ตอนที่20
ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นพร้อมกับเกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรง
นี่ที่ไหนกัน... กวาดตามองโดยรอบ แต่สิ่งที่พบมีเพียงความมืด ผมไม่ได้ถูกมัดตาจึงมองเห็นเงาดำเลือนลาง เดาว่าอาจจะถูกจับใส่อะไรซักอย่าง ความรู้สึกกระเทือนเล็กน้อยตรงพื้นที่ผมนอนอยู่ คิดว่าน่าจะกำลังเคลื่อนที่
ลองสำรวจร่างกาย มือถูกมัดไว้... ไม่ได้รับบาดเจ็บนอกจากหลังคอ
มันเกิดอะไรขึ้นล่ะนี่...
จำได้ว่าผมคุยกับเจ้าชายลูคัสจนมืดแล้วพอลาอีกฝ่ายกลับมาที่ตัวปราสาท หลังจากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย
ทว่าถ้าเดาจากสภาพในตอนนี้ คงจะต้องบอกว่าผมถูกลักพาตัวมาสินะ...
ลองใช้ปลายนิ้วที่ถูกมัดคลำไปรอบตัว ดูเหมือนผมจะอยู่ในกล่องไม้ขนาดไม่ใหญ่นักพอให้ผู้ชายตัวโตลงไปนอนขดได้ ไม่มีรูระบายอากาศแต่ยังหายใจได้แม้จะอึดอัดพอสมควร ลองดันแผ่นไม้เหนือหัวแล้วเปิดไม่ออก ผมไม่แน่ใจว่าด้านบนคือฝาหรือเปล่า แต่ผมไม่กล้าเสี่ยงให้เกิดเสียงดังนักด้วยความกลัวว่าอะไรบางอย่างที่จับผมมาจะรู้ว่าผมตื่นแล้ว
พยายามฟังเสียงที่เกิดขึ้นด้านนอก ซึ่งต้องบอกว่ามันไม่ค่อยจะได้ผลเท่าไหร่ ผมแทบไม่มีทางรับรู้สภาพด้านนอกเลยนอกเสียจากว่าอีกฝ่ายจะเปิดกล่องเอาตัวผมออกไป ซึ่งอาจจะเป็นช่วงเวลาที่อีกฝ่ายหยุดพัก ถ้าอีกฝ่ายต้องพักนะ...
ระหว่างที่ทำอะไรไม่ได้ผมมาลองนึกๆ ดู ถึงผมจะเป็นคนใหม่ที่นี่ แต่โดยศักดิ์แล้วถือว่าผมเป็นเจ้าชายของเมืองแฟรีเซียร์คนหนึ่งเหมือนกัน ใครกันที่กล้าทำถึงขนาดนี้ อย่างน้อยก็น่าจะมีความเกรงกลัวบ้าง...
อีกฝ่ายไม่รู้ว่าผมเป็นเจ้าชาย? เป็นไปไม่ได้ งานรับตำแหน่งพึ่งถูกจัดขึ้นยังไม่พ้นวันดีเลย แถมจุดที่ถูกจับตัวก็ยังอยู่ในบริเวณพื้นที่ของปราสาทแท้ๆ
คนใน? ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าคิดจะจับตัวผมคงไม่รอจนได้ตำแหน่งแบบนี้ คงพาไปไกลตั้งแต่ที่ผมมาถึงเมืองนี้วันแรกแล้ว
คนนอก? ยิ่งเป็นไปได้ยาก ถึงวังจะไม่ใช่ที่หวงห้าม แต่การป้องกันก็มีมากพอสมควร การจะพาผมออกมาไม่น่าจะใช่เรื่องง่ายๆ นอกเสียจาก...
คนนอกที่มีตำแหน่งมากพอที่ทหารจะเกรงใจ...ก็ไม่พ้นพวกที่มาร่วมงานฉลองของผม
แต่ใครกันล่ะ...
ที่น่าสงสัยผมคงนึกออกแค่คนเดียว คนที่ไม่ยินดีสักนิดกับการคงอยู่ของผม แต่อีกฝ่ายเป็นผู้หญิง ไม่น่าจะทำอะไรรุนแรงมากขนาดนี้... ไม่สิอีกฝ่ายเป็นถึงเจ้าหญิง คนที่อยู่ในตำแหน่งพวกนี้ส่วนมากจะเด็ดขาดอยู่แล้ว
นอกเหนือจากนั้นคงจะเป็นลูคัส แต่ท่าทางจะเป็นไปได้ยาก เพราะผมพึ่งแยกจากอีกฝ่ายมา ถ้าคิดจะจับตัวผมเจ้าตัวน่าจะลงมือเลยตอนที่พาผมไปใกล้กับขบวนของตัวเอง
ใครกันที่ทำแบบนี้ ไม่คิดถึงผลที่จะตามมาบ้างหรือไง ถ้ามันกลายเป็นสงครามระหว่างทั้งสองเมืองล่ะ
ผมมีอะไรที่อีกฝ่ายต้องการ ถึงขนาดที่ว่าอีกฝ่ายยอมเสี่ยงจับตัวผมมา?...... แน่นอนว่าไม่ ถ้ามีของสำคัญขนาดนั้นควรจะอยู่ที่ฟรานส์มากกว่าผม หรือจะจับผมเป็นตัวประกัน อันนี้น่าคิด แต่ถ้าอย่างนั้นอีกฝ่ายไม่เลือกจับฟิลันที่เด็กกว่าน่าจะจับง่ายกว่า... หรือเพราะผมมาใหม่ ยังไม่ทันรู้เล่ห์เหลี่ยมของแต่ละเมือง ก็อาจจะเป็นได้ ดูจะเป็นตัวเลือกดีที่สุดในตอนนี้
ไม่สิ สิ่งสำคัญตอนนี้ก็คือ ผมถูกจับมานานแค่ไหนแล้ว... มีใครรู้บ้างหรือยังว่าผมหายไป... และทำยังไงผมถึงจะหนีออกไปได้ อย่างน้อยก็ออกจากล่องบ้านี่จะได้เห็นสภาพรอบตัวบ้าง
.
.
ผมหลับตื่นๆอยู่ในกล่องนานแค่ไหนไม่ทราบ มารู้ตัวอีกครั้งก็เมื่อมีเสียงกุกกักเหนือหัวของผม ฝาด้านบนถูกเปิดออกพร้อมกับเงือกหลายตัวจ้องมองผมด้วยแววตาไม่ไว้วางใจ เช่นเดียวกับผมที่สำรวจอีกฝ่าย ผมไม่สามารถระบุได้ว่ามาจากเมืองไหนเพราะมีเงือกหลายพันธุ์รวมกันอยู่ สังเกตได้จากสีครีบและหาง แต่ละเมืองจะค่อนข้างมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง
หนึ่งในนั้นพาผมออกจากกล่องมานั่งอยู่ใกล้กับก้อนหินในบริเวณนั้น ที่พักของพวกนี้อยู่ในที่ค่อนข้างรกทึบ สาหร่ายและดอกไม้ทะเลขึ้นสูงท่วมหัว “อย่าคิดหาเรื่องใส่ตัว พวกข้าไม่อยากทำร้ายท่าน”
พวกนี้รู้ฐานะผมแน่นอน ดูจากความเกรงใจในคำพูดและน้ำเสียง
“นายของพวกแกคือใคร!! จับฉันมาทำไม ถ้าทางแฟรีเซียร์รู้พวกแกซวยแน่”
พวกนั้นไม่สนใจสิ่งที่จะคุยกับผม แต่ก็มีหลายตัวที่หัวเราะขบขันสิ่งที่ผมพูด แสดงถึงความมั่นใจว่าสามารถพาผมหนีไปได้แน่นอน
ในกลุ่มเงือกที่จับผมมาไม่มีใครที่ผมคุ้นตา หมายความว่าเจ้าตัวไม่ได้มาด้วย? จะให้พวกนี้พาไปถึงปลายทาง?หรือจะตามมาทีหลัง? ยังไงก็ช่าง แต่โอกาสแบบนี้หาได้ไม่มากนัก ผมจึงเลือกที่จะทำทีเชื่อฟังอีกฝ่ายโดยดี ให้นั่งตรงไหนก็นั่ง นอนตรงไหนก็นอน ทำตัวว่าง่ายๆ ให้พวกนั้นเบาใจและหย่อนการคุมเข้มลง
