สวัสดีค่ะ ตอนที่ 20 มาแล้วนะคะ ขอบคุณมาก ๆ สำหรับการติดตามค่ะ
มาคราวนี้มีข่าว เรื่อง ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า มาแจ้งด้วยค่ะ ตอนนี้เปิดจองแล้ว
สามารถติดตามรายละเอียดที่เพจ Hermit Books นะคะ
ตอนที่ 20 : คนในภาพถ่าย (ไม่เป็นไรจริง ๆ)
สายลมหนาวพัดพริ้วพาผิวน้ำที่เคยราบเรียบเกิดเป็นระลอกคลื่นระยิบระยับยามต้องแสงจันทร์ แสงไฟภายในเกสต์เฮาส์ทยอยกันดับลงเมื่อนาฬิกาบอกเวลาเกือบสี่ทุ่ม เหลือก็เพียงบริเวณทางเดินและหน้าบ้านที่ยังคงเปิดไว้สำหรับให้แสงสว่างกับผู้ที่ผ่านไปผ่านมารวมถึงนักท่องเที่ยวที่เพิ่งกลับจากการเดินเล่นชมเมืองยามค่ำคืน พ่อเลี้ยงตรัยกลับไร่แสงดาวไปตั้งแต่ช่วงหัวค่ำแม้เดือนดาราอยากจะเอ่ยปากทักท้วงเพราะเป็นห่วงพี่เขยที่ต้องขับรถกลับคนเดียวแต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะปล่อยให้เขาได้ทำตามความปรารถนาด้วยเข้าใจดีว่าแต่ไหนแต่ไรถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ตรัยก็ไม่เคยคิดจากไร่ไปไหนได้นานเลยสักครั้ง อดนึกดีใจแทนพี่สาวไม่ได้ หากดารกายังมีชีวิตอยู่เธอคงเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดคนหนึ่งเพราะมีทั้งสามีที่ดีและลูก ๆ ที่น่ารัก หลังจากส่งนายใหญ่แห่งไร่แสงดาวกลับสมาชิกในบ้านก็ต่างแยกย้ายไปทำกิจกรรมของตนเอง ปล่อยแขกคนสำคัญอยู่ในความดูแลของคนที่สมควรจะต้องทำหน้าที่นี้
ศิธาพัฒน์นั่งทอดอารมณ์อยู่ที่บันไดท่าน้ำโดยมีเจ้าแข็งแรงนอนมอบอยู่ไม่ห่าง นัยน์ตาคมจ้องมองรูปโพลารอยด์ในมือที่ได้มาจากตากล้องมือสมัครเล่นตั้งแต่เมื่อตอนเย็น เป็นรูปที่เขาถ่ายคู่กับเต็มฟ้าที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าหายไปไหนเสียแล้ว นิสัยแบบที่นึกอยากจะทำอะไรก็ทำของอีกฝ่ายกลายเป็นสิ่งที่ศิธาพัฒน์คุ้นชินไปเสียแล้ว หากเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็มองข้ามไปบ้าง แต่หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับคนอื่นหรือทำให้ใครไม่สบายใจก็ต้องปรามกันบ้างตามนิสัยของพี่ชายผู้คุมกฎ
ชายหนุ่มเก็บรูปใบนั้นใส่ลงในกระเป๋าสตางค์ทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา ครู่หนึ่งคนที่กำลังนึกถึงก็เดินมานั่งลงข้าง ๆ พร้อมกับยื่นซองกระดาษให้ เมื่อรับมาเปิดดูศิธาพัฒน์ก็พบว่าสิ่งที่อยู่ข้างก็คือกระดาษปอนด์แผนหนา 2-3 แผ่น แต่ละแผ่วาดด้วยลายเส้นดินสอลงทับบาง ๆ ด้วยสีน้ำเป็นรูปภาชนะหลากหลายแบบ เดาได้ว่ามันน่าจะเป็นแบบสเก็ตซ์ของชำร่วยงานแต่งงานที่เคยขอให้ชายหนุ่มผู้มีใจรักศิลปะคนนี้ออกแบบให้ไม่ผิดแน่
“แบบสเก็ตซ์ของชำร่วยน่ะ พี่ปุ่นลองเอาให้พี่สาวเลือกนะ”
คนฟังพยักหน้าก่อนจะสอดกระดาษลงในซองเหมือนเดิม
"แล้วก็...ขอบคุณ...”
“ขอบคุณ?” คิ้วหนาเลิกขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “ขอบคุณพี่เรื่องอะไร”
“ก็ขอบคุณที่พี่ปุ่นทำทั้งหมดในวันนี้นั่นแหละ ทั้งที่ไปโรงเรียนด้วยกันตั้งแต่เช้า ตอนเย็นก็ยังมาทำอาหารให้เด็ก ๆ กินอีก ทั้งที่วันนี้ควรจะเป็นวันที่ได้หยุดอยู่กับบ้านแท้ ๆ”
เมื่อได้ฟังดังนั้นริ่มฝีปากอิ่มก็คลี่ยิ้มน้อย ๆ ไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่านี่จะเป็นเรื่องที่ต้องเอามาขอบคุณกัน หรือหากเป็นเช่นนั้นก็คงเป็นเขามากกว่าที่ต้องขอบคุณ “ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ขอบคุณเหมือนกันที่เต็มยอมให้พี่เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ในวันนี้”
สายตาที่ส่งมาทำเอาคนฟังต้องรีบพยักหน้าส่ง ๆ เป็นแววตาอบอุ่น..อุ่นจนร้อนแบบนี้มองอย่างไรก็ไม่ชินเสียที
“กลับเถอะ ดึกแล้ว” เต็มฟ้าถือโอกาสเปลี่ยนเรื่อง
“เดี๋ยวสิ ยังคุยไม่จบเลย”
“ยังมีอะไรอีก”
“เมื่อกี้น่ะ เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นได้ไหม”
“อะไร”
ศิธาพัฒน์ไม่ตอบแต่ขยับเข้ามาใกล้ วางคางลงบนไหล่กว้างของอดีตนักว่ายน้ำพลางโคลงศีรษะไปมาโดยใช้คางเป็นจุดศูนย์ถ่วงเหมือนตัวเองเป็นตุ๊กตาล้มลุก เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่ารำคาญก็หยุดพร้อมกับเอียงแก้มพองลมให้ก่อนจะออกคำสั่ง
“เร็ว!”
“ไม่” เต็มฟ้าตอบห้วน ๆ รู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร นัยน์ตาสีเข้มเหล่มองแก้มป่อง ๆ ที่แทบจะแนบสนิทกับผิวแก้มของตัวเองอย่างหมั่นไส้แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะขืนหันกลับไปปลายจมูกคงให้สิ่งที่อีกฝ่ายต้องการพอดี
“ไม่ได้ให้ทำเรื่องยากสักหน่อย”
“ไม่ยาก แต่ไม่ทำน่ะ มีอะไรไหม”
“จำไว้” ศิธาพัฒน์กล่าวพลางขยับตัวออกห่าง “คนเขาอุตส่าห์เดินตากแดดตามต้อย ๆ ทั้งวัน ช่วยถือของ แถมตอนเย็นก็มา...”
“พอ ๆ หยุด ๆ บ่นเป็นคนแก่ไปได้”
“ไม่สงสารกันบ้างเลย” น้ำเสียงกับแวตาตัดพ้อทำเอาคนพูดต้องแอบถอนหายใจเบา ๆ เต็มฟ้ากอดอกมองอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ เมื่อเห็นดังนั้นคนเจ้าแผนการก็ยังไม่วายทำเป็นถอนหายใจยืดยาว
“หลับตาก่อนสิ”
“อะไรนะ” ศิธาพัฒน์แทบไม่เชื่อหูตัวเอง
“บอกให้หลับตาไง ถ้าช้าเดี๋ยวเต็มเปลี่ยนใจนะ”
“ก็ได้ หลับตานะ” ศิธาพัฒน์ยิ้มหวานก่อนจะหลับตาลงตามคำสั่งของชายหนุ่มอายุน้อยกว่าอย่างว่าง่าย เท่านั้นบรรยากาศรอบตัวกลับเงียบเชียบลง ได้ยินเพียงเสียงของเสื้อผ้าที่เสียดสีกัน ไม่นานปลายจมูกเย็นเฉียบก็กดลงมาบนผิวแก้มอย่างแผ่วเบาตามด้วยสัมผัสอุ่นชื้นจากปลายลิ้นร้อนที่ลากไปตามแนวสันกรามชวนจั๊กจี้
กับเสียงครางเบา ๆ
เสียงครางหงิง ๆ ?
ของเต็ม?
‘ไม่ใช่แล้ว’ ชายหนุ่มค่อย ๆ ปรือตาขึ้นก่อนจะเปลี่ยนเป็นเบิกตากว้างมองหน้าคนกับหน้าหมาสลับกัน
“เฮ้ย! พอได้แล้ว เปียกไปหมดแล้ว”
เจ้าแข็งแรงดูจะไม่ได้ใส่ใจเสียโวยวายเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย มันยังคงเมามันกับการใช้ลิ้นเลียแก้มของเจ้านายพร้อมกับส่งเสียงหงิง ๆ อย่างประจบ
“เคลิ้มเชียว เอาอีกไหมจ๊ะ” เต็มฟ้าหัวเราะร่วนพลางยกขาหน้าของเจ้าหมาน้อยขึ้นกวักในอากาศ ไม่รู้ตัวเลยว่ารอยยิ้มล้อ ๆ นั่นยิ่งยั่วให้คนถูกแกล้งยิ่งอยากจะเอาคืนให้สาสม
“ขี้โกงนี่”
“โกงอะไร ไม่เห็นจะมีกติกาเลยเนอะแข็งแรงเนอะ” ไอ้ตัวแสบทำไม่รู้ไม่ชี้พร้อมกับขยี้หัวเจ้าตัวโตที่นั่งอยู่บนตักเบา ๆ ให้รางวัลที่มันทำงานได้ดีมาก
“ถ้าไม่มีกติกา อย่างนั้นพี่จะขอให้รางวัลตัวเองบ้างก็แล้วกัน” พูดจบศิธาพัฒน์ก็กระเถิบเข้าใกล้อย่างรวดเร็วจนเจ้าแข็งแรงที่นั่งขั้นกลางต้องรีบกระโดดพรวดเพราะความอึดอัด มือหนาประคองเอวสอบของคนที่กำลังถอยหนีหวังจะตรึงเอาไว้ไม่ให้ไปไหน แต่ถึงแม้ว่าจะไม่ทำอย่างนั้นเต็มฟ้าก็ไม่สามารถที่จะหนีไปไหนได้อีกแล้วเมื่อแผ่นหลังของตัวเองชนเข้ากับกรอบซุ้มประตู
เต็มฟ้าพยายามมองเงาสะท้อนของตนเองในดวงตาของคนตรงหน้า สงสัยจริง ๆ ว่าตัวเขากำลังทำหน้าแบบไหนอยู่กันแน่เวลาที่ต้องอยู่ต่อหน้าเจ้าของรอยยิ้มแบบที่ทำให้หัวใจเต้นแปลก ๆ คนนี้ ทำอย่างไรก็ไม่เข้าใกล้ความชินสักที และยิ่งสายตาเฉียบคมของศิธาพัฒน์แสดงให้รู้ว่าพร้อมที่จะเข้ามาค้นหาทุก ๆ คำตอบที่อยากรู้และทุก ๆ คำที่ตัวเขาเองไม่เคยได้พูดออกไปก็ยิ่งอยากจะหนีไปให้พ้น ๆ ความคิดถูกหยุดเอาไว้แค่นั้นเมื่อมือหนาเลื่อนขึ้นประคองสองแก้มอย่างระมัดระวังราวกับกลัวว่าจะช้ำคามือ แสงไฟสีนวลที่สาดกระทบเสี้ยวหน้าชวนมองทำให้เห็นได้ชัดว่าผิวเนื้อเนียนละเอียดกำลังเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อพลันปากอิ่มก็คลี่ยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นแววตาไหวระริกของเจ้าของใบหน้าขึ้นสี
หน้าหล่อเลื่อนเข้ามาใกล้ค่อย ๆ ประกบปากลงกลีบปากบาง เพียงเสี้ยวนาทีเนื้อปากเย็นเฉียบก็ค่อย ๆ ซึมซับความอุ่นที่เขาถ่ายทอดไปให้ แผ่วเบาราวกับสายลมที่พัดผ่านมาทักทายทุ่งดอกไม้ พาให้เกสรฟุ้งขจรขจายส่งกลิ่นหอมงละมุมยั่วยวนเหล่าแมลงให้หลงใหล เต็มฟ้ากำแขนเสื้อของอีกฝ่ายไว้แน่นเมื่อสัมผัสบางเบาถูกแทนที่ด้วยการขบเม้มอย่างหยอกเหย้ายาวนานและดูจะลึกซึ้งเข้าไปทุกขณะจนนึกอยากจะถามว่านี่ตั้งใจจะแกล้งกันให้ขาดอากาศหายใจลงไปต่อหน้าต่อตาเลยใช่ไหม
“พี่ปุ่น...หยะ...หยุดเถอะ” เจ้าของริมฝีปากเจือสีเลือดฝาดหาจังหวะเอ่ยขึ้นทั้งที่เนื้อปากยังไม่ห่างจากกันไปไหน
“กรรมการยังไม่ได้เป่านกหวีดหมดเวลาสักหน่อย”
เหมือนโดนฟ้าผ่าลงกลางหัวเมื่อเมื่อโดนย้อนเข้าให้บ้าง ‘ปะ..เป่า นกหวีดอะไรเล่า’ หมัดที่กำหลวม ๆ ทุบเข้าที่หน้าอกคนพูดอย่างไม่จริงจังนัก
“เต็มขะ..ขอเวลานอกก็ได้เอ้า”
มันได้ผล คนถูกร้องขอไม่ได้ใจร้ายอย่างที่คิด ศิธาพัฒน์หัวเราะในลำคอก่อนจะค่อย ๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่งคลี่ยิ้มน้อย ๆ มองคนที่กำลังหอบตัวโยนอย่างเอ็นดู
“ถ้าอย่างนั้นพี่คงต้องทดเวลาบาดเจ็บนะ” พูดจบก็ใช้ปลายนิ้วเขี่ยเส้นผมที่ตกลงมาปกหน้าไอ้ตัวแสบที่เถียงไม่ออกเพราะมัวแต่นั่งหอบ
“อะไรกัน แค่นี้ก็หอบแล้วเหรอ ไม่เก่งเลย”
“ปัดโธ่โว้ย! มันใช่เรื่องที่ต้องเอามาข่มกันไหม เกิดมาเพิ่งจะเคยถูกจูบแค่สองครั้ง จะอะไรนักหนา”
คนล้อนึกดีใจอยู่ไม่น้อยที่จูบทั้งสองครั้งนั้นล้วนเกิดจากฝีมือของตัวเขาเองทั้งสิ้น “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องซ้อมบ่อย ๆ ไว้พี่จะเสียสละเป็นคู่ซ้อมให้ก็แล้วกัน”
เต็มฟ้ามุ่นคิ้ว ไม่เห็นจะมีตรงไหนที่เรียกว่าเป็นการเสียสละเห็นมีแต่ได้กับได้ชัด ๆ
“เสียสละตรงไหน”
“ก็อยากได้ตรงไหนล่ะ พี่จะสละให้”
“ทะลึ่ง!”
“เฮ้ย! ใครกันแน่ที่ทะลึ่ง เต็มนั่นแหละคิดไปไกลถึงไหน” คนเจ้าแผนการยิ้มอย่างมีชัยมองคนฟังที่กำลังยกมือขึ้นขยี้หัวตัวเองอย่างขัดใจ
“กลับบ้านไป้! ดึกแล้ว” เจ้าของบ้านตัดสินใจตัดบท ไม่รู้จะเอาอะไรมาเถียงเพราะไม่ว่าจะพูดอะไรออกไปก็โดนดักหมด คิดแล้วก็มีแต่เขานี่แหละที่มีแต่เสียกับเสีย ทั้งเสียหน้าแถมยังต้องเสียจูบถึงสองครั้ง
“ยังไม่อยากกลับเลย” ศิธาพัฒน์ทำเสียงอ้อนในขณะที่สองมือก็ยังประคองเอวสอบเอาไว้ไม่ห่างจนเต็มฟ้าต้องสวมบทพี่ชายคนโตบ้าง
“กลับได้แล้ว ดึกแล้วนะ พรุ่งนี้ต้องไปทำงานไม่ใช่เหรอ”
เมื่อถูกถามแบบนั้นก็จำต้องพยักหน้ายอมรับ แต่ถ้าหากมีพรวิเศษละก็คงจะขอให้มีแต่คืนวันอาทิตย์แบบนี้เรื่อย ๆ ไป
“กลับก็ได้ ไปส่งหน่อยสิ” พูดจบก็ลุกขึ้นพร้อมกับดึงมืออีกฝ่ายให้ลุกตาม
“เมื่อเช้ามายังเดินเข้ามาเองได้ ตอนกลับทำไมต้องให้ไปส่งด้วย” ถึงจะบ่นแบบนั้นแต่สุดท้ายก็เดินตามต้อย ๆ ยอมให้เขาจูงมือไปจนถึงหน้าบ้านอยู่ดี
เมื่อเห็นเจ้านายเดินตรงไปยังรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่หน้าบ้าน เจ้าแข็งแรงก็รีบผุดลุกขึ้นวิ่งตามออกไปก่อนจะกระโดดขึ้นไปนั่งประจำที่ของมันอย่างรู้งาน
“พรุ่งนี้กลับไร่หรือเปล่า”
“กลับสิ ไม่ได้กลับไปตั้งหลายวันแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นเย็น ๆ พี่แวะไปหา”
“ไปทำไมให้เหนื่อย ทำยังกับอยู่ใกล้ ๆ เลิกงานแทนที่จะพัก”
“รู้ได้ยังไงว่าเหนื่อย ถามพี่บ้างหรือเปล่า หรือว่าคิดเอาเอง”
เต็มฟ้าถอนใจเฮือกใหญ่พลันหัวคิ้วก็เคลื่อนเข้าหากันเหมือนเด็กโดนขัดใจ รู้สึกว่าพูดอะไรไปก็โดนดักโดนขัดอยู่ตลอด เมื่อหาทางออกไม่ได้ก็หันไปใช้หัวเจ้าหมาน้อยเป็นที่ระบายอารมณ์เอาดื้อ ๆ มือบางกำหูใหญ่ ๆ ทั้งสองข้างเอาไว้หลวมพลางโยกหัวมันไปมาอย่างมันเขี้ยว ปากก็อุบอิบจนแทบไม่เป็นภาษาแต่คนฟังก็ยังสามารถจับใจความได้อยู่ดี ศิธาพัฒน์เดินเข้ามาใกล้สอดแขนรับรอบเอวคอดสวมกอดคนอายุน้อยกว่าจากด้านหลัง เกยคางลงบนบ่าไม่รอให้อีกฝ่ายได้ทันตั้งตัวก็ลากปลายจมูกไปตามแนวสันกรามก่อนจะกดลงที่ซอกคอสูดกลิ่นหอมให้ชื่นใจก่อนจะกระซิบแผ่วเบาทำเอาคนฟังแทบยืนไม่อยู่
“รู้หรอกน่าว่าเป็นห่วง แต่ถ้าไม่อยากให้พี่คิดถึงเต็มจนแทบคลั่งละก็ ให้พี่ไปหาเถอะนะ”
หม้อล้วน ๆ ไม่มีกระทะผสม....
(มี่ต่อค่ะ)