25
...เพราะคนไม่จำเป็นก็ต้องเดินจากไป
ถึงแม้ว่าภายในใจจะรักเธอแค่ไหน
เพราะคนไม่จำเป็นก็ไม่ควรอยู่ตรงนี้
ก็ฉันนั้นเข้าใจดีว่าเธอไม่ต้องการ
ยอมจากไปพร้อมน้ำตาเป็นคนที่ไร้ค่า
เพราะเป็นความจำเป็นของคนไม่จำเป็น...*
“พี่...พี่หนึ่ง”
“หือ...” คณิตขานรับเสียงเบา เมื่อถูกเรียก มือของเด็กหนุ่มหน้าใสแตะข้อศอกเขาแบบกล้าๆ กลัวๆ...ใบหน้าเบิกฟ้าพร่ามัวในสายตาเขาเหลือเกิน
“ไม่เป็นไรนะพี่ ไหวไหม กลับกันเถอะ”
“ไหว ชอบยี่ห้อไหน เลือกเลยนะ ไอ้ชิตให้บัตรมาแล้ว” คณิตบอกเด็กหนุ่ม
เขากับเบิกฟ้าตั้งใจจะตั้งวงเหล้ากันคืนนี้ หลังจากเมื่อคืนพลาดไปก่อน เนื่องจากพายุชิตตะวันลงกลางห้องครัวยันไปกลางเตียง กว่าเด็กหนุ่มหน้าใสจะปีนลงจากเตียงได้ก็เกือบบ่ายสอง ถึงร่างกายจะระบม สิ้นสภาพ เหมือนโดนสูบวิญญาณไปจนหมดตัว แต่เบิกฟ้าก็ฟื้นคืนสภาพได้เร็วมาก
“ผมว่าพี่ไม่ไหวแล้วล่ะ กลับเถอะ”
ฝ่ายเด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรนและเป็นห่วง คณิตยังไม่เข้าใจ จนกระทั่งขวดเหล้าถูกแย่งไปจากมือ เบิกฟ้าวางมันไว้บนชั้นที่เขาเพิ่งหยิบออกมา
“ป่ะ กลับก่อน ไว้เดี๋ยวผมกลับมาซื้อเอง” ใบหน้าพร่ามัวของเบิกฟ้าไม่ต่างจากน้ำเสียงที่เปล่งออกมา...สงสาร
สงสารเขาใช่ไหม?
“พี่ไม่...อึก...ไม่เป็นไร...” คณิตเพิ่งรู้ว่ามือเขาสั่นมาก ในจังหวะที่ท่อนสุดท้ายของเพลงลากเบาและจบลงแบบบาดลึกในอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความทรมาน มันเหมือนมีอะไรบางอย่างฉุดเขาให้ทรุดลงไปกองบนพื้นผิวเย็นเฉียบ
...ยอมจากไปพร้อมน้ำตา เป็นคนที่ไร้ค่า
เพราะเป็นความจำเป็นของคน
ไม่จำเป็น...*
ท่ามกลางเสียงเพลงบทใหม่ที่เริ่มต้นขึ้น บทเพลงรักหวานซึ้งบอกเล่าถึงความรักชั่วนิจนิรันดร์ แต่คณิตยังจมอยู่กับบทเพลงที่เพิ่งจบไปเมื่อนาทีก่อน กับเสียงร่ำไห้ที่ดังจนทุกคนในบริเวณนั้นได้ยิน ชายหนุ่มไม่ทันได้เห็นสายตาของผู้คนในซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เดินผ่านไปมา แต่ละคนเหลือบมองมาด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นผสมกับความสังเวช ต่างก็นึกเดาไปถึงสาเหตุมากมายที่ทำให้ผู้ชายคนหนึ่งนั่งกอดเข่าร้องไห้อย่างเจ็บปวด
“พี่...”
เบิกฟ้าเรียกเขา แต่เขาไม่แรงตอบกลับให้เจ้าตัวคลายกังวลใจได้เลย
“โอ้ย...จะทำไงดีวะ...ต้องโทรหาพี่ชิต...ใช่แล้ว!...ต้องโทรหาพี่ชิต...รับเร็วๆ สิวะพี่...พี่ชิตรับหน่อย...แสงรับมือคนเดียวไม่ได้นะเว้ย”
...เด็กน้อยหนอ ต่อหน้าชิตตะวันทำปากเก่งขึ้นมึงกู ลับหลังกลับเรียกชื่อ แถมให้เกียรติเรียก ‘พี่’ อีกแน่ะ คณิตนึกอย่างขำๆ แต่ร่างกายกลับร้องไห้ไม่หยุด น้ำตามันมาจากไหนเยอะแยะวะ
“มึง! พี่หนึ่งร้องไห้ กูไม่รู้จะทำยังไง มึงรีบมาเร็ว...กูไม่รู้ อย่าถามมากได้ไหม...ไม่รู้ๆๆ...โธ่เว้ย! เค้นจังวะ...คิดอยู่...หรือเป็นเพราะเพลงที่ห้างเปิดวะ...กูก็ไม่แน่ใจนะ ตอนแรกพี่หนึ่งก็ปกติไง ยังเผามึงให้กูฟังตั้งหลายเรื่อง แต่พอเพลงคนไม่จำเป็นดังขึ้นเท่านั้นแหละ พี่หนึ่งก็สติหลุดไปเลย...ก็กูพยายามจะพาพี่หนึ่งไปที่รถแล้ว แต่พี่หนึ่งไม่ยอมลุก...กูดึงแล้ว พี่เขาไม่ยอมให้ความร่วมมือไง...มึงขึ้นรถแล้วใช่ไหม...เร็วๆ เลย...กูกลัวพี่หนึ่งขาดใจตายซะก่อน...”
แค่ร้องไห้เองไอ้น้อง ไม่ตายหรอก แต่มันบ้าชะมัด! เขาพยายามจะร้องไห้ตลอดทั้งคืน กลับไม่มีน้ำตาสักหยด แต่พอเจอเพลง แม่ง...
“รู้สึกตัวแล้วติน”
เสียงใครวะ คุ้นๆ เหมือนเสียงคุณลม เมียรักไอ้ตินเพื่อนสนิทเขา ไม่ใช่หรอกมั้ง ไอ้ตินไม่น่าจะมาที่นี่ได้ มันไม่ถูกกับไอ้ชิต...หรือจะใช่
“หนึ่ง เป็นไงบ้าง”
นี่ก็เสียงเหมือนเพื่อนเขา
คนที่ร้องไห้จนเป็นไข้ นอนตัวร้อนทั้งคืนค่อยๆ ปรือตาขึ้นมา ลำบากพอสมควรเพราะเปลือกตาหนักกว่าทุกวัน แถมเบ้าตายังปวดร้อนจนอยากจะปิดเปลือกตาลงอีกรอบ คณิตเพ่งสายตามองคนที่ยืนล้อมรอบเตียงนอน พบว่าทั้งสามใบหน้าเป็นคนคุ้นเคยทั้งนั้น
“พวกมึงต่อยกันหรือเปล่าวะ” คนป่วยฝืนเสียงแหบแห้งของตัวเองถามออกมา ก่อนจะโล่งอกเมื่อใบหน้าของไอ้หนุ่มเลือดเดือดทั้งสองไม่มีสีช้ำแดงแต่อย่างใด
“เปล่าครับหนึ่ง พอดีมีกรรมการดี” ชิตตะวันเป็นฝ่ายตอบ หันหน้าไปทางสีฟ้าที่กำลังเลื่อนมือไปแตะแขนคนรักเป็นเชิงห้าม
“มึงอย่าแหย่มันสิวะไอ้ชิต” คณิตปรามเจ้าของบ้าน ชิตตะวันยิ้มไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทั้งห้องจึงเหลือเขา ภาคี และสีฟ้า “มึงกับคุณลมมาได้ไง...ปวดตัวจังว่ะ” ท้ายประโยคคณิตบ่นพึมพำกับตัวเอง เขาขยับตัวลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง มีสีฟ้าช่วยเอาหมอนสอดรองหลังให้
“มึงไม่สบาย เพ้อทั้งคืน จะพาไปหาหมอก็ไม่ยอมไป” ภาคีบอกเพื่อน สีหน้าของชายหนุ่มคลายความกังวลลงจากเมื่อคืนเยอะ เมื่อคืนเขาเป็นห่วงคณิตมาก เพื่อนทั้งไข้ขึ้นและเพ้อนักมาก ครั้นจะพาไปหาหมอ คนป่วยก็ดื้อ ดิ้นไม่ยอมไป ยังดีที่ยอมกินยา เขาและคนรักนั่งเฝ้าตั้งแต่ห้าทุ่มจนถึงเช้า ปาเข้าไปเกือบเที่ยงวัน เพื่อนถึงฟื้นคืนสติ
...คิดถึงเรื่องที่รู้และเหตุการณ์เมื่อคืนแล้ว ภาคียิ่งแค้นแทนเพื่อน
“อ้าวเหรอ” คณิตยังงงๆ จำได้ว่ากลับจากซุปเปอร์มาเก็ตในสภาพที่เดินผ่านใคร คนก็มองอย่างกับว่าเขาเป็นตัวประหลาด มีเขางอก มีหางโผล่ ทั้งที่เขาแค่เดินน้ำตาไหลเหมือนน้ำป่าทะลัก กลั้นสะอื้นจนตัวโยนเหมือนเด็กห้าขวบที่แม่ไม่ยอมซื้อของเล่นให้ เดินแทบไม่ไหว ชิตตะวันกับเบิกฟ้าต้องช่วยหิ้วปีกคนละข้าง กลับถึงบ้านก็ตรงเข้าห้องนอน ล้มตัวนอนร้องไห้ไม่ต่างจากคนบ้า เขาจำได้เท่านี้แหละ
นึกแล้วอายชะมัด เขาทำไปได้ไง ร้องไห้หนักขนาดนั้น
“มือไปโดนอะไรมา” คณิตเพิ่งสังเกตเห็นว่ามือข้างขวาของภาคีถูกพันด้วยผ้าก็อด
“เมื่อคืนโดนน้ำร้อนลวกน่ะหนึ่ง” เป็นสีฟ้าที่ตอบแทนคนรัก
“โง่นะมึง ทำยังไงให้น้ำร้อนลวกวะ” คณิตถามปนว่า แต่แทนที่เพื่อนจะตอบกลับยิงคำถามแทน
“ทำไมมึงไม่บอกกู ไม่มาหากูวะ” ภาคีเริ่มเรื่องที่อดกลั้นมาตลอดตั้งแต่เมื่อเย็นวาน มันช็อกแบบพูดไม่ออก แอบน้อยใจเพื่อนด้วยที่เห็นเขาพึ่งไม่ได้ มันถึงได้ไปพึ่งคนที่เป็นศัตรูกับเขามาตลอด “ถ้ามันไม่โทรไปด่ากู กูคงจะโง่ไปอีกนาน ไม่รู้ว่าเพื่อนกูโดนทำร้ายจนจะตายห่าอยู่รอมร่อ”
คณิตไม่แปลกใจที่ภาคีรู้เรื่องแล้ว ก็ขับรถมาถึงบ้านชิตตะวัน ไม่เป็นเพราะเรื่องที่เขาถูกอชิตะทิ้งแล้วหนีมาพักใจที่บ้านชิตตะวัน ภาคีคงไม่มีวันมาเหยียบบ้านของศัตรูหมายเลขหนึ่งแน่
“มึงก็พูดเว่อร์เกินไป กูจะตายห่าอะไรเล่า ยังหายใจเป็นปกติดีเว้ย อย่ามาดราม่า” คณิตเข้าใจว่าเพื่อนเป็นห่วง แต่เขาไม่ตายด้วยเรื่องแค่นี้หรอก...อย่างมากก็แค่ใกล้ตาย
“แต่มึงร้องไห้จนสลบ แล้วยังไข้ขึ้นอีกนะหนึ่ง” ภาคีบอกเสียงเข้ม หน้าเครียดขึ้น รู้สึกว่าตัวเขาเป็นเพื่อนที่ใช้ไม่ได้ ยิ่งนึกย้อนไปถึงเรื่องที่ผ่านมาระหว่างคณิตกับอชิตะ ไม่ว่าครั้งไหน เขาก็เข้าข้างอดีตนายจ้างตลอด เพราะเห็นอชิตะเป็นคนดี เป็นคนที่เขาเคารพมากคนหนึ่ง เมื่อเรื่องกลับกลายมาเป็นแบบนี้ เขาก็ละอายใจมาก เหมือนตัวเขาเป็นคนที่สนับสนุนเพื่อนให้ไปเจอกับเรื่องเลวร้าย “กูขอโทษมึงนะหนึ่ง กูน่าจะเชื่อมึง ช่วยมึง อยู่ข้างมึง แต่กู...กู..กลับไปเชื่อคนเหี้ยๆ อย่างมัน” เสียงของภาคีสั่น เจ็บปวดไปกับความเจ็บปวดของเพื่อนรัก มือนุ่มนวลของคนรักเอื้อมมากุมมือเขาไว้ เพื่อปลอบโยนอย่างที่ทำมาตลอดทั้งคืน
“มึงอย่าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้สิวะ แม่ง...ทำกูอยากร้องไห้นะมึง...อึก” เสียงคณิตแหบแห้งสั่นไหว อารมณ์ภายในกำลังถูกจับเขย่าอีกครั้ง ขอบตาเมื่อยล้าเริ่มร้อนขึ้น ไม่นานนักน้ำร้อนผ่าวก็ไหลอาบแก้ม ต้องรีบใช้หลังมือเช็ดทิ้ง “กูไม่เป็นไร...ดีซะอีก ตัวเหี้ยหลุดออกจากชีวิตกูซะที ได้ชีวิตกูคืนเลยนะมึงไอ้ติน มึงควรยินดีกับกู ถึง...อึก...ถึง...มันจะเจ็บ แต่กูก็...อึก...ไม่ตาย...”
...เขาไม่ตายสักหน่อย แค่เจ็บปวดเจียนตาย อีกไม่นานก็จะหายดี กลับมาเป็นคณิตคนเดิมได้อีกครั้ง
“แต่มึงเหมือนตายทั้งเป็น” เพราะคำเพ้อจากพิษไข้ของคณิต มันฟ้องความเจ็บปวดทั้งหมดของเพื่อนออกมา ทั้งน้ำตา คำอ้อนวอน ความเสียใจมากมายพรั่งพรูออกมาหมด ภาคีถึงได้เจ็บปวดและแค้นแทนเพื่อนอย่างมาก “มึงไม่รู้ตัวหรอก ว่ามึงนอนเพ้อทั้งคืน ละเมอเหมือนคนบ้า”
“ก็ไม่ได้ถึงขนาดนั้นสักหน่อย คนไม่สบายก็เพ้อไปเรื่อยเปื่อยแหละ มึงไม่ต้องจริงจังมาก” คณิตแก้ตัวไม่เต็มเสียง เนื่องจากเพื่อนทำหน้าจริงจังมาก เขาเองก็ไม่รู้ว่าเพ้อทั้งคืน ละเมอเหมือนคนบ้าอย่างที่ภาคีว่า มันเป็นแบบไหน เขาไม่เห็นด้วยสิ
“กูรู้สึกผิดว่ะ” ภาคีพูดขึ้น หลังจากเงียบไปสักพัก
“มันไม่ใช่ความผิดของมึง” เพราะมันเป็นความผิดของเขา ผิดตั้งแต่เป็นคนเริ่มต้นเอ่ยชวนอชิตะจูบกลางสระว่ายน้ำในคืนนั้น เขาก็แค่รับผลกรรม จ่ายหนี้ด้วยความเจ็บปวดของตัวเอง
“ตอนกูต่อยบอส กูว่ากูโมโหที่สุดแล้วนะ แต่พอมาเห็นสภาพมึงเมื่อคืน กูน่าจะต่อยให้มันหนักกว่านั้น เอาให้สาสมกับที่ทำมึงเจ็บ ทำเพื่อนกูเสียใจ”
“ห๊า! มึงกับบอสต่อยกัน” คณิตตาโต ถามอย่างตกใจ นึกภาพเจ้านายที่เคารพกับอดีตลูกน้องคนสนิทซัดหมัดใส่กันไม่ออกเลย แต่ใบหน้าของภาคีไม่เห็นจะมีรอยฟกช้ำดำเขียวตรงไหนเลย
“เปล่าหรอกหนึ่ง” สีฟ้าเป็นคนตอบแทนคนรัก “ตินต่อยอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนพี่อิง เขารู้ตัวว่าผิด เลยปล่อยให้ตินต่อยจนพอใจ”
คณิตฟังแล้วก็นึกห่วงขึ้นมาจับใจ เพราะความรู้สึกในใจที่มีต่ออชิตะ มันยังเท่าเดิม ยังไม่จางจากไปไหน...ครั้งก่อนก็ปล่อยให้ชิตตะวันต่อย ปล่อยให้พี่ชายสามคนของเขารุมกระทืบ ทำไมอชิตะชอบทำตัวเป็นกระสอบทรายนักนะ
“เป็นห่วงพี่อิงเหรอ?” ก็สีฟ้าถามตามที่เห็น อาการบนใบหน้าคนป่วยปิดไม่มิด ถามจบก็ถูกคนรักมองค้อนทันที
“มึงเป็นห่วง?” ถึงจะขัดใจที่คนรักถามคำถามที่แสลงหูตน แต่ภาคีจะโทษคนรักก็ไม่ได้ ในเมื่อเพื่อนแสดงสีหน้าว่าเป็นห่วงออกมาซะขนาดนั้น
“อืม...ห่วง” คณิตยอมรับอย่างง่ายดาย คร้านจะเถียงหรือปฏิเสธให้วุ่นวาย อาการบนใบหน้าเขาคงฟ้องหมดแล้ว “มือมึงไม่ได้โดนน้ำร้อนลวก แต่เป็นเพราะมึงต่อยบอสจนมือเจ็บใช่ไหม” คณิตอยากรู้ เพื่อนรักต้องต่อยอีกฝ่ายแรงขนาดไหนกันนะ มือถึงได้เจ็บจนต้องพันผ้าไว้...แต่คนที่ยอมเป็นกระสอบทรายน่าจะเจ็บกว่าหลายเท่า
“จะพูดว่ากูทำเกินไปหรือไง” ภาคีย้อนถามเสียงขุ่น มองหน้าเพื่อนตาขวาง
“กูแค่ถาม ไม่ได้ว่ามึงสักหน่อย” คณิตว่าเสียงอ่อน ภาคีกำลังด่าเขาทางสายตา ว่าเขาเจ็บแล้วไม่จำ ดันไปห่วงคนที่ทำเขาเจ็บ แทนที่จะเป็นห่วงมันที่ต่อยจนเจ็บมือ
“ตินต่อยพี่อิงก็จริง แต่ไม่กี่ทีเองหนึ่ง แต่ที่เจ็บจนต้องพันแผลไว้ เพราะเมื่อคืนตินโมโหตัวเองที่มีส่วนทำให้หนึ่งเป็นแบบนี้” สีฟ้าบอกความจริง ครั้งแรกที่บอกคณิตไปว่าภาคีโดนน้ำร้อนลวก เพราะไม่อยากให้คณิตรู้เรื่องเมื่อคืน ที่ภาคีโมโหจนควบคุมอารมณ์ตัวเองไว้ไม่ได้ ต้องระเบิดออกมาด้วยการชกกำแพงรั้วที่เป็นปูนแข็งๆ
“โทษตัวเองทำไมวะ” พอรู้ความจริง คณิตก็ดุเพื่อนทันที “มึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องกูกับบอสเลยนะ มันเป็นเรื่องของพวกกูสองคน มึงไม่เกี่ยว ไม่ใช่ความผิดของมึง อย่าโทษตัวเองอีกนะ กูขอ”
“แต่กูเสียใจหนึ่ง เสียใจที่กูเข้าข้างบอส เชื่อว่าบอสรักมึงจริง ไม่มีวันทำให้มึงเสียใจ นี่กูยังจำคำด่าของมึงได้ทุกคำ ถ้ากูฟังมึง เชื่อมึง ปกป้องมึง มึงก็ไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ เมื่อคืนมึงคงไม่รู้ ว่ามึงเพ้อเหมือนคนเสียสติ ทั้งหัวเราะ ร้องไห้ แล้วยิ่งมึงละเมอว่าอยากตายเป็นสิบๆ รอบ มึงจะไม่ให้กูรู้สึกผิดอะไรเลยหรือไง ในเมื่อกูช่วยคนผิด ถ้ากู...” ภาคีหยุดพูด เพราะเจ้าตัวกำลังฝืนกลืนก้อนหนักๆ ลงคอไปก่อน มือนุ่มนวลของคนรักลูบแขนเขาเป็นเชิงปลอบและให้กำลังใจ เขายิ้มให้สีฟ้า แล้วจึงเล่าความรู้สึกของตัวเองออกมาอีกครั้ง “ถ้ากูรู้ว่าบอสจะตัดสินใจแก้ปัญหาที่ตัวเองก่อ ด้วยวิธีที่ทำให้มึงเจ็บเจียนตาย กูคงไม่ขัดขวางไอ้ชิตกับมึงหรอก ถึงมันจะเจ้าชู้ แต่มันก็ทำให้กูเห็นว่ามันรอมึงมาตลอด กูน่าจะรู้นะว่ามันรักมึงเกินกว่าจะทำร้ายมึงได้ลงคอ”
“แต่มันก็มีคนของมันแล้ว มึงยังไม่เห็นหรือไง” คำพูดของภาคีก็ไม่ถูกนัก ที่ว่าชิตตะวันรอเขามาตลอด มันไม่ได้เป็นความจริงทั้งหมด ชิตตะวันรอเขาก็จริง แต่สุดท้ายก็รอไม่ไหว เขาเข้าใจชิตตะวัน ไม่ได้โทษที่มันหมดรักเขา เพราะถ้าเป็นตัวเขา เจอคนที่ใช่ ที่พร้อมเข้ามาในชีวิตเขา อยู่ข้างเขา ต้องการเขา และเห็นเขามีค่า เขาก็พร้อมจะเปิดใจ และจบการรอคอยที่ไม่เห็นปลายทางไปซะ
“กูหมายถึงก่อนหน้านั้น ถ้ากูไม่ขัดขวางมึงกับมัน มึงก็คงไม่ต้องเจ็บปวดกับความเห็นแก่ตัวของบอส”
“เลอะเทอะไปกันใหญ่แล้ว มึงเป็นเอามากนะ เรื่องก็แค่นี้เอง ยังกับกูเป็นคนแรกของโลกที่โดนเท โดนทิ้งแล้วไงวะ ต้องตายทุกคนหรือไง กูไม่ตายหรอกน่า เจ็บแค่มดกัด สองสามวันก็หาย” คณิตส่ายหน้าขำคำพูดของเพื่อน แม้ใจจะไม่ขำตามก็เถอะ เขาจำเป็นต้องแสดงความเข้มแข็งให้เพื่อนเห็น มันจะได้เลิกทุกข์ใจไปกับเรื่องที่จบไปแล้ว “คุณลมช่วยดูแลหน่อยนะครับ ดูมันอินกับเรื่องผมเหลือเกิน” หันไปบอกสีฟ้า แต่อีกฝ่ายดันเผาคนรักซะนี่
“ดูแลมาเกือบตลอดทางเลยละหนึ่ง” บอกด้วยรอยยิ้มล้อคนรัก “ขับรถออกจากกรุงเทพฯไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ผมก็ต้องเปลี่ยนมาขับแทน เพราะอะไรรู้ไหม” สีฟ้าถามคนป่วย ที่ส่ายหน้าทันทีที่ถูกถาม
คณิตจะรู้ไหม ในเมื่อไม่ได้นั่งมาด้วย
“ก็เพราะ...” สีฟ้าทิ้งจังหวะไว้นิดหนึ่ง เขามองหน้าคนรักเป็นเชิงเย้าแหย่ ภาคีหน้าแดง หันหน้าหนีไปอีกทาง “ตินร้องไห้จนขับรถต่อไม่ไหว ร้องไห้เหมือนเด็กเลยนะหนึ่ง ผมต้องปลอบเกือบครึ่งชั่วโมงแน่ะ กว่าจะหยุดปล่อยน้ำตาได้” ว่าแล้วเจ้าตัวก็หัวเราะมีความสุขที่ได้เผาคนรัก
“ร้องไห้เลยหรือครับคุณลม” คณิตถามอย่างไม่เชื่อ มันอาการหนักถึงขั้นร้องไห้เลยเหรอ เอ...ความจริงเพื่อนเขาก็เป็นประเภทอ่อนไหวง่ายนะ ตอนช่วงที่ยังไม่เข้าใจกันกับสีฟ้า ภาคีเคยร้องไห้เพราะกลัวสีฟ้าจะหนีไปจากมัน แต่ก็ไม่นึกไงว่าจะเสียน้ำตาเพราะเรื่องของเขาด้วย
“ใช่แล้ว ผมถ่ายรูปหลังร้องไห้ไว้ด้วยนะ หนึ่งอยากเห็นรูปผู้ชายขี้แยไหม” สีฟ้าถามกลั้วเสียงหัวเราะสดใส
“เอามาเลยครับคุณลม ส่งเข้าไลน์มาเลย” คณิตคิดจะเก็บรูปไว้ล้อเพื่อนในวันหลัง
“มันมีที่ไหนเล่า มึงก็เชื่อคนง่ายนะ” ภาคีบอกเพื่อน หน้ายังขึ้นสีแดงเพราะความอายที่ถูกคนรักเผาเรื่องที่เขาร้องไห้ ตอนนั้นเขาไม่ไหวจริงๆ ทั้งรู้สึกผิด สงสารเพื่อน โกรธและผิดหวังในตัวอดีตนายจ้างด้วย เขาเคารพอชิตะมาก ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่เขาหมดความเคารพนับถือคนคนนี้ได้ ซึ่งมันก็เกิดขึ้นแล้ว
“งั้นตินก็ว่าลมโกหกสินะ” สีฟ้าตีหน้ายุ่งก่อนจะยิ้มร้าย ดึงเอาโทรศัพท์เครื่องบางออกมาจากกระเป๋าทันที พอภาคีจะแย่ง สีฟ้าจึงวิ่งหลบไปยืนที่เตียงอีกฝั่งหนึ่ง พร้อมกับกดส่งรูปไปให้คนที่อยากได้ในเวลาอันรวดเร็ว “เรียบร้อยแล้วหนึ่ง หลักฐานที่ยืนยันว่าผมพูดความจริง”
เสียงสั่นสั้นๆ ดังมาจากโทรศัพท์บนโต๊ะข้างเตียงก่อนที่สีฟ้าจะพูดจบด้วยซ้ำ คณิตรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างเร็ว กดดูรูปที่สีฟ้าส่งมาให้ทันที
โห...ภาคีตาบวมแดงเป็นลูกมะนาวเลย
“มึงรักกูขนาดนี้เชียว” คณิตเงยหน้าขึ้นยิ้มล้อคนในรูป หันหน้าจอไปให้ดูด้วย ก่อนจะถูกสวนกลับ ชนิดตาเหลือกเลยทีเดียว
“สงสัยมึงอยากจะได้ ‘คลิป’ ตอนมึงละเมอเพ้อเจ้อเหมือนคนบ้าสินะ” ภาคีถามเสียงนิ่ง เจือรอยยิ้มของคนที่ถือไพ่ใบใหญ่กว่า
“กูไม่เชื่อ มึงไม่ได้ถ่ายไว้หรอก มึงหลอกกู หลอกกูแน่ๆ ใช่ไหม ใช่ไหมครับคุณลม” ประโยคหลังคณิตหันไปถามสีฟ้าที่เดินกลับมายืนข้างคนรักเหมือนเดิม
“ไม่มีหรอกหนึ่ง ตินโม้”
“ไอ้ห่าติน! หลอกกูได้นะ” ใจหายวูบเลยตอนที่เพื่อนขู่ ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้คนอื่นเห็น แต่เป็นเขาที่ไม่อยากเห็นตัวเองตอนสิ้นสภาพ เพ้อคร่ำครวญบ้าบออะไรออกมาตอนที่สติไม่มี ถ้าภาคีไม่พูดเกินจริง เขาละเมอว่าอยากตายด้วยเหรอ
“ลมก็...บอกมันทำไมครับ” ภาคีหันไปพูดเสียงน้อยอกน้อยใจใส่คนรัก
“อ้าว ก็ใครใช้ให้ตินโกหกเล่า สามครั้งแล้วนะ” สีฟ้าว่า แล้วแจกแจงว่าสามครั้งนั้น คือครั้งไหนบ้าง “ครั้งแรกโกหกลมว่าจะไปหาอะไรกินในครัว แต่ไปชกกำแพงทำร้ายตัวเอง ครั้งที่สองโกหกว่าลมไม่ได้ถ่ายรูปตินไว้ และครั้งที่สามก็โกหกเรื่องคลิป ต้องโดนลงโทษรู้ไหม” สีฟ้ายิ้มมีความหมาย เป็นความหมายที่รู้กันอยู่สองคน
“ไม่เอานะครับลม ตินก็ตายสิ” ...แย่แน่ในเมื่อ ‘หนึ่งคำโกหก’ เท่ากับ ‘หนึ่งสัปดาห์’ ที่เขาไม่ได้ส่งเจ้าลูกชายเข้าไปสัมผัสช่องทางรักของคนรัก
“ไม่รู้ล่ะ กฎต้องเป็นกฎ ถ้าไม่ปฏิบัติตามกฎ จะมีกฎไว้เพื่ออะไร”
“แต่ตินไม่ได้อยากให้มีกฎเลยนะ” ภาคีเถียงกลับ
เรื่องกฎที่ทำให้เขาอดดื่มด่ำร่างกายสีฟ้า มันเกิดขึ้นเพราะ...เขาโกหกสีฟ้าแล้วโดนจับได้
อันที่จริงครั้งนั้นเขาไม่ได้ตั้งใจโกหกสีฟ้า เพียงแต่ไม่อยากบอกเรื่องจริง เพราะรู้ว่าถ้าบอก สีฟ้าต้องโกรธและอาละวาดแน่ คือเขาไปพบลูกค้าแถวห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แต่ลูกค้าดันติดธุระสำคัญซะก่อน เลยเลื่อนนัดไปวันหลัง เขาก็เลยถือโอกาสแวะซื้อของกินของใช้ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตในห้างฯ แต่บังเอิญเจอนิรดาที่มาซื้อของเช่นเดียวกับเขา เลยหยุดคุยกัน คุยไม่ถึงห้านาทีเลยด้วยซ้ำ แต่กลับมีผู้หวังดีต่อภรรยาสุดที่รักของเขา ถ่ายรูปตอนเขาคุยกับนิรดาส่งไปให้สีฟ้า มันก็เกิดเป็นเรื่องสิ พอกลับถึงบ้านสีฟ้าถามว่าเขาไปไหนมา เขาก็ตอบตามความจริง โดยเว้นเรื่องไม่ถึงห้านาทีกับนิรดาเอาไว้ จากนั้นหลักฐานรูปถ่ายก็ถูกจ่อติดหน้าเขาทันที!
“อย่ามางอแงนะติน แล้วใครใช้ให้ตินโกหกลม ถ้าวันนั้นตินไม่โกหกลม บอกลมมาตรงๆ ลมก็ไม่ต้องมาเขียนกฎให้ตินปฏิบัติหรอก” นึกถึงวันนั้นแล้ว สีฟ้ายังโมโหไม่หาย ชื่อของนิรดายังเป็นอะไรที่จี้ต่อมจี๊ดของสีฟ้าได้เสมอ
“ก็ตินรู้ไง ว่าถ้าบอกแล้วลมต้องโมโหและอาละวาดแน่ ตินเลยไม่บอก”
“หึ! ไม่ต้องมาด่าทางอ้อมว่าลมเป็นคนเจ้าอารมณ์หรอกน่า ลมรู้ตัวดี ว่าลมเป็นคนเจ้าอารมณ์ ขี้โมโห โกรธง่าย ชอบอาละวาด ไม่มีเหตุผล เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ชอบก็บอกมาได้นะ ลมจะได้ไม่ทำอีก ตินจะได้มีความสุขกว่านี้ ทุกวันนี้อยู่กับลมแล้วไม่มีความสุขใช่ไหม” สีฟ้าร่ายยาว ทุกคำเต็มไปด้วยความน้อยใจ
“โธ่ลมครับ...ไปกันใหญ่แล้ว” ภาคีรีบดึงสถานการณ์กลับก่อนจะไปไกลกว่านี้ หันไปมองคณิตที่นั่งมองตาปริบๆ ยังไม่ทันส่งซิกให้เพื่อนหายตัวไปก่อน คณิตก็ช่างเป็นเพื่อนที่รู้ใจเหลือเกิน เจ้าตัวรีบลุกจากเตียงนอน เดินเข้าไปในห้องน้ำทันที เพราะคณิตก็อยากเข้าไปทำธุระส่วนตัวด้วยแหละ
“ใช่สิ ก็ลมเป็นคนชอบโวยวาย ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่นี่ ลมขอโทษที่ทำให้ตินเหนื่อยใจ กฎนั่นไม่ต้องมีก็ได้ ตินจะได้โกหกลมแบบไม่ต้องมีความผิดอีกต่อไป”
“โธ่ลม ไม่พูดประชดตินสิครับ” ทำไมเรื่องดราม่าของคณิต มันถึงได้กลายเป็นเรื่องดราม่าของเขาไปได้เนี่ย ภาคีคิดอย่างอ่อนใจ แต่ยังไงซะ เขาก็ต้องรีบง้อคนรักด่วน “มีกฎก็ดีนะครับ ตินจะได้ไม่กล้าโกหกลมอีกเลยไง นะครับ...ดีกันนะ” ภาคีดึงภรรยาสุดที่รักมานั่งบนตัก คนตัวเล็กดิ้นขัดขืน ไม่ยอมแต่ก็แพ้แรงกอดของคนตัวใหญ่
“ลมไม่ได้ประชด แต่ลมตามใจตินอยู่ไง ไม่อยากให้ลมตั้งกฎเอาเองตามใจชอบ โดยที่ตินไม่เห็นด้วย ลมก็ยกเลิกให้แล้ว ไม่ดีหรือไง ต่อไปจะได้ไม่ต้องมาว่าลมอีก” สีฟ้าถามกลับเสียงสะบัด เบี่ยงหน้าหลบริมฝีปากคนรักที่พยายามจะจูบง้องอนเอาใจ แต่ดันหนีไม่พ้น สามีสุดที่รักเก่งกาจกว่าเยอะ กลีบปากหวานก็เสร็จภาคีจนได้
จูบของภาคีช่างหวานและช่างง้องอน คนที่ร้อนเป็นน้ำต้มเมื่อครู่จึงเริ่มเปลี่ยนสถานะเป็นน้ำหวาน ชวนให้ภาคีหลงใหลชนิดถอนตัวไม่ขึ้น ต่อให้สีฟ้าจะเอาแต่ใจตัวเองแค่ไหน ภาคีก็ยินยอมเป็นคนที่คอยตามง้องอนและตามใจสีฟ้าทุกอย่าง
และคงจะไม่ใช่แค่จูบเพียงอย่างเดียว ภาคีพาสีฟ้าเตลิดไปไกลกว่าแค่จูบ เมื่อมือเผลอเลื่อนเข้าไปลูบไล้แผ่นหลังของคนตัวเล็ก จากนั้นก็ลากไล้มายังด้านหน้าบ้าง ใช้ปลายนิ้วสะกิดเม็ดสีหวานบนหน้าอกคนรัก ปลุกเร้าอารมณ์วาบหวาม ลืมคิดถึงสถานที่ เพราะพอได้สัมผัส มันก็หยุดไม่อยู่
ภาคีอยากสัมผัสทั้งหมดของร่างกายคนรักเสียแต่ตอนนี้ เผื่อว่าต้องทำตามกฎถึงสามสัปดาห์เต็ม!
“อื้อ...ตะ...ติน...มันห้อง...อื้อ...ห้องหนึ่ง...” เสียงห้ามกระท่อนกระแท่นแทรกสอดไว้ด้วยเสียงครางแผ่วเบา
“นิดเดียวครับ”
“อื้อ...มะ...ไม่นิด...ละ...อื้อ...แล้วนะ...ไม่เอา...อื้อ...”
‘นิดเดียว’ ของภาคีคือมือที่ล้วงต่ำผ่านขอบกางเกงชั้นในอย่างปรารถนา เลื่อนสัมผัสเข้ากับสิ่งนุ่มนิ่มเหมาะมือ และมันกำลังจะเริ่มเติบโตในอุ้งมือเขา
“เมื่อคืนก็ไม่ได้ทำ...แล้วคืนนี้ลมก็จะเริ่มต้นลงโทษติน” ริมฝีปากเร่าร้อนกระซิบบอกข้างใบหูเล็ก มือขยับปลุกเร้าเป็นจังหวะ
“ไม่นะติน...” สีฟ้าพยายามดึงมือคนรักออกจากส่วนอ่อนไหวของตน แต่ไม่สำเร็จ ภาคีดื้อจะสัมผัสเขาให้ได้ เขากำลังจะต้านไม่ไหว กลายเป็นว่าเขากำลังนั่งคร่อมทับอยู่บนตักของภาคีไปแล้ว
“นะครับลม...” คนตาโตส่งสายตาหวานฉ่ำด้วยอารมณ์ความต้องการ ลิ้นร้อนลากเลียเอาความหวานจากซอกคอขาว อันมีกลิ่นหอมที่เป็นกลิ่นประจำตัวของคนรัก พ่นลมหายใจอุ่นบนรอยเปียกชื้นให้สีฟ้าทรมานด้วยความต้องการแบบเดียวกัน
“แต่...” สีฟ้าเผลอลังเล
“แค่เสร็จคามือก็ได้ครับ” ภาคีดึงใบหน้าออกจากซอกคอขาว เพื่อมาส่งสายตาหวานอ้อนวอนคนรัก ใบหน้าสวยหวานเกินชายของสีฟ้ากำลังบอกเขาว่า เจ้าตัวเริ่มคล้อยตามไปกว่าครึ่ง
“แต่...มันมีเสียง...หนึ่งจะได้ยิน” สีฟ้ารู้จักตัวเองดี ยามที่อารมณ์ถึงจุดสิ้นสุด เสียงหวีดร้องสุขสมจะหลุดออกมาจากริมฝีปากตนได้ดังขนาดไหน
“ไม่ได้ยินหรอกครับ...เชื่อตินนะครับ...ลมคนดี...ช่วยกันนะครับ” เรื่องหลอกล่อภาคีเก่งนัก “ทำให้ตินหน่อยนะครับ...นะครับ ตินจะไม่ไหวแล้ว” ภาคีเร่งเร้าต่อด้วยสุ้มเสียงหวานเต็มไปด้วยความต้องการ เขาดึงมือคนให้เกาะกุมตัวตนร้อนจัดของตัวเอง ผ่านกางเกงยีนเนื้อหนา
“แต่หนึ่ง...”
“ไม่ได้ยินครับ มันไม่ได้ยินแน่นอน เชื่อตินนะครับลม”
มือเล็กที่เริ่มปลดหัวเข็มขัดของคนตัวใหญ่เป็นคำตอบสำหรับการร้องขอครั้งนี้ สีฟ้ายอมขับไล่ความอายออกไป ลองคิดซะว่าในห้องมีเพียงเขากับคนรัก...เพียงสองคน
“ขอบคุณครับ” ภาคีก้มหน้าเข้าหากลีบปากสีหวาน สัมผัสจากมือนุ่มนิ่มของคนรัก ปลุกปั่นให้อารมณ์กระพือปีก สีฟ้าสัมผัสตัวตนของเขาด้วยความอ่อนหวานแบบที่เจ้าตัวชอบทำ เพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น ริมฝีปากจะสัมผัสกันและกัน เพื่อให้เต้นรำเป็นจังหวะเดียวกับรสสัมผัสด้านล่างที่ต่างปรนเปรอให้กันและกันอยู่แล้วเชียว หากไม่ถูกขัดขวางซะก่อน
เสียงเปิดประตูห้องน้ำดังขึ้น ไม่ต่างจากระฆังตีหมดยก หรือไม่ก็ค้อนของผู้พิพากษาบนบัลลังก์ตัดสินโทษทัณฑ์ความผิด
“.....”
“....!”
“คือ...กูหิว กูไปก่อนนะ มึงต่อได้เลย ยกห้องให้” ว่าแล้วคณิตก็รีบสาวเท้าไปยังประตูห้อง กระชากออกอย่างรวดเร็ว ยังไม่พ้นออกจากห้องก็ได้ยินเสียงโวยวายของสีฟ้าดังลั่น เจ้าตัวคงอายมากที่ถูกเห็นภาพล่อแหลมแสนเซ็กซี่ เพียงนิดเดียวที่คณิตได้มีโอกาสเห็นใบหน้าแดงก่ำของสีฟ้า ร่างกายที่สั่นสะท้านตามอารมณ์ภายใน เขาบอกได้เลยว่าสีฟ้าโคตรเซ็กซี่ เสียงครางหวานอีกเล่า
มิน่า...เพื่อนเขาถึงหว่านล้อมจะเอาให้ได้ ยังมีหน้ามาหลอกล่อสีฟ้าด้วยว่า เขาไม่ได้ยิน!
สีฟ้าก็เชื่อ!
ไอ้ตินเอ้ย!! ไอ้หื่นขึ้นสมอง หื่นไม่ดูสถานที่ ห้องนอนก็เล็กแค่นี้ เตียงก็อยู่ห่างจากห้องน้ำไม่กี่ก้าว เขาที่ยืนสงบนิ่งมองภาพตาบวมช้ำของตัวเองผ่านกระจกเงาจะไม่ได้ยินได้ยังไงเล่า ถึงจะได้ยินแบบเบามากๆ ก็ตาม แต่หูเขาดีไง เบาแค่ไหนเขาก็ได้ยินและจับประเด็นได้
...จะว่าไปก็อิจฉาความรักของภาคีกับสีฟ้า ทั้งสองอยู่ด้วยกันด้วยความรักที่มีมายาวนาน ภาคีรักสีฟ้ามานาน เช่นเดียวกับสีฟ้าที่รักภาคีมากเช่นกัน เวลาสีฟ้างอน ภาคีจะคอยง้อจนสำเร็จ เขาไม่เคยเห็นครั้งไหนที่ภาคีเหนื่อยในการง้อสีฟ้า เพื่อนของเขาก็เป็นคนแบบนี้แหละ มันรักเดียว ใจเดียว ไม่ว่าผ่านไปนานกี่ปี ความรักที่มีให้สีฟ้า ไม่เคยหมด ไม่มีจืดจาง มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
สีฟ้าเป็นผู้ชายที่โชคดี ไม่รู้ว่าโชคดีที่สุดในโลกหรือเปล่า แต่โชคดีแน่นอนที่มีภาคีเป็นคนรัก ความรักของภาคีเป็นของจริงเสมอสำหรับสีฟ้า ไม่เคยเป็นภาพลวงตาแม้สักครั้งเดียว แต่ความรักของคนบางคน กลับไม่เคยมีอยู่จริง มีแต่หลอกลวงให้เจ็บปวด
เมื่อไรเขาจะโชคดีเหมือนสีฟ้าบ้าง...
จบตอนที่ 25
ก็เหลืออีก 7 ตอนแล้วนะคะ T^T
ตอนนี้คนเขียนก็กำลังปั่นอาร์ตเล่ม 2 อยู่
สนใจหนังสืออิงหนึ่ง ก็เก็บเงินรอได้นะคะ ^__^
สีเหลืองอ่อน