กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: [1] 2 3 4 5 ... 10
1
พูดคุยทั่วไป / สเต็ปบอล
« กระทู้ล่าสุด โดย asdadsasdaa12 เมื่อ 21-10-2024 20:36:26  »
สล็อตเกมส์ สายปั่นไม่ควรพลาด
ยูสใหม่แตnง่าย
/โปรกงล้อ ลุ้นเครดิตฟรี 500
/ฝากรับโบนัส 10%
/ละก็คืนยอดเสียทุกวัน 5%
สมัครได้เลย
2
โรคมะเร็ง โรคร้ายที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตเป็นอันดับต้นๆ บางคนอาจคิดว่า เราร่างกายแข็งแรงดีไม่เป็นหรอก อายุยังไม่มาก แต่หารู้ไม่โรคมะเร็งเป็นภัยร้ายที่มาเงียบๆซึ่งกว่าจะแสดงอาการออกมาก็ถึงระยะลุกลามแล้ว เราจึงอยากให้ทุกคนมีประกันโรคมะเร็งไว้ประกันความเสี่ยงของเราเองในอนาคต ซึ่งการจะเลือกซื้อประกันโรคมะเร็งหลายคนคงมีข้อสงสัยมากมาย เช่น เราควรซื้อประกันมะเร็งตอนไหน ต้องเลือกแผนประกันอย่างไร แล้วความคุ้มครองที่จะได้รับมีอะไรบ้าง ค่าเบี้ยต่อปีราคาเท่าไหร่ ลดหย่อนภาษีได้ไหม เป็นต้น
ดังนั้นวันนี้เราจะมาบอกเคล็ดลับ ก่อนตัดสินใจซื้อประกันมะเร็งต้องรู้อะไรบ้าง



1.ควรซื้อประกันมะเร็งตอนไหน
ควรซื้อประกันมะเร็งตอนไหน สิ่งที่เราต้องสังเกตหลักๆ มี 3 อย่าง คือ
    *อายุและสุขภาพ มีอาการเจ็บป่วยบ่อยหรือไม่
    *พันธุกรรม คนในครอบครัวมีประวัติการเป็นมะเร็งมาก่อนหรือไม่
    *พฤติกรรม มีพฤติกรรมเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็ง เช่น การสูบบุหรี่ ติดสุราอย่างหนัก ทำงานอยู่บริเวณที่ต้องสูดดมสารเคมี หรือไม่
เพราะมะเร็งเป็นโรคที่สามารถเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย คำถามที่ว่าควรซื้อประกันมะเร็งตอนไหน อาจตอบได้ว่า ควรซื้อเมื่อมีโอกาส และมีความสามารถในการชำระเบี้ยประกัน เพื่อเป็นการรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ถือเป็นการเตรียมการรับมือตั้งแต่เนิ่นๆ

2.ต้องเลือกแผนประกันสุขภาพ อย่างไร
ประกันมะเร็งมีหลายแบบให้เลือก ทั้งแผนประกันที่คุ้มครองการรักษาแบบ เจอ จ่าย จบ คือสามารถรับเงินก้อนทันทีเมื่อหมอตรวจวินิจฉัยพบว่าเป็นโรคมะเร็งที่ระบุไว้ในการคุ้มครอง ซึ่งก็จะทำให้คุณอุ่นใจได้ว่าไม่ว่าจะตรวจพบโรคในระยะไหนก็ยังมีเงินก้อนสำรองไว้เป็นค่ารักษา และแผนประกันแบบครอบคลุมการรักษา คือสามารถเคลมประกันได้กรณีนอนรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลในแต่ละครั้ง จะได้วงเงิน และความคุ้มครองตามที่กรมธรรม์กำหนด

3.ความคุ้มครองที่จะได้รับมีอะไรบ้าง
การเลือกประกันมะเร็งที่ดีควรดูความคุ้มครองต่างๆที่จะได้รับอาจดูได้จากสองส่วน ส่วนแรก คือ ดูแลการตรวจวินิจฉัย เนื่องจากมะเร็งเป็นโรคที่มีสาเหตุ และอาการหลายหลายตามแต่ละประเภท อาจจะต้องมีการตรวจมากกว่า 1 ครั้ง และใช้เวลาในการตรวจ ส่วนที่สองก็คือ ดูแลการรักษามะเร็ง นอกจากมะเร็งต้องมีการตรวจหลายขั้นตอน การรักษาเองก็มีหลากหลายวิธีเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการรักษาด้วยการผ่าตัด การรักษาด้วยรังสี เคมีบำบัด หรือการรักษาโดยการรวมหลากหลายวิธีเข้าด้วยกัน



4.ค่าเบี้ยต่อปีราคาเท่าไหร่
ในปัจจุบันนี้ประกันมะเร็งมีตัวเลือกความครอบคลุมที่หลากหลาย มีเบี้ยประกันตั้งแต่หลักร้อยไปถึงหลักพันให้เราได้เลือก ผู้ที่คิดจะทำประกันอาจลองคำนวณรายรับรายจ่ายของเรา ว่าในแต่ละเดือนจะแบ่งเงินไปจ่ายเบี้ยประกันได้มากน้อยขนาดไหน อีกทั้งยังต้องพิจารณาด้วยว่าเรามีภาระค่าใช้จ่าย หรือมีครอบครัวที่ต้องดูแล อาจต้องเพิ่มเบี้ยประกันเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายให้คนในครอบครัวเพื่อไม่ให้เดือดร้อนถ้าหากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น

5.ประกันมะเร็ง ลดหย่อนภาษีได้ไหม
ประกันมะเร็งสามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ ไม่เกิน 125,000 บาท ต่อปี ได้รับความคุ้มครอง แถมยังช่วยประหยัดเงินไปในตัวแบบประกันมะเร็งออนไลน์ไทยประกันชีวิต

ประกันมะเร็ง ออนไลน์ จากไทยประกันชีวิต ที่จะตอบโจทย์ทุกความกังวลเกี่ยวกับโรคมะเร็ง และครอบคลุมทุกระยะโรค ทำง่ายสามารถ ซื้อประกันมะเร็งออนไลน์ได้  คุ้มครอง คุ้มค่า แถมมีหลายแผนให้เลือกตามงบประมาณที่เรามี มีไว้อุ่นใจมากขึ้น

ใช้ชีวิตอย่าประมาท โรคมะเร็งก็เช่นกัน แม้ในวันนี้ยังแข็งแรงแต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าวันข้างหน้าโรคมะเร็งจะไม่ถามหา ทางที่ดีที่สุดคือการป้องกันตัวเอง รักษาสุขภาพ ออกกำลังกาย รวมถึงการบริหารความเสี่ยงอย่างการทำประกันมะเร็ง ประกันลดหย่อนภาษี

รับชมวีดีโอ ฟีเจอร์ใหม่ :เพื่อให้การดูแลคนในครอบครัว สะดวก ง่าย ปลอดภัย
คลิก youtu.be/DwJYW7ppU50


3
พูดคุยทั่วไป / หาเงินง่าย
« กระทู้ล่าสุด โดย asdadsasdaa12 เมื่อ 20-10-2024 18:07:24  »
สล็อตเกมส์ สายปั่นไม่ควรพลาด
ยูสใหม่แตnง่าย
*โปรกงล้อ ลุ้นเครดิตฟรี 500
*ฝากรับโบนัส 10%
*ละก็คืนยอดเสียทุกวัน 5%
สมัครได้เลย
4
Boy's love story / Re: LOVE OF THE LETTER (ฝากหัวใจไว้ในตัวอักษร)
« กระทู้ล่าสุด โดย mumii009 เมื่อ 20-10-2024 17:23:04  »
...ก่อนจากกัน...







จนแล้วจนรอดผมก็ไม่ได้เบอร์โทรศัพท์ของคุณวิกรม

“หมอนัสคะ...วันนี้คนไข้หมอหมดแล้วค่ะ” เสียงสวรรค์จากนางฟ้าชุดขาว

“ครับ” ผมยิ้ม นาฬิกาฟ้องว่าบ่ายสองแล้ว

ช่วงสองสัปดาห์นี้ผมได้จดหมายแค่ครั้งเดียว มันมาพร้อมกับรูปถ่ายของผมกับวิกรม

“...” ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู

เพื่อนในไลน์ยังคุยกันไม่เลิก รูปถ่ายตอนที่ไปสัมมนายังถูกส่งต่อกันไปมาในกรุ๊ป

ผมกดดูรูปที่เซฟไว้แล้วเลื่อนมาจนถึงรูปถ่ายของคนที่ผมเผลอรอจดหมายเขามาตลอดสองเดือนนี้

สูงร้อยเจ็ดสิบห้า....

"ผมสูงร้อยเจ็ดสิบห้า คุณอาจจะมองว่าเตี้ยแต่อย่าแสดงออกชัดเจนขนาดนี้เลยครับ"

ผมว่าตัวเล็กกะทัดรัดดีเหมือนกัน

ผมตรวจคนไข้ไปเรื่อยจนไลน์เด้งขึ้นมา

“คนนี้เพื่อนอานัสเหรอ” พี่หมออิงชะโงกหน้าเข้ามาดูรูปในมือถือ

“....” ตกใจแต่ต้องเงียบไว้ครับ การกระโตกกระตากของผมจะทำให้พี่หมออิงอยากรู้เรื่องเข้าไปใหญ่

“อ่อ...ครับ”

“เด็กกว่าเยอะนะ...เหมือนเด็กมหาลัย”

“เรียนจบแล้วครับ”

“เอาเวลาที่ไหนไปรู้จัก วันๆ เห็นทำแต่งาน”

“ก็บังเอิญน่ะครับ”

“บังเอิญยังไง”

“...” พอถึงเวลาซักไซ้พี่หมออิงไม่เคยปล่อยโอกาสให้ผมได้หนี

“ผมไปพักก่อนนะครับ”

“นัสเอ้ย...มีแฟนได้แล้ว” พี่หมออิงตะโกนไล่หลังผมมา

พยาบาลตรงหน้าห้องยิ้มให้ผม



.



