ไปหามา....
สืบสวน และ สอบสวน
คำว่า สืบสวน ประกอบด้วยคำว่า สืบ กับคำว่า สวน. คำว่า สืบ หมายถึง เสาะหา, แสวงหา
สืบสวน หมายถึง แสวงหาข้อเท็จจริงด้วยวิธีการต่าง ๆ ส่วน สอบสวน หมายถึง หาข้อเท็จจริงด้วยการซักถา
ที่มา : บทวิทยุรายการ "รู้ รัก ภาษาไทย" ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น.
ความหมายยาวๆ ต้องดูใน ป.วิอาญา ม.2 (10) ค่ะ
ขอบคุณที่ช่วยตอบคำถามครับ ชัดแจ้งดีจริงๆ เพราะถ้าให้ผมตอบเองก็คงได้อะไรประมาณนี้ว่า
สืบสวนทำกับสิ่งต่างๆ
สอบสวนทำกับคน (สังเกตจากคำว่า สวน)
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านนะครับ และขอบคุณคนที่ซื้อหนังสือ คดีรัก 1 นะครับ เดือนนี้ขายได้ตั้งสองเล่มแล้วแน่ะ อีกไม่นานเกินรอก็คงได้เงินพอซื้ออแดปเตอร์โน๊ตบุ๊ค
คิดแล้วอยากมีแฟนรวยๆ เหมือนกับสารวัตรอธิคมของคุณนุหรือไม่ก็คุณธีรดนย์ของวิธวินท์
เพลิงรัก บทที่ 7
พันตำรวจตรีกัณต์เดินเข้ามาใน The Odyssey Fitness Center แล้วกวาดตามองไปรอบๆ วันนี้เป็นครั้งแรกที่เขาเข้ามาในยิมหรูหราซึ่งสมาชิกต้องจ่ายเกินถึงห้าหมื่นบาทในแต่ละปีเพื่อมาออกกำลังกาย แต่สำหรับเขาวันนี้เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวเพราะมั่นใจว่า ‘งาน’ ของเขาคงจะสำเร็จในวันนี้และคงไม่มีความจำเป็นที่จะกลับมาที่นี่อีกครั้ง
เมื่อคืนนี้หลังจากเข้าไปดูข้อมูลของนายแพทย์ชาลีในแฟ้มประวัติบุคคลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกำลังเตรียมตัวจะกลับบ้าน พ.ต.ต. กัณต์ได้รับมอบหมายงานทางโทรศัพท์จากผู้บังคับบัญชา นี่เป็นเหตุผลที่เขามาปรากฎตัวในฟิตเนสหรูหราแห่งนี้
...
“ผมนึกว่าจะให้มือหนึ่งของ DSI ทำ”
“ลุงไม่อยากให้เรื่องมันดัง คดีนี้ผู้ใหญ่อยากให้ทำเงียบๆ” พลตำรวจโท สิทธิชัย ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีศักดิ์เป็นญาตฝ่ายบิดาของกัณต์ตอบ “ผู้ใหญ่อยากให้เราทำ อีกอย่าง มือหนึ่งของ DSI ก็ต้องไปทำงานที่อเมริกาอาทิตย์หน้า ลุงเชื่อมือกัณต์ ลุงต้องการให้คดีนี้จบลงเร็วๆ”
“คุณลุงจะให้ผมทำคนเดียว” กัณต์ถาม
“จะเอาใครในทีมสารวัตรผไทไปช่วยด้วยก็ได้ แต่คดีนี้ต้องทำให้เงียบๆ คุณชายรังสิมันต์กับดอกเตอร์ศิริศักดิ์นั่นไม่หมู กัณต์เป็นมือหนึ่งของลุง ไม่มีใครเหมาะสำหรับงานนี้เท่ากัณต์อีกแล้ว พยายามเข้าให้ถึงตัวคุณชาย”
...ทางเข้าถึงตัวของหม่อมราชวงศ์รังสิมันต์ของเขาคือผ่านทางหม่อมหลวงชายชล ลูกชายคนโปรดของท่านชายรังสิมันต์...
...และหากเข้าถึงตัวหม่อมราชวงศ์รังสิมันต์ เขาก็อาจได้ข้อมูลเกี่ยวกับเพชรสีขาว 50 กะรัตซึ่งหายไปจากตู้เซฟของ อาเหม็ด ชาฟาล เจ้าหน้ากุงศลอาวุโสของสถานทูตซีเรียซึ่งถูกฆาตรกรรมเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา...
ชายชลเป็นหนุ่มสังคมที่เพิ่งเรียนจบจากอังกฤษและดูแลบริษัท Eternity ซึ่งเป็นบริษัทหนึ่งของหม่อมราชวงศ์รังสิมันต์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเพชรพลอย ชายหนุ่มศึกษาชั้นมัธยมในโรงเรียนนานาชาติและมักจับกลุ่มกับลูกๆ ของนักการทูตที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย
หม่อมหลวงชายชลจ้องมองชายหนุ่มที่กำลังยกน้ำหนักอยู่มุมห้องด้วยความสนใจ ชายหนุ่มหน้าใหม่รูปร่างหน้าตาดีคนนี้เขาไม่เคยเห็นหน้า ถามใครก็ไม่มีคนรู้จัก ผู้ชายมาดแมนรูปร่างสูงมาก ไม่ต่ำกว่า 185 เซ็นติเมตร ใบหน้าคร้ามคม ผิวเข้ม ผมตัดสั้น บุคลิกดี ดึงดูดความสนใจของเขาจนไม่อยากทำอะไรนอกจากนั่งมอง
ชายชลคิดหาวิธีทำความรู้จัก ทันใดก็นึกออก ในยิมแบบนี้ไม่มีวิธีไหนจะเหมาะไปกว่าแกล้งยกดัมเบลล์แล้วทำท่าจะหลุดจากมือเพราะยกไม่ไหว แล้วชายหนุ่มกล้ามแกร่งคนนั้นก็คงรีบเข้ามาช่วย คิดได้ดังนั้น ชายชลจึงเอนตัวนอนลงกับเบาะ หยิบดัมเบลล์ข้างละ 30 ปอนด์ขึ้นมาแล้วดันขึ้นพร้อมๆ กัน ส่งเสียงนิดหน่อยเพื่อนให้คนอยู่ข้างๆ หันมามอง
ได้ผล หน่มหล่อมาดแมนปรายตามามองแวบหนึ่งแล้วหันไปยกน้ำหนักของตัวเองต่อก่อนจะวางดัมเบลล์ขนาดใหญ่ลง
...ตอนนี้ล่ะ ต้องกางแขนออกกว้างๆ ทำเป็นว่าดัมเบลล์จะหลุดมือหล่นลงพื้นแล้วอัศวินขี่ม้าขาวก็จะเข้ามาช่วย...
ดัมเบลล์ที่ชายชลยักอยู่เริ่มจะรู้สึกหนักขึ้นมาจริงๆ เพราะเวลาผ่านไปกว่าครึ่งนาที ชายหนุ่มกัดฟัน พ่นลมหายใจแล้วดันน้ำหนักขึ้น จากนั้นทำท่าจะรับน้ำหนักไม่ไหว แขนสั่นแล้วเริ่มโอนเอน
“โอ๊ย...” ชายชลร้องเบาๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจ หางตาด้านขวาพลันเห็นมีชายหนุ่มหน้าจืดตาตี่คนนึ่งยืนจดๆ จ้องๆ เหมือนจะเข้ามาช่วย หม่อมหลวงหนุ่มได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้หนุ่มคนนี้เข้ามาหาเลย หนุ่มห้าวมาดแมนคนนั้นต่างหากที่เขาต้องการ
โชคเข้าข้าง ชายหนุ่มที่ชายชลหมายตาไว้หันมาเห็นแล้วรีบขยับเข้ามาช่วยเขาทันที มือแข็งแรงแตะที่ข้อมือของราชนิกูลหนุ่มแล้วดันให้ตั้งตรงนิ่ง พลางก้มหน้าลงถามว่า
“ไหวไหมครับ ถ้าไม่ไหวผมจะยกออกให้นะครับ” เสียงห้าวทุ้ม ลมหายใจมีกลิ่นมินต์อ่อนๆ แทบจะทำให้ชายชลละลาย
หม่อมหลวงหนุ่มพยักหน้าแล้วพยายามดันดัมเบลล์ขึ้น ชายหนุ่มที่เข้ามาช่วยเลื่อนมือลงมาตามท่อนแขนของชายชลเพื่อนมาดันใต้ศอกและช่วยหนุนเอาไว้ สัมผัสแผ่วเบาทำให้คนที่กำลังยกน้ำหนักรู้สึกวูบวาบเหมือนโดนนายด้วยเหล็กเผาไฟ ลมหายใจอุ่นๆ เหนือศีรษะของเขาทำให้ชายชลหมดแรงทันที แขนอ่อนปวกเปียก
กันต์รีบละมือไปยกดัมเบลล์ทั้งสองข้างออกจากมือของชายชลซึ่งท่าทางจะยกไม่ไหว นายตำรวจหนุ่มอมยิ้มแล้ววางดัมเบลล์ลงกับพื้น จากนั้นก็รอจังหวะแนะนำตัว
“ขอบคุณครับ” ชายชลยังนอนแผ่หราอยู่บนม้ายกน้ำหนัก ทำปากห่อและสูดอากาศเข้าปอดแรงๆ ตามองต้นขากำยำของชายหนุ่มที่ยืนเด่นอยู่เหนือศีรษะเขา
“คุณยกหนักเกินไป ยกแค่สองครั้งก็ไม่ไหวแล้ว ผมว่าลดลงาเหลือลูก 20 ปอนด์ดีกว่านะครับ แล้วท่ายกไม่ถูก” กัณต์พูดยิ้มๆ ยืนเท้าสะเอวก้มหน้าลงมองชายชล ขากางออกเล็กน้อย จงใจอวดร่างกายเต็มที่
...งานนี้หมูกว่าที่คิด ไม่ผิดจากที่เดาเอาไว้เลยซักนิด ชายชลหลงเสน่ห์เขาตั้งแต่ยังไม่ได้เข้ามาทำความรู้จักด้วยซ้ำ...
แรกที่เห็นในรูปภาพและจากที่ได้เรื่องเกี่ยวกับหนุ่มไฮโซคนนี้นั้นกัณต์ยังไม่แน่ใจในตัวชายชลเท่าใดนัก แต่ความสงสัยเพียงน้อยนิดก็กระจ่างเมื่อเห็นชายหนุ่มเดิมเข้ามาในสถานที่ออกกำลังกายชั้นนำกลางกรุง สายตาวิบวับของชายหนุ่มที่มองไปรอบๆ และหยุดอยู่ที่เขาทำให้กัณต์รู้ทันทีว่า ‘งาน’ ของเขาคง ‘ง่าย’ ขึ้นอีกเยอะ และโชคก็เข้าข้างเขาแล้ว
พันตำรวจตรีกันต์ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงช่วยแนะนำชายชลออกกำลังกาย เพียงเท่านั้นชายหนุ่มก็ทำตัวสนิทสนมราวรู้จักกับเขามาเป็นเดือนๆ และตามมาด้วยการชวนไปทานข้าว
“ร้านเพื่อนชายเองครับ it’s the best ever ที่หลังสวน มี personal parking spot ด้วยนะครับ ทานข้าวเสร็จ ถ้ายังไม่อยากกลับบ้าน เราก็ไปหาอะไรดื่มกัน”
“ผมไม่ได้เอารถมา คงไม่สะดวก” กัณต์พูดยิ้มๆ
“No worry ชายไปส่ง บ้านอยู่ไหน ชายไม่เกี่ยง” ชายชลยิ้มกว้าง ยื่นมือไปแตะต้นแขนของกัณต์อย่างหลงไหล
นายแพทย์ชาลีจอดรถริมถนนและหันไปบอก ‘น้องชายคนใหม่’ ให้นั่งคอยอยู่ในรถเพราะเขาจะเข้าไปในผับเพื่อตามตัวนายแพทย์เอกภพ โรงพยาบาลพยามติดต่อเอกภพเพราะมีคนไข้ฉุกเฉินแต่ติดต่อไม่ได้ พยาบาลประจำวอร์ดซึ่งรู้จักกันดีจึงติดต่อเขาเพื่อขอความช่วยเหลือเพราะรู้ว่าเอกภพกับเขาสนิทกัน ชาลีรู้ว่าเอกภพมานั่งดื่มกับเพื่อนในผับ High Degree โชคดีเป็นทางผ่านเขาจึงใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีก็มาถึง
“ล๊อครถนะ นั่งอยู่ตรงนี้ อย่าไปไหน อย่าเปิดรถให้ใคร” ชาลีหันไปสั่งนาวินจนอีก่ายทำหน้ามุ่ย
“พี่หมอ ผมโตเป็นหนุ่มแล้ว ไม่ใช่เด็ก พี่รีบไปเถอะ”
ชาลีถอนหายใจแล้วรีบวิ่งข้ามถนน อดยิ้มขำตัวเองไม่ได้ว่าเขาก็ยังมองว่านาวินเป็นเด็กอยู่ร่ำไป รู้สึกว่าเหมือนเห็นน้องชายตัวเล็กๆ
เมื่อก้าวขึ้นเหยียบฟุตบาธของถนน นายแพทย์หนุ่มก็ชะงักเมื่อเห็น ‘คู่ปรับเก่า’ เดินเคียงคู่มากับชายหนุ่มวัยรุ่นหน้าตาดีที่ยิ้มกว้างตาหยีราวกับว่ากำลังมีความสุขยิ่งนัก
...ไหนว่าเราเลี้ยงต้อย นิยมเด็ก ตัวเองก็ไม่ต่างกัน เด็กคนนี้บรรลุนิติภาวะหรือยังก็ไม่รู้ จะว่าไป ช่องว่างระหว่างวัยอาจมากกว่าเรากับนาวินด้วยซ้ำไปเพราะกัณต์คงอายุมากกว่าเขาตั้งหลายปี...
ชาลีนึกหมั่นใส้นายตำรวจปากร้ายขึ้นมาทันทีจึงเดินเฉียดเข้าไปใกล้ๆ แล้วทักทายเสียงเรียบๆ ก่อนจะรีบเดินหนีไป
“สวัสดีครับหมวด”
กัณต์สะดุ้งที่จู่ๆ ก็มีคนมากล่าวทักทายใกล้หู เขาหันขวับทันทีเพราะจำเสียงใด้ ทว่า คนที่ทักทายเขารีบเดินไปเสียแล้ว แต่กัณต์ก็ทันได้เห็นรอยยิ้มเยาะๆ ที่มุมปากของฝ่ายนั้น
...หมอชาลี มาทำอะไรที่นี่ ทักแล้วรีบเดินหายเข้าไปในผับ...
“ใครครับ” หม่อมหลวงชายชลถาม “So weird แล้วทำไมเรียกคุณว่าหมวด แสดงว่าคุณเป็น”
กัณต์ยิ้ม ยืนนิ่งไม่ตอบอะไร มองประกายตาชองชายหนุ่มตรงหน้าที่ฉายวาบขึ้นด้วยความพึงพอใจ
“Oh my gosh คุณเป็นตำรวจก็ไม่บอก unbelievable ไม่น่าเชื่อ fantastic ที่สุดเลย ชายรู้จักกับผู้ชายในเครื่อง เท่ที่สุด a man in uniform ชายคลั่งคนในเครื่องแบบมากถึงมากที่สุดเลยรู้ไหมครับ so sexy” ชายชลทำเสียงตื่นเต้น ทำท่าเหมือยอยากจะกระโดดกอด ‘คนในเครื่องแบบ’ ที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ “ทำไมไม่บอกชายว่าเป็นตำรวจ”
“ก็คุณชายไม่ได้ถาม” กัณต์ยิ้มแล้วหันไปมองประตูผับ High Degree แล้วหันมาถามชายชล “อยากดื่มอะไรไหมครับ ผมว่าเราไปหาอะไรดื่มกันดีกว่า”
“No no no ไม่เข้า High Degree เด็ดขาด ผับนี้ so yesterday มีแต่คนแก่ น่าเบื่อ ไปที่อื่นนะครับ ชายรู้จักดี” ชายชลทำท่าขนลุกราวกับเห็นอะไรน่าเกลียดน่ากลัว “ไป Berserk ดีกว่า มันส์กว่าเยอะ เดี๋ยวชายแนะนำให้รู้จักเพื่อนๆ คราวนี้ล่ะพวกนั้นต้องรู้สึก green with envy ที่ชายรู้จักกับ a law enforcement officer แล้วถ้าคุณไม่จุใจ วันเสาร์เราค่อยไปที่ The Dazzle ชายอยากเป็น the spot light guy คืนวันเสาร์ที่คลับจะส่องสปอต์ไลท์หาแขกที่เท่ที่สุดแล้ว project รูปขึ้นจอ ตื่นเต้นสุดๆ ชายกับเพื่อนเกือบจะฆ่ากันเพื่อวิ่งไล่ตามสปอต์ไลท์เลยล่ะ”
กัณต์พยักหน้าแล้วถามที่ตั้งของสถานที่เที่ยวที่โปรดของชายชล แต่ครั้นทราบว่าอยู่ค่อนข้างไกลจากที่นี่จึงทำหน้ากังวลแล้วพูดว่า “ผมคงไม่ไหว กว่าจะกลับถึงบ้านคงดึก พรุ่งนี้ผมต้องเข้าเวรตีสี่”
“โอ้โห so early ทำไมต้องเช้าขนาดนั้นครบ ตีสี่ ชายเพิ่ง go to bed” หม่อมหลวงชายชลทำตาโต
“ผมเป็นตำรวจนะครับ ต้องทำงาน ไม่ใช่คุณชาย” กัณต์ยิ้มกว้าง อดพูดกระทบไฮโซหนุ่มไม่ได้
“ชายก็ทำงาน แต่ชายไปทำงานตอนไหนก็ได้ no big deal” ชายชลหัวเราะร่วน
“แล้วตอนนี้ผมก็ทำคดีสำคัญอยู่ แทบไม่ได้พัก คดีฆาตรกรรมผู้ช่วยกงศุลซีเรีย เคยได้ยินข่าวไหมครับ” กัณต์ลองถามเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับคดี
“Oh yes เคยสิครับ คุณพ่อรู้จักกันดี เคยทำธุรกิจด้วยกัน นี่ท่านพ่อยังบ่นอยู่เลยว่าน่าเสียดายและโหดร้ายมาก so cruel, so useless ไม่น่าเชื่อ เพราเรื่องเงินตัวเดียวแท้ กะอีแค่เพชรแค่ห้าสิบกะรัต” ชายชลพูดไปพลางทำสีหน้าแสดงความรู้สึกประกอบคำพูดทุกคำ
กัณต์เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจที่ชายชลทำเหมือนรู้เรื่องดี ความจริงแล้วเขาตั้งใจจะตีสนิทกับชายชลเพียงแค่จะหาทางเข้าไปทำความรู้จักกับท่านชายรังสิมันต์ แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าหม่อมหลวงหนุ่มดูจะรู้อะไรดีๆ อยู่ไม่น้อยและสำคัญเป็นคน ‘ช่างพูด’
กันต์กำลังจะอ้าปากถามต่อแต่เหลือบตามองไปเห็นหมอชาลีเดินออกมาจากผับพร้อมกับชายหนุ่มหน้าตาดีรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง หน้าตาดูคุ้นๆ แต่เขานึกไม่ออกว่าเคยพบที่ไหน
...ใคร แฟนก็ไม่น่าจะใช่ ชายหนุ่มสวมแว่น ท่าทางติ๋มๆ เหมือนผู้ตาม...
...หรือจะเป็นแฟน...
...แต่ก็อย่างว่า คนกร้าวๆ ร้ายๆ อย่างหมอชาลีก็ต้องหาแฟนที่เป็นช้างเท้าหลัง ลองได้คนที่กร้าวแกร่งพอๆ กันหรือเหนือกว่าคงต้องข่มกันแบบไม่มีใครยอมใคร คนลักษณะอย่างเขาก็ไม่เหมาะ เห็นไหมล่ะ เจอกันทีไรต้องข่มกันทุกที...
ชาลีหันไปมองเอกภพที่เดินตามหลังมาช้าๆ แล้วเร่งเพื่อนด้วยสายตา เอกภพมองแวบเดียวก็เข้าใจเพราะสายตาแบบนี้ชาลีทำบ่อยๆ เมื่อใครทำอะไรไม่ทันใจ
“จะรีบไปไหนเล่า อาการหนักมากนักหรือไง” เอกภพบ่นพร้อมกับก้าวขาให้ยาวขึ้น แต่ก็ยังเดินไม่ทันชาลีอยู่ดี
“ไม่ห่วงตุ๊กตาตัวน้อยหรือเอก ช้าอยู่ได้ รีบๆ ไปนะ อย่าขับรถเร็วล่ะ ขับดีๆ ระมัดระวัง” ชาลีสั่ง
“บอกให้รีบ แต่ให้ขับรถช้าๆ ยังไงกัน” เอกภพโคลงศีรษะ
“เถอะ รีบๆ ไป” ชาลียกมือขึ้นจะดึงแขนเพื่อนให้เดินเร็วขึ้นกว่าเดิม แต่ก็เปลี่ยนใจลดมือลงทันใด เอกภพเดินก้มหน้าไปที่รถโดยมีชาลีเดินไปส่งพลางปรายตาไปมองกัณต์ที่เดินคู่มากับเด็กหนุ่มหน้าใสคนนั้น นายแพทย์หนุ่มยิ้มมุมปากให้ ‘คู่ปรับ’ แบบที่มีแต่เขากับกัณต์เท่านั้นที่จะเข้าใจ
...หลอกเด็กสิท่า ว่าแต่เรา ตัวเองก็ไม่ต่างกัน...
เอกภพปิดประตูรถแล้วเคลื่อนรถออกไปช้าๆ ชาลียกมือขึ้นโบกอำลาและรอจนเอกภพขับรถไปจนลับสายตาแล้วจึงหันกลับเดินย้อนไปทางรถขอตัวเองซึ่งจอดไว้อีกฟากของถนน
เมื่อสวนทางกับพันตำรวจตรีกัณต์ เวโรจน์ คราวนี้เขาทักนายตำรวจยาวกว่าเดิม
“พาน้องมาเที่ยวหรือจะพาน้องกลับบ้านนอนหรือหมวด เสียดาย ถ้ารู้ว่าหมวดมาผมจะเลี้ยงเหล้าซักแก้ว” ชาลีทัก จงใจลดยศของกัณต์ลงมาพรวดพราดเช่นเคย คราวนี้กันต์ไม่แก้ยศของตัวเองให้ถูกต้อง หากยิ้มให้อีกฝ่ายบางๆ แล้วกัดฟันเดินผ่านไป
“หยิ่ง” ชาลีพึมพำแล้วรีบข้ามถนน ไม่รู้ว่าคนที่โดนลดยศนั้นมองตามเพราะได้ยินคำพูดคำเดียวนั้นอย่างชัดเจน
“เพื่อนหรือครับหมวด so weird again ทำไมเขาทักแค่นั้นแล้วก็เดินไปเลย คุยแค่ประโยคเดียว หรือว่าเพื่อนไม่สนิท หรือว่าที่จริงเขาไม่ได้ยากจะทักแต่ก็ต้องักเพราะเจอหน้ากันแบบเลี่ยงไม่ได้” ชายชลถามเสียงเจื้อยแจ้วก่อนจะทำตาโต “โอ้ว ชายรู้แล้ว เขาคงคิดว่าชายเป็นน้องชายสารวัตรแน่ๆ เลย so funny ตลกจริงๆ นี่ยังไม่สามทุ่มเลย จะให้พาน้องกลับบ้านนอนซะแล้ว อืม ถ้าหมวดง่วงชายก็อยากจะนอนตอนนี้ก็ได้นะครับ แต่ว่าชายก็ยังนอนไม่ได้เพราะว่า the night is still young” เช่นเคย ชายชลหัวเราะอย่างร่าเริง แต่คราวนี้ยื่นมือจับแขนกัณต์แล้วดึงให้เดินตาม
“Let’s go”
กัณต์ค่อยๆ ชักมือออกอย่างสุภาพแล้วทำท่าล้วงกระเป๋าหาโทรศัพท์เพราะไม่อยากเป็นเป้าสายตาใคร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายแพทย์ปากร้ายผู้ดื้อรั้นคนนั้นซึ่งทำท่าหมั่นใส้เขาเสียเต็มประดา ทำยังกับว่าเขามาหลอกเด็กแถวหน้าผับซอยหลังสวน
....ตัวเองก็ใช่ย่อย ดูซิ เด็กหนุ่มลูกครึ่งหน้าหล่อคนเดิมนั่งคอยอยู่ในรถทั้งๆ ที่เมื่อครู่เดินออกมาจากผับกับหนุ่มแล้วรีบดันให้หนุ่มหน้าจืดคนนั้นขึ้นรถขับออกไป...
Lexus RX330 สีดำขับผ่านหน้ากัณต์กับชายชลไปโดยเร็ว แต่สายตาตำรวจของกัณต์ทำงานอย่างรวดเร็วมากจึงทันได้สบตาแวบเดียวกับแพทย์ชาลีซึ่งลดกระจกรถลงเมื่อขับรถผ่านไป
...“พาน้องมาเที่ยวหรือจะพาน้องกลับบ้านนอนหรือหมวด เสียดาย ถ้ารู้ว่าหมวดมาผมจะเลี้ยงเหล้าซักแก้ว”...
...พูดออกมาได้ เจ็บใจนัก หมอชาลี คอยดูเถอะ เจออีกที ผมจะให้คุณเลี้ยงเหล้าให้ได้ และจะเอายศผมคืนมาสองขั้น เป็นถึงสารวัตร ถูกลดลงมาเหลือแค่หมวด แล้วนี่เป็นหมวดร้อยตำรวจตรีหรือร้อยตำรวจโทก็ไม่รู้...
***7***
เพลิงรักบทที่ 8
สายตาของ พ.ต.ต. กัณต์จับอยู่ที่ร่างปราดเปรียวของนายแพทย์ชาลีที่วิ่งเหยาะๆ ขึ้นบันไดของสถานีตำรวจ เขาถอนหายใจเบาๆ และเผลอยิ้มมุมปากออกมาเมื่อนึกถึงเมื่อเช้านี้ เขาโทรศัพท์ไปย้ำกับชาลีว่าให้มาถึงเร็วกว่าที่นัดเอาไว้ครึ่งชั่วโมงเพราะต้องเข้าประชุม ชาลียังพยายามต่อรองเรื่องเวลาแต่เขาไม่ยอม
“ผมอยากปิดคดีให้ได้โดยเร็วที่สุด แล้วการชี้ตัวก็ใช้เวลาเดี๋ยวเดียว ไม่เสียเวลาคุณหมอเท่าไหร่หรอก มีเวลาไปหาเด็กถมเถ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเลิกเรียนไม่ใช่หรือครับ” กัณต์ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมจึงประชดชาลี แต่จำได้ว่านายแพทย์หนุ่มตัดสายทิ้งทันทีที่เขาพูดจบ ตอนแรกเขาคิดว่าจะโทรกลับไปย้ำอีกแต่ก็เปลี่ยนใจ ขอลุ้นว่าชาลีจะ ‘โผล่’ มาตามเวลาหรือเปล่า
>>>> ต่อไปก็จะเป็นบทที่ 11 นะครับ เพราะเอาบทที่ 6-7 ที่ค้างไว้มาโพสแล้ว จากนั้นก็ต่กลับไปต่อบทที่ 8 9 10 ซึ่งโพสไปแล้ว คราวนี้ก้บทที่ 11ต่อไปจนจบบทที่ 99 (มั๊ง)
โพสกระโดดไปกระโดดมา ง๊ง งง
(อยากลองอ่านบทข้ามบทแบบนี้อีกทีไหมครับ) อิ อิ
ป.ล. อดีตของหมอชาลีไม่น่ารู้นักหรอก (เพราะรู้แล้วจะหนาว)