กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: [1] 2 3 4 5 ... 10
1
จุดกำเนิดและพัฒนาการโดยสังเขป
ยุคโบราณ: ในอารยธรรมใหญ่ ๆ เช่น อียิปต์โบราณ, เมโสโปเตเมีย, กรีก, และโรมัน มีกฎหมายหรือธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการสืบทอดทรัพย์สินเพื่อธำรงรักษาความมั่งคั่ง และสถานะของครอบครัวไว้ในกฎหมายโรมันโบราณ (โดยเฉพาะกฎหมายสิบสองโต๊ะ) มีการกำหนดเรื่องมรดกและพินัยกรรมอย่างละเอียด ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของกฎหมายมรดกในระบบกฎหมายแพ่งสมัยใหม่

ยุคกลาง: การสืบทอดมรดกมีความเชื่อมโยงกับระบบศักดินาและที่ดิน การจัดการมรดกส่วนใหญ่เน้นไปที่การส่งต่อที่ดินและบรรดาศักดิ์ตามหลักการของบุตรคนโต (Primogeniture)

ยุคปัจจุบัน: กฎหมายมรดกได้รับการพัฒนาให้ครอบคลุมและยุติธรรมมากขึ้น โดยเน้นที่เจตจำนงของผู้ตาย (ผ่านพินัยกรรม) และการคุ้มครองสิทธิของทายาทตามกฎหมาย

การวางแผนมรดก
การวางแผนมรดก (Estate Planning) คือการจัดเตรียมการโอนทรัพย์สินให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของผู้เป็นเจ้าของ หลังจากการเสียชีวิต โดยมีเป้าหมายเพื่อ ลดภาระทางภาษี หลีกเลี่ยงข้อพิพาท และ รับประกันความมั่นคง ให้กับผู้ที่รัก

1. วิธีการวางแผนมรดก
การวางแผนมรดกที่ดีควรเริ่มต้นด้วยการรวบรวมข้อมูลทรัพย์สินและหนี้สินทั้งหมด แล้วจึงเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม
การทำพินัยกรรม (Will): เป็นเอกสารสำคัญที่สุดในการแสดงเจตจำนงในการแบ่งทรัพย์สินและแต่งตั้ง ผู้จัดการมรดก (Executor) หากไม่มีพินัยกรรม การแบ่งทรัพย์สินจะเป็นไปตามกฎหมายเท่านั้น

การกำหนดผู้รับผลประโยชน์ในกรมธรรม์ประกันชีวิต: ประกันมรดก เงินสินไหมทดแทนจากประกันชีวิตจะถูกส่งต่อให้แก่ผู้รับผลประโยชน์โดยตรง และไม่ถือเป็นทรัพย์มรดกที่ต้องนำไปรวมแบ่งตามกฎหมาย (ทำให้ผู้รับได้รับเงินรวดเร็ว)

การใช้กองทุนและทรัสต์ (Trust): เป็นเครื่องมือในการโอนทรัพย์สินไปยังทรัสต์ โดยมีผู้จัดการทรัสต์ทำหน้าที่ดูแลและส่งต่อผลประโยชน์ให้แก่ทายาทตามเงื่อนไขที่กำหนด

การโอนทรัพย์สินโดยการให้: การโอนทรัพย์สินล่วงหน้าขณะยังมีชีวิตอยู่ (เช่น การให้เงินสด หรือโอนอสังหาริมทรัพย์) เพื่อลดภาระมรดกในอนาคต แต่อาจมีภาระภาษีการให้เข้ามาเกี่ยวข้อง



การจัดการมรดกเป็นเรื่องของทุกคน ไม่ใช่แค่คนรวย การวางแผนที่ดีจะช่วยให้ทรัพย์สินที่คุณสร้างมาสามารถส่งต่อความตั้งใจและความมั่นคงให้กับคนที่คุณรักได้อย่างราบรื่นและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของคุณ


2
Boy's love story / Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 29 : คืนไร้ดาว
« กระทู้ล่าสุด โดย Milky_Milky_Way เมื่อ 30-10-2025 10:59:09  »
“มึงรู้ตัวใช่ไหมว่าถ้ามึงไม่ได้ยึดติดกับไอ้จี ตอนนี้มึงมีแฟนไปแล้ว”

“รู้ แต่กูก็ไม่รู้จะทำยังไง มันรู้สึกไปแล้ว”

“กูจะบอกมึงว่า หายเจ็บแล้วเริ่มต้นใหม่นะ ไม่ใช้ว่าคนที่ได้เป็นแฟนไอ้จีจะเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกคนเดียว ...”

“... แต่ใครก็ตามที่มึงเลือก ก็โชคดีที่สุดในโลกเหมือนกัน … ตอนนี้คนต่อแถวรอเป็นผัวมิลค์ ติฒสิงห์ ยาวไปจนถึงดาวเสาร์แล้วมั้ง”


----------


#เพื่อนแท้ #คนโชคดี #คืนไร้ดาว
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
3
Boy's love story / Re: SHORT: Venom & Feathers: นาโครคินทระ - กาศยป (๗) คนธรรพ์ 30/10/2568
« กระทู้ล่าสุด โดย KADUMPA เมื่อ 30-10-2025 10:09:01  »



“ก็แกไม่เชื่อที่แม่ของขมิ้นพูด” แจนตอบคำถามของเขมรัฐที่ถามออกมาว่า “แจน นี่แกพาฉันมาที่นี่ทำไม” เพื่อนผู้หญิงที่สนิทที่สุดของวาตะ พยายามอธิบายเรื่องนี้ให้กับเขมรัฐได้เข้าใจ “ที่นี่ วันนั้นขมิ้นบอกว่ามาที่นี่” แจนบอกกับเขมรัฐถึงตอนที่โทรชวนวาตะให้มาทานข้าวมื้อเย็นด้วยกัน ขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินเข้าไปในพื้นที่จัดนิทรรศการ ที่มีรูปวาดของพญานาคจัดแสดงอยู่

 

“เชิญด้านในเลยค่ะ ตอนนี้นิทรรศการภาพวาดนาโครคินทระ เจ้าแห่งวงศ์วานนาค กำลังจัดแสดงอยู่ที่ทางด้านซ้ายนะคะ” เจ้าหน้าที่ผู้นำชมและให้ข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับนิทรรศการกล่าวเชื้อเชิญเขมรัฐและแจน ให้เข้าไปด้านใน “ส่วนทางด้านขวา ตอนนี้ทางสต๊าฟกำลังจัดเรียงภาพวาดใหม่เพิ่มเติม” เขมรัฐและแจนกันไปมองตามการผายมือของทางเจ้าหน้าที่

 

“กาศยป” เจ้าหน้าที่พูดขึ้น “เจ้าแห่งเผ่าพันธุ์ครุฑ” สายตาของทั้งเขมรัฐและแจนมองไปที่ภาพวาดที่สต๊าฟกำลังยกขึ้นติดตั้ง ภาพวาดนั้นเป็นภาพวาดของครุฑ ที่ดูราวกับจะเป็นครึ่งกันระหว่างมนุษย์และครุฑ ใบหน้าอันงดงามอ่อนหวาน เพียงแต่สายตานั่นต่างหาก ที่ดูโหยหาและรอคอยอะไรบางอย่าง ให้ได้กลับมาพานพบกันอีกครั้ง เจ้าหน้าที่เดินจากไป หลังจากให้ข้อมูลเหล่านั้นเสร็จสิ้น

 

“ทีนี้แกจะเชื่อได้หรือยัง” ยิ่งมองภาพวาดนั้นนานเท่าไหร่ แจนก็ยิ่งปักใจว่า ขนาดมองจากไกล ๆ นั่นคือภาพวาด ที่ละม้ายคล้ายคลึงกับวาตะมากจนเหลือเชื่อ และมันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน ฝ่ายเขมรัฐเองนั้น เขาหันไปมองภาพวาดที่ถูกเขียนกำกับเอาไว้ว่า นาโครคินทระ แววตาของผู้ที่อยู่ในภาพวาดนั้นมีความดุดันด้วยความรู้สึกรุนแรงในอารมณ์ เสมือนว่าจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนทั้งนั้น มาขัดขวางในสิ่งที่เขาต้องการ



“แกเดินมาดูนี่” แจนที่ยืนอยู่ที่ด้านหน้าภาพวาดของกาศยป ร้องบอกเพื่อนให้ตามเธอมา เขมรัฐเดินตามแจนมาหยุดยืนอยู่ที่ภาพวาดภาพนั้น “แล้วแกบอกฉันที ว่านี่มันไม่ใช่ขมิ้น วาตะคามิน เพื่อนของเรา” เขมรัฐจ้องไปที่ดวงตาของผู้ที่อยู่ในภาพวาดตรงหน้า ทั้งที่ใจของเขมรัฐ อยากจะปฏิเสธสิ่งที่ตัวเขาเองนั้น กำลังมองเห็นอยู่ตรงหน้า แต่แววตาคู่นั้น ไม่ว่าจะมองยังไง ก็คือวาตะ ภาพนั้นตะโกนใส่เขาว่า นี่คือวาตะคามิน


 
“มันยิ่งตอกย้ำมากขึ้นเข้าไปใหญ่ กับคลิปที่แม่ของวาตะเอาให้ดู ใช่มั้ย” เขมรัฐจำสิ่งที่อยู่ในคลิปที่แม่ของวาตะเปิดให้ดู มันคือวาตะที่กำลังร่ายรำขณะที่ดวงตากำลังหลับอยู่ เสมือนหนึ่งว่าได้ยินเสียงเพลงบรรเลง มาจากที่ไหนสักแห่ง ด้วยท่วงทำนองที่ทำให้วาตะเคลื่อนขยับร่างกายด้วยความพลิ้วไหว คล้ายกับว่าเจ้าตัวนั้นเอง มีปีกสยายอยู่ที่ด้านหลัง ให้การร่ายรำนั้นอ่อนช้อยสวยงามไม่มีที่ติ ทั้ง ๆ ที่แม่ของวาตะยืนยันว่า ตอนนั้น วาตะไม่รู้สึกตัวเสียด้วยซ้ำว่ากำลังทำอะไรอยู่


 
“รูปวาดนี้ให้ติดที่ไหนดีครับหัวหน้า” หนึ่งในสต๊าฟถามกับหัวหน้าฝ่ายจัดนิทรรศการ ถึงภาพวาดรูปสุดท้ายที่เหลืออยู่ เขมรัฐมองไปที่ภาพที่สต๊าฟคนนั้นถืออยู่ในมือ มันคือภาพของใครคนหนึ่งที่คล้ายกับมนุษย์รูปงาม “ภาพคนธรรพ์นั่น” แจนถึงกับต้องยกมือขึ้นปิดปาก เมื่อภาพวาดตรงหน้า มันมีความใกล้เคียงกับเขมรัฐราวกับตัวเขานั้น นั่งให้จิตรกรถอดแบบวาดภาพเหมือนให้ อย่างไรอย่างนั้น



“คนธรรพ์นี้ ว่ากันว่าบางตนที่เกิดในชั้นคนธรรพ์ลำดับล่าง จะทำตัวเป็นบริวารแก่เทพที่มีชั้นสูงกว่าบนสวรรค์ ด้วยความที่มีความสามารถด้านดนตรีและขับร้อง จึงสามารถหว่านเสน่ห์ให้กับใครต่อใครได้หลงใหลได้โดยไม่ยาก” ผู้นำชมนิทรรศการที่เดินผ่านมาพอดี ให้ข้อมูลกับเขมรัฐและแขนเพิ่มเติม “ด้วยความต้องการด้านกามคุณนั้น มักก่อความรำคาญ จนถึงขั้นก่อความเดือดร้อน สร้างหายนะให้กับบรรดาเทพ ครุฑ และนาค ได้โดยแท้” เป็นรายละเอียดที่ทำให้เขมรัฐถึงกับต้องสะอึกอยู่ในใจ ขึ้นมาในทันทีทันใด

 

“ด้วยเหตุนี้ข้าจึงกระวนกระวาย ด้วยว่าหมายจะนำสารถวายท่าน อกระส่ำกำสรวลกลางหมู่มาร ว่าพลางพาลเห็นพระทัยองค์ครุฑา” เมื่อได้จังหวะพบเจอกับท่านกายศป ตามที่ได้วางแผนเอาไว้ล่วงหน้า ด้วยการล่อลวงหนึ่งในครุฑสาว ที่รักการดื่มด่ำกำซาบรสชาติหฤหรรษ์ ให้บอกถึงเวลาไหน ที่ใด จะได้พบเจอกับพญาครุฑอย่างแน่นอน ด้วยว่าคนธรรพ์อย่าง ปรินทร ที่เชี่ยวชาญการหว่านเสน่ห์ให้คนลุ่มหลง ไม่ว่าจะเป็นชาติบุรุษหรืออิสตรีเพศก็ตาม


 
“เห็นกับตาข้าจึงกล้ามาเอ่ยกล่าว ขอท่านท้าวดำริวินิจฉัย เผ่านาคีควรค่าหรือกระไร เกลือกกลั้วไซร้ฉุดต่ำมิบังควร” ปรินทร ผู้ซึ่งได้รับพรจากองค์อินทร์ ได้รับการตั้งชื่อใหม่ หลังจากที่ได้ใช้วาทศิลป์ที่ติดตัว เล่าเรื่องราวความชอกช้ำระกำใจ กับการเป็นคนธรรพ์ที่มีแต่คนมาสั่งมาจิกใช้ เสมือนหนึ่งว่าเป็นผู้ที่ไร้ค่าก็มิปาน องค์อินทร์ที่ได้ยินเรื่องเล่าอันแสนระทม ก็หลงเชื่อไปว่าเป็นความจริง มอบชื่อ ปรินทร ที่แปลว่า ผู้เป็นใหญ่เหนือคนอื่นกับคนธรรพ์ตนนี้



“ทิชชากรองค์นี้วิลาวัณย์ อยู่สวรรค์ชั้นฟ้าดาราสมร หากจะคู่ต้องใช่แค่หมู่ภมร ยิ่งลดทอนหย่อนค่าด้วยนาคิน” ด้วยใจที่ริษยาแค้นเคือง เมื่อปรินทรล่วงรู้ว่า ทิชชากรครุฑครึ่งมนุษย์ ที่สวยสง่าสมกับคำร่ำลือ นั้นมีใจให้กับโภคิน พญานาคหนุ่ม ผู้ซึ่งบำเพ็ญเพียรสะสมบุญญา มีตบะแก่กล้า สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์แบบ ได้ตามใจชอบ



แม้ว่าคนธรรพ์อย่างปรินทร จะมีลักษณะใกล้เคียงกับมนุษย์จริง ๆ แต่ด้วยศักดิ์และสิทธิ์ที่ห่างไกลจากโภคินเป็นล้นพ้น การได้เห็นโภคินได้เสวยสุขกับทิชชากร ครุฑครึ่งมนุษย์ที่ตนใฝ่ฝัน เฝ้าก้อร่อก้อติก หว่านเสน่ห์ใส่ แต่ก็ไม่เป็นผล แต่โภคินนั้น เพียงพบกับทิชชากรได้ไม่กี่ครั้ง ก็แอบลักลอบมอบเกล็ดแห่งนาคและขนปีกแห่งครุฑ แลกไว้แทนใจกันเพื่อแทนความคิดถึง แต่กับปรินทรผู้ที่มักใหญ่ เพราะได้รับพรจากองค์อินทร์ ก็เกิดอาการเกลียดชังและริษยาขึ้นในใจ ไม่อยากให้โภคินได้ดีไปกว่าตน

 

“ด้วยว่าครุฑและนาคต้องราวี จะญาติดีต่อกันเป็นเมียผัว คงต้องถูกทั้งสวรรค์เข้าพันพัว หัวร่อกลั้วกาศยปว่าบรรลัย” ท่านกาศยปยกมือห้ามเจ้าคนธรรพ์ ไม่ต้องพูดอะไรอีก แค่นี้ ความแค้นและความอับอายก็เพิ่มเป็นเท่าทวีคูณ พระนายแม่ผู้นั้น ก็ถูกไต่สวนทวนความจริงในทันที ว่าพระนางนั้นรู้เห็นเป็นใจกับทิชชากรด้วยหรือไม่ กับการลักลอบมีความสัมพันธ์กับพญานาคหนุ่มผู้เพียบพร้อม พระนายแม่ได้แต่ตอบตามความจริงไป ว่าพระนางนั้น เห็นว่าลูกชายของพระนาง มีเกล็ดแห่งนาคอยู่ในครอบครองจริงดั่งที่คนธรรพ์ปรินทรว่ามา

 

“อันที่จริงเรื่องน่าบัดสีทำนองนี้ ผมไม่อยากจะพูดอะไรมากให้เสนียดปาก” ภายใต้อาการที่แสดงออกมาอย่างรู้สึกรังเกียจ จนดูขนลุกขนพองไปหมดนั้น แววตากลับรู้สึกสะใจ ที่ตัวเองกำลังจะสมหวังกับเรื่องนี้ “มันจะเป็นไปได้ยังไงครับ ผู้ชายด้วยกันเอง มามีความสัมพันธ์แบบโรแมนซ์ ประหนึ่งว่าเป็นคู่ชายและหญิงแบบนั้น สังคมจะได้พบพานความวิปริตวิปลาสกันอย่างเต็มตาก็คราวนี้เสียกระมัง” อติรุจ ผู้ซึ่งชื่อแปลว่าผู้รุ่งเรืองที่ยิ่งใหญ่ บอกกับชายชาวต่างชาติที่นั่งอยู่ตรงหน้า

 

“กระผมเองก็ไม่รู้เรื่องรู้ความกระไรหรอกครับนายฝาหรั่ง แค่ว่าอยากจะถามนายฝาหรั่งว่า ที่บ้านเมืองยุโรปที่ครอบครังของท่านจากมา รับเรื่องราวลามกจกเปรตแบบนี้กันได้หรือไร แต่ที่เมืองสยามแห่งนี้ คงจะล้าหลังกว่าเมืองฝาหรั่งโขอยู่ การที่ชายจะเสพสังวาสกับชาย ด้วยกลกามเวจมรรค คิดแล้วก็ทำให้ได้แต่สลดหดหู่ใจ” บิดาชาวต่างชาติที่ลูกชายกำลังถูกผู้ชายคนนี้ ที่ครอบครัวฟอล์คเนอร์กำลังอาจจะต้องพึ่งพาเรื่องเงินทองจากเขา ต้องนั่งอดทนฟังคำพูดบาดหูกรีดใจอยู่อย่างนั้น

 

“แต่กระผมคิดว่า วิเลโอ ลูกชายของนายฝาหรั่ง ไม่น่าจะใช่คนที่เข้าหานายวิษธรอะไรนั่น แต่ต้องเป็นนายคนนั้นนั่นแหละ ที่ใช้วิธีการฉ้อฉลล่อลวงให้วิเลโอ ตกลงทำอะไรวิปริตวิปลาส สร้างความทุเรศลูกตาหาใครได้มาพบเห็น นับเป็นการจงใจอย่างแจ่มแจ้งที่ต้องการจะให้วิเลโอ ลูกชายของนายฝาหรั่ง ให้แปดเปื้อนราคี ตามแต่ที่นายวิษธรนั่นจะจับ จะลูบคลำ หรือจงใจจูบตรงไหน ก็ต่ำช้าลงตรงนั้น” อติรุจสนุกไปกับการเห็นท่าทางชายชาวต่างชาติสูงวัย กระสับกระส่าย ดูก็รู้ว่าคำพูดของเขานั้น มีผลต่อมิสเตอร์เจ้าของนามสกุลฟอล์คเนอร์เป็นอย่างมาก

 

“ถึงจะอย่างนั้น” อติรุจพูดขึ้น เพื่อจงใจจะกดดันมิสเตอร์ฟอล์คเนอร์ให้ทำตามที่เขาต้องการ “หากว่านายฝาหรั่งต้องการให้กระผมช่วยเหลือเรื่องการเงินกับนายฝาหรั่งต่อจากนี้ ก็ให้นายฝาหรั่งหายกังวลได้เลย แถมยังไม่ต้องหวั่นใจว่า วิเลโอจะถูกไอ้ชาติชั่วอติรุจ ล่อลวงไปกระทำย่ำยีเสียยิ่งกว่านารีใด กระผมยินดีที่จะมอบเงินต่อทุนให้โดยคิดดอกเบี้ยอย่างคนกันเอง แถมกระผมจะรับวิเลโอมาดูแลเอง ปกป้องเอง แทนนายฝาหรั่ง ให้ปลอดภัยจากปากเหยี่ยวปากกา ขอให้นายฝรั่งจงวางใจ” มิสเตอร์ฟอล์คเนอร์มองเห็นแววตาของอติรุจ ที่ดูเหมือนจะถูกใจเป็นอย่างมาก หากว่าปลาจะฮุบเหยื่อโดยง่ายดาย

 

“เอ็งน่ะรึ คือไอ้ไม้มั่น” เจ้าของชื่อที่นั่งคุกเข่าพนมมืออยู่ต่อหน้าบุคคลที่เป็นแขกคนสำคัญของนายท่านกับนายแม่ “ข้าได้ยินท่านพ่อและท่านแม่ของคุณปรุง เล่าให้ฟังถึงเอ็ง ว่าทั้งสองเก็บเอ็งมาเลี้ยงตั้งแต่ยังแบเบาะ” คนถาม ใช้น้ำเสียงที่ทำให้ผู้ที่ถูกพูดด้วยนั้นรู้ตัวว่าตัวผู้พูดนั้น สำคัญกว่าเพียงใด “เป็นจริงตามนั้นขอรับ คุณปราชญ์” ไม้ตอบรับคำกับสิ่งที่ตัวเขาเองนั้นปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน

 

“เอ็งมันก็ถือว่าเป็นผู้มีบุญกับเขาอยู่บ้างสินะ” ปราชญ์พูดกับไม้ มองดูหนุ่มผิวเข้ม หน้าตาหล่อเหลาเกินกว่าบ่าวไพร่ในเรือนโดยทั่วไป แถมหุ่นกำยำล่ำสัน บ่งบอกถึงความหนักเอาเบาสู้ ไม่เกี่ยงงานใช่แรงเยี่ยงโคกระบือแต่อย่างใด “นายท่านถึงได้รับตัวเอ็งมาชุบเลี้ยง ด้วยคนงานไปเจอตัวเอ็งนอนถูกผ้าผืนเดียวห่ออยู่ริมน้ำ แถมยังมีงูจงอางขนาดเขื่อง ผิวมันเลื่อม นอนขดล้อมตัวเองเอาไว้ ให้เขาลือกันว่า เป็นลูกงูเจ้างูผี” สิ่งที่ไม้ได้ยินคุณปราชญ์พูด คือเรื่องเดียวกันกับที่นายท่านและแม่นาย บอกกล่าวกับเขาเอาไว้ตั้งแต่จำความได้เช่นกัน

 

“ไม้มั่น” ปราชญ์เรียกย้ำชื่อของอีกฝ่าย “ถึงว่านายท่านได้มอบชื่อนี้เอาไว้ให้กับเอ็ง เพราะเอ็งคงดวงจะแข็งจริง ถึงได้รอดอสรพิษร้ายแรงแบบนั้นมาได้ โดยไม่มีแม้ริ้วแม้รอยข่วนสักแห่ง” ปราชญ์ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ตัวเขานั้น ทำไมถึงรู้สึกไม่ถูกชะตากับไม้มั่นตั้งแต่ได้รับรู้เรื่องราวความเป็นมาเป็นไปนี้ของอีกฝ่าย หรือมันคือความอิจฉา ที่อยู่ ๆ บ่าวในเรือนที่ต่ำต้อย ดูจะมีประวัติที่น่าสนใจ จนใคร ๆ ก็พากันพูดถึง

 

“นายท่านเมตตาบ่าวจนเกินกว่าจะตอบแทนได้หมด บ่าวระลึกถึงเรื่องนี้อยู่ทุกค่ำคืน” ไม้มั่นพูดออกไปด้วยความเจียมตัว “ส่วนชื่อของบ่าวนั้น คงเห็นว่าบ่าวจะเป็นหลักเป็นฐาน ดูแลนายน้อยของบ้านนี้ได้ เมื่อวาระนั้นมาถึง ด้วยว่านายท่านให้บ่าวจดจำใส่กะโหลกเอาไว้ว่า มันพ้องกันกับ หมายมั่น เพื่อการภาคหน้า เมื่อนายท่านและแม่นายได้รับพร จนกำเนิดคุณปรุงมาเป็นขวัญแห่งเรือน และคุณปรุงก็มาเป็นนาย เพื่อให้บ่าวอย่างไอ้ไม้มั่น เป็นหลักแห่งความมั่นคง ดูแลนายน้อยสืบไป ขอรับคุณปราชญ์”

 

“อย่างนั้นรึ ข้าหวังว่าเอ็งคงจะไม่ได้แต่งเรื่องขึ้นมาเอง หรือเพ้อพกเอาว่า คนเป็นนายจะคิดหยิบเอากรวดขึ้นมาถากกับเพชรกับพลอยหรอกนะ” ปราชญ์ยิ้มเยาะ เมื่อเห็นไม้ก้มหน้าลง ดูต่ำต้อยด้อยค่าลงไปถนัดใจ “เหตุว่าข้า คือพี่ปราชญ์มองเห็นน้องปรุงเป็นมากกว่าแค่คนรู้จัก ความว่าสองบ้านของข้ากับนายท่าน จะผูกพันรักใคร่กันเสียมากมาแต่ไหนแต่ไร” ไม้มั่นมองสบตากับปราชญ์ที่รออยู่ก่อนแล้ว



“เอ็งคงไม่คิดไปไกลเลยเถิดนะ ไอ้ไม้มั่น ว่าความใฝ่สูงเกินวาสนาของเอ็ง จะได้รับการยกย่อง และสนองให้เอ็งได้สมใจปรารถนา ขอให้ข้าได้พูดใส่หน้าเอ็งเสียแต่บัดนี้เสียเถิด ให้เอ็งได้มีลมหายใจ อยู่จนความแก่เฒ่ากำหนดสิ้นอายุขัย แทนที่ตายโหงด้วยการบั่นคอเสียจนกระเด็น” ไม้มั่นรับรู้ได้ถึงความหมายที่ปราชญ์พูดกับเขาแบบตรง ๆ

 

“แกยังจะไม่เชื่ออยู่อีกมั้ย เรื่องขมิ้นกับใครคนนั้น ที่ตามกันมาจากชาติที่แล้ว” แจนถามเพื่อนตรง ๆ หลังจากที่ทั้งคู่ ได้เห็นภาพวาดคนธรรพ์ ที่ดูอย่างไรก็เหมือนกับเขมรัฐ ยิ่งภาพวาดกาศยป ที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้เลย ว่าเหมือนกับหน้าตาของวาตะคามินอย่างที่สุด “แล้วแกรู้ได้ยังไง ว่าพอมาเป็นชาตินี้ เป็นปัจจุบันแล้ว วาตะยังจะต้องคิดเหมือนเดิม หรือรู้สึกกับไอ้หมอนั่นอย่างเมื่อก่อน ทุกอย่างมันอาจจะเปลี่ยนไปหมดแล้วก็ได้ วาตะอาจจะไม่ได้อยากจะยุ่งเกี่ยวกับใครก็ไม่รู้ ไม่ได้ผูกพันกันอย่างเดิม” เขมรัฐพูดถึงความเป็นไปได้ที่ตัวเองคิด

 

“คนธรรพ์” แจนมองหน้าเพื่อนนิ่ง ๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “แกก็ได้ยินแล้ว ว่านิสัยของคนธรรพ์ คนที่แกอาจจะเคยเป็นเมื่อนานมาแล้ว ว่าสามารถทำลายความสัมพันธ์คนอื่น ยุ่งวุ่นวายกับชีวิตของใครต่อใคร เพียงเพราะความอิจฉาริษยาของคนธรรพ์ตนนั้นเอง” เขมรัฐกัดกรามข่มความรู้สึกโกรธอาไว้ เมื่อแจนพูดมาแบบนั้น “เขมรัฐ ที่แปลว่าดินแดนแห่งความสุข แกเองก็เปลี่ยนไปแล้ว หรือว่าแกยังคงมีนิสัยสร้างความแตกแยกแบบนั้น เหมือนอย่างที่เคยเป็นมาตลอด” แจนเองก็ต้องการจะรู้คำตอบจากปากของเขมรัฐ เพื่อนของเธอเช่นกัน



******************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

เพื่อนรัก - The Parkinson

https://www.youtube.com/watch?v=i_gPHhGIOaw


ขอโทษที่ฉันเอง

Sorry that I myself

ไม่อาจเป็นเหมือนเดิม

Cannot be the same

อย่างที่เธอต้องการ

The way that you need me to

Oh, baby


แค่เพื่อนเท่านั้น

Strictly being friends

พยายามเข้าใจ

Trying my best to understand

แต่ทำไมในใจของฉันยังสั่น

Yet, my heart feels that things come tumbling down

Oh, baby


เธอ

You

เธอคงไม่รู้ว่า

You may not know this

เพื่อนเธอคนนี้ ภายในใจนั้น

This friend of yours, within his heart

ข้างใน ได้เปลี่ยนไปแล้ว

Deep down inside, has already changed


เปลี่ยนไปเป็นรัก

Changed to love you

รักจนหมดหัวใจ

Love you wholeheartedly

รักเพียงแต่เธอ

Loving only, you

ขอเพียงให้เธอได้รู้

Please allow me to let you know


ไม่มีอีกแล้ว

No and not anymore

เพื่อนที่เธอไว้ใจ

The friend that you trusted

เหลือเพียงแต่คนคนหนึ่ง

Only this normal guy

ที่เก็บซ่อนความรักไว้ไม่ไหว

The man who cannot keep love to himself

ถ้าเธอไม่คิดอะไรอย่างนั้น

If you never ever feel the same way I do

ก็แค่ทำว่าฉันไม่เคยพูดไป

Just act as if I didn’t say it to you


ฉันคงไม่รู้ตัว

It must be my subconscious mind

ไม่ได้ทันระวัง

Weren’t careful enough

อยากให้เธอเข้าใจ

Please do understand me

Oh, baby


สัญญาจากนี้ไป

Promise you from now on

หากเรายังต้องเจอ

When we both meet each other again

จะไม่ทำให้เธอนั้นต้องรำคาญ

I won’t be giving you such annoyance

Oh, baby

 
(แค่สักครั้งที่ฉันได้บอกเธอว่ารัก)

Just once that I can say how much I love you
4
กลับมาอ่านอีกแล้วค่ะ คิดถึงไรท์มากๆอยากให้มาต่อขวัญเอ๋ยขวัญมารอพี่ดำกับน้องอยูนะคะ
5
ทุกเช้าที่เราก้าวเข้าสู่ห้องน้ำและเปิดน้ำจาก ฝักบัวอาบน้ํา เพื่อชำระร่างกาย เราอาจไม่เคยนึกถึงว่าอุปกรณ์เรียบง่ายนี้มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนานและน่าสนใจเพียงใด จากจุดเริ่มต้นในอารยธรรมโบราณ สู่การเป็นสัญลักษณ์ของสุขอนามัยยุคใหม่ ฝักบัวได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง บทความนี้จะพาย้อนรอยไปดู ประวัติความเป็นมาของฝักบัวอาบน้ำ ที่ช่วยให้ชีวิตเราสะดวกสบายขึ้น

จุดเริ่มต้นในอารยธรรมโบราณ: ฝักบัวธรรมชาติและระบบแรก
อียิปต์โบราณและเมโสโปเตเมีย: ผู้คนในยุคแรกเริ่มทำความสะอาดร่างกายด้วยการใช้คนรับใช้เทน้ำเย็นจากเหยือกหรือถังลงบนตัว
กรีกโบราณ: ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำในการสร้างระบบฝักบัวแรก ๆ เท่าที่มีบันทึกไว้ พวกเขาติดตั้งห้องอาบน้ำรวมตามโรงยิมและสนามกีฬา โดยมีระบบท่อน้ำที่ทำหน้าที่คล้ายฝักบัว ซึ่งไม่ได้มีไว้สำหรับชนชั้นสูงเท่านั้น แต่เปิดให้คนทั่วไปใช้งานได้
โรมันโบราณ: อาณาจักรโรมันสร้างโรงอาบน้ำสาธารณะ (Thermae) ขนาดใหญ่โต ซึ่งมีทั้งห้องน้ำร้อน น้ำอุ่น และน้ำเย็น แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นการแช่ตัว แต่ระบบประปาที่ซับซ้อนก็เป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาอุปกรณ์จ่ายน้ำในอนาคต



การประดิษฐ์ฝักบัวสมัยใหม่: ยุคแห่งนวัตกรรม (ศตวรรษที่ 18-19)
การพัฒนาที่แท้จริงของฝักบัวที่เราคุ้นเคยเกิดขึ้นในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป:
ปี ค.ศ. 1767: การคิดค้นโดย William Feetham: วิลเลียม ฟีทแฮม (William Feetham) ช่างทำเตาชาวอังกฤษ ได้ประดิษฐ์ฝักบัวแบบแรกที่จดสิทธิบัตร โดยเป็นฝักบัวแบบ "ปั๊มมือ" (Pump Shower) ซึ่งจะดึงน้ำจากอ่างอาบน้ำด้านล่างขึ้นไปด้านบนแล้วปล่อยลงมาใหม่ ซึ่งช่วยประหยัดน้ำได้อย่างมากในยุคที่น้ำยังหาได้ยากและต้องขนมาใช้

ฝักบัวในบ้านเรือน: สู่ความนิยมในศตวรรษที่ 20
ฝักบัวอาบน้ำไม่ได้กลายเป็นเครื่องใช้มาตรฐานในบ้านเรือนทั่วไปจนกระทั่งช่วงกลางศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและยุโรป:
ระบบประปาที่สมบูรณ์: การติดตั้งระบบประปาและน้ำร้อน-น้ำเย็นในบ้านเรือนอย่างแพร่หลายในช่วงปี ค.ศ. 1920-1950 ทำให้ฝักบัวที่ใช้งานง่ายและสะดวกสามารถติดตั้งได้ทั่วไป
การประหยัดเวลา: ผู้คนเริ่มให้ความสำคัญกับการอาบน้ำแบบฝักบัวมากขึ้น เนื่องจากรวดเร็วกว่าการแช่อ่างอาบน้ำ ซึ่งสอดคล้องกับวิถีชีวิตที่เร่งรีบมากขึ้น
การพัฒนาวาล์วควบคุม: การประดิษฐ์วาล์วผสมน้ำแบบ Thermostat (ควบคุมอุณหภูมิคงที่) และก๊อกผสมที่ควบคุมได้ด้วยมือเดียวในช่วงปี ค.ศ. 1950-1960 ทำให้ประสบการณ์การอาบน้ำสะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น

นวัตกรรมยุคปัจจุบัน: สู่ประสบการณ์เหนือระดับ
ปัจจุบัน ฝักบัวอาบน้ำได้ก้าวข้ามจากการเป็นแค่เครื่องมือทำความสะอาด ไปสู่การเป็นอุปกรณ์ที่มอบประสบการณ์แห่งการผ่อนคลายและดูแลสุขภาพ:
Rain Shower (ฝักบัวก้านแข็ง): มอบประสบการณ์เหมือนยืนอาบน้ำท่ามกลางสายฝน
ฝักบัวประหยัดน้ำ (Eco-friendly): เทคโนโลยีที่ช่วยลดปริมาณการใช้น้ำ โดยยังคงรักษาแรงดันและประสิทธิภาพในการอาบ
ฝักบัวดิจิทัลและอัจฉริยะ: สามารถตั้งค่าอุณหภูมิ แรงดัน และรูปแบบสายน้ำได้ล่วงหน้าผ่านแผงควบคุมดิจิทัล หรือแม้กระทั่งมีลำโพงบลูทูธในตัว
6
Boy's love story / Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 29 : คืนไร้ดาว
« กระทู้ล่าสุด โดย Milky_Milky_Way เมื่อ 28-10-2025 12:35:53  »
‘ผีตายซาก’ คือสภาพของผมตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา กินไม่ได้ นอนก็แทบไม่หลับ ไหนจะต้องฝึกงาน ไหนจะต้อง round case ต้องขอบคุณแก้ว ต่อ ต้น ที่พยายามประคองผมไว้ไม่ให้พังครืนลงมา มันทั้งปลอบ ทั้งนั่งเป็นเพื่อนเวลาร้องไห้ แบกเนื้อหา round case ในส่วนของผม ซื้อข้าวกลางวันมาให้เพื่อให้ผมเอาเวลาไปนอน ... ยิ่งโตขึ้นถึงได้รู้ว่าโลกยังคงหมุนไปเรื่อยๆ ไม่ว่าเราจะแตกสลายมากแค่ไหนก็ตาม


----------

#กินไม่ได้ #นอนไม่หลับ #คืนไร้ดาว
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
7
ในฐานะลูก หลายคนคงอยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับพ่อแม่ที่รัก การดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ของท่านคือสิ่งสำคัญอันดับแรก แต่เมื่อท่านอายุมากขึ้น ความเสี่ยงด้านสุขภาพก็เพิ่มขึ้นตามมา การวางแผนทางการเงินเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดฝันจึงเป็นสิ่งจำเป็น และ ซื้อประกันให้พ่อแม่ ก็คือหนึ่งในทางออกที่ชาญฉลาดที่สุด ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการแสดงความรักและความห่วงใยเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ของการซื้อประกันให้พ่อแม่ในด้านอื่น ๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการเงินและภาษี



หลักประกันทางการเงินเมื่อต้องเผชิญกับค่ารักษาพยาบาล
เมื่อเข้าสู่ช่วงสูงวัย โอกาสในการเจ็บป่วยและต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลก็สูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้อาจเป็นภาระก้อนใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อเงินเก็บของครอบครัวได้
ประกันสุขภาพผู้สูงอายุ จะเข้ามาช่วยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล เช่น ค่าห้องพัก ค่าแพทย์ ค่ายา หรือค่าผ่าตัด ทำให้คุณพ่อคุณแม่สามารถเข้าถึงการรักษาที่ดีที่สุดได้อย่างทันท่วงที โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ลดภาระทางการเงินของลูกหลาน ไม่ต้องนำเงินเก็บส่วนตัว หรือต้องกู้ยืมเงินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลฉุกเฉิน ประกันชีวิตผู้สูงอายุ 80 ปีขึ้นไป

สิทธิประโยชน์ด้านภาษีที่ลูกทุกคนไม่ควรมองข้าม
นี่คือประโยชน์ที่คุ้มค่าและจับต้องได้ทันที! เบี้ยประกันที่คุณจ่ายให้พ่อแม่สามารถนำมาใช้เป็นสิทธิลดหย่อนภาษีได้
ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 15,000 บาทต่อปี: สำหรับเบี้ยประกันสุขภาพที่ซื้อให้คุณพ่อคุณแม่ โดยมีเงื่อนไขตามที่กรมสรรพากรกำหนด (เช่น คุณต้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายและท่านต้องมีรายได้ไม่เกินที่กำหนด)
ช่วยให้คุณประหยัดภาษีได้มากขึ้นในแต่ละปี และนำเงินส่วนนั้นไปบริหารจัดการด้านอื่น ๆ หรือเพิ่มการออมให้กับตัวเอง

สร้างมรดกหรือหลักประกันในกรณีที่ไม่คาดฝัน
สำหรับประกันชีวิตที่ทำให้พ่อแม่ โดยเฉพาะแบบตลอดชีพ (Whole Life) ไม่ได้มีประโยชน์แค่ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น แต่ยังเป็นมรดกให้กับคนข้างหลังด้วย
เงินทุนประกัน: หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เงินทุนประกันที่ได้รับจะช่วยบรรเทาภาระทางการเงินและสามารถใช้เป็นมรดกให้กับครอบครัวได้
สร้างความมั่นคงในระยะยาว: ประกันชีวิตบางรูปแบบยังสามารถสร้างมูลค่าเงินสดสะสมไว้ให้ท่านใช้จ่ายในยามชราได้อีกด้วย

เป็นเครื่องมือการเงินที่ช่วยวางแผนเพื่ออนาคต
การทำประกันถือเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนทางการเงินที่ดี เพราะช่วยให้สามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างเป็นระบบ
บริหารจัดการกระแสเงินสด: ช่วยเปลี่ยนค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่ไม่แน่นอน (ค่ารักษาพยาบาล) ให้เป็นค่าใช้จ่ายก้อนเล็กที่แน่นอน (เบี้ยประกัน) และสามารถวางแผนล่วงหน้าได้
การออมและการลงทุน (ในบางรูปแบบ): ประกันบางประเภท เช่น ประกันสะสมทรัพย์ ประกันสุขภาพ ลดหย่อนภาษี ก็เป็นการออมเงินที่มีวินัยไปพร้อม ๆ กับการได้รับความคุ้มครอง

8

อาการ "ปวดมดลูก" หรือ "ปวดท้องน้อยด้านขวา มดลูก" เป็นสิ่งที่ผู้หญิงแทบทุกคนคุ้นเคย โดยเฉพาะช่วงมีประจำเดือน แต่บ่อยครั้งที่เรามองข้ามความเจ็บปวดเหล่านี้ และคิดว่าเป็นเรื่องปกติที่ต้องทน ซึ่งความจริงแล้ว อาการปวดบางอย่างคือ สัญญาณอันตราย ที่ร่างกายกำลังเตือนถึงความผิดปกติของอวัยวะสำคัญ เช่น มดลูก รังไข่ และอุ้งเชิงกราน

อย่าปล่อยให้อาการปวดเรื้อรังทำลายคุณภาพชีวิต และเพิ่มความเสี่ยงโรคร้าย อาการปวดมดลูก แบบไหนที่ถือว่า "ผิดปกติ" และเป็นสัญญาณเตือนของโรคทางนรีเวชที่ต้องรีบไปพบแพทย์



5 สัญญาณเตือน "ปวดมดลูก" ที่บ่งบอกความผิดปกติ
อาการปวดท้องน้อยที่เกี่ยวกับมดลูกหรืออวัยวะสืบพันธุ์ไม่ได้มีแค่การปวดประจำเดือนเท่านั้น แต่มีลักษณะเฉพาะที่ควรสังเกต:

1. ปวดประจำเดือน ที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
นี่คือสัญญาณคลาสสิกของโรคที่ซ่อนอยู่ หากคุณต้องใช้ยาแก้ปวดในปริมาณที่มากขึ้น หรือปวดจนต้องหยุดเรียน/หยุดงานทุกเดือน อาจเป็นสัญญาณของ:
เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ช็อกโกแลตซีสต์ เยื่อบุมดลูกเจริญในกล้ามเนื้อมดลูก (Adenomyosis)

2. ปวดท้องน้อย เรื้อรัง นานเกิน 6 เดือน
อาการปวดที่เป็นๆ หายๆ หรือปวดหน่วง ๆ ตลอดเวลา ที่ไม่สัมพันธ์กับการมีประจำเดือน ถือเป็นภาวะที่ผิดปกติอย่างยิ่ง เพราะบ่งชี้ถึงการอักเสบเรื้อรัง หรือการมีก้อนเนื้อในอุ้งเชิงกราน

3. มีอาการ ปวดร้าว ร่วมกับอาการผิดปกติอื่น ๆ
หากการปวดท้องน้อยของคุณมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย ควรรีบพบแพทย์ทันที:
ปวดร้าวไปที่ ขาหนีบ, ต้นขา, หรือหลัง ปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ (Dyspareunia) ปวดขณะขับถ่าย หรือปวดหน่วงลงทวารหนัก

4. ปวดร่วมกับ เลือดออกผิดปกติ หรือ ตกขาวเหม็น
การมีเลือดออกนอกรอบเดือน หรือมีตกขาวที่มีกลิ่นเหม็นผิดปกติร่วมกับอาการปวด เป็นสัญญาณเตือนของการติดเชื้อหรือการอักเสบรุนแรง:
มดลูก/ปีกมดลูกอักเสบ (Pelvic Inflammatory Disease - PID) เนื้องอกมดลูก (Fibroids) ที่อาจมีเลือดออกผิดปกติ

5. ปวดท้องน้อย เฉียบพลันและรุนแรง
อาการปวดท้องน้อยด้านใดด้านหนึ่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน รุนแรงมากจนตัวงอ หรือมีอาการหน้ามืดเป็นลมร่วมด้วย อาจเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการผ่าตัดมดลูก
เช่น: ถุงน้ำในรังไข่แตก หรือ รังไข่บิดขั้ว การตั้งครรภ์นอกมดลูก

9
Boy's love story / Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 29 : คืนไร้ดาว
« กระทู้ล่าสุด โดย Milky_Milky_Way เมื่อ 26-10-2025 09:44:10  »
ตอนที่ 29 : คืนไร้ดาว (Part 2/2)

ผมเดินตามเงาสูงของจีไปยังตึกจอดรถ ความรู้สึกตอนนี้เหมือนโดนค้อนทุบเข้ากลางศีรษะ มึนจนคิดไม่ออกว่าควรจะตัดสินใจอย่างไร ในมือของจีถือถุงกระดาษจากร้าน gift shop ชื่อดัง เมื่อเย็นระหว่างรออาร์มตัดผม จีชวนผมไปเดินเลือกซื้อของขวัญ แม้จะรู้ว่าซื้อไปทำอะไรแต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะถาม และคำตอบที่ได้ก็ทำให้ผมสมองเบลอมาจนถึงตอนนี้ ... เธอชื่อ ‘ษา’ เป็นเพื่อนที่ทำงานของจี จีสนิทสนมกับเธอมาพักใหญ่และกำลังจะขอเธอเป็นแฟนในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่กำลังจะมาถึง ทั้งคู่มีแผนจะไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ ที่ทำงาน

ทำไมผมถึงรู้สึกว่าช่วงหลังๆ มานี้จังหวะเวลาไม่เคยเป็นใจให้เรา 2 คนเลย ผมรู้มานานแล้วว่าจีเลิกกับเฟิร์สแต่เพราะยุ่งกับเรื่องเรียนจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น รู้สึกตัวอีกทีจีก็กำลังจะมีแฟนคนที่ 2

ตั้งแต่กลับมาจาก summer trip ผมสัมผัสได้ว่าความสัมพันธ์ของเราไม่เหมือนเดิมแต่เพราะเอาแต่กลัวเลยเลือกที่จะรอ แต่พอผมพร้อมจะก้าวไปข้างหน้าทุกอย่างกลับล่มสลายเมื่อจีมีแฟนคนแรก ผมไม่เข้าใจว่าตัวเองทำผิดตรงไหน ปล่อยให้จีรอนานไปหรือจะเป็นผมที่คิดไปเองฝ่ายเดียว เป็นเรื่องที่ผมคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ความคิดที่จะสารภาพรักกับจีมีขึ้นก่อนหน้านี้มาซักระยะ ไอซ์เชียร์ให้ผมพูดกับจีตรงๆ เพื่อทำทุกอย่างให้ชัดเจน แต่ผมไม่กล้าเพราะกลัวว่าถ้าจีไม่ได้คิดเหมือนกันแล้วผมจะเสียจีไป ไอซ์บอกกับผมว่า ‘มึงไม่ต้องคิดอะไรมาก คิดแค่ว่าถ้าพรุ่งนี้มันแต่งงาน มึงจะเสียใจไหมที่ไม่ได้บอกรักมันตั้งแต่ยังมีโอกาส’ และผมก็ตัดสินใจว่าจะสารภาพทุกอย่างหลังจากรู้ว่าจีเลิกกับเฟิร์สแต่ตอนนี้ดูเหมือนผมจะตัดสินใจช้าเกินไป

“ทำไมวันนี้ไม่ได้ขับรถมาละ” จีถามเมื่อเรา 2 คนนั่งอยู่ในรถ จีอาสาไปส่งทันทีที่เจ้าตัวรู้ว่าผมไม่ได้ขับรถมา

“เมื่อคืนนอนดึก เมื่อเช้าตื่นสายก็เลยนั่ง BTS มา”

“เรียนหนักมากเลยเหรอ”

“ก็หนักนะ”

“เรียนหนักจนหน้าโทรมแล้ว”

“อืม”

“มึงตัดสินใจเรื่องเรียนต่อได้ยัง”

“ตัดสินใจได้แล้ว”

“ดีแล้ว จะได้ทำตามฝัน”

“มึงจะขอเขาเป็นแฟนวันไหนนะ” ผมถาม พยามยามทำตัวให้เป็นปกติ ส่งยิ้มมุมปากให้คนตรงหน้าทั้งๆ ที่ในใจกำลังกรีดร้องออกมาสุดเสียง

“ถ้าเป็นไปตามแผนน่าจะวันเสาร์”

วันนี้วันพฤหัส ... ผมกั้นหายใจเมื่ออยู่ๆ ก็คิดอะไรได้จากประโยคที่เพิ่งลอยหายไปกับสายลม ... มันหมายความว่าตอนนี้จียังโสด ... จนกว่าจะถึงวันเสาร์

ความเครียดก่อตัวขึ้นอย่างมหาศาล ถ้าจะพูดตอนที่จีโสดผมเหลือทางเลือกเดียวเท่านั้นคือต้องสารภาพวันนี้ ไม่เช่นนั้นผมก็รอต่อไปเรื่อยๆ เปลือกตาเลื่อนลงปิดดวงตาคู่สวย ลมหายใจค่อยๆ ผ่อนจังหวะหายใจเข้าออก ถึงจะพยายามสงบสติมากแค่ไหน หัวใจของผมกลับเต้นถี่รัว ... แม้จะเป็นเพียงแค่ฝันลมๆ แล้งๆ แต่ผมก็ตัดสินใจจะลองเสี่ยงดู

“จี”

“ว่าไงมึง” ความกลัวก่อตัวขึ้นราวกับคลื่นยักษ์ที่สูงเสียดฟ้า ผมยังคงหลับตาเพื่อซ่อนความหวาดกลัวในใจ สั่นจนต้องกำมือทั้ง 2 ข้างเข้าหากันแน่น

“กูรักมึง ...” พูดออกไปแล้ว

“... รักมากกว่าเพื่อน” พูดออกไปทั้งหมดแล้ว

... ผมไม่เคยรู้สึกกลัวมากขนาดนี้มาก่อน ทั้งกลัวว่าจะถูกปฏิเสธและกลัวที่จะถูกตอบรับ

... ถ้าจีตอบตกลงหัวใจของผมจะพองฟูราวกับก้อนเมฆ และแม้ความสุขนั้นย่อมต้องแลกมากับโลกทั้งใบที่จะถล่มใส่ผมก็ตาม แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว

... บทสนทนาระหว่างเราเงียบหายไป ในขณะที่รถยนต์กำลังแล่นผ่านถนนยามค่ำคืนของกรุงเทพมหานคร หนึ่งวินาทียาวนานราวกับเป็นชั่วโมง

“ขอบใจ แต่กูคิดกับมึงแค่เพื่อน ไม่เคยคิดอะไรเกินเลยมากกว่านั้น” คำตอบที่ได้ยินเหมือนฟ้าผ่าเข้าที่กลางหัวใจ

แล้วผมก็ได้รู้ความจริง ... ไม่ว่าจะถูกปฏิเสธหรือตอบรับ ผมก็ถูกโลกทั้งใบถล่มใส่อยู่ดี จะต่างกันก็แค่หากถูกตอบรับผมก็จะมีจียืนอยู่ข้างๆ ... แต่ตอนนี้เหลือผม ... แค่เพียงคนเดียว

“กับเรื่องทุกอย่างที่ผ่านมา มึงใจร้ายมาก” ผมพูดทั้งที่มือยังสั่นไม่หยุด กว่าจะรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป ประโยคร้ายๆ ก็หลุดออกจากริมฝีปาก แม้จะเตรียมใจมาแล้วแต่การถูกปฏิเสธส่งผลให้ความมั่นคงทางอารณ์ของผมสั่นคอน

“กูขอโทษ ถ้าที่ผ่านมาทำให้มึงเข้าใจผิด ...”

“... ความฝันของกูคือแต่งงานกับผู้หญิงซักคนแล้วสร้างครอบครัวด้วยกัน” ด้วยอารณ์อ่อนไหวผมเกือบจะหลุดปากถามคนตรงหน้าไปว่า ‘ถ้าแต่งกับกูแล้วจะสร้างครอบครัวไม่ได้ตรงไหน’

... ผมนั่งนิ่ง พยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองเพราะไม่อยากหลุดคำพูดร้ายๆ ออกมา

... ที่ผ่านมาผมมีความสุขมากกับสิ่งที่ได้รับ

... และผมไม่ต้องการให้เหตุการณ์เหล่านั้นถูกเปลี่ยนให้เป็นความทรงจำแย่ๆ

“กูควรจะทำยังไงต่อ กูควรจะตัดใจไหม” ผมถาม

“ตัดใจเถอะมิลค์ มันดีกว่าสำหรับมึงและกู” จีตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ นี่ผมคาดหวังอะไรจากคำถามเมื่อครู่ มันแน่นอนอยู่แล้วว่าคนถูกปฏิเสธก็ต้องตัดใจ

“กูขอโทษ กูพยายามห้ามใจตัวเองแล้วแต่กูทำไม่ได้...” ในรถเงียบกริบ เสียงเพลงที่เคยเปิดคลอตอนนี้หยุดไปแล้ว

พอมิลค์หันหน้ากลับมา จีถึงได้เห็นว่าใบหน้าสวยนั้นเปรอะเปื้อนด้วยรอยน้ำตา มันพยายามกั้นสะอื้นจนตัวสั่น มือทั้ง 2 ข้างกำเข้าหากันจนเส้นเลือดที่แขนบูดโปน ... เกาะกำบังถูกทุบจนแตกละเอียด ... ไม่เหลือสภาพมิลค์ ติฒสิงห์ผู้สูงศักดิ์เลยแม้แต่น้อย

“... เราจะห่างกันไหม กูไม่อยากจะเสียมึงไปเหมือนคนอื่นๆ ที่ผ่านมา”

“ไม่หรอก กูเป็น ‘คนอื่น’ ที่ไหน กูเป็นเพื่อนสนิทของมึงนะเว้ย ถ้ามึงไม่ห่างกูก็ไม่ห่าง ...”

“... แต่ถ้าช่วงนี้มึงต้องการให้กูถอยไป บอกกูได้นะ ถึงเวลาที่มึงพร้อมกูยินดีกลับมาหามึงเสมอ”

“ไม่เอา ไม่ห่าง กูไม่อยากห่างจากมึง” ผมปฏิเสธทั้งน้ำตา แค่คิดถึงชีวิตที่ไม่มีจี ผมก็ไม่รู้แล้วว่าจะอยู่ได้อย่างไร

“ตอนแรกกูตั้งใจว่าหลังจากขอเป็นแฟน สัปดาห์หน้ากูจะพาเขามาเจอกับพวกมึง ...”

“... แต่กูว่ารออีกซักหน่อยก็ได้”

“ไม่เป็นไร มึงพาเขามาเถอะ กูขอร้อง อย่าทำแบบนั้น ... เขาเป็นอนาคตของมึง คนที่อาจจะเป็นอนาคตของมึง ส่วนกูคือคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ...” และจะเป็นคนที่จางหายไปตามกาลเวลา

แม้จะพยายามยื้อไว้มากแค่ไหนแต่ลึกๆ แล้วผมก็รู้ระยะห่างระหว่างเรากำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ คำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ในวันวานไม่รู้จะยังคงอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ ความห่างไกลที่ผมกลัว ตอนนี้มันปรากฏภาพขึ้นชัดเจนแล้ว

“... กูสัญญาว่าจากนี้จะไม่ทำให้มึงลำบากใจ”



รถ Lexus IS 350 สีเทาดำจอดนิ่งอยู่ในที่จอดรถหน้าคอนโด เรามาถึงได้พักใหญ่แล้วแต่ผมยังไม่พร้อมจะลงจากรถ เรายังคงพูดคุยถึงเรื่องราวต่างๆ ในอดีต จีตอบทุกความสงสัยของผม คำปฏิเสธอย่างสุภาพออกจากปากของเพื่อนสนิทหลายต่อหลายครั้ง ... สุดท้ายผมก็ยอมรับความจริงว่าเรื่องทั้งหมดมีเพียงผมเท่านั้นที่คิดไปเองฝ่ายเดียว

“กูไปแล้วนะ” ผมพูดขึ้นเมื่อคิดว่าถึงเวลาแล้ว

“จมูกมึงยังแดงอยู่เลย”

“ถ้าจะรอจนหาย คงต้องรอถึงเช้า” แม้ผมพูดติดตลก แต่คนตรงหน้ากลับไม่ขำเลยไม้แต่น้อย มุกตลกของผมเลยลอยหายไปท่ามกลางแสงดาว

“มึงไหวนะ”

“ไหว” ปากบอกไหวแต่คิดไม่ออกเลยว่าผมจะผ่านคืนนี้ไปได้ยังไง

“มึงไม่ต้องกังวล ยังไงกูก็เพื่อนมึง กูไม่มีวันหายไปไหน จะอยู่ข้างๆ มึงตรงนี้นี่แหละ”

“ขอบใจ ...”

“... กูยอมรับได้ทุกอย่างไม่ว่ามึงจะเลือกใคร และกูคิดว่าเขาจะต้องเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกแน่นอน” พูดจบผมรีบลงจากรถก่อนที่จะร้องไห้ตาบวมอีกรอบ แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวความพยายามก่อนหน้านี้ก็ไร้ความหมาย



‘ผีตายซาก’ คือสภาพของผมตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา กินไม่ได้ นอนก็แทบไม่หลับ ไหนจะต้องฝึกงาน ไหนจะต้อง round case ต้องขอบคุณแก้ว ต่อ ต้น ที่พยายามประคองผมไว้ไม่ให้พังครืนลงมา มันทั้งปลอบ ทั้งนั่งเป็นเพื่อนเวลาร้องไห้ แบกเนื้อหา round case ในส่วนของผม ซื้อข้าวกลางวันมาให้เพื่อให้ผมเอาเวลาไปนอน ... ยิ่งโตขึ้นถึงได้รู้ว่าโลกยังคงหมุนไปเรื่อยๆ ไม่ว่าเราจะแตกสลายมากแค่ไหนก็ตาม

เวลา 1 สัปดาห์ ผ่านไปเร็วกว่าใจคิด เย็นวันเสาร์ผมเดินเข้ามาใน hypermarket ขนาดใหญ่ย่านพระราม 3 แปลกใจไม่น้อยที่สถานที่นัดกินข้าวสำหรับเปิดตัวแฟนคนที่ 2 ไม่ใช้ห้างหรูย่านสยาม - ราชประสงค์แบบครั้งแรก ผมจงใจมาสายเพราะถ้าจะต้องมานั่งรอจิตใจผมคงฟุ้งซ่านมากกว่าที่เป็นอยู่ พอเห็นชื่อร้านอาหารก็รู้สึกอุ่นใจเพราะอาหารญี่ปุ่นคงไม่มีเมนูตับ

“ษา นี่มิลค์”

“มิลค์นี่ษา”

“สวัสดีคะ / หวัดดีครับ”

เพราะกลัวว่าเหตุการณ์จะซ้ำรอย ตำแหน่งที่นั่งวันนี้เลยถูกวางแผนมาล่วงหน้า มิลค์นั่งอยู่ด้านนอก ส่วนษานั่งอยู่ด้านในสุดฝั่งตรงข้าม ตอนแรกโจคิดจะให้นั่งฝังเดียวกันจะได้ไม่ต้องเห็นหน้า แต่พออาร์มทักว่าถ้าทำแบบนั้นมิลค์จะต้องนั่งติดกับจี สู่ให้นั่งเยื่องๆ กันคนละมุมน่าจะดีที่สุด

ไอซ์ลอบมองมิลค์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม มิลค์โทรมาร้องห่มร้องไห้กับเขาตั้งแต่คืนนั้น พอได้ยินเสียงไอซ์ก็รู้เลยว่ามิลค์ใกล้จะแตกสลายเต็มที สุดท้ายเขาต้องหอบเสื้อผ้าไปนอนเป็นเพื่อนตั้งแต่กลางดึกของคืนนั้นจนถึงวันนี้ ไม่มีใครรู้ว่าเขานอนค้างกับมิลค์มาครบสัปดาห์ ไอซ์รับปากมิลค์ว่าจะไม่บอกใครเรื่องนอนค้าง ที่นัดกันวันนี้คือต่างคนต่างแยกกันมา ส่วนเรื่องที่มันถูกจีปฏิเสธ จากสภาพของไอ้มิลค์ในวันนี้ อารม์กับโจก็คงเดาได้ไม่ยาก

แม้จะเป็นวันเสาร์แต่มิลค์ก็ต้องไปทำงานกับเพื่อนที่คณะ ไอซ์เลยกลับบ้านช่วงกลางวันแล้วแยกกันมาเจอที่ร้านอาหาร เมื่อบ่ายเขายังหวั่นใจอยู่เลยว่าวันนี้ไอ้มิลค์จะแผลงฤทธิ์อะไรไหม แต่พอดูจากเสื้อผ้า หน้าผม และ accessory เรียบๆ ที่เจ้าตัวใส่มา ทำให้เบาใจไปได้เยอะว่าประวัติศาสตร์คงไม่ซ้ำรอย

ตั้งแต่รู้จักกันมามิลค์เป็นคนประเภทที่พยายามกลมกลืนไปกับคนรอบข้าง มันไม่ชอบทำตัวโดดเด่น ไม่ชอบเป็นจุดสนใจ แต่ยิ่งโตขึ้นทุกอย่างก็ยิ่งดูไปในทางตรงกันข้ามเพราะไม่ว่าเจ้าตัวจะพยายามเท่าไหร่แต่ในความเป็นจริงแล้วมิลค์ก็เหมือนกับดาวฤกษ์ที่โดดเด่นท่ามกลางดาวเคราะห์นับล้าน ษาตื่นเต้นและตั้งตารอที่จะได้เจอกับมิลค์ ติณสิงห์ ตัวเป็นๆ ก่อนหน้านี้เธอถามทั้งจีและคนอื่นๆ บ่อยครั้งว่าตัวจริงของมิลค์เป็นยังไง พวกเขาทุกคนยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่ามิลค์ ติฒสิงห์ ตัวจริงต่างจากลูกชายเจ้าสัวแสนล้านในละครหลังข่าวลิบลับ

“มิลค์พูดน้อยมาเลยเนอะ” ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงษาก็เป็นฝ่ายพูดกับมิลค์ก่อน

พวกเราพูดคุยกันสนุกปากแต่มิลค์ดูไม่ค่อยคุยกับเพื่อนคนอื่นๆ เท่าไหร่นัก ถามคำตอบคำแล้วก้มหน้าก้มตากินอาหารในจานตัวเองเงียบๆ ซึ่งก็เข้าใจได้กับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น มันดูเหนื่อย เพราะความเครียดทำให้เจ้าตัวนอนไม่ค่อยหลับ aura ที่เคยเปล่งประกาย ตอนนี้ดูหม่นหมองไปพอสมควร

“เรามึนๆ นะ เพิ่งกลับจากคณะ” คำตอบของมิลค์ทำเอาอารม์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ถึงกับลอบถอดหายใจ เอาเข้าจริงทุกคนต่างก็กั้นหายใจรอฟังคำตอบเพราะกลัวว่าไอ้ตัวดีจะแสดงอภินิหารเหมือนคราวก่อน

“วันเสาร์อาทิตย์ต้องเรียนเหรอ” เธอถามต่อด้วยความสงสัย

“แล้วแต่ station ที่ขึ้นฝึกงานนะ station ของเราเดือนนี้ไม่มีขึ้น clinic วันเสาร์อาทิตย์ แต่ก็ต้องไปทำรายงานกับเพื่อนที่คณะอยู่ดี”

“เรียนหนักแบบนี้มีเวลาได้พักไหมเนี่ย”

“ก็มีนะ อย่างตอนนี้ก็ถือว่าได้พักผ่อนแล้ว”

“เราตื่นเต้นมากเลยตอนที่รู้ว่าจีเป็นเพื่อนสนิทของมิลค์ ... มิลค์ตัวจริงน่ารักมากกว่าในรูปอีก” เพื่อน 3 คนที่เหลือกั้นหายใจโดยพร้อมเพียงกันอีกครั้งเมื่ออยู่ๆ เธอก็คว้าแขนของจีเข้ามากอด

“ขอบคุณครับ” มิลค์มองภาพนั้นเพียงแค่เสี่ยววินาที ก่อนจะส่งยิ้มบางๆ แล้วกลับมาสนใจอาหารในจานต่อ

บรรยากาศบนโต๊ะเป็นไปได้ด้วยดี แต่ไอซ์สังเกตได้ว่าคนตรงหน้าเงียบลงไปกว่าเดิม จากที่กินอาหารบ้างไม่กินบ้าง ตอนนี้มันเอาแต่เขี่ยอาหารไปมา แล้วสวรรค์ก็เหมือนจะเป็นใจเมื่อแก้วเพื่อนสนิทที่คณะโทรมาคุยเรื่องงาน เจ้าตัวเลยถือโอกาสลุกออกไปคุยโทรศัพท์

Ice ;
ไหวไหม อยากกลับก่อนเปล่า

Milk ;
ไหว กลับก่อนได้ก็ดี แต่ก็เกรงใจจี

Ice ;
กลับได้ เดียวกูบอกคนอื่นๆ ให้ว่ามึงมีงานที่คณะ

Milk ;
งั้นกลับนะ

Ice ;
อืม เจอกันที่ห้องมึง
นับวันกูยิ่งเหมือนผัวเก็บมึงเข้าไปทุกทีแล้วเนี่ย
ถ้าคนอื่นรู้ว่ากูไปนอนค้างกับมึงมาทั้งอาทิตย์
คงได้เข้าใจผิดว่ากูทีท้ายครัวมึงกับจี

Milk ;
อิเหี้ยยยยยยยยยยยยยย
ใครจะเอามึง



ไอซ์อมยิ้ม ด่าได้ แสดงว่าจิตใจดีขึ้นกว่าแต่ก่อนที่นั่งนิ่งๆ ให้เขาด่าอยู่ฝ่ายเดียว ไอซ์บอกทุกคนว่ามิลค์ติดงานที่คณะเลยขอตัวกลับก่อน มีแต่ษาที่เชื่อคำโกหกของเขา ในขณะที่คนอื่นๆ รู้ว่ามิลค์ทนมองไม่ไหว แม้จะสงสารแต่ทั้งมิลค์และจีก็เพื่อนของพวกเขา คนกลางอย่างไอซ์ อาร์ม และโจเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากให้กำลังใจ ความสัมพันธ์ของคน 2 คนก็ต้องให้มิลค์กับจีหาทางออกกันเอง



“มึงเอาจริง?” ไอซ์ถามในขณะที่จ้องมองหน้าจอ smart phone ของมิลค์ เหมือนเป็น session บำบัดจิตที่ไอ้มิลค์ต้องมานั่งคุยกับเขาในห้องนั่งเล่นก่อนแยกย้ายเข้าห้องนอน ฟังดูแล้วตลกแต่มิลค์บอกว่าพอได้คุยเรื่องไร้สาระกับเขาแล้วทำให้นอนหลับง่ายขึ้น



Milk ;
ที่พี่เคยชวนผมไปอังกฤษ พี่ยังสะดวกอยู่ไหมครับ

P’ Jay ;
ยังสะดวกอยู่ครับ

Milk ;
งั้นผมไปรบกวนพี่ประมาณสัปดาห์หนึ่งนะครับ

P’ Jay ;
ยินดีเลยครับน้อง
เจอกันครับ

Milk ;
ขอบคุณครับ



“อืม”

“ไปก็ดี เปิดหูเปิดตา เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมซักหน่อยมึงน่าจะ happy มากขึ้น...”

“... แต่เรื่องจะไม่ซับซ้อนไปมากกว่าเดิมใช่ไหม ...” ผมขมวดคิ้วเพราะไม่เข้าใจว่าอะไรจะซับซ้อนไปมากกว่าเดิม

“... กูหมายถึงจะไม่เป็นเหมือนตอนที่อยู่ๆ มึงก็กลับไปเอาไอ้บอนใช่ไหม”

“จะบ้าเหรอ มันเหมือนกันที่ไหน”

“ใครจะรู้ ก่อนหน้านี้มึงเกียจไอ้บอนเข้าไส้ อยู่ๆ กลับไปเอากับมันเฉย”

“มึงก็คิดมาก แล้วเรื่องไอ้บอนกูจัดการไม่เรียบร้อยตรงไหน”

“กูว่าจะถามนานแล้ว ตกลงว่าจบยังไงวะ” ไอซ์ถามพร้อมกับคว้าหมอนอิงขึ้นมากอด ทำท่าราวกับกำลังฟังนิทานก่อนนอน

“ก็ไม่ยังไง กูบอกตั้งแต่แรกแล้วว่ากูไม่ได้คิดอะไร แต่มันขอโอกาส ...”

“... ก่อนมันกลับก็ clear กันเข้าใจแล้ว”

“มึงบอกกับมันตรงๆ?”

“อืม ตอนแรกกูคิดว่ามันจะโวยวาย แต่มันก็ยอมรับ มันว่ามันทำใจไว้แล้ว แค่อยากลองดูอีกซักครั้ง”

“มึงรู้ตัวใช่ไหมว่าถ้ามึงไม่ได้ยึดติดกับไอ้จี ตอนนี้มึงมีแฟนไปแล้ว”

“รู้ แต่กูก็ไม่รู้จะทำยังไง มันรู้สึกไปแล้ว”

“กูจะบอกมึงว่า หายเจ็บแล้วเริ่มต้นใหม่นะ ไม่ใช้ว่าคนที่ได้เป็นแฟนไอ้จีจะเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกคนเดียว ...”

“... แต่ใครก็ตามที่มึงเลือก ก็โชคดีที่สุดในโลกเหมือนกัน … ตอนนี้คนต่อแถวรอเป็นผัวมิลค์ ติฒสิงห์ ยาวไปจนถึงดาวเสาร์แล้วมั้ง”

“มึงแมร่ง ... ขอบใจ แต่กูขอเวลาอีกซักพัก”

“เขาว่ากันว่า อังกฤษ shopping มันมากเลยนะเว้ย” ไอซ์เปลี่ยนเรื่องคุยเพราะอยากให้มิลค์คุยเรื่องสบายๆ ก่อนนอน ขนาดเจ้าตัวบอกว่านอนหลับได้ดีขึ้นแต่บางคืนเขายังแอบเห็นมันลุกขึ้นมากินน้ำอัดลมกลางดึก ไม่รู้ว่าระหว่างจิตใจกับกระเพาะของไอ้มิลค์ อะไรจะทนไม่ไหวก่อนกัน


----------

#สารภาพ #หนี #คืนไร้ดาว
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
10
Boy's love story / Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 29 : คืนไร้ดาว
« กระทู้ล่าสุด โดย Milky_Milky_Way เมื่อ 26-10-2025 09:31:14  »
ตอนที่ 29 : คืนไร้ดาว (Part 1/2)

ผมในชุดหมีสีฟ้าอมเทา สวมหมวกแก๊บสีฟ้าสดใสปักโลโก้ประจำค่ายอาสากำลังเดินผ่านแดดร้อนๆ ไปยังบ้านไม้ 2 ชั้นที่ตั้งอยู่ด้านในของหมู่บ้าน รั้วบ้านทำจากไม้ไผ่ซี่ๆ ปักไว้เพื่อกั้นแนวเขต เถาของต้นตำลึงพันเกี่ยวกับรั้วไม้จนยุ่งเหยิง ผมมองเข้าไปด้านในถึงได้เห็นว่าเป็นร้านขายของชำเล็กๆ ในชุมชน

“ขอโทษนะครับ มีใครอยู่ไหมครับ”

“จ๊า แป๊บหนึ่งนะลูก” เสียงเดินดังขึ้นจากชั้นบน ไม่นานผู้หญิงคนหนึ่งก็ก้าวบันไดลงมาจากชั้น 2

“สวัสดีครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้ พร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง

“สวัสดีจ๊ะ นักศึกษาที่มาค่ายอาสาใช่ไหม มีอะไรให้แม่ช่วยหรือเปล่าจ๊ะ” เธอยกมือขึ้นรับไหว้พร้อมกับต้อนรับผมด้วยรอยยิ้ม

“ผมจะมาขอยืมไม้กวาดกับที่ตักผงนะครับ” ผมฉีกยิ้มกว้างอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นใจเท่าไหร่

ผมถูกเพื่อนในกลุ่มส่งออกมาเพื่อตระเวนยืมอุปกรณ์ทำความสะอาดจากชาวบ้าน เพราะพวกมันลงความเห็นว่าคนอย่างผมไม่เหมาะจะทำหน้าที่ใช้แรงงาน ระหว่างเดินเข้ามาภายในบ้านผมรู้สึกตะขิดตะขวงใจไม่น้อย แค่คิดภาพว่าถ้าเป็นตัวผม แล้วอยู่ๆ มีใครก็ไม่รู้มาตะโกนเรียกอยู่นอกรั้วเพื่อขอยืมของใช้ในบ้าน ตัวเองจะรู้สึกยังไง

“ได้ซิลูก เอาผ้าเช็ดพื้นกับถังน้ำด้วยไหม” คำตอบที่ได้รับทำให้ผมตกตะลึงไม่น้อย

“เอาครับ” คิดในใจว่าโชคดีชะมัดที่ได้ทุกอย่างจากบ้านหลังเดียว เพราะตอนแรกผมตั้งใจจะไปขอยืมผ้ากับถังน้ำจากบ้านอีกหลัง

“งั้นรอแม่แป๊บนะจ๊ะ”

“ให้ผมไปช่วยถือไหมครับ”

“ไม่เป็นไรจ๊ะ รอตรงนี้แหละ” เธอยิ้มให้ผม ก่อนจะเดินหายไปด้านหลัง ผมถอดหมวกแก๊บออก ยกมือขึ้นเสยผมเพราะความรำคาญ ถ้าไม่ลืมตัดผมก่อนมาก็คงไม่เหนียวหัวขนาดนี้ อากาศข้างนอกร้อนอย่างกับเตาอบ ฤดูร้อนเดือนเมษาไม่เคยปราณีผู้ใดทั้งนั้น ว่าแล้วก็รูดซิบชุดหมีลงครึ่งหนึ่งก่อนจะรีบกระพือเสื้อยืดลายกราฟฟิกตัวในเพื่อช่วยระบายความร้อน

“ขอบคุณครับ” พอได้ยินเสียงคนเดินมาผมก็หันหลังกลับไปในจังหวะที่เธอถือของกลับมาพอดี

“ร้อนเหรอลูก” เธอถาม

“ก็ ... ร้อนครับ” ผมเสยะยิ้ม เพราะไม่ต้องการทำตัวสำอางให้ใครเห็นแต่อากาศตอนนี้ก็ร้อนราวกับซ้อมลงนรกจริงๆ

“ดื่มน้ำก่อนนะลูก” พูดจบเธอก็เดินไปเปิดตู้เย็นทรงสูงที่ได้รับ sponsor จากน้ำดื่มยี่ห้อดัง

“ไม่เป็นไรครับ ...”

“... ขอบคุณครับ ...” ผมจะเอ่ยปากห้ามแต่เธอก็เปิดขวดน้ำอัดลมสีเขียวอย่างรวดเร็ว

“... เดียวตอนเอาของมาคือผมค่อยมาจ่ายเงินได้ไหมครับ พอดีว่าผมลืมหยิบกระเป๋งตังค์มา” ผมพูดพลางคิดคำนวณอยู่ในหัวว่าในตัวมีของอะไรที่จะพอเอามามัดจำเป็นค่าน้ำอัดลมได้บ้าง

ย้อนกลับไปในสมัยที่ผมยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยย่านชานเมือง หัวค่ำวันหนึ่ง ในขณะที่กำลังขับรถกลับบ้านรถของผมเกิดยางแตกกลางทาง ความโชคดีคือเสียอยู่หน้าอู่ซ่อมรถ แต่ความโชคร้ายคือผมมีเงินสดไม่พอ เจ้าของอู่เลยยื่นข้อเสนอว่าผมสามารถเอาเงินมาจ่ายวันหลังได้แต่ผมต้องวางนาฬิกาข้อมือไว้เป็นมัดจำ ผมเลยได้แต่ยิ้มแห้งๆ กลับไปเพราะมูลค่าของนาฬิกาข้อมือที่ผมสวมใส่นั้นน่าจะมากกว่ามูลค่ายางรถยนต์หลายเท่าตัว

“โอ้ยยย ไม่ต้องหรอก แม่เลี้ยง”

“ไม่เป็นไรครับ ผมเกรงใจจริงๆ”

“แม่เลี้ยงเอง นานๆ จะมีนักศึกษามาเยี่ยม มีโอกาสแม่ก็อยากดูแล”

“งั้นขอบคุณมากนะครับ” พอได้ดูดน้ำอัดลมสีเขียวอึกใหญ่ ความหวานผสมความซ่าช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นทันตา

“ร้อนก็นั่งพักก่อน เดินกลับไปร้อนๆ แบบนี้เดียวเป็นลมแดดกันพอดี” พอได้ยินคำเตือนผมถึงได้หย่อนตัวลงที่แครไม้ไผ่ข้างๆ ส่วนเธอก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ม้าหินหน้าบ้าน เธอน่าจะอายุประมาณพี่แอน ผิวของเธอมีสีแทนน่าจะเพราะถูกแดดร้อนๆ เผา เธอสวมเสื้อยืดสีฟ้าและผ้าถุงสีน้ำตาลสลับเหลือง

“อากาศร้อนมากเลยนะครับ” ผมชวนคุยเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท

“หน้าร้อนก็แบบนี้ เดือนหน้าร้อนกว่านี้อีก ...”

“... ลูกใกล้จะเรียนจบหรือยัง”

“เปิดเทอมถัดไปก็ปีสุดท้ายแล้วครับ”

“ยินดีด้วยนะ เรียนจบแล้วพ่อแม่จะได้ภูมิใจ”

“ขอบคุณครับ” ผมตอบรับคำอวยพรด้วยรอยยิ้ม

“เป็นคนกรุงเทพเหรอจ๊ะ”

“อ่อออออ ครับ คนกรุงเทพครับ”

“แม่ก็เพิ่งกลับมาจากกรุงเทพ”

“แม่ไปทำงานที่กรุงเทพเหรอครับ”

“จ๊ะ ก่อนหน้านี้แม่ไปทำงานเป็นคนงานก่อสร้างมาประมาณ 6 เดือน...”

“... งานเสร็จแล้วเลยกลับมาอยู่กับลูกหลานที่บ้าน คิดว่าพักซักเดือนแล้วค่อยกลับไปทำงานต่อ”



“ทำไมไม่นอนวะ มายืนตากน้ำค้างทำไมตรงนี้” ไอ้ต้นเรียกผมจากในห้อง

“อากาศดีนะ เลยอยากคิดอะไรเพลินๆ”

“เออๆ ระวังเป็นหวัดนะมึง”

“อืม” พูดจบแล้วมันก็กระโดดขึ้นเตียงไปคุยเล่นกับเพื่อนคนอื่นๆ ต่อ

เสียงโวยวายดังออกมาจากในห้อง ผมท้าวแขนอยู่กับราวระเบียง สายตามองออกไปด้านนอกเห็นแสงไฟจากตึกกลางของศูนย์ฝึก เลยไปด้านหลังเห็นเงาดำของภูเขาขนาดใหญ่ทอดยาวจนหายไปในความมืด แม้ว่าอากาศตอนกลางวันจะร้อนราวกับนรกแต่กลางคืนกลับหนาวจนต้องใส่เสื้อแขนยาว

หลังจากที่เตรียมตัวกันมานานหลายเดือนในที่สุดคืนสุดท้ายของค่ายอาสาก็กำลังจะผ่านพ้นไป ภารกิจเสร็จสิ้นสมบูรณ์ เมื่อหัวค่ำอาจารย์จัด party เล็กๆ ให้พวกเรา ก่อนจะกล่าวชมเชยและขอปิดค่ายอาสาอย่างเป็นทางการพร้อมกับย้ำเตือนว่า การเสร็จสิ้นของค่ายอาสาก็เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นนิสิตชั้นปีที่ 6

ความมืดยามค่ำคืนช่วยให้ผมคิดทบทวนตัวเองได้มากขึ้น ผมเป็นคนไม่ชอบทำกิจกรรมและในบรรดากิจกรรมทั้งหมด ค่ายอาสาเป็นกิจกรรมที่ไม่ชอบมากที่สุด ผมไม่ชอบความลำบาก ไม่ชอบออกค่าย นอนตามโรงเรียน อาบน้ำกลางทุ้ง แต่วันนี้พอกลับมาคิดทบทวนถึงได้รู้ว่าค่ายอาสา 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาให้อะไรกับผมมากกว่าที่คาดหวังไว้ แม้จะเหนื่อย นอนดึกตื่นเช้า อากาศร้อน อาหารไม่อร่อย แต่ก็ยอมรับว่าสนุกและได้ประสบการณ์ใหม่ๆ มากมาย ได้ทำงานกับเพื่อนใหม่ ทะเลาะกันบ้าง หัวเราะร่วมกันบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของการทำงานกับคนหมู่มาก ได้เห็นเพื่อนในมุมที่ไม่เคยเห็น เห็นคนที่เรียบร้อยราวกับผ้าพับไว้เล่นไพ่กินเงินตาละบาทอย่างเอาเป็นเอาตาย เห็นเพื่อนผู้ชายตัวใหญ่หุ่นนักกีฬาชวนเพื่อนทุกคนในห้องไปอาบน้ำพร้อมกันเพราะกลัวผี หลายคนบอกว่าไม่คิดไม่ฝันว่าจะเห็นผมใน look สบายๆ ใส่แว่นตา สวมเสื้อยืดกางเกงเลลงมานั่งเล่นกินขนมกับคนอื่นๆ

ยังมีอีกเรื่องที่ผมยังตราตรึงอยู่ในห้วงของความคิด ... น้ำเขียวขวดนั้น เป็นตัวแทนของคำว่า ‘น้ำใจ’ ผมไม่เคยเข้าใจคำๆ นี้จนกระทั้งได้สัมผัสกับตัวเอง รอยยิ้มของคุณป้าร้านขายของชำยังติดอยู่ในความทรงจำ เด็กในเมืองอย่างผม ไม่เคยเห็นภาพแบบนี้ ผมไม่เคยไปขอยืมของจากเพื่อนร่วมคอนโด เราต่างคนต่างอยู่ ไม่มีปฏิสัมพันธ์กัน ไม่พึ่งพาอาศัยกัน รสชาดของน้ำเขียวยังซ่าติดอยู่ที่ปลายลิ้น คิดไม่ออกว่าจะมีสถานการณ์ไหนที่จะนำพาให้คนงานก่อสร้างได้เลี้ยงน้ำมิลค์ ติฒสิงห์ เหตุการณ์วันนั้นทำให้ผมรู้ซึ้งว่า ‘น้ำใจ’ ไม่ได้เป็นเพียงคำพูดในแบบเรียนแต่เป็นสิ่งที่จับต้องได้ มีอยู่จริง



...



เปิดเทอมปี 6 บันเทิงเริงรมตามที่ทุกคนพูดกัน นอกจากวิชาการที่ต้องแน่นอยู่ในสมองแล้ว hand skill ก็เป็นอีก 1 ทักษะที่ต้องฝึกฝนไม่แพ้กัน จากนิสิตชั้นปีที่ 5 ที่ได้แต่เป็น observer ตอนนี้พวกผมต้องลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเอง หนังสือเป็นตั้งๆ กองอยู่ที่โต๊ะทำงาน ชีวิตของนิสิตชั้นปีที่ 6 วนเวียนอยู่แค่โรงพยาบาล ห้องสมุด และห้องนอน กลับจากฝึกงานก็ต้องอ่านหนังสือ ทำ present และทบทวนความรู้เพื่อใช้ในการ round case วันถัดไป เหนื่อย เครียด แต่ก็สนุก บรรยากาศตอนนี้ทำให้ความรู้สึกว่าอยากเรียนต่อกลับมาอีกครั้ง ผมค่อนข้างมั่นใจว่าจะเรียนต่อปริญญาโท แล้วถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดผมจะขอให้พี่เจย์รับเป็น advisor

เผลอแป๊บเดียวชีวิตนิสิตปริญญาตรีปีสุดท้ายก็ผ่านไปแล้วเกินครึ่งทางแล้ว พร้อมกับข่าวการเลิกราของจีกับเฟิร์ส ตอนที่ได้ยินไอ้อาร์มเอ่ยปากแซวจี ผมไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะ 2 คนนี้เลิกๆ คบๆ กันเป็นเรื่องปกติ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่จียืนยันว่าเลิกกันจริง วันที่ผมรู้ ทั้ง 2 คนเลิกกันมาประมาณ 1 เดือนแล้ว จีไม่ได้เล่ารายละเอียดแต่เท่าที่จับน้ำเสียงได้คงเลิกกันไม่ดีเท่าไหร่นัก

แม้ว่าความหวังเล็กๆ เกิดขึ้นในหัวใจของผมอีกครั้ง แต่เพราะชีวิตที่วนเวียนอยู่แต่กับการฝึกงานทำให้ผมไม่ว่างจะมีสมาธิกับเรื่องอื่นนอกจากเรื่องเรียนจนเวลาล่วงเลยไปเรื่อยๆ

... ‘Arm’

“ว่า?” ผมถามในขณะที่กำลังพับเสื้อกาวน์เก็บเข้ากระเป๋า

“มึง เย็นนี้เจอกันที่สยาม กินข้าวกัน กูจะไปตัดผม ไอ้จีก็มาด้วย” ผมอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเมื่อได้ยินชื่อใครอีกคน ช่วงหลังๆ มานี้ถ้าไม่ได้เจอพร้อมกับเพื่อนคนอื่นๆ เราก็ไม่ได้เจอหน้าหรือพูดคุยกันเลย

“มึงจะมาถึงกี่โมง”

“ประมาณ 6 โมง” ผมเหลือมองนาฬิกา digital บนข้อมือ ตอนนี้ 4 โมงนิดๆ มีเวลาเหลือเฟือให้ผมเตรียม ตัว round case วันพรุ่งนี้จนเสร็จ

“ได้ เจอกันมึง” โชคดีที่ไม่ได้เอารถมา ไม่น่าเกิน 3 ทุ่มผมน่าจะได้กระโดดขึ้น BTS ไม่เกิน 4 ทุ่มน่าก็ถึงบ้าน ได้ทบทวนอีกหน่อย แล้วค่อยนอน อย่างช้าที่สุดไม่น่าจะดึกเกินตี 1



... ‘G’

“อืม” ผมกระซิบเพราะนั่งอยู่ในห้องสมุด

“กูอยู่สยามแล้ว มึงอยู่ไหน”

“อยู่คณะ”

“เจอกันร้านตัดผมนะ ไอ้อารม์ถึงแล้ว”

“โอเค เดียวกู clear งานตรงนี้เสร็จแล้วตามไป” ผมวางสาย กด save งานลง handy drive อมยิ้มให้กับตัวเองที่ทำทุกอย่างได้ตามที่วางแผนไว้ slide สำหรับ present งานเสร็จเรียบร้อย วันนี้จะได้กินข้าวเม้าท์มอยได้อย่างสบายใจ

แม้จะไม่ได้สนิทกันเหมือนเดิมแต่ผมกับจีก็ยังคุยกันได้ตามปกติ ชีวิตนิสิตชั้นปีที่ 6 กินเวลาชีวิตของผมไปพอสมควร จากเดิมที่คิดวนเวียนอยู่แต่เรื่องของจี ตอนนี้ผมยุ่งจนไม่เหลือเวลาให้คิดเรื่องอื่นนอกจากเรื่องเรียน นั้นคงเป็นข้อดีอีกข้อของการเรียนหนัก ผมไม่ได้เจอจีมาซักพัก จำไม่ได้ว่านานแค่ไหนเพราะความห่างของเราทำลายสถิติใหม่ไปเรื่อยๆ จนผมเลิกให้ความสนใจเรื่องนี้ไปแล้ว

“ทำไมแต่งตัวทางการจังวะ” ผมถามเมื่อเจอหน้าจี เพราะปกติต่อให้เข้า office จีก็มักจะแต่ตัวสบายๆ แต่วันนี้มันใส่ชุดทำงานเต็มยศ เสื้อเชิ้ตสีฟ้าพับแขน กางเกงสแลคสีดำ รองเท้าหนัง

“ตอนนี้กลับมาทำงาน office เต็มตัวแล้วเลยต้องแต่งตัวเรียบร้อย” ผมขมวดคิ้วกับคำตอบที่ได้รับ

“ไม่ต้องไป offshore แล้วเหรอ”

“อืม ไม่ได้ไปมาซักพักแล้ว”

“ทำไมอะ” ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงดีใจ แต่ตอนนี้จะไป offshore หรือไม่ไป ก็มีค่าเท่ากัน

“ก็ทำงานมาจะเข้าปีที่ 3 แล้ว พอมีเด็กใหม่เข้ามาบริษัทเลยดึงตัวกูกลับมาทำงาน office” เผลอแป๊บเดียวพวกมันทำงานกันมาจะ 3 ปีแล้วเหรอ เวลาผ่านไปเร็วมากจริงๆ

“ไอ้อาร์มละ”

“อยู่ในร้านแล้ว เข้าไปทักมันหน่อยไหม” ผมพยักหน้าแล้วก็เดินตามหลังจีเข้าไปในร้าน

“หล่อแล้วๆ” ผมเอ่ยปากแซวเมื่อเห็นเพื่อนนั่งหลังตรงโดยมีช่างทำผมกำลังใช้กรรไกรซอยผมอย่างชำนาญ

“กูหล่อได้มากกว่านี้อีก ...” ผมเบ้หน้ามองบน เมื่อได้ยินคำตอบ มั่นหน้ามากกกกกกกกกก

“... พวกมึงไปเดินเล่นกันก่อนก็ได้นะ เสร็จแล้วเดียวกูโทรหา”

“ได้มึง งั้นเจอกัน ... จะไปเดินเล่นที่ไหน” ผมถามจีเมื่อเรา 2 คนเดินออกมานอกร้าน ผมไม่ได้มีอะไรอยากดูเป็นพิเศษ ช่วงนี้ใช้เงินน้อยมาก แทบจะไม่ได้ shopping เลยด้วยซ้ำ

“อยากเดินดูของ แต่กินนี่กันก่อน” พูดจบจีก็หยิบกล่องเค้กออกมาจากกระเป๋าเป้ มันเดินนำผมไปนั่งที่นั่งกินใกล้ๆ

“สภาพเค้กโคตรยับเยิน” ผมหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสภาพเค้ก อดขำไม่ได้จริงๆ ใครสั่งใครสอนให้เก็บเค้กใส่เป้ พอเปิดกล่องออกมาก็เห็นว่าหน้าเค้กไถลออกไปด้านข้างเกือบครึ่งก้อน

“ร้านนี้อร่อยนะเว้ย อยู่แถวที่ทำงาน” พูดจบเจ้าตัวก็แกะช้อนพลาสติกออกจากห่อแล้วจ้วงเค้กคำโตเข้าปากก่อนจะส่งช้อนมาให้ ... ผมลองตักมาชิมคำเล็กๆ รสชาดดี หอมเนย แต่พอจะตักเข้าปากอีกคำ smart phone ในกระเป๋าก็ดังขึ้น

... ‘Kaew’

“ว่าไงมึง”

“แกฉันจะถามเรื่อง #&^*###%$@@!%^*&*” แก้วโทรมาถามเรื่อง round case พรุ่งนี้

สมาธิของมิลค์ถูกย้ายไปอยู่กับคู่สนทนาในโทรศัพท์ บางครั้งก็ขมวดคิ้วเหมือนคิดอะไรอยู่ มียิ้มบ้าง เม้มปากบ้าง บางครั้งก็มองบน จีอาศัยจังหวะนี้ลอบสังเกตเพื่อนสนิท ใต้ตาบวมเล็กน้อย เส้นผมที่ปกติจะถูก set เป็นทรง วันนี้ถูกปล่อยให้ปิดหน้าผากอย่างเป็นธรรมชาติ คงเพราะยุ่งจนไม่มีเวลามาห่วงหล่อ แต่สิ่งหนึ่งที่จีสังเกตเห็นคือใบหน้าของมิลค์มีเค้าโครงของความเป็นผู้ใหญ่ให้เห็นชัดกว่าแต่ก่อน ปากนิด จมูกหน่อย ทำให้โครงหน้าที่สวยอยู่แล้ว สวยจนตอนที่เวลาเจ้าตัวยิ้ม รอยยิ้มนั้นสว่างไสวราวกับดวงจันทร์ในคืนเดือนมืด

ในขณะที่มิลค์ตอบคำถามคนปลายสาย สิ่งหนึ่งที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวเลยคือจีตักเค้กในมือป้อนให้เรื่อยๆ หลักจากเค้กหมดก้อนจีส่งกระดาษทิชชูให้เพื่อนสนิท มิลค์รับไปเช็ดปากอย่างลวกๆ เพราะกำลังมีสมาธิอยู่กับบทสนทนาจนเขาต้องดึงทิชชูจากมือมาเช็ดคราบเค้กที่เลอะอยู่ตรงมุมปากให้ เค้กหมดไปแล้วแต่มิคล์พูดคุยกับแก้วโดยไม่มีทีท่าว่าจะจบ

จีฆ่าเวลาด้วยการมองไปรอบๆ แต่แล้วเจ้าตัวก็ต้องสะดุดกับสายตาของกลุ่มของพนักงานของร้านฝั่งตรงข้าม ไม่บอกก็รู้ว่าคนกลุ่มนั้นเห็นทุกการกระทำของเขา บางคนยิ้มให้อย่างหยอกล้อ บางคนก็ทำหน้าเขินอาย จีทำได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ กลับคืนแล้วคว้าข้อมือของมิลค์เดินออกไปอีกทาง
หน้า: [1] 2 3 4 5 ... 10
สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด