เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน
ทุกอย่างผ่านเข้ามาในชีวิตของฉันรวดเร็วเสียจนไม่มีเวลาได้แตกสลายเพราะความเศร้า
ตกหลุมรักระยะที่ 12
คืนนั้นผ่านพ้นไปโดยที่วินไม่ได้พูดอะไรอีก แน่นอนว่าตัวทิวาเองก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปเช่นเดียวกัน จบลงที่ต่างคนต่างแยกย้าย หลังจากที่กอดกันยาวนานจนทิวาแทบเผลอหลับคาไหล่อีกคนเลยทีเดียว
ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่ในตอนที่วินมายืนส่งที่หน้าห้อง สีหน้าไม่สบายใจของวินก็ทำให้ทิวาอดเป็นห่วงไม่ได้
หลายครั้งที่วินพูดเรื่องที่เขาไม่เข้าใจเอาเสียเลย ทั้งยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมบอกแต่อย่างใด ไหนจะเรื่องที่ตัวตนของเขาบนโลกนี้จู่ๆ ก็หายไปนี่อีก หลายอย่างที่เขาอยากรู้ แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็คล้ายกับถูกปิดบังไม่ให้พบคำตอบเสมอ ถึงในตอนนี้จะมีคนจำเขาได้แล้วก็ตาม
ราวกับว่าสิ่งที่ปิดกั้นค่อยๆ มีแรอยแตกร้าว จนทำให้ความจริงค่อยๆ หลุดลอดออกมา
ไม่รู้ว่าระหว่างรอยแตกนั้นขยายกว้างหรือตัวเขาพบคำตอบก่อน อะไรจะเกิดก่อนกัน
วันนี้ไม่มีใครอยู่ที่บ้าน ทุกคนไปยังบริษัทตั้งแต่เช้าเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับคอนเสิร์ตที่กำลังจะจัดขึ้นในสัปดาห์หน้า รวมไปถึงการจัดคิวซ้อมในสถานที่จริง แน่นอนว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีกแล้วตั้งแต่ที่ภัทรมารับหน้าที่เป็นผู้ช่วย ดังนั้นวันนี้จึงมีเพียงเขาคนเดียวที่นั่งกินข้าวเช้าในตอนแปดโมง ก่อนจะออกไปพบกับปัณอีกครั้งในช่วงสายของวัน
วันนี้พวกเขาไม่ได้นัดเจอกันในมหาลัยเหมือนเมื่อวาน แต่เลือกที่จะไปพบกันที่ร้านอาหารด้านนอก โดยปัณย้ำว่าวันนี้จะพาคนคนหนึ่งไปหา ซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าคงเป็นเดือนอ้ายและโรมแน่ๆ
หลังจากเดินทางมาถึงและใช้เวลาเดินเล่นฆ่าเวลาและพยายามจะไม่ให้ตัวเองตื่นเต้นมากจนเกินไป ทิวาก็มาถึงร้านที่นัดไว้ในที่สุด เมื่อมองไปรอบๆ ร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังจนกระทั่งไปบรรจบสายตาเข้ากับปัณที่นั่งมุมสุดของร้าน ทิวายิ้มและรีบเดินตรงไปหา ทุกย่างก้าวที่ระยะห่างของเขากับโต๊ะที่ปัณและใครอีกคนนั่งอยู่ทำให้ทิวาประหม่าจนมือเย็นชื้น กระนั้นฝีเท้ากลับไวขึ้น ไวขึ้น จนไปหยุดอยู่ข้างโต๊ะ
“มาแล้ว คนที่อยากให้มึงเจอ”
“...”
“นี่เดย์...มึงจำได้ไหม อ้าย”
เดือนอ้ายเงยหน้าขึ้นจากเมนูอาหารขึ้นมาสบตากับเขาที่กำลังมองอีกคนอยู่ เดือนอ้ายเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนเลยนับตั้งแต่เมื่อหกปีก่อน ส่วนสูงก็ยังเหมือนจะเท่าเดิม ดวงตา จมูก แม้กระทั่งนิสัยติดตัวที่ชอบเม้มปากเวลาถูกคนจ้องนานๆ นั่นก็ด้วย คิ้วของอีกคนขมวดเข้าหากันแน่น คล้ายกับสงสัยและงุนงงในที จนใจทิวาหล่นไปกองอยู่กับพื้น
บางทีเดือนอ้ายอาจจะยังจำไม่ได้ก็เป็นได้
ในตอนที่เขากำลังจะเอ่ยปากบอกว่าไม่เป็นไร อีกคนก็พูดขึ้นมาเสียก่อน
“เดย์”
“...”
