพี่ครามของเราว่ะ”


“มีแฟนคลับมาตามถึงคณะเลยเว้ย”


“แฟนคลับหรือสตอล์กเกอร์วะ ฮ่าๆ”


กลุ่มนักศึกษาชายโหวกเหวกกันเสียงดัง ปากที่ยิ้มเจื่อนๆ ของผมถึงกับยิ้มไม่ออก


นัยน์ตาของเดือนร่างสูงมองผมนิ่ง สีหน้าไม่ยิ้มแย้ม ผมจึงยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเล็กลีบ ใบหน้าก้มมองต่ำ


“ไอ้คราม ตกลงจะไปกับพวกกูต่อป่าว” แล้วหนึ่งในกลุ่มนั้นก็เอ่ยเร่ง


“ไปสิ”


แล้วครามก็ก้าวมายืนเผชิญหน้ากับผม เป็นเวลานานที่ผมไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า จนกระทั่งคนตรงหน้าส่งเสียง


“มีอะไรรึเปล่าแดน”


รู้สึกเหมือนมีก้อนบางอย่างติดอยู่ในลำคอ


“ถ้าไม่มี เราไปก่อนนะ”


“ด..เดี๋ยว”


โพล่งออกไปก่อนที่เดือนร่างสูงจะหันหลังเดินจาก ครามหันมามองและรอให้ผมเอ่ย


“ครามจะกลับกี่โมงเหรอ เรามีเรื่องอยากคุยด้วย...”


“ไม่รู้สิ สามสี่ทุ่มมั้ง”


“ง..งั้นเราไปรอครามที่คอนโดได้มั้ย”


ครามนิ่งเงียบไม่ตอบ จนผมคิดว่าตัวเองจะถูกปฏิเสธ แต่สุดท้ายเขาก็เอ่ย


“แล้วแต่”


คำตอบของอีกฝ่ายเป็นการตอบตกลงกลายๆ รึเปล่า?


เดือนคณะสถาปัตย์ไม่เอ่ยอะไรต่อ หันหลังและเดินไปกับกลุ่มเพื่อนหลังจากนั้น


.

.



การรอคอยมันทรมานอย่างนี้เอง


ผมมานั่งรอที่ล็อบบี้คอนโดของครามได้มากกว่าสามชั่วโมงแล้ว ตั้งแต่สามทุ่ม จนตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าๆ


ในหัวเริ่มคิดกังวล เพราะครามไม่เคยผิดเวลาสักครั้ง เขาเป็นคนตรงเวลาเสมอ หรือถ้าติดอะไรก็จะบอกก่อน


นี่เขาไปเจออุบัติเหตุรึเปล่า?


หัวใจผมระส่ำระส่าย ทั้งเป็นห่วง ทั้งเครียด


หรือว่าที่จริงคำว่า ‘แล้วแต่’ ของคราม ไม่ใช่คำตอบรับ? เขาแค่ไม่อยากเจอผมใช่ไหม โกรธ? หรือเบื่อแล้ว?


ในอกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก และในความอึดอัดก็แทรกไว้ด้วยความเจ็บแปลบ


เวลาเที่ยงคืนครึ่ง


สายตาที่มองเหม่อไปยังประตูทางเข้าคอนโดมองเห็นคนร่างสูงเดินเข้ามา ไม่จำเป็นต้องเห็นหน้าชัดก็รู้ว่าเป็นคราม ชั่วขณะนั้นผมคิดว่าถ้าเขาเดินผ่านผมไป ไม่หยุดทักจะทำยังไง


โชคดีที่ครามเดินมาหยุดตรงหน้าผมที่กำลังมองเขาอย่างเลื่อนลอย


ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีทีท่าแปลกใจเลยสักนิดที่ผมมานั่งรอ


“ยังรออยู่อีกเหรอ”


“......”


ลมหายใจชะงักเมื่อได้ยิน ในหัวตื้อไปหมด ปลายนิ้วสั่นไหว จนต้องรีบกำมือแน่นเพื่อไม่ให้สั่นไปมากกว่านี้


ไม่รู้ทำไม ถึงรู้สึกร้อนผ่าวที่จมูกและกระบอกตา เบื้องหน้าเริ่มเป็นภาพไม่ชัดเจน และก่อนที่ความเปียกชื้นจะซึมออกจากดวงตา ครามก็เข้ามาดึงให้ผมเดินตามเขาไป


ผมสูดจมูกที่รู้สึกแสบร้อน เดินไปตามแรงของมือใหญ่เข้าไปในลิฟต์


เรามาถึงในห้อง และหยุดยืนอยู่หน้าประตู บรรยากาศรอบตัวกดดันให้หายใจไม่ค่อยจะออก ยิ่งต่างฝ่ายต่างเงียบ ยิ่งรู้สึกอึดอัด


“คราม...เราขอโทษ...”


เมื่อน้ำเสียงหลุดจากลำคอ ความรู้สึกอัดอั้นที่กักเก็บก็เหมือนจะเก็บไว้ไม่ไหว ดวงตาพร่ามัวอีกครั้ง


“ขอโทษเรื่องอะไร”


“เรื่องที่...เราไม่ได้บอกพาสเวิร์ดกับคราม”


ผมก้มหน้าเบี่ยงไปทางอื่น ไม่อยากให้เขาเห็นสีหน้าของผมในตอนนี้ที่คงดูไม่จืดเอาซะเลย


“ทำไมแดนถึงคิดว่าตัวเองผิด”


“......”


“เรื่องนั้นแดนไม่ผิดเลย”


...แล้วทำไมครามถึงไม่คุยกับเราล่ะ? ทำไมถึงเมินเฉย เกลียดเราแล้วเหรอ หรือเบื่อแล้ว?


ผมอยากถามออกไป แต่ก็ถามไม่ออก


“แดน”


ผมสะดุ้ง เมื่อกายสูงใหญ่เข้ามาใกล้ ความตกใจทำให้ก้าวเท้าถอยจนแผ่นหลังผมชนกับประตู


“แดนร้องไห้ทำไม”


“ป..เปล่า ไม่ได้ร้อง”


ปฏิเสธอย่างไม่เข้าใจเหตุผลเหมือนกัน


“โกหก”


แล้วสองมือของครามก็เข้ามารวบตัวผม ใบหน้าของผมซบอยู่กับแผ่นอกเขา


“แดนเสียใจเรื่องอะไรถึงได้ร้องไห้ บอกหน่อยได้ไหม?”


น้ำเสียงทุ้มอ่อนลง ริมฝีปากอุ่นโน้มเข้ามากระซิบข้างหู


“เพราะเรามาหาแดนช้ารึเปล่า?”


ผมส่ายหน้า หน้าผากยังพิงอยู่กับแผงอกกว้าง


“ถ้างั้นเพราะอะไรล่ะแดน”


สองแขนของคนร่างสูงกอดผมแน่นขึ้น ความเปียกชื้นจากดวงตาซึมไปกับเสื้ออีกฝ่าย


“เรา...ไม่อยากให้ครามไม่คุยกับเรา ไม่อยากให้เมินเฉย...ไม่อยากให้เบื่อ”


“ทำไมถึงไม่อยากให้ทำอย่างนั้นล่ะ บอกเราหน่อยนะ”


ลมหายใจอุ่นรินรดข้างแก้ม เสียงทุ้มหวานและอ่อนโยนไม่เย็นชาเหมือนก่อนหน้า หากติดจะออดอ้อนนิดๆ


ผมสูดน้ำมูก พร้อมกับกลืนคำพูดลงคอ


“แดน...”


คราวนี้ครามผละตัวออกไปเล็กน้อย ดวงหน้าหล่อเหลาก้มลงมองผม มือใหญ่จับใบหน้าผมให้เงยขึ้นประสานสายตา


ความร้อนผ่าวรอบกรอบตาถูกซับออกไปแล้ว ผมจึงมองเห็นใบหน้าของครามชัดเจน


ไม่เคยเห็นเขาทำหน้าแบบนี้มาก่อน ดวงตาคมจ้องมองผมอย่างเว้าวอน เพียงแค่เห็น หัวใจของผมก็อ่อนยวบ


“เรา..เราชอบคราม...”


ผมเอ่ยออกไป โดยที่คนตรงหน้าตอบรับผมด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนและเจิดจ้า ยิ่งกว่ารอยยิ้มที่ส่งทอดมาให้ผมในเช้าวันนั้น


.

.


CONT.



