(คิดถึง มาหาหน่อยสิ)
“ตอนนี้เราพาคุณปู่มาตรวจสุขภาพน่ะ” เมลมองห้องพยาบาลที่ปู่ของเขาเข้าไปพลางนึกถึงคนเพิ่งสร่างไข้ที่กลับไปพักที่บ้านเรียบร้อยแล้ว
(งั้นเดี๋ยวไปหานะ)
“เอ่อ ไว้คราวหน้าได้ไหม เดี๋ยวคุณปู่ก็ออกมาแล้ว”
(นี่นายคราวหน้ามาสองอาทิตย์แล้วนะเมล อาทิตย์ที่แล้วนายก็ไปต่างประเทศกับครอบครัว วันก่อนก็เข้าไปโรงงานอะไรก็ไม่รู้กับพี่ชาย วันนี้ก็ไปกับคุณปู่อีก นายไม่มีเวลาให้ฉันเลยนะ)
“เอ่อ...”
(ไม่ชอบกันแล้วก็บอกมาดีๆ อย่ามาให้ความหวังกันแบบนี้สิ...ติ๊ด) ไอซ์พูดเสียงเหนื่อยๆ ก่อนสายจะตัดไป
“หืม” เมลกดโทรกลับไปหาไอซ์แต่กลับกลายเป็นระบบฝากข้อความแทน
“เมล ปู่ให้หมอตรวจเสร็จแล้ว กลับบ้านกันเถอะ”
“เอ่อ...ครับ”
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ผม...” เมลก้มมองมือถือของเขาที่หน้าจอดับไปพอดี “อ้าว ดูเหมือนแบตจะหมดครับ”
“ยืมของปู่ก่อนไหม มีธุระด่วนหรือเปล่าปู่กลับเองได้นะ”
“ไม่หรอกครับ เดี๋ยวผมไปส่งปู่ก่อนก็ได้” เมลพยักหน้ากับตัวเอง เดี๋ยวเขาค่อยไปง้อไอซ์ที่บ้านก็ได้นี่นา
เขาขับรถไปส่งปู่ที่บ้านก่อนจะขับออกไปยังเส้นทางที่จุดหมายเป็นบ้านไอซ์
“ไอซ์เหรอจ๊ะ เห็นรีบร้อนขับรถออกไปน่ะ ดูสิมือถือก็ไม่ได้เอาไป” เมลมองมือถือที่เสียบชาร์จอยู่ แต่เจ้าของกลับไม่อยู่บ้านก็เริ่มกังวลใจ
ไอซ์คงไม่โกรธที่เราไม่มีเวลาให้จนอยากเลิกกันหรอกนะ
“งั้นผมขอนั่งรอได้ไหมครับคุณแม่”
“ได้สิจ๊ะ เดี๋ยวแม่ให้เด็กยกขนมมาให้นะ” แล้วพิสมัยก็เดินเข้าไปในครัว สั่งเด็กรับใช้ให้เตรียมขนมให้เมลก่อนจะขอตัวไปงานการกุศลช่วงเย็น และเนื่องจากสามีและลูกชายคนโตจะตามไปที่งานเลยจึงไม่มีใครกลับเข้าบ้าน รวมถึงเหล่าคนรับใช้ที่เมื่อเลิกงานก็แยกย้ายกันกลับบ้านไปตามเวลา
ทั้งบ้านจึงตกอยู่ในความเงียบและความมืด คล้ายกับสถานการณ์ที่เมลเคยเผชิญเมื่อหลายปีก่อน เขาเฝ้ารอเด็กชายที่ได้ยินเสียงเขามาช่วยเหลือแต่เด็กคนนั้นกลับไม่เคยมา โชคดีที่ในครั้งสุดท้ายขณะที่เขาอยู่ท่ามกลางกองเพลิง ในที่สุดเด็กชายคนนั้นก็มาช่วยเขาจนได้
“นายจะต้องมา...ใช่ไหม”
แกรก
“เฮ้อ...ไปไหนของเขากันนะ มือถือก็ไม่ได้เอาไปอีก” เสียงทุ้มดังมาพร้อมฝีเท้าที่ก้าวเข้าใกล้ห้องนั่งเล่น พอสังเกตเห็นเงาตะคุ่มบนโซฟาเข้าพอดีก็นึกถึงพี่ชาย “พี่เอกไม่ได้ไปกับพ่อแม่เหรอ...เมล!”
ร่างสูงที่ออกกำลังกายอย่างหนักตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลดูแข็งแรงขึ้นกว่าที่เมลคาดไว้ แม้จะไม่ได้มีกล้ามเนื้อเท่าเมื่อก่อนแต่ก็ถือว่าฟื้นตัวเร็ว เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวเมล พอเห็นเขาก่อนจะถอนหายใจใส่
เมลไม่คิดว่าจะได้รับกิริยาเช่นนี้ก็อดรู้สึกแย่ไม่ได้
“ทำไมไม่พกมือถือ คนอื่นเขาเป็นห่วงรู้ไหม”
“...”
ไอซ์นั่งลงข้างเมล “ทีหลังจะไปไหนบอกคนที่บ้านนายด้วยสิ ฉันไปรอกับพวกเขาตั้งนานนายก็ไม่กลับมา พี่มัคเขาก็เลยเดาว่านายมาบ้านฉัน ดีนะที่ใช่ ไม่งั้น...”
หมับ
เมลโถมเข้ากอดไอซ์เต็มแรง ซึ่งพอคนหน้าโหดได้สติก็ยกแขนขึ้นโอบเมล เขาไม่รู้ว่าคนตัวขาวเป็นอะไร แต่คงต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเขาแน่ๆ อีกฝ่ายถึงมารออยู่ที่นี่แถมยังปิดไฟมืดอีก
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ขอโทษที่ไม่มีเวลาให้นะ”
เรื่องนี้เองหรอกเหรอ เขาเองก็อยากแกล้งงอนอยู่หรอกนะ แต่พอเห็นท่าทางไม่คงที่ของเมลก็ยอมทิ้งเรื่องแกล้งแล้วกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นแทน
“ช่างมันเถอะ ใช่ว่าฉันจะไม่รู้ว่าทำไมนายหลบหน้ากันแบบนั้น” ตั้งแต่พี่ชายเมลทิ้งระเบิดไว้ เมลก็ดูเหมือนจงใจหลีกเลี่ยงสถานการณ์หวานแหววระหว่างพวกเขา สร้างสถานการณ์ทีไรเป็นต้องถูกพังลงทุกที เขาเองก็จนใจจึงยอมอยู่ไปแบบขาดน้ำตาล เพราะสำหรับเขาการมีเมลอยู่ข้างๆ สำคัญกว่าเรื่องบนเตียง
แต่ดูเหมือนเมลจะฝังใจกับคำที่พี่ชายพูดไว้แล้วค่อยๆ หลบหน้าเขาไป ซึ่งหากเขายังปล่อยไว้ก็คงไม่ดีกับความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาอย่างแน่นอน
“เรื่องนั้น...”
“นายคงรอฉันนานแล้ว เดี๋ยวฉันทำอาหารให้กินแล้วกัน” ไอซ์หลีกเลี่ยงเรื่องที่จะทำให้เขาสองคนต้องห่างเหินกันไปอีกแต่ชายเสื้อกลับถูกรั้งโดยคนที่อยู่ด้านหลัง
“ฉันยังพูดไม่จบ” เมลเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับกัดปากเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ “เรามาทำเรื่องนั้นกันเถอะ”
“ห้ะ!”
“ฉันคิดทบทวนมาดีแล้ว...เรามาเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันเถอะนะ” เมลก้มหน้างุด เขาไม่รู้ว่าไอซ์เข้าใจความหมายที่เขาต้องการจะสื่อไหม แต่เขาคิดแบบนั้นจริงๆ ไม่สำคัญหรอกว่าสถานะของเราจะเป็นแบบไหน ขอแค่ไม่ต้องทะเลาะกันอีกก็พอ
“แน่ใจเหรอ” แม้จะถามเสียงเข้มแต่ในใจเขายิ้มกริ่ม นึกถึงของสารพัดอย่างที่เตรียมไว้ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล แต่เพราะเมลเอาแต่บ่ายเบี่ยงไอซ์ก็เลยต้องเก็บมันไว้ต่อไปเงียบๆ
“อือ” เมลตอบเสียงเบา ก่อนแขนขาวจะถูกฉุดรั้งให้ลุกขึ้นแล้วพาเดินตามขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน ณ ห้องในสุดที่เก็บเสียงดียิ่งกว่าอะไร
ภายในห้องเป็นระเบียบเรียบร้อยกว่าที่เมลคาด โดยเฉพาะกลองชุดที่มุมห้อง ซึ่งพอเมลหันมาถามทางสายตาไอซ์ก็เฉลยให้
“ฉันเคยเล่นกลองอยู่ช่วงหนึ่ง ที่บ้านหนวกหูก็เลยต้องรีโนเวทห้องใหม่ให้เก็บเสียงน่ะ” ไอซ์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “ซึ่งก็หมายความว่าต่อให้เราจะทำ ‘อะไรๆ’ ก็ไม่ต้องกลัวว่าคนข้างนอกจะได้ยินหรอกนะ”
“นาย!”
จุ๊บ
ก่อนที่เมลจะโวยวายไปมากกว่านั้น คนหน้าโหดก็จัดการเรียกความปรารถนาของเมลผ่านรสจูบที่เร่าร่อน ฉีกกระชากเสื้อราคาแพงของเมลออกอย่างไม่ไยดี คนตัวขาวชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะถูกเบี่ยงเบนความสนใจเมื่อลิ้นร้อนแทรกผ่านเขามา มืออุ่นไล่ไปตามผิวเนื้อของเขาอย่างช้าๆ อย่างระมัดระวังไม่ให้ตื่นตกใจ
นิ้วเรียวสะกิดยอดอกเบาๆ ชวนหวามไหวจนต้องส่งเสียงออกมา
“อะ”
“ปล่อยไปตามสบาย ไม่ต้องกังวลนะ” ไอซ์จูบลงบนซอกคอหอมกรุ่น ใช้อีกมือลูบหลังปลอบประโลม ถึงจะเป็นผู้ชายเหมือนกันแต่ใช่ว่าเมลจะเคยมีประสบการณ์อย่างเขา อย่างมากก็คงแค่ช่วยตัวเอง
“ให้ฉันช่วยนะ” ไอซ์ไล้มือลงต่ำ รูดรั้งแก่นกายของเมลที่กำลังตื่นขึ้นตามจังหวะที่เขาเป็นคนกำหนด ไม่นานธารขาวขุ่นก็พุ่งพรวด ไอซ์ปาดน้ำนั้นแล้วค่อยๆ แทรกเข้าไปในกายเมล ซึ่งแน่นเกินกว่าจะเข้าไปได้
“เจ็บ”
“มันจะดีกว่านี้” ไอซ์จูบลงบนริมฝีปากนุ่ม “ฉันสัญญา” เขารอจนเมลพยักหน้าแล้วเอื้อมมือไปยังเก๊ะหัวเตียง หยิบขวดใสที่เตรียมมากว่าสัปดาห์เทลงที่ส่วนนั้นแล้วชำแรกนิ้วเขาไป ก่อนค่อยๆ เพิ่มจำนวนตามเวลา
“อึก มัน...” เมลจิกนิ้วลงบนหมอน
ไอซ์โน้มตัวลงมอบจุมพิตแสนหวานก่อนจะแทรกตัวตนเข้าไป แช่นิ่งอยู่อย่างนั้นก่อนจะผละออกมาดูสีหน้าเมลที่แดงก่ำหลบตาเขา เขาแตะแก้มเมลให้หันมามองกัน อีกมือก็กุมมือเมลไว้แน่น
“จะไม่ปล่อยไปไหนอีกแล้วนะ” คำพูดนั้นสร้างความอบอุ่นไปทั้งใจ เมลเอียงหน้าซบมือข้างนั้นแล้วพยักหน้า
“ไม่ไปไหนอีกแล้วเหมือนกัน”
“ขอบคุณ” ไอซ์จูบลงบนผิวเนื้อเปล่าเปลือยเหนือหัวใจเมลก่อนจะเริ่มขยับเร่งอุณหภูมิภายในห้องให้พุ่งสูงยิ่งขึ้น เสียงหยาบโลนดังสะท้อนจนเมลอยากยกมือขึ้นปิดหู ติดที่ถูกกุมไว้อย่างแน่นหนาและคนที่อยู่บนตัวเขาก็คงไม่ยอมแน่ ถึงได้เร่งความเร็วขึ้นแบบนั้น
“ระ...เร็วไป”
“ยังไม่พอหรอกนะ”
พูดจบเมลความอุ่นร้อนด้านล่างหลุดออกไปจนกระทั่งไอซ์พลิกตัวเขาให้นอนคว่ำแล้วสานต่อบนรักร้อนแรงต่อเนื่องจนเมลหัวหมุน นอกจากต้องหันมารับจูบจากคนด้านหลังก็ทำได้เพียงร้องครางเสียงอู้อี้อยู่กับหมอนใบโต ทั้งตัวโยกคลอนไปตามแรงปรารถนาของคนรักที่ดูเหมือนจะสะสมมานานเกินไป จบลงเพียงสองครั้งเมลก็ขอหลับไปก่อน ส่วนหลังจากนั้นเมลปล่อยให้ไอซ์จัดการตัวเอง
เช้าวันต่อมา เมลสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ให้ไอซ์แตะต้องเขาอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เขาหอบร่างอันเหนื่อยล้าใส่เสื้อผ้าแล้วรีบออกจากบ้านไอซ์ไปก่อนคนในบ้านจะตื่น ระหว่างขับรถก็ทรมานกับความระบมช่วงล่างแต่ก็ฝืนเดินทางมาจนถึงคอนโดหรูของพี่ชายคนโต
“ครับมาแล้วครับ” เสียงจากข้างในมาพร้อมกลับเสียงปลดล็อกประตู ทันทีที่เห็นว่าเป็นเลขาพี่ชายเมลก็ชะงักไป ส่วนไผ่พอเห็นเมลก็ส่งยิ้มใจดีให้แล้วเบี่ยงตัวให้เมลเข้าไปด้านใน
“คุณมอคยังไม่ตื่นครับ เอ่อ คุณเมลอย่าเข้าใจผิดครับ ผมมาช่วยคุณมอคเคลียร์เอกสารเมื่อคืน เขาเห็นว่าดึกแล้วก็เลยชวนผมค้าง เมื่อคืนผมนอนที่โซฟาตรงโน้นครับ”
“ผมยังไม่ได้ว่าอะไรพี่ไผ่สักหน่อยครับ” เมลยิ้มบางก่อนจะลากสังขารตัวเองไปนั่งบนโซฟา สูดกลิ่นหอมของอาหารร้อนๆ ที่เพิ่งเทจากกระทะ “หิวจัง ผมขอกินมื้อเช้าด้วยนะครับ”
“ครับ เดี๋ยวผมเตรียมให้ทันที ดีใจที่คุณเมลเป็นมนุษย์แล้วนะครับ ถึงผมจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร แต่ก็ดีใจที่เวลาคุณมอคไปร้านอาหารจะได้ชวนคุณเมลไปได้”
เมลมองว่าที่พี่สะใภ้ทำงานคล่องแคล่วแล้วอมยิ้มน้อยๆ
“ทำไมเหรอครับ พี่มอคชอบไปกินข้าวคนเดียวเหรอ”
“เปล่าครับ แต่ชวนผมไปด้วยนี่สิ ยิ่งร้านขนมหวานตกแต่งน่ารักๆ คุณมอคเสียดายที่คุณเมลทานไม่ได้ก็เลยให้ผมช่วยชิมแล้วบอกว่าเป็นยังไงคุณมอคจะได้ไปเล่าให้คุณเมลฟังไงครับ”
“อ้อ เหรอครับ” เอาน้องบังหน้านี่นา เมลหัวเราะนิดๆ แต่สะเทือนไปถึงช่วงล่าง ยังไม่ทันลุกไปแกล้งปลุกพี่ชายก็ได้ยินเสียงร้องลั่นมาจากข้างใน
“อะไรนะ! เมลเป็นอะไร!” แล้วจู่ๆ ประตูก็ถูกเปิดพรวดออกมา มอคสังเกตเห็นเมลก่อนก็กดวางสายแล้วรีบเข้ามาจับตัวน้องพลางกวาดตาไปทั่ว
“นี่...ไม่ใช่อย่างที่พี่คิดใช่ไหม” ใจปฏิเสธอย่างไร รอยรักบนซอกคอน้องก็ยืนยันแทนเรียบร้อยแล้ว มอคทิ้งแขนลงบนโซฟา เรื่องที่น้องชายคนรองว่าถูกต้องไม่ผิดเพี้ยนเลย แถมไอ้เด็กนั่นยังไปรอเมลที่บ้านอีก
“ไม่ต้องกลับบ้านนะ อยู่กับพี่ที่นี่แหละ”
“ครับ?”
“คนที่ทำแบบนี้กับน้องรอเราอยู่ที่บ้าน อยากเจอหรือเปล่า”
ไอซ์เหรอ
“ยังไม่อยากเจอครับ” ขอเขาฟื้นตัวก่อนเถอะ เรื่องอื่นค่อยว่ากัน มอคพยักหน้าอย่างพึงพอใจก่อนจะต่อสายหาน้องชายคนรองเพื่อบอกเล่าแผนการของพวกเขา หลังจากนั้นก็มานั่งกินข้าวอย่างอารมณ์ดี แล้วออกไปทำงานพร้อมกับเลขาคนสำคัญ
ห้องว่างที่เงียบเหงาทำให้เขาหวนนึกถึงวันเก่าๆ ก่อนจะได้ออกไปเรียนมหาวิทยาลัย เขาต้องอยู่คนเดียวเพราะพ่อและพี่ๆ ไปทำงาน เวลานี้ก็ไม่ต่างกัน ทั้งที่รู้ดีแต่ก็อดเหงาไม่ได้
ถ้ามีไอซ์...เขารู้ว่าจะต้องไม่เหงาแน่นอน
อะไรกัน อุตส่าห์คิดว่าจะไม่เจอหน้าแล้วแท้ๆเมลถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วยอมแพ้ ต่อสายโทรศัพท์ภายในห้องไปยังคนที่รออยู่
“มารับทีสิ”
เมลไม่ได้บอกที่อยู่คอนโดพี่ชาย แต่บอกที่ตั้งร้านกาแฟใกล้ๆ จากนั้นก็ลงไปข้างล่างโดยไม่ลืมทิ้งโน้ตไว้
‘ผมไปกับไอซ์นะ’
เมลยืนรออยู่หน้าร้านพร้อมกาแฟสองแก้ว เรียกความสนใจจากสาวๆ ที่เดินผ่านมา รวมทั้งแก๊งอันธพาลประจำซอยที่จำเขาได้
“นี่มันไอ้แหยที่เคยอยู่กับไอ้หน้าโหดนี่ เดี๋ยวนี้โตขึ้นเยอะเลยนะ”
“หึ ก็คงแหยเหมือนเดิมนั่นแหละวะ เอาไง ลุยเลยไหม ไอ้หน้าโหดนั่นสุดท้ายลูกพี่ก็ยอมปล่อยไปล่ะ เห็นสภาพแล้วรับเข้าแก๊งไม่ไหว แต่ไอ้นี่หน่วยก้านดี เอามาฝึกอีกหน่อยคงไม่แหยแล้ว”
“เออ ลากคอมันไปถวายลูกพี่ดีกว่า” คนที่สามพยักหน้าเห็นด้วย
คนตัวขาวดูดกาแฟอย่างอารมณ์ดีก่อนสายตาจะหันไปเห็นชายสามคนที่เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอมาก่อน พอนึกขึ้นได้ก็เท้าความนานถึงช่วงปีหนึ่งที่เขาถูกหาเรื่องในซอยใกล้บ้าน จะว่าไปก็กลุ่มคนเดิมนี่!
ยิ่งเห็นความคุกคามที่เพิ่มขึ้น เมลก็ค่อยๆ ถอยออกจากหน้าร้านกาแฟก่อนแผ่นหลังจะปะทะเข้ากับใครบางคน
“อ้ะ ขอโทษครับ”
“ไปยืนตรงโน้น” เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยคือไอซ์ที่เขานัดมานั่นเอง เมลเดินหลบมุมไปอีกทาง เปิดฉากการปะทะกันของคู่กรณีเก่า ที่สามคนแรกวิ่งหนีไปอีกทางแทบในทันที
“เหอะๆ” ไอซ์หันหลังกลับมาหาเมล “เจอกันครั้งแรกก็คล้ายๆ แบบนี้นะ”
“อืม นึกถึงวันนั้นทีไรก็อดขอบใจนายไม่ได้ทุกที” เมลเริ่มออกเดิน เคียงข้างด้วยไอซ์ซึ่งรับกาแฟไปพอดี “ถ้าวันนั้นนายมาช้าฉันต้องเผลอฆ่าพวกเขา และถ้าฉันทำแบบนั้นคงถูกขังลืมแน่ๆ”
“งั้นก็ดีแล้ว” ไอซ์รั้งคอคนข้างๆ เข้าหาตัว “ดีที่ฉันไปทางนั้น ดีแล้วที่เราเจอกัน อย่างน้อยชีวิตต่อจากนั้นของฉันก็ดีกว่าที่เป็นอยู่”
“นายเกือบตายเพราะฉันเนี่ยนะดี”
“แค่เกือบ ผลลัพธ์มันคุ้มกว่านั้นมาก การมีนายอยู่ข้างๆ สำคัญมากเลยนะ” เขาหยุดเท้าแล้วจับมือเมลกุมไว้แนบอก “จากนี้เรามาอยู่ด้วยกันไปนานๆ นะ ฉันไม่ใช่เลือดหวานของนายแล้ว ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่านายจะรักฉันตลอดไป แต่ฉันจะทำมันให้ดี”
“...”
“นายพร้อมจะเป็นเลือดหวานของฉันไหม”
“ไอซ์...”
“เป็นเลือดหวานคนเดียวของกันและกัน เอ่อ ถึงเราจะกินเลือดกันไม่ได้ก็เถอะ” ไอซ์โขกหัวตัวเองเล็กน้อยที่พูดเรื่องไร้สาระออกมา เขากังวลคำตอบจากเมลเลยหวังคลายเครียดด้วยมุกตลกที่ตัวเองสร้างขึ้น
“เป็นสิ”
“!”
“ถึงฉันจะไม่ยึดติดนายเหมือนตอนเป็นแวมไพร์ แต่ความรู้สึกเดียวกันนั้นไม่เคยลดลงเลย นายยังคงเป็นเลือดหวานของฉัน ไม่สิ”
เมลขยับตัวเข้าใกล้ กระซิบชิดริมฝีปาก “คุณจะเป็น
เลือดหวานของผมตลอดไป” เสียงนั้นจบลงเมื่อริมฝีปากของทั้งคู่แนบชิดกัน
หลังผ่านจูบร้อนแรงขยี้สายตาคนรอบข้าง ทั้งสองก็จูงมือกันเดินจากไปพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าที่ไม่ว่าใครมองเห็นก็รับรู้ถึงความรักของทั้งคู่
END
คำว่าเลือดหวาน อาจไม่ได้หมายถึงการเป็นอาหารที่แสนอร่อยสำหรับทั้งคู่ แต่คือการเป็นคนรักที่ผูกพันยิ่งกว่าสิ่งใด
ตอนนี้คงต้องบอกว่า “จบแล้วจ้า” กับการเขียนกว่า 6 เดือน ขอบคุณคนอ่านทุกท่านที่ติดตาม แวะเข้ามาอ่าน มาให้กำลังใจ มาคอมเม้นต์ให้ เราอ่านทุกข้อความ ล้วนเป็นกำลังใจให้เราได้เสมอ สำหรับเรื่องนี้เป็นนิยายเรื่องที่สามแล้วที่เขียน และยังต้องปรับปรุงพัฒนาอีกมาก หากมีข้อบกพร่องตรงไหนก็ขออภัยด้วยนะคะ หรือหากมีข้อเสนอแนะก็คอมเม้นต์บอกเราได้เลยค่ะ ยินดี
สุดท้ายนี้หวังว่าจะได้พบกันในเรื่องใหม่นะคะ
LOVE YOU MY READER