+The Power of Lyrics, the Moments of Storytelling
ตอนที่ 2. ก่อนคำลา
ผมนั่งมองผู้หญิงคนนี้มาร่วมชั่วโมง เธอมีใบหน้าที่สะสวย รูปร่างที่ดีผอมสมส่วนตามความชอบแห่งยุคสมัย ผิวพรรณดี ทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบไปหมด เธอเกิดในตระกูลนักธุรกิจที่มั่งคั่ง เธอมีทุกอย่างที่เพียบพร้อม รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ ทั้งข้าวของเงินทอง ทั้งชื่อเสียงในวงสังคม เทียบกับผมแล้ว มันไม่มีอะไรที่เทียบกันได้เลย
ผมชื่อเจษ เป็นผู้ชายธรรมดา ๆ คนหนึ่ง หากว่านี่เป็นไลฟ์สไตล์ของผมเอง คืนนี้ผมคงไม่คิดที่จะมานั่งอยู่ตรงนี้ เพราะมันห่างไกลจากเรื่องปกติที่ผมจะทำ ผมคิดทบทวนมันซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งนั่นทำให้ผมมานั่งอยู่ตรงนี้แล้ว ผมมองดูผู้หญิงคนนี้ จ้องเธอ จนเธอรู้ตัว ผมยิ้มให้เธอ และเธอก็ยิ้มตอบผมกลับมา ผู้หญิงคนนี้ เธอกำลังจะแต่งงาน ผมลุกขึ้นจากโต๊ะ และเดินตรงไปหาเธอ
ทิวมาถึงสถานที่ที่จะใช้จัดงานแต่งงานของเขาแต่เช้า พรุ่งนี้แล้ว ที่ทิวจะเข้าพิธีวิวาห์กับลูกสาวนักธุรกิจชั้นแนวหน้าของประเทศ วันนี้เขาจึงต้องมาดูแลด้วยตัวเอง เพื่อให้ทุกอย่างออกมาแบบสมบูรณ์แบบที่สุด ไม่ให้มีที่ติ งานแต่งงานนี้ถือว่าสำคัญกับเขามาก จะให้เกิดความผิดพลาดไม่ได้ ถึงใครจะพูดว่าเขาเป็นเจ้าบ่าว ที่ดูตื่นเต้นและจริงจังกว่าเจ้าสาวมากก็ตามเถอะ
คนงานหลายคนถูกทิวตำหนิเสียงดัง เมื่อทำเรื่องที่เขาสั่งได้ไม่ถูกใจ แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม ทิวไม่ยอมให้มันเล็ดลอดไปได้ เวทีด้านหน้า ดอกไม้ประดับงาน ไฟแสงสี เครื่องเสียง แม้แต่ทีมงานออกาไนเซอร์ที่ทางครอบครัวเจ้าสาวจ้างมา ก็ยังเข้าหน้าทิวไม่ติด
“อย่าให้ผมต้องพูดซ้ำเรื่องเดิม ๆ อีกนะครับ” ทิวพูดจบก็สะบัดหน้าเดินไป ทิ้งให้บรรดาทีมงานที่ถูกจ้างมา ต่างสุมหัวกันซุบซิบ เมื่อเห็นว่าเขาคล้อยหลังไปแล้ว ทิวเดินมาด้านหลังฉากที่ทำขึ้นเพื่อเป็นฉากบังตา สำหรับให้เจ้าบ่าวเจ้าสาว และบรรดาญาติ ๆ ไว้เป็นที่เตรียมตัว จัดเครื่องแต่งกาย แยกออกมาเป็นสัดส่วน ไม่ประเจิดประเจ้อ โดยที่ห้ามคนไม่เกี่ยวข้องเข้ามาโดยเด็ดขาด
“มีปากก็สักแต่ว่าจะพูดกัน” ทิวบ่นพึมพำกับตัวเอง เขารู้ว่าทีมงานพวกนี้ พูดนินทาลับหลังเขาในเรื่องต่าง ๆ ทั้งที่ฝ่ายหญิงต่างหาก ที่เป็นคนออกเงินเกือบทั้งหมด ในการจัดงานแต่งนี้ “นี่ถ้าไม่คิดว่ามันจะทำให้งานล่มนะ” ทิวพยายามข่มใจ ไม่อย่างนั้น เขาจะออกไปด่ากราด แล้วไล่คนพวกนี้กลับไปให้หมด เขาคิดแล้วก็ให้นึกโมโห