TALK มาแล้วค่า ขอบคุณที่ติดตามพี่ครามกับน้องแดนนะก๊ะ ตอนนี้ก็จะอึนๆ หน่อย แต่ก็ไม่มากหรอกเนอะ ส่วนตอนหน้าพิครามก็จะชัดเจนแล้วนะ ไม่รู้มีใครรอเหมือนไรท์รึเปล่า
[/quote]


ทำไมคาแรคเตอร์นายเอกดูเปลี่ยนไปอ่ะ ทำไมน้องดูนุ่มนิ่มจัง
3
กดตรงลูกโลกตรงprofileด้านซ้ายได้เลยค่ะ  :กอด1: :3123: :L2:
4
2025แล้ววววว ก็ยังกลับมาอ่านอีกรอบ  :mew2: :mew2: อยากให้คุณพ่อบ้านของผมเอาไปทำเป็นซีรีย์จัง  :mew6:
5
Boy's love story / Re: กระทู้นิยายแนะนำ...เรื่องนี้ต้องอ่าน!
« กระทู้ล่าสุด โดย PKUT เมื่อ 22-03-2025 21:59:40  »
ตามหานิยายค้าา  o18
เป็นเรื่องที่ครอบครัวนายเอกเป็นนักวิทยาศาสตร์แล้วทดลองไดโนเสาร์ซึ่งเป็นพระเอกที่กลายร่างเป็นคนได้ค่ะ
6
Boy's love story / Re: ทีเซอร์ ๑๓. Saving Private Drag Queens นางโชว์ระทึก CANDYMAN 22-03-2568
« กระทู้ล่าสุด โดย KADUMPA เมื่อ 22-03-2025 08:10:25  »


“หมวดระริน งั้นพวกผม” เจ้าของชื่อหันไปมองทางด้านเสียง ที่กลุ่มของลูกทีมของผู้นำทีมอย่างหมวดรินเอง “ขอกลับกันก่อนนะครับ” ทำท่าทีลังเลที่จะเข้ามาพูดกับผู้หมวดต่อหน้า จากการที่ทั้งหมดทุกคนในทีม ต้องทำตามที่ผู้กองอติออกคำสั่ง ไม่ยอมให้ทีมเข้ามาช่วยเฉลยให้ผู้หมวดระรินรู้ว่า ทั้งหมดนี้ เป็นแผนที่ผู้กองอติวางไว้ แล้วให้เหตุผลว่า เพื่อต้องการให้ผู้หมวดระรินรู้ถึงความอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น ด้วยความที่แผนนี้มีแต่ช่องโหว่ ไม่ได้เป็นผลมาจากที่ผู้กองอติ ต้องการให้มันล้มเหลวแต่อย่างใด

“ไปเหอะ” ผู้กองระรินตอบกลับลูกทีมไป ทำท่าโบกมือให้ทั้งหมดกลับไปได้เลย โดยที่ก่อนหน้านี้ ลูกทีมของผู้หมวดระรินต้องเข้ามาช่วยกัน ดึงตัวผู้หมวดที่กำลังโกรธเกรี้ยวถึงขั้นสุดเลยก็ว่าได้ ให้อยู่ห่างจากผู้กองอติ ที่เพิ่งหงายหลังล้มลงไปกองอยู่บนพื้นเสียงดังโครมใหญ่ เมื่อคนตัวเล็กกว่าอย่างผู้หมวดระริน ลอยตัวประเคนหมัดเข้าให้ที่ปลายคางของฝ่ายผู้กอง เพราะถ้าไม่ช่วยกันลากตัวผู้หมวดระรินออกมาสงบสติอารมณ์ มีหวังฝ่ายผู้กองอติน่าจะมากกว่าได้เห็นดาวลอยอยู่เต็มท้องฟ้า ในคืนเดือนมืดแบบนี้

ตอนแรกผู้หมวดระรินก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ โวยวายใส่ลูกทีมจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง ที่สถานการณ์กลับกลายออกมาเป็นแบบนี้ แต่พออาการหัวร้อนนั้นเย็นลง และค่อย ๆ กลับสู่ตัวตนจริง ๆ ของผู้หมวดระรินจริง ๆ ได้เห็นสีหน้าของลูกทีมที่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่มียศสูงกว่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อความปลอดภัยและอยู่รอดต่อไปของเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้น้อย ผู้หมวดรินก็พอจะเข้าใจว่าอะไรมันเป็นอะไร

“หมวดริน ไม่เป็นอะไรนะครับ” หนึ่งในลูกทีมพูดกับเจ้าของชื่อ ก่อนจะพากันเดินออกไปจากบาร์นางโชว์ “เออ” เมื่อได้ยินผู้หมวดรินพูดกลับมาเพียงสั้น ๆ คำเดียว ด้วยตอนที่ผู้กองอติหายมึนงงจากการโดนหมัดลุ่น ๆ ซัดเข้าปลายคางเข้าให้แบบนั้น ก็ดูจะฉุนเฉียวอยู่ไม่น้อย ที่ถูกผู้หมวดระรินไม่ไว้หน้าแบบนั้น จนสั่งการเสียงดังลั่น ยกเลิกภารกิจนี้โดยไม่มีกำหนด และประกาศจะเอาเรื่องผู้หมวดระรินอย่างถึงที่สุด ก่อนจะเกณฑ์บรรดานางโชว์ที่กลับที่บาร์แล้วเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี รวบรวมไปเป็นพยานที่สำนักงานสืบสวนด้วย

ผู้หมวดระรินนั่งอยู่ที่หน้าบาร์ มองไปรอบ ๆ เห็นว่าเครื่องไม้เครื่องมือเกือบทั้งหมด ถูกเคลียร์ออกและขนย้ายไปจากบาร์จนเกือบหมดแล้ว ตามคำสั่งของผู้กองอติ ผู้หมวดรินชะโงกหน้าข้ามบาร์ชงเหล้าข้างหน้านั้นไป ก่อนจะคว้าเอาเหล้าติดมือมาขวดหนึ่ง มันยังไม่ได้ถูกเปิดฝา หมวดระรินเอื้อมไปทางขวามือจนสุดแขน ก่อนจะใช้นิ้วเกี่ยวเอาแก้วเปล่า ลากมาจนหยุดอยู่ที่ด้านหน้าตัวเอง

“ผมนั่งด้วยได้มั้ยครับ” หนุ่มตี๋หน้าตาดีสวมแว่นดูแล้วออกแนวเนิร์ด ๆ ที่ก่อนหน้านี้ โผล่มาเห็นเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวาย ถามผู้หมวดระรินที่หันมามอง ก่อนจะหันกลับไปเปิดฝาขวดเหล้า แล้วรินมันใส่ลงไปเกือบครึ่งแก้ว “ทำไมยังอยู่ที่นี่อีก” ผู้หมวดระรินถามออกไป เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินมานั่งที่เก้าอี้ตัวข้าง ๆ กัน ที่หน้าบาร์เหล้านั้น ก่อนจะหันมาจ้องหน้าหนุ่มแว่นคนนั้น ที่ส่งยิ้มกว้างมาให้

“ผมบอกแล้วว่าผมมาหาเหล้ากิน” หนุ่มแว่นหน้าตี๋ยื่นแก้วที่ถืออยู่ในมือไปให้ผู้หมวดระริน ที่มองหนุ่มตี๋แว่นอยู่ก่อนแล้ว ทำหน้าเหนื่อยหน่ายออกไปให้เห็น แต่ก็ยกขวดเหล้ารินใส่แก้วในมือหนุ่มตี๋แว่นนั่นให้ “เพียว ๆ นะ ไม่มีน้ำแข็ง” แทนคำตอบ หนุ่มตี๋แว่นยิ้มกว้างรับ มองไปที่น้ำสีอำพันสวยในแก้วนั้น “กำลังคอแห้งเลย” ไม่ต้องคะยั้นคะยอ หนุ่มตี๋แว่นยกแก้วเหล้านั้นขึ้นดื่มอึกใหญ่

“โอเคขึ้นแล้วใช่มั้ยครับ” หนุ่มตี๋แว่นถาม ก่อนทำท่าเหวี่ยงหมัดตรงไปข้างหน้า พร้อมทำเสียงหมัดลุ่น ๆ ปลิวไปในอากาศ ก่อนจะทำหน้าตาเหยเก เหมือนกับว่าตัวเองโดยชกเข้าที่ใบหน้านั่นเสียเอง “กระโดดปล่อยหมัดกลางอากาศ อย่างโหด” หนุ่มตี๋แว่นพูดด้วยอาการกลั้วหัวเราะ พลางลูบแขนไปมา แสดงอาการหวาดหวั่นอีกฝ่ายแบบทีเล่นทีจริง ผู้หมวดระรินไม่ได้ตอบอะไรออกไป แค่ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มลงคอไปอึกใหญ่

“คิดว่าเขาคนนั้นสมควรโดนแล้ว ผมเดาถูกมั้ย” หนุ่มตี๋แว่นพูดยิ้ม ๆ ผู้หมวดระรินดื่มเหล้าอีกอึกใหญ่ ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ “แล้วนี่หาบาร์นี้เจอได้ยังไง” หมวดรินถามกลับอีกฝ่ายไป “ผมแค่อยากหาที่กินเหล้า” หนุ่มแว่นตี๋หน้าตาดีพูด หมวดรินหรี่ตามองอีกฝ่าย ที่ท่าทางตอนนี้มีพิรุธ “โอเคครับ โอเค” หนุ่มตี๋แว่นวางแก้วลง ก่อนทำท่ายกมือยอมจำนนต่อหลักฐาน “เรื่องอยากหาที่นั่งดื่มก็เรื่องหนึ่ง” หมวดรินสบตากับหนุ่มคนนี้

“ใจจริงผมอยากจะมาบาร์นี้ตั้งนานแล้ว” ราวกับว่าเป็นคำสารภาพออกมาจากปากของหนุ่มตี๋แว่น ที่ตอนนี้สีหน้าเหมือนเด็กน้อยที่ถูกจับได้ว่าแอบกินขนม “บาร์นี้เด่นที่สุด ตอบโจทย์ที่สุดแล้ว ถ้าจะพูดถึงฝั่งถนนด้านนี้นะ” หนุ่มตี๋แว่นทำแก้เขินด้วยการยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ “แต่ก็เป็นบาร์ที่ต้องอาศัยความใจกล้าเป็นอย่างมาก ที่จะเดินมาจนถึง แล้วก็พาตัวเองเข้ามาสั่งเหล้านั่งดื่มในนี้” ผู้หมวดระรินฟังสิ่งที่อีกฝ่ายอธิบายมา

“แล้วคิดยังไงถึงตัดสินใจมาคืนนี้” ผู้หมวดระรินถามออกไป “ถ้าผมไม่มาคืนนี้ ก็ไม่น่าจะโชคดี ได้เห็นอะไรดี ๆ แบบนี้” หนุ่มตี๋แว่นชี้นิ้วไปที่ชุดนางโชว์ที่หมวดระรินใส่ แต่ไม่ได้สวมวิกอย่างที่ควรจะเป็นตั้งแต่แรก “ตำรวจต้องทุ่มเทกันขนาดนี้เลย ผมก็เพิ่งได้มาเห็นด้วยตัวเอง ถือเป็นบุญตาที่สุด” เสียงพูดกลั้วหัวเราะ อย่างจงใจกระเซ้าเย้าแหย่ผู้หมวดออกมาตรง ๆ โดยที่ผู้หมวดระรินได้แต่ยักไหล่ให้เท่านั้น

“อยากถามว่ามันเรื่องอะไรกัน แต่น่าจะถามไม่ได้ หรือว่าได้ครับ” หนุ่มหน้าตี๋ทำตาแบบอยากรู้มาก ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่ในคืนนี้ แต่ผู้หมวดระรินก็ทำส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไรที่เป็นเรื่องของทางราชการออกไป “ที่บอกว่าตั้งใจจะมาหาเหล้ากินที่บาร์นี่” หมวดระรินถามด้วยอาการไม่ได้ปิดบังอะไร “จะบอกว่าไม่ชอบบาร์เบียร์ฝั่งโน้นใช่มั้ย” หนุ่มตี๋ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มพอดี ที่ได้ยินคำถามนั้น

“คือผม” ท่าทางลังเลที่จะตอบออกมาจากปาก “ก็ถ้าไม่ชอบบาร์เบียร์ฝั่งโน้น ถ้าอย่างนั้น” หมวดระรินยื่นหน้าเข้าใกล้กับหนุ่มตี๋แว่น อีกเพียงนิดเดียว ริมฝีปากของทั้งสองคน ก็จะสัมผัสกันแล้ว “ใช่ครับ” หนุ่มตี๋แว่นตอบกลับ หลังจากที่ยื่นหน้าเข้าหาผู้หมวดแล้วแนบริมฝีปากจนแนบชิดในทันที “เคยมีเซ็กส์เพราะต้องการระบายอารมณ์โกรธมั้ย” ผู้หมวดระรินถามออกไป ยื่นมือไปวางที่หว่างขาของอีกฝ่าย

“มันมีครั้งแรกสำหรับทุกสิ่ง” คำตอบดังกลับมาจากชายหนุ่มตี๋ใส่แว่นหน้าหล่อ ก่อนที่ทั้งสองคนจะตรงเข้าหากัน เริ่มจูบกันอย่างดูดดื่ม “ไม่มีใครจะมาเจอเราใช่มั้ยครับ” หนุ่มตี๋แว่นถามขึ้น ตอนเห็นหมวดระรินรีบแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายออก “เอ่อ คือว่า” ก่อนจะมองไปรอบ ๆ ตัว เพื่อหาคำตอบให้กับคำถามนั้น

“ในห้องเก็บของนั่นแล้วกัน” ทั้งสองคนรีบเดินเข้าไปด้านในห้องนั้น ผู้หมวดระรินเดินไปยืนพิงโต๊ะตัวใหญ่ที่อยู่ตรงกลางห้อง ส่วนหนุ่มตี๋แว่นที่ยืนอยู่ที่ประตู ใช้นิ้วกดล็อกให้แน่ใจว่า จะไม่มีใครเปิดประตูพรวดพราดเข้ามาเจอว่า พวกเขาสองคนกำลังทำอะไรสนุก ๆ กันอยู่ ก่อนที่หนุ่มตี๋แว่นจะเดินไปหาหมวดระริน

“ผมยังไม่ได้บอกชื่อให้คุณตำรวจรู้เลย” หนุ่มตี๋แว่นพูดขึ้น เมื่อมองเห็นเข็มขัด ตามด้วยกางเกงของตัวเอง หลุดออกจากตัวแล้วลงไปกองอยู่ที่พื้นด้านล่าง “จำเป็นด้วยหรือ” ผู้หมวดระรินถาม แบบไม่ได้ต้องการคำตอบอยู่แล้ว หนุ่มตี๋แว่นยิ้มเมื่อได้ยินผู้หมวดรินพูดมาแบบนั้น “ถ้างั้น” ผู้หมวดระรินมองหนุ่มตี๋แว่นดึงกางเกงชั้นในสีดำของตัวเองลงไปค้างอยู่แค่หัวเข่า เผยให้เห็นความยาวแท่งทวนที่ตั้งชี้มาทางอีกฝ่าย

ชายหนุ่มหน้าตี๋ใส่แว่นส่งเสียงร้องออกมาอย่างสุขสม เมื่อความยาวทั้งหมดที่เขามี หายเข้าไปในช่องทางของอีกฝ่ายจนตัวเขาเองก็ต้องขบกรามจนแน่น ผู้หมวดระรินเกร็งตัวรับความเจ็บผสมความคับแน่นเต็มช่องทางไปหมดนั้นเอาไว้ มือข้างหนึ่งบีบเอาแขนที่มีรอยสักยาวของอีกฝ่ายเอาไว้ เป็นสัญญาณว่าตัวเองยังไม่พร้อม ทางฝ่ายหนุ่มตี๋แว่นก็อย่าเพิ่งขยับตัว รออยู่อึดใจหนึ่ง เมื่อความเจ็บหนึบนั้นคลายลง

หนุ่มตี๋แว่นขยับเอวใส่ผู้หมวดระรินแบบไม่ยั้ง เมื่อตอนนี้รู้สึกได้ว่า อีกฝ่ายนั้นไม่ได้เกร็งร่องแห่งความสุข เพื่อต่อต้านความแข็งแน่นที่รุกล้ำเข้ามาอีกต่อไป แต่หนุ่มตี๋แว่นกลับเห็นอีกฝ่ายหน้าตาเหยเก กัดฟันกรอดก็จริง แต่ก็เร่งเร้าให้หนุ่มตี๋แว่น เพิ่มความเร็วและความแรงกระแทกกระทั้นให้เพิ่มมากขึ้น โดยที่หนุ่มตี๋แว่นเองก็ทำตามความต้องการนั้นของอีกฝ่ายอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

รู้ตัวอีกที ทั้งหนุ่มตี๋แว่นและผู้หมวดระรินก็เหนื่อยหอบ เมื่อทั้งสองคนถึงจุดแห่งความหฤหรรษ์ แล้วปล่อยให้น้ำขาวข้นเคลื่อนตัวออกมากันทั้งคู่ ผู้หมวดระรินบอกให้หนุ่มตี๋แว่นถอนเอาแท่งทวนนั้นออก ก่อนจะดึงชั้นในของตัวเองขึ้นมาใส่ หนุ่มตี๋แว่นก้มลงหยิบเอากางเกงของตัวเองขึ้นมาใส่เช่นกัน ก่อนที่อะไรบางอย่างจะหล่นลงมาบนพื้นห้อง แล้วกลิ้งหลุน ๆ มาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าของหมวดระริน ที่ยืนหันหลังให้กับชายหนุ่มอยู่

“อีกอย่างนะหมวด” เสียงหัวหน้าฝ่ายนิติเวชพูดขึ้น “พี่ว่ามันเป็นหลักฐานสำคัญอย่างหนึ่ง แต่มันถูกเอาออกจากสำนวนการสืบสวน” ผู้หมวดระรินไล่สายตาอ่านบนกระดาษเอกสารของทางนิติวิทยาศาสตร์ “ที่เกิดเหตุของเคสฆาตกรรมนางโชว์ ในทุกเคส พบลูกอมตกอยู่” ผู้หมวดรินเงยหน้าขึ้นสบตากับหัวหน้าทีมนิติเวช “พี่เคยทำหนังสือแย้งไปแล้ว แต่ก็ไม่เป็นผล ทางทีมนั้น เขาบอกว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ ไม่มีอะไรสำคัญเกี่ยวกับคดี” ผู้หมวดระรินนึกถึงสิ่งที่หัวหน้าทีมนิติเวชได้บอกเอาไว้

“ว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาดแล้วเชียว” น้ำเสียงของหนุ่มตี๋แว่นที่ยืนอยู่ด้านหลังของผู้หมวดระริน ฟังดูเปลี่ยนไป ผู้หมวดระรินนึกถึงปืนสำรองที่ต้นขาของตัวเอง แต่ก็ต้องนึกอยากจะเขกหัวตัวเอง “เวลาคนเอากัน ก็ต้องถอดปืนวางเอาไว้ให้ปลอดภัยก่อน” ผู้หมวดระรินเมื่อหันกลับมาทางหนุ่มตี๋แว่น ก็รู้สึกถึงความเย็นของปากกระบอกปืน แนบเข้าที่กลางหว่างคิ้วของตัวเองอย่างพอดิบพอดี

“ชู่” หนุ่มตี๋แว่นทำเสียงออกมาเบา ๆ ห้ามผู้หมวดรินไม่ให้ส่งเสียงดัง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินอยู่ในบาร์ด้านนอกห้องเก็บของ ผู้หมวดระรินต้องยอมเดินถอยหลัง เมื่อหนุ่มตี๋แว่นเอาปลายกระบอกปืน ดันหน้าผากของอีกฝ่ายให้เดินจนหลังไปแนบกับกระจกของห้องเก็บของนั้น ที่ทำเอาไว้เป็นกระจกที่สามารถมองออกไปเห็นภาพด้านนอกได้ แต่คนที่อยู่ด้านนอกจะมองเห็นเป็นแค่เพียงกระจกเงาธรรมดาเท่านั้น