ผมเดินเข้ารั้วมาทำเป็นเมินๆ กล่องสีแดงหน้าบ้านไป

สุดท้ายผมก็วนกลับไป

ในกล่องว่างเปล่า มันไม่มีจดหมายเลยสักฉบับเดียว

ผมอดใจหายไม่ได้ หรือว่าการที่ผมหยุดเขียนมันทำให้เขาหยุดเขียนเหมือนกัน

ไม่สิ หรือเพราะเขาเห็นว่าผมยังเด็ก แล้วไม่อยากคุย

อะไรวะทำงานแล้วนะเว้ย

ทีหลอกว่าเป็นครูยังเชื่อเลย ถึงจะเป็นครูจริงๆ แต่อาชีพหลักก็เป็นหมอนี่นา

“คุณวิกคะ...ป้าเอาจดหมายวางไว้ที่โต๊ะนะคะ พอดีวันก่อนฝนลงป้าเลยเก็บเข้าไปค่ะ เห็นคุณวิกไม่อยู่นาน” ป้าแม่บ้านบอกก่อนเดินออกจากบ้านไป

“...” ผมเดินเร็วๆ เข้าไปในบ้าน



ซองสีเทาเข้มวางอยู่สองสามซองเลือกซองที่ลงตราแสตมป์วันที่เก่าที่สุดก่อน

“สวัสดีวิกรม

ต่อไปเราคุยกันให้เป็นกันเองขึ้นอีกนิดก็ได้ ถ้าไม่สะดวกใจจะเขียนเรียกพี่ก็เรียกตามเดิมได้ แต่ขออนุญาตเรียกว่าวิกรมเฉยๆ”

ผมไล่สายตาไป เขาเขียนเล่าเรื่องในชีวิตประจำวันอย่างชัดเจนมากขึ้น

“ผมเอารูปใส่กรอบแล้วหล่ะ เพราะว่ามันเป็นเรื่องน่ายินดีที่เราได้พบกัน” ผมอ่านประโยคนี้สองครั้ง ทวนเพราะคิดว่าอ่านผิด

ต้องใส่กรอบเลยเหรอวะ ผมคิดในตอนนั้นแล้วเผลอหันไปมองตรงภาพที่แขวนผนัง เพราะมันมีรูปเพิ่มอยู่ตรงริมสุด

เออๆ ..ผมเองก็ใส่กรอบติดตรงมุมรูปภาพเหมือนกัน แต่ช่างเถอะ ผมไม่คงบอกเขาหรอกว่าผมก็ทำ

“สัปดาห์นี้ผมไปดูคนไข้ที่บ้าน ได้โปสต์การ์ด สวยๆ ด้วย” ผมหยิบโปสเตอร์ในซองนั้นขึ้นมา

“ช่วงหลังๆ คนเริ่มป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่กันเยอะ ระวังสุขภาพด้วยนะ”

“เมื่อวันก่อนผมลองแนะนำให้คนไข้ทานมะเขือเทศกับซอสแบบที่คุณเคยแนะนำผม คนไข้กลับมาบอกผมว่าเขาทานมะเขือเทศได้แล้ว” อมยิ้มเพราะตอนนี้เขาบอกเล่าเรื่องราวมากขึ้น

“รักษาสุขภาพนะ” คำลงท้ายที่ทำให้ผมรู้สึกปวดแก้มมากกว่า



วันนี้อากาศดีจนผมออกไปวิ่งมาแล้วที่สวนใกล้บ้าน จบลงที่ผมมายืนดูเรือนกระบองเพชรหลังบ้าน ลูกแมวสองตัวโผล่หน้าออกมาจากใต้ชั้นวางกระบองเพชร

“ว่ายังไง” ผมมองมัน มันมองผมจ้องกันสักพักละ

“ถ้าไม่หลบไปเดี๋ยวจะถูกเหยียบนะ” จบประโยคมันเดินมาพันขาเรียบร้อย

ผมเอาแต่เก็บของและทำธุระจนยังไม่ได้อ่านจดหมายบนโต๊ะทำงานเท่าไหร่

ผมชอบอ่านจดหมายของคุณอานัสมาก และมักจะอ่านอย่างละเลียด อ่านเรื่อยๆ วนไปมา

เพราะผมชอบที่จะนึกภาพตามตัวอักษรของเขา







“ได้อยู่ ได้ๆ” หมอก้าวรับปากว่าจะยอมอยู่เวรแทนในวันที่ผมจะ “ธุระ”

“ขอบคุณมาก”

“แต่!” หมอก้าวยักคิ้วก่อนจะหันไปแตะมือกับหมอเสริม

“วันนั้นหมอต้องถ่ายรูปให้ดูว่าหมอไปหาใคร”

“หมอนัส...” หมอก้าวลากเสียง แววตากลับดูไม่น่าไว้ใจสักนิด

“พี่หมออิงบอกว่า...” กระแอมเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ

“หมอมีแฟนใหม่แล้ว”

ผมเงียบ...

“ไม่ใช่แฟนครับ เพื่อน” ผมย้ำเสียงหนักแน่น

“เพื่อนเหรอครับ...” สองคนหันไปหัวเราะให้กันก่อนจะหันมาย้ำ

มองดูสองคนที่คล้ายกล้วยหอมจอมซน บี1 บี2 แล้วหมั่นไส้ครับ

“หมออาจจะหลงชอบ “เพื่อน” อยู่ก็ได้นะครับ”

“ผมหลงชอบเพื่อน... ถ้าเป็นอย่างนั้นผมอาจจะรู้ตัว... แต่ถ้าเป็นหมอสองคนผมว่าไม่น่าจะรู้นะครับ”

.

.

.

“หมอนัสหมายถึงอะไร” หมอก้าวขมวดคิ้ว แล้วถามเพื่อนข้างๆ ตัว

“ไม่รู้...” หมอเสริมเสเดินไปหยิบชาร์ตเดินออกจากห้องไป







วิกรม

ผมแอบภาวนาให้คนที่ยืนตรงไม่ใช่เขาครับ คุณอานัสในเสื้อเชิ้ตสีกรมกับกางเกงแสล็คยืนอยู่หน้าบ้านผม ร่างกายเขามีหยาดน้ำฝนพรมอยู่ แว่นตาของเขาเริ่มขึ้นฝ้าจางๆ จากการตากฝน

"ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ครับ"

"คุณไม่ตอบจดหมายผม"

"พอดีผมไปสิงคโปร์ด่วน เลยไม่ได้บอกครับ"



แม้ในใจผมจะแย้งว่ามันไม่ใช่ธุระอะไรของเขา แต่ความรู้สึกแปลกๆ ตลอดสองเดือนกว่าๆ ที่ผ่านมามันทำให้ผมเผลอ

"ผมคิดว่าคุณจะไม่ตอบจดหมายผมอีกแล้ว"

"ไม่หรอก" น่าแปลกที่เรายืนคุยกันกลางฝนที่เริ่มโปรยหนักขึ้น

"...." ผมชั่งใจว่าจะให้เขา 'เข้ามา' ดีหรือไม่

คนตรงหน้าผมก้มหน้า



"ผมหมดธุระแล้ว ขอตัวกลับก่อนครับ"

"เดี๋ยว..." ผมคว้าแขนเสื้อเขาเอาไว้...

"ฝนตกแล้วเข้าไปข้างในบ้านผมก่อนเถอะครับ" ผม...ยอมให้เขาเดินเข้ามา มันอาจจะไม่ใช่แค่พื้นที่ของ “บ้าน”



อานัส

ผมนั่งมองเขาที่เดินกลับลงมาจากชั้นสอง

เขามองตรงมาที่ผมไม่ได้แววตาหวาดระแวงหรือหวาดกลัว

"ผมขอรอจนฝนหยุดตกก่อน แล้วผมจะกลับครับ" ด้วยสัตย์จริงไม่ว่ามันจะดึกแค่ไหนผมจะกลับทันทีที่ฝนหยดสุดท้ายตกลงมา

"คุณนั่งรถมาจากกระบี่เลยเหรอครับ"

"นั่งเครื่องบินมาครับ" ถึงจอตอบออกไปแบบนั้น ผมกลับอดที่จะคาดหวังประโยคต่อไปเสียไม่ได้





วิกรม

ผมกลั้นใจฟังคำตอบ อยากให้เขาโกหกว่ามาทำธุระของตัวเองแล้วผ่านมาทางนี้

"กรุงเทพมันไม่ไกลเท่าไหร่ครับ ผมมาได้" เหมือนหัวใจของผมมันฟูแปลกๆ ผมสบตาเขาที่ยิ้มซื่อๆ ผมไม่ชอบแววตาแบบนี้ แววตาที่ไม่ว่าจะมองยังไง มันก็จับเท็จไม่ได้

"ไกลครับ ผมคิดว่ามันไกล"





อานัส

ชั่วอึดใจที่วิกรมตอบกลับมา แววตาเหมือนมีความสงสัยและขอให้ผมคล้อยตาม ในแววตาเขากลัวอะไรบางอย่าง

"ผมมีเวลาว่าง72ชม.ครับ แล้วผมต้องกลับไปเข้าเวร"

ผมยอมชดเชยทุกอย่างให้คู่ซี้เจ้าเล่ห์นั่นเพียงเพราะความห่วงหาที่ผมมีให้คนตรงหน้านี้ แม้ว่าเราจะเจอกันแค่ชั่วโมงเดียวก็ตาม







"ผมไปสิงคโปร์มาครับ คิดว่าโปสการ์ดอาจจะไปนอนรอคุณที่กระบี่เมื่อคุณไปถึง" วิกรมบอกกับอานัส

รอยยิ้มมุมปากทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น

"ผมต้องขอโทษที่จู่ๆ มารบกวน"

อานัสยิ้มเมื่อพบว่าวิกรมจุดยิ้มที่มุมปากและแกล้งมองไปทางอื่น

เขาแกล้งมองไม่เห็น แต่ก็แอบจดจำรอยยิ้มนั้น



อานัสมาที่นี่เพื่อเพียงค้นหาคำตอบให้ตัวเอง

อย่างหนึ่งที่ อานัสทำให้เขารู้สึกคือ

อานัสเป็นห่วงเขามาก เป็นห่วงไม่รู้ว่าทำอย่างไร 'ห่วง' ที่ถักทอจากเขาไปถึงคนตรงหน้าจะเจือจางลง สองเดือนกว่าๆ เขาเพียรเขียนจดหมายมาหาตั้งหลายหน ไม่ตอบสักฉบับ แถมไม่บอกเขาสักนิดว่าเดินทางไกล



"ผมจะพยายามไม่กังวลนะครับ"

วิกรมละสายตาจากสายฝนด้านนอกกระจกกลับมาหาอานัส

"ครับ? "

"คุณจะได้ไม่ต้องอึดอัด เพียงแต่ผมอยากบอกว่าเมื่อวันนึงคุณหายไป ผมจะเป็นคนออกตามหาคุณเอง"

ฝนข้างนอกหยุดตกแล้ว อานัสยิ้มให้วิกรมก่อนจะยืนขึ้น

"ผมต้องกลับแล้ว แล้วผมจะเขียนจดหมายมาหา"



วิกรมงุนงงในทีแต่ก็เดินตามเขาออกมาส่งที่รั้วบ้าน

"เดินทางปลอดภัยครับ" อานัสค้อมหัวให้เล็กน้อยเป็นการบอกลา

ร่างสูงของชายเชิ้ตสีกรมมกำลังจะลับมุมถนน

อะไรข้างในใจสั่งให้วิกรมวิ่งออกไปจนทันและคว้าแขนเสื้อที่ดึงไว้เหมือนเมื่อตอนชวนเขาเข้าบ้าน



"ขอโทรศัพท์ของคุณ..." ใบหน้าขาวระเรื่อขึ้นพอให้เห็นเมื่อกระทบกับแสงจากเสาข้างทาง โดยที่อานัสไม่อาจคิดได้ว่าสาเหตุจากที่วิกรมวิ่งมาหาเขา หรือว่าสาเหตุอื่น...

"ถ่ายรูปด้วยกัน...นะครับ" อานัสงงแต่ก็ย่อกายต่ำเพื่อมองกล้อง แต่ก็ไม่วายเหลือบตามองคนข้างๆ

นิ้วเรียวๆ ของวิกรมกดชัตเตอร์ก็จะละมือลง

"ถ้าไม่รังเกียจ..." อานัสอึกอักเมื่อรับโทรศัพท์มาถือ ประโยคคำถามที่อยากถามตั้งแต่เมื่อตอนที่ลากันครั้งที่ผ่านมามันติดอยู่ที่ริมฝีปาก

"089-655-3...."

