กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: [1] 2 3 4 5 ... 10
1
เซ็งเป็ดแฟนคลับ / ร้านพวงหรีดตลาดไท
« กระทู้ล่าสุด โดย สไตล์หรีด เมื่อ 13-07-2025 11:41:16  »

ร้านพวงหรีดตลาดไทพวงหรีดดอกไม้สด เลือกอย่างไรให้ตรงใจและเหมาะสมกับพิธี
การเลือก พวงหรีดดอกไม้สด ไม่ใช่เพียงเรื่องของความสวยงามเท่านั้น ร้านพวงหรีดตลาดไทแต่ยังเป็นการพิจารณาถึงความเหมาะสม ความสุภาพ และการสื่อสารทางอารมณ์ การเข้าใจวิธีเลือกพวงหรีดที่ดีจะช่วยให้คุณแสดงความอาลัยได้อย่างลึกซึ้งและเหมาะสมยิ่งขึ้น

1. พิจารณาจากความสัมพันธ์กับผู้ล่วงลับ
หากเป็นญาติผู้ใหญ่หรือบุคคลสำคัญ: ควรเลือกพวงหรีดที่ดูสง่างาม ใช้โทนสีสุภาพ เช่น สีขาว ครีม ม่วงอ่อน หรือสีฟ้าอ่อน
หากเป็นเพื่อนหรือคนสนิท: สามารถเลือกสีที่สะท้อนบุคลิกของผู้ล่วงลับได้ เช่น สีชมพู สีเหลือง หรือสีสดใส
หากเป็นเพื่อนร่วมงาน หรือองค์กร: ควรเลือกพวงหรีดที่มีโลโก้องค์กรหรือลักษณะสุภาพเป็นทางการ
2. เลือกโทนสีที่สื่อถึงความรู้สึก
ขาว – ครีม: สะอาด บริสุทธิ์ เคารพอย่างสูงสุด
ม่วง: ความสงบ ความอาลัย ความเคารพอย่างลึกซึ้ง

ชมพู: ความรัก ความห่วงใย อ่อนโยน
ฟ้า: สื่อถึงสันติ ความสงบสุขและการจากลาอย่างสง่างาม
บริการจัดส่งพวงหรีดดอกไม้สดถึงวัด – ความสะดวกที่มาพร้อมความใส่ใจ
ในยุคดิจิทัล ร้านพวงหรีดหลายแห่งได้พัฒนา บริการจัดส่งพวงหรีดถึงวัด เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่ไม่สามารถเดินทางไปร่วมงานได้ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และเขตเมืองใหญ่ บริการนี้จึงกลายเป็นทางเลือกหลักที่คนไทยนิยมมากขึ้น เพราะมีจุดเด่นหลายประการ ได้แก่:
สั่งออนไลน์ง่าย: ผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที
มีรูปให้เลือกหลากหลายแบบ: พวงหรีดปทุมธานีทั้งแบบหรูหรา เรียบง่าย หรือแบบที่ออกแบบพิเศษตามคำสั่ง
ส่งตรงถึงวัดพร้อมป้ายชื่อ: ไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา งานศพส่วนใหญ่มักต้องแข่งกับเวลา
มีบริการถ่ายรูปหลังส่ง: เพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าว่าพวงหรีดถึงมือแน่นอน

2
เซ็งเป็ดแฟนคลับ / ร้านพวงหรีดวัดเขียนเขต
« กระทู้ล่าสุด โดย สไตล์หรีด เมื่อ 13-07-2025 11:38:12  »

ร้านพวงหรีดวัดเขียนเขตพวงหรีดดอกไม้สดไม่ใช่เพียงเครื่องประดับในงานศพ ร้านพวงหรีดวัดเขียนเขตแต่เป็นตัวแทนของความรู้สึกที่จริงใจและความเคารพต่อผู้ล่วงลับ การเลือกพวงหรีดที่เหมาะสมและมีคุณภาพ จึงเป็นสิ่งที่ควรให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกดอกไม้ รูปแบบ หรือบริการจัดส่ง เพื่อให้พวงหรีดนั้นสามารถสื่อความหมายจากใจได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด

หากคุณกำลังมองหาพวงหรีดดอกไม้สดที่สวยงาม ทนทาน และส่งตรงถึงวัดอย่างตรงเวลา อย่าลืมเลือกจากร้านพวงหรีดที่มีประสบการณ์และบริการมืออาชีพ เพื่อมอบเกียรติสุดท้ายอย่างสมบูรณ์แบบ
พวงหรีดดอกไม้สด (Fresh Flower Wreath) คือสิ่งแทนความอาลัยและการไว้อาลัยต่อผู้เสียชีวิต ที่นิยมใช้ในพิธีศพในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน พวงหรีดชนิดนี้มีความงดงาม สดชื่น และเปี่ยมด้วยความหมาย พวงหรีดวัดเขียนเขตมักจัดทำจากดอกไม้หลากหลายชนิด เช่น ดอกเบญจมาศ ดอกลิลลี่ ดอกกุหลาบ ดอกกล้วยไม้ ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่สื่อถึงความรัก ความระลึกถึง และการส่งผู้ล่วงลับอย่างสมเกียรติ

3
เซ็งเป็ดแฟนคลับ / ร้านพวงหรีด
« กระทู้ล่าสุด โดย สไตล์หรีด เมื่อ 13-07-2025 11:36:26  »

ร้านพวงหรีดพวงหรีดดอกไม้สดไม่ใช่เพียงเครื่องประดับในงานศพ ร้านพวงหรีดแต่เป็นตัวแทนของความรู้สึกที่จริงใจและความเคารพต่อผู้ล่วงลับ การเลือกพวงหรีดที่เหมาะสมและมีคุณภาพ จึงเป็นสิ่งที่ควรให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกดอกไม้ รูปแบบ หรือบริการจัดส่ง เพื่อให้พวงหรีดนั้นสามารถสื่อความหมายจากใจได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด

หากคุณกำลังมองหาพวงหรีดดอกไม้สดที่สวยงาม ทนทาน และส่งตรงถึงวัดอย่างตรงเวลา อย่าลืมเลือกจากร้านพวงหรีดที่มีประสบการณ์และบริการมืออาชีพ เพื่อมอบเกียรติสุดท้ายอย่างสมบูรณ์แบบ

เคล็ดลับการเลือกซื้อพวงหรีดดอกไม้สด
เลือกดอกไม้คุณภาพดี – ควรเลือกพวงหรีดที่ใช้ดอกไม้สดใหม่ เพื่อความสวยงามและไม่เหี่ยวเฉาระหว่างพิธี
เลือกแบบให้เหมาะสม – พิจารณาเพศ วัย และความสัมพันธ์กับผู้ล่วงลับ เช่น ถ้าเป็นผู้สูงอายุ อาจเลือกโทนสีเรียบ สุภาพ
เลือกร้านพวงหรีดที่น่าเชื่อถือ – ร้านพวงหรีดมืออาชีพจะสามารถออกแบบพวงหรีดได้อย่างประณีตและจัดส่งตรงเวลา
พิจารณาราคาและบริการจัดส่ง – เลือกร้านที่ให้ราคาสมเหตุสมผล พร้อมบริการจัดส่งถึงวัดอย่างรวดเร็ว
บริการพวงหรีดดอกไม้สดในยุคออนไลน์
ในปัจจุบัน ผู้คนสามารถสั่งซื้อพวงหรีดดอกไม้สดได้อย่างสะดวกสบายผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ ร้านพวงหรีดออนไลน์ส่วนใหญ่มีบริการจัดส่งถึงวัดทั่วประเทศ ร้านพวงหรีดออนไลน์ พร้อมรูปถ่ายพวงหรีดก่อนส่งให้ลูกค้าได้ตรวจสอบ ช่วยให้มั่นใจได้ว่า พวงหรีดจะสวยงามตามต้องการแม้ไม่ได้ไปงานด้วยตัวเอง

ตัวอย่างข้อความไว้อาลัยบนพวงหรีด
ด้วยความอาลัยอย่างสุดซึ้ง
ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่ง
หลับให้สบาย...เราจะคิดถึงเสมอ
ร่วมไว้อาลัยจากใจ
ขอเป็นดอกไม้ส่งทางสุดท้าย
4
เซ็งเป็ดแฟนคลับ / พวงหรีด
« กระทู้ล่าสุด โดย สไตล์หรีด เมื่อ 13-07-2025 11:34:37  »

พวงหรีดบริการพวงหรีดดอกไม้สดในยุคออนไลน์
ในปัจจุบัน ผู้คนสามารถสั่งซื้อพวงหรีดดอกไม้สดได้อย่างสะดวกสบายผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ ร้านพวงหรีดออนไลน์ส่วนใหญ่มีบริการจัดส่งถึงวัดทั่วประเทศพวงหรีด  พร้อมรูปถ่ายพวงหรีดก่อนส่งให้ลูกค้าได้ตรวจสอบ ช่วยให้มั่นใจได้ว่า พวงหรีดจะสวยงามตามต้องการแม้ไม่ได้ไปงานด้วยตัวเอง

ตัวอย่างข้อความไว้อาลัยบนพวงหรีด
ด้วยความอาลัยอย่างสุดซึ้ง

ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่ง

หลับให้สบาย...เราจะคิดถึงเสมอ

ร่วมไว้อาลัยจากใจ

ขอเป็นดอกไม้ส่งทางสุดท้าย

ทำไมพวงหรีดดอกไม้สดจึงยังคงเป็นที่นิยม
แม้ในปัจจุบันจะมีพวงหรีดแบบอื่น ๆ เช่น พวงหรีดผ้า พวงหรีดพัดลม หรือพวงหรีดของใช้ ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้ แต่พวงหรีดดอกไม้สดยังคงได้รับความนิยมเสมอ เพราะความสวยงาม ความเหมาะสมในเชิงวัฒนธรรม และความหมายที่ลึกซึ้ง จึงกลายเป็นเครื่องหมายแห่งความอาลัยที่ผู้คนยังคงเลือกใช้เพื่อส่งมอบความรู้สึกสุดท้ายแก่ผู้จากไป
พวงหรีดดอกไม้สดไม่ใช่เพียงเครื่องประดับในงานศพ แต่เป็นตัวแทนของความรู้สึกที่จริงใจและความเคารพต่อผู้ล่วงลับ การเลือกพวงหรีดที่เหมาะสมและมีคุณภาพ จึงเป็นสิ่งที่ควรให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกดอกไม้ รูปแบบ หรือบริการจัดส่ง เพื่อให้พวงหรีดนั้นสามารถสื่อความหมายจากใจได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด

หากคุณกำลังมองหาพวงหรีดดอกไม้สดที่สวยงาม พวงหรีด ทนทาน และส่งตรงถึงวัดอย่างตรงเวลา อย่าลืมเลือกจากร้านพวงหรีดที่มีประสบการณ์และบริการมืออาชีพ เพื่อมอบเกียรติสุดท้ายอย่างสมบูรณ์แบบ

6

ร้านพวงหรีดวัดพระศรีมหาธาตุ พวงหรีดดอกไม้สด คืออะไร?
พวงหรีดดอกไม้สด (Fresh Flower Wreath) คือสิ่งแทนความอาลัยและการไว้อาลัยต่อผู้เสียชีวิต ร้านพวงหรีดวัดพระศรีมหาธาตุที่นิยมใช้ในพิธีศพในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน พวงหรีดชนิดนี้มีความงดงาม สดชื่น และเปี่ยมด้วยความหมาย มักจัดทำจากดอกไม้หลากหลายชนิด เช่น ดอกเบญจมาศ ดอกลิลลี่ ดอกกุหลาบ ดอกกล้วยไม้ ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่สื่อถึงความรัก ความระลึกถึง และการส่งผู้ล่วงลับอย่างสมเกียรติ

ความสำคัญของพวงหรีดดอกไม้สดในพิธีศพ
การมอบพวงหรีดดอกไม้สดในการจัดงานศพเป็นการแสดงความเสียใจจากใจจริงต่อครอบครัวของผู้วายชนม์ และยังเป็นการแสดงความเคารพครั้งสุดท้ายต่อผู้ล่วงลับ พวงหรีดดอกไม้สดถือเป็นตัวแทนแห่งความสวยงามชั่วคราวของชีวิต สะท้อนถึงวัฏจักรแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และยังช่วยเสริมบรรยากาศภายในงานให้สงบ เรียบง่าย และเปี่ยมไปด้วยความหมาย

ประเภทของดอกไม้ที่นิยมใช้จัดพวงหรีดดอกไม้สด
ดอกเบญจมาศ – สื่อถึงความบริสุทธิ์ใจ ความเคารพ และความจริงใจ

ดอกลิลลี่ – หมายถึง ความสง่างาม ความรักอันบริสุทธิ์ และความสงบ

ดอกกุหลาบขาว – สื่อถึงความรักนิรันดร์และการอำลาอย่างอ่อนโยน

ดอกกล้วยไม้ – สื่อถึงความสูงค่าและความระลึกถึง

ดอกคาร์เนชั่น – นิยมใช้เพื่อแสดงความอาลัยอย่างนุ่มนวล

ข้อดีของการเลือกพวงหรีดดอกไม้สด
แสดงความรู้สึกอย่างลึกซึ้ง: ดอกไม้สดมีพลังในการสื่อสารความรู้สึก ร้านพวงหรีดวัดพระศรีมหาธาตุ ทำให้ผู้มองเห็นรับรู้ถึงความจริงใจในการไว้อาลัย
เสริมบรรยากาศให้สงบและสุภาพ: สีสันและกลิ่นหอมอ่อนของดอกไม้ช่วยลดความตึงเครียดในงานศพ
สามารถออกแบบให้เหมาะสมกับผู้ล่วงลับ: พวงหรีดดอกไม้สดสามารถปรับรูปแบบและโทนสีให้เหมาะสมกับบุคลิกของผู้เสียชีวิต
7
Boy's love story / Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 15 : โลกใบใหม่ใบเดิม
« กระทู้ล่าสุด โดย Milky_Milky_Way เมื่อ 13-07-2025 10:56:22  »
ตอนที่ 15 : โลกใบใหม่ใบเดิม

ผมก้าวลงจากรถ พร้อมกระชับกระเป๋าทรง sport ในมือ แสดแดดยามเช้าส่องผ่านร่มเงาของต้นไม่ใหญ่ที่ขึ้นอยู่เต็ม 2 ฝั่งถนน ทำให้เกิดเป็นเงาไม้ทอดยาวไปตามทางเดินภายในมหาวิทยาลัย เงาไม้เหล่านั้นดูเหมือนมีชีวิตยามพริ้วไหวไปตามสายลมของช่วงปลายฤดูร้อน ... เสียงกลองสันทนาการดังกระหึ่มเป็นจังหวะ ... บรรยากาศของการรับน้องเวียนกลับมาอีกครั้ง

… ‘G’

“มึงถึงหรือยัง” เพื่อนสนิทเอ่ยถามทันทีที่ผมกดรับสาย ฝั่งของจีมีเสียงดังโวกเหวกโวยวายแทรกเข้ามาเป็นระยะ ประกอบกับเสียงอึกทึกครึกโครมรอบข้าง ทำให้ผมแทบจะไม่ได้ยินเสียงของจี

“ถึงแล้ว อยู่จุดลงทะเบียน” ผมหยุดยืนอยู่หน้าจุดลงทะเบียน

“รออยู่ตรงนั้น เดียวกูไปหา” พูดจบมันก็วางสายไป ผมหันมองรอบตัว ทุกคนพร้อมใจกันใส่เสื้องานรับน้องทำให้บรรยากาศในมหาวิทยาลัยเต็มไปด้วยความสดใส ... ไม่นานจีก็เดิมมาถึง

“เอาบัตรนิสิตมา” ผมส่งบัตรนิสิตให้คนตรงหน้า จีรับบัตรไปจากมือของผม แล้วหันซ้ายหันขวาเหมือนกำลังหาใครซักคน

“กูไปเช็คมาแล้ว ... โต๊ะ 5 ไอ้น๊อตเพื่อนกู เดียวมันจัดการให้ ...” ไม่นานไอซ์ก็เดินมาสมทบ

“... ว่าไงปี 1 เจอพวกกูไม่ไหว้ ปีนเกลียวเหรอมึง” มันอมยิ้มพร้อมส่งยักคิ้วข้างเดียวมาให้

“กวนตีน ... ไอ้เหี้ย!!!” ด่ามันไม่ทันขาดคำ มันก็ถลาเข้ามาล๊อคคอผม ก่อนจะลากผมไปยังจุดลงทะเบียน

“เพื่อนมึงจริงๆ แล้วใน list อยู่บ้าน B นะ ... แต่ถ้าอยากอยู่บ้าน P ก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนวะ” คนตรงหน้าพูดพลางมองหน้าไอซ์ ก่อนจะเลื่อนสายตามองจี และสุดท้ายมาหยุดอยู่ที่ผม

“ไอ้น๊อต!!! อย่ากวนตีน” ไอซ์กดเสียงต่ำ

“เอาไม่เอา” น็อตถามพลางเลิกคิ้ว ทำท่าลอยหน้าลอยตา ดูก็รู้ว่าจงใจกวนประสาทไอซ์

“มึงจะเอาอะไร” ไอซ์ถาม

“เบอร์เพื่อนนึง” ผมชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบ ... พูดจริง?

“Black 1 ขวด ...” จีพูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น สีหน้าของเพื่อนสนิทเคร่งขรึม บ่งบอกถึงความไม่พอใจที่ถูกท้าทาย

“... 2 ขวด ... 3 ขวด ... ถ้าไม่เอากูไปขอให้คนอื่นช่วย”

“ตกลง ... จริงๆ คือกูพูดเล่น 555 แต่มึงสัญญาแล้วนะ ...” เพื่อนของไอซ์ฉีกยิ้มกว้าง ทำเอาผมใจหายใจคว่ำไปหมด

“... ไอซ์ เพื่อนมึงใจปล้ำดีวะ จริงๆ กูโอเคตั้งแต่ขวดแรกแล้วนะ 555 ... ยินดีต้องรับสู่มหาวิทยาลัย XXX นะน้อง ...” พูดจบน็อตก็หยิบเอาบัตรห้อยคอที่ตรงกลางพิมพ์ชื่อ ‘บ้าน P’ ออกมา ก่อนจะเขียนชื่อของผมกับคณะลงในช่องที่เว้นว่างไว้

“... เป็นหมอซะด้วย เห็นแบบนี้แล้วอยากเป็นน้องหมาเลย” น๊อตส่งยิ้มแพรวพราว บัตรห้อยคอถูกยื่นออกมาตรงหน้า ทว่าบัตรนั้นกลับถูกจีกระชากไปจากมืออย่างรวดเร็ว ข้อมือของผมถูกมือหนาของจีคว้าไว้ เป็นสัญญาณให้ผมเดินตามมันออกมาจากตรงนั้นทันที

ผมเดินตามจีและไอซ์จนถึงจุดรวมตัวของบ้าน P มีนิสิตปี 1 หลายคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ผมเอากระเป๋าไปวางรวมกับคนอื่นก่อนจะเดินกลับมาหาจี

“ใส่ไว้ ...” ป้ายชื่อถูกคล้องลงลำคอระหงษ์โดยเพื่อนสนิท

“... มึงแน่ใจนะว่าคืนนี้จะไม่ไปนอนค้างบ้านกู” งานรับน้องเป็นงานต่อเนื่อง 3 วัน 2 คืน จะค้างคืนที่หอพักของมหาวิทยาลัยหรือไม่ค้างก็ได้ ไม่ได้บังคับ

“กูนอนหอได้ แค่นี้สบายมากอยู่แล้ว”

“มึงไปคิดอีกทีละกัน ถ้าเปลี่ยนใจก็บอก” ผมพยักหน้าก่อนจะแยกไปนั่งรวมกับเด็กปี 1 คนอื่นๆ

ผมนั่งขัดสมาธิลงต่อหลังผู้หญิงคนหนึ่ง เธอตัดผมสั้น สวนเสื้อยืนงานรับน้องเหมือนผม กางเกงยีนซีดๆ รองเท้าผ้าใบขาดๆ ให้อารมณ์ของผู้หญิงที่ออกจะทะมัดทะแมนหน่อย

“หวัดดี นายชื่ออะไร” เธอหันกลับมาถาม แม้จะดูห้าวๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโครงหน้าของเธอสวยมาก

“เราชื่อมิลค์ คณะสัตวแพทย์ เธอละ” ผมตอบพลางยกป้ายห้องคอให้เธอดู

“เราชื่อพลอย คณะวิศวะ” คณะเดียวกับจีเลย

หลังจากแนะนำตัว เรา 2 คนก็คุยเรื่องราวสัพเพเหระต่างๆ นานา ก่อนที่ใครซักคนจะสะกิดหลังผม

“หวัดดี” ผมทักทาย เด็กผู้ชายตัวสูงอีกคนที่นั่งอยู่ด้านหลัง

“เราชื่อกันต์ คณะวิทย์กีฬา ... นายละ”

“เรามิลค์ คณะสัตวแพทย์ ... นี่พลอย คณะวิศวะ”



กิจกรรมรับน้องใหม่เริ่มต้นด้วยการให้น้องใหม่แต่ละคนออกมาแนะนำตัวเอง พร้อมกับแสดงท่าเต้นประจำตัว สำหรับผมแล้ว การพูดแนะนำตัวต่อหน้าคนที่ไม่คุ้นเคยยังพอทำใจได้ แต่สิ่งที่ทำให้ผมกังวลใจยิ่งกว่าคือการต้องเต้นท่าทางประกอบเพลง... สิ่งที่ผมไม่ชอบที่สุดในบรรดากิจกรรมรับน้องทั้งหมดก็คือการเต้นสันทนาการ ผมไม่ชอบที่จะต้องมาเต้นท่าทางตลกๆ ต่อหน้าคนที่ไม่รู้จัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ไม่สนิทสนมด้วย ความจริงแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะจีบังคับ ผมคงไม่มีทางโผล่หน้ามาในงานรับน้องของมหาวิทยาลัยแน่นอน

"คนต่อไปเชิญเลยครับ" ถัดจากพลอยก็ถึงคิวผม

"สวัสดีครับผมชื่อมิลค์ คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ ... ท่าของผมแบบนี้ๆ" เสียงซุบซิบฮือฮาดังขึ้นเมื่อผมใช้ท่าหากินประจำตัว ... เอา 2 มือมาประกบเป็นรูปหัวใจ เอียงหัว และฉีกยิ้มกว้างงงงงงงงงง ... จากนั้นทุกคนก็พร้อมใจกันทวนชื่อและคณะของผมพร้อมกับทำท่าตาม

"ฮืมมมมม หืมมมมมมม หัวใจพี่แทบวาย น่ารักสมเป็นว่าที่คุณหมอจริงๆ เลยครับ" พี่ที่เป็นคนนำสันทนาการเอ่ยปากแซวด้วยน้ำเสียงกระเซ้าเย้าแหย่

ถัดจากผมก็เป็นคิวของกันต์ แน่นอนว่าเพราะคนข้าง ๆ สูงโปร่ง สมส่วนตามแบบฉบับเด็กคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา ทำให้ไม่แปลกใจที่จะมีเสียงกรี๊ดกร๊าดจากทั้งน้องปี 1 และรุ่นพี่ปี 2 ดังขึ้นระงม ยิ่งมันเลือกท่าประจำตัวเป็นท่าเบ่งกล้าม ก็ยิ่งเข้ากับคณะที่ตัวเองเรียนอยู่

"3 คนนี้นี่รู้จักกันมาก่อนไหมครับ..." พี่คนที่ถือโทรโข่งถาม พวกคนทั้ง 3 คนเลยส่ายหน้าพร้อมกัน

"... อยู่ด้วยกันแล้วเหมือนบ้าน P ของพวกเราคัดหน้าตากันมาเลยเนอะ ... กิจกรรมต่อไปขอน้องมิลค์ น้องกันต์มาเป็นคนสาธิตท่าเต้นถัดไปของพวกเราดีกว่า ..."