“นี่ก็อีก โทรไปก็ไม่รับสาย หายไปไหนวะ น่ารำคาญฉิบหาย” ทิวยัดโทรศัพท์มือถือของเขากลับลงไปในกระเป๋ากางเกงแบรนด์ชั้นนำ ที่เข้าชุดกันกับชุดที่เขาใส่ หัวจรดเท้า ก็ในเมื่อเขากำลังจะได้ลูกสาวของเจ้าสัวตระกูลมั่งคั่งมาเป็นภรรยา ภาพลักษณ์ที่คนอื่นได้เห็น มันก็ต้องเป็นสิ่งที่แพงที่สุด ดีที่สุดเท่านั้น
“อย่าเพิ่งหงุดหงิดไปเลยครับ” เสียงพูดนั้น ทำให้ทิวที่กำลังซับความมันบนใบหน้าของตัวเอง ต้องหันขวับไปมอง “เข้ามาได้ยังไง ใครอนุญาตให้คุณเข้ามาในนี้” ทิวตวาดออกไปด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่า จะได้เจอเจ้าของเสียงนี้ ที่นี่ ใบหน้าของคนที่คุ้นเคยยืนอยู่ไม่ไกลจากเขา
“เสียมารยาทจังเลยครับทิว พี่ก็แค่บอกทีมงานว่า พี่เป็นหนึ่งในเพื่อนเจ้าบ่าว และก็ให้พวกเขาดูรูปที่เราเคยถ่ายด้วยกัน ว่าเราสนิทสนมกันมากแค่ไหน แค่นั้นเอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร” ทิวมีสีหน้าวิตกกังวล เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงเรื่องรูปที่เคยถ่ายด้วยกัน เรื่องความสนิทสนมที่มีในวันวาน เพราะเขาคิดว่า เขาเดินจากอดีตที่เขาจากมา และทิ้งมันเอาไว้เบื้องหลังหมดแล้ว
“เดี๋ยวสิ” ทิวสะบัดแขน เมื่ออีกฝ่ายดึงเขาไว้ได้ทัน ไม่ให้เขาเดินหนีไปได้ “ที่มานี่ ต้องการอะไรกันแน่” ทิวถามเสียงห้วน จ้องใบหน้านั้นอย่างระแวง เรื่องมันกำลังจะเป็นไปด้วยดี เขากำลังจะใช้ชีวิตใหม่ หน้าที่การงาน ธุรกิจที่จะเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ก็กำลังจะรุ่งโรจน์
“พี่มีเรื่องต้องคุยกับทิว” ทิวรีบโบกไม้โบกมือ “ผมไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับคุณทั้งนั้น และถ้าคุณยังไม่ออกไปจากที่นี่ ผมจะเรียกให้คนมาลากคอคุณ แล้วโยนคุณออกไป” ทิวไม่คิดว่า เขาควรจะมาเสียเวลาพูดคุยอะไรกับคนตรงหน้าอีก
“ทิว ช่วยพี่เอาบ้านกลับคืนมาเถอะนะ” ทิวชะงักเมื่อได้ยินประโยคนั้น “มันเกี่ยวอะไรกับผม” ทิวถามกลับ ด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “ทิว ทิวก็รู้ดีว่าพี่เอาบ้านไปจำนอง เพื่อเอาเงินมาให้ทิวลงทุนทำธุรกิจ” คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าทิวพูดด้วยน้ำเสียงที่ปกปิดความเสียใจเอาไว้ไม่มิด
“ทิวเป็นคนขอให้พี่เอาบ้านไปจำนอง พี่ก็ไปพูดกับแม่ให้ บอกกับแม่ว่าทิวจะเอามาทำธุรกิจ แม่ก็เลยยอม” ทิวทำหน้าไม่ถูก เมื่อเขาได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้น “เพราะแม่รักทิว” คำพูดนั้น ทำให้หิวต้องหลบสายตา ก้มลงมองที่พื้น “แม่ยอม เพราะทิวเป็นแฟนพี่ เป็นคนรักของพี่” ทิวขบกรามแน่น เขาไม่อยากได้ยินอะไรแบบนี้อีก
“พอได้แล้ว กลับไปได้แล้ว” ทิวพยายามจะเดินหนีอีกครั้ง แต่คราวนี้อีกฝ่ายรวบตัวของทิวเข้ามากอด “ปล่อยนะ” ทิวร้องบอก พยายามดิ้นให้หลุดจากอ้อมแขนนั้น “ทำไมล่ะทิว แต่ก่อนทิวชอบให้พี่กอดทิวเอาไว้แบบนี้ ไม่ใช่หรือ” น้ำเสียงนั้นตัดพ้อ มันเจือไปด้วยความรู้สึกที่ขมขื่นใจ
“อย่ามาพูดเรื่องบ้า ๆ อะไรแบบนี้นะ” ทิวพยายามดันตัวออกจากอ้อมแขนที่ครั้งหนึ่ง มันเคยอบอุ่นที่สุด “แล้วนี่ ต้องมาทำตัวให้แมนเข้าไว้ เพื่อให้คนอื่นเขาไม่รู้ ว่าตัวตนจริง ๆ ของทิวเป็นยังไง อยู่กับพี่ ทิวจะเป็นยังไงก็ได้ พี่รักทิว แม่พี่รักทิว บ้านพี่มีแต่มอบความรักให้กับทิว ไม่เคยรังเกียจรังงอนอะไรทิวเลย” ทิวฟังแล้วรู้สึกเหมือนโดนมีดปักเข้าที่หัวใจ
“ก็มันไม่เหมือนเดิมแล้วไงล่ะ” ทิวดิ้นสุดแรงจนหลุดออกจากวงแขนนั้น ทิวหอบหายใจแรง ตาขวางมองอีกฝ่าย ภาพในวันวานย้อนกลับมาให้ทิวได้เห็นและจำมันได้อีกครั้ง “อยู่กับพี่แล้วยังไง แม่พี่รักทิวแล้วยังไง ความรักบ้าบออะไรพวกนั้น มันทำให้ทิวได้อย่างที่ทิวเคยฝันไว้มั้ย” ทิวแหวใส่อีกฝ่าย ด้วยน้ำเสียงและจริตที่ใกล้เคียงอิสตรี
“เงินที่พี่ให้ทิวไป มันก็ทำให้ทิวได้มีร้านเสื้อเป็นของตัวเอง” ทิวหัวเราะอย่างดูถูกเมื่อได้ยินประโยคนั้น “นั่นมันร้านตัดเสื้อข้างถนน แถมยังได้แต่ลูกค้ากระจอกงอกง่อย มันไม่มีความหวังอะไรเลย มันจะเทียบอะไรได้ กับร้านแบรนด์หรู ๆ ที่ทิวกำลังจะมี” ทิวมองอีกฝ่ายด้วยสายตาหยามหยัน ไม่อยากจะเชื่อว่า คนที่พูดยังจะคิดอะไรตื้น ๆ แบบนั้นอีก
“ที่ทิวยอมมาแต่งงานกับอีชะนีนี่ ก็เพราะมันรวย และมันก็โง่มากพอที่จะโอนเงินค่าทำร้านมาให้ทิวตั้งหลายล้าน” ทิวกำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมที่เขาใฝ่ฝัน และมันก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม “ส่วนเรื่องเก๊กเป็นผู้ชาย มันจะไปยากอะไร ทีตอนแรกทิวยังเป็นฝ่ายเอาพี่ได้เลย” ทิวหัวเราะออกมาอย่างไม่ยี่หระ รู้ทั้งรู้ ว่าอีกฝ่ายรักเขามาก แม้ว่าที่ผ่านมาก่อนหน้านั้น กับคนอื่นจะเป็นฝ่ายรุกมาโดยตลอด แต่เมื่อถูกทิวขอ เขาก็ยอมให้
“ตอนนี้ทิวก็มีเงินมากพอที่จะช่วยพี่ ไถ่บ้านคืนแล้ว ขอร้องล่ะ มันเป็นบ้านของแม่พี่ ร้านไปไม่ไหว ลูกค้าไม่มีทิวก็ไม่พูด ไม่บอก เล่นส่งค่างวดบ้านไม่กี่งวด แล้วปล่อยให้มันค้าง ไม่ยอมจ่าย ไม่ยอมบอก พี่ถามเมื่อไร ทิวก็โกหกว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่รู้อีกที เงินจากที่จำนองบ้านมา ทิวเอาไปใช้จนหมด ธนาคารก็จะยึดบ้านแล้ว ทิวไม่คิดจะรับผิดชอบเลยหรือ”
“หรือทิวคิดว่า มันคงผิดที่พี่เอง ที่ไว้ใจทิว” คำพูดนั้น มันเสียดแทงความรู้สึกทิว แต่เขาไม่ต้องการจะแสดงออกให้อีกฝ่ายรับรู้ “ช่วยไม่ได้” ทิวยักไหล่ “บ้านพี่ พี่ก็ไปหาทางเอาเอง จะมาฟื้นฝอยหาตะเข็บอะไรกับทิวตอนนี้ ทิวไม่รับรู้อะไรด้วยทั้งนั้นแหละ” ทิวต้องการจะกำจัดคนคนนี้ทิ้ง ทั้งจากตรงนี้และจากชีวิตของเขา ให้เร็วที่สุด
“พี่อย่าพยายามพูดอะไรอีกเลย ยื้อไปก็เท่านั้น เงินพี่ทิวไม่คืน บ้านแม่พี่ พี่ก็จัดการเอาเอง ไม่เกี่ยวกับทิว” ทิวพูดแบบคนที่ไม่เหลือเยื่อใยต่อกันอีกต่อไป “ทิวอาจจะขอเงินพี่ก็จริง แต่ถ้าพี่ไม่ให้ทิวตั้งแต่แรก พี่ก็ไม่ต้องเอาบ้านแม่ไปจำนองไง ก็คิดง่าย ๆ ก็ได้นี่พี่ ว่าพี่เคยติดทิวเอาไว้ แล้วพี่ต้องใช้คืน แค่เนี้ย และอีกอย่างนะ”
“ทิวไม่ได้รักพี่แล้ว” สิ้นเสียงพูดของทิว ทิวก็เห็นอีกฝ่ายหลับตาลง เหมือนกำลังจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะลืมตาขึ้น แล้วเอ่ยขึ้นว่า “เราจบกันจริง ๆ แล้วใช่มั้ย” อีกฝ่ายกลั้นใจถามออกไป “พี่ไม่เคยเข้าใจอะไรยากนี่ ทิวพูดชัดขนาดนี้แล้ว คงไม่เกินสติปัญญาพี่จะเข้าใจล่ะมั้ง พี่มาทางไหน ก็เชิญกลับไปทางนั้น อย่าให้ทิวต้องใช้กำลังโยนพี่ออกไป” ทิวพูด ก่อนจะเดินผ่านอีกฝ่ายไปด้านนอก
พอทิวเดินออกมา ที่หน้าเวทีนั้น ทั้งนักข่าว ทั้งครอบครัวฝ่ายของเจ้าสาวยืนกันอยู่เต็มไปหมด และที่สำคัญ จูน เจ้าสาวของทิว ก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย ทิวหน้าเหวอ ทำอะไรไม่ถูก หันกลับไปมองด้านหลัง ก็เห็นอีกฝ่ายค่อย ๆ ดึงเอาไมโครโฟนที่ซ่อนอยู่ออกมา
“จูนใจเย็นก่อนนะ ทิวอธิบายได้ คือ” ทิวพยายามจะพูดแก้ตัว แต่เขาไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหนก่อน จูนเดินเข้ามาตบหน้าทิวสุดแรง เธอนั้นทั้งเจ็บใจและทั้งอาย เมื่อเธอเชิญนักข่าวมา เพื่อที่จะทำสกู๊ปข่าว เรื่องร้านแบรนด์เสื้อผ้าใหม่ ที่กำลังจะเปิด ที่เธอลงทุนไปมากกว่าสิบล้านบาท แถมเรื่องที่ชวนญาติมา เพื่อหวังจะอวดความสำเร็จของเธอ เรื่องที่ไม่มีใครเชื่อ ว่าทิวนั้นรักเธอจริงและไม่ได้หวังที่จะปอกลอกเธอ
“มึงหลอกกูมาตลอดเลยใช่มั้ย” จูนด่าทิวออกไปด้วยอารมณ์โกรธ อย่างเหลืออด “กูให้หัวใจกับมึง ให้ความรักมึงไปจริง ๆ แต่มึงเสือกทำกับกูแบบนี้ มึงกล้าทำแบบนี้กับกูได้ยังไง” จูนไม่สามารถเก็บอาการเอาไว้ได้ ภาพลักษณ์ความเป็นลูกคุณหนูไม่หลงเหลืออยู่อีก คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเวทีกับเธอ ได้ยินเสียงสนทนานั้นทั้งหมด
“จูนฟังทิวก่อนนะ จูนต้องฟังทิว ไอ้นั่นมันไม่อยากให้ทิวมีความสุข มันไม่อยากเห็นทิวก้าวหน้า มันไม่ต้องการให้ทิวมีชีวิตที่ดีขึ้น จูนต้องเชื่อที่ทิวพูดนะ” ทิวที่เคยมองเห็นทุกอย่าง มากองสยบอยู่แทบเท้าเขา มันกำลังหลุดลอยออกจากชีวิตของเขาไป ต่อหน้าต่อตา