“ริน คุณอยู่ในห้องเก็บของใช่มั้ย” เสียงผู้กองอติดังมาจากด้านนอก ภาพที่มองจากด้านในห้อง มองเห็นผู้กองอติใช้มือเขย่าที่เปิดประตู แต่ก็เปิดไม่ออก เพราะถูกล็อกจากด้านใน “ไม่เอาน่า รินก็รู้ว่าผมคิดยังไงกับริน” ผู้หมวดระรินทำหน้านิ่ง เมื่อเห็นหนุ่มตี๋แว่น ทำหน้าเศร้าแทน จากที่ทั้งสองคน ผู้กองอติและผู้หมวดระรินมีปัญหาขัดแย้งกัน “ตอนอยู่ที่โรงเรียนนายร้อย รินก็น่าจะรู้แล้วนี่นา ว่ารินต้องการผม รินต้องมีผม รินถึงจะก้าวหน้าได้” เสียงพูดของผู้กองอติ ทำให้หนุ่มตี๋แว่นส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา

“ส่วนเรื่องวันนี้ ถ้ารินยอมพูดขอโทษผมต่อหน้าลูกทีมของริน ผมรับรองเลยว่าผมจะไม่เอาเรื่องริน” ผู้กองอติเอง พูดด้วยความที่ตัวเองรู้ดีว่า กำลังถือไพ่เหนือกว่าอีกฝ่ายอยู่ “ผมจะไม่รายงานรินกับท่านผู้การ แต่นั่นมันก็ต้องมาด้วยของแลกเปลี่ยน” ผู้กองอติพูดด้วยใบหน้าสะใจ “รินต้องอยู่ใต้ผมไปก่อน รอให้ผมได้เลื่อนขั้นไปเป็นสารวัตร แล้วตอนนั้นผมจะพิจารณาเลื่อนให้ริน ได้เป็นผู้กอง” ระรินมองเห็นหนุ่มตี๋แว่น ทำอ้าปากค้างแบบไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน

“รินอย่าเลือกทางที่มันทำให้รินเดินต่อไปลำบาก หรือไม่เช่นนั้น ก็เดินต่อไปไม่ได้ เลยนะ” ระรินมองหนุ่มตี๋แว่นเลื่อนปากกระบอกปืนออกจากหว่างคิ้วของผู้หมวด ก่อนจะย้ายไปจ่ออยู่ที่ใบหน้าของผู้กองอติ ที่กำลังแนบหน้าของตัวเองกับกระจกด้านนอก เหมือนพยายามมองเข้ามาด้านในห้องเก็บของ ทั้ง ๆ ที่ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ “เลือก” ชายหนุ่มตี๋ใส่แว่นหน้าตาดีกระซิบบอกกับผู้หมวดระริน กับปืนที่สามารถระเบิดสมองผู้กองอติได้ไม่ยาก กับลูกอมที่ถูกเอามาจ่ออยู่ที่ริมฝีปากของผู้หมวดระรินเอง

********************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาไทย โดย KADUMPA

CANDYMAN - Christina Aguilera

https://www.youtube.com/watch?v=8vfY1Y369OE


Tarzan and Jane were swingin' on a vine

ทาร์ซานกับเจนสุดเหวี่ยงกันบนเถาวัลย์

Candyman, Candyman

ผู้ชายรสหวาน ผู้ชายวาบหวาม

Sippin' from a bottle of vodka double wine

ยกกระดกดื่มจากขวดผสมกันวอดก้าและไวน์

Sweet sugar, Candyman

หวานล้ำ หนุ่มรสลูกกวาด


I met him out for dinner on a Friday night

ฉันออกไปทานดินเนอร์กับเขาในคืนวันศุกร์

He really had me workin' up an appetite

เขาเพิ่มความอยากอาหารให้ฉันเป็นอย่างมาก

He had tattoos up and down his arm

ดูรอยสักที่พาดไปตามวงแขนของเขานั่นสิ

There's nothin' more dangerous than a boy with charm

ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยเสน่ห์แล้วล่ะ


He's a one-stop shop, makes the panties drop

ทุกอย่างมารวมอยู่ที่ตัวเขา และทำให้ชั้นในร่วงหล่น

He's a sweet-talkin', sugar-coated Candyman

เขาทั้งพูดจาดี ฟังแล้วรื่นหู ผู้ชายน้ำตาลเชื่อม

A sweet-talkin', sugar-coated Candyman

เขาพูดอีกก็ถูกอีก ผู้ชายน้ำอ้อยคั้นสด


He took me to the Spider Club at Hollywood and Vine

เขาพาฉันไปคลับเต้นรำที่ฮิปที่สุดในตอนนี้

We drank champagne and we danced all night

แชมเปญสั่งมาดื่มกันไม่อั้น กับการโยกย้ายส่ายสะโพกทั้งคืน

We shook the paparazzi for a big surprise (for a big surprise)

พวกแอบตามถ่ายรูปคงตะลึงงงงันกันใหญ่

The gossip tonight will be tomorrow's headline

คงนินทาซุบซิบกันคืนนี้ แล้วพาดหัวใหญ่ในตอนเช้า


He's a one-stop shop, makes my cherry pop

เขาคนเดียวรับจบทุกอย่าง ทำให้ฉันยอมขึ้นเตียงด้วย

He's a sweet-talkin', sugar-coated Candyman

เขาทั้งพูดจาดี ฟังแล้วรื่นหู ผู้ชายน้ำตาลเชื่อม

A sweet-talkin', sugar-coated Candyman

เขาพูดอีกก็ถูกอีก ผู้ชายน้ำอ้อยคั้นสด


He's a one-stop shop, makes my cherry pop

เขาคนเดียวรับจบทุกอย่าง ทำให้ฉันยอมขึ้นเตียงด้วย

He's a sweet-talkin', sugar-coated Candyman

เขาทั้งพูดจาดี ฟังแล้วรื่นหู ผู้ชายน้ำตาลเชื่อม

A sweet-talkin', sugar-coated Candyman

เขาพูดอีกก็ถูกอีก ผู้ชายน้ำอ้อยคั้นสด


Well, by now I'm getting all bothered and hot

มาถึงตอนนี้ฉันก็เริ่มทนไม่ไหวและต้องการเขาอย่างมาก

When he kissed my mouth, he really hit the spot

ตอนที่เขาจูบปากฉัน เขาเหมือนกดปุ่มเปิดสวิทช์ให้

He had lips like sugar cane

รสจูบของเขาก็ช่างหวานล้ำดั่งอ้อยควั่น

Good things come for boys who wait

ของดีดีมันมาหาหนุ่มหนุ่มที่คอยเป็นเสมอ


Tarzan and Jane were swingin' on a vine

ทาร์ซานกับเจนสุดเหวี่ยงกันบนเถาวัลย์

Candyman, Candyman

ผู้ชายรสหวาน ผู้ชายวาบหวาม

Sippin' from a bottle of vodka double wine

ยกกระดกดื่มจากขวดผสมกันวอดก้าและไวน์

Candyman, Candyman

หนุ่มลูกอด พ่อหนุ่มลูกกวาด


(Sweet sugar, Candyman)

หวานล้ำ พ่อหนุ่มแสนหวาน

He's a one-stop, gotcha hot, makin' all the panties drop

เขาคือหนึ่งเดียว ทำให้เร่าร้อน แล้วก็ร้อนรนถอดชั้นในรอ

(Sweet sugar, Candyman)

หวานล้น พ่อหนุ่มแสนหวาน

He's a one-stop, got me hot, making my (uh) pop

เขาคือคนนั้น ทำให้ฉ่ำแฉะ แล้วทำให้นั่นน่ะ อ้าออก

(Sweet sugar, Candyman)

หวานรัก พ่อหนุ่มแสนหวาน

He's a one-stop, get it while it's hot, baby, don't stop

เขารับงานเอ็น ตีเหล็กตอนยังร้อน เอาเลยมาเลย อย่าหยุด

(Sweet sugar)

หอมอร่อย


He got those lips like sugar cane

รสจูบของเขาก็ช่างหวานล้ำดั่งอ้อยควั่น

Good things come for boys who wait

ของดีดีมันมาหาหนุ่มหนุ่มที่คอยเป็นเสมอ


He's a one-stop shop with a real big

มาหาเขาที่เดียวแล้วได้ครบจบที่ของอวบใหญ่

He's a sweet-talkin', sugar-coated Candyman (say what?)

พูดจาดี ฟังไพเราะ หวานเสนาะ จริงมั้ย

A sweet-talkin', sugar-coated Candyman (say!)

พูดจาฟังดูดี ฟังแล้วเพลินใจ

Sweet-talkin', sugar-coated Candyman (woo!)

พูดจาฟังแล้วเพลิดเพลิน ฟังแล้วจำเริญใจ

Sweet-talkin', sugar-coated Candyman (hey!)

พูดจาฟังแล้วเคลิบเคลิ้ม ฟังแล้วยอมให้


Tarzan and Jane were swingin' on a vine

ทาร์ซานกับเจนสุดเหวี่ยงกันบนเถาวัลย์

Sippin' from a bottle of vodka double wine

ยกกระดกดื่มจากขวดผสมกันวอดก้าและไวน์

Jane lost her grip and a-down she fell

เจนนั้นพลาดหลุดมือจับเถาวัลย์ดันตกลงไป

Squared herself away as she let out a yell

พยายามคว้าเอาไว้จัดการตัวเองขณะที่ส่งเสียงร้องดังลั่นออกไป
7
ตามหานิยายค่ะ เป็นนิยายจีนแปลที่น่าจะเคยลงเด็กดีไม่ก็ raw ค่ะ เนื้อเรื่องประมาณว่านายเอกทะลุมิติไปยุคหินพร้อมมีระบบช่วยเหลือทำให้สามารถซื้อของจากโลกปัจจุบันได้ค่ะ ชนเผ่าในตอนนั้นที่นายเอกเคยช่วยเหลือเลยคิดว่านายเอกเป็นผู้ส่งสารของพระเจ้า ส่วนพระเอกมาทีหลังละท้าชิงเป็นผู้นำเผ่าคนใหม่ค่ะ ซึ่งจริงๆเผ่าที่นายเอกมาอยู่ด้วยแต่เดิมก็เป็นเผ่าเดียวกับพระเอกอยู่แล้วแต่โดนเนรเทศออกมาค่ะ ฝ่ายพระเอกก็เหมือนทำนองว่าไม่โอเคเลยออกจากเผ่ามาทีหลังแล้วมาตามหาเพื่อนในเผ่าที่โดนเนรเทศ พอมาเจอกันก็มีนายเอกที่เพื่อนในเผ่านับถือซัมติง พระเอกกับนายเอกเลยทำสัญญาเป็นตายร่วมกันประมาณนี้ค่ะ มีใครพอจำชื่อเรื่องได้ไหมคะ คุ้นๆเหมือนพระเอกจะชื่อเฮยอะไรสักอย่าง รบกวนด้วยนะคะ :mew2:
8
พูดคุยทั่วไป / ทำประกันแบบไหน ช่วยลดหย่อนภาษีได้
« กระทู้ล่าสุด โดย airrii เมื่อ 21-03-2025 16:18:46  »

ทำประกันทั้งทีถ้าสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ด้วย ก็เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เพราะได้ทั้งความคุ้มครอง และยังช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายได้ไม่น้อย โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่หลายๆ คนคงกำลังจัดระเบียบการใช้จ่ายของตัวเองและเตรียมเอกสารต่างๆ สำหรับเทศกาลลดหย่อนภาษีปลายปีที่ใกล้เข้ามา แต่หากคุณยังไม่แน่ใจว่าจะต้องซื้อประกันประเภทไหนที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ มีเงื่อนไขเพิ่มเติมอะไรอีกหรือไม่ และจะสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุดเท่าไหร่ วันนี้เราได้รวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาไว้ให้แล้ว



ประเภทของประกันที่ลดหย่อนภาษีได้
1. ประกันชีวิต
ประกันชีวิตทั่วไป ลดหย่อนภาษีได้
ประกันที่เน้นให้ความคุ้มครองแก่ผู้ทำประกัน ในกรณีที่เสียชีวิตจากเหตุไม่คาดคิดก็จะได้รับเงินชดเชยตามวงเงินคุ้มครอง มีหลายรูปแบบ เช่น ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ, ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา, ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ และ ประกันชีวิตควบการลงทุน
โดยสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาทตามจำนวนที่จ่ายจริง หรือหากจะนับรวมเงินฝากแบบมีประกันด้วยก็ต้องไม่เกิน 100,000 บาท และใครที่มีคู่สมรสที่ไม่มีรายได้ ซึ่งไม่ได้เพิ่งสมรสภายในปีนี้ ก็สามารถนำเบี้ยประกันมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท เช่นเดียวกัน
เงื่อนไขการนำประกันชีวิตทั่วไปมาลดหย่อนภาษี
-         ต้องเป็นกรมธรรม์ที่มีระยะคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
-         จัดทำกับบริษัทประกันในประเทศไทย
-         หากมีการจ่ายเงินปันผลหรือเงินชดเชย จะต้องไม่เกิน 20% ของเบี้ยประกันชีวิตรายปี
-         ต้องแจ้งต่อบริษัทว่าต้องการนำไปลดหย่อนภาษี

ประกันชีวิตแบบบำนาญ ลดหย่อนภาษีได้
ประกันที่ให้ความคุ้มครองรายได้หลังเกษียณ จะเน้นที่ผลตอบแทนเป็นหลัก เพื่อเป็นหลักประกันรายได้ในยามที่คุณเลิกประกอบอาชีพแล้วนั่นเอง
โดยประกันในรูปแบบนี้จะสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ 15% ของรายได้ (เงินได้ที่ต้องเสียภาษี) สูงสุดไม่เกิน 20,000 บาท หรืออาจลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท เมื่อยังไม่ได้ใช้สิทธิลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตทั่วไป และเมื่อรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, RMF, กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน, กบข. และ กองทุนการออมแห่งชาติ จะต้องไม่เกิน 500,000 บาท
นั่นหมายความว่าหากคุณยังใช้สิทธิลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตทั่วไป ไม่ถึงเพดานสูงสุด 100,000 บาท คุณสามารถนำเบี้ยประกันบำนาญบางส่วนไปหักลบจนครบ 100,000 บาท ก่อนจะนำมาคำนวณหักลบกับ 15% ของรายได้ เป็นส่วนที่สอง
เงื่อนไขการลดหย่อนภาษีของประกันชีวิตแบบบำนาญคือ
-         ต้องเป็นกรมธรรม์ที่มีระยะคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
-         จัดทำกับบริษัทประกันในประเทศไทย
-         จ่ายผลประโยชน์เป็นงวดจำนวนเงินเท่ากัน หรือในสัดส่วนที่มากขึ้น เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ
-         ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันครบถ้วนก่อนที่จะได้รับผลประโยชน์
-         กำหนดช่วงอายุการจ่ายผลประโยชน์ตั้งแต่ 55 - 85 ปี
-         ต้องแจ้งต่อบริษัทว่าต้องการนำไปลดหย่อนภาษี



2. ประกันสุขภาพ
ประกันสุขภาพตนเอง ลดหย่อนภาษีได้
รูปแบบประกันที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ คือประกันที่คุ้มครองอาการบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุ มีการชดเชยการทุพพลภาพและการสูญเสียอวัยวะเนื่องจากการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ, ประกันอุบัติเหตุเฉพาะ ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล การทุพพลภาพ การสูญเสียอวัยวะและการแตกหักของกระดูก, ประกันโรคร้าย และ ประกันการดูแลระยะยาว
โดยสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท เมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตทั่วไป และเงินฝากแบบมีประกันชีวิตต้องไม่เกิน 100,000 บาท
เงื่อนไขการลดหย่อนภาษีของประกันสุขภาพตนเองคือ
-         จัดทำกับบริษัทประกันในประเทศไทย
-         ต้องแจ้งต่อบริษัทว่าต้องการนำไปลดหย่อนภาษี
ประกันสุขภาพของพ่อแม่ ลดหย่อนภาษีได้
ในกรณีที่คุณจ่ายเบี้ยประกันให้กับพ่อแม่ สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท ในกรณีที่คู่สมรสไม่มีเงินได้ สามารถนำเบี้ยประกันสุขภาพของพ่อแม่ของคู่สมรสมาลดหย่อนในจำนวนสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท ได้เช่นกัน หรือหากมีการร่วมกันจ่ายกับพี่น้อง ก็สามารถนำมาหารเฉลี่ยตามจำนวนพี่น้องได้เช่นกัน
เงื่อนไขการลดหย่อนภาษีของประกันสุขภาพของพ่อแม่คือ
-         ต้องมีความสัมพันธ์เป็นลูกแท้ๆ ที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น
-         ในกรณีลูกบุญธรรมจะไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้
-         พ่อแม่มีรายได้ต่อปีภาษีไม่เกิน 30,000 บาท
-         ตัวผู้ลดหย่อนหรือพ่อแม่ต้องอยู่ในประเทศไทยครบ 180 วันภายในปีภาษี
การมีประกันชีวิตที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้จะช่วยให้คุณสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายลงได้ไม่น้อยเลย โดยเฉพาะกับมนุษย์เงินเดือนและผู้ที่มีรายได้ประจำ ก็ควรมองหาตัวเลือกที่สามารถทำให้คุณมีทั้งความคุ้มครองด้านสุขภาพ และสิทธิในการลดหย่อนภาษี

10
Boy's love story / Re: The Power of Lyrics; theMagicLoveFestival:หนีรัก (7) BARES IT ALL 19-03-2568
« กระทู้ล่าสุด โดย KADUMPA เมื่อ 19-03-2025 14:33:09  »


“ดูทำหน้าเข้า เมื่อคืนหนักไปหน่อยหรือไง” นิ่มที่ขมวดคิ้วจนแน่น ส่งเสียงอิดออดตอนที่นั่งอยู่ที่แคร่ไม้ ไม่ไกลจากที่พี่กระถินกำลังชงกาแฟอยู่ ลืมตาขึ้นข้างหนึ่ง เมื่อได้ยินพี่สาวเจ้าของรีสอร์ตพูดแซวมาแบบนั้น “ขอเข้ม ๆ เลยนะพี่ถิน หนักหัวมากเลยตอนนี้” พี่กระถินเอาถ้วยกาแฟร้อนที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่น ควันลอยฉุย มาวางไว้ให้ ก่อนจะถามขึ้นอีกครั้งว่า

“ที่ว่าหนักเนี่ย” เสียงของพี่กระถินกึ่ง ๆ จะทั้งถามเอาความและแซวนิ่มไปในตัว “มันคือเหล้าที่ก๊งไปเมื่อคืน หรือว่าอะไรอย่างอื่นกันแน่” พี่ถินนั่งลงที่เก้าอี้ไม่ไกลจากตรงซุ้มที่จัดเอาไว้ให้ลูกค้าที่จะมาพัก ให้มีที่ถ่ายรูปเล่นกัน “อะไรกันพี่ถิน” นิ่มไม่ตอบคำถาม ก่อนจะก้มลงเอาเปากเป่าไปที่กาแฟในถ้วยนั้นเบา ๆ เพื่อให้เครื่องดื่มคลายร้อนลง

“แล้วก็ตื่นซะเช้าเลย หรือว่า” พี่กระถินเย้านิ่มต่ออีก “หรือว่ายังไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืน” นิ่มใช้สองมือประคองแก้วกาแฟที่อุ่นพอจะจับได้โดยไม่ร้อนมือขึ้นจิบ ความร้อนจากน้ำกาแฟ ปลุกให้ภาพของสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล่นกลับมาให้นิ่มได้จำได้อีกครั้ง และเมื่อภาพแรกได้กลับมาแจ่มชัดในความทรงจำ ทุก ๆ ภาพหลังจากนั้น ก็แล่นกลับมาเป็นภาพฉายที่บอกได้จนครบเรื่องราว

ดินนั่งลงบนเตียงนอน ห้อยขาลงที่ขอบเตียง โดยเอนตัวเท้าแขนทั้งสองข้างไปด้านหลัง เพื่อให้ด้านหน้าของตัวเองเด่นชัดขึ้น นิ่มมองเห็นอีกฝ่ายที่ตอนนี้เหลือเพียงชั้นในสีขาวเพียงตัวเดียวติดตัวอยู่ ก็เดินตามไปจนหยุดยืนอยู่ที่ด้านหน้าของชายหนุ่ม สายตามองเห็นดินค่อย ๆ เลื่อนขาทั้งสองแยกออกจากกัน เพราะถ้านิ่มยังมองที่จุดกลางลำตัวตรงหว่างขาของอีกฝ่ายยังไม่ชัด ตอนนี้ก็จะได้มองเห็นได้จนเต็มสองตา

เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือของนิ่มดังขึ้น เสียงจากอีกปลายสายดังทักมา ถามว่านิ่มเป็นอย่างไรบ้าง นิ่มตอบกลับไปว่าตัวเองสบายดี ก่อนที่ดินจะดึงเอามือข้างที่เหลือของนิ่มไปวางแหมะเอาไว้บนหน้าท้องที่อุดมไปด้วยกล้ามท้องของเขา สายตาของดินจ้องมองตาของนิ่ม ประหนึ่งว่า เรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ ไม่น่าจะใช่นิ่มคุยโทรศัพท์กับเพื่อน และตัวมือถือถูกกดตัดสายลง เมื่อมือของนิ่มถูกดินดึงเลื่อนแทรกเข้าไปในใต้เนื้อผ้าของชั้นในสีขาวนั้น

ดินออกแรงเพิ่ม ดึงข้อมือของนิ่มให้เจ้าตัวโน้มตัวมาด้านหน้า ก่อนที่ดินจะยกตัวขึ้น เพื่อให้ใบหน้าและริมฝีปากของตัวเขาเองนั้น อยู่จนเกือบจะชิดกับอีกฝ่าย ดินกระซิบอะไรบางอย่างออกไปเบา ๆ ให้นิ่มได้ยิน ก่อนที่ทั้งสองคนจะเลื่อนหน้าเข้าใกล้กันอีก แล้วดินจึงค่อย ๆ บรรจงวางริมฝีปากลงแนบไปกับของอีกฝ่าย ก่อนที่ดินจะลิ้นเลาะเล็มกึ่งบังคับให้นิ่มเผยอปากขึ้น เพื่อให้ดินได้แทรกเข้าไปชิมลิ้มรสความหวานจากนิ่มได้

ดินที่ยังคงรั้งให้นิ่มจูบกับตัวเองอยู่ ก็พร้อม ๆ กับขยับมือของนิ่มให้ขึ้นลงไปตามความยาวที่เหยียดตัวตั้งขึ้นจนสุด ที่ตอนนี้มันยึกยักหงึกหงักตัวในมือของนิ่ม เสียงครางด้วยความพอใจในลำคอของชายหนุ่ม เมื่อมือของนิ่มลากผ่านขึ้นไปที่บริเวณปลายสุด แล้วความลื่นของของเหลวน้ำสีใส ที่เอ่อล้นออกมาจนล้นออกจากส่วนหุ้มปลาย ทำให้ทตรงนั้นลื่น สร้างความรู้สึกให้กับเจ้าของลำตัวพองอ้วนนั้นเป็นอย่างมาก

ตัวของนิ่มตอนนี้ถูกดึงให้นั่งลงตรงกลางระหว่างขาของดิน เมื่อชายหนุ่มยอมปล่อยให้ริมฝีปากและลิ้นของนิ่มเป็นอิสระ แต่ได้ทวงถามสิ่งที่นิ่มบอกว่าทำได้และจะทำให้ ก่อนจะพยักหน้าเป็นสัญญาณบอกให้นิ่มดึงให้ชั้นในสีขาวตัวนั้น โดยดินยกบั้นท้ายให้นิ่มสามารถดึงมันออก และลากผ่านมันออกไปจนพ้นปลายเท้าของชายหนุ่มได้ นิ่มมองเห็นความยาวทั้งหมดที่แข็งขันจนสุดปลาย พาดตัวไปบนหน้าท้องของดินไปทางซ้าย แสงสลัวจากโคมไฟที่หัวเตียง ทำให้มองเห็นน้ำใส ๆ จากปลายท่อนอวบ ไหลลงเปื้อนกล้ามเนื้อท้องของดิน

ดินบอกกับนิ่มว่าไม่เป็นไร เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่ประสา ก่อนจะขยับตัวให้นิ่มสามารถจับกำรอบความอวบนั้นได้จนถนัดมือ ดินมองตามมือของนิ่มที่เริ่มขยับไปตามความยาวที่ดินมี มันเร็วขึ้นจนเป็นจังหวะสม่ำเสมอ และนั่นทำให้หนังที่หุ้มอยู่ที่ส่วนปลาย ดึงรั้งตัวเองลงมากองอยู่ที่รอบคอของแท่งทวน เผยให้เห็นถึงส่วนหัวที่บานออก มันชุ่มไปด้วยของเหลวมีใส ที่ฉ่ำออกมาจากอารมณ์ของดินที่กำลังพลุ่งพล่านเพิ่มขึ้น ไปตามความพึงพอใจของเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น

“มันไม่ได้มีอะไรเลยพี่ถิน จริง ๆ นะ นิ่มเมามาก อันนั้นยอมรับ” นิ่มตอบกลับพี่สาวเจ้าของรีสอร์ตผู้ใจดีไปแบบนั้น “อ๋อเหรอ จริงอ้ะ” ก่อนจะได้ยินพี่กระถินพูดแกมหัวเราะออกมา แบบนั้นแล้ว นิ่มก้มหน้าลงจิบกาแฟจากถ้วย เงยสายตามองไปที่พี่กระถิน ที่ทำหน้าไม่เชื่อกับสิ่งที่นิ่มเพิ่งพูดออกมาเลยสักนิด ก่อนที่นิ่มจะก้มลงไปมองกาแฟในถ้วยนั้นอีกครั้ง

ดินค่อย ๆ ดันตัวของนิ่มให้เอนลงบนที่นอน กระดุมเม็ดสุดท้ายของเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่าย ดินปลดมันออก ก่อนจะใช้มือปัดให้เสื้อเชิ้ตตัวนั้นเปิดกว้างออก เผยให้เห็นเนินกล้ามเนื้ออกของนิ่ม ที่ยอดอกนั้นมีเม็ดติ่งชูชันขึ้นด้วยแรงสัมผัสลูบไล้จากฝ่ามือของดิน เมื่อก่อนหน้านี้ ดินเลื่อนตัวลงไปข้างล่างอีกนิด เมื่อนิ้วชี้และนิ้วโป้ง พอควานหาเม็ดติ่งยอดอกของนิ่มเจอ ก็ทำการบิดคลึงไปตามอำเภอใจ จนเจ้าของต้องแอ่นอกขึ้นรับ

นิ่มกัดริมฝีปากของตัวเอง สายตามองเห็นดินที่บรรจงประทับรอยจูบลงที่เหนือไรขนอ่อน ๆ ที่ไล่เลียงจนเป็นแพรหนาขึ้น เมื่อมันเรียงตัวไล่กันไปที่ด้านล่าง ริมฝีปากของดินคลอเคลียไปกับไรแพรอ่อนนุ่มสีดำนั้น คางของชายหนุ่มที่มีไรหนวดเขียวครึ้ม แตะเข้าที่ส่วนปลายที่ชันขึ้นของนิ่ม ที่ตอนนี้ มันเองก็ชุ่มชื้นขึ้นด้วยหยาดน้ำใสเช่นกัน ดินแนบแก้มข้างหนึ่งของเขาเข้ากับด้านในต้นขาของนิ่ม ก่อนจะหันไปกดประทับริมฝีปากลงบนนั้น ดินงับเบา ๆ หยอกล้อ เมื่อรู้สึกได้ถึงอาการสั่นไปทั้งตัวของอีกฝ่าย

ก่อนหน้านี้ นิ่มทำให้ดินต้องเงยหน้าขึ้น เมื่อความยาวกว่าครึ่งถูกกลืนหายเข้าไป เพื่อให้ดินรู้สึกว่า ปลายลิ้นของอีกฝ่ายนั้นมันช่างนุ่มนวลและชวนฝันเพียงใด มาคราวนี้ ดินเองตั้งใจจะทำให้นิ่มได้รู้สึกดีไม่ต่างกัน เมื่อดินใช้มือค่อย ๆ แยกขาทั้งสองข้างของนิ่มออกจากกัน เผยให้เห็นร่องที่หายเข้าไปด้านหลัง ก่อนที่นิ่มจะรู้ตัวอีกที ความอุ่นชื้นจากปลายลิ้นของดิน ก็ควานหาช่องทางจนเจอ และกำลังรุกล้ำจนปากทางเข้านั้น เปียกปอนอย่างตั้งใจ