การเดินทางในวันต่อมาผมคอยมองสังเกตรอบตัว ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะหาจุดเด่นเป็นเครื่องหมายบอกทางเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็พยายามเอาก้อนสาหร่ายพันรวมกันดอกไม้ทะเลที่ผมแอบดึงมาสะสมไว้ตอนกลางคืน คอยหย่อนตามทางที่พวกเราผ่าน ซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังมากเพราะถ้าอีกฝ่ายพลาดเห็นเพียงนิดเดียวก็จะเดาได้ทันที และนอกเหนือจากนั้น ผมยังต้องภาวนาให้ปลาแถวนี้ไม่กินหินบอกทางจำเป็นของผมก่อน
ผมถูกจับนั่งอยู่บนหลังปลากระเบน นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสงสัย ปลากระเบนที่เป็นพาหนะผมเห็นเมืองเดียวที่นำมาก็คืออันเมดีส เมืองของฟีโอล่า
แต่นั่นก็ไม่อาจฟันธงได้ทันทีว่าเมืองที่จับผมมาจะใช่อีกฝ่ายหรือเปล่า เพราะในท้องน้ำแห่งนี้ไม่ได้มีปลากระเบนอยู่เมืองเดียว อาจจะเป็นเมืองอื่นก็ได้เช่นกัน แต่อย่างน้อยผมก็ขอสงสัยไว้ก่อน
เราเดินทางต่อเนื่องจนถึงเวลาใกล้ค่ำ แสงสว่างที่ส่องลงกระทบผิวน้ำเริ่มลดลง ตอนนี้บรรยากาศรอบตัวผมเต็มไปด้วยความลึกลับ ดูเหมือนเงือกพวกนี้จะนิยมพักบริเวณที่มีสาหร่ายทะเลหนาทึบ คงใช้ประโยชน์จากมันในการซ่อนตัว
เพราะทำตัวเป็นเด็กดี พวกที่จับผมมาเลยทำตัวสบายๆ ไม่เคร่งเครียดนัก ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ผมหวังไว้อยู่แล้ว เพื่อสร้างโอกาสหลบหนี เพียงแต่สิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรกก็คือ ตัดเชือกที่มัดระหว่างข้อมือทั้งสองของผมกับกล่องสมบัติข้างๆ ก่อน ผมลากไอ้กล่องนี่หนีไปด้วยไม่ไหวหรอกนะ
ทว่าเป็นเรื่องยากพอสมควร พวกนี้เก็บอาวุธไว้ใกล้ตัวตลอด ไม่มีโอกาสที่ผมจะขโมยมาซักนิด
จนกระทั่งถึงเวลาที่ต้องพักผ่อน หลังจากได้ทำเลเหมาะๆ ผมก็ทำท่าจะทิ้งตัวลงนอน ทว่ากลับถูกไล่ที่จากเงือกหนึ่งในนั้น เพราะผมพยายามจะนอนใกล้กับปลากระเบนที่ผมนั่งบนหลังมันทั้งวัน
ชิ เจ้าพวกนั้นเดาได้หรือว่าผมหวังอาศัยเจ้าตัวนี้พาหนี
สุดท้ายแล้วผมก็โดนลากตัวไปพร้อมกล่องทิ้งอยู่ข้างโขดหินใหญ่มีดอกไม้ทะเลอยู่ประปราย เมื่อทำอะไรไม่ได้ผมเลยทิ้งตัวลงนอน กะว่าดึกกว่านี้สักหน่อยจะลองกระดึบไปหาน้องเบนอีกรอบ แต่ทว่า...
เจ็บ!! อะไรบางอย่างทิ่มก้นผม!!
ผมลูบบั้นท้ายตัวเองด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะก้มลงมองบนพื้น หาสาเหตุของการประทุษร้ายร่างกายผม จนได้ผมกับก้อนหินก้อนไม่ใหญ่ประมาณเหรียญสิบ นอนหงายหน้าเอาปลายแหลมชี้ขึ้นฟ้า ตำแหน่งเดียวกับที่วางก้นผมเมื่อครู่
เห็นแบบนั้นผมก็แทบแยกเขี้ยวใส่ คิดดูว่าดวงผมตกขนาดก้อนหินยังไม่ละเว้น ผมใช้มือข้างหนึ่งคว้าหินก้อนนั้นขึ้นมาก่อนจะทำท่าเขวี้ยงไปให้ไกลสุดแรงเกิด ทว่าอะไรบางอย่างที่แวปเข้ามาทำให้ผมชะงัก ก่อนจะล้มตัวลงนอนอย่างสงบเสงี่ยม...
.
.
เมื่อย.. คือสิ่งเดียวที่ผมนึกออกในตอนนี้ ทำไมในละครผมเห็นเค้าเอาหินมาถูๆ สองทีก็ขาดแล้ว ผมนี่ถูจนเลขจะขึ้นมาครึ่งคืนแล้วก็ยังไม่เห็นจะขาดเสียที แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะตอนนี้ที่นอนสุดแจ่มที่ผมเล็งไว้ตั้งแต่ทีแรกก็ถูกเงือกตัวอื่นจับจองไปแล้ว.. เพราะอย่างนั้นคงต้องใช้แผนสำรองกันต่อไป....
.
.
ขอบคุณสวรรค์!! ที่เห็นใจลูกข้างและทำให้ไอ้เชือกบ้านี่หลุดเสียที...
ผมแทบจะถอนสายบัวในยามที่เชือกหนาหลุดออกจากมือผม หลังใช้ความพยายามตัดมันทั้งคืน...
ใช่ทั้งคืน เพราะตอนนี้ผมคิดว่ารอบตัวเริ่มสว่างมากขึ้นแล้ว... แต่โชคดีหน่อยที่เงือกพวกนี้ไม่เดินทางเช้านัก จากเมื่อวานต้องรอสว่างเต็มที่พวกนี้ถึงจะตื่นกัน เพราะอย่างนั้นนี่คือโอกาสทองของผม!!
ผมค่อยๆ ลุกขึ้นและเคลื่อนตัวออกจากเงือกกลุ่มนั้นช้าๆ พยายามให้ไม่มีการสั่นไหวของน้ำมากผิดปกติ นัยน์ตาคอยจับจ้องท่าทางการนอนของพวกนั้นว่ามีการขยับเขยื้อนไหม
ผมชะงักเมื่อเงือกตัวหนึ่งพลิกตัว ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกเพราะอีกฝ่ายหลับต่อ ผมเริ่มกระดึบออกอีกครั้ง
ผมชะงักเป็นรอบที่สอง แต่รอบนี้เกือบจะหยิบหินเขวี้ยงแทนเนื่องจากอีกฝ่ายแค่กรนจนมีฟองอากาศผุดออกมา
ฮ่วย!! ทำเอาตกใจหมด
จนเมื่อผมคิดว่าได้ระยะผมก็พุ่งตัวออกด้วยความเร็ว!! ได้เวลาโกยเถิดโยมแล้ว!!
โชคดีที่ผมฉลาดโปรยสัญลักษณ์ไว้ตลอดทาง ทำให้เดินทางย้อนไม่ยากนัก แม้สาหร่ายของผมจะหายไปเป็นจุดๆ ช่วงๆ ต้องคอยเพ่งหา แต่อย่างน้อยก็พอให้ผมเดาทิศทางได้ล่ะ
เสียงเอะอะโวยวายดังลั่นขึ้น ซึ่งนั่นไวกว่าที่ผมคิดไว้มาก เงือกพวกนั้นตื่นแล้ว และรับรู้ว่าผมหนีแล้วด้วย
ไม่ได้การต้องรีบว่ายให้ไวที่สุด
ผมว่ายๆๆ อย่างเอาเป็นเอาตาย คิดว่าอย่างไรก็ต้องหาทางกลับบ้านให้ได้ การเดินทางของผมถือว่าไวกว่าเงือกกลุ่มนั้นไม่น้อย เพราะตัวคนเดียวสามารถตัดสินใจง่ายกว่า ทว่าความเหนื่อยนี่ไม่แพ้กันเลยอาจจะมากกว่าเสียด้วย ผมแทบจะคลานแทนการว่ายน้ำอยู่แล้ว
เวลาตอนนี้เป็นช่วงเย็น ยังพอมีแสงสีทองสะท้อนลงมารำไร ผมทิ้งตัวลงบนก้อนหินที่พวกเราพักค้างคืนในวันแรกที่ผมออกมาจากกล่อง เพราะป้ายบอกทางของผมสิ้นสุดที่ตรงนี้...จากนี้ไปจะเป็นของจริงแล้วว่า ผมจะสามารถกลับบ้านได้ไหม หรือจะต้องหลงทางและอดตายอยู่ในมหาสมุทรที่ไม่มีป้ายบอกทิศทางแบบนี้
แต่หลังจากพักได้เพียงครู่เดียว ผมก็ต้องรีบกระเด้งตัวขึ้นมา แม้อีกฝ่ายจะถูกทิ้งห่างตอนผมหนี แต่ไม่นานก็คงไล่ทัน ถ้าไม่หนีต่อเลยก็ควรจะหาที่ซ่อนก่อน ซึ่งผมเลือกอย่างหลัง ตอนนี้ผมล้าเต็มทนแล้ว
ผมว่ายไปต่อเล็กน้อย บริเวณนั้นมีหินก้อนใหญ่น้อยตั้งเรียงรายไม่ห่างกันมาก ผมมองแล้วน่าจะพอซ่อนตัวได้จึงว่ายอ้อมไปอีกด้าน ขนพวกสาหร่ายและดอกไม้ทะเลเอามาวางจัดคลุมเอาไว้เหมือนเป็นซุ้ม ส่วนตัวเองก็มุดเข้าไปอยู่ด้านในเหมือนทหารพราน ถ้ำชั่วคราวของผมไม่ได้กว้างนัก ทำให้ต้องนอนขดมากหน่อยแต่อย่างน้อยก็ถือเป็นที่ซ่อนตัวชั้นดี กะว่าหลบพักแถวนี้ไปก่อน
จ๊อกก
... คงต้องหาอะไรกินก่อนจะอดตาย โชคดีเหลือหลายที่ตอนนี้ผมมีความรู้เรื่องอาหารของเงือกบ้างแล้ว ทำให้ผมเลือกสาหร่ายที่กินได้จริงๆ ถูกต้น แม้รสชาติจะอร่อยสู้ในวังไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้ท้องอิ่มมีแรงละกัน
หลังจากทานอิ่มผมก็เริ่มเลื้อยกลับไปนอนหลุมหลบภัยต่อ แสงสว่างบนพื้นน้ำค่อยๆหมดไปพร้อมกับอารมณ์ที่เริ่มดิ่งลง ผมขดตัวเป็นก้อนกลมพยายามปิดตานอน ทว่าในหัวเต็มไปด้วยความคิดหลายอย่างตีกันจนพันยุ่งไปหมด
พรุ่งนี้ผมจะเดินทางไปทางไหน?
ผมจะหนีรอดไหม?
ฟรานส์จะรู้สึกอะไรหรือเปล่ากับการหายตัวไปของผม?
ผมจะได้กลับบ้าน จะได้เจอกับอีกฝ่ายหรือเปล่า?
“เลิกคิดแล้วนอนได้แล้วโอเชี่ยน พรุ่งนี้แกยังต้องใช้สมองอีกเยอะนะ” ผมบอกตัวเองแบบนั้นพร้อมกับพยายามสะกดจิตตัวเองให้หลับ ซึ่งหลังจากการใช้ความพยายามเป็นเวลานาน ในที่สุดตัวผมก็เริ่มเคลิ้ม..
แต่แทนที่จะได้หลับดีๆ กลับมีเสียงคุยของสิ่งมีชีวิตจำนวนไม่น้อยดังขึ้นก่อน นั่นทำให้ผมสะดุ้งรู้สึกตัวอย่างรวดเร็ว ดวงตามองฝ่าเข้าไปท่ามกลางความมืด ใจนึกภาวนาอย่าเป็นกลุ่มเงือกที่จับผมมาเลย
ไม่ใช่!!
เท่าที่ผมดูแล้ว น่าจะเป็นคนละกลุ่มกัน... ปัญหาก็คือ อีกฝ่ายเป็นมิตรหรือศัตรู...
ผมเดาไปเรื่อยจนกระทั่งเจอใครบางคนที่คุ้นตา ฟีโอล่ารวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย ท่าทางเจ้าหล่อนหัวเสียไม่ใช่น้อย ผมเฝ้าสังเกตอีกฝ่ายจนกระทั่งพบอะไรบางอย่างที่น่าตกใจ เงือกกลุ่มแรกที่จับผมมาตามผมมาทันแล้ว และตอนนี้ทั้งสองกลุ่มก็กำลังประจันหน้ากัน จุดที่ผมอยู่ห่างจากเจ้าหล่อนเกินไป แม้อีกฝ่ายก็ไม่เห็นผมแต่ผมก็ไม่สามารถรับรู้ข้อมูลอะไรได้เลย ทว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจว่าควรฉวยโอกาสหนีก็คือกระเบนของทั้งสองกลุ่มที่เหมือนกันมาก และการคุยเหมือนรู้จักกัน
ทั้งสองกลุ่มต้องเป็นพวกเดียวกันแน่นอน
ผมมุดออกจากถ้ำอาศัยช่วงเวลาที่ทั้งหมดไม่สนใจสิ่งรอบตัว ค่อยๆว่ายออกจากบริเวณให้เงียบที่สุด จนมั่นใจว่าห่างจากอีกฝ่ายมากพอแล้ว จึงพุ่งไปยังเส้นทางที่กลุ่มฟีโอล่าใช้ทันที ซึ่งเป็นโชคดีในความโชคร้ายของผม เพราะถ้าอีกฝ่ายไม่ผ่านมา ผมย่อมลังเลแน่นอนว่าต้องเดินทางไปทางไหน
ผมหนีๆๆ จนกระทั่งผมคิดว่าทั้งหมดคงจะตามมาไม่ทันแล้ว ถึงเริ่มรับรู้ว่า ตอนนี้ผมมาไกลแค่ไหนและอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายเพียงใด
ตอนนี้ผมอยู่จุดไหนไม่แน่ชัด แม้จะหนีเงือกพวกนั้นมาได้ แต่บรรยากาศรอบตัวเต็มในตอนนี้ไปด้วยความวังเวงจนน่าหวาดหวั่น แม้ผมยังคงต่อว่ายน้ำไป แต่ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกโลเลที่ว่า อยากได้ยินเสียงอะไรบ้างหรือควรปล่อยให้ทุกอย่างเงียบสงบแบบนี้ดี คือถ้าเงียบก็แสดงว่ารอบตัวปกติไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม แต่ไอ้การอยู่ในที่มืดๆ เงียบๆ แบบนี้ก็ทำให้ผมสติแตกได้เหมือนกัน...
เปรี๊ยะ
เสียงอะไรบางอย่างเรียกความสนใจของผม มันเป็นเสียงที่คุ้นเคยมากจนผมสงสัย ผมเพ่งมองท่ามกลางความมืด มีอะไรบางอย่างกำลังสู้กันอยู่ไม่ไกลนัก ลางสังหรณ์บอกให้ผมอย่าสนใจและรีบว่ายไปให้ไวที่สุด แต่ความอยากรู้อยากเห็นกลับสั่งให้ผมเข้าไปไกล ผมมั่นใจว่าที่อยู่ข้างหน้านั้นไม่ใช่เงือก เงาของมันมีขนาดเล็กเกินไป แต่จะเป็นอะไรนี่สิ...
เปรี๊ยะ
เสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ผมขยับเข้าไปใกล้อีกหน่อย จนเมื่อเห็นภาพตรงหน้าชัดแล้วตาของผมเบิกกว้างก่อนจะรีบหันหลังและพุ่งหนีทันที
งูทะเลกำลังสู้กับปลาไหลอยู่ คือ...ถ้ามันเป็นปลาไหลธรรมดาผมคงจะไม่ตกใจแบบนี้ แต่ที่ผมต้องรีบเผ่นให้ไวเป็นเพราะว่า
ไอ้ที่ตีกันอยู่นั่นคือปลาไหลไฟฟ้า!! ผมก็ว่าเสียงมันคุ้นๆหู เสียงของกระแสไฟฟ้าเวลาช๊อตนี่เอง!!
อั๊ก!!
บ้าเอ้ย!! ผมยังไวไม่พอ กระแสไฟที่ปล่อยมาเมื่อกี้โดนผมบางส่วนด้วย เล่นเอาซะตัวชาแทบจะจมลงไปก้นทะเล เพราะความอยากรู้อยากเห็นแท้ๆ
แต่ไม่มีเวลาให้หยุดนาน ยังไงผมก็ต้องว่ายต่อ ถ้ามันปล่อยกระแสไฟฟ้าอีก ครั้งหน้าผมอาจจะกลายเป็นอาหารให้ปลาแถวนี้ก็ได้ ผมทนว่ายต่อไปด้วยความเร็วต่ำระดับเต่าคลาน อาการชาที่ปลายหางของผมยังไม่หายดีนัก ตอนนี้ได้แต่ภาวนาอย่าให้มีตัวประหลาดอะไรโผล่ขึ้นมาก็แล้วกัน
.
.
อืม..ไม่ประหลาดจริงๆด้วย แต่แบบนี้ไม่เอาโว้ย!!!
ผมได้แต่บ่นในใจแต่จะเสียเวลาพูดไม่ได้! หยุดว่ายก็ไม่ได้! ผมสลัดความรู้สึกชาทิ้งไปจนหมด ตั้งหน้าตาตั้งตาตีน้ำเพราะไอ้ตัวที่ตามหลังผมมาอย่างไม่ลดละ จะอะไรเสียอีกก็พ่อฉลามคู่รักคู่แค้นของผมไง!! นี่ขนาดเป็นตัวเล็กนะ ยังตามติดแบบกัดไม่ปล่อย ถ้าเป็นตัวพ่อมาจะขนาดไหน!!
จะหันไปสู้มันก็ไม่ได้เพราะผมไม่มีอาวุธติดตัวเลยได้แต่หนีไปเรื่อยๆโดยไม่รู้ทิศทาง และตอนนี้ผมก็เหนื่อยมากจนเริ่มจะหมดแรงตีน้ำแล้ว ที่ยังไหวอยู่ตอนนี้เพราะพลังใจล้วนๆ
ผมกัดฟันว่ายจนกระทั่งเห็นอะไรบางอย่างตรงหน้า ด้วยความหวังว่าจะมีอะไรที่ช่วยชีวิตผมได้ตอนนี้จึงพุ่งเข้าไปหามันแบบไม่ลังเล
เงือก!! ตรงหน้าผมเป็นกลุ่มเงือกกำลังเดินทางอยู่ ผมหน้าเสียทันที นี่ผมย้อนกลับมาเจอพวกนั้นหรือ
ในขณะที่กำลังคิดว่าจะปล่อยให้ฉลามข้างหลังมันกินผมเสียแต่โดยดี หรือจะให้เงือกข้างหน้าจับตัวผมกลับไป ผมได้ยินเสียงที่ทำให้ผมใจชื้นขึ้น
“ท่านโอเชี่ยน!!”
เงือกตรงนั้นมัน ลูคัส!! รอดตายแล้วโว้ย
ทันทีที่อีกฝ่ายเห็นผมพาน้องฉลามมาด้วย เจ้าชายตรงหน้าก็รีบสั่งคนของตัวเองทันที “ฉลาม!! พวกเจ้า!ช่วยท่านโอเชี่ยนเร็ว”
ผมแทบจะกระโดดหอมแก้มอีกฝ่ายที่โผล่มาได้จังหวะพอดี ทันทีที่ฉลามตรงหน้าตายลง ผมก็ทิ้งตัวลงไปกองกับพื้นทะเล
“ท่านโอเชี่ยนเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่ แล้วใครจับตัวท่านมา รู้ไหมว่าท่านฟรานส์ห่วงท่านแค่ไหน”
“ใจเย็นๆ ทีละคำถาม” กลายเป็นว่าผมต้องบอกให้เงือกตรงหน้าใจเย็นแทน ลูคัสทำหน้าอึ้งๆตอนที่ผมเล่าให้ฟัง
“สรุปแล้วท่านถูกกลุ่มเงือกไม่ทราบพวกจับตัวมา” ผมพยักหน้า “แล้วท่านก็หนีออกมาได้” ผมพยักหน้าอีก “แล้วท่านก็เจอกับเงือกอีกกลุ่มหนึ่ง แต่ท่านไม่ไว้ใจก็เลยหนีต่อ” ผมพยักหน้าอีกครั้ง ไม่รู้ว่าตัวเองคิดอะไร ถึงได้เลือกละส่วนสำคัญที่สุดไว้ว่าพวกนั้นเป็นกลุ่มเดียวกัน และมีใครบางคนอยู่ในกลุ่มนั้น แต่เห็นว่าไหนๆก็ผ่านแล้วก็เลยทำเนียนไปเลย “สุดท้ายท่านหนีมาจนเจอฉลามแล้วก็มาเจอพวกข้า” จะให้ผมพยักหน้าอีกกี่ทีนี่ “ขอบอกว่าท่านโชคดีมาก ที่ไม่หลงไปทางอื่นและไม่ถูกตัวอะไรจับกินเสียก่อน”
“ฉันก็คิดว่าอย่างนั้นแหละ”
“ไม่ต้องกลัวนะ ข้าจะพาท่านกลับเอง ระหว่างนี้ท่านก็พักผ่อนก่อนเถิด” ผมแทบจะน้ำตาไหลด้วยความปลาบปลื้ม ทีนี้ผมจะได้กลับบ้านเสียที
ผมก็เลยตามอีกฝ่ายไปแต่โดยดี