เข้าใจชาลีจริงๆ เลยอะ เรื่องห่วงลูกห่วงหลาน แต่สุดท้าย ก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า.."สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ทุกคนมีกรรมเป็นทางเดินของตัวเอง สุดแท้แต่กรรมจะพาไปไหน หน้าที่ของเราทำได้ดีที่สุดแค่ อยุ่ข้างๆ เวลาที่ลูกหลานทุกข์ใจ"
ขอบคุณครับ เจ๊สองทำให้ผมเกือบปลงได้เลยนะเนี่ย
บทที่ 10 มาแล้วครับ (โทษทีช้าหน่อยนะคร้าบ ช่วงนี้งานรัดตัวสุดๆ แล้วก็บทที่ 6-7 จะพิมพ์ใหม่แล้วมาโพสให้ครับ จะรอให้เครื่องโน๊ตบุ๊คหายป่วยก็คงอีกนาน เพราะราคาอเแดปเตอร์มันแพงมากๆ ต้องเก็บเงินอีกนานกว่าจะมีปัญญาซื้อ)
เพลิงรัก บทที่ 10
ชาลีหยุดยืนอยู่ที่หน้าสถานีตำรวจชั่วครู่แล้วเดินขึ้นบันไดช้าๆ ในใจอดลังเลไม่ได้แม้จะคิดไตรตรองมาแล้วเป็นอย่างดีถึงสามวัน แต่เมื่อเดินเข้าไปในห้องโถงบนชั้นสองของสถานีตำรวจก็สลัดความคิดลังเลออกจากหัวได้ เหลือเพียงความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะสารวัตรกัณต์
ชาลีบอกตัวเองว่าเพราะกัณต์ทำตัวหน้าหมั่นใส้เลยต้องได้รับบทเรียน และเขาต้องการทดสอบดูว่าตัวเองจะหว่านเสน่ห์ทำให้กัณต์หลงรักได้หรือไม่
...จากนั้นเขาจะทิ้งกัณต์อย่างเลือดเย็น...
...อย่างที่บอก ความสัมพันธ์แต่ละครั้งที่เคยเกิดขึ้นหลังจากที่เขากลายมาเป็นนายแพทย์ชาลีคนใหม่นั้นมันน่าเบื่อเพราะคนที่เขาคบด้วยบอกรักเขาง่ายเกินไป คราวนี้เจออะไรที่ท้าท้าย ท่าทางกัณต์ไม่น่าจะเป็นคนที่บอกรักใครง่ายๆ และดูเหมือนว่าไม่ใช่คนประเภทที่จะเชื่อในความรักเท่าไหร่ ถ้าทำได้ ก็เรียกได้ว่าเป็นผลงานชิ้นโบว์แดง เป็นมาสเตอร์พีซ เป็นชัยชนะระดับเหรียญทองโอลิมปิกส์...
...แต่งานนี้ต้องวางแผนให้ดี และทุกอย่างต้องจบลงภายในสามเดือน...
วันนี้ชาลีตัดสินใจบุกเข้ากัณต์ถึงสถานีตำรวจเพื่อเป็นการ ‘เปิดศึก’ อย่างเป็นทางการ นี่เป็นยกแรกของการ ‘จัดการ’ กับนายตำรวจมาดกวนคนนี้ สารวัตรหนุ่มดูตกใจพอสมควรที่เห็นหน้าเขา
“ผมมาแจ้งความ" ชาลีพูดขึ้นมา หน้าตาขึงขัง "มีคนทุบกระจกรถผม ขโมยเอาคอมพิวเตอร์ไป นี่จอดไว้ห่างจากโรงพักแค่ร้อยกว่าเมตรยังมีโจรผู้ร้าย บ้านเมืองนี้ไม่ปลอดภัยเลยจริงๆ ตำรวจทำอะไรกันอยู่ไม่ทราบ"
กัณต์ทำหน้าเคร่งขรึม พยายามทำใจเย็น ไม่ต่อปากต่อคำกับคนที่กำลังอารมณ์เสีย นายตำรวจหนุุ่มผายมือไปทางด้านขวาแล้วบอกนายแพทย์อารมณ์ร้อนว่าต้องไปแจ้งความที่ร้อยเวร
“แสดงว่าคุณจะไม่รับผิดชอบ" ชาลีพูดขึ้น
“จะให้ผมซื้อคอมพิวเตอร์แทนหรือครับ หรือจ่ายค่าซ่อมกระจกรถคุณ ถ้าต้องรับผิดชอบทั้งสองอย่างผมคงต้องเสียเงินเป็นแสน ตำรวจอย่างผมไม่มีเงินพอหรอกคุณ" กัณต์ตอบ "ตำรวจจะตามจับตัวคนร้ายให้ แต่ก่อนอื่นคุณต้องแจ้งความเสียก่อน"
“ผมก็กำลังทำอยู่นี่ไง" ชาลีพูดเสียงห้วน
“ผมเป็นสารวัตรครับ ยศผมคือพันตำรวจตรี ประชาชนแจ้งความกับร้อยเวร ไม่ใช่สารวัตรสืบสวนสอบสวน" กัณต์เดินนำแล้วหันหน้ามาเลิกคิ้วสื่อสารให้ชาลีเดินตาม "เชิญทางนี้คับ ผมจะไปส่งให้ถึงโต๊ะร้อยเวร"
“นึกว่าคุณจะช่วยให้เป็นกรณีพิเศษซักหน่อย อย่างน้อยก็คนรู้จักกัน" ชาลีเดินผ่านกัณต์ พึมพำเสียงเบา แกล้งทำหน้าน้อยใจให้นายตำรวจเห็น แล้วเร่งฝีเท้าเดินตรงไปยังโต๊ะร้อยเวรซึ่งอยู่ด้านหน้า ส่วนในใจก็คิดว่า
...คอยดูนะ จะปั่นหัวกัณต์ให้เสียศูนย์ไปเลย คิดว่าแน่นักหรือ...
ขณะที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะร้อยเวรรอร้อยตำรวจตรีคนใหม่พิมพ์ใบแจ้งความ ชาลีนั่งนิ่งเงียบ ทำทีไม่สนใจว่ากัณต์ยืนกอดอกอยู่ข้างโต๊ะ จนกระทั่งร้อยเวรขอให้ชาลีทวนเบอร์โทรศัพท์ กัณต์จึงพูดขึ้นว่า
“ลงไปดูรถให้คุณเขาด้วยนะหมวด จอดอยู่ไม่ไกล"
“ไม่ต้องครับ แค่ได้ใบแจ้งความก็พอแล้ว ยังไงตำรวจก็คงจับคนร้ายให้ผมไม่ได้หรอก" ชาลียักไหล่ "แค่กระจกแตก ประกันผมเขาซ่อมให้ ส่วนคอมพิวเตอร์ ผมจะให้แฟนซื้อให้เป็นของขวัญปีใหม่ก็ได้"
“แฟนรวย" กัณต์พูดเสียงค่อยแล้วหัวเราะเบาๆ ในลำคอ "เป็นนักศึกษาแต่มีเงินซื้อของแพงๆ วัยรุ่นสมัยนี้นี่นะ"
“แฟนผมเป็นหมอครับ" ชาลีเงยหน้าขึ้นยิ้มเยือกเย็นให้กัณต์ "แต่กิ๊กเป็นนักศึกษา"
ร้อยเวรที่กำลังก้มหน้าพิมพ์บันทึกประจำวันกลั้นหัวเราะไม่ไหวจึงส่งเสียงออกมาเบาๆ กัณต์หันไปทำหน้าดุแล้วเร่งให้ทำงานให้เสร็จเร็วๆ จากนั้นจึงบอกว่าไม่ต้องไปดูรถให้ชาลีแล้ว
“ผมจะลงไปดูให้เอง" กัณต์พูด
“ไม่ต้องหรอกครับ" ชาลีปฏิเสธ
“ผมเป็นตำรวจ นี่มาเกิดเหตุให้ท้องที่ของผม ใกล้โรงพักซะด้วย ผมยอมไม่ได้ ยังไงๆ ผมจะลากคอไอ้โจรกระจอกคนนี้มารับโทษให้ได้"
ชาลีเม้มปาก ในใจคิดหาทางออกอย่างรวดเร็ว ตอนแรกเขาตั้งใจจะทุบกระจกรถของตัวเองจริงๆ แต่เกิดเสียดายและไม่อยาก 'ลงทุน' มากจนเกินไป
“ผมเรียกอู่มาแล้ว" ชาลีทำหน้านิ่งเรียบพลางยื่นมือไปรับบันทึกใบแจ้งความจากร้อยเวรด้วยท่าทางใจเย็นแล้วลุกขึ้นเดินออกไปจากด้านหน้าสถานีตำรวจช้าๆ โดยไม่กล่าวลากัณต์สักนิด
“เดี๋ยวเรื่องนี้ผมจัดการให้" กัณต์เดินตามมา
“ขอบคุณครับ" ชาลีตอบโดยไม่มองหน้าอีกฝ่าย นายแพทย์หนุ่มหันซ้ายหันขวา ทำเป็นมองหารถแท๊กซี่และยกมือขึ้นโบกเรียกได้หนึ่งคัน ก่อนจะขึ้นรถ นายแพทย์หนุ่มหันมาพูดกับนายตำรวจว่า "ช่างที่อู่คงมาเอารถไปซ่อมแล้วครับ แต่ขอบคุณสารวัตรที่จะช่วยจัดการเรื่องนี้ ถ้าอยากจะสอบปากคำผมเพิ่มเติมให้ละเอียดก็เชิญที่โรงพยาบาลนะครับ ผมจะคอย"
รถแท๊กซี่สีเขียว-เหลืองวิ่งออกไปแล้ว พันตำรวจตรีกัณต์ยืนมองตามจนลับสายตา ใจเต้นแรงขึ้นโดยทันที สายตาของนายแพทย์ชาลีก่อนปิดประตูแท๊กซี่นั้นแพรวพราวระยิบระยับแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน จากประสบการณ์เขารู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายส่งสายตา 'อ่อย' อย่างเห็นได้ชัด
...แล้วเรื่องที่บอกว่ารถโดนทุบและคอมพิวเตอร์ถูกขโมยนี่จะเป็นเรื่องจริงหรือเปล่่าก็ไม่รู้ ชาลีแค่อาจจะหาเรื่องมาเกี่ยวข้องกับเขาเฉยๆ...
...ทำไม?...
ชาลีไม่แปลกใจเมื่อพยาบาลบอกว่ามีตำรวจมาขอพบ เขานึกอยู่แล้วว่ากัณต์ต้องมา ส่งสายตา ‘อ่อย’ ขนาดนั้น คนเจ้าชู้อย่างสารวัตรกัณต์ไม่ทิ้งโอกาสแน่
“คุณหมอรู้ใช่ไหมครับว่าการแจ้งความเท็จมีความผิดทางกฎหมาย” กัณต์พูดขึ้นหลังจากทักทายกันแล้ว
“ผมจะโดนจับขังคุกไหมครับ” ชาลียิ้มมุมปาก
“คุณได้แจ้งความเท็จหรือเปล่าล่ะครับ”
“เปล่า” ชาลียักไหล่ “รถผมถูกทุบกระจกจริง”
“ผมกำลังรวบรวมหลักฐาน” กัณต์พยักหน้า “แต่เท่าที่สืบดู ไม่มีพยานเห็นเหตุการณ์”
“จะมีคนเห็นได้ยังไง คนไทยต่างคนต่างอยู่ ใครจะทำอะไรไม่สนใจกันหรอก”
“อย่างน้อย ระบบกันขโมยของคุณต้องส่งเสยง คนแถวนั้นก็ต้องได้ยิน”
“ได้ยินแล้วทำไม” ชาลีเลิกคิ้ว วางศอกบนโต๊ะ โน้มตัวเข้ามาใกล้สารวัตรหนุ่มในเครื่องแบบสีกากีเข้ม “ได้ยินแล้วจะมีคนเดินมาดูงั้นหรือครับ แต่ผมว่าไม่ คงมีคนปรายตามองแล้วก็เมินหน้าหนี ไม่ใช่เรื่องของฉัน ไปยุ่งทำไม ฉันไม่เห็นจะได้ประโยชน์จากเรื่องสัญญาณกันขโมยของรถคนแปลกหน้าดัง เสียเวลาทำมาหากิน รถใครก็ช่าง เดี๋ยวเจ้าของเขาก็มาเอง”
“คุณคิดด้านลบ มีอคติกับคนรอบข้าง” กัณต์แสดงความเห็นด้วยเสียงราบเรียบ
“ผมพูดตามความจริง ส่วนมากสังคมนี้ก็เป็นอย่างนี้ล่ะ ไม่งั้นจะมีตำรวจไว้ทำไม” ชาลีชะงักไปชั่วอึดใจแล้วพูดว่า “หรือมีไว้แต่เครื่องแบบรัดติ้วเดินอวดหุ่นเท่ๆ ให้ประชาชนดู”
“คุณคิดว่าหุ่นผมเท่พอหรือเปล่าล่ะ” กัณต์หรี่ตา ทำหน้าเคร่งขรึม
“ผมประชดหรอก” นายแพทย์ชาลีกระแทกหลังลงกับพนักเก้าอี้
“คุณจอดรถไว้ที่ไหนครับ เวลาเท่าไหร่” กัณต์เปลี่ยนเรื่อง ดึงสมุดพกกับปากกาออกมาจากกระเป่าเสื้อ ท่าทาจะจดบันทึก ลาลีนิ่งไปชั่วครู่แล้วหันไปหยิบโทรศัพท์พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ผมกำลังจะออกเวรพอดี หิวข้าวมาก คุณไปสอบปากคำผมตอนทานข้าวได้ไหมครับ”
กัณต์เงยหน้าขึ้นแล้วเลิกคิ้วข้างเดียว มองหน้านายแพทย์หนุ่มที่เปลี่ยนท่าทีมาเป็นยิ้มบางๆ บุคลิกดูผ่อนคลายต่างจากทุกๆ ครั้งที่เจอกัน หากกัณต์ก็ยังคิดว่านัยน์ตาของชาลียังคงแข็งกร้าว อ่านยาก ผสมกับความลึกลับ ราวกับซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้
...ความรู้สึกที่เขาเห็นว่า ตรงกันข้ามกับคำพูดและการกระทำที่นายแทย์คนนี้กำลังกระทำอยู่...
ชาลีเดินเร็วมาก ตัวตรง ก้าวเท้าเป็นจังหวะสม่ำเสมออย่างคนมั่นใจในตัวเอง กัณต์สังเกตว่าขณะที่เดินกำลังใกล้จะถึงประตูทางเข้าร้านอาหาร ชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งเดินสวนออกมา ทำท่าจะทัก แต่ชาลีปรายตาไปมองแล้วรีบหันหน้าหนี ทำเย็นชาและเดินเข้าร้านอาหารไปโดยเร็วทำให้ชายหนุ่มคนนั้นถึงกับหน้าเจื่อน
“แฟนเก่าหรือครับ” กัณต์ถามเมื่อนั่งลงที่โต๊ะซึ่งติดกับหน้าต่าง มองออกไปเห็นสวนสวยบรรยากาศร่มรื่น
“เปล่า แค่คนรู้จักกัน เขาจีบผมอยู่พักหนึ่งแต่ผมไม่เล่นด้วย” ชาลียักไหล่ “ผมไม่ชอบคนเจ้าชู้ คนที่ไม่เห็นค่าของความรัก คนที่คิดแต่จะปลดเปลื้องอารมณ์อยากชั่วครั้งชั่วคราว คนที่ไม่ต้องการมีพันธะ”
...เอ หลอกด่าเขาหรือเปล่า หมอชาลีไม่ใช่คนโง่ ยังไงๆ ก้ต้องมองออกว่าเขาเป็นคนยังไง...
...แล้วตัวเองล่ะ ต่างจากที่ตัวเองพูดแค่ไหน อย่างน้อยก็ประโยคสุดท้ายล่ะ เขาก็คิดว่าชาลีไม่ต้องการมีพันธะเหมือนกัน มีทั้งแฟนทั้งกิ๊ก บริการเสน่ห์เก่งขนาดนั้น จะเรียกว่าคนหลายใจก็ยังได้...
กัณต์ไม่พูดอะไร ได้แต่คิดในใจและยิ้มมุมปากแล้วหันไปสั่งเครื่องดื่มจากพนักงานที่เดินเข้ามายืนรอรับคำสั่งอยู่ข้างโต๊ะ
“ผมขอไฮเนเก้นขวดใหญ่” ชาลีพูดกับกัณต์ “วันนี้ผมรู้สึกอยากจะดื่ม”
“คุณเป็นหมอ น่าจะรู้ว่าแอลกอฮอลล์ไม่ดีต่อสุขภาพ” กัณต์เตือนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ใบหน้าเคร่งขรึม
“สิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพคือการกระทำของมนุษย์ต่างหากครับ เพราะมันทำลายทั้งกายและใจ”
กัณต์อมยิ้มแล้วหันไปสั่งเบียร์ให้ชาลีและน้ำเปล่าสำหรับตัวเองพร้อมกับสั่งอาหาร
“ตำรวจดื่มน้ำเปล่า ไม่เข้ากันเลย เราควรจะเปลี่ยนเครื่องดื่มกัน” ชาลีแสดงความเห็น
“ในสายตาคุณ ตำรวจคงไม่ใช่คนดี”
“เปล่า” ชาลียักไหล่ “คนดีก็มี คนเลวก็มีถมไป แต่บางคนดีเลวผสมกัน ท้ายที่สุด เราก็แค่มนุษย์ธรรดาคนหนึ่ง มีดีมีเลวอยู่ในตัว เพียงแต่ว่าอย่างไหนจะมากกว่ากัน”
กัณต์นั่งฟังเงียบๆ มองชาลีอย่างครุ่นคิด นัยวันนายแพทย์หนุ่มคนนี้ยิ่งทำให้เขาแปลกใจ บางครั้งดูเหมือนอยากจะพูดดีกับเขา บางครั้งดูประชดประชัน และบางคราวก็ดูเย้ยหยันตัวเองหรือสังคมรอบข้าง
“แต่ผมก็หวังว่า ในที่สุด ผมคงมองสารวัตรกัณต์ไม่ผิด” ชาลีสรุป
“คุณอาจมองผมผิดตั้งแต่ทีแรกแล้ว”
“ไม่ครับ ผมมองคนไม่พลาด ตั้งแต่เรียนจบแพทย์ผมไม่เคยมองคนพลาด” น้ำเสียงนายแพทย์ชาลีมั่นใจยิ่งนัก
“ถ้ายังงั้น ตั้งแต่เรารู้จักกัน จนถึงเวลานี้ คุณมองผมเป็นคนยังไง”
“บอกไปตรงๆ ก็ง่ายเกินไปสิครับ” ชาลียิ้มท้าทาย “คุณเป็นสารวัตรสืบสวน คุณลองสืบเอาเองดูสิ หรือว่าคุณไม่อยากสอบสวนผม” ท้ายประโยคชาลีทำเสียงทุ้มต่ำ
...ถ้าจะให้สืบสวนสอบสวนหมอชาลีก็คงไม่ง่ายเท่าไหร่นัก เพราะเขาคิดว่า ‘คดี’ นี้น่าจะเรียกได้ว่าซับซ้อนซ่อนเงื่อนพอสมควร...
...ชาลีกำลังคิดจะทำอะไร...
...จะว่าทอดสะพานให้เขาจีบก็ไม่น่าจะใช่ แววตาของหมอชาลีบางครั้งดูไม่ค่อยน่าไว้ใจ...
ชายหนุ่มทั้งสองคนนั่งรับประทานอาหารและคุยกันไปเรื่อยๆ ส่วนมากเป็นเรื่องงาน ต่างฝ่ายต่างเล่าเรื่องงานให้กันฟัง จนกระทั่งกัณต์วกกลับมาเรื่องรถของชาลีโดนทุบกระจก
“ผมบอกแล้วไงว่าช่างเถอะ” ชาลีตอบด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ
“ผมก็บอกแล้วว่าช่างไม่ได้ ผมไม่อยากให้ใครมาตำหนิตำรวจว่าทำงานไม่มีประสิทธิภาพ”
“คุณคงคิดว่าใครคนนั้นเป็นผม” ชาลีหัวเราะเสียงเบา
“หมอชาลีครับ ผมจะพิสูจนให้คุณเห็นว่าพันตำรวจตรีกัณต์ เวโรจน์ เป็นสารวัตรสืบสวนที่ทำงานไม่เคยพลาด” กัณต์พูดเสียงหนักแน่น
“ดีครับ ผมจะรอวันที่หมวดคนเก่งอย่างคุณจะลากคอคนทำความผิดมารับโทษ”
“สารวัตร” กัณต์แก้ยศที่ถูกอีกฝ่ายลดขั้นอยู่ตลอดเวลา “เมื่อไหร่คุณจะเรียกยศที่ถูกต้องของผมซะที จะว่าไป ผมมีสิทธิจับคุณในข้อหาดูหมิ่นล้อเลียนเจ้าพนักงานได้นะครับ”
“จริงหรือครับ มีกฎหมายว่าไว้ยังงั้นหรือ” ชาลีเบิกตากว้าง ทำท่าตกใจ “ผมพยายามแก้ให้ถูกแล้วนะครับ แต่มันก็ติดปากตั้งแต่ครั้งแรกก็เลยเผลอไปบ้าง”
“เผลอปากบ่อยเลยทีเดียวล่ะ” กัณต์ส่ายหน้า บ่นพึมพำ แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด ซึ่งเมื่อพูดเสร็จก็อดตำหนิตัวเองว่าไม่น่าเลย
“เย็นแล้ว ไม่ไปรับเด็กหรือครับ ป่านนี้น้องคงเลิกเรียนแล้ว”
“ผมกับเขาเป็นแค่...” ชาลีตาลุกวาบขึ้นมาทันที เสียงห้วน แต่ก็หยุดพูดอยู่แค่นั้น
“คุณพูดเองว่ากิ๊กเป็นนักศึกษา ผมก็แค่อยากรู้” กัณต์ยกเหตุผลขึ้นมาพูด
“คุณเป็นคนพูดเอาเองนะว่าผมชอบเด็ก” ชาลีสวนกลับ “คุณรู้หรือว่าผมมีรสนิยมยังไง”
“รู้สิ ทำไมจะไม่รู้” กัณต์ยักไหล่ “ผมมองคนออกเหมือนกัน”
“คุณมองว่าผมเป็นคนชอบเด็ก”
“งั้นจริงหรือเปล่าครับ” กัณต์เลิกคิ้วถาม
“”ไม่จริง” ชาลีทำเสียงเข้ม มองตานายตำรวจหน้าเข้มชั่วอึดใจแล้วพูดว่า “ผมชอบผู้ใหญ่ ชอบคนที่เหนือกว่าผม แข็งแกร่งกว่าผม ไม่เหลาะแหละ ชอบคนที่สามารถดูแลผมได้ ส่วนคนอื่นนั้น แค่ทางผ่าน”
กัณต์แทบจะกลั้นหายใจ ชาลีบ่งบอกความนัยอะไรบางอย่างที่ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองกำลังโดนจีบ
...หรือไม่ชาลีก็กำลังเปิดทางให้เขาจีบ...
“วันเสาร์นี้ผมจะไปเยี่ยมพายัพ เด็กที่ถูกแทง จำได้ไหมครับ คนที่เข้าไปช่วยคนโดนกรรโชกทรัพย์แล้วถูกแทง คนที่เราไปเจอที่...”
“ผมจำได้ครับ ไม่ใช่คนความจำสั้นขนาดนั้น” กัณต์รีบแทรกด้วยเสียงเคร่งปนขำ
...ดูเอาเถอะ ชาลีเปลี่ยนอารมณ์ หรือทำให้เขาเปลี่ยนอารมณ์ได้ฉับพลันแบบที่ไม่เคยมีใครทำได้...
“ไปด้วยกันนะครับ” ชาลีทอดเสียงอ่อนโยน “อย่างน้อยเราสองคนก็เป็นคนช่วยเขา”
กัณต์อึ้กครั้ง ไม่นึกว่าชาลีจะชวนเขาดื้อๆ เขายังจำครั้งแรกๆ ที่พบกันได้ แม้แต่จะขอให้เป็นผู้ให้ปากคำหรือชี้ตัวผู้ต้องหา ชาลีก็โยกโย้อยู่เป็นนานสองนาน ไม่ยอมให้ความร่วมมือและแสดงชัดเจนว่าไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเขา แม้จะพาไปดูตัวผู้ต้องสงสัย ชายหนุ่มยังต่อรอเรื่องนั้นเรื่องนี้ ทำเหมือนเขาจะพาไปตกระกำลำบาก แต่วันนี้กลับมาชวนเขาไปด้วยกัน
...ชาลีกำลังคิดอะไรกับเขาอยู่...
///// 10 */////