นิ่มกัดฟันกรอด เบนหน้าลงบนหมอนใบใหญ่ เผลอตัวใช้มือกดหัวของดินให้แนบลงไปตรงจุดที่ชายหนุ่มกำลังมอบความรู้สึกที่เคยแต่ได้ยินคนเขาพูดกัน แต่เพิ่งเคยได้ลิ้มรสและรับรู้มันครั้งแรกในชีวิต ดินเมื่อได้เห็นนิ่มแสดงอาการแบบนั้น ก็ยิ่งรุกไล่ไม่ยั้ง ปลายลิ้นขยับขึ้นลงเร็ว แรง หนักขึ้น และเข้าออกลึก ถี่ ดุดัน มากขึ้นและมากขึ้น สายตาสังเกตไปที่ปลายความแข็งของอีกฝ่าย ที่ตอนนี้หยาดน้ำใสไหลลงมาเป็นสาย

“สงสัยพี่จะถามผิดคน” พี่กระถินเจ้าของรีสอร์ตผู้ใจดีพูดขึ้น ก่อนที่นิ่มจะมองตามสายตาของพี่สาวผู้อารีไป ก็เห็นว่าดินกำลังเดินมาจากทางห้องพัก “กาแฟมั้ยดิน เข้ม ๆ” พี่กระถินตะโกนถามเมื่อดินใกล้เดินมาถึง ดินพยักหน้ายิ้มตอบรับไป “ดูเหมือนจะใช้พลังงานไปเยอะ เติมของหน่อยแล้วกัน” พี่กระถินพูดเสร็จ ก็เดินไปจัดเครื่องดื่มยามเช้าให้กับดิน นิ่มนั้นรีบหันหน้ากลับ มาทำเป็นสนใจกาแฟตรงหน้าของตัวเอง

“ตื่นแล้ว ทำไมไม่เห็นปลุกผม” ดินที่นั่งลงข้าง ๆ กับนิ่ม ถามอีกฝ่ายเพราะตอนที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมา พอมองไปข้าง ๆ แล้วนิ่มไม่อยู่ตรงนั้น พี่กระถินชงกาแฟไป ก็ไม่ทำให้ตัวเองมีพิรุธ แต่แอบฟังการสนทนากันของน้องทั้งสองคนอย่างตั้งใจ “ว่าไง ผมถามเนี่ย ว่าทำไมไม่ปลุกผมด้วย” ดินยื่นหน้าเข้าใกล้ นิ่มมองเห็นอีกฝ่ายทำแบบนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ก็ฉายกลับมาให้นิ่มได้เห็นทันที

“เอ่อ พี่กระถิน คือ นิ่มว่า นิ่มไปอาบน้ำก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะต้องเช็คเอ้าท์แล้ว เกรงใจพี่แม่บ้าน ต้องมารอทำความสะอาดห้อง” นิ่มไม่ตอบดิน แต่บอกกับพี่สาวเจ้าของรีสอร์ตไปแบบนั้น “เอาอย่างงั้นหรือ” พี่กระถินยิ้มเอ็นดูกับท่าทางที่เก็บความลับไม่ได้เลยของนิ่ม แต่ก็บอกให้นิ่มไปอาบน้ำได้ ถ้าต้องการแบบนั้น แม้ว่าพี่แม่บ้านจะบอกแล้วว่า ไม่ได้รีบร้อนอะไรที่จะทำความสะอาดห้อง

“พี่ถามนิ่มก็รู้ว่า ถามผิดคน แต่เด็กมันไม่เคยต้องมือใคร มันก็โป๊ะล่ะนะ” พี่นิ่มถือกาแฟมาให้ดิน ที่กล่าวขอบคุณพี่สาวผู้ใจดีไป “แต่ผมไม่คิส แอนด์ เทล ย่ะ รู้หรอก” พี่กระถินพูดดักคอดินที่กำลังจะอ้าปากพูดตอบพี่สาวกลับไป “แต่จากรอยยิ้มนี้” พี่กระถินมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของดิน ที่ชายหนุ่มเองก็ปกปิดได้ไม่เก่งไปกว่านิ่มเท่าไหร่นัก “มันต้องมีเรื่องราวอะไรดี ๆ เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ใช่มั้ย” ดินไม่ได้ตอบพี่กระถินไป ได้แต่ยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบรับความหอมกรุ่นและรสชาติที่เข้มข้นนั้น

นิ่มเดินกลับเข้ามาในห้องพัก มองไปที่เตียงนอนที่ผ้าปูที่นอนยับย่น ส่วนห่มก็ยังไม่ได้เก็บให้เรียบร้อย ขวดพลาสติกที่ด้านนอกขวดมีฉลากสีสดใสพันรอบอยู่ บ่งบอกว่าเนื้อเจลที่บรรจุอยู่ด้านในนั้น ช่วยให้ความหล่อลื่น วางอยู่ที่โต๊ะหัวเตียง ส่วนที่พื้นห้องนั้น ห่อสีดำรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดเล็กที่ถูกฉีกออก ให้รู้ว่าสิ่งที่อยู่ด้านในได้ถูกใช้ไปแล้ว มันตกอยู่ตรงนั้น

นิ่มรีบเดินไปที่เตียงแบบพยายามไม่มองไปยังทุกอย่างที่ดูผิดระเบียบเหล่านั้น ก่อนจะเอาขวดพลาสติกบนโต๊ะหัวเตียง เปิดลิ้นชักแล้วใส่มันกลับคืนไปที่เดิมที่เห็นดินหยิบมันออกมา แล้วจึงรีบก้มลงหยิบห่อสีดำรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ดินก็เป็นคนฉีกมันออกเพื่อใช้เช่นกัน จากกิจกรรมที่ทั้งสองคนทำร่วมกันเมื่อคืน นิ่มใช้กระดาษทิชชูพันรอบห่อนั้น แล้วหย่อนมันลงไปในถังขยะใบเล็กที่มุมห้อง

ก่อนที่สายตาของนิ่มจะมองไปเห็นอะไรบางอย่าง จนต้องเอากระดาษชำระมาอีกจำนวนหนึ่ง วางพวกมันลงไปปิดถุงที่ทำมาจาก ที่ถูกดึงรูดออกจากสุดความยาว ที่นอนแอ้งแม้งอยู่ก้นถังขยะก่อนแล้ว เพื่อปกปิดมันจากสายตาของพี่แม่บ้าน ที่จะเข้ามาทำความสะอาดห้องหลังจากนี้ นิ่มรีบคว้าผ้าเช็ดตัว แล้วเดินอย่างเร็ว ตรงดิ่งเข้าไปในห้องน้ำ ก่อนที่ภาพต่าง ๆ จะพากันผุดขึ้นมา ให้นิ่มนึกภาพที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ได้เพิ่มเติมอีกว่า

ความเย็นผสมกับความชุ่มชื้น นิ่มรับรู้ได้จากปลายนิ้วของดิน ที่ป้ายทับเพื่อทาอะไรบางอย่างที่ด้านล่างของนิ่ม ดินจ้องตากับนิ่มเมื่อเขาขยับนิ้วที่ลื่นเจลนั้นเข้าไปด้านในความแคบคับนั้น นิ่มโหย่งตัวขึ้น เมื่อความแปลกปลอมจากปลายนิ้วหนึ่งข้อของดิน แทรกผ่านเข้าไปด้านใน ดินหยุดนิ่งและรอ เมื่อเห็นแววความกังวลก่อตัวอยู่ในดวงตาของอีกฝ่าย

“หายใจลึก ๆ” ดินกระซิบเบา ๆ นิ่มส่ายหน้าเร็ว เพื่อเป็นการบอกกับชายหนุ่มว่าให้รอก่อน เพราะตัวเองไม่สามารถที่จะไปต่อได้ ดินพยักหน้าเข้าใจ ดึงนิ้วออกจากที่ตรงนั้น ที่เขารับรู้ได้ว่า นิ่มที่ไม่เคยผ่านมือผู้ชายคนไหนมา คงไม่สามารถรับได้ในทันทีทันใด ดินก้มลงจูบเบา ๆ ที่ริมฝีปากของนิ่ม และเมื่อเห็นอีกฝ่ายจูบตอบกลับมา ดินก็เริ่มแทรกปลายลิ้นเข้าไป ก่อนที่ทั้งสองคนจะเริ่มจูบกันอย่างดื่มด่ำ

ดินหยิบเอาห่อสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีดำนั้นมาฉีกออก ก่อนจะหยิบเอาสิ่งที่อยู่ด้านในมาวางลงที่ส่วนปลายความยาว แล้วรูดลงไปจนสุด นิ่มรับรู้ได้ถึงขาของตัวเองที่ถูกดันให้ลอยขึ้น เมื่อหมอนหนุนใบหนึ่งถูกสอดเข้าด้านใต้ของบั้นท้ายของนิ่ม ให้ทุกอย่างเด่นขึ้น เพื่อให้ดินแทรกตัวเข้าหาช่องทางของนิ่มได้สะดวกขึ้น

นิ่มสูดลมหายใจเข้าจนลึก เมื่อรู้สึกถึงความเย็นลื่นของลักษณะที่บานออกด้านข้าง ที่มันเกินร่องรับของเขาไปมาก มันถูกเลื่อนขึ้นเลื่อนลง เหมือนเป็นการเตือนให้เจ้าของร่องแคบนี้ให้รับรู้เอาไว้ว่า อีกไม่กี่วินาทีนี้ มันจะต้องรับการรุกรานเข้าไปเต็มทั้งความยาวและความใหญ่ นิ่มกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างลืมตัว ความกลัวกับความต้องการกำลังสวนทางกันอย่างแปลกประหลาด

“ถ้าไม่ใส่ล่ะ” เสียงดินถามนิ่ม คนถูกถามจ้องไปในดวงตาของอีกฝ่าย “ยังยอมให้ทำอยู่มั้ย” เสียงดึงเบา ๆ ดังขึ้น เมื่อมันหลุดพ้นปลายความแข็งขันนั้นออกไป ตอนนี้ความนุ่มหยุ่นที่ปากทางรับสัมผัสได้กับเนื้อที่แนบเนื้อ เมื่อส่วนปลายมาประจำการที่ปากทางเข้า มือของนิ่มถูกดินดึงให้ไปจับความยางของท่อนด้านล่าง “ถ้าได้” เสียงดินกระซิบบอกกับนิ่ม “นำทางให้ที” ความหมายของดิน เพื่อให้นิ่มเป็นคนยินยอมก่อน

“ถ้าทำแบบนั้น” นิ่มพูดขึ้น “ทุกอย่างจะไม่มีทางหวนกลับ” ดินต่อท้ายประโยคนั้นให้ “ความสัมพันธ์ของเราทั้งสองคนจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” นิ่มฟังที่ดินพูดออกมา คำพูดของเพื่อนที่กล่าวเตือนมาตอนที่กดรับสายมือถือดังเข้ามาในโสตประสาทของนิ่ม “คุณจะรับความแตกต่างที่ผมมีได้มั้ย” ว่านิ่มจะไว้ใจดินได้มากน้อยแค่ไหนกัน มือที่กุมเอาความแข็งขืนนั้นเอาไว้ ถูกกดลง ทำให้นิ่มรู้สึกถึงส่วนปลายของดินกำลังค่อย ๆ ดันตัวแทรกเข้ามาด้านใน ความอุ่นจนร้อนกำลังปะทุขึ้นทั้งในความรู้สึกของดินและนิ่ม

*****************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาไทย โดย KADUMPA

Side to Side - Ariana Grande feat. Nikki Minaj

https://www.youtube.com/watch?v=h0JrKnBE3nI


I've been here all night

ก็อยู่ด้วยกันมาทั้งคืน

I've been here all day

แถมช่วงเวลาที่ผ่านมาอีกทั้งวัน

And boy, got me walkin' side to side

พ่อหนุ่มนี่ทำซะฉันเดินไม่ตรงทาง

(Let them hoes know)

บอกพวกนางนางที่เหลือให้รับรู้กันด้วย


I'm talkin' to ya

ใช่ ฉันหมายถึงคุณนั่นแหละ

See you standing over there with your body

เห็นยืนมาดเข้มซิกแพ็คแน่นอยู่ตรงนั้น

Feeling like I wanna rock with your body

ทำให้รู้สึกว่าต้องจัดการอะไรสักอย่างกับกล้ามนั่น

And we don't gotta think 'bout nothin' ('bout nothin')

โดยที่เราสองคนไม่ต้องคิดอะไรมาก อย่าสนใจอะไรมากมาย

I'm comin' at ya

ฉันก็จะพุ่งตัวใส่แล้วนะ

'Cause I know you got a bad reputation

เพราะฉันคาดว่าคุณเองก็คงจะไม่เบาเช่นกัน

Doesn't matter, 'cause you give me temptation

แต่ช่างมันเถอะ เพราะคุณมันเร้าใจเกินต้าน

And we don't gotta think 'bout nothin' ('bout nothin')

ซึ่งเราจะไม่พูดพร่ำทำเพลง ไม่ซักไซ้อะไรกันอีก


These friends keep talkin' way too much

นังเพื่อนพวกนี้ช่างติ ช่างเตือน ช่างห้าม

Say I should give you up

บอกให้ฉันอย่ายอมอะไรอะไรให้คุณ

Can't hear them no, 'cause I

ไม่อยากจะฟังพวกมันหรอกนะ เพราะว่า


I've been here all night

ก็อยู่ด้วยกันมาทั้งคืน

I've been here all day

แถมช่วงเวลาที่ผ่านมาอีกทั้งวัน

And boy, got me walkin' side to side

พ่อหนุ่มนี่ทำซะฉันเดินไม่ตรงทาง

I've been here all night

ตั้งแต่ค่ำมายันสว่าง

I've been here all day

ตั้งแต่วันยันมาค่ำคืน

And boy, got me walkin' side to side (side to side)

ผู้ชายคนนี้ทำให้ฟ้าใสใสเปลี่ยนสี


Been tryna hide it

พยายามปกปิดและห้ามใจ

Baby what's it gonna hurt if they don't know?

ว่ามั้ย ถ้าไม่มีใครรู้ ก็ไม่เห็นจะทำให้ใครเดือดร้อน

Makin' everybody think that we solo

ก็แกล้งทำเป็นเราต่างคนต่างอยู่นอนเตียงคู่

Just as long as you know you got me (you got me)

รู้แค่ว่าคุณนั้นได้มีฉัน ได้กันและกัน

And boy I got ya

และฉันก็ได้คุณเช่นกัน

Guess tonight I'm making deals with the devil

เดาว่าคืนนี้ฉันได้ตกลงทำสัญญากับปิศาจ

And I know it's gonna get me in trouble

และรู้แก่ใจดีว่ามันจะก่อปัญหาตามมาให้ฉันทีหลัง

Just as long as you know you got me

แต่ไม่เป็นไรตราบเท่าที่คุณยังมีกันและกัน


These friends keep talkin' way too much

นังเพื่อนพวกนี้ช่างติ ช่างเตือน ช่างห้าม

Say I should give you up

บอกให้ฉันอย่ายอมอะไรอะไรให้คุณ

Can't hear them no, 'cause I

ไม่อยากจะฟังพวกมันหรอกนะ เพราะว่า


I've been here all night

ก็อยู่ด้วยกันมาทั้งคืน

I've been here all day

แถมช่วงเวลาที่ผ่านมาอีกทั้งวัน

And boy, got me walkin' side to side

พ่อหนุ่มนี่ทำซะฉันเดินไม่ตรงทาง

I've been here all night

ตั้งแต่ค่ำมายันสว่าง

I've been here all day

ตั้งแต่วันยันมาค่ำคืน

And boy, got me walkin' side to side (side to side)

ผู้ชายคนนี้ทำให้ฟ้าใสใสเปลี่ยนสี


This the new style with the fresh type of flow

นี่มันเรื่องใหม่และเรื่องใหญ่กว่าที่เคยมา

Wrist icicle, ride dick bicycle

อวบเต่งเท่าไอติมอมแล้วดูด ขึ้นแท่นจักรยานที่นั่งแล้วเจ็บจนต้องสูด

Come through yo, get you this type of blow

ต่อให้เคยผ่านอะไรอะไรมา ก็เป็นงานยากในเรื่องปากเป่า

If you wanna menage I got a tricycle

แม้จะร่วมมือและแท็คทีมกันก็ตาม


All these bitches, flows is my mini-me

เพื่อนเอยเธอยังแค่ตัวเล็กตัวน้อยไม่แกร่งเท่ากันฉัน

Body smoking, so they call me young Nicki chimney

ถ้าเป็นฉันที่หุ่นเร่าร้อน พวกเขาเลยเรียกฉันว่ามาขึ้นครู

Rappers in they feelings 'cause they feelin' me

พวกพวกที่เคยเห็นกันอยู่ ก็จะรู้ได้ว่าฉันชั้นเซียน

Uh, I-I give zero fucks and I got zero chill in me

ว่าตัวฉันเผชิญศึกได้ไม่หวั่น ไม่มีอะไรเอาฉันลงได้นอกจากลิฟต์

Kissing me, copped the blue box that say Tiffany

ส่งจุ๊บมาให้ฉันที เพราะนี่ทำจนได้เครื่องเพชรใส่กล่องมาครอบครอง

Curry with the shot, just tell 'em to call me Stephanie

ผงเคอร์รี่เขาก็ว่า ฉายาสเตฟานี่ฟาดเรียบ เขาก็เรียก

Gun pop and I make my gum pop

ชื่อเสียงดังสนั่น เคี้ยวหยับหยับเป่าหมากฝรั่งดังป๊อบ

I'm the queen of rap, young Ariana run pop

ฉันมันขึ้นแท่นตัวแม่ตัวมัม เธอยังแค่ตัวลูกยังซิง


These friends keep talkin' way too much

นังเพื่อนพวกนี้ช่างติ ช่างเตือน ช่างห้าม

Say I should give you up

บอกให้ฉันอย่ายอมอะไรอะไรให้คุณ

Can't hear them no, 'cause I

ไม่อยากจะฟังพวกมันหรอกนะ เพราะว่า


I've been here all night

ก็อยู่ด้วยกันมาทั้งคืน

I've been here all day

แถมช่วงเวลาที่ผ่านมาอีกทั้งวัน

And boy, got me walkin' side to side

พ่อหนุ่มนี่ทำซะฉันเดินไม่ตรงทาง

I've been here all night

ตั้งแต่ค่ำมายันสว่าง

I've been here all day

ตั้งแต่วันยันมาค่ำคืน

And boy, got me walkin' side to side (side to side)

ผู้ชายคนนี้ทำให้ฟ้าใสใสเปลี่ยนสี


This the new style with the fresh type of flow

นี่มันเรื่องใหม่และเรื่องใหญ่กว่าที่เคยมา

Wrist icicle, ride dick bicycle

อวบเต่งเท่าไอติมอมแล้วดูด ขึ้นแท่นจักรยานที่นั่งแล้วเจ็บจนต้องสูด

Come through yo, get you this type of blow

ต่อให้เคยผ่านอะไรอะไรมา ก็เป็นงานยากในเรื่องปากเป่า

If you wanna menage I got a tricycle

แม้จะร่วมมือและแท็คทีมกันก็ตาม
หน้า: [1] 2 3 4 5 ... 10
สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด