ปรสิต | 10
“เก้า”เรียวขายาวยังคงก้าวไปข้างหน้าไม่ต่างจากเวลาที่ปล่อยให้แมลงบินผ่านหู อ้อใช่ มันน่ารำคาญแล้วก็ชวนให้รู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย แต่ถึงอย่างนั้นการหันกลับไปเพื่อปล่อยให้ศรัณย์ทำหน้าถมึงทึงแล้วออกคำสั่งก็ไม่ใช่ทางเลือกที่คิดอยากจะทำเหมือนกัน
“รามิล”เจ้าของชื่อหยิบกุญแจที่ถือเตรียมไว้แล้วไขเปิดประตูห้องด้วยความเคยชิน ระยะเวลาระหว่างนี้ทำให้อีกคนเดินตามมาจนประชิดตัวได้ แต่ก็นั่นแหละ ศรัณย์ไม่โวยวายออกมาโจ่งแจ้งทั้งที่พวกเขากำลังยืนอยู่หน้าประตูห้องหรอก รามิลเตรียมใจไว้แล้ว เพราะเมื่อไรที่หนุ่มรุ่นพี่ปิดประตูลง เขาอาจต้องโดนซักในเรื่องที่ถูกหมออธิศคาดคั้นจนกว่าจะหลุดปากพูดอะไรออกไปแน่
ร่างโปร่งวางกระเป๋า เขาได้ยินเสียงศรัณย์ปิดประตูอย่างที่คาดไว้ไม่ผิดเพี้ยน จากนั้นคือเสียงกุญแจที่ถูกโยนไว้บนโต๊ะเขียนหนังสืออย่างลวก ๆ “พี่ว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน”
“ครับ” รามิลตอบเสียงเรียบอย่างที่ไม่มีทางจะเฉยชาไปกว่านี้ได้แล้ว
“เรื่องที่อธิศพูด” ไม่ผิดไปจากที่คิดสักประโยค “หมายความว่ายังไง”
ระยะเวลาจากตอนนั้นถึงตอนนี้มันนานพอให้คิดข้ออ้างดี ๆ ได้สักสองสามข้อ ถ้าไม่โง่จนเกินไป เวลาก็คงเล่นโกงจนไม่แม้แต่จะให้เขาได้พักหายใจด้วยซ้ำ
“ผมไม่รู้”
“....”
“....”
“นายโกหก”
ศรัณย์จับผิด แล้วมันถูกเผงทีเดียวเมื่อเห็นว่าคิ้วเรียวนั้นขมวดน้อย ๆ เหมือนตอนอยู่ที่โรงพยาบาลไม่มีผิด รามิลกำลังไม่พอใจ นั่นคือสิ่งเดียวที่เขามีสิทธิ์รู้ในขณะตัดสินใจยกเวลาพักผ่อนทั้งหมดในค่ำคืนนี้ให้กับเรื่องที่อีกฝ่ายไม่ต้องการพูด
“แพรพลอยเป็นใคร” เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบ ริมฝีปากที่บางอยู่แล้วยิ่งเม้มสนิทจนเหมือนเป็นแค่เส้นตรง ๆ เท่านั้น แล้วมันก็น่าหงุดหงิดเสียจนคนอายุมากกว่าต้องใจร้อนถามออกไปอีกรอบ “ว่าไงเก้า”
“....”
“นายจะให้พี่ทำใจเชื่อว่ามันไม่มีอะไร ทั้งที่นายแสดงความบริสุทธิ์ใจแทบตายอย่างนี้น่ะเหรอ” ศรัณย์ประชด ก่อนหน้านี้เขาพยายามแล้วกับการไม่งี่เง่าพูดอะไรพรรค์นี้ออกไปในขณะที่รามิลทำตัวน่าสงสัยเต็มแก่ แล้วการยอมปิดปากเงียบโดยไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเพื่อนร่วมงานอย่างอธิศนั่นก็มากพอสำหรับความไว้ใจที่ศรัณย์มีให้คนรักของเขา
รามิลควรจะโมโหและพูดมันออกมา
ซึ่งมันไม่เกิดขึ้นง่าย ๆ เขารู้
เด็กหนุ่มพยายามทำใจให้สงบเท่าที่จะทำได้ ทั้งสูดลมหายใจลึก ทั้งตรึกตรองให้ถ้วนถี่ก่อนจะกล้าเอ่ยคำพูดสักประโยค หมออธิศน่ะน่ากลัวก็จริง แต่ไม่ใช่คนที่ยืนบึ้งตึงจ้องเขาเขม็งอยู่ตรงหน้า รามิลปลอบใจตัวเอง อย่างน้อยศรัณย์ก็ยังไม่รู้อะไรอย่างที่จิตแพทย์คนนั้นอาจจะ
รู้“อธิศพูดถึงเรื่องเด็กผู้หญิงที่ชื่อพลอย” ศรัณย์ทวนมันราวกับช่วยฆ่าเวลาระหว่างให้อีกคนคิดหาคำตอบ “แล้วก็เรื่องค่ายที่ระยอง”
นายแพทย์หนุ่มขนลุกวาบเมื่อคิดย้อนขึ้นไปกอนหน้านั้นว่าพวกเขาได้คุยกันเรื่องผู้หญิงชุดขาวด้วย ถ้าปะติดปะต่อแบบมั่วซั่วคือแพรพลอยตายแล้วจริง ๆ แต่ก็นั่นแหละ ไม่มีทางเป็นเรื่องเดียวกันไปได้หรอก ความบังเอิญไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น
รามิลยืนตัวสั่น ลมระเบียงอาจจะแรงเกินไป
ศรัณย์นึกขึ้นมาได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่รามิลลืมปิดประตูระเบียงก่อนออกจากห้อง ขอบคุณที่เขาไม่ได้เกิดมามีนิสัยรักความสมบูรณ์แบบจนเกินไป ไม่อย่างนั้นการต้องเดินไปปิดมันให้เรียบร้อยในระหว่างสถานการณ์ตึงเครียดเช่นนี้คงเสียอารมณ์พอดู
คนถูกถามเอาแต่ทำตัวน่าหงุดหงิด เงียบ เงียบ แล้วก็เงียบซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับทุกคำถามของเขา จะให้ประชดประชันเซ้าชี้ขึ้นมาอีกมันก็ไร้เหตุผล เขาไม่อยากทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ
“เก้า...” ศรัณย์เริ่มใช้ไม้อ่อน เสียงเรียกนั้นอ่อนระโหยคล้ายวอนขอ
“พี่จะอยากรู้ไปทำไม” ได้ผล รามิลยอมโอนอ่อนตาม เขายอมแพ้ถ้าต้องเอาชนะด้วยการยืนกดดันกันตลอดทั้งคืน “พี่ไม่เคยละลาบละล้วงเรื่องของผม”
“แต่นายแสดงออกว่ามันเป็นความลับ --” ศรัณย์สวนตอบ พยายามใจเย็นในแบบที่คนอายุมากกว่าควรทำ “มันเป็นเรื่องสำคัญ”
“แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะยื่นมือเข้ามายุ่งอยู่ดี!”รามิลทำเหมือนคนที่อยากแค่นหัวเราะประชดชีวิตเต็มแก่ แต่นั่นไม่ใช่นิสัยของเขา เด็กหนุ่มอยากจบบทสนทนานี้แต่ก็คิดอะไรไม่ออกนอกจากนอนคลุมโปงและหันหลังให้กัน แต่ความเป็นจริงคือพวกเขายังคงยืนอยู่ ร่างโปร่งผ่อนลมหายใจให้เบาลง ตรงข้ามกับวงกลมสีดำใหญ่ ๆ ซึ่งเต้นตุบอยู่กลางใจ เก็บมันมาได้นานเท่าไรก็อยากจะเก็บมันไว้ต่อไปเท่านั้น
“ผมไม่อยากทะเลาะกับพี่เรื่องนี้” คำพูดรามิลค่อนข้างได้ผลเสมอเมื่ออายุรแพทย์หนุ่มเกิดย้ำเตือนตัวเองขึ้นมาว่าอายุมากกว่าอีกฝ่าย แล้วยังไง สิ่งพิสูจน์ความเป็นผู้ใหญ่คือการยอมจบมันไปง่าย ๆ และให้ความลับนั้นผูกติดกับรามิลตลอดไปอย่างนั้นหรือ ศรัณย์พยายามเล็งหาความถูกต้อง แต่มันผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ระหว่างความรักกับความจริง
เสียงลมหวีดหวิวด้านนอกชวนให้รู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก เสียดายที่คิดผิดไม่เดินไปปิดมันก่อนหน้านี้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังหวาดระแวงกับอะไรอยู่ สิ่งที่เขาควรกลัวในตอนนี้ก็คือระเบิดความจริงก้อนใหญ่ซึ่งอาจกำลังทิ้งตัวลงมาต่างหาก โอเค รามิลพูดถูกเรื่องที่พวกเขาไม่ควรจะมาทะเลาะกันด้วยเรื่องส่วนตัวของใครคนใดคนหนึ่ง เด็กตรงหน้าตัวสั่นโงนเงนเหมือนกับคนยืนตรงแทบไม่อยู่ ดวงตานั้นแดงก่ำและสั่นระริกเช่นเดียวกับตอนพูดคุยกับอธิศ กลับกันที่ตอนนี้เป็นเขาซึ่งไว้ใจว่ารามิลเป็นเพียงวัยรุ่นธรรมดาคนหนึ่ง
ศรัณย์เดินไปหยิบกุญแจรถบนโต๊ะ ทุกก้าวที่เดินเขาได้แต่หวังว่าในใจจะสงบลงสักขั้นหนึ่ง แต่ก็นั่นแหละ เขาแค่กำลังพยายามอยู่ พยายามไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้ในฐานะคนอื่น รามิลมีสิทธิ์ปิดมันไว้ แต่เขาไม่มีสิทธิ์รู้
แล้วถ้าความลับนั้นมันร้ายแรงล่ะ เขาจะรับไหวหรือเปล่า
จะกอดเด็กคนนี้ไว้แน่น ๆ แล้วแค่ดุว่าทำไมไม่บอกกันแต่แรกใช่ไหม
หลังจากนั้นก็แก้ปัญหาไปด้วยกันเหมือนอย่างที่เคยทำ
“พี่จะไปไหน”
รามิลถาม แต่แพทย์หนุ่มแน่ใจว่าเขาไม่ได้กำลังถูกรั้งหรอก ร่างผอมกลอกตาขึ้นมองเพดานคล้ายชั่งใจครั้งสุดท้าย มือยังคงกุมกุญแจรถอยู่บนพื้นโต๊ะเย็นเยียบ ไม้ชื้น ๆ ก็เหมือนความคิดในตอนนี้ มันดูเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนตราบใดที่แค่มองด้วยตาเปล่า แล้วรามิลก็เหมือนความชื้นในอากาศ มันน่าหงุดหงิดเหลือเกินสำหรับคนที่ไม่ชอบฝน
ลมพัดแรงขึ้นอีกแล้ว ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าฝนคงสาดซัดลงมาอย่างไม่ต้องสงสัย
“ไปข้างนอก” เขาตอบเสียงเรียบ
“แต่ฝนกำลังจะตก”
รามิลพูดอย่างคนรู้ดีเสมอ นั่นคือสิ่งหนึ่งที่ศรัณย์หลงเด็กคนนี้หัวปักหัวปำ “นายรู้ว่าพี่ชอบหรือไม่ชอบอะไร”
“....”
“แต่ทำไมถึงยังโกหกล่ะเก้า?”
สิ้นคำมือเรียวก็หยิบเอาชีทที่วางซ้อนกันบนโต๊ะขึ้นมาปึกหนึ่ง มันถูกแทรกอยู่ระหว่างตรงกลาง มีไฮไลท์สีชมพูสลับเหลืองขีดอยู่หลายจุดในหน้าแรก เขาไม่เคยยุ่มย่ามกับโต๊ะเขียนหนังสือของรามิลเลยสักครั้ง ไม่แม้แต่จะสอดส่องสายตาผ่านในยามที่เดินเฉียดไปมา ใช่ เขาก็แค่เพิ่งเห็นคำว่า
แพรพล -- โผล่พ้นออกมาเพียงเล็กน้อยในตอนที่ศรัณย์นึกขึ้นได้ว่าจะมีอะไรที่เขาเกลียดได้มากกว่าฝน
คำโกหกไงศรัณย์เกลียดการโกหก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนที่เขาไว้ใจ
“เป็นไปไม่ได้...” รามิลหลุดพึมพำเสียงแผ่ว
คนมองรู้สึกวาบชาไปทั้งร่างเพียงแค่เห็นเส้นไฮไลท์อย่างที่เขาไม่ชอบอยู่บนแผ่นชีทตรงหน้า เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเห็น ไม่สิ ต้องไม่มีทางเห็นแน่ เพราะรามิลเป็นคนเอามันไปทิ้งกับมือเมื่อหลายวันก่อน เขาเก็บทุกอย่างที่เป็นชื่อแพรพลอยใส่ถุงขยะสีดำ แล้วก็ตุบ หย่อนลงไปทางช่องทิ้งขยะข้างบันได และตอนนี้มันควรถูกเผาทิ้งอยู่ที่โรงกำจัดขยะ แต่มันดันวางแทรกอยู่ระหว่างชีทของอาจารย์บนโต๊ะที่เดิม!
ศรัณย์ไม่ได้พูดอะไร ใบหน้าของนายแพทย์เพียงแค่พยักรับราวกับตอนที่เขาบอกว่าอยากไปค้างติวหนังสือที่หอเพื่อน ต่างกันก็แค่ตานั้นไม่ได้มองสบตอบกันอย่างเคย ร่างผอมวางชีทในมือลงบนโต๊ะไม้เย็นชื้น แล้วก็คว้าเอากุญแจรถขึ้นมากำไว้ในมือ
รอยร้าวน่ากลัวกว่าการเตะลูกฟุตบอลโดนกระจกแตกตรงไหน?
ตรงที่เราไม่รู้ว่ามันจะแตกลงมาเมื่อไร อาจเป็นตอนที่กำลังหลับสบายและฝันหวานถึงอาหารมื้อเช้าในวันหยุด หรือฝันว่ากำลังกอดกับแฟนเก่าที่เลิกรากันไปได้สามวัน และจากนั้นมือของเราก็ไปสะกิดโดนมันเบา ๆ
เพล้งแตกลงมาไม่รู้ตัว
รามิลรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางโคลนดูดไม่มีผิด มันลึกลงไปและมีศรัณย์ยืนทำสายตาว่างเปล่าอยู่ที่ปากหลุม ผู้ชายคนนั้นเหนื่อยที่จะเค้นความจริงใจจากเขาแล้ว
“พี่อยากรู้ใช่ไหม”
เขาพูดมันขึ้น ทำให้คนที่กำลังจะเปิดประตูออกไปจำต้องชะงักมือที่หมุนลูกบิด ค้างไว้ เสียงฟ้าร้องดังโหมโรงสำหรับพายุฝนในค่ำคืนนี้ แต่น่าแปลกที่ศรัณย์ยังได้ยินเสียงหอบหายใจของคนรักชัดเจน
รามิลรั้งไว้ด้วยประโยคที่คิดมาตลอดว่าคนตรงหน้าคงไม่อยากได้ยิน
“เพราะผมเลือกพี่ไง” เสียงสั่นเครือนั้นดังขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกพยางค์ที่เอ่ยปาก
ดวงตาแดงก่ำ แสงจากฟ้าแลบทั้งด้านนอกก็คล้ายกำลังโอบกอดเด็กหนุ่มจากด้านหลัง ทั้งรุนแรง เกรี้ยวกราด และสร้างเงาทะมึนบนใบหน้าอ่อนโยนนั้นอย่างที่ศรัณย์ไม่เคยเห็นมาก่อน เสียงหวีดหวิวของลมแรงเหมือนปฐมบทความจริงทุกอย่าง
ชายหนุ่มพอจะรู้แล้วว่าผู้หญิงชุดขาวที่เคยเจอนั้นเล่นซ่อนแอบอยู่ส่วนไหนของห้องนี้ เขาถึงหาไม่เจอสักที
“เพราะว่าเลือกพี่ ผมถึงได้ทำแบบนั้นกับพลอย”ผู้หญิงคนนั้นซ่อนอยู่หลังรามิลมาตลอด
--------------------------------------------------
“กันต์”
ร่างเล็กสะดุ้งเฮือกพลางหันมองเจ้าของเสียงทุ้มนุ่มซึ่งกำลังผุดลุกจากม้านั่ง ข้างตัวร่างสูงคือกระเป๋าสัมภาระและแล็ปท็อปที่มักจะพกมาทำงานทุกวัน หมออธิศอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีเขียวอ่อนเหมือนเมื่อเช้า ในมือมีสมาร์ทโฟนซึ่งกำลังถูกหย่อนลงกระเป๋าอย่างไม่เร่งรีบ
“ตาคุณ?” จิตแพทย์เอ่ยถามทั้งที่ยังเดินมาไม่ถึงตัวเขาเลยด้วยซ้ำ ทุกครั้งชนกันต์จะขอโทษขอโพยถ้าอธิศมานั่งรอเขาออกเวรที่ม้านั่งหน้าห้องยาแบบนี้ แต่ก็อย่างที่คิดไว้
วันนี้มีแต่ความผิดปกติ
มือเล็กรีบยกขึ้นขยี้ตาข้างขวาคล้ายจะหาทางปกปิดมันไว้ทั้งที่รู้ว่าสายไปแล้ว สัมผัสอุ่นทาบทับลงบนมือเขา ค่อย ๆ จับมันลดลงจนเห็นคิ้วขมวดมุ่นนั้นเต็มสองตา
“คุณไม่ควรทำแบบนี้” อธิศปล่อยมือจากอีกฝ่าย แล้วเปลี่ยนเป็นเลื่อนขึ้นมาประคองซีกหน้าขวาเอาไว้เบามือ “ไปหาหมอจักษุหรือยังครับ” ชนกันต์ส่ายหน้าเป็นคำตอบ ทำเพียงแค่กระชับสายสะพายเป้ให้แน่นขึ้นด้วยความประหม่า
“แล้วเจ็บไหม หรือว่าแค่เคืองตา”
คนถูกถามส่ายหน้าอีก เขาคิดว่าควรจะพูดอะไรออกไปสักอย่าง ไม่อย่างนั้นก็คงถูกหมออธิศจ้องหน้าอยู่อย่างนี้ มันน่าอึดอัดแม้ว่าเป็นความหวังดีก็ตาม “ผมอาจจะแค่ขยี้มันแรงเกินไป”
“....” อธิศยอมถอยตัวออกไป ไม่เคยเห็นชนกันต์มีนิสัยชอบขยี้ตาถึงจะเป็นตอนที่เจ้าตัวกำลังอ้าปากหาวหวอดก็เถอะ แต่วันนี้เขาทำตัวเจ้ากี้เจ้าการมากเกินไปแล้ว ถ้านับเรื่องที่พยายามเค้นความจริงจากรามิลเมื่อตอนเย็น
ร่างสูงเพียงเดินกลับไปหยิบสัมภาระบนเก้าอี้มาถือไว้ในมือเท่านั้น ระหว่างทางเดินไปลานจอดรถก็ล้วงหากุญแจรถในกระเป๋ากางเกงมาถือเตรียมพร้อมเอาไว้ด้วย เขาเดินอยู่ข้างหน้าเสมอ แล้วชนกันต์ก็เอาแต่หลบเลี่ยงสายตาในตอนที่ถูกหันไปมองด้วยความพะว้าพะวง
มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอธิศรู้ แต่เขายังไม่คิดพูดอะไรออกไป
การมีสีแดงติดอยู่ในกรอบสายตานั้นชวนให้นายแพทย์รู้สึกแปลก ๆ คล้ายกับถูกทิ่มแทงด้วยอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา ชนกันต์อาจแค่เส้นเลือดฝอยที่เยื่อบุตาแตก มันเกิดได้ง่ายมาก แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้พยายามทำตัวให้เป็นปกติอย่างที่เคยเป็น
แสงไฟสีขาวแสบตาภายในโรงพยาบาลค่อย ๆ ไกลออกไปแล้ว อธิศไม่เคยรู้สึกกระวนกระวายใจเท่านี้มาก่อน เขาทำเหมือนทุกที กดรีโมทปลดล็อกรถในระยะสามเมตรแล้วเปิดประตูเบาะหลังเพื่อนำสัมภาระของตัวเองและคนข้าง ๆ วางเก็บอย่างเป็นระเบียบ คำว่าระเบียบก็แค่ความมั่นใจว่าวางแบบนี้แล้วมันจะไม่พากันเทตกลงมาจากเบาะถ้าหากเขาลองเหยียบเบรกกะทันหันสักทีสองที หันไปเห็นร่างเล็กยืนแก้ ๆ กัง ๆ แล้วก็ยิ่งทวีความใคร่รู้มากยิ่งขึ้นไปอีก ชนกันต์ไม่มีสติเอาเสียเลย เดือดร้อนเขาต้องแตะต้นแขนเบา ๆ จนร่างนั้นสะดุ้งโหยง
“....”
อธิศคิดจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูดอีก ทางเดินเล็ก ๆ ที่ทอดไปสู่ชนกันต์นั้นตันไปด้วยเรื่องของรามิลซึ่งอัดแน่นอยู่เต็มหัว เหตุการณ์วันนี้เขาก็แค่รู้เยอะขึ้นนิดหน่อย ซึ่งน้อยมาก และมันไม่ได้ช่วยให้กระจ่างขึ้นมาสักเรื่อง
“อยากหาอะไรกินก่อนกลับคอนโด ฯ ไหม” ท้ายสุดนายแพทย์ก็เอ่ยคำถามขึ้นมาเขาสตาร์ทรถ ค่อย ๆ ถอยแล้วก็เลี้ยวลงไปตามทางลาดสู่ชั้นล่างของตัวตึก การขับรถวนเป็นก้นหอยชวนให้เวียนหัวเสมอ
จนแล้วจนรอดชนกันต์ก็ไม่ได้ตอบจนถึงทางออกโรงพยาบาล ข้างนอกคงอากาศเย็นพอสมควร ฝนตกปรอย ๆ กระทบกับกระจกหน้าเป็นด่างดวงจนเจ้าของรถต้องกดเปิดระบบการทำงานของที่ปัดน้ำฝน การจราจรในตอนหัวค่ำคลาคล่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าฝนตกเช่นเดียวกับตอนนี้ อธิศทำได้แค่หมุนพวงมาลัยเอื่อย ๆ และเหยียบคันเร่งโดยแทบไม่ต้องออกแรง เขาปล่อยให้บรรยากาศในรถเงียบกว่าเสียงข้างนอก เลือกจมอยู่กับความคิดตัวเอง ในเมื่อชนกันต์ยังต้องการโลกส่วนตัวด้วยการนั่งเหม่อมองทิวทัศน์เฉย ๆ
มีเรื่องอะไรที่จะต้องวิตกจริต?เขาอยากถาม แต่เขาก็ล้มเลิกมันไปตั้งแต่ห้านาทีก่อน
สิ่งที่ได้จากรามิลมีสองข้อ โอกาสความเป็นไปได้ที่แพรพลอยจะหายไประหว่างค่ายที่ระยองมีความเป็นไปได้สูงและรามิลมีความเกี่ยวพันกับเรื่องนี้อย่างน้อยก็ครึ่งตัว อธิศไม่แน่ใจว่าศรัณย์รู้เรื่องนี้หรือไม่ เบื้องต้นเขาเดาว่าไม่รู้ และข้อสันนิษฐานนี้ยิ่งทวีความเป็นไปได้หากอีกฝ่ายติดต่อกลับมาในเร็ว ๆ นี้
ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจิตแพทย์หนุ่มจะปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดได้ เขาควรต้องตามซักถามเพื่อน ๆ ของเด็กสองคนนั้นมากขึ้น หรือให้พอจำกัดความสัมพันธ์ที่รามิลมีต่อแพรพลอยได้ ย้อนคิดไปถึงเรื่องเมื่อเช้า การที่คนนอกอย่างเขาถูกปรากฏกายให้เห็นแบบนั้นย่อมต้องมีความหมายแน่
วิญญาณคงพูดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเรื่องน่าจะง่ายกว่านี้
อธิศคิดติดตลกในใจ
ปัง“...!”
ชนกันต์สะดุ้งเฮือก ร่างของใครบางคนถูกชนเข้าอย่างจังจนกลิ้งหลุนไปทางด้านหลัง อธิศยังคงขับรถด้วยความเร็วปกติ มือหนึ่งท้าวระหว่างสันกรามกับประตูรถ และดวงตาคมปลาบก็ไม่ได้สนใจจะหันกลับไปมองร่างที่เพิ่งขับปะทะจนเกิดเสียงดัง ร่างเล็กเอี้ยวใบหน้าไปมองข้างหลัง รถราในช่วงเย็นยังคงขับกันปกติและไม่มีวี่แววของอุบัติเหตุดังเช่นที่เกิดในกรอบสายตาเขา เด็กหนุ่มปล่อยตัวเองจมลงกับพนักเบาะ ดวงตาลึกโหลของเขาปูดโปนและพยายามบอกตัวเองว่าแค่ตาฝาดไป
“หมอ...”
อธิศหันมาส่งสายตาเป็นคำถาม คิ้วนั้นเลิกขึ้นน้อย ๆ มันไม่นานนัก แต่นัยน์ตาไม่ได้แสดงความผิดแผกไปจากเดิมจนกระทั่งมันหันกลับไปจดจ่อกับถนนเบื้องหน้าต่อ เห็นอย่างนั้น คำว่า
หมอเห็นอย่างที่ผมเห็นไหม ถึงได้ถูกกลืนหายไปในลำคอ
“....”
บ้าเอ๊ยชนกันต์สบถคำนี้ในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ป้ายทะเบียนของรถคันข้างหน้าไม่ได้ทำให้ใจเขาสงบขึ้น มันก็แค่สงครามประสาทโง่ ๆ
ไม่มีอยู่จริง
ไม่มีอะไรที่เป็นความจริงหรอกร่างหญิงสาวในชุดสีขาวโผล่ออกมาจากข้างทางราวกับมีประตูมิติ เสี้ยวหน้านั้นยังไม่ทันหันมาทางนี้ ร่างทั้งร่างก็ปะทะเข้ากับรถยนต์สีขาว
ปัง จนกลิ้งกระเด็นผ่านกระจกหน้าไปทางด้านหลังรถ อธิศไม่ได้ขยับมือที่ท้าวอยู่กับสันกรามดังเช่นก่อนหน้า แพทย์หนุ่มยังดูปกติดีทุกอย่าง
เหงื่อเย็นซึมชื้นตรงขมับทั้งที่ในรถช่างเย็นยะเยือก เด็กหนุ่มได้แต่ฝังตัวเองให้จมเข้าไปกับพนักเบาะยิ่งกว่าเก่า ชนกันต์อยากปิดตาลงเหมือนที่พึมพำไปว่าไม่มีอะไร ถึงอย่างนั้นดวงตากลับถ่างมองข้างหน้าราวกับภาพฉายซ้ำ ๆ
ปังเรือนผมสีดำสยายเต็มหน้ารถก่อนร่างในชุดเดรสสีขาวเปรอะจะกระเด็นกระดอนไปทางด้านหลัง คล้ายมือนั้นพยายามยึดตัวรถเอาไว้ แต่นอกเหนือจากครั้งแรกแล้ว ชนกันต์ก็ไม่ได้เหลียวมองตามอีก อธิศขับรถที่ความเร็วระดับเก้าสิบ มันไม่ช้าแล้วก็ไม่เร็วเกินไปสำหรับคนที่คุ้นชินเส้นทางและระยะห่างระหว่างรถแต่ละคันก็มากพอสมควร ชนกันต์นึกอยากจะให้รถติดกันเป็นเบือเหมือนเมื่อสิบนาทีก่อน แต่เขาก็กลัวเหลือเกินว่าการชนครั้งต่อไปจะไม่ได้พาร่างนั้นกระเด็นไปเบื้องหลัง
ถ้าเป็นคนขับเสียเอง เขาสาบานได้ว่าคงเหยียบคันเร่งจนมิด
เหมือนกับคืนนั้น
ปังเย็นยะเยือกไปทั้งตัวเหมือนกำลังยืนอาบอยู่กลางสายฝน ดวงตาแดงก่ำคล้ายจะเต้นตุบ ๆ ทุกครั้งที่เห็นว่ามีใครบางคนกำลังจะวิ่งโผล่ออกมาจากหลังป้ายโฆษณา
“พอ...”
หางตาชื้นด้วยน้ำอุ่น ๆ จากความหวาดระแวง แล้วก็อย่างที่กลัว
ปังหล่อนวิ่งออกมาและพยายามคว้าเอาที่ปัดน้ำฝนเอาไว้ในตอนที่กระเด็นกระดอนไปด้านหลัง มือของชนกันต์ชื้นเหงื่อ กระเป๋าเป้ร้อนเหมือนไฟในตอนที่เขาบีบจับมันเอาไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวเดียว เรียวขาที่พยายามยกขึ้นชันแนบกับลำตัวนั้นหนักอึ้ง เขาเกลียดความรู้สึกในตอนที่เหมือนมีแมลงนับพันไต่อยู่ตามตัว
ปัง“พอแล้ว...”
เสียงของชนกันต์สั่นเครือ
ปัง“พอที...”
เหมือนจะตายให้ได้
ปังรถหยุดลงข้างทางในที่สุด เส้นผมสีดำขลับยังสยายอยู่เต็มหน้ารถ ชายกระโปรงเปื้อนโคลนไหลลู่ไปตามแนวน้ำไหล ที่ปัดน้ำฝนไม่ทำงาน ตรงข้ามกับร่างบิดเบี้ยวซึ่งกำลังพยายามขยับเขยื้อนจนเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าด
“....”
น้ำตาไหลพรากเมื่อสบเข้ากับดวงตาสีดำด้าน แก้มซึ่งนาบอยู่บนกระจกนั้นเปื้อนโคลนเช่นเดียวกับส่วนอื่น ๆ ที่ปาดเปื้อนเป็นรอยปื้นยาวสีน้ำตาล
ตุบ
ตุบ
เอี๊ยดมันดังอยู่อย่างนั้น
หล่อนดูทุกข์ทรมานเหลือเกินในการพยายามหยัดตัวขึ้นเพื่อจับจ้องดวงตาสีดำด้านนั้นให้สบกับเขา ร่างกายบิดเบี้ยวไม่เข้าที่เข้าทาง แต่เส้นผมที่ขดเป็นวงอยู่หน้ากระจกตัดกับชุดสีขาวเปรอะนั้นช่างเป็นภาพที่สยดสยองเกินกว่าจะเอาชนะได้
น้ำตาคลอหน่วงขึ้นมาบดบังภาพตรงหน้าให้เลือนลาง ชนกันต์ฝืนปิดเปลือกตาลง เขาไม่กล้ามอง ไม่แม้แต่จะอยากได้ยินเสียงขยับเขยื้อน
ทว่าตาของเขาถูกถ่างเอาไว้
อาจจะด้วยความหวาดกลัวทั้งหมดที่มี หรือมือเย็น ๆ ซึ่งกำลังแนบอยู่สองข้างแก้ม
“....”
เสียงแหบพร่าไม่ได้เล็ดลอดออกมานอกเหนือจากลมหายใจ
ไม่ไหวแล้วแล้วลมเย็น ๆ ก็ผะแผ่วที่ข้างใบหู
‘จำได้หรือยัง?’“กันต์!”
น้ำตาไหลอาบสองข้างแก้ม ตรงหน้าเขาคือหมออธิศที่กำลังร้องเรียกและใช้สองมือใหญ่บีบกระชับต้นแขนเพื่อเรียกสติ นายแพทย์หนุ่มดูกระวนกระวาย ครั้นสองสายตาสบกัน อธิศก็ถอนหายใจราวกับโล่งอกที่เขาไม่ได้ไหลตาย
เมื่อครู่ก็แค่ภวังค์ฝัน
แค่เรื่องโกหก หลอกลวง และเป็นสงครามประสาทโง่ ๆ
“คุณเป็นอะไร ไหวหรือเปล่า”
คนอายุมากกว่าถามด้วยความเป็นห่วง ร่างสูงทาบสัมผัสอุ่น ๆ ลงบนใบหน้า จับจ้องดวงตาแดงก่ำที่เจ้าตัวหงุดหงิดนักหนา
“หมอ...”
เสียงแหบพร่าสั่นเครือ ชนกันต์เห็นดวงตาคมปลาบของหมอไม่ชัดนัก ทุกอย่างอยู่หลังม่านน้ำตา และเขาคงจะตายได้ง่าย ๆ ถ้าหากว่ามีอะไรชัดเจนขึ้นมาหลังจากที่อธิศช่วยซับมันออกให้ ความรู้สึกของแมลงนับพันยังไม่จางหายไป มันกระจายตัว กัดกิน และหลอมร่างทั้งร่างให้หมดเรี่ยวแรงอย่างน่าขนลุก
จำได้หรือยัง?ศีรษะเล็กโคลงเคลงจนเซลงกับอกแกร่ง เสื้อของอธิศเปียกเป็นวง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยถ้าเทียบกับสิ่งที่ชนกันต์จะพูดมันหลังจากนี้
“หมอ...”
“....”
“ผม...”
“....”
“ผมฆ่าคน”“....”
“....”
“คุณพูดอะไร?”
อธิศไม่อยากเชื่อหูตัวเอง มือที่เป็นหลักให้คนตรงหน้ายังทรงตัวอยู่ได้นั้นอ่อนแรงลง หลังพูดประโยคเมื่อครู่ เด็กหนุ่มก็เอาแต่ร้องไห้จนตัวโยน ก่อนหน้านี้ในหัวมีแต่เรื่องของรามิล แต่ตอนนี้เขาแค่ต้องลูบศีรษะอีกฝ่ายไปมาทั้งที่ทุกห้วงความคิดพร้อมใจกันดีดตัวขึ้นจนวุ่นวาย ในหัวของอธิศไม่เป็นระบบระเบียบ ราวกับการสันนิษฐานทุกอย่างพังทลาย แวบหนึ่งที่เรื่องรูบิกสุ่มสีมั่วของศรัณย์เด่นชัดขึ้นมา ในหัวของจิตแพทย์หนุ่มมีแต่สีแสบสัน
“....”
ร่างทั้งร่างชาวาบไปชั่วขณะเมื่อสายตาหันไปเห็นบางอย่างนอกตัวรถ
เขาเลื่อนมือไปสับปิดที่ปัดน้ำฝน สายน้ำค่อย ๆ ไหลปิดภาพผู้หญิงชุดขาวซึ่งยืนห่างออกไปให้พร่ามัวจนกระทั่งมองไม่เห็นอะไรอีก
“บอกผมมา กันต์” เสียงทุ้มกระซิบบอกข้างหูคนในอ้อมกอด อธิศไม่รู้ว่าผลลัพธ์ในคืนนี้จะเป็นไปในทางไหน หากชนกันต์เกี่ยวข้องกับแพรพลอยจริง ทุกอย่างก็คงกระจ่างในไม่ช้า “เล่าทุกอย่างที่คุณรู้”
กดศีรษะอีกฝ่ายลงกับแผ่นอกแนบแน่นขึ้น
“ผมอยู่กับคุณ”
TBC
----------------------------------------------------
เรื่องมาเกินครึ่งทางแล้วนะคะ