"... มีใครรู้จักท่าแมงมุมมั้ง" ผมหน้าตึงทันทีที่ได้ยินชื่อท่า ไม่ชอบทำท่าตลกๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งท่า 2 แง่ 3 ง่าม แบบนี้ผมยิ่งไม่ชอบ ... แต่ก็คงไม่มีทางเลือกซินะ ... เพราะรู้อยู่แล้วว่ามันคืออะไร เลยไม่ได้ตั้งใจฟังพี่ๆ อธิบายมากนัก

"มาเลยครับๆ ใครชอบ กรีดออกมาได้เต็มเสียงนะครับ ... เริ่มต้นจากน้องมิลค์อยู่ข้างล่าง น้องกันต์อยู่ข้างบนนะครับ..." ผมลงไปกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่กับพื้น ก่อนที่กันต์จะคลานมาคร่อมอยู่ด้านบน

"... พร้อมนะครับ 1 2 3 ... แมงมุม ..." ผมขยับเขยื้อนร่างกายไปตามเนื้อเพลงและจังหวะกลองสันทนาการ แม้จะไม่ชอบแต่ก็อดที่จะหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้ เอาจริงคือผมไม่มีแรงมากขนาดจะยกตัวขึ้นลงตามจังหวะหรอก แค่ต้องคลานถอยหลังด้วยทาทางแปลกประหลาดพิสดารก็ยากพอแล้ว คนที่ยกตัวขึ้นลงส่วนมากจะเป็นไอ้กันต์ซะมากกว่า นักกีฬาแบบมันแค่นี้สบายมากอยู่แล้ว ... เสียงหัวเราะปนเสียงกรี๊ดกร๊าดดังสนั่นเคล้าไปกับเสียงกลองสันทนาการที่เร่งจังหวะขึ้น

"... ขามาน้องมิลค์อยู่ล่างไปแล้ว ขากลับขอน้องมิลค์สลับมาอยู่ข้างบนบ้างนะครับ ..." ผมพยักหน้ารับพร้อมกับสลับตำแหน่ง เสียงหัวเราะสนุกสนานดังขึ้นเมื่อเรา 2 คนเข้าประจำที่ มันจะไม่ตลกได้ยังไงในเมื่อไอ้กันต์ตัวใหญ่กว่าผมตั้งเยอะ พบสลับมาอยู่ด้านบน ผมนี่แทบจะโกงตัวขึ้นราวกับทำท่ายืดหลังบริหารกล้ามเนื้อ

"พร้อมนะครับ 1 2 3 .... แมงมุม ...." เสียงหัวเราะดังจนแทบจะกลบเสียงกลอง ทั้งผมและกันต์ต่างก็กลั้นขำ พอก้าวเดินท่าแมงมุมไปได้ไม่เท่าไหร่ ผมก็เริ่มเมื่อย เลยค่อยๆ ลดระดับการโก่งตัวของตัวเองลง แต่เพราะไอ้กันต์มันไม่ทันสังเกต ทำให้จังหวะที่มันยกตัวขึ้น ส่วนล่างของเราจึงสัมผัสกันอย่างจัง ผมตกใจจนมือไม้อ่อน

"กรี๊ดดดดดดดดดดดดด" เสียงกรีดร้องของเหล่าสาววายดังสนั่นไปทั่วบริเวณ เมื่อผมทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดลงไปทับไอ้กันต์ทั้งตัว แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมตัวเล็ก หรือเพราะความเป็นนักกีฬาของมัน ทำให้มันยังทรงตัวไว้ได้ เหมือนจะดีที่มันไม่ล้มจนหลังกระแทกพื้น แต่เคราะห์กรรมกลับมาตกอยู่ที่ผม เพราะต้องรีบคว้าเกาะร่างของมันไว้แน่นราวกับลูกลิง ไม่อย่างนั้นหน้าของผมคงได้ไปไถกับพื้นคอนกรีตเป็นแน่

ทันทีที่เห็นร่างของเพื่อนสนิทแนบชิดอยู่กับรุ่นน้อง ขาทั้ง 2 ข้างของจีก้าวออกจากจุดที่ตัวเองยืนกอดอกมองอยู่ มือหนาคว้าเข้าที่ขอบกางเกงของมิลค์ ก่อนจะกระชากร่างอีกคนให้ลุกยืนขึ้นด้วยมือเพียงข้างเดียว

"มึงเล่นอะไรวะ ถ้าน้องตกลงไปเจ็บตัวใครจะรับผิดชอบ" จีหันไปพูดกับเพื่อนตัวเองน้ำเสียงเข้มๆ แววตาแฝงไปด้วยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

"น้องมิลค์ พี่ขอโทษ เจ็บไหม เป็นอะไรหรือเปล่า" พี่ที่นำกิจกรรมสันทนาการรีบเอ่ยขอโทษผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

"ผมไม่เป็นไรครับ" ผมตอบตามความจริง เพราะนอกจากตกใจแล้วก็ไม่ได้เจ็บปวดอะไร

ช่วงพักกลางวัน หลังจากที่รับข้าวกล่องมาจาก staff พวกเราก็แยกย้ายกันไปจับกลุ่มกินข้าว ... ผมมองกล่องข้าวในมืออย่างระเหี่ยใจ ผมไม่เคยบอกใช่ไหม นอกจากเรื่องมากเรื่องพื้นห้องน้ำและแสงไฟสีขาวแล้ว ผมยังเรื่องมากเรื่องของกินด้วย ผมไม่ชอบกินอาหารค่ายทุกชนิดไม่ว่าจะมาในรูปของอาหารกล่อง หรือที่ต้องไปยืนต่อแถวตักใส่จาน เพราะจำฝังใจมาตั้งแต่ค่ายลูกเสือสมัยเด็กว่าอาหารค่ายไม่อร่อย แล้วไม่รู้ทำไม ไม่ว่าจะเป็นอาหารค่ายที่ไหนมันก็ไม่เคยอร่อยซักที ... ในมือของผมตอนนี้คือข้าวกระเพราะไก่ไข่ดาว เนื้อไก่สีซีด พริกที่มองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่ารสชาติคงเผ็ดจนลิ้นแทบขาด ไข่ดาวน้ำมันเยิ้ม ... เฮ่อออออ บ่นไปคนอื่นก็จะหาว่าเรื่องมาก กินให้พออิ่มๆ ท้องไปละกัน

“ไอ้มิลค์ กูนั่งด้วย” หลังจากที่นั่งเขี่ยพริกออกได้ซักพัก จีก็หย่อยตัวลงมานั่งขัดสมาธิตรงหน้า

“พี่จีกับมิลค์รู้จักกันมาก่อนเหรอคะ” พลอยถามเมื่อเห็นจีพูดภาษาพ่อขุนรามกับผม

“ใช่ครับ มิลค์เป็นเพื่อนสนิทพี่ รู้จักกันมาตั้งแต่มัธยม” พูดจบมันก็เอื้อมแขนมาพาดคอผมอย่างสนิทสนม

“ไอ้จี ออกไปเลย กูร้อน” ผมโวยเพราะนอกจากจะเหนื่อยใจเรื่องอาหารแล้ว อากาศตอนเที่ยงก็ร้อนจนแทบระเหิดกลายเป็นไอ

“หงุดหงิดจังวะ” มันมองหน้าผม ก่อนสายตาจะไล่ลงมายังกล่องอาหารที่อยู่ในมือ ... แล้วมันเขยิบออกไปนั่งกินของตัวเอง ... บทสนทนาของคนรอบตัวยังดังต่อเนื่อง ... เชี่ย!!! รสชาดแดกไม่ได้เลย ... ผมกินไปได้ไม่ถึงครึ่ง ก็ตัดสินใจยอมแพ้

“เดียวกูลุกออกไป แล้วซักพักมึงตามกูไปนะ” มันกระซิบเบาๆ ข้างหู ก่อนจะลุกเดินออกไป... ผมรอ ประมาณ 5 นาทีก่อน แล้วค่อยลุกเดินตามหลังมันไป

“ให้กูตามมาทำไมวะ” พอเดินเลี้ยวมาหลังพุ่มไม้ ก็เจอเพื่อนสนิทยืนกอดอกรออยู่

“จะพาไปโรงอาหาร”

“จริงดิ!!! แถวนี้มีโรงอาหารด้วยเหรอ” ดวงตาของผมเป็นประกายวาววับทันทีที่ได้ยินว่าจีจะพาไปโรงอาหาร รอดตายแล้วโว้ยยยยยย

จากนั้นเรา 2 คนเดินผ่านร่มไม้ในมหาวิทยาลัย ไม่นานก็มาโผล่ที่โรงอาหาร

“ปิดเทอมอยู่ ร้านไม่เยอะเท่าไหร่ ... มึงกินได้นะ” จริงๆ แล้วในโรงอาหารมีร้านอาหารนับ 10 ร้าน แต่ที่เปิดอยู่น่าจะ 6-7 ร้าน

“อะไรก็ได้ ขอแค่ไม่ใช้อาหารค่ายก็พอ”

“มึงไปซื้อข้าวไป เดียวกูไปซื้อน้ำให้ ... น้ำเปล่าเหมือนเดิมปะ”

“โค้กได้ไหมอะ อากาศร้อน” มันพยักหน้า แล้วก็เดินแยกไปร้านน้ำ



“ถ้ามึงจะนอนหอ มื้อเย็นกูพามึงหนีออกมาแบบนี้ไม่ได้นะ ...” จีพูดในขณะที่เรา 2 คนเดินกลับมาจากโรงอาหาร

“... มึงแน่ใจว่าจะนอนหอ เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทัน ... ถ้ามึงเข้าไปแล้วกูพาออกมาไม่ได้นะ”

“นอนได้ๆ แค่นี้เอง”

“มึงลองคิดดูอีกทีละกัน” ผมละไม่เข้าใจ วันนี้จีถามผมเรื่องนอนหอบ่อยมาก



“เอาไงมิลค์ ... ไปนอนบ้านกูเถอะ” จียังคงพยายามเกลี้ยกล่อมให้ผมเปลี่ยนใจ ในขณะที่ผมยืนต่อแถวรอเซ็นชื่อเข้าหอพัก

“ไม่เอา กูอยากนอนหอกับเพื่อน”

“มึงเชื่อกูดิวะ มึงนอนหอในไม่ได้หรอก มันหนักกว่าหอที่มึงเคยนอนอีก”

“ไม่!!! กูนอนได้” ผมเริ่มขึ้นเสียงอย่างหงุดหงิด จีพยายามคะยั้นคะยอให้ผมเปลี่ยนใจไปนอนบ้านมันตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว

“ทำไมมึงไม่ฟังกูบ้างวะ” พอผมหงุดหงิด คนข้างๆ ก็เริ่มอารมณ์ร้อนตาม

“แล้วมึงเป็นไรเนี่ย จะบังคับกูทำไม”

“เฮ่ออออ ทำไมดื้อจังวะ กูไม่ทะเลาะกับมึงแล้ว จะทำไรก็ทำ ...” ไม่บ่อยนักที่ทีจีจะแสดงสีหน้าไม่พอใจใส่ผม ส่วนผมเองก็สะบัดหน้าหนี โกรธมันเหมือนกัน

“... นี่ขนม มึงเอาไป” ถุงพลาสติกจากร้านสะดวกซื้อถูกยื่นมาให้ตรงหน้า

“ไม่!!!” ผมเหล่ตามองของข้างใน มีทั้งขนมขบเคี้ยว ไส้กรอก แฮม และน้ำ แต่เพราะยังโกรธอยู่ ผมเลยปฏิเสธความหวังดีของมัน