อานัสกดตามแทบไม่ทัน ความร้อนรนอันนำความอิ่มเอมบางอย่างมาสู่ใจ



"ถึงกระบี่แล้วโทรบอกผมหน่อยนะครับ"

อานัสไม่เคยรู้สึกร้อนหน้าขนาดนี้มาก่อน แม้ยามที่ต้องพรีเซ็นงานหน้าห้อง

ตอนนี้เขาหน้าแดงพอกับสัญญาณไฟแดงตรงสี่แยกนี้แล้ว



ร่างผอมกว่าวิ่งกลับเข้าซอยไป

เขาชะโงกหน้าดูเห็นประตูปิดไวๆ

"ครับ" อานัสบอกกับแผ่นหลังนั้นแล้วกดเซฟเบอร์

...........................................................................
5
Parallel World สลับขั้วสร้างรัก บทที่สี่


"ฮื้มมมมม"


ผมเบี่ยงหน้าหนีบางสิ่งที้กำลังคลอเคลี่ยอยู่แถวแก้มตัวเอง ก่อนมันจะเลื้อยลงมาบริเวณปาก​ล่างผมและความชื้นแฉะที่ถูกดูดดึงจนเกิดเสียงจ๊อบแจ๊บ


“โว้ยยยย คนจะนอ-!!”


ผมตะโกนด้วยความรำคาญ​แต่ต้องกลืนคำด่าลงไปในลำคอแทน...ไอ้เชี้ยท๊อป!!


“ตื่นได้แล้วไอ้ขี้เซา”


คำพูดเย้าแหย่พร้อมกับรอยยิ้มกวนๆที่เป็นท่าประจำของมัน แต่ตอนนี้กลับรู้สึกแปลกต่างออกไปเพราะไอ้รอยยิ้มนี้มันดูอ่อนโยนผิดปกติ


ผมตาค้างอยู่แบบนั้นไม่แม้แต่จะพูดด่ามันออกไป รู้สึกหัวสมองยังจูนเครื่องไม่ติดว่าทำไมผมกับมันถึงมาอยู่ตรงนี้ จำได้แค่ว่าก่อนน่านี้ผมกับมันยังวางมวยกันอยู่เลย


มวย...เออ ใช่ วางมวย!!


“มึง! ออกไปห่างๆกูเลยนะ”


เท้าผมไวเท่าความคิด​ ประทับยันไปที่กลางลำตัวมันจนหงายหลังไปนอนจูบพื้นด้านล่าง​ ผมตาเหลือกอีกครั้งเมื่อเห็นสภาพเปลือยเปล่าของมันที่โผล่พ้นผ้าห่ม นั่นเลยทำให้ผมรีบก้มมองดูตัวเองเหมือนกัน...เชี้ยไรวะเนี่ยยยยยยยยย


“มึงกล้าถีบกูเหรอซัน?!”


ไอ้ท๊อปชี้หน้าคาดโทษมาทางผม​แขนมันก็พยุงตัวเองลุกขึ้น​มายืน ผมรีบโกยผ้าห่มมาปิดของสงวนไว้กระโจนหนีมันไปอีกฝั่งทันที


“มะ มึงอย่าเข้ามานะเว้ย”


ผมคว้าหมอนที่อยู่หัวเตียงฟาดใส่มันเต็มแรง​จนใบหน้าและข้างหูขึ้นรอยแดงเป็นแถบริ้ว และก็ดูเหมือนว่ามันจะเริ่มโกรธจนเลือดขึ้นหน้าเสียด้วย


“มึงเป็นอะไรของมึงซัน ผีเข้าเหรอไงวะ!!”


“มึงนั่นแหละผีเข้า อยู่ๆมาจับกูแก้ผ้าทำห่าไร”


“มึงพูดบ้าอะไร คนเป็นแฟนก็ต้องแก้ผ้าตอนเอากันเปล่าวะ”


ห๊ะ ใครเป็นแฟนใครแล้วใครเอากันวะ!!??...ผมทวนคำพูดมันในใจ แต่พอได้สติผมก็อยากจะขย่อนของเก่าออกมาเสียตรงนี้


"ดะ เดี๋ยวนะมึง เมื่อกี้มึงพูดว่า...แฟน...ใช่มั้ย?"


ไอ้ท๊อปกอดอกพยักหน้ารับคำ ตอนนี้ดูเหมือนมันจะใจเย็นลงนิดหน่อยที่เห็นท่าทีของผม


"ไม่มีทางอ่ะ เป็นไปไม่ได้"


"แต่มันเป็นไปแล้วไง ห้องนี้มึงก็ย้ายมาอยู่กับกู นู่นก็ของๆมึงที่ยังเก็บไม่เสร็จ"


ผมมองไปรอบๆห้องตามคำพูดของมัน จนมาสะดุดตาเข้ากับกล่องใบใหญ่ที่ด้านหน้ากล่องเขียนไว้ชัดเจนว่า "ซัน" ผมรีบเดินตรงไปที่กล่องใบนั้นพร้อมกับรื้อของด้านในทันที ของด้านในส่วนใหญ่จะเป็นของสำคัญและบางอันก็เก็บเพราะมันมีความทรงจำที่ดี ซึ่งของทุกๆชิ้นล้วนแต่เป็นของผมจริงๆ...


"เป็นไปไม่ได้...กูกับมึงจะเป็นแฟนกันได้ยังไง ก็ในเมื่อกูกับมึงเกลียดกันขนาดนั้น"


"ถ้ายังไม่เชื่อก็เอานี่ไปดู"


มันกดเปิดหน้าจอโทรศัพท์​แล้วโยนมาให้ผม​ บนพื้นหลังหน้าจอนั้นตั้งเป็นรูปถ่ายของมันกับผมที่เอาแก้มแตะกันแถมยังทำท่ามินิฮาร์ทอีกตั้งหาก...หึ้ยยยยย ขนลุกสัสๆ


"ของมึงก็ตั้งรูปเดียวกันนะ ไม่เชื่อก็เปิดดู"


มันหยิบโทรศัพท์​อีกเครื่องเปิดเข้าหน้าจอเหมือนกัน ทั้งยังประกบเข้ากับโทรศัพ​ท์ของมันเพื่อเพิ่มพลังทำลายร้างลูกกะตาทั้งสองข้างของผม


โอ้มายก๊อดดดดดดดด...ผมยืนโซซัดโซเซคล้ายจะเป็นลมจับอีกครั้ง​ ไอ้ท๊อปมันรีบเข้ามาพยุงผมไว้ก่อนที่จะล้มลงไปจริงๆ​


"ไม่ ไม่​ เป็นไปไม่ได้...นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นวะเนี่ยยยยยยย"


ไอ้ซันขอลาตายก่อนครับทุกคนนนน แอ๊ก!!!





.
.





“ไอ้วิทย์ มึงอยู่ไหนวะ”


(อยู่ห้องกูดิ ทำไมวะ)


“กูขอไปห้องมึงได้มั้ยวะ​ กูมีเรื่องอยากปรึกษามึงว่ะ”


(เป็นไรวะ? ทะเลาะกับผัวมาเหรอไงมึง)


ไอ้เพื่อนห่านี่ก็ย้ำกูจริงๆ ตกลงตัวผมในตอนนี้แม่งมีซัมติงกับไอ้หน้าวอกนั่นจริงๆเหรอวะ แล้วอีกอย่างนะทำไมกูต้องเป็นเมียมันด้วยวะ น่าโมโหโว้ยยยย!!


“...เออน่า เดี๋ยวกูไปหา”


ผมรีบเดินออกจากห้องหลังจากวางสายของไอ้วิทย์โดยไม่สนใจเสียงเรียกของไอ้ท๊อปที่เรียกไล่หลังมา เมื่อหลุดออกมาจากคอนโดได้ผมก็รีบโปกแท๊กซี่ขึ้นทันที​ ระหว่างทางผมก็เอาแต่คิดทบทวนกับเหตุการณ์​ในตอนนี้มันคืออะไร แต่จนแล้วจนเล่าก็คิดไม่ออกซะที หรือจริงๆแล้วผมกำลังฝันอยู่วะ?


“โอ้ยยยย ซี๊ดดดดดด” เจ็บครับ ลองทึ้งหัวตัวเองจนแทบหลุดติดมือและพบว่ามันเจ็บจริงๆ ลุงคนขับแท๊กซี่แกก็สะดุ้งตามกับเสียงร้องจนต้องขอโทษขอโพยแกไปที


สายเรียกเข้าของโทรศัพท์ที่อยู่ในมือสั่นเป็นระยะๆ ไหนจะแจ้งเตือนจากในไลน์จนน่ารำคาญ แต่ผมกลับไม่มีกะใจจะกดดูมันเลย ในที่สุดผมก็มาโผล่ที่หน้าห้องไอ้วิทย์ในช่วงเย็นของวัน ผมเคาะเรียกมันอยู่พักหนึ่งก่อนจะเผยให้เห็นว่าไอ้วิทย์ยังคงเป็นไอ้วิทย์คนเดิมที่ผมรู้จัก ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไรที่ห้องของมันยังอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยนไปไหน


“ทะเลาะกับไอ้ท๊อปมาเหรอวะ”


คำถามแรกถูกส่งมาทั้งที่ยังไม่ได้ทักทายกัน​ด้วยซ้ำ ผมถอยหายใจและส่ายหน้าก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในห้องมันเอง ส่วนไอ้วิทย์มันก็ไม่ได้ว่าอะไรและเดินตามผมเข้ามาในห้องติดๆ


“ไม่ได้ทะเลาะแล้วหนีมาทำไม ปกติตัวติดกันจะตายห่า”


"ก็แบบว่า กู...กูทำตัวไม่ถูกว่ะ"


"ทำตัวไม่ถูก? อะไรของมึงวะซัน"


“นั่นแหละปัญหา คือกูไม่รู้จะเริ่มเล่ายังไงดีว่ะแล้วกูก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นด้วย ถ้ากูเล่าให้มึงฟังมึงอย่าหาว่ากูบ้านะเว้ย"


"อะไรของมึงวะซัน กูเริ่มกลัวๆมึงแล้วนะเนี่ย"


"ตอนนี้มึงเป็นคนเดียวที่กูพอจะนึกออกว่ะวิทย์...มึงช่วยฟังเรื่องที่กูจะเล่าทีได้มั้ย"


ผมมองหน้าไอ้วิทย์ด้วยสีหน้าจริงจัง ส่วนมันก็มองผมเหมือนอยากจะถามแต่ท้ายที่สุดมันก็พยักหน้ารับ ระหว่างที่เล่าๆอยู่นั้นไอ้วิทย์ก็มีสีหน้าประหลาดใจปนสงสัยตลอด เพราะหากเทียบเป็นทฤษฎีของโลกใบนี้แล้วเรื่องแบบนี้มันไม่น่าจะเป็นไปได้ด้วยซ้ำ


“เรื่องทั้งหมดมันก็เป็นแบบนี้แหละมึง...มึงต้องช่วยกูนะเว้ยไอ้วิทย์”


“...แล้วมึงได้คุยกับไอ้ท๊อปบ้างยัง"


ผมส่ายหน้าไปมาจนไอ้วิทย์ถอนหายใจ มันลุกเดินไปเปิดตู้เย็นและกลับมาพร้อมกับเบียร์เย็นๆสองกระป๋อง มันยื่นมาให้ผมก่อนจะเปิดของตัวเองกระดกซดเสียงดัง


“แม่งโคตรเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่ออ่ะ เรื่องที่มึงเล่ากับสิ่งที่มันเป็นอยู่แม่งสวนทางกันชิบหาย”


ไอ้วิทย์กุมขมันแน่น จะไม่ให้มันปวดหัวได้ยังไง ก็ในเมื่อปัจจุบันไอ้คู่นี้มันร​ักกันปานจะแหกตูดดม...เออ ไม่สิ มันคงดมกันเรียบร้อยไปนานแล้ว


“กูก็ไม่รู้จะพูดยังไง พอตื่นมาก็เป็นแบบนี้เฉยเลยอ่ะ”


“ซัน...มึงเชื่อเรื่องมิติพิศวงหรือโลกคู่ขนานอะไรพวกนี้เปล่าวะ”


ผมทำหน้ากระอักกระอ่วน​ อยากจะตอบว่าไม่เชื่อก็ดู​กระไรอยู่​ ในเมื่อเหตุการณ์ตอนนี้มันเกิดขึ้นโดยหาคำอธิบายไม่ได้นอกเสียจากเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติที่เกินจะบรรยายจริงๆ


“แล้ว-แล้วมึงคิดว่ากูต้องทำไงต่อวะ”


“กูก็ไม่รู้ว่ะ แต่ตอนนี้ก็ปล่อยให้มันเป็นไปก่อน ถึงตอนนั้นมันอาจจะมีวิธีแก้ก็ได้นะมึง”


“เฮ่อ กูก็หวังว่าจะมีวิธีแก้จริงๆน่ะนะ...แต่วันนี้กูขอนอนกับมึงนะ กูยังไม่อยากกลับห้องว่ะ”


“เออๆ อย่าลืมบอกผัวมึงด้วยเดี๋ยวแม่งโวยวายบ้านแตกอีก แล้วพรุ่งนี้ก็กลับไปคุยกันให้รู้เรื่องนะเว้ย”


ผมกรอกตากับคำพูดที่ไม่กระดากปากของมันคำก็ผัวสองคำก็เมีย กระดกเบียร์ต่อแม่งซะเลย!!!


ไม่รู้จะเอายังไงต่อกับชีวิตตัวเองดี แต่ตอนนี้แค่ไม่อยากกลับไปเจอหน้าไอ้ท๊อปเฉยๆ ผมทำใจไม่ได้จริงๆ...ทำใจไม่ได้กับการตกเป็นเมียมันนี่แหละครับ ซันรับบ่ได้จริงจริ้งงงงง


‘คืนนี้กูนอนกับไอ้วิทย์นะ’


ผมตัดสินใจส่งข้อความสั้นๆไปบอกมันแล้วปิดเครื่องหนี พยายามข่มตานอนเพื่อหวังลึกๆว่าหากพรุ่งนี้เช้าลืมตาตื่นขึ้นผมอาจจะกลับไปอยู่ในโลกเดิม และตอนนี้ก็อาจจะเป็นแค่ฝันร้ายที่โคตรร้ายของผมก็เป็นได้




==========================
กลับมาต่อให้แล้วค๊าาา  :impress2: :impress2:
6
พูดคุยทั่วไป / วิธีหาเงินง่ายๆ
« กระทู้ล่าสุด โดย asdadsasdaa12 เมื่อ 19-10-2024 16:48:25  »
สล็อตเกมส์ สายปั่นไม่ควรพลาด
ยูสใหม่แตnง่าย
-โปรกงล้อ ลุ้นเครดิตฟรี 500
-ฝากรับโบนัส 10%
-ละก็คืนยอดเสียทุกวัน 5%
สมัครได้เลย
8
Boy's love story / Re: ไม่สิ้นไร้วาสนารัก บทนำ
« กระทู้ล่าสุด โดย beamjs2 เมื่อ 19-10-2024 09:49:28  »
อารัมภบท



รัชศกเต๋อหมิงปีที่ 15

ย่างเข้าเหมันตฤดู แต่ในเมืองยังคงคึกคักและครึกครื้นอยู่มาก ประชาชนทั่วแคว้นต่างก็ออกมาจับจ่ายใช้สอยกันเต็มกระบุงแลเต็มตะกร้า ความคึกคักเช่นนี้เกิดจากงานเทศกาลที่จัดขึ้นมาภายใต้ของแคว้นเฉิน

แคว้นขนาดใหญ่พ่วงด้วยทุ่งหญ้าอันเขียวชอุ่ม แต่บัดนี้ความเขียวชอุ่มนั้นถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลนเต็มไปหมด การเพาะปลูกบางอย่างจึงต้องหยุดชะงักไปและการเพาะปลูกบางอย่างก็ยังคงดำเนินต่อไปได้ เรียกได้ว่าเป็นแคว้นที่มีความเจริญไม่แพ้แคว้นใดในใต้หล้านี้

ทางฝ่ายในเอง เหล่านางกำนัลและขันทียังคงขวักไขว่อยู่กับการทำงานแลกเงินเดือนเฉกเช่นทุก ๆ วัน ซึ่งก็อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของฮองเฮา

แม้ว่าหน้าที่ปกครองบ้านเมืองจะเป็นหน้าที่ของฮ่องเต้ แต่หน้าที่ดูแลวังหลังปกครองเหล่าบรรดาสนมและนางในทุกอย่างล้วนเป็นหน้าที่ของฮองเฮาทั้งสิ้น

เฉิงเซียวฮองเฮาคือมารดาแห่งแผ่นดินของต้าเฉิน เป็นหญิงจากสกุลขุนนางชั้นใหญ่ มีบิดาเป็นถึงขุนนางฝ่ายขวาทำงานเคียงข้างพระสวามี เป็นคนอ่อนโยน จิตใจดี และฝักใฝ่ในธรรม จึงเป็นที่เคารพของเหล่าสนม รวมไปถึงเฉินเต๋อหมิงด้วยเช่นกัน

แม้ว่าพระองค์จะมิใช่มารดาที่คลอดองค์รัชทายาทออกมา แต่ก็ถือว่าเป็นบุคคลที่อบรมแลฟูมฟักลูกชายคนนี้ไม่แพ้มารดาแท้ ๆ ที่จากไป

“เสด็จแม่..ลูกขอออกไปเล่นได้หรือไม่พะย่ะค่ะ” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กวัย 12 ชันษา องค์ชายใหญ่ หนิงเฉิง กล่าวขอคำอนุญาตจากผู้เป็นมารดา

“อากาศหนาวเช่นนี้ยังจะออกไปวิ่งเล่นอีกหรือ” เฉิงเซียวเอ่ยถามลูกชาย

“อากาศหนาวเช่นนี้ หากอุดอู้อยู่แต่ในตำหนัก ร่างกายก็มิอาจต้านความหนาวได้ สู้ออกไปวิ่งเล่นกับบรรดาน้อง ๆ คงช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นได้พะย่ะค่ะ”

เฉิงเซียวยิ้มให้ลูกชายอย่างอ่อนโยนพร้อมกับพยักหน้าเชิงอนุญาต ไม่วายนิ้วเรียวกรีดกรายชี้สั่งให้นางกำนัลนำเสื้อขนสัตว์ชั้นดีมาคลุมร่างกายลูกชายของพระนางเอาไว้ เพื่อกันความหนาวจากข้างนอก

“อย่าออกไปเล่นไกลนัก แม่จะให้นางกำนัลและขันทีติดตามเจ้าไปอย่างละสองคนก็แล้วกัน”

“ขอบพระทัยพะย่ะค่ะเสด็จแม่” หนิงเฉิงคำนับหนึ่งครั้ง ก่อนจะรีบวิ่งออกจากตำหนักไปในทันที



ณ สวนดอกไม้ของวังหลวงในวันนี้ช่างแปลกตากว่าทุกครั้ง จากความร้อนแผ่กระจายทำให้เบ่งบานกลับเหี่ยวเฉาร่วงโรยลงมาจนต้นไม้หัวโกร๋นกันไปหมด เหลือเพียงแค่ดอกเหมยเท่านั้นที่ยังคงตั้งตระหง่านชูช่อเป็นสีชมพูบานฉ่ำ ช่วยทำให้หิมะแสนจืดชืดดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา

“นั่นเจ้าทำสิ่งใดอยู่หรือหนิงอัน”

องค์ชายสาม หนิงอันหันกลับไปตามต้นเสียงก่อนจะยิ้มแฉ่ง เมื่อเห็นองค์ชายรอง หนิงอวี่เอ่ยทักถาม

“ข้ากำลังดูเจ้าดอกเหมยที่เสด็จพ่อทรงปลูก...มันโตชูช่อสวยงามจนข้าอยากจะหักกิ่งของมันไปฝากเสด็จแม่เสียหน่อย”

หนิงอันในวัย 10 ชันษาเอ่ยตอบพี่ชายอย่างแสนซื่อ หากแอบหักกิ่งของดอกเหมยต้นนี้ไป มิรู้ว่าเสด็จพ่อจะทรงอนุญาตหรือไม่ แต่ถ้าหากว่าอ้างว่าจะนำไปให้เสด็จแม่ เสด็จพ่อก็คงจะยอมและให้โดยดีอย่างแน่แท้

“ที่ตำหนักของพระนางเต๋อเฟยก็มีดอกเหมยที่เสด็จพ่อทรงปลูกมิใช่หรือ”

“ต้นนั้นแคระแกนนัก ยังไม่โตเต็มไวจนออกดอก ข้ากลัวเสด็จแม่ขี้เกียจจะรอน่ะสิ” คำตอบแสนซื่อถูกกล่าวออกไป จนหนิงอวี่ถึงกับหลุดขำออกมา

“ฮ่ะ ๆ เจ้าช่างเขลานัก ต้นไม้ต้นนั้นเสด็จพ่อพึ่งนำมันมาลงดินในไม่กี่วันเองมิใช่หรือ อดทนรออีกสักหน่อยเถิด หากหักกิ่งขโมยมันไป มู่กงกงรู้เขาจะเอาไปฟ้องได้”

“ชิ! มู่กงกงขี้ฟ้องจริง ๆ”

หนิงอันจิ๊ปากอย่างขัดใจ มู่กงกงคือขันทีที่ทำงานใกล้เคียงกับสเด็จพ่อมากที่สุด และถ้าหากมู่กงกงรู้เข้าจริง ๆ ทั้งหนิงอวี่และหนิงอันอาจจะช่วยกันตะล่อมพูดให้ขันทีผู้นี้ไม่ปริปากก็ได้นี่นา แต่อย่างที่พี่รองเอ่ย ต้องรออีกหน่อย เจ้าต้นเหมยที่เสด็จพ่อทรงปลูกให้เสด็จแม่อาจจะออกดอกงดงามกว่าดอกเหมยต้นนี้ก็ได้

เมื่อยืนชมดอกเหมยกันได้ครู่หนึ่ง หนิงอวี่ก็นึกถึงบางอย่างได้จึงร้องออกมา

“อ้อ..ข้าลืมไปเลย มีสิ่งหนึ่งอยากจะให้เจ้าดูเสียหน่อย”

“อะไรหรือ”

หนิงอวี่กวักมือเรียกขันทีผู้ติดตามองค์ชายให้เข้ามาใกล้ ๆ ขันทีผู้นี้กางแผ่นกระดาษที่มีภาพวาดขาดใหญ่ ถูกแต่งแต้มด้วยหมึกดำ มันคือภาพวาดทิวทัศน์ที่หนิงอวี่วาดมาจากจินตนาการของตนเอง หนิงอันตาโต เมื่อเห็นว่าพี่ชายของตนเองนั้น ช่างมีฝีมือในการตวัดพู่กันวาดภาพได้อย่างสุดยอด!

