หมอเถื่อน
มีคนเคยบอกไว้ว่าอาชีพแพทย์คือหนึ่งในอาชีพที่หาคู่ได้ลำบาก เนื่องจากเวลาเป็นตัวแปรหลักที่ทำให้เป็นเช่นนั้น หรือถ้าจะมีแฟนได้ก็คงจะไม่พ้นกลุ่มคนสามจำพวกดังต่อไปนี้
1. แพทย์ด้วยกัน
2. พยาบาล
3. คนไข้
คนไข้งั้นเหรอ...?
หมอโจ้ผู้ใต้ตาดำเยี่ยงถ่านไม้ไผ่ชั้นดีโซ้ยข้าวเข้าปากคำใหญ่ไปด้วยอ่านอะไรสักอย่างที่เพื่อนหมอทั้งหลายส่งมาในกลุ่มแชทไปด้วย พลางนึกถึงเหตุการณ์ชุลมุนเมื่อรุ่งสางที่ผ่านมา กว่าจะจัดการทุกอย่างเสร็จก็เกือบตีห้า นอนไปได้ไม่ถึงสามชั่วโมงก็ต้องลุกมาเข้าเวรต่อ
แต่เพราะความวุ่นวายนั้นเลยทำให้ลืมไปได้เกือบค่อนคืนว่าเพิ่งถูกสาวทิ้งมา จะว่าไปพอนึกถึงหน้าน้องเนยก็รู้สึกเซ็งขึ้นมาอีกจนได้
โจ้เริ่มคบกับน้องเนยตอนที่ตัวเองอยู่ปีสามส่วนน้องเนยเป็นเด็กปีหนึ่ง น้องเนยน่าตาน่ารักแบบเห็นครั้งเดียวแล้วเพ้อ น่ารักจนรุ่นพี่แบบโจ้ต้องพากเพียรเล่นกีตาร์จีบแข่งกับเด็กวิศวะอีกคนอยู่เป็นปี เพราะน้องเนยชอบคนเล่นดนตรีเป็น จนในที่สุดหมอก็ชนะใจสาวได้เพราะเล่นกีตาร์เก่งกว่าไอ้เด็กวิศวะอีกคน ฟังดูน่าภูมิใจดีเหมือนกัน แต่หมอพึ่งมานึกได้สักพักเองว่ามันตลก
…ตอนนั้นกูทำอะไรลงไป...
“หมอโจ้! หมอโจ้ไปช่วยหมอนายหน่อยค่ะ!”
โจ้ที่เข้ามู้ดอกหักได้ไม่ถึงห้านาทีหันไปมองน้องบุรุษพยาบาลวิ่งกระหืดกระหอบมา ตัดสินใจวางช้อนที่กำลังตักข้าวลงก่อนจะสาวเท้ายาวๆ ตามน้องเขาไปห้องฉุกเฉินอีกทีในรอบวัน
“ไอ้เหี้ยยยย กูเอามึงตายแน่!”
จะว่าเป็นภาพชินตาก็ได้เมื่อเห็นว่าคนเจ็บเป็นเด็กวัยรุ่นช่างกลคู่อริในแถบนี้ มาพร้อมกับเพื่อนๆ ที่ยืนออกันอยู่เต็มหน้าประตูห้องฉุกเฉิน หมอมองเข้าไปในห้องฉุกเฉินเห็นคนเจ็บสองคนสวมเสื้อต่างสถาบันนอนเลือดไหลโชกแต่กำลังลุกขึ้นมาต่อยกัน บรรยากาศดูวุ่นวายดูอีรุงตุงนังไปหมด
“เอ่อ…เลือดไหลเยอะนะครับ”
ข้างๆ คนป่วยมีคุณหมอตัวเล็กผู้เข้าไปห้ามเขาไม่ได้ เลยได้แต่ยืนเกลี้ยกล่อมอยู่ข้างๆ อาศัยแค่น้องบุรุษพยาบาลคนเดียวที่แทบต้านแรงวัยรุ่นเลือดร้อนไม่ไหวแล้ว
“หมออย่าห้าม ไอ้สัสมึง อย่ามาส่งสายตาเยาะเย้ยกู!”
หนึ่งในนั้นว่า ปลายประโยคหันไปตะคอกศัตรูวัยเดียวกันที่นอนอยู่เตียงข้างๆ
“เอ่อ… ใจเย็นๆ กันนะครับ”
หมอนายยืนยิ้มแหยพลางมองไปยังคนไข้สองเตียงสลับกัน โดยที่ผู้ป่วยทั้งคู่กำลังจะกระโดดลงจากเตียงและไอ้พวกเด็กข้างนอกเริ่มฟัดกันนัวเนีย
เอาจริงๆ หมอโจ้ก็คนปกติธรรมดาแต่งานที่หมอทำแต่ละวันมันไม่ค่อยธรรมดาแค่นั้นเอง
โจ้ถอนหายใจเฮือกใหญ่กับเรื่องไม่เป็นเรื่องก่อนจะก้าวอาดๆ แหวกคนกลุ่มใหญ่เข้าไปในห้องนั้นอย่างไม่กลัวตาย จากเดิมที่บรรยากาศวุ่นวายเมื่อหมอโจ้ย่างกรายเข้าไปเยือนบรรยากาศนั่นก็มาคุขึ้นมาทันตา สองหนุ่มช่างกลที่พลัดกันต่อยพลัดกันถีบพร้อมทั้งมีเพื่อนๆ ยืนเสียงดังเชียร์อยู่ หันมามองหน้าคนมาใหม่อย่างไม่ได้นัดหมาย หมอโจ้มีรูปร่างสูงเพรียว ตาและผมสีดำเกือบสนิท ใบหน้าคมตัดกับผิวขาวจัด พี่แกเดินเข้ามาหน้านิ่งๆ แต่มองเหมือนพวกมันทั้งหมดเป็นเหมือนกิ้งกือใส้เดือน
“อีกไม่ถึง 5 นาทีเลือดพวกมึงจะหมดตัวตายห่ากันแล้ว!”
เพียงแค่ได้ยินเสียงทุ้มแหบของหมอคนใหม่เด็กเวรทั้งหลายก็มองตากันปริบๆ เมื่อกี้ยังวัดอยู่เลยว่าใครเหนือกว่า แต่คราวนี้ดูเหมือนจะเจอของจริงเข้าแล้ว
“จะสั่งเสียอะไรกับพ่อแม่ไหม!”
หมอโจ้เดินไปแยกสองหนุ่มวัยกำลังโตออกจากกันพลางมองหน้าอย่างคาดโทษ หมอนายที่ยืนอยู่ถึงกับสงสารเด็กสองคนนั้นขึ้นมาทันตา แต่ไม่ทันไรเด็กที่คาดว่าจะสงบศึกกันแล้วกลับหมุนตัวอ้อมมาอีกทางเพื่อต่อยฝ่ายตรงข้าม หมอนายตัวเล็กกว่าโจ้อยู่มากปรี่เข้ามาห้ามแบบผิดจังหวะทำให้โดนชกเข้าที่อกอย่างจัง
“เหี้ย!!”
โจ้ที่ปฏิกิริยาและสติดีเยี่ยมรีบดึงคุณหมอตัวเล็กเข้ามาหาตัว มือหนึ่งกดให้หัวหมอนายก้มลงกับอกตัวเองแต่อีกมือที่ถนัดคว้าคอเสื้อเด็กวัยรุ่นที่ดื้อด้านออกจากตรงนั้น
หนึ่งในนั้นละล่ำละลักออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนเลือด ไอ้โจ้นับถือความพยายามของเด็กเมื่อวานซืนเป็นอย่างมากที่กล้าต่อกรกับมัน
หมอนายว่าเสียงโจ้ตอนนี้เย็นเสียจนขนลุกทีเดียว
“มะ…หมออย่าคิดว่าผมกลัวนะ”
หนึ่งในนั้นละล่ำละลักออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนเลือด หมอนายนับถือความพยายามของเด็กเมื่อวานซืนเป็นอย่างมากที่กล้าต่อกรกับขาโหดของโรงพยาบาล
โจ้ผู้อกหักและนอนไม่พอตั้งแต่เมื่อคืนพาลให้ความดันต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ทั้งหมดนั่นเป็นผลทำให้หน้าตาที่ดูเย็นชาเป็นทุนเดิมดูน่ากลัวสยดสยองเข้าไปใหญ่ พี่แกจ้องที่เด็กคนนั้นนิ่ง ก่อนจะทำให้เด็กที่หน้าซีดเพราะเสียเลือดมากตาแดงขึ้นมาเหมือนจะเป่าปี่
โจ้ว่าทฤษฎีที่ว่าคนป่วยย่อมอ่อนแอเสมอนี่ยังใช้ได้จริง
“ขึ้นไปนอนนิ่งๆ เร็ว!”
โจ้บอกให้เด็กย้ายก้นไปนอนบนเตียงด้วยเสียงเรียบนิ่งแต่ฟังดูแล้วหมือนกำลังขู่กรรโชก
“กูบอกให้เร็ว!!!”
“คะ…ครับ”
ในที่สุดก็ทำให้อนาคตของชาติสองคนนอนนิ่งๆ อย่างไร้หนทางสู้
“พวกมึงที่ยืนๆ อยู่ก็ไปทำแผลซะ ก่อนที่จะติดเชื้อ”
หมอออกปากไล่ไอ้พวกที่ยืนอออยู่เต็มห้องพร้อมกับยื่นบัตรประชาชนของผู้ป่วยที่ได้มาให้น้องพยาบาลเอาไปกรอกประวัติและเบิกเลือด โจ้สละเวลากินข้าวมาช่วยหมอนาย มองดูรุ่นพี่ที่ดูเหมือนไม่ได้เจ็บอะไรมาก ก่อนจะเริ่มหยิบจับทุกอย่างคล่องแคล่วตามประสา แต่ถึงอย่างนั้นคิ้วที่ขมวดปมแน่นก็ส่งผลให้ห้องนั้นบรรยากาศน่ากลัวกว่าเดิมหลายเท่า
“ผมไม่เจ็บหรอกโจ้ สบาย”
คุณหมอรุ่นพี่ยิ้มกว้างให้คนที่เป็นรุ่นน้องอยู่ห้าถึงหกปี โจ้คลายสีหน้ากังวลลงไปนิดหน่อย…นั่นทำให้บรรยากาศในห้องนั้นดูดีขึ้นด้วย
เมื่อคนป่วยที่เริ่มสิ้นฤทธิ์นอนเป็นผักต้มให้เย็บแผล ใช้เวลาไม่นานนักเคสฉุกเฉินที่เอะอะมะเทิ่งก็เรียบร้อยลง โดยที่คนป่วยถูกนำไปไว้ห้องเดียวกันนอนคุยกันมุ้งมิ้งอย่างกับเป็นสหายร่วมรบมาก่อน โจ้เห็นแล้วอยากจะฟาดกะโหลกพวกมันอีกสักรอบสองรอบโทษฐานสร้างความวุ่นวาย แต่เคสของวันนี้หมอยังว่าง่ายกว่าดาราเมื่อเช้ามืดอยู่เยอะ อันนั้นแค่นึกถึงหมอก็เพลีย...
.
.
.
ที่นี่เป็นโรงพยาบาลรัฐบาลขนาดกลางที่คนป่วยเตียงเยอะล้นจนเกือบเท่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ในเขตชานเมืองที่ผู้อาศัยมีรายได้ตั้งแต่ต่ำมากจนถึงปานกลาง เคสป่วยแบบยิ่งใหญ่โรคหายากไม่ค่อยมี แต่ไอ้เรื่องฉุกเฉินตีรันฟันแทงนี่มีมาเกือบทุกวันจนกลายเป็นเรื่องเคยชินไปแล้ว
หลังจากเรียนจบและใช้ทุนหมดหมอโจ้ก็เลือกที่จะทำงานที่นี่ต่อ ด้วยเห็นว่าตัวเองคงเป็นประโยชน์ต่อสถานที่แห่งนี้มากกว่ากลับไปรับช่วงต่อโรงพยาบาลเฉพาะทางของที่บ้าน เพราะที่นั่นพี่สาวเขาดูแลและจัดการได้ดีอยู่แล้ว มันจึงยังไม่ขยับขยายตัวไปไหน
หมอโจ้ หรือโจ้คนโหดของเพื่อนๆ เป็นผู้ชายที่ตรรกะในหัวไม่วิบัติเสียเท่าไหร่ หมอมองโลกตามความเป็นจริง มีเหตุมีผลในตัวเองค่อนข้างมาก นิสัยแต่เดิมเป็นพวกไม่ชอบพูดมาก แต่ชอบเก็บรายละเอียดเล็กน้อยๆ ส่วนความโหดนี่หมอเอามาจากอินเนอร์และความเถื่อนส่วนตัวล้วนๆ เหยียบลูกโป่งเด็ก ทำให้คนแก่ร้องไห้นี่งานถนัดพี่แกทั้งนั้น
ถ้าในบรรดาหมอทุกคนในโรงพยาบาลโจ้จะเป็นคนที่ถูกผู้ป่วยด่ามากที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็ถูกชมมากที่สุดเช่นกัน ผอ.ของโรงพยาบาลก็ทราบลักษณะนิสัยของหมอดี แล้วก็รู้ด้วยว่าเคสของผู้ป่วยที่หมอโจ้มักจะได้รับมีแต่เคสโหดหินดินทรายทั้งนั้น ฉะนั้นแล้วเลยสร้างสโลแกนของโรงพยาบาลขึ้นมาใหม่เก๋ๆ ว่า
‘โรงพยาบาลสะอาด มีมาตรฐาน หมอทำงานยิ้มแย้ม’
อย่างน้อยก็ช่วยให้โจ้มันรู้จักยิ้มแย้มยามเจอคนป่วยแบบปกติเสียบ้าง
.
.
.
“นักดนตรีอินเตอร์ชื่อดัง พ. เจ้าพ่อคาสโนว่าในวงการอกหักจากสาว ม.หนีรักซมซานกลับไทย เพื่อนซ.ไม่ปริปากบอก แต่ขุดคุ้ยได้ว่ากำลังคั่วกับกับหมอสาวเนตไอดอลน้อง น. แต่ พ.ก็ยังบอกทุกคนว่าตัวเองโสด”
“ย่อขนาดนั้นจะรู้เรื่องไหมครับ”
หมอเอ่ยทักสาวๆ พยาบาลขณะกำลังพักทานข้าวที่โต๊ะข้างๆ กันในตอนบ่ายแก่ ทั้งกำลังอ่านข่าวกอสซิบไปด้วย พวกเธอหันมายิ้มเขินๆ ก่อนจะตอบด้วยท่าทางกระตือรือร้น
“พี่พายไงคะหมอ พี่พายที่มาโรงพยาบาลเราเมื่อเช้านี้”
หนึ่งในนั้นหันมาสบตากับคุณหมอโจ้ที่อยู่ในบริเวณนั้นพอดี โจ้มองน้องๆ และพี่ๆ ผู้ร่วมชะตากรรมกันเมื่อรุ่งสางอย่างทึ่งในฝีมือการติดตามข่าวสารของสาวๆ
“ไม่ใช่ดาราหรอกเหรอ?”
หมอถามออกไปเมื่อนึกถึงคุณดาราที่อ้วกรด ชาตินี้คงไม่มีวันลืมความบัดซบนั้นแน่นอน
“นักดนตรีอินเตอร์ชื่อดัง พ. ค่ะหมอ”
หนึ่งในนั้นตอบออกมา หมอโจ้พยักหน้าหงึกหงักก่อนจะเดินเลี่ยงออกมา ว่าแล้วก็ไปดูคุณนักดนตรีอินเตอร์ชื่อดัง พ. ที่ตึกนู้นดีกว่า หมอผู้รับผิดชอบเคสวุ่นวายเมื่อคืนนี้เดินเข้าห้องผู้ป่วยเดี่ยวเพียงคนเดียวเพราะคุณพยาบาลกำลังทำธุระบางอย่างอยู่ โจ้เอ่ยทักคนไข้ที่นอนดูทีวีท่าทางสบายใจ ใครคนนั้นมีผ้าพันแผลอย่างกับหลุดมาจากหนังซอมบี้ ทั้งๆ ที่ความจริงก็แค่หัวแตก
“คุณพชรเป็นยังไงบ้างครับ”
ดูเหมือนว่าคนป่วยที่นอนกระดิกเท้าดูทีวีจะสร่างเมาแล้ว หมอก้มลงหยิบแฟ้มประวัติของคนป่วยที่ปลายเตียง ใครคนนั้นหันมามองหมอหน่อยก่อนจะตอบ
“ผมชื่อ พะ-ชอน ไม่ใช่ พะ-ชะ-ระ ครับ”
คนไข้ตอบด้วยความฉะฉานและรอยยิ้มกว้างอย่างกับเวลาคุณครูขานชื่อผิด หมอถึงกับคิ้วกระตุกเมื่อได้ยินคำทักทายกลับจากคนไข้ แต่ก็ปั้นหน้ายิ้มแย้มเสแสร้งตามสไตล์ ถึงจะแค้นจากเหตุการณ์เมื่อเช้าอยู่มาก แต่เอาเข้าจริงใครจะไปถือสาคนเมา แล้วอีกอย่างเพราะวันนี้หมอเล่นบทโหดเยอะเกินไปขืนถูกคนไข้เขียนใบคอมเพลนอีกก็เกรงใจสโลแกนโรงพยาบาลที่สร้างขึ้นมาเพื่อตัวเองโดยเฉพาะ
แต่พายว่าดูยังไงรอยยิ้มของหมอก็ดูน่ากลัวมากกว่าจริงใจอยู่ดี
“ผมว่าหมอหน้าคุ้นๆ นะ”
ก็มึงอ้วกใส่กูไง ไม่คุ้นก็คงแปลก...หมอคิดในใจแต่มือจดอะไรยุกยิกด้วยลายมือหมอที่คนทั่วไปไม่สามารถอ่านออกได้ พร้อมกับมองคนไข้สลับกับแฟ้มที่ถืออยู่บนมือ คิดไปคิดมาโจ้ว่าคุณพ. นี่ก็หน้าตาคุ้นๆ เหมือนกัน บางทีคงเคยเห็นในทีวี
“ปวดแผลไหมครับ” คุณหมอถาม
คนไข้ผู้มีใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มและผิวสีแทนเหมือนนายแบบ หรี่ตามองคุณหมอตัวขาวจนเกือบซีดอย่างจับผิด แล้วยิ้มออกมาพร้อมกับพูดด้วยท่าทางกะลิ้มกะเหลี่ยแบบที่ผู้หญิงเป็นอาจจะชอบ แต่ถ้าเป็นผู้ชายจะรู้สึกคันมือคันเท้าพิกล
“ปวดสิครับคุณหมอ หมอลองมาโดนตีหัวดูไหมล่ะ”
โจ้ลอบถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย รู้แล้วว่าทำไมคุณพชรคนนี้ถึงโดนเขาฟาดหัวแบะมา คงเป็นเพราะนิสัยกวนตีนล้วนๆ นี่เอง ตอนที่เมาหมอก็ไม่อยากเอาความอะไร แต่พอเจอปากกับนิสัยแบบนี้แล้วก็อดหัวร้อนไม่ได้
“หมอหน้าคุ้นจริงๆ นะเนี่ย”
คุณหมอที่คิดว่าตัวเองหน้าโหลไปทั่วยิ้มแหยๆ ให้กับคนป่วย แล้วค่อยๆ ตอบทั้งที่หงุดหงิดเกินทน น่าจะเกินลิมิตความอดทนปกติของหมอโจ้ไปแล้วด้วยซ้ำ
“เราเจอกันเมื่อเช้าไงครับ”
“ไม่ใช่แบบนั้น”
คนไข้ปฏิเสธก่อนจะจ้องหน้าหมอจนแทบสึก
“คุ้นจริงๆ นะ แต่ผมนึกไม่ออก”
หมอหยุดเถียงแล้วทำงานของตัวเองไปตามลำดับแต่สักพักก็หยุดชะงัก เมื่อนึกขึ้นได้ว่าประโยคสนทนาเมื่อครู่มีอะไรผิดปกติ เพราะเอาจริงๆ โจ้กับคนไข้คนนี้ไม่เคยเจอกันมาก่อนเสียด้วยซ้ำ
“เดี๋ยวต้องไปซีทีสแกนกันนะครับ” โจ้พูดถึงหุ่นยนต์ทางการแพทย์ขนาดใหญ่ ที่ใช้แสกนร่างกายของผู้ป่วยรวมถึงสมอง
พายคิดตามอยู่หน่อย ก่อนที่หน้าตาจะเริ่มยุ่งเมื่อนึกถึงอาการป่วยของตัวเองแต่สักพักก็ขำก๊าก
“ผมไม่ได้ความจำเสื่อมนะ โอ้ยยย ปวดแผล”
คุณคนไข้หัวเราะจนสะเทือนไปถึงหัวนอนพะงาบๆ กลั้นหัวเราะอยู่บนเตียงเมื่อหายใจไม่ทัน ส่วนอีกคนถอนหายใจเป็นรอบที่ล้าน หมอข่มใจก่อนจะตอบ
“ยังไงก็ต้องตรวจครับ!”
“ผมไม่ตรวจ!”
โจ้นับเคสนี้เป็นผู้ป่วยเคสแรกที่ไม่สามารถจัดการได้ในเวลาอันสั้น ด้วยบุคลากรอันน้อยนิดของโรงพยาบาล จะให้มาพะเน้าพะนอเอาใจคนไข้เพียงคนเดียวก็คงไม่ได้ หมอจึงเริ่มนิ่งลงแล้วเล่นบทโหดแบบที่ควรจะเป็น
“ต้องตรวจครับ”
เอาจริงๆ ก็แค่พูดเสียงเรียบๆ ตามประสา แต่อีกคนกลับยิ้มร่าแล้วตอบกลับมาว่า…
“ไม่!”
โจ้อยากจะเอาถาดข้าวที่วางอยู่ใกล้ๆ ตีหัวคนไข้จริงๆ
“หมอเผด็จการ!”
ใครคนนั้นว่าพลางยิ้มให้กว้างท่าทางกวนตีน โจ้ที่ทำอะไรไม่ได้ดึงปรอทที่ยัดไว้ก่อนหน้านี้ออกจากรักแร้คนไข้แล้วจดอะไรยุกยิกต่ออย่างประสาทเสีย ดูก็รู้ว่าคุณพชรคนนี้กำลังตั้งใจกวนตีนอยู่แน่นอน
“ผมออกจากที่นี่ได้วันไหนหมอ”
มึงออกไปเลยก็ได้…นั่นคือสิ่งที่หมอคิดในใจแต่เอาเข้าจริงก็แค่เงยหน้ามาพูดเรียบๆ
“ก็ต้องดูอาการก่อนครับ”
คนไข้นอนกระดิกเท้าไปมาพร้อมกับพินิจพิจารณาหน้าหมออยู่อย่างนั้น จ้องจนจะสึก จ้องจนรู้สึกว่าถ้าเป็นปลาทองหมอโจ้คงท้องไปแล้ว จ้องจนหมอเริ่มรำคาญ โจ้ว่าจะพูดอะไรออกไปสักหน่อย แต่เมื่อประตูห้องถูกผลักเข้ามาด้วยหญิงสาวท่าทางเปรี้ยวจัด หมอก็เงียบไป
เธอคนนั้นสวมเสื้อคว้านอกเสียลึกแถมยังรัดติ้วเสียจนหมอหายใจไม่ทั่วท้อง สาวสวยก้าวฉับๆ เข้ามาในห้อง บ่งบอกลักษณะนิสัยว่าเป็นคนมั่นใจในตัวเองอย่างยิ่งยวด และดูเหมือนว่าจะเธอน่าจะทำให้หมอปวดประสาทกว่าเดิม
“พี่พาย”
เสียงน่ารักเหมาะกับใบหน้าเจ้าตัวเอ่ยออกมา แต่คิ้วที่ถูกเขียนไว้ดิบดีขมวดแน่น เธอจ้องที่หมอทีคนป่วยทีอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์
“ฉิบหาย”
หมอได้ยินเสียงแผ่วๆ จากมัมมี่ข้างๆ ตัว โจ้พออ่านบรรยากาศออกว่าไม่ควรจะอยู่ที่นี่ต่อไป แต่งานตัวเองยังไม่เสร็จ จึงได้แค่ยืนนิ่งๆ อยู่แบบนั้น
“น...น้องมะนาว ว่าไงครับ”
คาสโนว่านักดนตรีอินเตอร์ชื่อดัง พ.ที่ว่า เอ่ยทักผู้มาใหม่ด้วยเสียงตะกุกตะกัก หมอว่านี่คงเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝัน พ่อคาสโนว่าคนนี้อาจจะถึงฆาตแล้วก็เป็นได้ เชื่อหมอเถอะ…หมอเรียนมา
“พี่พายเป็นอะไรมากไหมคะ เจ็บมากไหม”
โจ้ว่าน้ำเสียงนั่นดูไม่ได้เป็นห่วงเป็นใยเหมือนคำถามเลย
“ไม่เป็นไรมากครับ”
คนตอบยิ้มหล่อให้สาวสวยคนนั้น เธอเดินเข้ามาใกล้ข้างเตียงพร้อมกับปาหนังสือกอสซิบเล่มบางใส่ที่อกของอีกคนอย่างเร็วและแรง
“มันหมายความว่ายังไง!!”
โจ้ผู้ไม่เคยรับมือกับสถานการณ์ของผัวเมียตีกันมาก่อนไม่รู้จะทำยังไง จะเล่นบทโหดเหมือนตอนเล่นกับเด็กช่างกลก็คงไม่เหมาะ จึงนิ่งเสีย...นิ่งแล้วยืนมองอยู่เช่นนั้น สาบานได้ว่าหมอไม่ได้แอบยิ้มเพราะแอบสะใจ...
“อะไรคะน้องมะนาว”
หมอนับถือคุณนักดนตรีอินเตอร์ชื่อดัง พ. มากมายที่สามารถปั้นยิ้มถามด้วยท่าทางไร้เดียงสาได้
“ที่พี่พายบอกนักข่าวว่ายังโสด? แล้วมะนาวล่ะคะ +”
“เอ่อ…คือพี่”
คนไข้ที่โดนทุบหัวมาเมื่อวานมีท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างชัดเจน ส่วนผู้หญิงคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงนั้นเริ่มร้องไห้และตวาดขึ้นมาอีกรอบ
“แล้วอีคุณหมอไอดอลนั่นอีก ตกลงพี่เห็นนาวเป็นอะไร!!”
และแล้วเธอก็ร้องไห้ขึ้นมาจริงๆ … โจ้ผู้แพ้น้ำตาผู้หญิงเป็นทุนเดิมเห็นแล้วสงสารขึ้นมาจับใจ
“กูเป็นอะไรของมึง!”
คำผรุศวาสที่ไม่เหมาะกับผู้หญิงตัวเล็กๆ ถูกเอ่ยออกมาในที่สุดและดูเหมือนว่าพ่อคาสโนว่าจะจนหนทางเสียแล้ว
“นาวเป็นน้องสาวพี่...”
คนไข้ที่หน้าตาและหุ่นดีเยี่ยงดาราต่างประเทศ ค่อยๆ ตอบออกมาเหมือนจะรักษาน้ำใจแต่ต่างฝ่ายก็ต่างรู้ดีว่าไม่ใช่แน่นอน
“น้อง? มึงฟันน้องมึงเหรอ!!!”
น้องมะนาวนี่คงเปรี้ยวสมชื่อ เธอใช้กระเป๋าแบรนด์เนมใบละหลายหมื่นที่สะพายอยู่ฟาดเข้าที่กบาลของคนไข้จนหน้าหล่อๆ หัน ก่อนที่จะก้าวฉับๆ ออกไปเหมือนตอนที่เดินเข้ามาตอนแรก
บรรยากาศณ.ห้องนั้นเงียบไปนานเกือบสามนาที เงียบจนได้ยินเสียงหลุดหัวเราะของหมอ แต่ไม่ทันไรคนป่วยก็อุทานออกมาเมื่อเห็นเลือดสีแดงหยดแหมะจากหัวตัวเองลงบนเตียง
“หมอออออออ แผลผมปริ!!!”
คนต้นเรื่องทั้งหมดทั้งมวลนั่นโวยวายน่ารำคาญ หมอพยายามหุบปากกลืนก้อนหัวเราะและรอยยิ้มลงในคอ
“เจ็บน่าดูเลยเนอะ”
โจ้ว่าเนิบๆ ดูไปแล้วอารมณ์ดีพิกล แต่ก็เดินไปกดปุ่มฉุกเฉินเรียกคุณพยาบาลในที่สุด
.
.
.