“มึงกับผัวของมึง” จูนที่ใช้มือปาดเช็ดน้ำตาอย่างเร็ว ๆ เพิ่งมองเห็นใบหน้าของคนที่เธอเรียกว่าเป็นผัวของทิวชัด ๆ “พี่รักเรามากนะทิว” เจษพูดกับทิว “เลิกพูดอะไรแบบนี้สักทีได้มั้ย ไม่เห็นหรือไงว่ามึงทำอะไรลงไปบ้าง” ทิวตะโกนด่าเจษจนสุดเสียง และเป็นจูน ที่ตอนนี้หน้าซีดเผือด พูดอะไรไม่ออก และก่อนที่หญิงสาวจะคิดอะไรได้ทัน ที่จอบนเวที คลิปที่ชัดทั้งภาพและเสียง ถูกเล่นผ่านจอภาพนั้น
มันเป็นคลิปวิดีโอ ที่ถูกถ่ายไว้จากห้องน้ำ ที่เห็นจูนกำลังกลืนกินน้ำรักของชายคนหนึ่งลงคอ อย่างหื่นกระหาย เธอเงยหน้ายิ้มชอบใจให้กับผู้ชายคนดังกล่าว จูนมองคลิปนั้นอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ก่อนจะหันมามองหน้าเจษ แล้วถึงได้รู้ว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ เมื่อเจษคือคนที่ตอบรับนัดของเธอในอินเทอร์เน็ตเมื่อคืนนี้
สุดท้ายแล้ว ผมก็ทำในสิ่งที่ผมตั้งใจเอาไว้ ผมไม่รู้ว่ามันเป็นโชคดีของผม หรือมันเป็นกรรมของผู้หญิงคนนี้ ผมเจอแอคเคาน์ออนไลน์ของเธอ ในแอปพลิเคชันหนึ่ง มันเคยถูกตั้งค่าเป็นส่วนตัวเอาไว้ ผมกดขอรีเควสท์เธอไป ไม่คิดว่าเธอจะตอบรับผม เธอคงระวังตัวพอสมควร หลังจากเธอกดรับผม เธอซักถามผมหลายคำถาม ผมได้แต่คุยกับเธอทางออนไลน์ กว่าเธอจะตัดสินใจนัดกับผม เพื่อออกไปมีอะไรกัน
มันคงเป็นด้านมืดของเธอ ผมว่านะ เธอจะนัดผู้ชายไปนอนด้วย เฉพาะตอนที่เธอมีแฟน มันเหมือนเป็นแรงขับทางเพศอะไรบางอย่างของเธอ ที่จะกระตุ้นเธอให้ทำแบบนี้ ตอนที่เธอมีคนรักเท่านั้น เธอทำมันอย่างลับ ๆ เธอต้องมั่นใจว่า คนที่เธอนัดนั้น ไม่รู้จักเธอ ไม่ทิ้งหลักฐานว่าเคยเจอกับเธอ และไม่มีคลิปที่ยืนยันว่าเธอนอกใจ
เธอพลาด เมื่อเธอมาเจอกับผม คนที่ตั้งใจจะทำลายเธอตั้งแต่แรก เธอเมายาตอนที่ลากผมเข้าไปในห้องน้ำ แล้วใช้ปากเสร็จกิจให้ผม ตลอดเวลาที่เธอทำให้ ผมได้แต่นึกถึงภาพใบหน้าของทิว ว่าทิวเป็นคำกำลังทำมันให้ผม และมันก็ช่วยให้อวัยวะของผมแข็งตัว จนผมสามารถเก็บคลิปนั้นมาได้ โดยที่ตอนนั้น เธอไม่มีทีท่าว่าจะอิดออดแต่อย่างใด
จูนต้องกรีดร้องออกมาอย่างอับอาย เมื่อคลิปเล่นมาจนถึงฉากที่เธอกำลังร่วมรักกับชายหนุ่มคนหนึ่งอย่างเร่าร้อน ก่อนที่จะเห็นเธอ ดึงเอาถุงยางที่ผู้ชายคนนั้นสวมอยู่ออก แล้วใส่ความแข็งขันชูชันนั้นกลับเข้าไปในตัวของเธออีกครั้ง ทิวถึงกับต้องอึ้ง เมื่อเขาจำรอยสักที่หน้าอกของผู้ชายที่ไม่เห็นหน้าในคลิป ได้เป็นอย่างดี มันเป็นรอยสักที่เคยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศให้ทิวอย่างที่สุด ทิวมองไปที่เจษอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
ผมต้องยอมใช้ยาเช่นกัน เพื่อช่วยกระตุ้นอารมณ์ ให้การร่วมรักกับผู้หญิงครั้งแรกของผม ผ่านไปได้ ผมไม่ได้สนุกไปกับมัน ผมไม่เคยต้องการจะมีอะไรกับผู้หญิง ผมแค่ปล่อยให้ธรรมชาติมันพาผมไป และแม้ว่าเธอจะยอมมีอะไรกับผมแบบไม่ป้องกัน ผมก็ปล่อยให้มันเป็นไป เธอยอมแม้กระทั่งให้ผมหลั่ง โดยไม่ขอให้ผมถอนตัวออก เธอบอกว่าเธอชื่นชอบแบบนั้น
“โธ่ ว่าแต่กู มึงก็กะหรี่ดี ๆ นี่เอง อีเหี้ย ถอดถุงเอง ปล่อยให้ผู้ชายแตกในเลยนะมึง จะแต่งงานอยู่แล้ว ยังร่านดอกทองออกไปให้ผู้ชายเอา ที่กูทนฝืนใจป้อนมึงทุกคืน ไม่เคยอิ่มเลยสินะ อีห่า” มาถึงนาทีนี้ ทิวไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่ต้องแอ๊บเป็นผู้ชายเต็มตัวแล้ว
“มึงอย่าพูดดีไป เงินที่มึงได้ไปจากกู กูจะเอาคืนมาให้ครบทุกบาททุกสตางค์ มึงมีผัวแล้ว แต่มาหลอกแต่งงานกับกู มึงเตรียมตัวไว้เลย กูจะฟ้องมึงให้เหลือแต่ขนอุย มึงคอยดูกู อีตุ๊ด อีวิปริต” เจษได้แต่มองดูทั้งสองคนใช้ผรุสวาทพ่นใส่กัน
ผมเดินทางมาจนถึงช่วงท้ายของโชว์นี้แล้วสินะ ผมหยิบเอาปืนที่พกมาด้วยออกมา เสียงกรีดร้องดังมาจากกลุ่มคนตรงนั้น คนวิ่งหนีหลบกันไปคนละทิศละทาง เมื่อผมเดินถือปืนเข้าไปหาผู้หญิงและผู้ชายคู่นั้น ทั้งสองยืนนิ่ง ตกตะลึง อาจจะคิดว่าวาระสุดท้ายของพวกเขามาถึงแล้ว ผมวางปืนลงบนโต๊ะ ที่พวกเขาใช้วางดอกไม้เซนเตอร์ พีซ ก่อนที่ผมจะหันหลังเดินช้า ๆ
ผมเดินจากตรงนั้นมาได้เพียงไม่กี่ก้าว ผมรู้จักทิว คนที่ผมเคยรักที่สุดในชีวิต เป็นดั่งดวงใจของผมดี และมันก็เป็นเช่นนั้น มันมีเสียงเดินตามผมมา ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงคลิกตั้งไกปืน เสียงที่ผมคุ้นเคย ที่ผมได้ยินมันหลายครั้ง เมื่อคิดจะปลิดชีวิตตัวเอง ความเย็นเฉียบของปลายกระบอกปืนกดเข้าที่หลังหัวของผม ผมหยุดยืนนิ่ง และหลับตาลง
ทิวยืนเอาปืนจ่อหัวผม มือของเขาสั่น แต่อย่างที่ผมบอก ผมรู้จักเขาดี เขาไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไรขนาดนั้น คนที่จะหยิบเอามัจจุราช แล้วกดลูกโม่ให้กระสุนฝังเข้าไปในหัวผมหรอก มันไม่มีทางเป็นเขาไปได้ ทิวลดปืนลง เขาทำไม่ลง เพราะรู้ดี ว่าไม่มีใครรักเขามากเท่าผมอีกแล้ว ผมจึงได้เตรียมคนที่สามารถปลิดชีพของผมโดยที่จะไม่ลังเลเอาไว้แล้วไง
จูนที่ขาดสติยับยั้ง วิ่งมาจับมือของทิวที่ยังถือปืนอยู่ ลั่นไกปืนออกไปหนึ่งนัด ร่างของเจษล้มลงกองอยู่ที่พื้น เจษตัวกระตุกอยู่หลายที ก่อนจะแน่นิ่งไป ทิวโยนปืนทิ้งลงพื้น ก่อนจะหันมาเกรี้ยวกราดตวาดใส่จูน ว่าทำแบบนั้นทำไม จูนที่พอความโกรธจนหน้ามืดลดลง เธอก็เพิ่งจะคืนสติ และเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ที่มันไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรให้คืนกลับมาได้แล้ว
ทศกดปิดการเชื่อมต่อไฟล์ขึ้นไปบนจอเวที ก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้น ทุกอย่างมันดูหนักอึ้งไปหมดสำหรับเขา ชายหนุ่มใจสลาย เมื่อเขารู้ดีว่า เจษไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว ทศที่เข้ามาเป็นช่างเทคนิคของงานแต่งนี้ อาศัยความรู้ความชำนิชำนาญในเรื่องเทคโนโลยี ทำให้สิ่งที่เขารับปากกับเจษไว้ เป็นไปตามที่เจษต้องการ
“ช่างมันสิวะ พี่ปล่อยมันไป อย่าไปยุ่งอะไรกับเรื่องนี้อีก” ทศพูดขอร้องเจษ เมื่อเจษบอกข่าวร้ายกับเขาในเย็นวันหนึ่ง “ผมขอนะพี่ จะหนึ่งเดือน หรือแค่สัปดาห์เดียว ขอให้ผมได้อยู่กับพี่ อยู่กับพี่จนวันสุดท้าย” ทศน้ำตาคลอหน่วย สิ่งที่เขาต้องมารับรู้ มันเกินกว่าที่เขาจะรับไหว
“มันไม่มีประโยชน์หรอก สุดท้ายพี่ก็ตายอยู่ดี” เจษบอกกับทศไปแบบนั้น เมื่อมะเร็งสมองของเขาลุกลามจนเกินรักษา “ถ้าพี่จะเห็นแก่ตัว ขอให้ทศร่วมมือ ทำอะไรให้พี่ ทศจะยอมทำมันมั้ย” หมอวินิจฉัยว่า เขาจะอยู่ได้อีกแค่ไม่เกินเดือน ซึ่งแม้ว่าเจษจะไม่มีอาการใด ๆ แต่ระยะของโรคมันไม่ให้โอกาสเขาได้สู้ต่อแล้ว แถมแม่ของเจษ ก็ตรอมใจจนเสียชีวิตไปแล้ว เพราะเรื่องบ้าน ที่สุดท้าย บ้านก็ต้องถูกธนาคารยึดไป
“พี่อยากจะจากไปแบบไม่มีอะไรติดค้างในใจ” เจษบอกกับทศไปแบบนั้น “พี่จะอยากรู้ไปทำไม ว่าคนแบบนั้น คิดอะไรกับพี่ ยังรู้สึกอะไรกับพี่หรือเปล่า” ทศไม่เข้าใจ ว่าเจษยังอาลัยอาวรณ์คนพรรค์นั้นไปเพื่ออะไร “เหมือนอย่างที่เขาฮิต ๆ กันไง” เจษพูด ยิ้มเศร้า ๆ
“จุดแข็ง พี่รักคนยาก” เจษพูดพลางมองหน้าทศ “จุดอ่อน แต่ถ้าได้รักแล้ว พี่รักไม่เปลี่ยนใจ” ทศเห็นเจษฝืนยิ้ม หลังจากปล่อยมุกที่ฝืดที่สุด ที่ทศเคยได้ยินมา “แล้วทศล่ะ มีจุดแข็งจุดอ่อนอะไรกับเขามั้ย” เจษถามรุ่นน้อง ที่เพิ่งมาสารภาพรักกับเขาเมื่อไม่นานมานี้
“จุดแข็งของผม” ทศพูดขึ้น สบตากับเจษด้วยความรู้สึกรักพี่ชายคนนี้อย่างสุดหัวใจ “คือผมรักพี่” ทศพูด เจษน้ำตาคลอหน่วย เม้มริมฝีปาก พยักหน้ารับรู้ “จุดอ่อนคือ พี่ไม่รักผม” เจษหลับตา แล้วปล่อยให้น้ำตาไหลลงอาบแก้ม ทศโผเข้าหาเจษ กอดเจษเอาไว้ให้แน่นที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ ก่อนที่ทศจะไม่มีโอกาสได้กอดเจษแบบนี้อีก และมันคงจะดีไม่น้อย ถ้าหากว่าฟ้าจะให้เขาสองคนเจอกันเร็วกว่านี้
***************************************
Inspired by “เพลงคาใจ”
คำแปลเนื้อเพลงภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA
English Lyrics Translation by KADUMPA
https://www.youtube.com/watch?v=J4mdxo4VPG4กลับมาหาเธอโดยรู้ดี
Got to come back to see you
ว่าวันนี้ต้องเจอเธอมีคนใหม่
See that you’ve been with someone new
เจอะเขาและเธออยู่เคียงข้างกาย
I can tell that you two are now intimate
แต่ยังไงก็คงต้องมา
Still, I really need to come here
ก็ยังคาใจข้างในลึกลึก
There’s something stuck on my mind
ที่เธอลืมกันไม่ทันพูดคำลา
You forgot about us, without a word to say
จืดจางกันไปไม่ทันพบหน้า
Love faded away, you didn’t want to stay
จึงต้องมา มาหาเธอ
I’ve gotta come see you today
บอกกับเค้าได้ไหมว่าให้หันไปก่อน
No need to be alarmed, giving your love peace of mind
อ้อนวอนขอให้เขาเห็นใจกันบ้าง
I’m begging of you a simple compassion
ที่ต้องการเพียงจะลา
All I want is just a nice goodbye
มองหน้าเธออีกครั้ง
One more time, look into your eyes
อย่างลำพังโดยไม่มีคนอื่น
Without anyone, just the two of us
บอกคนของเธอให้เข้าใจ
You can say this to make your love understand
ว่าทำไมฉันจึงจงใจมา
Why I did intend to be here right now
แค่เพียงไม่นานคงไม่ว่า
It will not take long, be courteous
ให้เวลาได้ลาซักคำ
I’ll have a moment with you to bid a farewell
ก็ยังคาใจข้างในลึกลึก
There’s something stuck on my mind
ที่เธอลืมกันไม่ทันพูดคำลา
You forgot about us, without a word to say
จืดจางกันไปไม่ทันพบหน้า
Love faded away, you didn’t want to stay
จึงต้องมา มาหาเธอ
I’ve gotta come see you today
บอกกับเค้าได้ไหมว่าให้หันไปก่อน
No need to be alarmed, giving your love peace of mind
อ้อนวอนขอให้เขาเห็นใจกันบ้าง
I’m begging of you a simple compassion
ที่ต้องการเพียงจะลา
All I want is just a nice goodbye
มองหน้าเธออีกครั้ง
One more time, look into your eyes
อย่างลำพังโดยไม่มีคนอื่น
Without anyone, just the two of us
บอกกับเค้าได้ไหมว่าให้หันไปก่อน
If you can, tell your loved one to turn the other way
อ้อนวอนขอให้เขาเห็นใจกันบ้าง
I’m asking for this simple sympathy
ที่ต้องการเพียงจะลา
I would love to say to you this goodbye
มองหน้าเธออีกครั้ง
Look into your eyes just once
อย่างลำพังโดยไม่มีคนอื่น
Us alone without anybody else
ที่ต้องการเพียงจะลา
I would love to say to you this goodbye
มองหน้าเธออีกครั้ง
Look into your eyes just once
อย่างลำพังโดยไม่มีคนอื่น
Us alone without anybody else
ที่ต้องการเพียงจะลา
Wish to say this goodbye
มองหน้าเธออีกครั้ง
Look you in the eye for one last time
เอ่ยคำลาคำที่มันคาใจ
Say the word that I have in mind