“เป็นอย่างไรบ้าง เมื่อวานข้าให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่ดูแล้ว ทั้งสองพระองค์ชมข้าใหญ่ วันนี้จึงอยากนำมาอวดเจ้าบ้าง”

“การวาดภาพของท่านเป็นเลิศที่สุดแล้วข้ารู้ดี จะให้แข่งวาดกับใครหรือผู้ใดล้วนแพ้ท่านกันหมด” หนิงอันเอ่ยชมพี่ชาย หากให้ตนนั้นเป็นผู้ลงมือตวัดพู่กันคงจะเละเทะเปรอะเปื้อนไม่เป็นท่าอย่างแน่นอน

ไม่นานนักหนิงเฉิงก็เดินมาถึง เมื่อเห็นหนิงอันและหนิงอวี่กำลังหัวร่อพูดคุยกันเสียงดัง ก็นึกสงสัยจึงเดินเข้าไปหา หนิงเฉิงยิ้มมุมปากเมื่อเห็นภาพวาดก็คว้ามาจากขันที ก่อนจะเอ่ยวิจารณ์ขึ้น

“นี่อะไรกัน...ภาพนี้ขี้เหร่นัก ข้ารับใช้ของข้ายังวาดได้สวยกว่าอีก”

หนิงอวี่หุบยิ้มลงในทันทีที่ถูกวิจารณ์จากปากขององค์รัชทายาทผู้นี้ ฝ่ายหนิงอันผู้ไม่เกรงกลัวก็คว้าภาพวาดนั้นกลับมาอยู่ในมือของตนเอง

“ท่านมีตั้งสองตา เหตุใดจึงกล้าตัดสินภาพวาดของพี่รองนั้นขี้เหร่”

“เจ้าก็ดูเอาเองสิ ต้นไผ่จะล้มแหล่มิล้มแหล่ ไหนจะภูเขายึกยือนั่นอีก ไม่ให้เรียกว่าขี้เหร่แล้วจะให้เรียกว่าอะไร” หนิงเฉิงผู้ทะนงตนร้องเหอะออกมาจากลำคอ ก่อนจะคว้ากระดาษแผ่นเดิมมาจากมือของหนิงอวี่

“พี่ใหญ่ท่านเอามานะ นั่นมันภาพวาดของพี่รอง!” หนิงอันเดือดดาลแทนพี่ชายผู้ไม่สู้คน เด็กชายเดินดุ่ม ๆ เข้าไปหวังจะคว้ากระดาษแผ่นนั้นกลับคืนมา แต่ก็ถูกหนิงเฉิงกวนประสาทด้วยหลบอยู่หลังของขันที ฝ่ายหนิงอวี่เห็นท่าไม่ดีก็รีบคว้าตัวของหนิงอันเอาไว้ อีกฝ่ายเป็นถึงรัชทายาท หากประพฤติตัวไม่เหมาะสมจะถูกลงโทษได้

“แน่จริงเจ้าก็เข้ามาเอาสิ แต่เจ้ามันเตี้ยนี่นาหนิงอัน จะคว้ากระดาษจากข้าได้หรือ”

หนิงอันฮึดฮัดอยู่ในใจ หนิงเฉิงผู้เป็นองค์ชายใหญ่เกิดห่างกันก็ไม่กี่ปี ริอาจหยิ่งผยองกล้าคิดว่าตนเองสูงกว่างั้นหรือ ก็เตี้ยไม่แพ้กัน สูงพ้นไหล่ของตนนิดเดียวเองทำมาเป็นขี้คุย

“พอเถอะหนิงอัน ประเดี๋ยวข้าวาดใหม่ก็ได้หากพี่ใหญ่พูดแล้วว่ามันขี้เหร่”

“ขี้เหร่อะไรกัน ศิลปะมันมีขี้เหร่ด้วยหรือ...ท่านบรรจงวาดต้นไม้ บรรจงวาดภูเขา อาจารย์ทางศิลป์บางคนวาดยึกยือมากกว่าท่าน ยังเป็นอาจารย์สอนได้ แล้วเหตุใดจึงด้อยค่างานของตนว่าขี้เหร่”

หนิงอันหงุดหงิดกับความกวนประสาทของหนิงเฉิงเต็มทีแล้ว เด็กชายเดินไปผลักหนิงเฉิงตอนเผลอให้ล้มลงจนก้นนั้นจ้ำเบ้าลงบนหิมะ

ในระหว่างนั้นเองอันอวี่ไทเฮาเดินผ่านมา เห็นหลานชายคนโปรดถูกผลักล้มลงจึงรีบปรี่เข้ามา แลง้างมือตวัดลงบนแก้มขวาของหนิงอันในทันที

เพียะ!

หนิงเฉิงเห็นเสด็จย่าถือข้างตนแล้ว ก็เบะปากร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายสายตาบรรดาข้ารับใช้เลยสักนิด ซ้ำยังดันตัวลุกขึ้นวิ่งไปกอดข้างเอวของพระนางอีกต่างหาก

“เด็กเหลือขอ” อันอวี่ไทเฮาเอ่ยตำหนิหนิงอัน ซ้ำยังตวัดมืออันเหี่ยวย่นลงบนแก้มของเด็กชายซ้ำเป็นรอบที่สอง จนหนิงอันยกมือขึ้นมากุมใบหน้าของตนเอง

“แม่เจ้าไม่สอนมารยาทในวังหลวงอย่างนั้นหรือ กล้าดีอย่างไรถึงได้ผลักองค์รัชทายาท ฮ้า!” เสียงแหบแห้งแต่ทรงอำนาจควาดลั่นกลางสวนดอกไม้ หนิงอันไม่เอ่ยสิ่งใดออกไปทั้งสิ้น แต่เป็นหนิงอวี่ที่อ้าแขนบังน้องชายเอาไว้

“เป็นความผิดข้าเองพะย่ะค่ะเสด็จย่า หากข้าไม่นำภาพวาดมาให้น้องสามดู น้องสามกับพี่ใหญ่คงไม่ทะเลาะกัน”

“ภาพวาดนั่นอยู่ที่ใด”

อันอวี่ไทเฮาเอ่ยหาภาพวาดขององค์ชายรอง ฝ่ายหนิงเฉิงที่ถืออยู่แล้วจึงยื่นให้ย่าดู อั่วอวี่ไทเฮากางกระดาษภาพวาดเจ้าปัญหาและหนิงเฉิงก็เอ่ยแทรกขึ้นมา

“ข้าบอกแก่น้องสามว่าภาพนี้ยังขี้เหร่นัก ลายพู่กัดก็ยังยึกยืออยู่ ข้าแนะนำให้น้องรองไปเรียนกับท่านอาจารย์ของข้า แต่น้องสามกลับโมโหผลักข้าจนล้มลงพะย่ะค่ะ”

“เรื่องเท่านี้เจ้าถึงกับต้องผลักพี่ของเจ้าเลยหรือฮะ องค์ชายสาม”

“ข้าไม่ผิด เขาดูถูกความสามารถของพี่รองก่อน พี่รองวาดภาพนี้สวย มิใช่ดังคำที่พี่ใหญ่ว่า” หนิงอันอธิบายแก่เสด็จย่า แต่พระนางย่อมไม่ฟังหลานชังผู้นี้อยู่แล้ว แต่มือกลับตวัดเข้าที่ข้างเดิมจนหนิงอันทรุดลงไปกับพื้นในทันที

“เสด็จย่าได้โปรดอย่าตีน้องสามเลย น้องสามช่างเขลานักที่กล้าหาญผลักพี่ใหญ่...โปรดอภัยให้น้องสามเถิดพะย่ะค่ะ”

หนิงอวี่คุกเข่าลงเพื่อขอร้องให้เสด็จระงับอาการโกรธลง พระนางมององค์ชายตาต่ำลงมาพร้อมกับฉีกกระดาษแผ่นนั้นทิ้งจนเป็นเศษเล็กเศษน้อยอย่างไม่ใยดี

“ในเมื่อเหตุมันเกิดจากกระดาษเพียงแผ่นเดียวข้าก็จะฉีกมันทิ้งเสีย หวังว่าเจ้าจะมิโกรธหรอกนะองค์ชายรอง”

“มิโกรธพะย่ะค่ะ เสด็จย่าทำตามสมควรแล้วพะย่ะค่ะ”

“ฝีมือในการวาดภาพของเจ้ายังดีนัก องค์ชายใหญ่วิจารณ์อาจแรงไปบ้างเพราะยังเด็ก พวกเจ้าเองก็ยังเด็กอย่าได้เก็บเรื่องพวกนี้มาใส่ใจ ฝึกฝนอีกเสียหน่อยจะวาดได้อย่างชำนาญ” อันอวี่ไทเฮาเอ่ยเสียอ่อนลงกับองค์ชายรอง

“ส่วนเจ้าองค์ชายสาม ข้าจะออกคำสั่งให้แม่เจ้าอบรมบ่มนิสัยให้ดีกว่านี้ อย่าทำตัวชั้นต่ำหาเรื่องคนไปทั่ว กำพืดของแม่เจ้าก็มิได้สูงส่งมากนัก แค่เห็นว่าตนเองเป็นลูกรักของฝ่าบาทแล้วจะหาญกล้าทำร้ายรัชทายาทงั้นหรือ ...ทำตัวต่ำเช่นนี้ก็คงได้คู่ครองเป็นคนชั้นต่ำเยี่ยงเจ้า” อันอวี่ไทเฮากล่าวเสียงแข็ง ซ้ำยังเอ่ยคำแช่งออกมาว่าร้ายเด็กชายผู้มีศักดิ์เป็นหลานชายคนหนึ่งของตน

หนิงอันกัดริมฝีปากเพื่อออดทนต่อความเจ็บปวด มือทั้งสองข้างยังคงกุมแก้มขวาเอาไว้อยู่ แต่ตัวของเด็กชายกลับคุกเข่าลงและค้อมตัวจนหน้าผากแตะลงบนหิมะขาว

“ขอบพระทัยที่เสด็จย่าทรงสั่งสอนพะย่ะค่ะ”

อันอวี่ไทเฮามองด้วยหางตาอย่างนึกหมั่นไส้ เด็กผู้นี้มันถือโอกาสจองหองพองขนคิดว่าฝ่าบาททรงโปรดทั้งตัวมันและเต๋อเฟยหรือถึงได้กล้าแสดงกิริยาเช่นนี้ออกมา พระนางคว้าแขนเล็ก ๆ ของหนิงเฉิง แต่ก่อนจะเดินจากไปก็ไม่วายทิ้งคำสั่ง

“องค์ชายสามจงนั่งอยู่ตรงนี้จนกว่าจะถึงยามโหย่ว (17.00-19.00 น.) ใครหน้าไหนก็ห้ามยุ่งทั้งนั้น ส่วนองค์ชายรอง หนิงอวี่กลับตำหนักของเจ้าไป ประเดี๋ยวย่าจะส่งน้ำแกงไปให้”

“ขอบพระทัยพะย่ะค่ะ”

หนิงอวี่เอ่ยจบ อันอวี่ไทเฮาก็เดินจากไปพร้อมกับคว้าหนิงเฉิงออกไปพร้อม ๆ กัน หนิงอันไม่เอ่ยสิ่งใดหลักจากนั้น เด็กชายยังคงนั่งกุมแก้มของตนเองด้วยความปวดร้าว ปวดตั้งแต่บาดแผลด้านนอกร้าวไปจนข้างในใจ มิรู้เลยว่าในใจเสด็จย่ารักเขาเทียบเท่ากับพี่ใหญ่บ้างหรือไม่ ถ้าหากมอบความรักให้เขาด้วยการตบตีและลงโทษจนเจียนตาย แล้วเหตุใดจึงไม่ทำกับพี่ใหญ่บ้าง

“หนิงอัน ข้าจะอยู่ที่นี่กับเจ้า”

“ไม่ ท่านกลับไปเถิดเสด็จย่าออกคำสั่งแล้ว ข้าเป็นผู้กระทำนั่นย่อมเป็นข้าที่ถูกลงโทษ”

“แต่เพราะภาพวาด...”

“ไม่! เรื่องมันเกินคำว่าภาพวาดไปแล้ว ข้าผลักพี่ใหญ่ ข้าสมควรถูกลงโทษ”

หนิงอวี่ที่ดึงดันจะอยู่ต่อ ก็ถูกขันทีผู้ติดตามคว้าออกไปและกลับตำหนักในทันที ในยามนี้คือยามเซิน (15.00-17.00 น.) อีกไม่กี่เพลาก็จะเข้ายามโหย่ว อดทนอีกประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นเอง

หนิงอันกัดริมฝีปากจนห้อเลือด เขาเจ็บเข่าจากการถูกหิมะกัด เขาเจ็บแผลจากการถูกตบตี และเขาเจ็บใจที่ถูกด่าทอ มันเจ็บจนจุกจนทำให้เด็กชายถึงกับกลั้นน้ำตาแห่งความน้อยอกน้อยใจเอาไว้ไม่อยู่ หนิงอันนึกสงสัยอยู่ทุกครั้งไป เพราะเหตุใดเสด็จย่าถึงเอาแต่รังเกียจรังงอนตั้งแง่ดุด่าตั้งแต่จำความได้ หนิงอันเป็นเพียงแค่เด็กสิบชันษาเท่านั้น

ได้เพียงแค่ความคิดแต่ไม่กล้าเอ่ยถามกับผู้ใด ทำให้หนิงอันกลั้นอารมณ์น้อยใจเอาไว้ไม่อยู่ เด็กชายตัวน้อยร่ำไห้ออกมาแต่ก็ยังคงกัดริมฝีปากกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้



เข้ายามโหย่วขันทีรีบเข้าไปพยุงร่างกายของหนิงอันให้ลุกขึ้นมา แต่เพราะร่างกายของเด็กชายไม่ใช่ผู้ใหญ่จึงไม่อาจต้านทานความเจ็บปวดได้มาก หนิงอันทรุดตัวลงกับพื้นหิมะทันทีที่ถูกพยุงขึ้น จนขันทีต้องถือวิสาสาะนั้นอุ้มตัวองค์ชายสามกลับตำหนักในทันที

หนิงอันเป็นไข้จับสั่นจากความหนาวเหน็บ ร่างกายสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ใบหน้าขวายังคงห้อเลือดพร้อมกับรอยริ้วที่ฝากความเจ็บปวดเอาไว้ เต๋อเฟยแทบลมจับเมื่อเห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนต้องเจ็บเจียนตายเช่นนี้ แต่ก็ยังโชคดีที่ตอนนี้ถึงมือหมอหลวงแล้ว

“พระสนมนั่งก่อนเถิดนะเพคะ ตอนนี้องค์ชายอยู่ในมือหมอหลวงแล้ว พระองค์จะไม่เป็นอะไรเพคะ”

“ลูกของข้าทำผิดร้ายแรงขนาดไหน เขาถึงต้องกลายเป็นเช่นนี้กัน” เต๋อเฟยนั่งแทบไม่ติดเก้าอี้ ลูกชายในตอนนี้เป็นหนักยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ หากเขาตายจากไปตัวของนางคงอยู่ไม่ได้

“หมอหลวงรักษาลูกของข้าให้หายเถิดนะ หากเขาหายดีข้าจะตบรางวัลให้อย่างงาม” เต๋อเฟยกล่าวด้วยความร้อนใจ

ไม่นานนักทุกอย่างก็สงบลง เต๋อเฟยนั่งไม่ห่างลูกชายคนเดียวของตนเลย มือของนางยังคงกุมมือเล็กอย่างทะนุถนอม คอยเช็ดตัวของเขาด้วยน้ำอุ่นเพื่อหวังว่าช่วยให้ร่างกายนั้นอุ่นขึ้น เตาไฟขนาดเล็กถูกขยับเข้ามาใกล้ลูกชาย เพื่อให้ร่างกายของหนิงอันจะได้อบอุ่นขึ้น

“เรื่องของไทเฮาจะทำเช่นไรดีเพคะ”

ซูเม่ยผู้เป็นนางกำลังคนสนิทเอ่ยถาม สิ่งที่ได้ยินจากปากของขันทีนั้น หากเรื่องหลุดรั่วไปถึงฝ่าบาทคงต้องเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน ยิ่งฝ่ายไทเฮาไม่ชอบหน้าของนางมาตั้งแต่ต้นด้วยแล้ว ก็จะยิ่งถูกตั้งแง่มากกว่าเดิมจนลูกชายอาจเป็นหนักกว่านี้ก็ได้

“ปล่อยนางไป”

“จะไปทูลฝ่าบาทหรือเพคะ”

“เท่านี้ลูกของข้าเกือบจะตายอยู่แล้ว หากวิ่งแจ้นไปฟ้องฝ่าบาทอีก ชีวิตของเขาคงจะอยู่ไม่เป็นสุข”

ซูเม่ยถอนหายใจออกมา นึกโกรธแทนผู้เป็นนายที่ถูกรังแกมาตั้งแต่ฝ่าบาทครองราชย์ใหม่ นางเข้ามาเป็นนางกำนัลตั้งแต่พระนางเต๋อเฟยดำรงตำแหน่ง เป็นอวี๋กุ้ยเหริน จนบัดนี้ตำแหน่งเป็นรองแค่ฮองเฮาก็ยังไม่มีความเกรงใจกันบ้าง รังแกคนแม่ไม่พอกลับกันก็รังแกคนลูกไม่แพ้กัน

“เจ้าไปเตรียมยาเถิดซูเม่ย ประเดี๋ยวป้อนยาหนิงอันเสร็จ ข้าจะไปสวดมนต์ให้ลูกชาย เพื่อสวรรค์จะเข้าข้างเขาบ้าง”

“เพคะพระสนม”



- หากมีคำผิด ขออภัยนักอ่านทุกท่านมา ณ ที่นี้-
9
Boy's love story / ไม่สิ้นไร้วาสนารัก
« กระทู้ล่าสุด โดย beamjs2 เมื่อ 19-10-2024 09:42:37  »
จะเป็นผู้ที่ไม่สิ้นไร้วาสนารัก จะเป็นผู้ที่ยืนหยัดต่อความรักและเคียงคู่มันจนวาระสุดท้าย

--
GENRE : Romantic | Comedy | Drama

RATE : 18+

#ไม่สิ้นไร้วาสนารัก

TWITTER : @Rubybcutiegirl

นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการที่เกิดขึ้นมาเพียงเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับใครในประวัติศาสตร์จริงทั้งสิ้น ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นมาจากจินตนาการเท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

ปล.นักเขียนไม่เก่งเรื่องฉากต่อสู้ ต้องขออภัยในความติดขัดมา ณ ที่นี้ ขอบคุณคับ
10
Boy's love story / Re: LOVE OF THE LETTER (ฝากหัวใจไว้ในตัวอักษร)
« กระทู้ล่าสุด โดย mumii009 เมื่อ 17-10-2024 17:23:55  »
ขออนุญาต ฝากเรื่องที่เหมือนจะสั้นเอาไว้ในอ้อมอก อ้อมใจค่ะ


LOVE OF THE LETTER (ฝากหัวใจไว้ในตัวอักษร)

ตอนที่ 1


ผมชื่อวิกรมครับ ชื่อเล่นก็วิกรม ชื่อจริงก็วิกรม อรรถภิรมย์

อายุยี่สิบเจ็ดปีครับ ผมเป็นลูกชายคนโตทำงานเลี้ยงพ่อแม่และส่งเสียน้องชายเรียนมหาลัยด้วยอาชีพช่างถ่ายภาพครับ รับงานอิสระทั่วไปครับ อาชีพเสริมที่รายได้ต่อเนื่องกว่าอาชีพหลักคือนักเขียนครับ

ผมเป็นนักเขียนนิยายโรแมนติกที่ถูกซื้อไปทำละครหลายเรื่องแล้ว

ตอนนี้ไม่ถือว่ารวยมากครับแค่สามารถทำเรื่องที่อยากทำได้ และมีเงินเก็บให้น้องเรียนถึงปริญญาเอกตามที่มันขอได้แล้วด้วย ส่วนพ่อกับแม่ผมทำสวนทำไร่เล็กๆ ที่แม่ฮ่องสอนครับ



ผมเดินออกมาที่ตู้จดหมายกล่องสีแดงๆ ที่ซีดไปตามกาลเวลา กล่องแดงที่ตากลมตากฝนมาหลายปีแต่ผมก็ไม่ได้ฤกษ์เปลี่ยนมันสักที

ในตู้มีจดหมายเสียบอยู่ ผมดีใจที่ได้เห็นมัน



จดหมายจากใครบางคนที่ส่งผิดมาตลอดสองปี

"อานัส ทรงกระแส" คนที่ผมไม่เคยเห็นหน้าเลยแม้สักครั้ง

จดหมายจากกระบี่ ส่งมาที่บ้านนี้เพราะคิดว่าแฟนเขายังอยู่ที่นี่

จากการสืบความจากเจ้าของบ้านเดิมซึ่งคือญาติของเพื่อนผมเองนั้น

พบว่าคนที่เคยเช่าบ้านหนังนี้อยู่เป็นสาวใต้หน้าตาสวยตอนนี้แต่งงานไปกับชาวอังกฤษแล้วผมเลยซื้อบ้านหลังนี้ต่อ



คือปกติคนทั่วไปจะถามว่าทำไมถึงซื้อบ้านมือสองไม่กลัวนั่นนี่เหรอ

ผมจะบรรยายให้ฟังว่าบ้านหนังนี้เป็นยังไง

หลับตาลงนะครับแล้วนึกภาพตาม

บ้านหลังสีอิฐ

ชั้นหนึ่งก่อนด้วยอิฐทรงธรรมดา ออกแนวคันทรี่นิดๆ ชั้นสองทำด้วยไม้สัก ไม่ต้องตกใจครับ ไม้สักแต่ทำบ้านคล้ายสไตล์บ้านชาวชนบท ชั้นสองมีสองห้องนอน หนึ่งห้องทำงาน หน้าน้ำในตัวทุกห้อง

ชั้นล่างเป็นห้องครัวด้านหลังยื่นออกไป เป็นครัวแบบเปิด แล้วก็มีห้องรับแขกที่แดดจะส่องถึงทุกเช้าเพราะ มีเรือนเพาะกล้วยไม้ที่ด้านหลังด้วย ตอนนี้ผมเอามาปลูกกระบองเพชรเรียบร้อย

สวนเล็กๆ พอจะปลูกต้นไม้อีกต่างหาก แต่แม่ผมเอาดอกกุหลาบมาปลูกไว้เป็นแถวเลย

ตอนนี้ผมก็เลยจ้างแม่บ้านมาทุกวันอังคารแล้วก็คนสวนมาสัปดาห์เว้นสัปดาห์



บ้านหลังนี้ปลูกอยู่ในซอยสุขุมวิทครับ กลางเมือง ปั่นจักรายานไปไม่ไกลก็เจอห้างมีรถไฟฟ้าด้วย เหมาะกับช่วงที่ผมต้องเข้าบริษัทเพื่อทำงาน



เงินเก็บของผมทั้งหมดที่เหลือคือบ้านหลังนี้แหละครับ

ส่วนเงินที่ใช้ทุกวันนี้ก็เอาไปทุนกับเพื่อนทำร้านอาหารที่หัวหิน

ส่วนที่เหลือก็เอาไปลงหุ้น

แต่ผมยังต้องทำงานนะครับ



อ่อ

เรากลับมาที่จดหมายดีกว่า

ตอนแรกผมก็ตีกลับไปเป็นสิบฉบับเลยครับ

จนมาวันนึงหน้าซองมันเขียนประโยคที่ว่า

"ถึงคุณที่อยู่บ้านหลังนั้นอ่านแล้วตอบกลับผมด้วย"



พอเปิดอ่านก็เจอใจความประมาณว่า

"จดหมายผมถูกตีกลับมาเป็นสิบฉบับ คุณอาจจะสงสัยว่าทำไมผมถึงไม่หยุดเขียนมา

มีเหตุผลสามข้อที่ผมยังพยายามติดต่อแฟนของผม

ข้อแรก เธอไม่ได้บอกเลิกผม

ข้อสอง ผมอยากรู้ว่าเธอยังอยู่ถึงแม้ว่าจะอยากหายไปจากชีวิตผมแล้ว

ข้อสาม ผมรักเธอและเธอละยังรักผมรึเปล่า



ดังนั้นถ้าคุณอ่านจดหมายฉบับนี้แล้วโปรดบอกเธอด้วยครับ



อานัส ทรงกระแส"



ครับผมอ่านแล้วขำในความซื่อบื้อของเจ้าของลายมือยึกยือนี้

ผมอ่านวนไปมาเพื่อวิเคราะห์ว่าเจ้าของลายมือนี้ที่ชื่อ คุณอานัส ทรงกระแสเป็นคนประมาณไหน

ผมก็วิเคราะห์ออกมาได้ดังนี้ครับ

1. น่าจะเรียนไม่สูง หรือไม่ก็เรียนสูงมากจนเขียนหวัด

2. เป็นคนโลว์เทคครับ ซึ่งอันนี้ทำให้ผมกลับไปมองที่อยู่ของผู้ส่ง น่าจะอยู่หมู่บ้านห่างไกลและกันดารถึงได้ใช้การเขียนจดหมายแทนการโทรหา หรือส่งไลน์ ข้อความอีเมล์ อันเทือกๆ นั้น

3. เป็นคนโง่ครับ เพราะผมตีกลับจดหมายไปเป็นร้อย ผมว่าน่าจะถึงร้อยแหละ เพราะตลอดเวลาหกเดือนมันเขียนมาทุกวัน บางวันก็สองฉบับ คนบ้าแน่นอน

4. รักเดียวใจเดียวเกินไป

อย่างน้อยๆ เขาก็น่าจะเป็นคนรักเดียวใจเดียวและถือมั่นเกินไป



ผมส่ายหน้ากับกระดาษสีฟ้าอ่อนนั้น แอบเผลอดมด้วย ตลก มีคนแบบนี้อยู่จริงๆ แฮะ เหมือนหลุดมาจากยุคพ่อกับแม่ผมที่เขียนจดหมายจีบกันยังไงไม่รู้

"ถึงคุณอานัส ทรงกระแส

ผมชื่อวิกรมเป็นเจ้าบ้านที่คุณจ่าหน้าซองจดหมายมาเป็นเวลา หกเดือน เนื่องจากคุณส่งจดหมายมากเยอะ (มาก) และผมก็ตีกลับไป ผมสอบถามจากเจ้าของบ้านเดิมแล้วว่า คนที่เป็นแฟนคุณ ชื่อคุณเดือนได้แต่งงานไปกับมิสเตอร์เดวิด ชาวอังกฤษแล้ว ยังไงก็ตัดใจนะครับ ผมคิดว่าคุณน่าจะลองโทรติดต่อญาติของเธอดู

แต่ผมแนะนำว่าคุณหาสาวแต่งงานไปเถอะครับล่าสุดคุณเดือนท้องสามเดือนแล้ว



ปล.ด้วยความสัตย์จริงลายมือคุณอ่านยากครับ"



จากนั้นสามเดือนมีจดหมายจากคุณอานัส ทรงกระแสมาอีก คราวนี้จ่าหน้าถึงผมและคงความลายมืออ่านยากอยู่ดี

"สวัสดีคุณวิกรม

ผมลองติดต่อญาติของเดือนแล้ว เธอไม่อยากพบผม และผมก็ได้คุณกับเธอจริงๆ จังๆแล้วด้วยการสไกป์"

อ่านถึงตรงนี้คนคนนี้ไม่ใช่คนโลว์เทคเลยนะครับ

"ผมกับเธอและเราก็บอกเลิกกันครับ แต่มันก็เลิกกันโดยที่ผมก็ไม่ได้รู้สึกเกลียดกันครับ อย่างน้อยที่สุดผมก็ไม่ได้เกลียดเดือน แถมเธออวดภาพอัลตร้าซาวด์ลูกของเธอมาด้วย

ขอบคุณที่คุณอุตส่าอ่านจดหมายของผมนะครับ



ผมส่งรูปทะเลที่บ้านผมมาด้วยหวังว่าคุณจะชอบ

อานัส"



แปลกๆ นะ แต่เชื่อเถอะเขาน่าจะเป็นที่ชอบเขียนจดหมายเอามากๆ และผมก็ดันได้แรงบันดาลใจหลายๆ อย่างจากการอ่านจดหมายเล่าเรื่องสารทุกข์สุกดิบของเขา

ช่วงเวลาสองปีผมเป็นเพื่อนกับเขาทางจดหมาย นอกจากระยะเวลาที่ผมจมกับการเขียนนิยายเพื่อขายประทังชีวิต และไปๆ กลับๆ กรุงเทพหัวหินผมก็อ่านๆ จดหมายของเขา

กระบี่นี่ทะเลสวยจนบางทีผมอยากจะเยือน ถึงแม้ว่าจะไปทะเลภูเก็ตมาแล้วแต่ ภาพหาดเงียบๆ ทรายสีขาวดึงดูดผมเอามากๆ และแน่นอน ผมวางแผนจะไป แต่งานยังเข้าอย่างต่อเนื่องผมแทบปลีกตัวไม่ได้



"ผมเคยชอบยุโรปมากกว่าเอเชีย และเคยชอบภูเขามากกว่าทะเล"

ผมส่งโปสต์การ์ด,โพสต์การ์ดไปตามที่อยู่ที่ผมจำได้แม่นรองจากที่อยู่ของแม่ที่แม่ฮ่องสอน



บางทีการสื่อสารกันแบบนี้มันดีเหมือนกันนะ มันดูมีความหมายดี

แล้วผมกับคุณอานัสก็ไม่เคยส่งรูปหรือแลกเบอร์โทรศัพท์กันสักครั้ง



ช่วงเวลาสองปีมานี่ผมรู้จักเขาแค่ว่า ชื่ออานัส เป็นคนกระบี่ อายุ32



วันนี้ผมก็ทิ้งตัวนั่งลงตรงโซฟาแล้วก็เปิดซองจดหมายอ่านเหมือนทุกครั้ง

"สวัสดีครับคุณวิกรม



อาทิตย์ที่ผ่านมาผมได้รับมอบหมายให้เข้าฝึกอบรมหลักสูตรพัฒนาตัวเองเพื่อชีวิต ซึ่งจะต้องไปที่กรุงเทพฯ ครับ ผมจะต้องไปในวันอังคารนี้และจะกลับกระบี่ในวันอาทิตย์ครับ ผมอยู่ที่โรงแรม ....เผื่อว่าคุณจะอยากเจอผม"

ผมหันไปมองปฏิทินโดยอัตโนมัติ

ผมไปหัวหินมาตั้งแต่วันพฤหัส วันนี้วันเสาร์ พรุ่งนี้วันอาทิตย์แล้วนี่หว่า

ในซองมีอะไรบางอยู่างค้างอยู่ที่ก้นซองผมเลยเขย่าออกมาดู

อะไรบ้างอย่างที่หลุดออกจากซองนั้นตกลงไปซอกโซฟาและผมไม่สามารถหยิบได้

โอ๊ย...ผมรู้สึเหมือนตัวเองร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก

ทำไมต้องตื่นเต้นกับอะไรแบบนี้วะ

"ถ้าคุณไม่ติดธุระอะไรเรามาเจอกันเถอะครับ ผมจะเลี้ยงกาแฟคุณเป็นการยินดีที่ผมได้พบเพื่อนทางตัวอักษรของผม"



สวัสดีครับผมชื่ออานัสครับ

ผมนั่งมองผู้คนที่เดินไปมาผ่านกระจกร้านคอฟฟี่ช็อปของโรงแรม

ผมบอกตัวเองว่าเขาอาจจะไม่มาแต่ผมก็อดคาดหวังไม่ได้เหมือนกัน

ผมนัดเพื่อนทางตัวอักษรของผมเอาไว้

เมื่อสองปีก่อนจากการส่งจดหมายหาแฟนเก่าผมได้เพื่อนจากการติดต่อกันทางจดหมาย

เขาชื่อวิกรมเป็นพนักงานของสำนักพิมพ์แห่งนึงครับ

เขามักจะส่งรูปถ่ายของตึกรามบ้านช่องมาหลังจากที่ผมส่งรูปทะเลไป

ผมที่ไม่รู้ว่าหน้าตาเขาจะเป็นยังไง

และเขาจะมาหาผมหรือเปล่านั้น

ผมดันคาดหวังไปเต็มที่เลยครับ



คนที่สอนผมที่ทำใจเรื่องเลิกกับแฟนคือคุณวิกรมนี่แหละครับ

"ยังไงก็หาคนที่ทำให้รู้สึกว่าชอบตัวเองเวลาอยู่ด้วยให้เจอนะครับ"

มันทำให้ผมรู้สึกว่าเขาต้องเป็นคนที่อบอุ่นมากแน่นอน

การเขียนเล่าว่ามีแมวข้างบ้านหลบมาคลอดลูกในสวนหลังบ้าน

การเล่าให้ฟังแถมส่งรูปถ่ายต้นกระบองเพชรที่เริ่มออกดอกมาอวด

ผมมองว่าเขาเป็นคนใส่ใจรายละเอียด

เราคุยกันหลายๆ เรื่องหลายๆ อย่างเลย

ผมเลยได้รู้จักอะไรใหม่ๆ ด้วย

อะไรที่ผมรู้สึกว่ามันน่าลองอย่างเช่นการกินมะเขือเทศสดกับซอสมะเขือเทศ ซึ่งผมว่ามันไม่น่าจะมีใครกินได้เป็นเรื่องเป็นราวขนาดนั้น

คุณวิกรมบอกว่าเขากินมะเขือเทศแบบนั้นได้เป็นกิโลเลย

พอนึกถึงเรื่องที่เขาเล่ามาทางจดหมายผมก็อยากเห็นหน้าเขาเอามากๆ เลย



"หมอนัส" ผมหันไปเจอพี่หมออิง

"นั่งอยู่คนเดียวตั้งนานละ ทำไมไม่ไปตะเวนราตรีอย่างพวกหมอเสริมหมอก้าวละ"

"ผมนัดเพื่อนไว้ครับ"

"วันก่อนก็บอกนัดเพื่อนไว้แล้วไม่เห็นเพื่อนหมอจะมาเลย"

"อ่อ" ผมเกาหัวเขินๆ อดคิดไม่ได้ว่าเขาจะมา ผมเลยนั่งรอเขาทุกวันเลยครับ

"เขาติดงานน่ะครับ"

"หมอ...พี่ถามจริงๆ หมอรอแฟนอยู่เหรอ”

"เพื่อนครับ" เพื่อนจริงๆ ครับ ผมชอบผู้หญิงครับ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมองผู้ชายเลยครับ

"หมอ ตอนที่เดือนทิ้งไปทำไมหมอทำใจง่ายจัง" อื้มมมมมม

"ไม่รู้เหมือนกันสิครับ"

"อื้ม....หมอมีคนดามใจแล้วชัวร์" พี่หมออิงตบเข่าตัวเอง

"อ่า...ใช่ที่ไหนละครับ" ผมหัวเราะแล้ว และเหลือบมองไปที่ถนน

สัญญาณไฟสีแดงให้รถหยุดและสีเขียวแสดงให้คนเดินข้าวมา เหมือนผมสะดุดตากับคนที่ใส่กางเกงวอร์มกับเสื้อยืดสีเทาเดินข้ามถนนมารีบๆ ไหล่ขวาสะพายเป้ใบไม่เล็กไม่ใหญ่

ผมยาวระคอ เดินตรงมาที่ทางเข้าโรงแรม ผมเหลือบมองเพราะละสายตาไม่ได้ แต่ก็ยอมรับกับตัวเองว่าผิวขาวจัดของเขาดูเหมือนผู้หญิง

"หมอ...พรุ่งนี้กลับแล้วหมอจะแวะไปซื้อของกับพี่มั๊ย" พี่หมออิงชวนอีกครั้ง

"...." ผมส่ายหน้าอีกครั้ง

"เอออออออออ งั้นพี่ไปละ" ผมมองร่างสมส่วนของพี่หมออิงเดินจากไป

"คุณหมออานัสคะ พอดีมีคนมาติดต่อคุณหมอ ชื่อคุณวิกรม"



ผมเดินมาถึงหน้าฟร้อน เจ้าหน้าที่ผายมือให้ผมพบกับคนคนนึงที่นั่งก้มหน้าอยู่กับโทรศัพท์ การแต่งตัวของเขาคือคนที่ผมเห็นเมื่อสักครู่

"สวัสดีครับคุณวิกรม" เขาเงยหน้าแทบจะทันที

"อ่า สวัสดีคุณอานัส" ผมกลั้นลมหายใจตัวเอง

เขาดูต่างจากที่ผมคิดเอาไว้

เพราะผมคิดว่าผู้ชายที่ชอบปลูกต้นไม้คนนั้นจะตัวหนาและผิวเข้มกว่านี้

คุณวิกรมผอมกว่าที่คิดและสูงแค่ปลายจมูกเท่านั้นเอง

"ผมสูงร้อยเจ็ดสิบห้า คุณอาจจะมองว่าเตี้ยแต่อย่าแสดงออกชัดขนาดนี้เลยครับ" ผมอยากจะหัวเราะออกมาแต่เกรงว่าจะทำลายความสัมพันธ์ทางจดหมายสองปีของเรา

"ผม...ไม่ได้คิดว่าคุณเตี้ยครับ แต่คุณตัวเล็กกว่าที่คิด"

"ผมคิดว่านั่นไม่ใช่คำชมครับ" โผงผางเอาเรื่อง

"อื้ม...ก่อนที่คุณรู้สึกเกลียดขี้หน้าผม เราไปดื่มกาแฟด้วยกันทางโน้นดีมั๊ยครับ"

"ผมมีร้านดีๆ จะแนะนำถ้าคุณชอบกาแฟ แต่ตอนนี้หกโมงเย็นแล้วผมว่าเราควรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น"

"ดื่มเหล้าเหรอครับ" ผมไม่เคยมองนาฬิกาเวลาดื่มกาแฟ อันที่จริงผมดื่มกาแฟไม่เลือกเวลาต่างหาก

"เปล่าครับ ถ้าคุณจำได้ ผมเคยพูดถึงร้านอาหารดีๆ ที่ผมชอบไป ถ้าไม่รังเกียจเอาไว้คราวหน้าผมจะให้คุณเลี้ยงกาแฟ แต่คราวนี้ขอเลี้ยงอาหารเย็นคุณอานัสแล้วกัน"





ผมขึ้นเครื่องจากกรุงเทพ ด้วยความรู้สึกแปลกๆ

อดนึกถึงบทสนทนากับคนที่ผมคิดว่าชาตินี้เราอาจจะไม่ได้เห็นหน้ากันด้วยซ้ำ

“เป็นหมอนี่ครับ” ผมพยักหน้า

“ตอนนี้กำลังเป็นครูด้วยครับ”

“เริ่มต้องสอนแล้วเหรอครับ”

“ครับ” ผมลอบมองปากเล็กที่ออกจะห้อยนั้นงับอาหารเข้าปาก

“ทานเยอะๆ เลยครับ” ผมยิ้มตอบแล้วตักอาหารเข้าปาก

“ผมเป็นหมอกระดูก อายุสามสิบสองและกำลังจะเต็มสามสิบสามในเดือนหน้า” เมื่อถูกมองเหมือนเด็กกำลังสงสัย

“จริงดิ่ครับ ผม...” คนตรงหน้าผมตาดุครับ ตาชี้ๆ เหมือนจีนแถมผิวขาวเกินคนภาคกลางไปเยอะเลย

“อ่อ...ผมเป็นเหนือ พ่อแม่เป็นคนเหนือ แต่โตที่กรุงเทพ ผมอายุ...ยี่สิบแปดครับ” คราวนี้ผมเผลอเงยหน้าขึ้นมองเขา

“คือผมอยากจะบอกอายุคุณแหละแต่พอคุณบอกอายุมาตอนนั้นผมก็คิดว่าถ้าไม่บอกเราจะสามารถคุยกันได้เยอะกว่าแล้วคุณจะไม่มองว่าผมเด็ก ยังไงก็ขอโทษครับ”

“ไม่ขอโทษสิครับ ผมเองก็ไม่เคยถาม แต่พอมาเจอกันแบบนี้ผมนึกว่าเด็กมหาลัยซะอีก”

“ผมโตแล้วครับ” พอได้ยินประโยคนี้ผมอยากจะเถียงว่าเด็กมากเลยครับ

“เราคุยกันหลายเรื่องเลยครับทั้งเรื่องอาชีพ ครอบครัวบ้างนิดหน่อย เจ้าตัวอวดรูปแมวที่แอบไปคลอดลูกให้ดูด้วย แถมบ่นว่าลูกแมวสองตัวซนมาก

“คิดว่าจะไม่เลี้ยงแต่มันชอบแอบเข้ามาในสวนตลอดเลยครับ แถมบางทีก็แอบเข้ามาในบ้าน”

“เลี้ยงเลยสิครับเดี๋ยวผมส่งอาหารมาให้"

“ลำบากเปล่าๆ ครับ ผมเองก็ดูแลไหว เพียงแต่ป่วนจนบางทีผมปวดหัว”

“เอ่อ...ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าเราจะกลายเป็นเพื่อนกันทางจดหมาย”

“ครับ เป็นเรื่องที่ดีมากเลยครับ เพราะผมก็ไม่เคยคุยกับใครทางจดหมายแบบนี้นอกจากเดือนกับคุณวิกรม”

“อ่า...ขอเสียมารยาทครับ”

“ครับผม” เขาเม้มปากแล้วค่อยๆ ถามผมแบบเกรงใจกึ่งอยากรู้ดูตลกดีครับ

“ทำใจได้แล้วจริงๆ เหรอครับ”

“ก็ทำใจได้แล้วครับ ไม่ได้นึกถึงเดือนในแง่นั้นแล้วครับ”

“ก็ดีแล้วครับ”

“วันก่อนเพิ่งไลน์คุยกันครับ นี่แอล ลูกสาวเดือนครับ” ผมส่งโทรศัพท์ให้เขาดู

“น่ารักนะเนี่ย”

“ใช่แล้ว” ตาชี้ๆ นั้นเบิกกว้าง แสดงออกชัดเจน

ตั้งแต่ผมกับเขาเจอกันผมก็รู้สึกได้ว่าคนตรงหน้านี่เป็นพวกไม่เก็บอารมณ์



“เอาไว้คราวหน้าถ้าเจอกันผมเลี้ยงกาแฟแล้วก็อาหารมื้อใหญ่นะ”

“ถ้าได้เจอกันอีกนะครับ” คุณวิกรมในชุดที่เพิ่งไปฟิตเนส (เผลอเล่าออกมา) รับคำ

ใจผมอยากจะขอเบอร์โทรศัพท์เพื่อจะได้ติดต่อกัน

“ถึงกระบี่แล้วอย่าลืมส่งจดหมายมาอีกนะครับ”

“คุณวิกรม” ผมยกโทรศัพท์มากดถ่ายภาพเขาเอาไว้

“จะถ่ายรูปเหรอครับมาสิผมติดกล้องมาด้วย”

การถ่ายรูปด้วยกันครั้งแรก การเจอกันครั้งแรกทำให้ผมรู้สึกดี

“แล้วผมจะส่งไปกับจดหมายนะครับ”



////

สวัสดีค่ะทุกท่าน

เราเขียนเรื่องนี้โดยมีแรงบันดาลใจมาจากวิชาการเขียนจดหมายสมัยประถม

ซึ่งเรื่องนี้ค่อนข้างจะเบาๆ

เราชอบความจะไปก็ไปไม่ถึงของสองคนในเรื่องนี้มากๆค่ะ

โดยถ้ามีตอนต่อๆไป ก็จะให้จบแบบค้างเอาไว้เรื่อยๆแบบนี้

เผื่อว่าคนอ่านจะคิดแนวของเรื่องในแบบของตัวเองด้วย



ยังไงก็ช่วยกันคอมเม้นนะคะ

ยินดีมากๆที่มีคนเข้าอ่านค่ะ
หน้า: [1] 2 3 4 5 ... 10
สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด