^
^
^
จิ้มๆๆๆ ขอบคุณที่ตามมาอ่านนะคะ
ต้องขอบคุณดาด้าด้วยที่เอาไปลงให้^o^
เอาล่ะค่ะ มาอ่านตอนต่อไปกันเล้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
(แควนๆพี่กิมขราเยอะแฮะ โฮะๆๆๆๆๆๆ หนุ่มแว่น...ชนะเลิศ!!!)
........................................................................
ตอนที่๑๗ “.....จะได้ไม่ลืมว่า..มีคนคอย”
สามทุ่มครึ่งคือเวลาที่อรุณรุ่งก้าวเข้าบ้านพร้อมรอยยิ้มที่ระบายเต็มดวงหน้า ความสุขที่มีอยู่ต่อให้พยายามปิดยังไงก็ไม่อาจจะรอดพ้นสายตาของเพื่อนอีกสามที่พอได้ยินเสียงเปิด-ปิดประตูเหล็กหน้าบ้านเช่าที่เก่าและไม่ได้รับการดูแลจนขึ้นสนิมก็วิ่งเรียงแถวลงบันไดมาเสนอหน้าแสดงอาการอยากรู้อยากเห็นจนปิดไม่มิด
หนุ่มแว่นที่รู้ตัวดีว่าตกเป็นเป้าสายตาของเพื่อนๆเอี้ยวตัวกลับไปปิดประตูไม้พร้อมลงกลอนก่อนจะเลื่อนประตูมุ้งลวดให้เข้าที่อย่างเชื่องช้าราวจะถ่วงเวลาเตรียมใจรับพายุคำถามที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคงพุ่งเข้าใส่จนแทบสำลักลมปากหายใจไม่ทันแน่ๆ
และแค่หันกลับมาเท่านั้นแหละ ยังไม่ทันเก็บดวงตายิ้มได้เข้าไปซ่อนเลย คำถามแรกก็ดังขึ้นแล้ว
“คนนี้ใช่มั้ย?” อรุณรุ่งเหลือบตามองผู้หญิงแคระหัวยุ่งๆเจ้าของคำถาม ก่อนจะพยักหน้าหนึ่งหงึก เสียงไอ้สามตัวหันไปคุยกันเองประมาณว่า....เห็นป้ะล่ะ?...กูว่าแล้ว! ....ก็ดูดีนะเว้ย ....หล่อ รวย มีการศึกษา ครบสูตร!!
ไอ้ดอนของเพื่อนๆถือโอกาสก้มหน้าก้มตาจะเดินเลี่ยงขึ้นชั้นบน แต่ไอ้สามคนที่ยังคุยกันเองไม่เลิกมันก็ไม่ยอมพลาด เกาะหนึบเดินตามหลังอย่างกับพี่ดอนเป็นหัวรถจักร แล้วพวกมันเป็นโบกี้รถไฟ
“แล้วนี่ไปไงมาไงวะ?”
เสียงเรื่อยๆของไอ้เชดังขึ้นมาบ้าง ปล่อยให้เพื่อนปากมากอีกสองตัวเถียงกันไปไม่เลิก
“ก็ไม่ยังไงนี่....”
“เฮ้อ.....อยู่กับพวกกูพูดแค่นี้แล้วเวลาอยู่กับพี่เขาอย่างเมื่อกี้มึงพูดอะไรกับเขาวะ รึว่าที่หายไปด้วยกันมาสามสี่ชั่วโมงนี่ไม่ได้คุยกัน....แต่ทำกันอย่างเดียว?.......โอ๊ย!!”
“ไอ้ก่อ!! พูดไรเนี่ย ทะลึ่ง!!!”
ระหว่างที่เจ้าตัวคนถูกถามยังอึ้งอยู่ ไอ้ตัวจี๊ดมันก็จัดการฟาดผัวะเข้าให้ที่กลางหลังของนายก่อกรรมเสียงดังบึ้กแบบไม่มีออมแรง
“ก็จริงนี่หว่า หายออกไปด้วยกันสองต่อสอง แถมไม่ได้คุยกัน...เหอๆๆ”
“หึๆๆ เราไม่ได้คุย แต่เพชรคุยไง”
พี่ดอนอดขำกับท่าทางของตัวอยากรู้อยากเห็นที่ฮึ่มฮั่มใส่กันเองไม่ได้ พอเดินขึ้นมาถึงหน้าห้องชั้นสองก็ตอบไปง่ายๆแบบนั้นแหละ
“ก็แล้วคุยกันว่าไงบ้างล่ะ? เล่าหน่อยดิ อยากรู้อะ นะ...เล่านะ...น้า....”
อรุณรุ่งถอนหายใจเฮือก ส่งยิ้มบางๆให้เพื่อนที่ทำตัวเป็นลูกแมวมาพันแข้งพันขา ก้าวไปเปิดลิ้นชักส่วนตัวหยิบเสื้อกางเกงที่ไว้ใส่นอนแล้วเลี่ยงเข้าห้องน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
ทิ้งให้เพื่อนสามชีวิตมองตากันแล้วถือโอกาสสรุปเอาเองจากสีหน้ามีความสุขสุดๆของเพื่อนดอนที่นานทีหลายปีจะได้เห็นว่า....คราวนี้ล่ะชัวร์ คราวนี้ล่ะตัวจริง!!!
ถึงน้องรุ่งคนดีของพี่
(>/////<)
เขามาค่ะ!! เพชรน่ะ....คนที่พี่เล่าถึงบ่อยๆไงคะ เขามาเมื่อเย็นนี้เอง พี่กลับจากออกไปวิ่งกับพวกไอ้เชก็เห็นเขามาจอดรถหลับรออยู่ฝั่งตรงข้ามถนนหน้าบ้านนี่เอง
ตอนแรกพี่นึกว่าตาฝาดด้วยซ้ำ ก็คิดดูสิคะ ในเมื่อพี่ไม่ได้บอกอะไรกับเขาสักอย่าง แล้วจู่ๆเขาโผล่มาแบบนี้ได้ยังไง นี่จะเที่ยงคืนแล้วพี่ยังนอนไม่หลับเลย
เสียงหัวใจมันเต้นดังตึก...ตึก.... ดังมากจนพี่ดีใจเลยแหละค่ะ ที่ได้นอนแยกออกมาบนฟูกคนเดียว นี่ถ้านอนรวมกับเพื่อนแบบพวกมันสามคน พี่ว่าต้องมีสักคนแน่ที่มันหูดีได้ยินเสียงหัวใจพี่
โอ๊ย.....พี่ดอนใจแตกจริงแท้ ไอ้สามตัวนั่นมันจะรู้ไหมคะว่าเพื่อนมันกำลังเก็บอาการแค่ไหน!!!
ก็รู้ตัวหรอกนะคะว่าตัวเองพูดไม่เก่ง แถมยังสงสัยว่าจะแสดงออกไม่เก่งด้วย แต่....ถ้านอกจากน้องรุ่ง พี่ก็ไม่เคยจะพูดคุยได้ทุกเรื่องกับใครอีกเลยนี่คะ เมื่อหัวค่ำที่ออกไปนั่งที่ร้านอาหารเป็นเพื่อนเพชรตอนแรกพี่ดอนกังวลแทบแย่ว่าเขาจะเบื่อเอา แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นพี่คงต้องแย่แน่ๆเลย
วันนี้พี่ดอนกลายเป็นเด็กกะโปโลไปเลยค่ะ เพราะเพชรมาแบบเสื้อเชิ้ตแขนยาวกางเกงผ้าสีดำพอดีตัว ถึงรองเท้าจะเป็นรองเท้าแตะก็เถอะ แต่ดูก็รู้ว่าเพิ่งมาเปลี่ยนเอาตอนขับรถแน่ๆ
ไม่ต้องถามก็รู้ว่าเลิกงานคงขับรถมานี่เลย เห็นเขาแต่งตัวแบบนี้แล้วเพชรก็เปลี่ยนไปเลยนะคะ อย่างกับคนละคนกับครั้งที่เจอกันที่น้ำตกเลย ตอนนั้นถ้าให้เดาพี่ก็คิดว่าอายุเราคงไม่ต่างกันมาก คิดเอาเองว่าเพชรคงจะอายุมากกว่าแต่คงไม่เกินสองสามปี แต่พอเห็นวันนี้พี่ก็เถียงไม่ออกเลยล่ะค่ะเมื่อเขาแทนตัวเองเวลาพูดกับพี่ว่า ‘พี่’
ก็ได้แต่หวังล่ะค่ะ ว่าเขาจะไม่รู้....ว่าทุกครั้งที่เขาพูดแทนตัวเองมาอย่างนั้น พี่ดอนจะรู้สึกว่าความร้อนมันมารวมตัวกันอยู่ที่หน้านี่ทุกที.....อย่างนี้ มันอาการของคนอินเลิฟขั้นรุนแรงใช่มั้ยคะ?
พี่ไม่รู้ตัวเลยค่ะว่าตัวเองเริ่มผ่อนคลายจนรู้สึกสบายๆที่จะนั่งอยู่กับเขา ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาที่ตั้งใจเล่าให้พี่ฟังตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆ.....พี่ชักจะเชื่อแล้วสิคะว่าโลกเรานี่ไม่มีคำว่าบังเอิญ ทุกสิ่งทุกอย่างถูกกำหนดเอาไว้แล้ว.....ตั้งแต่ก่อนที่เราจะเกิดมาด้วยซ้ำ
ฮ่าๆๆๆ ถึงจะเรียนสายวิทย์มาตลอดแต่พอเรียนไปเรียนมาวิทยาศาสตร์ก็เป็นศิลปะนะคะ น้องรุ่งเชื่อมั้ย?
เพชรเป็นเพื่อนของพี่ใหญ่กับพี่กิมค่ะ........
หึๆๆ เป็นไงคะ โลกกลมขนานแท้เลยเนอะ เพชรบอกว่าช่วงที่พี่หายไป ไม่ยอมติดต่อกลับไปหาเขานั่นเขากระวนกระวายมาก (คิดสภาพสิคะ คนเนี้ยบไปทุกอย่างอย่างเขา....บอกว่ากระวนกระวายมาก!!) แล้วมีอยู่วันหนึ่งเขาก็เผลออารมณ์เสียใส่พนักงานที่ทำงาน แล้วเลยรู้สึกตัวว่าเก็บเรื่องส่วนตัว(ซึ่งก็คือเรื่องของพี่!?!)มาเป็นอารมณ์จนเอามาผสมกับความเครียดในที่ทำงานไปหมดแล้ว ก็เลยตัดสินใจเล่าให้ใครสักคนฟัง
ใช่ค่ะ....คนๆนั้นคือพี่กิม
เพชรบอกว่าเล่าถึงดอว์น.....เด็กลูกครึ่งใส่แว่นที่เดินไปดูต้นดอกเสี้ยวด้วยกัน เล่าว่าก่อนหน้านั้นเจอกันที่ร้านอาหารคุณยายสามคน เล่าว่าให้เมลไปแล้ว.....เพราะดูออกว่าอย่างดอว์นถ้าให้เมลไปคงตัดสินใจติดต่อกลับมาได้ง่ายกว่าให้เบอร์โทรศัพท์......แล้วสุดท้าย ก็บอกกับพี่กิมไปว่า....จะรอ เพราะเชื่อว่าสักวันดอว์นจะต้องติดต่อกลับมา......
ถ้าทั้งหมดนั้นน้องรุ่งยังคิดว่าพี่ก็ควรจะรู้สึกธรรมดาๆ ไม่เห็นจะน่าเขินตรงไหน ก็ขอให้เพิ่มท่าทางประกอบการเล่าของเพชรเข้าไปด้วยนะคะ ว่าไม่มีท่าทางอื่นใดนอกจากการใช้มือซ้ายของเขายึดมือขวาของพี่อยู่เกือบจะตลอดเวลา แล้วพอพี่เผลอหันหน้าไปเจอกับตาเขาทีไร ตาเขาก็มองพี่อยู่ก่อนแล้วทุกครั้ง....
เข้าใจแล้วใช่มั้ยคะ ว่าทำไมพี่ดอนถึงยอมรับได้แบบไม่อายน้องเลยว่าพี่เขินมากๆ เขินสุดๆ นี่ถ้าคราวต่อไปรู้ตัวล่วงหน้าก่อนได้เจอกันพี่ดอนจะพกหน้ากากไปด้วย เอาเป็นหน้ากากแบบปกปิดอย่างสมบูรณ์ของSpiderman เลยท่าจะเหมาะ เพราะถ้ายังมีส่วนหนึ่งส่วนใดของใบหน้าโผล่ออกมาได้ก็แน่ใจได้เลยค่ะว่าไอ้อาการร้อนจนแดงมันต้องแสดงตัวให้เพชรเห็นอีกแน่ๆ
พอพี่รวบรวมกำลังใจแซวคนช่างเล่ากลับไปว่าให้ไปขอบคุณพี่กิมงามๆสิ เพชรกลับบอกว่าไงรู้มั้ยคะ?
‘ไม่ต้องไปขอบคุณมันหรอกครับ มันเจ้าเล่ห์จะตาย....นี่มันแกล้งพี่จนแทบไม่เป็นอันทำงานเลยรู้มั้ยครับ เล่นส่งภาพถ่ายดอว์นตอนยิ้มหัวเราะอยู่กับเพื่อนไปให้ พอพี่จะโทรกลับมันก็ปิดเครื่องหนี แล้ววันนั้นพี่โทรหาดอว์นก็ไม่ได้ด้วย.....’
บลาๆๆๆ แถมเคี้ยวข้อไก่ทอดเน้นๆอย่างกับเป็นเนื้อพี่กิม ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
เฮ้อออออออ....นี่เพชรบอกพี่ว่าพอว่างพอจะปลีกตัวมาได้ก็รีบมาหาเลย ถึงจะดูว่าเสียเวลาที่มาตอนนี้ก็ได้เจอได้คุยกันไม่กี่ชั่วโมงเพราะพรุ่งนี้บ่ายๆก็ต้องรีบกลับกรุงเทพฯแล้ว แต่ก็อยากจะมา.....
‘เพราะถ้าพี่ไม่ได้มาให้เห็นหน้าดอว์นกับตา พี่ก็ไม่มั่นใจอยู่นั่นเอง.....ว่าหาดอว์นเจอแล้วจริงๆ’
โอย...ไม่ไหวๆ ไปนอนแล้วดีกว่าค่ะ....อายน้อง
พี่ดอนผู้มองเห็นเค้าลางแห่งความพ่ายแพ้
ปล.สัปดาห์หน้าเป็นสัปดาห์สุดท้ายของการฝึกงานที่นี่ เดี๋ยวพี่ดอนก็ได้กลับไปกอดแม่แล้วล่ะค่ะ นายโอฬารกำลังนั่งถอนหายใจเฮือกๆ ปล่อยให้เสียงนางร้ายออดอ้อนพระเอกในละครหลังข่าวผ่านหูไปแบบไม่ได้สนใจจะรับรู้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร นอกจากตั้งใจยอมเปลืองค่าไฟเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกเคว้งคว้างว้าเหว่เกินไปนัก
กำลังนั่งคิดว่าตัวเองก็ไม่ได้ขี้เหร่ บุคลิกก็พาไปวัดได้ รายได้ก็ไม่ต่ำ แถมจะว่าไปนิสัยก็ไม่เลวร้ายจนไม่มีใครคบ แต่ทั้งที่คุณสมบัติก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร แล้วทำไมไม่มีแฟนกะเขาสักทีวะ? ก็พอดีเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ดังขึ้น เล่นเอาผู้ชายตัวโตหน้าเข้มถึงกับสะดุ้ง
“ว่าไงวะ?”
นายแพทย์โอฬารกัดฟันถาม ทั้งที่ในใจตอบแทนเพื่อนเรียบร้อยแล้ว....ไม่ว่าว่ะ พอดีกูมาหาเด็ก
“ไม่ว่าว่ะ พอดีกูมาธุระแถวนี้ มึงอยู่บ้านหรือโรงบาล?”.....ธุระของกูน่ะ เรื่องสำคัญระดับหัวใจเชียวนะมึง....เอ เรานี่ก็น้ำเน่าเหมือนกันเว้ย!!
“อยู่บ้าน มึงล่ะ คืนนี้นอนไหน มานอนบ้านกูดิ”.....อย่านะเว้ย อย่ามาตอนนี้นะมึง เห็นหน้ามึงกูกรี๊ดจริงด้วย กูชวนเป็นพิธีอะ มึงเข้าใจใช่มั้ย?!
“กูจองห้องที่โรงแรมไว้แล้ว ไม่อยากนอนกะมึง กูกลัว”......กลัวเมียมึงไง เดี๋ยวไอ้กิมรู้เกิดโกรธหาว่ามาทับที่มันอีก ฮ่าๆๆๆ
“กลัวห่าไร?”.......รึมันจะกลัวว่าเราจะแพ้แล้วพาลวะ? นี่มันรู้เรื่องที่เราอกหักจากน้องดอนด้วยเหรอวะ?
“กลัวผีหวงที่ดิ....บ้านเช่านะมึง ส่วนใหญ่มีผีหวงที่ทั้งนั้นแหละ ฮ่าๆๆ” .....ดีแล้ว แกล้งมันแทนกันนี่แหละ ไอ้ใหญ่แม่งกลัวผี..รับกรรมไปมึง ว่าที่ภรรยามึงแกล้งกูก่อน
“ห่า!! กูอยู่มาจะครบปีแล้ว ไม่มีเว้ย มึงจะไปนอนไหนก็เรื่องของมึงเลยไป ชิ่วๆ”.....เดี๋ยวกูโทรหากิมก่อนนอน กูก็หลับได้แล้วเว้ย แม่งจงใจแกล้งกูชัดๆ ไว้ให้กูเจอตัวก่อนเหอะไอ้เพชร!!
หมอเพชรวางสายไปแล้ว.....อันที่จริงต้องบอกว่าวางไปนานแล้ว แต่คนตัวโตเป็นยักษ์ยังนั่งหน้าดำอยู่ที่เดิม ที่เพิ่มเติมคือการดึงขาสองข้างขึ้นมานั่งกอดเข่าแม้แต่ปลายนิ้วเท้าก็ไม่ยอมให้หลุดพ้นเบาะเก้าอี้ ระแวงว่าจะมีมือผีหวงที่ยื่นมาจากด้านล่าง คว้าหมับเอาที่ปลายเท้าให้สะดุ้งเล่น
อารมณ์นี้แม้แต่เสียงเพลงบรรเลงประกอบละครก็ยังเป็นศัตรูของหมอใหญ่ที่กลายเป็นหมาใหญ่นั่งหูตั้งคอยตะแคงหน้าฟังเสียงผิดปกติที่จะเกิดขึ้นภายในบ้าน ในใจนึกด่าตัวเองว่าไม่น่าเลือกเปิดช่องนี้เลย....ละครมีตั้งมากมายเรื่องที่เปิดทิ้งไว้กะเอาเสียงเป็นเพื่อนก็ดันเป็นละครย้อนยุคให้มีเสียงเพลงประกอบเป็นกังวานของเครื่องสายแบบโบราณอีก
อยากโทรหากิมจ๋าจะแย่แล้วแต่พอเหลือบตาเห็นนาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่มสิบนาทีก็ไม่กล้าโทรไปกวน ไม่ใช่เพราะเมื่อเย็นโทรไปรอบหนึ่งแล้วหรอกนะ เพราะกับนายวิเศษน่ะ ถึงนายโอฬารจะตะบี้ตะบันโทรหาสามเวลาหลังอาหารแถมก่อนนอนอีกครั้งกิมจ๋าก็ไม่เคยบ่นไม่เคยว่า แต่เพราะรู้ว่ากิมมันเด็กอนามัย ถ้าวันไหนไม่อยู่เวรก็เข้านอนแล้วหลับไปตั้งแต่ยังไม่สามทุ่มด้วยซ้ำ......
ถ้าโทรไปตอนนี้ กลัวกิมจะต้องตื่นมารับโทรศัพท์ แล้วจะนอนไม่พอ เสียสุขภาพแย่....อีกอย่าง ถ้ากิมจ๋ากำลังฝันดีแล้วโทรไปทำให้ต้องตื่นกลางครันขึ้นมาก็บาปแย่เลยสิ
หมอใหญ่จดๆจ้องๆกุมโทรศัพท์มือถือไว้แน่นก้าวไปปิดโทรทัศน์ และโดยไม่ยอมให้ตัวเองกลอกตามองไปทางไหนเลยนอกจากเกร็งให้มองไปแต่ที่เตียงนอนหมอใหญ่ก็ก้าวเร็วราวกับกระโจนขึ้นเตียง หลับตาปี๋แล้วเอาเท้าเขี่ยๆผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงโดยไม่ยอมเปิดตาสักนิด พอเข้าที่เข้าทางก็เริ่มสวดมนต์บทอะระหังสัมมาฯซ้ำไปซ้ำมา เพราะสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนนึกบทอื่นๆไม่ออก
ทว่าขณะกำลังเคลิ้มๆจวนจะหลับ เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ก็ดังให้ต้องผวาตื่นเต็มตาขึ้นมาอีกรอบ
“กูจะนอนแล้ว!!!”.......ไอ้เพชร ไอ้เลวววววววววว
“อ้าวเรอะ.....โทษทีๆ กูจะบอกว่า พรุ่งนี้กูไปกินข้าวเที่ยงด้วยนะเว้ย.....เออ อย่าลืมสวดมนต์ก่อนนอนล่ะ ผีหวงที่มาหากูไม่รู้ด้วย หึๆๆๆ”
...........โฮววววววว กิมจ๋า.....ช่วยใหญ่ด้วย!!! นายแพทย์โอฬารตื่นมาทำงานตามหน้าที่ก็เกือบสาย เนื่องจากกว่าจะหลับได้หลังโทรศัพท์จากเพื่อนรักเพื่อนแค้นรอบที่สองมันหลอนหูก็ปาเข้าไปค่อนคืน แถมยังหลับๆตื่นๆด้วยความระแวงเลยทำให้เวลาที่ได้นอนหลับจริงๆของชายหนุ่มหน้าเข้มเมื่อคืนนี้น้อยยิ่งกว่าน้อย
ยิ่งพอลงจากราวนด์วอร์ดรอบเช้ามาเห็นหน้าไอ้รวยที่มานั่งหล่อรอหน้าห้องตรวจ จนทำให้สาวน้อยสาวใหญ่แถวนั้นเวียนมาเดินผ่านจนผิดสังเกตก็ยิ่งอารมณ์เสีย
จนคุณหมอพี่ใหญ่เดินหน้าตาไม่เป็นมิตรไปยืนอยู่ตรงหน้าห่างไม่ถึงครึ่งเมตร แล้วกำลังชั่งใจว่าถ้านับหนึ่งถึงสามแล้วเพื่อนที่เนี้ยบทุกสถานการณ์ยังไม่รู้ตัวจะใช้มือหรือใช้เท้าสะกิดดี ชายหนุ่มในสเวตเตอร์สีเทาเข้มที่เห็นชายเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนแลบออกมากับกางเกงลำลองสีขาวขายาวพอดิบพอดีขนาดกำลังนั่งไขว่ห้างจึงเงยหน้าขึ้นจากหนังสือวารสารชื่อดังด้านการท่องเที่ยวแถมภาพประกอบสี่สีสวยคมชัดทั้งเล่มที่จดจ่ออยู่
แล้วแทนที่จะส่งยิ้มทักทายตามประสาคนมาเยือน สิ่งที่เจ้าบ้านได้รับกลับเป็นอาการเลิกคิ้วข้างขวาขึ้นน้อยๆ.....หมอใหญ่คิดในใจแต่ไม่พูดออกมาดังๆหรอกเพราะต้องรักษาภาพตัวเองเหมือนกัน....นี่เพื่อนกูเหรอวะเนี่ย?! ทำไมมันกวนตีนขนาดนี้แล้วกูยังคบอยู่อีกวะ?!?
“ไปนั่งในห้องดิ”
ว่าอย่างนั้น แล้วหมอใหญ่ตัวโตก็หันหลังเดินนำเข้าไปในห้องตรวจ สาวน้อยสาวใหญ่ที่มาเห็นก็ตอนชายหนุ่มเสื้อเทาที่เดาเอาว่าคงเป็นเพื่อนคุณหมอนั่งนิ่งสนิทอยู่ก่อนแล้วจึงได้โอกาสลอบมอง แทบจะรู้สึกได้ถึงความเงียบที่เกิดขึ้นชั่วขณะเมื่อแทบทุกคนพากันกลั้นหายใจรอการเคลื่อนไหว
แล้วแต่ล่ะคนก็ได้มีเรื่องจับกลุ่มคุยกันไปอีกหลายวัน ว่าเพื่อนคุณหมอโอฬารแต่ละคน....หน้าตาดีทั้งนั้น สูง....สะอาดสะอ้าน....คนที่มาเมื่อสัปดาห์ก่อนก็สูง ตี๋ ยิ้มง่าย ส่วนคนล่าสุดนี่สูง ขาว แล้วคิ้วนะก็เค้มเข้ม....
แต่กลุ่มสาวๆที่ปวารณาตัวเป็นแฟนคลับคุณหมอโอฬารก็ไม่ได้เอาใจออกห่างคุณหมอหรอก เพราะอย่างไร คุณหมอใหญ่ก็หล่อคมเข้ม แถมยังใจดี อารมณ์เย็น ถึงจะมีสีหน้าเคร่งเครียดเป็นกิจวัตรแต่พอเผยยิ้มออกมาที โลกของสาวๆแถวนี้ก็สว่างไสวขึ้นมาทันตา
คุณหมอใหญ่จัดการพาไอ้เพื่อนเพชรไปทิ้งให้นั่งรอที่ห้องสมุดของโรงพยาบาล แล้วนัดเรียบร้อยให้เดินไปเจอที่โรงอาหารตอนเที่ยง
หากพอถึงเวลาเที่ยงเข้าจริงๆ คนไข้ที่ถูกส่งมาไม่ขาดสายทำให้คุณหมอตัวโตเดินไปถึงโรงอาหารสายไปเกือบสิบห้านาที แถมภาพที่เห็นยังทำให้แทบหมดความอยากอาหารเสียเดี๋ยวนั้น.....ไอ้เพชรมันไม่ได้รอเงกอยู่คนเดียว แต่มันอยู่กับน้องอีกสี่คน ที่ทำให้เจ็บใจคือทั้งๆที่ทั้งโต๊ะนั้นนั่งกันห้าคน แต่ทำไมในสายตาถึงรู้สึกว่าภาพคนอื่นมันดูเบลอๆไปหมด ยกเว้นก็แต่สองคนที่นั่งหันหน้ามาทางนี้พอดี......
ต่างคนต่างกินข้าวไปเรื่อยๆก็จริง ไม่ได้มีอาการสวีทออกนอกหน้าแบบตักโน่นตักนี่บริการกันก็จริง....แต่แค่นั่งอยู่ข้างๆกัน ทำไมมันถึงได้ดูเหมาะสมลงตัวไปเสียหมดก็ไม่รู้
.....เออ หรือเพราะเสื้อกันหนาวของน้องดอนเป็นสีฟ้าเดียวกับเสื้อตัวในไอ้เพชรมันวะ มันเลยดูเข้ากั๊นเข้ากัน?!?
มื้อเที่ยงผ่านไปอย่างฝืดคอน้อยๆแต่นายแพทย์โอฬารก็ปั้นหน้ายิ้มนิดๆ เออออไปกับบทสนทนาของไอ้น้องก่อกับน้องจี๊ดได้อย่างแนบเนียน
.....เท่าที่ดูก็ไม่เห็นว่าไอ้เพชรกับน้องดอนจะคุยอะไรกันหรือส่งสายตาให้กัน....จะว่าไป ไอ้เพชรมันยังพูดกับเรามากกว่าพูดกับน้องดอนอีก
จะมีก็แค่ตอนกินเสร็จนั่นแหละ พอสองหนุ่มร่างใหญ่เดินไปส่งน้องๆสี่คนถึงแผนกกายภาพบำบัด พี่หมอใหญ่ถึงได้เห็นว่าเพื่อนยื่นมือไปแตะข้อศอกน้องแว่นน่ารักไว้เบาๆ แล้วพอน้องดอนชะงักตัวหันกลับมาทั้งๆที่มือสองข้างกำลังถอดเสื้อกันหนาวสีฟ้าอ่อนออกพาดไว้กับแขนตัวเอง ในขณะที่เพื่อนอีกสามคนก้าวเข้าไปในแผนกหมดแล้ว
หูสองข้างของนายแพทย์โอฬารกางเป็นจานเรดาห์ทันที แล้วด้วยความสามารถแบบหมาๆ ทั้งที่ยังเก๊กขรึมทำหน้านิ่ง แต่เสียงเบาๆสองประโยคที่ได้ยินก็ทำให้พี่ใหญ่ตัดสินใจย้ำกับตัวเองชัดๆว่าต้องตัดใจเสียที....
“เดี๋ยวพี่จะกลับเลย.....พี่จะไปรอดอว์นที่กรุงเทพฯ รับปากได้มั้ย..ว่าจะไม่หายไปอีก?”
“.......อืม...ครับ”
วัตถุชิ้นเล็กๆถูกชายหนุ่มร่างสูงหย่อนใส่เข้าไปในกระเป๋าเสื้อของหนุ่มน้อยในชุดฝึกงานอย่างรวดเร็ว พร้อมกับประโยคลอยๆ
"...จะได้ไม่ลืม...ว่ามีคนคอย" หนุ่มน้อยหน้าใสก้มหน้าก้มตาพกพาแก้มที่ซับสีระเรื่อจนเห็นเป็นสีชมพูผลุบเข้าแผนกไปแล้ว และเพื่อนหน้าเข้มตัวใหญ่เป็นยักษ์สมชื่อโอฬารก็สาวเท้าไปทางห้องตรวจแล้ว แต่นายแพทย์วัชระ เวชชากร ยังยืนนิ่งอยู่ท่าเดิม
เพราะชื่อจริงนามสกุลจริงที่ปรากฏอยู่บนอกเสื้อของหนุ่มน้อยมันเผยออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน หลังจากเจ้าตัวถอดเสื้อกันหนาวที่คลุมทับมาตั้งแต่เช้าออก ริมฝีปากของชายหนุ่มกางเกงสีขาวขมุบขมิบจนแทบไม่มีเสียง
“อรุณรุ่ง โพเวลล์.... โพเวลล์ ใช่อย่างที่คิดจริงๆ” รอยยิ้มบางๆผุดขึ้นที่ริมฝีปากยกขอบชัดเจนนั่น หากในแววตากลับมีประกายความคิดคำนึงบางอย่างราวกับหมอกบางๆที่คลี่ลงมากั้นแสงอาทิตย์ยามเช้า ก่อนชายหนุ่มจะหมุนตัวเดินตามทิศทางที่เพื่อนเพิ่งก้าวนำไปอย่างรวดเร็ว
..........................................
..โปรดติดตามตอนต่อไป..
กอดรวบทุกท่านแนบเเน่นค่ะ คนเขียนใช้เวลาต่อตอนนานจริงๆนะคะ ขอโทษที่ต้องรอกันนาน /l\
ขอบคุณมากที่เหนียวแน่นไม่ทิ้งกันไปก่อนค่ะ