“อย่างี่เง่า” คนตรงหน้าพูดอย่างเหลืออด

“กูไม่ได้งี่เง่า ... ไอ้จี!!!” แล้วมันยัดถุงขนมใส่มือผม ก่อนจะเดินกระแทกเท้าปึงปังไปอีกทาง ... มึงคิดว่ามึงโกรธเป็นคนเดียวหรือไงวะ

20 นาทีผ่านไป

... ทำไมมันไม่รับสายวะ

... รับดิวะๆๆๆๆๆ

... ผมนั่งอยู่บนเตียงไม้เก่าๆ ในใจรู้สึกร้อนรน กระวนกระวายไปหมด

“มีไร” ขอบคุณสวรรค์ที่สุดท้ายเพื่อนสนิทก็รับสาย ... แต่น้ำเสียงจะเหวี่ยงไปถึงไหนวะ

“จี มึงมารับกูได้ไหมอะ ... กูไม่ไหวอะ ... ขอร้อง” ผมพูดกับมันเสียงแผ่ว พยามยามใช้เสียงที่ 4 เพื่อขอความเห็นใจ... ego ที่ก่อนหน้านี้สูงราวตึก 20 ชั้น ตอนนี้ระเหิดกลายเป็นไอไปแล้ว

“ไหนมึงบอกว่าอยู่ได้ไง”

“กูไปนอนบ้านมึงด้วยได้ไหมอะ ... เปลี่ยนใจแล้ว” เปลี่ยนจากเสียงที่ 4 เป็นเสียงที่ 8 มารับกูเถอะ กูขอร้องงงงงงงงงงง

“มึงนี่มัน!!!” จบประโยค มันก็ตัดสายไปดื้อๆ

ผมนั่งคอตกอยู่บนเตียง เงยหน้ามองพัดลมที่หมุนอยู่กลางเพดานห้อง สภาพหอในคือเก่าและโทรมมากกกกกกกกก ห้องนอนโคตรเล็ก แถมต้องนอนกับใครก็ไม่รู้อีกตั้ง 3 คน ไหนจะห้องน้ำรวมอีก ... เชี่ย น้ำตาจะไหล

ผมสะดุ้งเมื่ออยู่ๆ ประตูห้องที่ทำจากไม้สีซอมซ่อถูกเปิด (กระชาก) ออก นัยตาสวยลุกวาวเป็นประกายเมื่อเห็นเพื่อนสนิทยืนอยู่ตรงหน้า แต่พอเห็นสีหน้าตึงเป็นยักษ์วัดแจ้งของจี หัวใจที่เคยพองโตเมื่อวินาทีที่ผ่านมาก็เหมือนจะฝ่อลีบลงไปไม่น้อย

"มึงไม่ต้องพูดอะไรเลยนะ" มันพูดกับผมด้วยน้ำเสียงดุดัน พร้อมกับก้าวเท้าเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า มือหนาคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าทรง sport ที่วางอยู่ข้างเตียง แล้วหันหลังเดินออกไปโดยไม่ปริปากพูดอะไรอีก ... ทันทีที่ผมตั้งสติได้ ก็รีบก้าวตามคนตรงหน้าออกไปอย่างรวดเร็ว

“จี กู...”

“มึงหยุดเลย” มันหันกลับมาถลึงตาใส่ผม ... ริมฝีปากที่กำลังจะเอ่ยคำขอโทษถึงกับหยุดชะงัก ... ผมพยักหน้าหงึกๆ ทำตัวลีบๆ เดินตามหลังเพื่อนสนิทลงจากหอ ... ด้านล่างรุ่นพี่ปี 2 ที่โต๊ะลงทะเบียนต่างขมวดคิ้วเมื่อเห็นผมเดินตามจีออกมา

“พี่ครับ ...” เดิมทีผมตั้งใจจะปลีกตัวออกไปอธิบายพี่เขา

“มิลค์!!! มึงจะเลิกดื้อแล้วเดินตามกูมาเงียบๆ ได้ไหมวะ” สองขาของผมพลันหยุดชะงักราวกับถูกแช่แข็ง ก่อนจะก้าวตามหลังเพื่อนสนิทไปอย่างว่านอนสอนง่าย ... อะไรจะดุปานนั้นนนนนนนนนนนน

ตลอดทางออกจากหอผมเงียบสนิทราวกับลืมเสียงพูดของตัวเองไว้ข้างบน มันเลี้ยวซ้าย ผมเลี้ยวซ้าย มันเลี้ยวขวา ผมเลี้ยวขวา มันเดิน ผมเดิน มันหยุด ผมหยุด ... จนกระทั้งรถ taxi สีเขียวเหลืองถูกโบกให้จอดอยู่หน้ามหาวิทยาลัย ผมทำตัวลีบบบบบบเดินเข้าห้องโดยสารด้านหลังทันทีที่เพื่อนสนิทหน้ายักษ์เปิดประตูรถแล้วใช้สายตาบอกให้ผมก้าวขึ้นรถไปก่อน

หลังจากบอกจุดหมายปลายทาง ในห้องโดยสารก็เงียบกริบ บรรยากาศมาคุราวกับสงครามเย็นจนลุงคนขับต้องขออนุญาติเปิดวิทยุเพื่อสร้างความผ่อนคลาย ทำนองเพลงลูกทุ่งดังคลอไปกับการจราจรที่เริ่มหนาแน่นตามประสาของเย็นวันธรรมดา

ผมพยายามกำหนดลมหายใจเข้าออกให้เป็นจังหวะ รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี ... ร่างโปร่งค่อยๆ เขยิบเข้าใกล้เพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ด้านซ้ายมือ เมื่อสังเกตได้จากหางตาว่าคนข้างๆ ไม่ได้แสดงพฤติกรรมต่อต้าน ศรีษะทุยก็ค่อยๆ โน้มไปทางซ้ายจนพิงแนบไปกับไหลกว้าง เมื่อจีไม่ได้แสดงอาการต่อต้าน ผมจึงทิ้งน้ำหนักของศรีษะลงบนหัวไหล่ที่มักใช้แอบอิงอย่างคุ้นเคย ... เพราะผมรู้ว่าจีใจแข็งกับผมได้ไม่นาน

เฮ่อออออ ก็ง้อไม่ยากเท่าไหร่นิ ผมกระหยิมยิ่งย่องอยู่ในใจ

โป๊ก!!! ยังไม่ทันได้คลายยิ้ม ศรีษะทุยก็ถูกเหวี่ยงกลับมาทางเดิมจนกระแทกเข้ากับกระจกประตูรถ ... อารมณ์เกรี่ยวกราดประทุขึ้นเหมือนกองไฟที่โดนสาดด้วยน้ำมัน

“พี่ครับผมจะลงตรงนี้” เออ!!! กูไม่ง้อแล้วก็ได้ ... เล่นตัวฉิบหาย

“ไม่ต้องครับ พี่ไปต่อได้เลย” ผมตวัดสายตามองคนที่นั้งอยู่ข้างๆ ในขณะที่ผมโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ คนข้างๆ กลับนิ่งสนิทราวกับภูเขาน้ำแข็ง

“ไอ้เหี้ยจี มึงจะเอาแบบนี้ใช่ไหม” ผมขึ้นเสียง

“ถ้ามึงลงจากรถ ...” นิ้วมือเรียวสวยชะงักอยู่ที่มือจับประตู

“.... วันนี้มึงโดดดีแน่ไอ้มิลค์” 

ผมกำลังชั่งน้ำหนักในใจว่าจะไปให้สุดเพราะกลัวเสียหน้า หรือจะพออยู่แค่นี้ก่อนจะโดนคนข้างๆ หักคอ แต่พอเห็นสายตาที่จ้องมองมาเท่านั้น ... ผมรีบดึงมือกลับกุมไว้บนตักเหมือนเดิม ... เชื่อเถอะว่าจี version ‘winter is coming’ น่ากลัวว่า version ‘Godzilla’ เป็นพันเท่า


----------


มิลค์ : ใครวะ? ปากแซ๊บเหมือนยกพริกมาทั้งสวน Ego ก็สูงราวตึก 20 ชั้น ... จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือ ไม่กล้าข้ามเส้นที่ 'จี' ขีดไว้

#Godzilla #Winter #DomSub
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

8
Boy's love story / Re: [นิยาย] THE LATE LIGHT 17: ตอนที่ 1
« กระทู้ล่าสุด โดย monosapien เมื่อ 12-07-2025 15:22:38  »
ตุนยืนกอดอกพิงลิฟต์ในขณะที่มันกำลังเคลื่อนตัวขึ้นไปยังชั้น 17 ฝั่งตะวันออกแต่ใบหน้าของเขากลับประดับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ที่ห้ามไม่ได้

ทำหน้าเหวออะไรขนาดนั้น คนอะไรวะโคตรขาว...พอหน้าหูแดงเลยเห็นชัด เขาพึมพำกับตัวเองพลางหัวเราะเบา ๆ อย่างเอ็นดูในความเขินเกินเหตุของคนแปลกหน้าคนนั้น

แต่พอคิดไปคิดมา ตุนก็เริ่มงงกับตัวเองนิด ๆ ว่าเขายิ้มให้กับผู้ชายที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกทำไมกันนะ? เขาไม่ใช่คนที่ยึดติดกับเพศอยู่แล้ว ที่ผ่านมาก็มีทั้งผู้หญิง ผู้ชายวนเวียนเข้ามาให้ความสนใจอยู่บ้าง แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป

มันไม่ใช่แค่เพราะอีกฝ่ายหน้าแดง หรือเพราะท่าทางเหวอ ๆ แต่เป็นเพราะอะไรบางอย่างในแววตา สีหน้า หรือแม้แต่ความพยายามเก็บอาการเขินที่ดูซื่อ ๆ แบบนั้น มันชวนให้รู้สึกว่า...น่ารัก

น่ารักในแบบที่ไม่ได้ตั้งใจจะน่ารักด้วยซ้ำ

โอเค...คืนนี้คงยาวจริง ๆ ว่ะ ตุนพึมพำพลางยิ้มมุมปาก ก่อนจะเดินออกจากลิฟต์เมื่อถึงชั้นของเขา

ตุนมองผ่านกระจกไปยังฝั่งตะวันตกที่ยังมีแสงไฟส่องสว่าง ชายหนุ่มในชุดดำยังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน หัวก้ม ๆ เงย ๆ อยู่กับจอคอมพิวเตอร์ท่ามกลางกองงานที่ดูไม่มีทีท่าจะจบ ตุนเห็นเขาขยับตัว หยิบมือมาขยี้ผมแรง ๆ อย่างคนที่กำลังเหนื่อยใจ หรือไม่ก็หงุดหงิดอะไรบางอย่าง

แล้วทันใดนั้น...เขาก็หายไปหลังจอคอมพิวเตอร์—แบบที่ดูแล้วไม่ใช่การลุกไปเข้าห้องน้ำ แต่เหมือนคนที่ถอดใจแล้วเอาหัวฟุบลงกับโต๊ะ

ตุนยืนนิ่งมองผ่านกระจกไปยังโต๊ะฝั่งตรงข้ามที่ตอนนี้ไม่เห็นการเคลื่อนไหวเลยสักนิด ในห้องนั้นไม่มีเสียงรบกวนใด ๆ นอกจากเสียงแอร์ที่ดังเบา ๆ เขาคิดถึงครั้งล่าสุดที่ได้เจอชายหนุ่มในชุดดำคนนั้น—ตอนที่เขาจ่ายเงินให้ในร้านสะดวกซื้อไม่นานมานี้

คนเดียวกันแน่ ๆ

ตุนหัวเราะออกมาอีกครั้ง แต่คราวนี้เสียงหัวเราะของเขากลับมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน สงสัยเขาคงจะเริ่มสนใจชายหนุ่มในชุดดำฝั่งตรงข้ามแล้วสินะ

เขาขยับตัวกลับไปนั่งลงที่โต๊ะทำงานของตัวเอง ท่าทางจะมีอะไรบางอย่างที่ทำให้คืนนี้ของเขายาวขึ้นอีกหน่อย จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้หงุดหงิดหรือเครียดกับงานเหมือนเคย ความคิดเกี่ยวกับชายหนุ่มในชุดดำกลับทำให้เขารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างที่น่าสนใจเกิดขึ้นในชีวิตเขา

แต่มันจะเป็นแค่ความคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้นจากความเหงาหรือเปล่า? ตุนไม่ได้รู้คำตอบ แค่รู้สึกว่าผ่านคืนนี้ไป...ทุกอย่างอาจจะเปลี่ยนไป



อินสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น กรอบหน้าจอสว่างวาบในความมืด เขารีบคว้ามันขึ้นมากดรับสาย โดยไม่ทันได้ดูชื่อปลายสายให้ดี

“แหม นึกว่าจะไม่รับสายเกลแล้ว” เสียงคุ้นเคยดังขึ้นจากอีกฝั่ง อินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ

“ครับ” อินตอบสั้น ๆ น้ำเสียงอ่อนล้า

“เกลมาเที่ยวร้าน Late Bar ใกล้ ๆ ออฟฟิศอินเลย กลับด้วยกันมั้ย?”

อินเหลือบมองกองเอกสารบนโต๊ะ หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ยังเปิดค้างไว้อยู่และนาฬิกาที่บอกเวลาว่าเกือบเที่ยงคืน

“ไม่เป็นไร ผมน่าจะอีกสักพัก”

“เดี๋ยวเกลไปนั่งรอเป็นเพื่อนก็ได้นะ” เสียงเกลฟังดูอ่อนหวาน แต่สำหรับอิน มันกลับฟังดูหนักอึ้ง

อินหลับตาลงครู่หนึ่ง สูดหายใจลึก ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่พยายามรักษาระยะห่าง

“เกล...เราเลิกกันไปแล้วนะ อย่าทำแบบนี้ เดี๋ยวคนใหม่ของเกลจะเข้าใจผิด”

อีกฝั่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“แต่เกลยังรู้สึกดีกับอินอยู่นะ เกลว่า—”

“ผมขอกลับไปทำงานต่อก่อนนะ” อินรีบตัดบทอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกดตัดสายไปทันที

เขานั่งนิ่งอยู่สักพัก จ้องมองชื่อบนหน้าจอโทรศัพท์ที่ยังคงสว่างขึ้นมาเป็นระยะ ๆ —เกลโทรมาอีกครั้ง อินไม่กดรับ เขาปล่อยให้เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นแล้วค่อย ๆ เงียบหายไป

แต่คำพูดของเกลยังคงวนเวียนอยู่ในหัว “เกลยังรู้สึกดีกับอินอยู่นะ” คำพูดธรรมดา ๆ ที่ทิ้งร่องรอยไว้ในใจเขา ไม่ใช่เพราะหวั่นไหว...แต่เพราะไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงกับมันดี

อินเอนหลังไปกับพนักเก้าอี้ เงยหน้าขึ้นมองเพดาน แสงไฟนีออนสลัว ๆ ทำให้ห้องดูเงียบเหงาและว่างเปล่ายิ่งกว่าเดิม

“ดึกขนาดนี้แล้วเหรอ…” เขาพึมพำกับตัวเอง รู้สึกว่าความเหนื่อยล้าจากการทำงาน อาจจะไม่ใช่สิ่งเดียวที่ถ่วงเขาไว้ในตอนนี้…

02.44 น. บนหน้าจอแจ้งเวลา เขาควรกลับห้องได้แล้ว แต่ก็ยังไม่รู้สึกพร้อมจะลุกไปไหน สายตาเขาเหลือบออกไปนอกหน้าต่าง ฝั่งตรงข้ามของตึกยังมีแสงสว่างส่องออกมาอยู่ ชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตขาวยังนั่งอยู่ที่เดิม เอาแว่นคาดไว้เหนือหัว สีหน้าดูครุ่นคิด หยุดพิมพ์ไปพักหนึ่งเหมือนกำลังติดอะไรบางอย่าง

อินมองเขานิ่ง ๆ รู้สึกเหมือนเห็นภาพนี้มาก่อน ใช่...หน้าคุ้น ๆ เหมือนคนที่จ่ายเงินให้เขาในร้านสะดวกซื้อเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว

ความอยากรู้อยากเห็นค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ แบบที่เจ้าตัวก็ยังแปลกใจ อินทนิลไม่ใช่คนชอบสอดรู้ แต่คืนนี้กลับมีบางอย่างผิดปกติไปนิดหน่อย

เขาลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เปิดกล้องโดยที่ไม่ได้ตั้งใจจะถ่ายภาพอะไรจริงจัง ก็แค่อยากเห็นให้ชัดกว่านี้อีกหน่อย...แค่นั้นเอง

นิ้วโป้งแตะบนหน้าจอเบา ๆ ซูมเข้าไปช้า ๆ ภาพตรงหน้าขยายขึ้น ชายคนนั้นนั่งเอนพิงเก้าอี้ มือข้างหนึ่งแตะอยู่แถวขมับ สีหน้าดูเหนื่อย ๆ แล้วก็หายกลับไปหลังจอมอนิเตอร์ เหมือนเพิ่งนึกอะไรได้

อินขมวดคิ้วเล็กน้อย พึมพำกับตัวเองเบา ๆ

“...ใช่คนเดียวกันปะวะ”

เขายังคงเพ่งมองหน้าจอเหมือนกำลังต่อจิ๊กซอว์ในหัวช้า ๆ แบบคนที่ยังไม่แน่ใจ แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีแสงวาบจ้าสะท้อนกลับมาเข้าตาเขาเอง

แฟลช…

อินกะพริบตาปริบ ๆ ก้มมองโทรศัพท์ในมือตัวเองด้วยสีหน้างง ๆ เหมือนใช้เวลาไปสองวินาทีในการประมวลผลว่าเกิดอะไรขึ้น

“อ้าว…” เขาอุทานเบา ๆ อย่างมึน ๆ พร้อมถอนหายใจในลำคอ

“ลืมปิดแฟลชอีก…”

เขาก้มหน้าก้มตากดปิดหน้าจออย่างเงียบ ๆ แล้วก็แอบมองไปที่ฝั่งตรงข้ามอีกครั้งแบบเนียน ๆ แน่นอน อีกฝ่ายหันมาพอดี

อินนิ่ง ไม่ไหวติงนั่งตัวตรงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในใจเต็มไปด้วยความเงิบที่ไม่ได้แสดงออก เขาคิดว่าคงไม่มีใครสังเกต แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง สายตาก็ประสานเข้ากับอีกฝ่ายพอดี

ชายหนุ่มในเชิ้ตขาวฝั่งตรงข้าม กำลังยิ้มให้เขาอยู่เงียบ ๆ จากหลังบานกระจก

อินขมวดคิ้วนิด ๆ มองกลับไปแบบนิ่ง ๆ คล้ายจะถามว่ายิ้มทำไมวะ แต่ไม่ได้พูดอะไร เขายังคงนั่งอยู่ท่าเดิม ไม่ไหวติง ใบหน้าแทบไม่มีแววอะไรชัดเจน นอกจากความเบลอจากความง่วง และความไม่แน่ใจในสิ่งที่ตัวเองเพิ่งเห็น

อือ...ก็คล้ายอยู่นะ

เขาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ สายตายังไม่ละไปจากหน้าต่าง เหมือนสมองยังวนเวียนอยู่กับคำถามเดิม—ผู้ชายคนนั้นใช่คนเดียวกับในร้านสะดวกซื้อหรือเปล่า

แต่มันก็ไม่ง่ายเลยสำหรับคนอย่างอินทนิล ความสามารถในการจำหน้าใครต่อใครได้แม่น ๆ ไม่เคยอยู่ในรายการความถนัด ต่อให้เป็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ากันตอนกลางวัน ยังเผลอลืมได้ในเวลาแค่ข้ามคืน

เขาหลุดยิ้มบาง ๆ โดยไม่รู้ตัว ไม่ใช่เพราะเขารู้คำตอบ แค่รู้สึกว่า...ก็แปลกดี

แต่ก่อนที่ความคิดของเขาจะไหลไปไกลกว่านั้น ร่างกายก็เตือนกลับมาด้วยความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้—เขาง่วง พรุ่งนี้มีประชุมตอนสิบโมงเช้า ถึงเวลากลับห้องแล้วจริง ๆ

อินลุกจากเก้าอี้ ปิดหน้าจอ ปิดไฟ ห้องทั้งห้องมืดลงทันที เขาเพิ่งจะก้าวแรกออกจากประตู ก็นึกขึ้นได้ว่าลืมเอกสารไว้ในลิ้นชัก มือเอื้อมกลับไปเปิดสวิตช์ แสงไฟสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง

ในจังหวะเกือบจะพอดี ห้องฝั่งตรงข้ามก็กะพริบไฟ—ปิดแล้วเปิด เหมือนกำลังส่งสัญญาณบางอย่างกลับมา อินชะงักไป ยืนมองแสงที่กลับมาสว่างเงียบ ๆ ไม่มีใครอยู่ตรงหน้าต่าง แต่จังหวะมัน...เป๊ะเกินกว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ

เขาไม่แน่ใจว่าใครเริ่มก่อน แต่ตอนนี้มันชัดเจนว่าเขากำลังเล่นอะไรบางอย่างกับใครสักคน ที่ยังไม่เคยเห็นหน้ากันเลย

อินยิ้มนิดหนึ่ง หยิบเอกสารออกจากลิ้นชักโดยไม่รีบ ก่อนจะปิดไฟอีกครั้ง

เขายืนนิ่งตรงประตู รออยู่เงียบ ๆ ไม่รู้ว่ากำลังรออะไร—หรือรอใคร แล้วมันก็เกิดขึ้น ไฟจากห้องฝั่งตรงข้ามดับ แล้วสว่างขึ้นอีกครั้ง

อินหัวเราะเบา ๆ กับตัวเอง ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่ม แต่แน่ ๆ คือมีใครบางคนกำลังคุยกับเขาอยู่จริง ๆ ผ่านไฟ กับความเงียบ กับระยะห่างที่ไม่มีคำพูด ไม่มีชื่อ



หลังจากแสงแฟลชวาบจากตึกฝั่งตะวันตก ตุนก็ชะงัก เขาเลิกคิ้วแล้วหลุดยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

อีกฝั่งเปิดกล้อง? ซูมดูเขา? หรือแค่อยากลองเล่นอะไรบางอย่างกันแน่?

เขาไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ ๆ คือเขากำลังยืนยิ้มอยู่กลางห้อง ทั้งที่อีกฝ่ายอาจจะไม่ได้ตั้งใจทำอะไรเลยก็ได้

เขาพิงขอบหน้าต่าง มองไปยังห้องฝั่งตรงข้ามเหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง แล้วไฟฝั่งนั้นก็ดับลง เขาคิดว่าค่ำคืนนี้น่าจะจบแค่นั้น แต่ไม่กี่วินาทีต่อมา แสงไฟก็กลับมาสว่างอีกครั้ง

ตุนหลุดขำในลำคอ มันเหมือนการส่งสัญญาณแบบไม่ต้องใช้คำพูด

เขาลองเอื้อมไปปิดไฟ แล้วเปิดอีกครั้ง ไม่รู้ว่าฝั่งตรงข้ามจะเห็นไหม แต่เขาก็อยากตอบกลับอยู่ดี

เขายืนรอสักพัก ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีไฟ ไม่มีเงาคน คิดไปเองหมดเลยมั้งเรา...เขาหัวเราะเบา ๆ กับตัวเอง

แต่ทันใดนั้น ไฟฝั่งตรงข้ามก็ดับ แล้วเปิดใหม่อีกครั้ง ตุนยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

คนฝั่งนั้น...เข้าใจสัญญาณของเขาจริง ๆ เขาเกือบจะยกมือขึ้นโบกทักทาย แต่ก็นิ่งไว้ จะให้โบกมือใส่คนแปลกหน้า...มันก็แปลกอยู่นะ



อินยืนอยู่เงียบ ๆ ที่หน้าประตู ทำท่าจะกลับบ้านจริง ๆ คราวนี้ ก่อนจะหันกลับไปมองห้องฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง—ไฟยังเปิดอยู่ แต่ไม่มีเงาคนตรงหน้าต่าง เขายิ้มมุมปาก ยกมือขึ้นช้า ๆ แล้วปิดไฟห้องลง...หายไปจากกรอบหน้าต่างในพริบตา

ฝั่งตะวันออก ตุนยังยืนพิงกระจกอยู่อย่างลืมตัว เผลอเอนตัวแนบเข้าไปอีกนิด เหมือนอยากจะทะลุผ่านม่านบาง ๆ ไปให้ถึงอีกฝั่ง แต่สิ่งที่เห็นมีเพียงความมืดสนิท—เขาคิดว่าเกมเล็ก ๆ ระหว่างเขากับคนแปลกหน้าคงจบลงแล้ว

...แต่ไม่ใช่

กระดาษ A4 สีขาวถูกแปะขึ้นกับกระจกฝั่งตรงตะวันตก ข้อความสั้น ๆ เขียนด้วยหมึกดำ ตุนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอย่างเร็ว รีบซูมเข้าไปอ่านข้อความที่ปรากฏอยู่อีกฝั่งหนึ่ง

ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะอ่านออก—แล้วเขาก็หลุดหัวเราะเบา ๆ กับตัวเอง

「 ว่างเหรอ เอาเวลาไปทำงานเถอะ 」

เรียบ ง่าย และตรงใจอย่างไม่น่าเชื่อ มันไม่ใช่แค่ข้อความล้อเลียนจากคนแปลกหน้า แต่เป็นเหมือนคำเตือนจากใครสักคนที่รู้จักเขาดี ดีเสียจน...เขาไม่แน่ใจว่าเคยบอกอะไรแบบนี้กับใครหรือเปล่า

ตุนรีบคว้ากระดาษเปล่าจากกองงาน แต่อะไร ๆ ก็ดูจะเล่นตลกกันหมด หาเท่าไรก็หาปากกาไม่เจอ “ให้ตายเถอะ…” เขาบ่น พึมพำ แล้วรีบวิ่งไปโต๊ะพี่เมย์ หยิบมาร์กเกอร์สีดำกลับมาอย่างไม่ลังเล ก่อนจะเขียนตอบกลับด้วยลายมือเร่งรีบแบบไม่คิดมาก

「 กินข้าวปั้นยัง? 」

มันดูไม่มีเหตุผลอะไรเท่าไหร่ แต่เขาก็แปะกระดาษนั้นไว้แนบกับกระจกฝั่งตะวันออก เงยหน้ามองความมืดที่ไม่มีใครอีกแล้ว ไฟฝั่งตะวันตกดับสนิท ไม่มีคนตรงหน้าต่าง ไม่มีคำตอบกลับ

แต่ตุนยังยืนนิ่งอยู่แบบนั้นอีกพักใหญ่...เหมือนจะเฝ้ารอ เหมือนจะหวัง เหมือนยังไม่อยากให้คืนนี้จบง่าย ๆ แบบนั้น

อินเดินลงจากตึกอย่างเงียบ ๆ พร้อมแฟ้มเอกสารในมือ ลมเย็นของค่ำคืนพัดผ่านปลายผม เขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง

แสงไฟจากฝั่งตรงข้ามยังเปิดอยู่ เงาใครบางคนขยับผ่านหลังหน้าต่าง—ราง ๆ ไม่ชัดเจน แต่เขาไม่ได้พยายามเพ่งมองให้แน่ใจ

เพียงแค่ยิ้มมุมปาก...อย่างคนที่รู้ดีว่า อีกฝ่ายก็ยังอยู่

อินสวมหูฟัง เพลง Plastic Love ของ Mariya Takeuchi ค่อย ๆ ดังคลอขึ้นในความเงียบ จังหวะดนตรีกลิ่นยุค 80s ลอยกรุ่น เคลือบอากาศหนาวให้ดูละมุนกว่าที่ควรจะเป็น

เขายกคอเสื้อขึ้นนิด ปิดความเย็นที่แทรกซึมเข้ามาทีละน้อย ก่อนจะก้าวเดินช้า ๆ ไปตามลานจอดรถว่างเปล่า และค่อย ๆ หายลับไปในความมืดของค่ำคืน

...เหมือนไม่เคยอยู่ตรงนี้เลย

บนชั้น 17 ห้องฝั่งตรงข้าม ตุนยังคงยืนมองออกมาอยู่เงียบ ๆ เขาไม่ได้ยินเพลงที่อีกฝ่ายฟัง แต่ในวินาทีนั้น กลับรู้สึกว่าความเงียบมันเต็มไปด้วยเสียงอะไรบางอย่าง

บางอย่างที่เขา...อยากฟังอีกครั้ง
9
Boy's love story / Re: [นิยาย] THE LATE LIGHT 17: ตอนที่ 1
« กระทู้ล่าสุด โดย monosapien เมื่อ 12-07-2025 15:22:07  »
บทที่ 1

เวลาประมาณ 23.30 น. ‘กรุงเทพฯ’ เมืองที่เคยเต็มไปด้วยจังหวะเร่งรีบทั้งวันเหมือนเริ่มเหนื่อย แสงจากป้ายโฆษณาค่อย ๆ ดับลงทีละดวง เหลือเพียงไฟถนนสีส้มอมเหลืองที่ทอดเงายาวไปตามขอบฟุตบาท แสงนั้นสะท้อนบนกระจกของตึกสำนักงานสูง เส้นสายแสงแตกร้าวเมื่อกระทบมุมอาคาร ดูนิ่งจนน่าใจหาย มีก็แต่คนทำงานดึกไม่กี่คน ที่ยังได้เห็นเมืองในสภาพแบบนี้—เงียบ ช้า และเหมือนหลุดออกจากจังหวะปกติของใครหลายคน

และหนึ่งในนั้นคือชายหนุ่ม บนชั้น 17 ฝั่งตะวันตกของอาคารสำนักงานทรงโมเดิร์น ที่ตั้งโดดเด่นอยู่ใจกลางกรุง โต๊ะของเขายังเปิดไฟอยู่ ทั้งออฟฟิศเงียบสนิท เหลือเพียงเสียงแผ่วของเครื่องปรับอากาศ กับเสียเคาะเมาส์ปากกาเป็นระยะ ๆ

อินทนิล หรือ 'อิน' วัย 28 ปี กราฟิกดีไซเนอร์ประจำเอเจนซี่โฆษณาขนาดกลาง เขาไม่ใช่คนที่ใครจะจำได้เพราะเสียงดังหรือบุคลิกโดดเด่น อินเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ขยันออกหน้า ไม่ชอบเข้าสังคม แต่ชื่อของเขากลับถูกพูดถึงบ่อยในแวดวงโฆษณา

ไม่ว่าจะเป็นบอร์ดพรีเซนต์งาน บทความเกี่ยวกับทิศทางการออกแบบใหม่ ๆ หรือคำชื่นชมจากลูกค้าที่อาจไม่เคยเห็นหน้าเขาด้วยซ้ำ แต่ผลงานของอินมีลายเซ็นเฉพาะตัว—เส้นสายคมชัด แสงสีสไตล์โมโนโทนที่เยือกเย็นและหนักแน่น สไตล์ที่แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นฝีมือเขา

ชายหนุ่มรูปร่างสูงเพรียวในแบบที่ใครเห็นก็เผลอคิดว่าเป็นนายแบบ—ส่วนสูง 182 เซนติเมตร ผิวขาวซีดจัด โครงหน้าเรียวคมราวกับถูกสเก็ตช์ขึ้นด้วยเส้นตรงและมุมตัดที่จงใจ แววตาเรียบนิ่งแต่หม่นลึกบวกกับท่าทางเงียบ ๆ ถ้าจะเปรียบให้เห็นภาพชัด ๆ ใบหน้าของเขาไม่ต่างจากโทรศัพท์ที่แบตใกล้หมด—ไม่ถึงกับดับสนิท แต่ก็ไม่เคยดูสดชื่นเต็มร้อยเลยสักครั้ง

เสื้อผ้าของเขาแทบไม่มีความหลากหลาย—ดำ เทา กรมท่า เรียบเฉียบและดูจงใจ เหมือนยูนิฟอร์มที่ช่วยเขาแยกตัวเองออกจากโลกวุ่นวายรอบข้างได้ง่ายขึ้นนิดหนึ่งในแต่ละวัน

อินมักสวมหูฟังไร้สาย เปิดเพลง City Pop คลอแทบตลอดเวลาทำงาน ไม่รู้ว่าเพื่อกันเสียงรบกวน หรือกันคนรอบข้างไม่ให้เข้ามายุ่งกันแน่

คืนนี้เขานั่งจ้อง iMac สีส้มลูกรักอยู่เงียบ ๆ ในห้องทำงานที่เหลือเพียงเขาและเพื่อนร่วมงานอีกหนึ่งคน เมาส์ปากกาในมือเคาะโต๊ะเบา ๆ เหมือนกำลังนับจังหวะบางอย่าง แต่หน้าจอยังคงว่างเปล่า ไม่ต่างจากเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน

เขาทำงานเก่ง แต่ไม่ใช่เครื่องจักร และไฟในตัวเขามักลุกโชนเฉพาะเวลาที่โลกภายนอกเงียบพอ เวลาที่ไม่มีใครคอยพูด ไม่มีคำสั่ง ไม่มีเสียงพิมพ์แป้นคีย์บอร์ดจากโต๊ะข้าง ๆ เขาถึงจะเริ่มเห็นภาพในหัวตัวเองได้ชัด

"ฉันกลับแล้วนะ อย่าลืมปิดไฟด้วย เดี๋ยวเช้ามาพี่เข็มวีนอีก ฉันขี้เกียจฟังชีบ่น"

เสียง 'เม้' AE (Account Executive) สาวหมวยร่างเล็กในชุดเดรสเข้ารูปสีเข้ม ทักขึ้นขณะที่สะพายกระเป๋าเตรียมออกไปจากออฟฟิศ

อินพยักหน้าแบบขอไปที ไม่ได้หันไปมองด้วยซ้ำ เขาได้ยิน แต่สมองไม่ได้ประมวลผลมากกว่านั้น เขาเป็นแบบนี้เสมอ—คนนิ่ง ๆ ขรึม ๆ มึน ๆ หลงทางอยู่ในความคิดของตัวเองเกินครึ่งวัน คนที่อาจดูเหมือนเบลอโลก แต่จริง ๆ แล้วกำลังมองลึกเข้าไปในบางสิ่งที่คนอื่นมองข้าม

ไฟเพดานในออฟฟิศยังคงสว่างจ้า โต๊ะของอินรกแต่ไม่ถึงขั้นระเกะระกะ มีสติกเกอร์โพสต์อิทแปะไว้บนจอมอนิเตอร์ ลายเส้นดินสอหลายแผ่นวางทับซ้อนกันดูไม่เป็นระเบียบ ถึงคนอื่นจะมองว่ามันวุ่นวาย แต่คนในทีมรู้ดี—ในความยุ่งเหยิงนั้น อินมีระบบของเขาเอง และในความไม่เป็นระเบียบที่ใครไม่เข้าใจ อินกลับโฟกัสได้ดีที่สุด

หลังจากเม้เดินออกไป เสียงประตูเลื่อนอัตโนมัติก็ปิดลงตามหลัง ทิ้งให้อินอยู่กับความเงียบที่เขาคุ้นเคยดี

เขาพิงหลังกับพนักเก้าอี้ ยกมือขึ้นลูบหน้าช้า ๆ เหมือนจะเคาะตัวเองให้หลุดจากหมอกในหัว แล้วสายตาก็เหลือบขึ้นไปยังหน้าต่างบานสูงที่กินพื้นที่เกือบชิดเพดาน

จากชั้น 17 ฝั่งตะวันตกที่เขานั่งอยู่ อินมองเห็นอีกด้านของตึกได้ชัดเจน อาคารสำนักงานแห่งนี้ออกแบบเป็นรูปตัว U—แต่ละปีกจึงหันหน้าเข้าหากัน ราวกับกำลังเฝ้าสังเกตกันอยู่เงียบ ๆ

แสงส้มจากถนนด้านล่างสะท้อนบนผิวกระจกของตึกฝั่งตรงข้าม ทำให้ทั้งอาคารดูเหมือนฉากจำลองในกล่องไฟ ไม่มีใครเดินผ่าน ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดมา มีเพียงแสงไฟบางดวงที่กะพริบแผ่วเบา คล้ายลมหายใจของเมืองที่ยังไม่หลับ

ในความเงียบของตึกแทบทั้งหลังนั้น มีห้องหนึ่งที่ยังคงสว่างอยู่เป็นประจำหลังห้าทุ่ม—มุมตะวันออกของชั้น 17 หน้าต่างบานใหญ่เผยให้เห็นแสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ และเงาร่างของใครบางคนที่ยังนั่งอยู่หลังโต๊ะ

อินไม่เคยเห็นหน้าเขาชัด ๆ เห็นแค่เงาร่างหลังกระจกฝ้าที่สะท้อนแสงจากจอคอมในเวลากลางคืน รู้แค่ว่าเขาเป็นผู้ชายร่างสูง อาจจะสูงกว่าอินด้วยซ้ำ รูปร่างสมส่วนเหมือนคนที่ดูแลตัวเองสม่ำเสมอ เขามักใส่เชิ้ตสีขาว แขนพับถึงข้อศอก และใส่แว่นสายตากรอบบางที่สะท้อนแสงจอในบางมุม

เขานั่งตรงหลังเป๊ะ ไม่เอน ไม่งอ เหมือนคนที่มีวินัยในตัวเองโดยไม่ต้องอธิบาย แค่ท่านั่งกับจังหวะที่หยิบจับของ ก็ทำให้อินรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนเร่งรีบ และถึงจะมองจากไกล ๆ แต่ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัวในกรอบหน้าต่างฝั่งตะวันออก อินก็จำได้ทันทีว่าเป็นเขาคนเดิม

อินไม่รู้ว่าฝั่งนั้นคือบริษัทอะไร ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำงานตำแหน่งไหน ไม่รู้ชื่อ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเคยเดินสวนกันในลิฟต์หรือเปล่า รู้แค่ว่าคนคนนั้นมักจะอยู่ตรงนั้น—ดึก ๆ แบบนี้เสมอตลอดเวลาระยะหนึ่งเดือนที่ผ่านมา

เหมือนเพื่อนร่วมกะกลางคืน...ที่ไม่รู้จักกันเลยสักนิด

และสำหรับอิน แค่นั้นก็พอแล้ว ในคืนที่โลกทั้งใบดูหม่นและไม่เข้าใจเขา อย่างน้อยยังมีอีกคนหนึ่ง ที่ยังไม่หลับและกำลังพยายามอยู่เหมือนกัน…



ชายในเสื้อเชิ้ตขาวลุกจากเก้าอี้ ยืดตัวเล็กน้อยก่อนจะเดินไปยังโต๊ะกาแฟกลางออฟฟิศ—มุมที่บริษัทสตาร์ตอัปสมัยใหม่มักจัดไว้เป็นส่วนหนึ่งของดีไซน์มากกว่าเพื่อความจำเป็นจริง ๆ

เขาถอดแว่นกรอบใสออก ลูบเปลือกตาด้วยปลายนิ้วอย่างคนที่จ้องหน้าจอมานาน ความล้าเริ่มก่อตัว แต่ดูเหมือนเขาจะชินกับมันดีแล้ว

ตุนท์ หรือ 'ตุน' วัย 26 ปี เพิ่งเริ่มงานในบริษัทโลจิสติกส์สตาร์ตอัปได้เดือนกว่า ๆ เขาทำหน้าที่เป็น SI (System Integrator) รับผิดชอบการเชื่อมต่อระบบภายในบริษัท ตั้งแต่การประสาน API กับระบบพาร์ตเนอร์ ไปจนถึงการดูแลโครงสร้างหลังบ้านให้ทำงานต่อเนื่องโดยไม่สะดุด

งานของเขาไม่ได้มีเวลาเข้าออกชัดเจน เพราะระบบที่ดูแลต้องออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง การอัปเดตใด ๆ จึงมักถูกเลื่อนมาทำตอนกลางคืน—ช่วงที่ไม่มีลูกค้าใช้งาน เพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบ

ชีวิตของเขาจึงสวนทางกับคนทั่วไป กลางวันเรียนปริญญาโทด้าน Data Science ค่ำถึงดึกคือเวลาทำงานที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าเบื้องหลังบริการที่ลื่นไหลคือการนั่งเฝ้าจอคนเดียวเงียบ ๆ อย่างนี้

ตุนเป็นหนุ่มตี๋ผิวแทนบ่มแดด แต่ถ้าถอดเสื้อเมื่อไหร่ จะเห็นชัดว่าผิวจริง ๆ ของเขาขาวจัดตามแบบฉบับลูกครึ่งไทย-จีน ใบหน้าคมคายได้รูป ชวนให้นึกถึงนักกีฬาทีมชาติเกาหลี ดวงตาเรียวคมซ่อนอยู่หลังแว่นกรอบใสที่เขาใส่ติดหน้าเป็นประจำ ทั้งที่สายตาไม่ได้สั้นขนาดนั้น

รูปร่างสูงสมส่วน ไหล่กว้าง กล้ามเนื้อแน่นจากการเล่นบาสเกตบอลมาตั้งแต่สมัยมหา’ ลัย แต่ท่าทางกลับดูสบาย ๆ ไม่รีบร้อน เหมือนคนที่ไม่คิดอะไรมาก แต่อะไรบางอย่างในสายตากลับบอกเป็นนัยว่า…เขาอาจจะคิดมากกว่าที่เห็นก็เป็นได้

เขาดูมีพลังเมื่ออยู่ในกลุ่ม—พูดเร็ว ขำง่าย และเต็มไปด้วยชีวิตชีวา แต่พออยู่คนเดียว เขากลับเงียบจนน่าประหลาด คล้ายมีสวิตช์ที่ดับตัวเองลงทันทีที่เสียงรอบข้างจางหาย เขาจะกลายเป็นอีกคน—สุขุม เงียบขรึม และมักหมกมุ่นอยู่กับรายละเอียดเล็กน้อย แม้แต่ตอนกดน้ำร้อนใส่ซองกาแฟธรรมดา ๆ ก็ยังดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรลึก ๆ อยู่ตลอดเวลา

ยังไม่กลับเหมือนกันสินะ

ตุนเหลือบมองไปยังฝั่งตะวันตกของตึก ที่นั่นมีโต๊ะทำงานตัวหนึ่งซึ่งเปิดไฟค้างอยู่เสมอยามดึก เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำงานกะกลางคืนเหมือนกัน หรือแค่เป็นคนบ้างานที่ไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง—แต่ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นแบบไหน มันก็ทำให้ตึกกระจกฝั่งนั้นดูไม่เดียวดายจนเกินไป

ตุนจิบกาแฟไปเรื่อย ๆ พลางไถโทรศัพท์อ่านข่าวสารตั้งแต่เศรษฐกิจ การเมือง ไปจนถึงข่าวดาราทะเลาะกันในแอป X เขาไม่รู้ว่ากาแฟหรือดราม่าทำให้ตาสว่างมากกว่ากัน แต่ก็ช่วยได้พอสมควรในคืนยาว ๆ แบบนี้

พอว่าง เขาก็กดเข้าแชทส่งข้อความหาพี่สาว

“พี่ตาล วันนี้ตุนดึกเหมือนเดิมนะ ล็อกบ้านได้เลย”

“อีกแล้วเหรอ หางานใหม่มั้ย?”

“ตุนหาเงินเรียนเอง จะได้ไม่ต้องรบกวนพี่ตาลไง จะได้มีเงินให้พี่ไปตามติ่งน้องโดฮุนไง”

“ฉันจะติ่งใครมันก็เรื่องของฉันย่ะ กลับถึงบ้านแล้วไลน์บอกด้วย ถ้าหิว ในตู้เย็นมีข้าวผัดกับไข่ดาว แต่ถ้ายังไม่อิ่ม พี่มี—”

“พอแล้วคร้าบแม่ ตุนกลายเป็นหมูพอดี 555 ไปนอนได้แล้ว ไป๊”


ตุนโตมากับ 'ตาล' หลังพ่อแม่เสียตั้งแต่ยังจำความไม่ค่อยได้ ถึงจะอายุห่างกันแค่สี่ปี แต่ผู้หญิงคนนี้กลับต้องแบกชีวิตสองคนไว้คนเดียว สำหรับตุน เธอไม่ใช่แค่พี่สาว แต่คือ ‘บ้าน’ คือทุกอย่างที่หลงเหลืออยู่ เขาไม่ค่อยพูดคำว่ารัก แต่ทุกการเลือกของเขาก็มีเธอเป็นเหตุผลเสมอ

เสียงแจ้งเตือนจากโปรแกรมแชทเด้งขึ้นอีกครั้ง

“ตูนจ๊ะ พี่ฝากดู Log ให้คุณเก้งหน่อย เขาโทรมาเมื่อกี้ว่าระบบมันค้าง”

ข้อความจาก ‘พี่เมย์’ PO ควบ PM (Product Owner และ Project Manager) สาวโหดประจำทีมที่ถึงเขาจะบอกไปไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่า ‘ตุน’ ไม่ใช่ ‘ตูน’ แต่ดูเหมือนเรื่องการจำชื่อคนน่าจะไม่ใช่จุดแข็งของพี่เมย์นัก โดยเฉพาะเมื่อมีบั๊กคาอยู่กลางดึกกับลูกค้าสายไฟแรงสูงอย่างคุณเก้ง

ตุนถอนหายใจ ยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มจนหมด—เย็นชืดไปแล้วแต่ก็ยังพอช่วยให้ตาไม่ปิด เขาวางแก้วลง กลับไปนั่งที่โต๊ะ เปิดหน้าจอ ไล่เปิดเทอร์มินัล ขมวดคิ้วขณะเริ่มไล่ดู Log บรรยากาศในห้องยังคงเงียบ มีแค่เสียงพัดลมจากเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่ตั้งอยู่มุมห้อง

ดูท่าคืนนี้จะยังไปไม่ถึงคำว่าเข้านอนอีกพักใหญ่

แสงจากจอคอมพิวเตอร์ฝั่งตรงข้ามสะท้อนผ่านกระจกตึกขึ้นมาอ่อน ๆ พอให้รู้ว่ายังมีใครอีกคนที่ยังไม่นอนเหมือนกัน—ทิศเดิม โต๊ะเดิม แสงไฟดวงเดิมที่เปิดค้างไว้เสมอ

กระจกฝั่งตะวันตกนั้นอยู่ห่างออกไปพอสมควร แต่ก็ใกล้พอจะมองเห็นเงาร่างเลือน ๆ ของใครบางคนที่ยังนั่งอยู่หลังโต๊ะ

ไม่มีบทสนทนา ไม่มีชื่อ ไม่มีแม้แต่เหตุผลว่าทำไมต้องมองหา แต่สำหรับตุน การเห็นแสงไฟที่โต๊ะนั้น ยังเปิดอยู่ในคืนแบบนี้ ก็พอให้รู้สึกว่าตึกทั้งหลังไม่ได้ว่างเปล่าเกินไป เหมือนเป็นเพื่อนร่วมงานที่ไม่รู้จักชื่อ— เงียบแต่ซื่อตรง ไม่ทิ้งกันไปก่อน



อินหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูนาฬิกา—01.45 น. งานคืบหน้าไปได้ราว 30% แต่ท้องของเขาเริ่มส่งเสียงร้องแข่งกับเสียงแอร์ในออฟฟิศอย่างไม่มีใครยอมใคร ดูท่าคืนนี้คงต้องฝากชีวิตไว้กับร้านสะดวกซื้อชั้น G อีกตามเคย

เขากดลิฟต์ลงไปทั้งที่สมองยังครุ่นคิดเรื่องงาน สองตาเริ่มพร่าเพราะแสงหน้าจอ แต่ความหิวก็พาให้สติกลับมาจับอยู่ที่ปัจจุบันชั่วคราว อย่างน้อยก็พอมีแรงประคองตัวไปถึงร้านสะดวกซื้อก่อนที่จะเป็นลมคาโต๊ะทำงาน

ลิฟต์จอดสนิทในชั้นล่าง ไม่มีใครเลยนอกจากพี่รปภ. ที่นั่งหลับสัปหงกหลังเคาน์เตอร์ อินพยายามเดินเบาเท่าที่จะทำได้—พี่เขาคงล้าพอ ๆ กับเขา

ไฟในร้านสะดวกซื้อยังเปิดสว่างเหมือนเดิม กลบความเงียบของทั้งตึกด้วยเสียงทักทายจากพนักงานสาวที่ยังคงสดใสเกินเวลา อินพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ แล้วเดินตรงไปยังชั้นวางของ

ข้าวปั้นสามเหลี่ยม เยลลี่สตรอเบอร์รี่ เครื่องดื่มชูกำลังสองขวด—หนึ่งให้ตัวเอง อีกหนึ่งเผื่อให้พี่รปภ. ที่คงต้องอยู่กันยาว ๆ อีกหลายชั่วโมง

“รับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มมั้ยคะ?”

ประโยคเดิม ๆ จากพนักงานสาวหน้าใส อินส่ายหน้าแทนคำตอบ

“ทั้งหมด 65 บาทค่า—”

มือเขาควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงแล้วก็หยุดไปชั่วครู่ อ้าว...ไม่อยู่ เขาลืมหยิบมันลงมาด้วย—โคตรหิวแต่โคตรพลาด

“เอ่อ...ฝากไว้ก่อนได้มั้ยครับ เดี๋ยวพี่ขึ้นไปเอาโทรศัพท์—”

เขาพูดไม่ทันจบ ก็มีเสียงนุ่ม ๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง

“ไม่เป็นไรครับ ใช้ของผมสแกนก็ได้”

อินหันกลับไป ชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีขาวยืนอยู่ไม่ไกลนัก รอยยิ้มของเขาไม่ได้หวือหวา แต่กลับดูเป็นมิตรอย่างประหลาด คนแปลกหน้าในร้านสะดวกซื้อในเวลาเกือบตีสอง

ไม่มีคำพูดฟุ่มเฟือย ไม่มีท่าทีรีบร้อน มีแค่แววตานิ่ง ๆ กับความใจดีที่ยื่นมาแบบไม่ต้องมีคำอธิบาย

“มะ...ไม่เอาครับ เดี๋ยวผมขึ้นไปเอาโทรศัพท์ก็ได้ แป๊บเดียวเอง”

อินปฏิเสธทันทีพร้อมโบกมือประกอบคำพูด แล้วรีบเดินออกจากร้านไปกดลิฟต์โดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดอะไร เขาอายจนอยากแทรกตัวลงไปในรอยกระเบื้อง อะไรคือหิวจนลงมาซื้อของแล้วลืมหยิบโทรศัพท์วะ

หน้าเขาร้อนผ่าว เหมือนคนเพิ่งโดนแสงแฟลชสาดใส่กลางดึก หมดกัน...ภาพลักษณ์หนุ่มสุดเท่ ลุ่มลึก ที่ใคร ๆ ในออฟฟิศชอบแอบมองเขาตอนยืนขรึมเวลารอหน้าลิฟต์

ไม่ถึงห้านาที อินกลับลงมาถึงหน้าร้านอีกครั้ง พร้อมโทรศัพท์ในมือ เขาก้าวเข้าไปด้วยท่าทีมั่นใจขึ้นเล็กน้อย อย่างน้อย...จะได้จ่ายเองให้จบ ๆ

แต่ยังไม่ทันได้อ้าปาก พนักงานสาวก็เงยหน้าขึ้นพูดว่า

“ไม่ต้องแล้วพี่ พี่ผู้ชายคนนั้นเขาจ่ายให้หมดแล้วค่ะ บอกว่าไม่ต้องคืน”

อินชะงัก หันขวับไปมองรอบร้านอย่างอัตโนมัติ แต่แน่นอน...ผู้ชายคนนั้นหายไปแล้ว ไม่มีแม้แต่เงา มีเพียงกลิ่นกาแฟอ่อน ๆ และอากาศที่ยังอุ่นอยู่ในจุดที่เขาเคยยืน

อินรับของมาเงียบ ๆ ใบหูยังร้อนผ่าวไม่หาย รู้ตัวอีกที เขาแอบวางขวดเครื่องดื่มชูกำลังให้พี่รปภ. อย่างเบามือ ก่อนเดินกลับขึ้นลิฟต์พร้อมถุงจากร้านสะดวกซื้อ

ความสงสัยในหัวของอินยังค้างคาอยู่ตลอดทางขึ้นลิฟท์ไปชั้น 17 ฝั่งตะวันตก เขามองไปที่ถุงในมือ สัมผัสที่ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ความใจดีแบบธรรมดา แต่เป็นอะไรบางอย่างที่ดูพิเศษเกินกว่าจะเป็นแค่การช่วยเหลือในยามหิวในร้านสะดวกซื้อช่วงดึก

อินนั่งลงที่โต๊ะทำงาน มองไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์เหมือนจะเริ่มงานใหม่ แต่ก็ยังรู้สึกค้างคา

“ใครวะ…” เขาพึมพำกับตัวเอง

อินหยิบข้าวปั้นสามเหลี่ยมออกมาจากถุง ทันใดนั้นก็มีกระดาษโน้ตใบเล็กหล่นออกจากจากถุงที่เขานำกลับมา มือของอินหยิบมันขึ้นมาอย่างช้า ๆ ก่อนจะเปิดดูข้อความสั้น ๆ ที่เขียนไว้ด้วยลายมือที่อ่านยากชิบหาย

กินให้อร่อย ท่าทางคืนนี้คงจะยาวพอ ๆ กัน

อินหรี่ตามองข้อความนั้น ความรู้สึกแปลก ๆ ที่ไม่รู้จะเรียกว่าคืออะไรก็เริ่มแทรกเข้ามาทีละนิด เขาพับกระดาษเก็บลงกระเป๋าเสื้ออย่างเก้ ๆ กัง ๆ เหมือนยังไม่แน่ใจว่าควรรักษามันไว้ทำไม

…โอเค ถ้าเขียนหนังสือได้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ผีวะ (แล้วผีที่ไหนมันจะสแกนจ่ายเงินได้วะ)

เขาไถลตัวนั่งลงที่เก้าอี้ ทำท่าเหมือนจะเริ่มงานต่อ แต่สายตากลับจ้องหน้าจอแบบว่างเปล่า สมองดื้อด้านกว่าทุกคืนที่ผ่านมา ข้อมูลที่ไหลผ่านหน้าจอไม่ได้เข้าหัวเลยแม้แต่นิด

เพราะอยู่ดี ๆ มันก็มีประโยคเดียวที่วนอยู่ในหัวไม่หยุด

ท่าทางคืนนี้คงจะยาวพอ ๆ กัน

อินขมวดคิ้วเหมือนอยากจะหยุดคิด แต่สมองไม่ฟัง เขาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ

จะยาวอะไรกันนักหนาวะ…

อินทนิลปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปอีกพักใหญ่ ก่อนจะรีบพยายามสะบัดความสงสัยออกไปแล้วกลับมาจริงจังกับงานที่ต้องทำ แต่นั่น...มันก็เหมือนกับการจะพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่อยากคิด แต่กลับยิ่งทำให้มันวนเวียนอยู่ในหัวมากขึ้น
10
Boy's love story / [นิยาย] THE LATE LIGHT 17: ตอนที่ 1
« กระทู้ล่าสุด โดย monosapien เมื่อ 12-07-2025 15:15:27  »
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ....เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า....บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x, ทำให้กระทู้กลายพันธ์, ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่น ๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่องการเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง)

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com                                                       

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17

เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



ผลงานวรรณกรรมเรื่องนี้ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 และฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติมในเวลาต่อมา เจ้าของลิขสิทธิ์ขอสงวนสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการทำซ้ำ ดัดแปลง แก้ไข คัดลอก เผยแพร่ต่อสาธารณชน ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนของเนื้อหาในรูปแบบใดก็ตาม รวมถึงการนำไปจัดทำเป็นหนังสือเสียง หรือสื่อประเภทอื่น โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าของลิขสิทธิ์ การละเมิดลิขสิทธิ์ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย โดยเจ้าของลิขสิทธิ์มีสิทธิ์ในการดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 อย่างเต็มที่



เรื่องย่อ

ในตึกสำนักงานใจกลางเมือง ที่ผู้คนเดินสวนกันโดยไม่เคยสบตา
มีสองชีวิตที่กลับ 'เห็นกัน' ชัดเจน…ในเวลาที่โลกเงียบที่สุด

'อิน' กราฟิกดีไซเนอร์ผู้รักความเงียบของยามค่ำคืน
'ตุน' เจ้าหน้าที่ SI กะดึก ที่ใช้กลางวันเพื่อเรียน และกลางคืนเพื่อทำงาน

หน้าต่างของทั้งสองห้อง บนชั้น 17 ของตึกฝั่งตะวันตกและตะวันออก
หันตรงเข้าหากันพอดี และทุกคืน เมื่อแสงไฟของทั้งสองเปิดพร้อมกัน

แสงนั้น…กลับกลายเป็นการ 'ทักทาย' ที่ไม่มีคำพูด
แต่ค่อย ๆ เปลี่ยนความเหงาของกันและกันให้กลายเป็นบางอย่างที่ไม่อาจละสายตา

จากการมองผ่านกระจก สู่การสื่อสารด้วยไฟบนโต๊ะ
จากความเงียบ สู่ความเข้าใจ…โดยไม่ต้องเอ่ยชื่อ

THE LATE LIGHT 17 เรื่องราวโทนเรียบง่าย ลึกซึ้ง และอบอุ่น
ว่าด้วยความสัมพันธ์ที่เติบโตขึ้นจาก 'ความเงียบ'
และแสงไฟดวงเล็ก ๆ ที่คอยปลอบใจเราในคืนที่ไม่มีใครอยู่



ฝากผลงานเขียนเรื่องแรกด้วยนะครับ ในแต่ละตอนอาจจะยาวหน่อย แต่อยากชวนทุกคนค่อย ๆ อ่านไปแบบไม่รีบ หาเวลาว่าง จิบชา จิบกาแฟ แล้วเปิดหน้าต่าง ปล่อยให้ลมเย็น ๆ พัดผ่านเข้ามา

เป็นเรื่องที่แต่งไป โพสต์ไปครับ จะพยายามลงให้บ่อยที่สุด เท่าที่ความวุ่นวายในแต่ละวันจะอนุญาตให้ทำได้ เพราะในความเงียบของชีวิตประจำวัน บางทีการเขียนก็เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้รู้สึกว่ามีใครบางคนรออยู่ที่ปลายอีกฝั่งของหน้าต่าง

ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่าน หวังว่าทุกคนจะได้พบใครบางคนของตัวเอง ผ่านแสงไฟของ THE LATE LIGHT 17 เช่นกันครับ

จาก คนชั้น 17
หน้า: [1] 2 3 4 5 ... 10
สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด