“เกมๆ”
“คะ ครับ...”
“เหม่ออีกแล้วนะเรา”
“โทษฮะ แหะๆ”
“เพลงนี้เพราะดีเนอะ นักร้องเสียงหวานมาก”
“ชื่อเพลงอะไรอะพี่ปั้น เกมไม่ค่อยได้ฟังเพลงเท่าไหร่”
“อ๋อ...” คนถูกถามทำท่านึกนิดนึง คงเพราะไม่แน่ใจเหมือนกันละมั้ง “เพลง ลอง ของ ซิงกูลาร์”
“ซิงกูลาร์ ที่มีสองคน ใช่ป่ะครับ เหมือนเกมเคยเห็นในทีวีบ้างเหมือนกัน”
ไม่ทันได้คุยกันต่อ ไอศกรีมที่ผมกับพี่ปั้นสั่งเอาไว้ก็ถูกยกมาวางตามรายการ แล้วเราสองคนก็หยิบช้อนเตรียมอาวุธก่อนจะจัดการไอศกรีมตรงหน้า ในขณะที่กินไปผมก็อดจะมองหน้าอีกฝ่ายไปด้วยไม่ได้
ผมไม่รู้ว่ารอยยิ้มของคนตรงหน้าตรึงสายตาของผมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ขณะที่อีกฝ่ายหัวเราะ อีกฝ่ายเล่าเรื่องตลกให้ผมฟัง อย่างเรื่องที่เขาเป็นคนซุ่มซ่ามเดินชนนั่นชนนี่บ่อยๆ หรือโก๊ะเป๋อถึงขนาดหยิบบัตรนิสิตสแกนเพื่อเข้าจุดสแกนรถไฟลอยฟ้าแทนบัตรของจริง
ในขณะที่ปากกำลังเล่าเรื่องราวต่างๆ สายตาของเขาก็ระยิบระยับ น่ามองจนผมต้องหยุดสายตา แล้วก็ต้องยิ้มตามคนเล่า
“...ถ้าไม่เคยลองทำตามหัวใจ
จะรู้ได้ไหมว่าเราจะไปได้ไกลสักเท่าไร
แค่เท่านั้น แค่เธอได้ลองก้าวไป
ถ้าเธอต้องการคำอธิบาย
แต่ไม่เคยลองไปค้นให้พบ แล้วมันจะดีไหม
ก็ไม่รู้ความจริงอยู่ตรงไหน...”
เนื้อเพลงที่ผ่านหูไปในขณะที่อยู่ในร้านไอศกรีมทำให้ผมต้องกลับมาทบทวนความรู้สึกของตัวเองอีกครั้ง ว่าจริงๆ แล้วผมชอบพี่เขาจริงๆ หรือเปล่า หรือเป็นแค่ความรู้สึกชั่วครั้งชั่วคราว เพราะแค่คำว่า “ชอบ” อาจจะหมายถึงเพียงแค่คำว่า “ปลื้ม” เหมือนที่เราชื่นชมดารานักร้องในโทรทัศน์ก็เป็นได้
อีกอย่างหนึ่งระยะหลังมานี้ผมได้มีโอกาสรู้จักกับคุณแม่ ซึ่งเป็นแม่ของพี่ปั้น คุณแม่ใจดีมาก ถึงขนาดว่าฝากเสื้อกันหนาวมาให้ ครั้งผมบ่นกับพี่ปั้นว่าเสื้อกันหนาวหายเพราะลืมไว้ที่ไหนสักแห่งแต่ตัวเองก็จำไม่ได้ แล้วพี่ปั้นก็ไปบ่นเล่นๆ กับคุณแม่อีกที หรือแม้กระทั่งพี่ปั้นเล่าว่า คุณแม่ซื้อวีตาร์มาเสียเยอะแยะ พร้อมทั้งบอกว่าแม่จะให้ลูกชายคนเล็กอีกคน ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าท่านนับผมเข้าเป็นลูกชายอีกคนแล้วนั้น ถ้าคุณแม่รู้ว่าผมคิดอะไรแบบนี้กับลูกชายเขา จะว่ายังไงนะ
“พี่เกิ้ล เกมมีเรื่องปรึกษาหน่อย”
ไวเท่าความคิด มือก็คว้าโทรศัพท์หาที่ปรึกษาทันที
พี่เกิ้ลเป็นคนที่ผมพอจะพูดคุยและปรึกษาได้เวลาที่มีเรื่องกังวล และนี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมน่าจะได้คำปรึกษาที่ดีจากพี่เขา ผมคิดอย่างนั้นนะ...
“ว่า ว่า”
“คือ...เกมชอบคนๆ หนึ่งอยู่”
“แล้ว...”
“แต่เกมคิดว่า เราคงไม่สามารถรักกันได้...มั้ง”
“เพราะว่า”
“...ไม่รู้ดิ เกมรู้สึกอะ คืออย่างแรกเลยไม่รู้พี่เขาคิดยังไง”
“แล้วยังไงต่อ...”
“เพราะเกมกับพี่เขา ‘เป็นแบบเดียวกัน’ น่ะ...
เออ...แล้วเกมก็กลัวว่าถ้าเลิกกัน แล้วต้องทำงานด้วยกันก็อาจจะมีปัญหาด้วย...”
“แต่ก็บอกพี่ไม่ใช่เหรอว่าชอบเขา”
“ก็ชอบไง...เกมชอบฟังเขาบ่น เขาระบาย มันทำให้รู้สึกว่าตัวเองแบ่งเบาความรู้สึกของเขาได้ เราสามารถเป็นที่ปรึกษาให้เขาได้ แต่ก็นั่นแหละ...เกมก็ไม่รู้ว่าเขารู้สึกยังไง อาจจะรู้สึกว่าเกมเป็นแค่น้องชายคนนึง”
ผมบ่นไปยืดยาว แต่พี่เขาก็ทนฟังจนจบประโยค ไม่รู้หลับไปก่อนรึเปล่า
“แล้วเกมก็แคร์พี่เขามาก...มากจนกลัวว่า...ไม่อยากเสียเขาไป ถ้าเราต้องเลิกกัน”
“อืม...”
“แน่ใจไหมว่าชอบเขา...”
“ก็แน่ใจนะเกมบอกแล้ว คิดแล้วด้วย แต่เกมกลัว กลัวเพราะอะไรหลายๆ อย่าง กลัวมันจะไม่เป็นอย่างคิด แล้วจะเสียไปทั้งหมด”
ผมได้ยินเสียงตอบรับในคออย่างเข้าใจของอีกฝ่ายจากปลายสายโทรศัพท์
“คือในความรู้สึกพี่นะ เกมคิดเกินปัจจุบันไปหน่อย คือตอนนี้ยังไม่เกิดขึ้น แต่เกมคิดว่า ถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนี้ ไปคิดถึงอนาคต ทั้งๆ ที่ยังไม่เกิด...”
“ครับ...”
“ถ้าถามความเห็นพี่นะ ก็อยากให้น้องมีความสุข...
ถ้าความสุขของเราคือการเห็นเขามีความสุข แล้วเราก็พร้อมที่จะทำให้เขามีความสุข
พี่อยากให้เราลอง...ลองทำให้เขามีความสุข
ลองทำตามหัวใจตัวเองสักครั้ง...”
คำแนะนำของพี่ชายคนสนิททำให้ผมต้องนำความรู้สึกของตนเองมาคิดทบทวนอีกครั้ง พี่เกิ้ลบอกว่าผมคิดมากเกินไป คิดไปในสิ่งที่ตนเองยังไม่จำเป็นต้องกลัว...
สายลมอ่อนๆ พัดพาเข้ามาจากสระน้ำที่อยู่ตรงหน้า ระลอกคลื่นซัดเป็นวงเล็กใหญ่ก่อนแตกกระจายเข้าหาฝั่ง แสงอาทิตย์ยามเย็นอาบไล้ท้องน้ำจนกลายเป็นสีส้มเกือบทั้งสระ
ผมกำลังนั่งอยู่บนม้าหินตัวเดี่ยวไม่ไกลจากขอบฝั่งนั้นนัก สองแขนพาดเอาไว้บนพนักพิงทั้งสองด้าน พลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่กำลังมืดลงเรื่อยๆ และแสงไฟจากหลอดนีออนถูกเปิดขึ้นให้ความสว่างแทนที่
ขณะนี้พระอาทิตย์ดวงโตกำลังลับขอบฟ้า...เวลาดำเนินเคลื่อนไปเรื่อยๆ
ใช่...เวลาผ่านไปทุกเมื่อ...
หรือผมจะปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ แบบนี้... โดยไม่ได้ทำอะไรเลย
ความรู้สึก ‘ชอบ’ หรือ ‘รัก’ อาจไม่ได้หมายถึง การได้ครอบครองเป็นเจ้าของ
แต่การได้รับความรู้สึกแบบเดียวกันตอบกลับมา กลับเป็นความหวังที่อยู่ในใจตัวเองอยู่ลึกๆ มิใช่หรือ...
ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังตัดสินใจทำลงไปจะได้รับผลอย่างไรตอบกลับมา มันอาจทำให้ผมมีความสุขที่สุดในโลก หรืออาจทำให้หลายสิ่งหลายอย่างที่ผมแสนเสียดายมันอันตรธานหายไปอย่างที่ใจกลัวหรือเปล่า
ผมไม่อาจรู้ได้ แต่...ถึงอย่างไรผมก็พร้อมจะยอมรับผลของมัน
ผมตัดสินใจแล้ว... อยากลอง
ลองทำตามหัวใจตัวเอง...สักครั้ง
“เรียกมามีอะไรรึเปล่าเนี่ย ค่ำแล้วนะเรา ไม่กลับบ้านอีก”
พี่ปั้นบ่นอะไรยืดยาวอย่างไม่จริงนัก แต่เขาก็ยอมมาตามที่ผมโทรศัพท์ไปชวนให้มาหาที่สวนสาธารณะใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัยแห่งนี้
เขายังอยู่ในชุดนิสิต เสื้อสีขาวถูกพับแขนยาวรั้งไว้แค่ศอก ชายของมันถูกดึงออกมานอกกางเกงสแลค เป้ใบเก่งที่เจ้าตัวสะพายติดหายเสมอๆ รั้งอยู่บนไหล่ข้างขวา พร้อมมือของขาวๆ ที่จับเอาไว้อีกที คาดว่าเจ้าตัวเพิ่งเลิกเรียนหรือไม่ก็กำลังนั่งคุยเรื่องงานกับเพื่อนอยู่ที่คณะฯ
“นั่งสิครับพี่ปั้น”
“ครับ...”
ผมว่าแล้วก็มองออกไปยังสระน้ำที่กว้างขวาง ขยับที่ให้อีกฝ่ายได้นั่งลงข้างๆ กัน เสียงพี่ปั้นดึงเป้ออกมาไหล่ ก่อนจะตามลงมานั่ง เก้าอี้ไม่ได้ตัวใหญ่มากนัก ขาของเราสองคนจึงเกือบๆ จะติดกันจนผมรู้สึกถึงความร้อนของอีกคน
เงียบไปหลายนาที เพราะผมเองกำลังรวบรวมกำลังใจอยู่
ไม่แน่ใจว่าพี่ปั้นมองตนเองด้วยสายตาแบบไหน แต่ผมก็เห็นด้วยหางตาว่าเขามองไปข้างหน้าบ้าง แล้วก็หันมาทำหน้าแปลกใจกับปฏิกิริยาที่แปลกไปของผมบ้างทว่า...ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมาอีกหลังจากนั้น
“พี่ปั้นครับ...”
“ครับ?”
คราวนี้ผมหันกลับมามองคนข้างๆ บ้าง คนที่ตอบรับเองก็หันมาหาผม ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามเช่นกัน ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด มองตอบสายตาของคนตรงหน้าที่นิ่งฟังอย่างตั้งใจ
“พี่ปั้นจำเพลง 'ลอง' ได้ไหมครับ”
อีกฝ่ายทำหน้างงๆ ก่อนจะพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าจำได้
“ลอง” เพลงที่ได้ยินบ่อยๆ เพลงนั้น กำลังบรรเลงคลออยู่ในหู
ก่อนผมจะเปล่งเสียงร้องออกมาอย่างที่ใจต้องการ...
“...รออย่างนั้น รอให้ฝันเป็นจริงสักครั้ง
รออย่างนั้น ก็ไม่รู้สักที
ถ้าไม่เคยลองทำตามหัวใจ
จะรู้ได้ไหมว่าเราจะไปได้ไกลสักเท่าไร
แค่เท่านั้น แค่เธอได้ลองก้าวไป...”
ผมผ่อนลมหายใจเล็กน้อยเมื่อเนื้อเพลงท่อนที่ต้องการสื่อให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกจบลง ทว่าใบหน้าของพี่ปั้นก็ไม่ได้คลายความสงสัย เขาไม่ได้พูดขัดตอนผมเปล่งเสียงร้องออกมา หนำซ้ำยังดูตั้งใจฟัง แต่ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเข้าใจหรืออย่างไร คงจะงงมากว่าผมร้องเพลงนี้ให้เขาฟังทำไมตอนนี้
“เกมอยากบอกพี่ปั้นว่า...
เกมชอบพี่ปั้น เกมอยาก ‘ลอง’ ทำตามหัวใจดูสักครั้ง...
ถ้าพี่ปั้นไม่พอใจเกมก็ต้องขอโทษด้วย เกมจะไม่มาให้พี่ปั้นเจออีก
เกม..เกม.. ขอโทษครับ เกมไปแล้วดีกว่าครับ”
ปฏิกิริยาที่นิ่งอึ้งของคนฟังทำให้ผมตกใจจนลิ้นพันกันจนไม่รู้จะเอ่ยคำไหนก่อน รู้สึกเสียใจที่ไม่น่าปล่อยให้คำพูดที่ควรจะเก็บกักไว้กับตัวเองหลุดออกไป พาลทำให้อีกคนมีอาการและความรู้สึกแบบนี้ พี่ปั้นอาจจะไม่พอใจหรือไม่ชอบก็ได้
พูดอย่างที่อยากต้องการจบก็รีบลุกขึ้นยืน ทว่าขณะที่กำลังจะก้าวขาเดินออกไป ผมก็รู้สึกว่าข้อมือถูกใครบางคนที่อยู่ข้างหลังจับไว้จนต้องหันกลับไปมองพี่ปั้นที่ยืนขึ้นจนเต็มความสูงแล้วมองผม
ใบหน้าของเขาคลายความตกใจ ตอนนี้ปรากฏเป็นรอยยิ้มกว้างขวางที่เจ้าตัวมีให้ผมอยู่เสมอแทนที่
“ พี่เองก็อยากจะ ‘ลอง’ ทำตามหัวใจตัวเองดูบ้าง...
แต่เราไม่จำเป็นต้อง ‘ลอง’ ฝ่ายเดียวหรอก
เพราะพี่ก็ชอบเกมเหมือนกันครับ...”
“...ถ้าไม่เคยลองทำตามหัวใจ
จะรู้ได้ไหมว่าเราจะไปได้ไกลสักเท่าไร
แค่เท่านั้น แค่เธอได้ลองก้าวไป
ถ้าเธอต้องการคำอธิบาย
แต่ไม่เคยลองไปค้นให้พบ แล้วมันจะดีไหม
ก็ไม่รู้ความจริงอยู่ตรงไหน
สักที...”
---
Never Ending ขอบคุณนะครับที่อ่านกันจนถึงบรรทัดสุดท้าย
เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก "เพลง"
จริงๆ ก่อนหน้านี้ก็เคยแต่งเรื่องสั้นที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเพลง
ลองอ่านดูได้ครับจากลิงก์ข้างล่าง
เรื่อง ใกล้กัน...ยิ่งหวั่้นไหว
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=5667.0เรื่อง หวง - บอกให้รู้ว่ารัก - โทรมาว่ารัก - ดื่ม และ กฎของแฟนเก่า
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=1470.0แนะนำเพิ่มเติมครับ
เรื่อง La situation de l'amour
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=517.0แต่ละเรื่องก็จะมีตัวละครและเหตุการณ์เืชื่อมต่อกันครับ
เรื่อง เรื่องบังเอิญของความรัก
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2806.0ขอบคุณอีกครั้งครับผม ^^