ตอนพิเศษ รุก รับ
อย่างที่บอกไปเมื่อตอนที่แล้วว่าผมกับพี่ปั้น เราสองคน ‘เป็นแบบเดียวกัน’ ไม่รู้จะมีใครจำได้หรือเปล่า แล้วก็ไม่แน่ใจว่ามีใครเอะใจไหมกับประโยคนี้ของผม แต่ถ้าใครเก็ตแล้วผมก็ขออนุญาตอายนิดนึง ฮ่าๆ
คือจริงๆ เรื่องนี้ผมปรึกษาพี่ชายคนสนิทแล้ว ซึ่งเขาก็บอกว่าของแบบนี้ไม่สำคัญ อยู่ที่คนสองคนมากกว่า อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจ แต่สำหรับผม ถ้าถามว่าสำคัญไหม ผมเรียกว่า เป็นส่วนประกอบหนึ่งของคู่รักดีกว่า
ส่วนใครที่ยังไม่เก็ตผมจะบอกให้ว่า ‘แบบเดียวกัน’ ของผมกับพี่ปั้น นั่นคือ เราเป็น ‘ฝ่ายรับ’ เหมือนกัน ทีนี้หลายๆ คนที่เพิ่งทราบก็ต้องตกใจใช่ไหมครับ ว่าพอผมกับพี่ปั้นเป็นแฟนกัน แล้วแบบนี้ใครจะเป็น ‘ทำ’ ฮ่าๆ คำพูดดูจะติดเรตนิดนึงไม่ว่าจะกันครับ เรื่องนี้แหละที่ทำให้ผมกำลังเครียดอยู่ครับ คือไอ้ว่ามีความสุขพอเป็นแฟนกันแล้วมันก็โอเคครับ
ตอนเช้าผมกับพี่ปั้นก็เจอกันหน้าคณะฯ ส่วนหนึ่งเพราะผมอยู่หอครับ แต่พี่ปั้นเขาอยู่บ้าน เราเลยคิดว่านัดมาเจอกันตอนเช้าที่มหา’ลัย แล้วกินข้าวเช้าด้วยกันดีกว่า แล้วค่อยแยกย้ายไปเรียนตัวใครตัวมัน ตอนเที่ยงเราก็นัดกันที่ซุ้มหน้าคณะฯ อีกครั้งเพื่อไปทานอาหารกลางวัน จะเป็นโรงอาหารคณะบ้าง หรือไม่ก็ห้างแถวนี้บ้างแล้วแต่อารมณ์ครับ ส่วนตอนเย็นถ้าใครไม่มีธุระจำเป็นที่ไหน เราก็จะไปดูหนัง กินข้าวเย็นด้วยกันบ้างตามประสาเป็นบางครั้ง บางทีก็ชวนกันไปนั่งที่สวนสาธารณะที่่ผมชวนพี่ปั้นไปครั้งที่สารภาพรักนั่นแหละครับ เป็นสถานที่ๆ เราสองคนชื่นชอบพอๆ กันครับ
ผมกับพี่ปั้น เราคบกันมาสักระยะหนึ่งแล้วครับ อืม...ถ้าเอาเป็นถ้าจะระบุเวลาชัดๆ ก็ประมาณสามเดือนครับ สามเดือนนี้ผมมีความสุขมากครับ ก็แหม...เราได้เป็นแฟนกับคนที่เราชอบเลยนะครับ ใจตรงกันแบบนี้ใครบ้างละจะไม่มีความสุข ใช่ไหมล่ะครับ
แต่อย่างที่บอกไว้ข้างบนว่า เรื่องเซ็กซ์นั่นทำให้ผมเครียดอยู่เหมือนกันว่าพี่ปั้นเขาจะคิดยังไง ...พี่ปั้นเขาเองก็น่าจะพอรู้บ้างนะครับ เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ผมขบคิดอยู่พอดู
ผมว่าเรื่องนี้ก็น่าจะเป็นองค์ประกอบหลักในการหาคู่ของใครหลายๆ คนเลย อย่างที่ผมเจอในอินทอร์เน็ตคุยกันครั้งแรกก็ต้องมีคำถามก่อนแล้วว่าคุณเป็นแบบไหน ถ้าขั้วต่างกันก็อาจจะคุยกันต่อ หรือคุณว่าไม่จริง ไม่งั้นก็อาจจะเปลี่ยนมาคุยแบบเพื่อนกันต่อไป
“เกมเป็นอะไรฮึเรา”
อยู่ๆ พี่ปั้นก็ถาม ทำเอาผมสะดุ้งเล็กน้อย เรื่องที่ครุ่นคิดแตกกระเจิงทันที
ตอนนี้เรามานั่งที่ม้าหินริมน้ำในสวนสาธารณะ สายลมอ่อนๆ ยามเย็นพัดมาให้รู้สึกไม่ร้อนนัก พระอาทิตย์ดวงโตใกล้จะตกดินเต็มทนแล้วครับ
ผมสะบัดหน้าไปมาก่อนจะยิ้มให้คนรัก
“ไม่มีอะไรครับ แหะๆ เกมก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย”
“เหรอ... แต่เหมือนมีเรื่องเครียดๆ มีอะไรปรึกษาพี่ได้ เราเป็นแฟนกันนะ”
ประโยคสุดท้ายทำเอาผมเขินนิดๆ แล้วก็ฉีกยิ้มแบบที่พี่ปั้นบอกว่าสดใสให้ไปอีกที ให้พี่เขาสบายใจ
“ไม่มีอะไรค้าบ เกมคิดเรื่องรายงานนิดหน่อยเอง”
“เอ้า...รายงานเหรอ แล้วไม่ถามพี่ล่ะ พี่ก็เรียนคณะเดียวกันนะได้ข่าว”
“ค้าบ ไว้เดี๋ยวจะโทรไปถามแล้วกัน ต้องไปดูก่อน อิอิ”
ผมว่าแล้วก็หัวเราะแก้เก้อ ปากหัวเราะก็จริง แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าพี่ปั้นจะเชื่อผมแค่ไหน ยิ่งเขาชอบมองตาผมอยู่ด้วยเวลาคุยกัน อย่างที่เขาว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของความคิด บางทีพี่ปั้นอาจจะไม่เชื่อที่ผมบอกก็ได้ แต่ก็ภาวนาขอไม่ให้เขาคิดไปในทางที่แย่มากนักก็แล้วกัน
เรื่องที่ว่าไปข้างบนทำเอาผมเครียดอยู่ตลอด จนถึงขนาดในคาบเรียนวิชาภาษาไทยที่ผมชอบ แทนที่จะตั้งใจฟังเป็นอย่างดีเหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้มันทนไม่ไหวจริงๆ เลยต้องสะกิดๆ ไอ้เพื่อนสนิทที่นั่งข้างๆ กัน ไม่ไหวละ ผมต้องการที่ปรึกษาอย่างด่วน
“ไอ้โวลต์ๆ”
“ไรมึง”
คนถูกสะกิดหันมามองผมนิดๆ แล้วก็ขานรับ มือของมันก็จดยิกๆ ตามที่อาจารย์ผู้สอนกำลังกดสไลด์เพาเวอร์พอยต์อยู่ ว่าก็ว่าเถอะ ไม่รู้ว่าแกจะกดเร็วไปไหน วันนี้ผมจดไม่ทันแล้ว ผมก็เลยไม่จดมันซะเลย ฮ่าๆ รอถ่ายเอกสารเลคเชอร์ไอ้โวลต์เอา
พอมันไม่สนใจ ผมก็สะกิดอีก มันทำหน้ายุ่งยากใจนิดหน่อย แต่ก็ยอมหันมามอง
“อะไรของมึงไอ้เกม กูจดไม่ทัน แล้วมึงก็จะไม่มีไปด้วยนะเว้ย”
“เออน่า กูมีเรื่องปรึกษา”
“ปรึกษาไรตอนนี้ กูจะจดเลคเชอร์ ไว้เลิกคาบค่อยคุยกัน”
แล้วคนพูดก็หันไปจดยิกๆ ต่อ ไม่สนใจอีกเลย ผมก็เลยนั่งหน้ามุ่ยตลอดคาบ เพราะไอ้เพื่อนเลวไม่ยอมสนใจ จริงๆ ผมว่าผมเลวมากกว่ามันนะเนี่ย จดก็ไม่จด รอลอก แถมยังไม่ช่วยเพื่อนอีก ฮ่าๆ แต่ไม่รู้แหละ ตอนนี้กูเครียดเว้ย แม่ง...
พอเลิกคาบ ไม่ทันไอ้โวลต์จะได้เก็บของยัดใส่กระเป๋าได้หมดดี ผมก็ลากมันหลุนๆ ออกจากห้องเรียน ไม่ฟังเสียงที่มันบอกให้ผมเบามือ
“เฮ้ย ไอ้เกม ลากอยู่ได้ ไรของมึ๊งงงงงง”
ไอ้เพื่อนคนแรกในมหา’ลัย ว่าผมเสียงสูง พลางสะบัดแขนตัวเองออกมาจากมือผม เมื่อเรามาอยู่ที่ม้าหินหน้าคณะกันเรียบร้อยแล้ว คราวนี้คนที่หน้ามุ่ยไม่ใช่ผมแล้วแต่เป็นไอ้โวลต์แทน
“กูมีเรื่องจะปรึกษา”
“เรื่องอะไรของมึง ถ้าไม่สำคัญ มึงเตรียมโดนกูด่าได้”
“สำคัญเว้ย สำคัญกับกู”
“เหรอ? กูว่าแบบนี้คงไม่สำคัญสำหรับกูแน่”
“เหี้ยเหอะ ปากนะมึง ไม่คิดจะช่วยเพื่อนเลย”
“เออ มีอะไรว่ามา”
ว่าแล้วมันก็นั่งโป๊ะลงบนม้านั่ง ตรงข้ามที่ผมยืนอยู่ ผมเลยนั่งลงตามมันบ้าง
“คือ กูแบบ...คือ...กู....”
“เอ้า...อะไรของมึง พอกูฟังเสือกไม่พูดสักที เอออืออยู่นั่นแหละ”
“ก็กูอาย นี่หว่า...”
“อาย? ห่า มันมีในสารบบมึงด้วยเหรอไอ้เกม”
“ไอ้โวลต์ไอ้ปากเสีย! แม่ง...”
“เฮ้ย ด่ากูอยู่นั่นแหละ จะได้รู้เรื่องอะไรกันไหมเนี่ยวันนี้”
“เออๆ กูขอโทษๆ” ผมแต่ได้ยกมือไหว้มันปะหลกๆ “คือกูจะปรึกษาเรื่องพี่ปั้น”
“อ่าฮะ... “
มันว่าอย่างสนใจฟัง แล้วก็เปิดเลคเชอร์ดูไปด้วย ไอ้นี่หนิ แยกประสาทสัมผัสได้หลายทางจริงเว้ย
“คือกูกับพี่ปั้นยังไม่เคยมีอะไรกันเลย”
“เออ....แล้ว” ไอ้โวลต์มันตอบอือออไป แต่แล้วก็ชะงักแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองผมอย่างรวดเร็ว “มึงว่าไงนะ”
“เออ นั่นแหละ แล้วกูแบบ...อยากถามมึงว่ากูจะทำยังไงดี”
“ยังไง? คือมึงอยากมีอะไรกับเขาเหรอ”
“อือ เอ้ย...ไม่ใช่”
“ยังไงละ”
ไอ้คนฟังปิดสมุดเลคเชอร์ แล้วก็หันหน้ามาจ้องผม จนใบหน้าผมที่แดงอยู่แล้ว เริ่มแดงมากขึ้นไปอีก กูอายนะ ไอ้เพื่อนเลว
“ก็กูเคยบอกมึงแล้วนี่ ว่ากูกับพี่ปั้นเป็นเหมือนกัน”
“เป็นเหมือนกัน เออ...แล้วมึงจะบอกกูว่า ไม่มีใครเริ่มว่างั้น...”
“ไม่ใช่เว้ย...คือมันก็ใช่ แต่แบบ...ปัญหามันอยู่ที่ว่าใครจะทำมากกว่า”
ผมพยายามกลืนน้ำลาย พร้อมทั้งความอายลงคอไปพร้อมๆ กันแล้วพูดออกมา แม้จะยากเย็น แต่มันก็จบลงไปจนได้ ไอ้โวลต์มองหน้าผม ก่อนจะทำท่าทางครุ่นคิดแล้วก็ยื่นมือมาจับหน้าผมหันไปหันมา จนผมงงว่ามันจะจับทำไม
“หน้าอย่างมึง...” มันยังคงจับหน้าผมอยู่ “กูว่าคงจับพี่เขากดไม่ได้แหง...”
มันว่าต่อ
“แล้วอย่างพี่ปั้น...กูก็ว่า...ท่าจะทำไม่เป็นมั้ง โดนกดมาตลอดมั้งน่ะ...”
ผมฟังมันสันนิษฐานแล้วก็ยิ่งเครียด มันปล่อยมือออกจากคางผม
“งั้นเอาไงดีอะ...กูจะทำยังไงดี”
ผมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แบบว่ามันเครียดจริงๆ นะ ก็แบบพี่ปั้นจะคิดยังไงอะ พี่ปั้นจะรู้สึกอะไรไหมเวลาอยู่ใกล้ผม พี่ปั้นจะอึดอัดไหมเวลาเราอยู่ด้วยกัน พี่ปั้นจะอยากทำแบบนั้นกับผมรึเปล่า คำถามต่างๆ ตีรวนไปหมดในหัวผม
“...นี่มึงอยากมีอะไรกับเขาขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ก็ไม่เชิงแบบนั้นหรอก...แต่กูก็แบบ คนเป็นแฟนกันอะ กูก็ไม่รู้พี่ปั้นรู้สึกยังไงอะดิ มึงเข้าใจกูไหม กูอธิบายไม่เก่ง”
“แล้วกูจะตรัสรู้ความคิดมึงไหม เออ กูเข้าใจมึง กูล้อเล่น มึงกำลังเครียดว่า ถ้าพี่ปั้นอยาก เออ กูขอใช้คำนี้นะ ฮ่าๆ แล้วแบบ มึงก็ทำให้ไม่ได้ พี่ปั้นจะรู้สึกแบบไหนใช่ไหมละ”
ไอ้โวลต์ถามผมยืดยาว ผมก็พยักหน้าตอบ จริงๆ ผมอยากจะพูดไปแบบนั้น แต่แบบเข้าใจไหมว่าพอมันเป็นเรื่องของเราเอง จะให้พูดไปเป็นช่องเป็นฉากแบบนั้นมันก็อดจะอายไม่ได้ ถึงแม้ว่าจริงๆ กับไอ้เพื่อนคนนี้ผมก็ไม่ค่อยได้มีความลับกับมันสักเท่าไหร่ ถึงแม้เราจะเพิ่งรู้จักกันไม่นานก็ตาม
“เอางี้...กูว่ามึงคุยกับพี่ปั้นเลยดีกว่า”
“เฮ้ย ถ้ากูจะคุยกับพี่ปั้นได้ แล้วกูจะมาปรึกษามึงเหรอ”
“อ้าว แล้วยังไง มึงจะบอกว่าถ้าพี่ปั้นต้องการ มึงจะพยายามกดพี่เขาเองงี้เหรอ”
“ไม่รู้ มึงว่ายังไงดี”
“ไอ้นี่ กูจะรู้กับมึงไหมเนี่ย เอางี้...เดี๋ยวกูหาหนังโป๊มาให้มึงดีกว่า ลองดูละกัน เผื่อจะมีแรงฮึดไปกดพี่ปั้น ฮ่าๆ”
“ไอ้บ้า...แม่ง แต่เออ ก็ได้วะ หามาให้หน่อยนะเว้ย กูไม่ค่อยได้ดูเท่าไหร่”
และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมต้องมานั่งดูหนังอย่างว่าอยู่ตอนนี้
ไอ้โวลต์ แม่ง ไม่รู้หามาจากไหนหลายแผ่น ผมเปิดผ่านๆ อยู่สองสามแผ่น ไม่รู้จะเริ่มดูยังไง คือไม่ได้ไม่รู้ว่าดูยังไง แต่แบบพยายามจะจดจำฝ่ายที่ ‘รุก’ ว่าเขาทำกันยังไง แม้จะดูๆ ไปแล้ว ตัวเองจะไม่สงบเท่าไหร่ก็ตาม สู้โว้ย!
(ต่อ)