Because of you ซน ตอนที่ 21 ความจริงที่เจ็บปวด
“ถ้างั้นผมเอาห้องเมื่อกี้ก็ได้ครับ” ผมบอกพี่เจ้าของหอพักก่อนจะเคลียร์ค่าจ่ายทั้งหมดกับเขา ทั้งค่าเช่าล่วงหน้า รวมถึงค่ามัดจำอีกสามเดือน หมดไปหลายหมื่น หลังจากที่รู้ว่าตัวเองสอบติดคณะวิศวกรรมศาสตร์มหาลัยที่เพิ่งไปสอบเมื่ออาทิตย์ก่อนผมก็ตัดสินใจว่าจะมาอยู่หอพัก เนื่องจากความสะดวกและขี้เกียจเดินทาง แต่ก็คิดว่าคุ้มกว่าการต้องนั่งรถเมล์ไปกลับเพราะดูท่าทางแล้วไอ้ซูคงไม่มารับมาส่งผมแหงๆ ด้วยที่มันเรียนอีกที่ซึ่งออกนอกเมืองไปยิ่งกว่าผมดังนั้นการจะหวังพึ่งน้องชายคนกลางก็ดูจะเป็นไปได้ยาก แล้วยิ่งจะร้องขอรถเหมือนที่ไอ้ซูได้ก็ดูเหมือนว่าจะยากมากกว่าเพราะต้องแลกมาด้วยเกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าสามในเทอมแรก ซึ่งบอกตามตรงแค่สอบเข้าได้ก็บุญหัวจะตายอยู่แล้วครับ ยังจะมาเอาสามนี่มันเป็นไปได้ยากสุดๆ แต่ก็ยังดีที่ม๊ากับป๊ายังมีความรักลูกคนนี้อยู่บ้างเลยเลือกที่จะให้มาอยู่หอพักแทน
ห้องที่ผมอยู่ขนาดไม่ใหญ่มากในราคา 5000 บาท เดินเข้าไปเจอเตียงคู่วางอยู่กลางห้อง เฟอร์นิเจอร์ครบทั้งแอร์ ทีวี โต๊ะอ่านหนังสือและตู้เย็น ระเบียงเล็กๆทางขวามือกับห้องน้ำขนาดใหญ่ผมคิดว่าสำหรับผมเท่านี้ก็ถือว่าโอเคและ ที่เหลือก็ไปขนพวกผ้าห่มผ้าขนหนูผ้าปูที่นอนมาจากที่บ้าน ก็สามารถวางรากฐานชีวิตได้เลย
“สรุปว่าเอาที่นี้” ไอ้ซูโผล่หน้าเข้ามาถามพร้อมกับขยับนั่งลงเล่นกับแมวเจ้าของหอพัก ผมพยักหน้าบอกมันแทนคำตอบ
“พี่ชื่อพี่นางนะคะ ถ้าน้องมีปัญหาอะไรก็เรียกพี่ได้ตลอด หอพักเราห้ามนำยาเสพติดเข้ามาในหอพัก ห้ามทะเลาะและห้ามส่งเสียงดังรบกวนห้องอื่น ปกติห้องพักจะเป็นแบบเก็บเสียงอยู่แล้วถ้ามันดังเกินลิมิตจนห้องโทรมาแจ้งเราจะทัณฑ์บนไว้หนึ่งครั้งถ้ามีครั้งที่สองพี่ไล่ออกทันทีนะคะ ยังไงรบกวนเคารพกฏกติกากันด้วยเนอะ ส่วนเรื่องๆพี่ไม่ซีเรียสค่ะ” พี่นางร่ายยาวถึงกฏของหอพัก ผมพยักหน้าเข้าใจเพราะมันเป็นเรื่องปกติที่ทุกที่ต้องมีข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติตาม
“ผมสามารถเข้ามาพักได้เลยใช่ไหมครับ”
“ได้เลยค่ะ ห้องมันว่างอยู่แล้ว ยังไงก็ยินดีต้อนรับนะคะ”
“ขอบคุณมากครับพี่นาง” ผมยิ้มแล้วยกมือไหว้เจ้าของหอที่ดูท่าทางเป็นกันเอง ก่อนจะเอ่ยลาแมวขนสีน้ำตาลที่หน้าตาน่ารักกว่าอิแสนดีที่บ้านด้วยการลูบหัวมันไปทีนึง เวลาเห็นแมวที่ไรอดนึกถึงคนอีกคนที่บ้าแมวไม่ได้ทุกที ไม่รู้ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง
“ทำหน้าเหมือนปวดขี้อีกแล้ว กลับบ้านไปเอาของกัน” ไอ้ซูคว้าคอผมไปกอดแล้วดันไหล่ออกจากหอพัก ช่วงนี้ก็มีแต่มันนี่แหละที่คอยดูและตลอด
หลังจากที่พูดคุยรายละเอียดกันเสร็จไอ้ซูก็พาผมไปขนของจากที่บ้าน ก่อนจะแวะที่โลตัสเพื่อซื้อพวกผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน ไมโครเวฟที่เด็กหออย่างผมจำเป็นจะต้องมี รวมถึงพวกของกินและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ หนึ่งวันหมดไปกับการซื้อของและจัดของเข้าห้อง เวลาที่งานยุ่งมากๆมันดีก็ตรงที่ผมไม่มีเวลาไปคิดถึงเรื่องอื่น
“เฮ้อออออ เสร็จสักที” ผมล้มตัวลงบนกลุ่มหมอนที่วางระเกะระกะอยู่บนที่นอน ซูมันเข้าใจผมที่ผมซื้อหมอนหลายใบ เพราะที่นอนมันกว้างไปเลยต้องหาหมอนมานอนเป็นเพื่อน ตรงขวามือทางออกไประเบียงผมเอาพรมมาปูกับโต๊ะญี่ปุ่นเพื่อไว้นั่งกินข้าว ใกล้ๆกันมีโต๊ะอ่านหนังสือที่ทางหอพักเตรียมให้ จัดไม่ยากเท่าไหร่ และมันก็ดูลงตัวมากๆถ้าอยู่กันสักสองคน แต่คนเดียวก็ได้ สบายดี
“พรุ่งนี้รายงานตัวใช่เปล่า” ซูล้มตัวลงนอนข้างผม มันเอื้อมมือข้างนึงแนบลงกับแก้มลูบเบาๆเหมือนอย่างที่มันชอบทำเวลาต้องการปลอบ
“อื้อ” ผมหลับตารับสัมผัสจากไอ้ซู ช่วงเวลาที่ยากลำบากที่ผ่านมามีก็แต่มันที่อยู่เป็นเพื่อน ซูมันอยู่กับผมแทบจะตลอดเวลาด้วยซ้ำ ขนาดตอนนอนมันยังย้ายมานอนห้องผม
“ให้นอนเป็นเพื่อนไหม”
“ไม่ต้อง”
“แล้วอยู่คนเดียวได้???” ผมลืมตามองไอ้คนที่ขึ้นชื่อว่าน้องชายก่อนจะพยักหน้าบอกมันแกนๆ
“ได้ดิ...ได้อยู่แล้ว” ช่วงหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาผมพึ่งไอ้ซูมันมามากแล้ว ทั้งปลอบ ดูแล พาไปนั่นไปนี่ ผมเองก็ไม่อยากให้น้องต้องมาห่วงผมเพราะเรื่องของผมเท่าไหร่ อาจจะใช่ว่าสองวันแรกที่เลิกกับน้องเอยผมนอนไม่หลับ ไม่กินข้าว ไม่ทำอะไรทั้งนั้น คิดตลอดเวลาว่าที่ผมบอกเลิกน้องมันถูกต้องแล้วหรือเปล่า ภาพที่เห็นน้องเอยร้องไห้บอกว่าไม่เป็นไรเอยรับได้ยังติดอยู่ในหัว แต่มาคิดแล้วคิดอีกที่ผมทำไปคงถูกที่สุดแล้วแหละเพราะคนรักกันมันไม่ควรตั้งอยู่บนความระแวง
อีกอย่างความรู้สึกผมตอนนี้มันก็ไม่ได้มีน้องเอยเหมือนแต่ก่อนแล้วด้วย ถ้าฝืนคบกันต่อไปก็รั้งแต่จะทำให้น้องเขาเจ็บเปล่าๆ เพราะงั้นการที่ผมปล่อยน้องเขาไป ก็คิดว่าน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด คงได้ภาวนาให้น้องเขาเจอคนที่ดีกว่าผม ไม่หลอกลวง หรือนอกใจเหมือนผมก็พอ
“เลิกเสียใจได้แล้วซน...” ถึงแม้ว่าผมไม่ได้รักน้องเอยแล้วแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าผมไม่เสียใจนะครับ
ผมกับเอยเราคบกันมานาน อยู่ด้วยกันตลอด มันก็เป็นธรรมดาที่อาจจะเสียใจบ้าง ยิ่งมาผสมโรงกับภาพที่เห็นไอ้น่านจูบกับพี่แอลอีก ความรู้สึกมันเลยบวกมากเกินกว่าปกติ
“กลับมาเป็นพี่ชายที่ร่าเริงเหมือนเดิมได้แล้ว” ไอ้ซูยังพูดปลอบพร้อมกับลูบหัวผมไม่ปล่อย ผมรู้นะครับว่าน้องห่วง ก็พยายามกลับมาเป็นปกติที่สุดแล้ว แต่จำไม่ได้ว่าปกติของตัวเองมันเป็นแบบไหน เพราะหลังจากที่บอกเลิกน้องผมก็ไปไม่เป็นอยู่หลายวัน เพิ่งจะมาเป็นผู้เป็นคน พูดคุยกับที่บ้านได้บ้างก็ตอนที่ผลสอบออกในอีก 1 อาทิตย์ต่อมานี่แหละ
“อืม อีกนิดนะ ขอเวลากูอีกนิด” มันคงไม่มีอะไรทำให้เจ็บไปมากกว่านี้แล้วแหละ ทั้งเลิกกับแฟน หรือรู้ตัวเองว่ารักเขาช้าไปในวันที่เขามีคนอื่นแล้ว
ยังงี้มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอวะ
เพราะคนแบบผมสมควรที่จะอยู่คนเดียวที่สุด
วันรายงานตัว
ผมมาถึงมหาลัยประมาณแปดโมงกว่า เวลารายงานตัวจริงๆคือแปดโมงครึ่ง ในคณะคราคร่ำไปด้วยเด็กปวส.ที่สอบผ่านนับรวมๆกัยแล้วก็มีไม่ถึง 50 หรอกครับ เพราะพวกปวส.ที่จะเรียนต่อเนื่องอย่างผมมีไม่มาก แถมยังต้องไปเรียนรวมกับพวกเด็กปีสามอีก แอบกลัวว่าตัวเองจะโดนไทด์เหมือนกัน เพราะพวกผมไม่ได้เรียนเหมือนพวกเด็กสายสามัญ คำนวญนี่ถือว่าน้อยมากจนเหมือนไม่ได้เรียนด้วยซ้ำ
“อ่าวมึง จันป่ะ” ผมเดินไปทักไอ้คนที่เคยสอบเลขที่ใกล้ๆผม เห็นมันกำลังทำหน้างงๆมองซ้ายมองขวาเหมือนหาอะไรสัก
“เปล่ากูอังคาร” หมายความว่าไงวะ
“มึงมีฝาแฝดเหรอ”
“ฮ่า ฮ่า มึงนี่มันตลก” ไอ้จัน(ไร)หัวเราะเสียงดัง “กูพูดเล่น นี่มึงสอบติดกับเขาด้วยเหรอวะ ไม่อยากจะเชื่อ น้ำหน้าอย่างมึง คงไม่พ้นว่าลอกกูสินะ”
ผมเอือมระอากับมันจริงๆ คิดผิดหรือคิดถูกวะที่เดินมาทักมันเนี่ย “มึงว่าวันนี้จะเสร็จกี่โมงวะ”
“ไม่รู้ว่ะคงเย็นๆมั้ง”
“อย่าเย็นมากเลยแม่ง วันนี้กูมีนัดกับสาวด้วย” ไอ้จันบ่นไม่หยุดก่อนแต่ผมก็ไม่ได้ตั้งใจฟังมันเท่าไหร่ เพราะมัวแต่สำรวจโดยรอบก่อนสายตาจะสะดุดเข้ากับร่างคุ้นตาที่เดินมาพร้อมกับเพื่อนๆมัน
“กูว่ามึ งพร้อมลงกว่าอาทิตย์ก่อนอีกนะ แดกข้าวบ้างไหมเนี่ย”
“เหรอวะ ช่วงนี้กูเบื่อๆอาหารว่ะ”
“เป็นไรวะ อย่าไปคิดมากเลย เชื่อกู”
“อืม” ผมครางตอบไอ้จันในลำคอเบาๆ สายตาก็ยังมองไปยังคนที่เดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ นานแล้วมั้งที่ไม่ได้เห็นหน้ามันชัดๆแบบนี้ วันนั้นที่อยู่ในรถก็เห็นแต่ด้านข้างไม่ได้เห็นเต็มตาเท่าวันนี้
ดูมัน...มีความสุขไม่เหลือเคล้าคนที่ทำหน้าเศร้าในคืนสุดท้ายที่เราคุยกันด้วยซ้ำ หน้าตาสดใสไม่ต่างจากรอยยิ้มที่ส่งไปให้คนที่เดินอยู่เคียงข้าง ดีแล้วที่มีความสุข....ดีแล้ว
ผมละสายตาจากพวกเขาแล้วหันมองไปที่อื่น เกลียดความรู้สึกตัวเองชะมัด เกลียดความร้อนที่กำลังไหลรวมอยู่ตรงกระบอกตา เกลียดความอึดอัดที่จุกแน่นอยู่ที่คอ เกลียดน้ำตาที่กำลังจะไหล ผมไม่เข้าใจตัวเอง ทั้งๆที่ผ่านมาก็คิดว่าตัวเองลืมได้ไม่ยากแต่ทั้งหมดที่ทำมากลับพังทลายลงเพียงเพราะเห็นหน้ามันแค่แว่บเดียว
“ซน..เขาเรียกแล้ว ขึ้นไปบนอาคารกัน” ไอ้จันพูดชวนผมแล้วผลักตัวผมให้เดินไปข้างหน้า ตอนนี้ผมไม่ต่างจากหุ่นยนต์เดินได้สักเท่าไหร่ มีแต่ร่างกาย แต่สมองและจิตใจมันไปอยู่ที่อื่น ไอ้จันพาผมมานั่งตรงที่นั่งหลังสุด แต่ถึงจะเป็นหลังสุดก็ยังเห็นอยู่ดีว่าใครยืนอยู่หน้าห้อง ความอึดอัดยิ่งเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะสายตาจากคนกลุ่มนึงที่มองมาที่ผม
“พวกเชี่ยที่อยู่หน้าห้องมันจ้องอะไรนักหนาวะ น่ารำคาญ” ไอ้จันบ่นเพราะมันเองก็คงรู้สึกถึงการโดนจ้องมาไม่ต่างจากผม “มึงรู้จักพวกมันงั้นเหรอ”
“อืม”
“สงสัยมันรอให้มึงหันไปไหว้มั้ง” ผมหันไปไหว้พวกมันตามที่ไอ้จันบอก... พี่โก้เป็นคนแรกที่ยิ้มกลับมาไม่ต่างจากพี่ป็อบที่แทบจะโบกมือให้ พี่แอลเองก็พยักหน้าให้เบาๆก่อนจะหันไปคุยกับไอ้น่านที่สะกิดให้ดูอะไรสักอย่างในมือถือต่อ
ส่วนไอ้น่านมันไม่ได้มองผมเหมือนกับคนอื่น มัวแต่สนใจมือถือกับติดพูดคุยสนุกกับพี่แอล คิดดูล่ะกันครับแม้แต่หางตามันก็ไม่คิดจะเหลียวมองมาด้วยซ้ำ
แค่คิดว่ามันเลิกใส่ใจ เลิกสนใจในตัวผม ความเจ็บปวดก็ระเบิดออกมาทันที รู้แค่ว่าผมไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว อยากเดินออกไปให้พ้นๆหน้าไอ้น่าน ผมกลัวว่ามันจะทำหน้าเอือมระอาใส่ตอนที่เห็นหน้าผม กลัวมันคิดว่าที่ผมเข้ามหาลัยนี้มาเพราะผมตามตื้อมัน
ผม...กลัวไปหมด
กลัวมากที่สุดก็คง กลัวว่ามันจะเกลียดผมแล้ว...ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ ผมคงรับมันไม่ไหว...
มึงเป็นไรวะซน...ทำไมหน้าซีด”
“เปล่า”
“มึงเปล่าได้ไง หน้ามึงไม่ได้บอกว่าเปล่าสักนิด เป็นไร...”
“จัน...กูปวดท้อง...ฮึก..” ช่วงหลังมานี้ผมมักจะมีอาการปวดท้องมาเป็นระยะๆ ไม่รู้ว่าสาเหตุมันเกิดจากอะไร อาจจะเพราะเครียดหรือไม่ก็ไม่ยอมทานข้าว แต่ที่ร้องไห้ออกมาผมไม่แน่ใจว่าเพราะปวดท้องหรือปวดอย่างอื่นกันแน่
“มึงปวดมากเลยเหรอวะ” ผมงอตัวราบกับโต๊ะแลคเชอร์
“กูทนได้”
“ทนเหี้ยอะไรล่ะ อาจารย์ครับ อาจารย์ เพื่อนผมไม่สบาย!!!!” เสียงสุดท้ายที่ได้ยินคือไอ้จันตะโกนบอกอาจารย์หน้าห้องว่าผมไม่สบาย ก่อนทุกอย่างจะดับลงไปพร้อมกับความมืด
ในความฝันผมเห็นไอ้น่านกอดผมไว้ มันเป็นคนอุ้มผมลงบนที่นอน มือเย็นๆของมันลูบหัวผมช้าๆแล้วกระซิบบอกกับผมว่ามันกลับมาแล้ว แต่ความฝันมันก็ยังคงเป็นความฝันเพราะความจริงที่ตื่นมากลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
“ตื่นสักทีสินะมึง” ไอ้จันนั่งอยู่ข้างๆเตียงยักคิ้วกวนตีนส่งมาให้ “กว่าจะตื่นได้ กูบอกมึงแล้วไม่ใช่เหรอว่ากูนัดสาวไว้”
“โทษทีว่ะ” ผมลุกขึ้นนั่งดีๆ มองสำรวจรอบกาย ก็พบว่าตัวเองอยู่ในสถานพยาบาลสักที่คิดว่าน่าจะห้องพยาบาลของมหาลัยหรือไม่ก็คณะ
“แล้วมึงโอเคแล้วใช่ไหม” ผมพยักหน้าบอกไอ้จันเป็นคำตอบ “จะกลับเลยเปล่า เดี๋ยวกูไปส่ง แต่ต้องเป็นเดี๋ยวนี้เลยนะเว้ยเพราะกูรีบ” ไอ้จันส่งกระเป๋ามาให้ผมทันที มันทำท่าจะลากผมลงจากเตียงเอาซะเดียวนี้ แต่ผมยังไม่ไหวอ่ะ อยากพักสักครู่แล้วค่อยกลับ
“มึงกลับไปก่อนเลยไม่ต้องรอ กูกลับเองได้”
“เอางั้นเหรอ??” มันพูดเหมือนไม่แน่ใจแต่กระเป๋าดันสะพายขึ้นบ่าเรียบร้อย
“เออ เอาแบบนี้แหละ”
“ถ้างั้นก็ตามใจมึง งั้นกูไปนะเจอกันเว้ย” ผมพยักหน้าให้ไอ้จันก่อนจะเอนตัวพิงกับเตียง
“เดี๋ยว” ผมรั้งไอ้จันไว้เพราะความหวังที่เกิดจากความฝันก่อนที่จะตื่นพุ่งเข้ามาในใจอดคิดไม่ได้ว่าขอให้มันเป็นความจริง “ใครพากูมาส่งที่ห้องพยาบาลวะ”
ผมยอมรับว่าตัวผมแอบหวังลึกๆว่าคนที่อุ้มผมมาพร้อมกับอ้อมกอดที่อบอุ่นจะเป็นไอ้น่าน
“จะใครวะ...ถ้าไม่ใช่กู” ไอ้จันพูดเสียงเบาหวิวก่อนจะเปิดประตูออกจากห้องพยาบาลไป เสียงมันที่เปล่งออกมาดูคล้ายๆกับสงสารหรือไม่ก็สมเพชในตัวผม
ความจริงก็ยังเป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ ทั้งๆที่มันก็อยู่ตรงหน้า แต่บางครั้งผมก็อยากติดอยู่ในความฝันมากกว่าจะตื่นมาพบกับความจริงที่กำลังตะโกนใส่หน้าว่า ต่อจากนี้ผมจะไม่มีน่านฟ้าที่คอยอยู่ข้างๆอีกแล้ว...ไม่มี
ผมออกมาจากห้องพยาบาลตอนที่ท้องฟ้ากำลังกลายเป็นสีส้ม ลมร้อนปะทะเข้าที่หน้ามันหอบเอาความชื้นของกลิ่นฝนมาด้วย ใกล้ฤดูฝนเต็มที ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะขอให้มันช่วยชะล้างเอาความเจ็บปวดให้ออกจากใจไปด้วย ผมเดินเตร็ดเตร่อยู่ใต้คณะสักพัก เด็กนักศึกษาส่วนใหญ่กลับบ้านหมดแล้ว ลานคณะเงียบเหงาไม่ต่างจากใจผมเท่าไหร่นัก
“ซน” เสียงคุ้นหูทำเอาลมหายใจสะดุด ผมตัวชาหนึบทันทีที่รู้ว่าเสียงที่อยู่ด้านหลังเป็นใคร ความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นมันทำให้เหงื่อผมซึมออกจากมือจนเหนียวไปหมด “มึง...เป็นไงบ้างวะ กูเห็นมึงล้มในห้องประชุม มึงไม่สบายเหรอ”
ผมนับ 1 ถึง 3 ในใจแล้วค่อยๆหันมามองคนข้างหลัง น่านฟ้าคนเดิมที่ปกติมักจะส่งยิ้มล้อๆมาให้ กำลังยืนเลิกคิ้วถามผม สีหน้าไม่ได้แสดงออกว่าห่วงมากเท่าไหร่นัก แววตาที่แสดงออกมาก็ไม่ได้รักและรู้สึกโหยหาเหมือนเก่า
“เปล่า...กูแค่ลืมกินข้าวน่ะ” เสียงที่พูดออกมาดูคล้ายจะฝืนเต็มที มือก็พยายามอย่างมากที่จะกอดตัวเองไว้ไม่ให้เอื้อมไปจับคนตรงหน้า
“กูก็นึกว่ามึงจะเป็นอะไรมากไหม แล้วนี่เป็นไงบ้าง สบายดีนะ”
“ก็...”
ไม่สบายนักหรอกตั้งแต่ไม่มีมึง กูกินข้าวไม่ได้ นอนก็ไม่หลับ อยากกอดมึง อยากจูบมึง อยากเอามึงมาอยู่ข้างๆเหมือนเดิม ผมกลืนคำพูดพวกนั้นลงคอ สูดหายใจลึกๆแล้วหันมายิ้มให้ไอ้น่าน “สบายดีแหละ มึงล่ะสบายดีนะ”
“ก็ดี ช่วงนี้ยุ่งมาก ทั้งเรื่องรับน้อง เรื่องยื่นขอจบ แต่อะไรๆก็ลงตัวขึ้น ยังดีที่มีแอลช่วยไม่งั้นก็คงโง่อีกนานอ่ะ” ที่น่านฟ้าพูดไม่รู้ว่าผมเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่าว่ามันกำลังหมายถึงผม ที่มันบอกว่าถ้าไม่มีพี่แอลช่วยมันก็คงยังโง่ไปอีกนาน หมายความว่าถ้ามันยังอยู่กับผมก็จะกลายเป็นคนโงงั้นเหรอ
ผมเม้มปากแน่น ก้มหน้าลงกับพื้น กลัวน้ำตาตัวเองจะไหลให้ไอ้น่านเห็น
“น่าน” ผมว่าตัวเองคงทนไม่ไหวถ้าไม่รู้ความจริงจากปากไอ้น่าน “กูถามอะไรมึงอย่างดิ”
“ว่า”
“มึงกับพี่แอลคบกันแล้วเหรอวะ” ถามไปใจก็ผมก็ลุ้นไป ไม่รู้คิดถูกแล้วหรือเปล่าที่ถามมันออกไปแบบนั้น ทั้งๆที่กลัวคำตอบมันมากที่สุด แต่ก็อยากรู้ว่าความจริงมันคืออะไร ผมจะได้เลิกหวังสักที
“มึงคิดว่าไงล่ะ”
“คบ...มั้ง”
“ก็คงเป็นอย่างที่มึงคิดนั่นแหละ” น่านฟ้าเอื้อมมือมาวางไว้บนหัวผม เสี้ยวหนึ่งของความคิดผมอยากดึงมันมากอด “กูไปแล้วนะ นัดไอ้แอลไว้ ยังไงเจอกันอีกทีเปิดเทอมละกัน”
แต่ความคิดที่อยากจะกอดก็หยุดชะงักลงเพราะน่านฟ้าไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว ความอบอุ่นสุดท้ายที่มันส่งมาให้คือการขยี้เบาๆที่หัวแบบที่มันชอบทำ ผมเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนเข้มแข็งกว่านี้ เรื่องเล็กน้อยอย่างการรักใครสักคนแล้วเขาไม่รักตอบมันคงไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ความจริงทำให้ผมรู้ว่าจริงๆแล้ว ผมอ่อนแอ
อ่อนแอมากเสียจนปล่อยให้ความเจ็บปวดเข้าครอบงำความรู้สึก
ผมทรุดนั่งลงลงกับพื้น ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาโดยไม่คิดที่จะเช็ดมันออก ในใจเอาแต่พูดกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่า ไม่ไหว....พอได้แล้วหยุดสักที
ฮึก...ผมไม่ไหวจริงๆนะครับ ฮึก....ผมอยากเลิกรักน่านฟ้าแล้ว....ไม่อยากรักมันแล้ว...
>>>>>>TBC<<<<<
ตอนนี้ไม่มีอะไรมาก แค่อยากจะบอกว่า รอตอนต่อไป หึหึ ลองเดาดู