“เดย์จริงๆ เหรอ”
ทิวาเม้มปากแน่น ขอบตาร้อนเสียจนนึกว่าน้ำตาจะไหล แต่มันกลับแห้งผาก เขาพยักหน้าแรงเสียจนปัณหลุดหัวเราะ เพราะนอกจากท่าทางตลกๆ ของเขาแล้ว สีหน้าของเดือนอ้ายที่อ้าปากค้างและน้ำตาไหลก็น่าขันไม่แพ้กัน
ปากของเดือนอ้ายอ้าหุบอยู่หลายครั้ง เหมือนมีอะไรอยากพูด แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร สุดท้ายจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วโผเข้ากอดเขา โดยไม่สนใจสายตาคนภายนอกที่มองมา เสียงสะอื้นเล็กๆ กับคำตัดพ้อข้างหูทำให้ทิวายิ่งกระชับอ้อมกอดแน่น
“มึง...กลับมา”
“วันนั้นตอนที่โทรไปแล้วมึงจำกูไม่ได้ กูเสียใจมากเลยนะเว้ย”
“โทรมาตอนไหน ทำไม...”
“นานแล้ว น่าจะเกือบเดือนมั้ง”
เดือนอ้ายผละออกจากตัวของทิวา คิ้วกลับมาขมวดแน่นอีกรอบ ก่อนจะคลายออก “เดี๋ยวนะ...”
“จำได้แล้วเหรอ”
“ตอนนั้น... กูไม่รู้เหมือนกัน แต่จำไม่ได้จริงๆ”
“...”
“ขอโทษ”
“ช่างมัน มึงจำได้แล้วนี่”
“เอาล่ะๆ นั่งลงก่อนจะได้สั่งอะไรมากิน กินข้าวมายังวะเดย์ ถ้ายังก็มากินพร้อมกันเลย” ด้วยกลัวว่าบทสนทนาจะยาวไปมากกว่านี้ ปัณจึงออกหน้าตัดบทแล้วเรียกให้เขานั่งลงในที่นั่งถัดไปที่ว่างอยู่ ก่อนเริ่มสั่งอาหารอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าเขาจะปฏิเสธว่ากินมาแล้วก็ตาม
“นานๆ ทีเจอ...แถมยังเป็นการเจอที่กูคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ขนาดนี้ ขอเลี้ยงหน่อย กินแค่ไม่กี่คำก็ยังดี”
ทิวาหลุดหัวเราะ “โอเว่อร์มาก มันจะอะไรขนาดนั้น กูไม่ได้หายไปไหนเสียหน่อย”
เดือนอ้ายกับปัณสบตากันชั่วครู่ในตอนที่ทิวาไม่สังเกตเห็น ก่อนปัณจะตอบกลับ “นั่นสิ ก็กลับมาแล้วนี่เนอะ”
“ว่าแต่ไม่รออีกคนเหรอ”
“มึงหมายถึงใคร” ปัณว่า
กลายเป็นทิวาที่งงแทน หลังจากพนักงานรับเมนูกลับไป เขาจึงถาม “อ้าว ที่นัดมาวันนี้ไม่ใช่จะนัดรวมตัวกลุ่มเราทุกคนเหรอ”
“ก็ครบแล้วไง”
“ครบยังไงวะ”
“ก็เนี่ย มีกู มีมึงแล้วก็มีอ้าย ไม่ครบยังไงวะ”
“แล้วโรมอะ ไม่นัดมันมาด้วยเดี๋ยวมันก็น้อยใจหรอก”
“โรม?” เดือนอ้ายทวนชื่องงๆ “ใครวะ”
“...”
“มึงเพ้อแล้วไอ้เดย์ ตั้งแต่สมัยเรียนก็มีกันแค่สามคน มึงงงอะไรเนี่ย”
“มึงนั่นแหละที่งง มีสี่คนเว้ย! อะไร โกรธแล้วทะเลาะกันเหรอ มันหนักหนาถึงขนาดตัดเพื่อนเลยหรือไง”
“เดย์ พวกกูไม่รู้ว่าคนที่มึงพูดถึงคือใครจริงๆ นะเว้ย” ปัณพูด โดยมีเดือนอ้ายพยักหน้ารับอยู่ข้างๆ เขา
“นั่นสิ ที่ผ่านมาก็อยู่กันแค่นี้ มึงเอาคนที่สี่มาจากไหนวะ”
สีหน้าจริงจังและท่าทางยืนยันเต็มที่จากเดือนอ้ายที่คอยสนับสนุนคำพูดของปัณทำให้ทิวาหมดคำพูด มันขัดแย้งกับความทรงจำและเรื่องที่ผ่านมาของเขาชัดๆ ทำไมทั้งสองคนถึงทำราวกับว่าไม่เคยรู้จักโรมมาก่อน ทั้งที่ความจริงแล้วคนที่ทำให้พวกเขาสนิทและรู้จักกันตั้งแต่ปีหนึ่งคือโรมชัดๆ
นี่มันเรื่องบ้าอะไร หกปีที่ผ่านมามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“...เรื่องที่จะคุยก็มีแค่นี้ ยังไงก็ไปตัดสินใจกันเอานะ แล้วอีกพรุ่งนี้บ่ายๆ เข้ามาหาอีกที”
การประชุมอย่างไม่เป็นทางการเกี่ยวกับเรื่องทัวร์และรายละเอียดจิปาถะอื่นๆ ก็จบลงไปง่ายๆ เช่นนี้ อันที่จริงมันแทบไม่เรียกว่าการประชุมเสียด้วยซ้ำ แทบจะเหมือนการเข้ามาคุยถึงเรื่องความก้าวหน้าของเพลง การซ้อมหรือเรื่องสถานที่เท่านั้น อาจเพราะประธานของบริษัทค่อนข้างใช้ชีวิตคล้ายตัวเองเป็นแค่ลูกจ้าง วางตัวเหมือนลูกพี่มากกว่าหัวหน้างานที่เคร่งขรึม บรรยากาศของการพูดคุยจึงมีเสียงหัวเราะคั่นในบางช่วงเสมอ
“หลังจากนี้เอาไง จะแวะเข้าไปดูสถานที่หรือกลับบ้าน”
ไป๋ว่า ก่อนจะหันไปหาวินที่ใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเสียเท่าไหร่ แม้เจ้าตัวจะยืนยันว่าได้พูดคุยกับเดย์เรียบร้อยทุกเรื่อง ไม่มีเรื่องเข้าใจผิดหรือหมางใจกันแต่อย่างใด แต่สภาพของเพื่อนในวันนี้ ทำให้เขาไม่อาจเชื่อได้เต็มร้อย
วินเหมือนเพิ่งรู้สึกตัวว่าไป๋กำลังพูดด้วย การตอบรับจึงช้าไปครึ่งจังหวะ “อืม แวะไปดูสถานที่ก่อนก็ได้ค่อยกลับ”
“กลัวกลับไปเจอเดย์หรือไง”
“...เปล่า”
“หน้ามึงไม่ได้หมายความว่างั้นเลยสักนิด” ไป๋ยกมือผลักหัววินที่ไม่คิดจะตอบโต้เช่นปกติ ก่อนจะเดินนำแคทและคนอื่นๆ ไปยังรถที่ทางบริษัทจัดเตรียมไว้ให้ ด้านนอกมีเสียงพูดคุยและร้องตะโกนของแฟนคลับอย่างต่อเนื่อง โชคดีที่พวกเขาเป็นระเบียบเรียบร้อย ดังนั้นที่ผ่านมา แม้จะมาดักรอที่หน้าบริษัท แต่ก็ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนใดๆ
ภัทรยืนอยู่ข้างๆ มองสีหน้าของวินด้วยความไม่สบายใจ แต่รู้ว่าเธอไม่อาจทำอะไรได้ นอกจากคอยอยู่ข้างๆ แบบนี้ จึงยื่นมือไปตบหลังอีกคนเบาๆ “ยิ้มหน่อย”
“...”
“แฟนคลับรอเจอแกอยู่นะ”
สิ้นคำนั้น รอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนก็ปรากฏบนมุมปากของวิน พร้อมกับที่เจ้าตัวเดินออกไปยังด้านนอก ยกมือ หยอกล้อกับแฟนคลับอย่างอารมณ์ดี ทิ้งไว้แต่ภัทรที่มองตามด้วยความเป็นห่วง
อันที่จริง เธอก็พอรู้ว่าเดย์ไม่ได้ติดใจอะไรกับความสนิทสนมของเธอและวิน อีกคนเหมือนจะใจกว้างเกินไปเสียด้วยซ้ำที่มองคนที่เคยมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับคนที่กำลังชอบกลับมาเจอกันเช่นนี้ จนเธออดคิดไม่ได้ว่าหากเป็นเธอจะยังใจเย็นเช่นนี้ไหม
ถ้าไม่ไว้ใจมากๆ ก็คงยังมีความรู้สึกไม่มากพอ
หรือไม่...ก็เพราะว่าไม่คาดหวังอะไรเลย
และเธอรู้เสียด้วยว่า สิ่งที่กวนใจวินในตอนนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับเธอที่กลับมาโดยสิ้นเชิง คล้ายจะเกี่ยวพันกับเรื่องในอดีตเสียมากกว่า เพราะแบบนั้น ในช่วงหนึ่งถึงสองวันมานี้ที่เพิ่งคลายความอึดอัดระหว่างเดย์และวินได้ เธอมักจะหวนนึกถึงคำพูดของวินในอดีตอยู่บ่อยๆ
ไม่ว่าท่าทางหรือการแสดงออก แม้กระทั่งของส่วนตัวที่เธอเชื่อว่าทุกวันนี้มันก็ยังอยู่ที่เดิม
คล้ายกับว่า สำหรับวินแล้วคนคนนั้นไม่เคยจากไปไหน ยังคงอยู่กับวินเสมอ
นั่นคงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่อาจทำให้ความสัมพันธ์ครั้งใหม่ของวินไม่อาจก้าวข้ามไปได้ล่ะมั้ง
ดังนั้นภัทรจึงตัดสินใจ
บางที...เธออาจจะต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง หวังว่ามันจะทำให้เพื่อนของเธอดีขึ้นไม่มากก็น้อย
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หลังจากใช้เวลาอยู่กับเพื่อนๆ ถึงสองชั่วโมงเต็ม เดย์ก็ยืนมองเพื่อนทั้งสองแยกย้ายกันกลับบ้าน ก่อนจะพาตัวเองเดินกลับเข้าไปในตัวห้าง เพื่อไปยังร้านหนังสือที่หมายตาเอาไว้ระหว่างที่พูดคุยกัน
เขาไม่คิดว่าตัวเองความจำแย่ถึงขนาดหลงลืมหรือเข้าใจผิด แต่การยืนยันของเพื่อนทั้งสอง มันกลับทำให้เขาเริ่มชักไม่แน่ใจเสียแล้ว แม้ว่าการไปหาหนังสืออ่านมันอาจจะแทบไม่มีผลและไม่ช่วยให้เขารู้ แถมอาจไม่มีหนังสือเรื่องไหนที่กล่าวถึงและช่วยให้เขาหายสงสัยได้เสียด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยๆ ก็ยังดีกว่าเขาปล่อยให้หัวสมองของเขาฟุ้งซ่านไร้ที่ระบายเช่นนี้
เขายังจำได้ดีถึงวันแรกที่เข้ามหาลัยและได้เจอกับโรม ในวันรับน้อง อีกคนเดินตรงมาหาเขาที่ทั้งเงียบและไม่คิดจะสานสัมพันธ์กับใครก่อน เพราะค่อนข้างไม่ชินกับคนแปลกหน้า รอยยิ้มที่จริงใจและความใจดีของอีกคนที่มักจะฉุดดึงให้เขาเข้าร่วมกับคนอื่นได้อย่างไม่กระอักกระอ่วน ทำให้ในใจเขา โรมค่อนข้างมีน้ำหนักในใจมากกว่าปัณและเดือนอ้ายนิดหน่อย
ไม่รู้ทำไมเหมือน แต่ในบางครั้งตอนที่เขาเห็นโรมนั่งเงียบๆ ฟังพวกเขาคุยกัน เขามักจะรู้สึกว่าตัวเองได้รับแววตาที่เอื้อเอ็นดูอย่างประหลาด คล้ายกับสายตาของผู้ใหญ่มองดูเด็กในปกครองคนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
ที่ผ่านมาเขาไม่เคยสังเกตก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่รู้สึก
ทิวาเดินไปชั้นหนังสือแต่ละล๊อกที่มั่นใจว่าต้องมีเนื้อหาที่สามารถช่วยคลายความสงสัยของเขาได้ ทว่าไม่ว่าจะค้นหาเท่าไหร่ ก็ยังไม่พบอะไรทั้งสิ้น จนกระทั่งหันไปพบใครคนที่เขากำลังนึกสงสัยว่า ทำไมจึงหายไปจากความทรงจำของทุกคน แบบเดียวกันกับที่เขาเจอ
โรมยืนอยู่ด้านขวาของเขาและยิ้มเหมือนที่เคยยิ้มให้เขาตอนที่อยู่ด้วยกัน ยืนอยู่ตรงนั้นราวกับรอให้เขาหันมาเจอ รูปลักษณ์ของอีกคนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ทั้งสูงและหนาขึ้น โรมอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวไม่เรียบร้อย แต่กลับเข้ากันได้ดีกับกางเกงยีนส์สีเข้มและรองเท้าผ้าใบสีขาวสะอาดคู่นั้น
ทิวาวางหนังสือที่หยิบมาจากชั้นและเดินเข้าไปหาคนที่ยืนรออยู่ ไม่มีคำพูดหรือการแสดงออกใดๆ แต่พริบตาที่อีกคนตบลงที่หัวเขาเบาๆ ภาพที่มองเห็นก็คล้ายจะพร่าเลือนไปบ้าง แต่ก็ยังเห็นรอยยิ้มนั้นเช่นเดิม
“...ทำไม”
“...”
“ทำไมพวกปัณถึงได้บอกว่าไม่รู้จัก แถมยังบอกว่าที่ผ่านมามีกันแค่สามคนมาตลอด”
“...”
“...”
“เจอกันก็ถามแบบนี้เลยเหรอ ไม่มีฉากน่าประทับใจเช่นว่ากระโดดกอดหรือหอมแก้มให้หายคิดถึงสักหน่อยหรือไง” น้ำเสียงทะเล้นแต่ทุ้มหนักดังขึ้นเหนือหัว เพราะตอนนี้อีกคนตัวโตกว่าเขาเกือบช่วงศีรษะ ทำให้เวลาพูดคุยทิวาจำต้องถอยไปหนึ่งก้าวและเงยหน้ามองแทน “เสียใจนะเนี่ย ทำไมตอนเจอกับพวกปัณถึงขนาดร้องไห้ กอดกันกลม”
“ก็มันดีใจ แต่เดี๋ยว...ทำไมมึงรู้ว่ากูร้องไห้ใส่ไอ้ปัณ แถมยังกอดกับเดือนอ้าย”
“แล้วคิดว่าไงล่ะ”
“...”
“ดีใจนะที่ไม่ได้ร้องไห้หนักเหมือนวันแรกๆ ที่มาอยู่ที่นี่ ต้องขอบคุณหมอนั่นล่ะนะที่ช่วยให้เดย์ดีขึ้น”
“...”
“ทำหน้าสงสัยอีกแล้ว อยากให้ตอบคำถามล่ะสิว่าทำไมถึงรู้” โรมยิ้มตาหยี แต่คราวนี้มันกลับทำให้ทิวาไม่คุ้นเคยขึ้นมา คล้ายกับเป็นคนละคนกับโรมที่เขาเคยรู้จัก โรมเอื้อมมือมาคว้ามือเขาเอาไว้ เมื่อเห็นว่าเขาเริ่มถอยออกจากอีกคนมากขึ้นทุกที “ไปคุยกันที่อื่นดีกว่า มีร้านไอศกรีมอร่อยๆ อยู่ร้านหนึ่ง ไปนั่งที่นั่นละกัน”
ตอนแรกทิวาไม่เต็มใจอย่างยิ่งที่จะไปกับโรมที่เหมือนคนแปลกหน้าคนนี้ แต่ไม่รู้ทำไม เขากลับไม่อาจดึงมือตัวเองออกจากมืออีกคนได้เลย แม้ว่าจะพยายามสุดแรงเกิด แต่คล้ายมันไม่ก่อให้เกิดอะไรขึ้นสักนิด มือของเขายังคงถูกกำโดยมือของโรมและถูกดึงไปตามที่อีกคนต้องการ กระทั่งนั่งลงในร้านไอศกรีมที่โรมว่า มือข้างนั้นจึงได้ปล่อยมือของเขาในที่สุด
ทิวามองอีกคนสั่งขนมเหมือนมากันหลายคน แม้ในใจจะมีคำถามเยอะแยะ แต่ก็ยังรู้ตัวว่าสิ่งที่เขาสงสัยมันไม่ใช่เรื่องที่จะให้คนอื่นได้ยินได้ จึงอดทนรอจนกระทั่งโรมคืนเมนูและหันกลับมาหาเขานั่นแหละ ความอดทนจึงได้หมดลงแทบจะทันที
“โรม...”
“รู้แล้วๆ สงสัยอะไรก็ถามมา จะตอบเท่าที่ตอบได้ก็แล้วกัน”
“ทำไมถึงรู้ว่ากูไม่ใช่คนของที่นี่หรือมึงก็ข้ามมาด้วย”
“อันนี้ตอบไม่ได้ แต่กูไม่ได้ข้ามมาในกรณีเดียวกับมึงแน่นอน”
“...หมายความว่าไง”
“ตอบไม่ได้”
“ทำไมตอบไม่ได้!”
“เอาคำถามอื่นได้ไหม เช่นว่า อยากรู้ไหมว่าทำยังไงถึงจะกลับไปเมื่อหกปีก่อนได้”
“...” ทิวาไม่ได้ตอบในทันที อาจเพราะรอยยิ้มหรือแววตาที่มองมามันวาววับเหมือนมีแสงสะท้อนสีเหลืองทองประหลาด จึงไม่ค่อยน่าไว้วางใจเสียเท่าไหร่ แต่อีกคนพูดถูก เรื่องกลับไปก็เป็นอีกเรื่องที่เขาอยากรู้เช่นกัน หากแต่ตอนที่กำลังจะเอ่ยปากถาม ใบหน้าเศร้าและคำพูดที่เหมือนทรมานของวินที่ได้ฟังเมื่อวันก่อน ก็พลันลอยเข้ามาในสมองเสียก่อนจนลังเล
ราวกับโรมสังเกตเห็นมัน จึงถามขึ้น “ลังเลอะไร ไม่ได้อยากกลับไปแล้วเหรอ”
“อยากสิ แต่...” เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมวินถึงได้ดูกลัวแบบนั้นและอีกเรื่อง…
เขาในโลกนี้หายไปไหน
ทิวาเลื่อนสายตากลับมาสบกับโรม ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ทำไมกูในโลกนี้ถึงหายไป มันเกี่ยวกับที่ทุกคนจำกูไม่ได้หรือเปล่า”
“อันนี้คงบอกได้แค่คร่าวๆ แต่ก็น่าจะทำให้มึงหายสงสัยได้และใช่ ทั้งสองเรื่องเกี่ยวข้องกัน” โรมว่า “คำอธิบายก็ง่ายๆ โลกใบนี้ไม่มีทางอนุญาตให้สิ่งที่ ‘เหมือนกันโดยสิ้นเชิง’ อยู่ร่วมกันในโลกใบเดียวกันได้หรอกนะ ดังนั้นเมื่อสิ่งหนึ่งมีอยู่ อีกสิ่งหนึ่งก็หายไป เรื่องของกูกับมึงก็คล้ายๆ กัน”
“งั้นแปลว่ามึงก็มาจากหกปีก่อนไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ใช่ นานกว่านั้นอีก”
“...”
“ประมาณว่า ถึงจะเป็นโลกใบเดิม แต่คนละเส้นเวลา ไอ้ที่เขาเรียกว่าโลกคู่ขนานนั่นแหละ”
“...”
“แล้วก็ไม่อนุญาตให้ถามนะว่ามาจากช่วงไหน กูไม่สามารถตอบให้มึงรู้ได้แน่นอน”
ทิวาขมวดคิ้ว ชักเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อทุกครั้งที่ถามจะต้องมีบางส่วนที่เขาสงสัยแต่โรมไม่ยอมตอบเสมอ ทว่าความอยากรู้มันกมากกว่า ดันนั้นจึงยอมอดทนกับความหงุดหงิดเล็กๆ นั่นแล้วถามต่อ “โอเค ไม่ได้มาจากช่วงเดียวกัน แต่เพราะมาอยู่ที่นี่ความทรงจำทั้งของกูแล้วก็มึง เลยหายไปจากทุกคนใช่ไหม”
“ใช่”
“แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ การที่ทุกคนเริ่มจำกูได้ นั่นหมายความว่า...”
“ทันทีที่ทุกคนจำมึงได้ มึงก็จะได้กลับไปโลกเดิม เมื่อหกปีก่อน นี่คือวิธีกลับไปแบบเบสิกที่สุด”
“...”
“ซึ่งไม่รู้นะว่าทำไมมึงถึงได้พยายามตามหาคนอื่น แต่ถือว่าเก่งในด้านความโชคดี ขนาดกูยังไม่ทันได้มาบอกมึงก็ก้าวหน้าจนเกือบจะได้กลับไปแล้ว”
“...”
“แต่ของมึงจะเป็นอีกกรณี ซึ่งบอกได้ว่า ไม่ใช่แค่คนอื่นจะต้องจำมึงได้ทั้งหมดถึงจะกลับไปได้ แต่มึงเองก็ต้องบรรลุสิ่งหนึ่งที่เป็นสาเหตุที่ทำให้มึงมาอยู่ที่นี่ด้วย”
“...”
“แล้วก็ไม่ต้องห่วงว่าการกลับไปจะทำให้เกิดเอฟเฟคอะไรในอนาคต ทันทีที่มึงไม่อยู่ ตัวมึงคนเดิมก็จะกลับไปในความทรงจำของทุกคน เหมือนเรื่องของมึงไม่เคยเกิดขึ้น ถึงแม้จะมีความเป็นไปได้เล็กๆ ว่าจะยังมีคนจำได้ แต่นานวันเข้า หลายปีผ่านไป เขาก็จะค่อยๆ ลืมไปเอง” โรมเขี่ยไอศกรีมในถ้วยที่มาส่งเมื่อสักครู่ ก่อนเอาเข้าปาก แล้วจึงพูดต่อ “เอาจริงๆ การกลับไปก็เหมือนรีเซตไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้งนั่นแหละ ที่เหลือก็เป็นการตัดสินใจของมึงแล้วว่าจะให้มันดำเนินไปแบบเดิมหรือว่าจะทำให้มันเป็นไปในความเป็นไปได้แบบใหม่”
“แล้วทำไมจะต้องเปลี่ยน เดี๋ยว ที่สำคัญ...ทำไมกูถึงต้องมาอยู่ที่นี่”
“...”
“ที่มึงพูดเมื่อกี้เกี่ยวกับอีกเงื่อนไขที่กูต้องทำก่อนจะกลับไปหกปีก่อน แสดงว่ามีเหตุผลอะไรบางอย่าง กูถึงต้องมาอนาคตแบบนี้ใช่ไหม”
“อันนี้กูขอไม่ตอบ”
“หลายครั้งแล้วนะโรม กูชักจะหงุดหงิดละนะ”
คิ้วเรียวของคนตรงหน้าขมวดมุ่น แสนจะน่ารักและน่าแกล้งในสายตาของโรม แต่ก่อนที่ทิวาจะหงุดหงิดไปมากกว่านี้ เขาก็ตอบกลับไปเสียก่อน “ขอโทษๆ คำถามที่ว่ามาทำไมน่ะพอจะตอบได้อยู่หรอก แต่อยากให้มึงไปถามอีกคนมากกว่า เพราะเอาจริงๆ เรื่องทั้งหมดที่มันดำเนินมาจนถึงตอนนี้น่ะ มันเป็นเพราะหมอนั่นเป็นสาเหตุหลักๆ เลย”
“ใคร”
“มึงรู้จักดีเลยล่ะ เพราะเป็นคนแรกที่มึงเข้าหาในโลกนี้ได้สำเร็จ”
“...”
โรมชะโงกหน้าเข้ามาใกล้แล้วยิ้มจนดวงตาเรียวรีราวกับพระจันทร์ กระซิบเสียงเบา แต่ดังก้องไปไปทั่วสมองของเขา พริบตานั้นทิวาพลันนึกถึงใบหน้าหนึ่งขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
คนแรกงั้นเหรอ
“ใช่ มาวินไง”
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
วินชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะหันกลับไปยังด้านหลังตัวเอง มือข้างหนึ่งลูบใบหูด้านขวาที่จู่ๆ ก็จั๊กจี้เหมือนมีใครมากระซิบข้างๆ เสียอย่างนั้น
“มองอะไรวะ”
“...เปล่า”
“เออ ไม่มีอะไรก็ดี แล้วตกลงว่าไง พรุ่งนี้มึงจะไม่อยู่ใช่ไหม กูจะได้พาแค่พวกที่เหลือไปสถานที่จัดรอบสุดท้ายก่อนวันจริง”
“อืม ฝากด้วย”
“...กลับมาหงอยอีกแล้ว กูไม่ชอบมึงช่วงเดือนนี้เลยให้ตายเถอะ” ไป๋ว่าพลางปิดไอแพดหลังจากที่จัดการตารางส่วนตัวของอาทิตย์ถัดไปเสร็จ ก่อนจะส่งให้ภัทรที่นั่งฝั่งตรงข้าม ตอนนี้พวกเขากลับมาถึงบ้านได้พักใหญ่ๆ แล้ว พวกแคทเข้าไปในห้อมซ้อม ไปเล่นไปซ้อมตามเรื่องตามราว ส่วนเขากับภัทรก็คุยกันเรื่องตารางงาน แต่วินมานั่งด้วยเพราะรอเดย์กลับมา
จะว่าไปก็เย็นมากแล้ว ทำไมวันนี้ยังไม่ถึงบ้านอีกนะ?
วินหลุบตาลงมือของตัวเองที่จับกัน เงียบไปพักใหญ่ก่อนเอ่ยตอบ “ไม่ได้หงอย”
“ปากแข็ง”
“...เสือก”
“สัส คนเขาเป็นห่วงดันมาปากดีใส่”
“...”
“ดูแลตัวเองหน่อย ไม่ใช่แค่ตัว แต่ใจมึงด้วย อีกไม่กี่วันก็จะจัดคอนฯ แล้ว กูขอมึงสภาพเต็มร้อย ไม่เอาครึ่งๆ กลางๆ โอเคไหม”
“เออ”
“เฮ้อ กูปลุกใจอะไรมึงไม่ได้เล้ย สงสัยต้องรบกวนเดย์แล้วมั้ง... นั่นไงมาพอดีเลย” วินเงยหน้าตามที่สายตาของไป๋มองไป หน้าบ้านมีใครคนที่เขารอมาทั้งวันปรากฏตัวขึ้นจริงๆ ทิวาเดินเข้ามาในบ้าน สีหน้าของอีกคนสงสัยนิดหน่อยว่าทำไมพวกเขาถึงมารวมตัวกันตรงนี้ แต่พอสายตามาหยุดอยู่ที่ตัวเขา แววตานั่นกลับทำให้เขาไม่กล้าสบตาและดันลุกหนีไปเสียดื้อๆ
ไม่รู้เหมือน แต่ตอนที่ทิวามองมา...เหมือนกับว่าอีกคนรู้เรื่องอะไรสักอย่างมา เรื่องที่เขาไม่อยากให้อีกคนรู้
ความกลัวที่พบพานในทุกคนย้อนกลับมาอีกครั้ง จนสุดท้ายเขาที่แสนขี้ขลาดก็ทำได้แค่เดินหนีอีกคนไปอีกครั้งหนึ่ง
“มันงี่เง่านิดหน่อย อย่าถือสามันเลยนะเดย์ เฉพาะช่วงนี้แหละ”
“ไม่หรอก...แต่ทำไมต้องช่วงนี้ล่ะ”
“...อืม จะว่าไงดี”
“เดี๋ยวเราคุยเอง ไป๋ไปห้องซ้อมเถอะ วินน่าจะไปรวมกับคนอื่นๆ ที่นั่น” ตอนแรกไป๋ทำท่าลำบากใจที่จะพูดถึง แต่ภัทรที่นั่งเงียบมาตั้งแต่แรกกลับเอ่ยปากขึ้นมา ซึ่งแน่นอนว่าไป๋ไม่มีข้อปฏิเสธอะไรแน่ๆ ถ้าภัทรจะเป็นคนเล่าเรื่องทั้งหมด ดังนั้นจึงกำชับเรื่องงานอีกสองสามประโยค ก่อนจะเดินหายไปยังห้องซ้อม ทิ้งให้บริเวณห้องนั่นเล่นมีเขาและภัทรสองคน
ภัทรยิ้มหวานแล้ววางไอแพดลงบนโต๊ะกระจกก่อนเงยหน้ามองเขา “วันนี้เป็นยังไงบ้าง กินข้าวกับเพื่อนสนุกไหมเดย์”
“อืม ก็...สนุกล่ะมั้ง”
“ทำไมทำหน้างั้นอะ ได้เจอเพื่อนๆ ไม่ใช่เหรอ”
ทิวาหลบตา “ก็ดี เพียงแต่มันมีเรื่องให้คิดนิดหน่อย” อันที่จริงก็ไม่นิดหน่อย เยอะมากๆ เลยต่างหาก
“งั้นยังพอมีที่ในหัวว่างมากพอให้เราเล่าเรื่องอะไรให้ฟังไหม เพราะมันอาจจะต้องคิดเยอะเหมือนกัน” ภัทรว่า “หรือวันนี้เหนื่อยแล้ว อยากจะพักก่อน”
“มัน...หนักมากเหรอ เกี่ยวกับที่วินดูแปลกๆ ไปหรือเปล่า”
“เกี่ยวมากๆ เลยล่ะ อันที่จริง...ก็เรื่องของวินนั่นแหละ”
“...”
“เดย์รู้ใช่ไหมว่าวินมีคนที่ฝังใจมากๆ คนหนึ่ง”
“รู้สิ” คนที่วินแต่งเพลงให้ “หรือว่า...”
“อืม มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับคนคนนั้น”
“...”
“ถ้าเดย์ไม่รังเกียจที่จะฟังล่ะก็...เราจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังเอง”
เพราะแบบนั้น ยามที่กาลเวลาหมุนย้อนกลับ
ฉันจึงได้เพิ่งสำรวจหัวใจของตัวเองและพบว่า
คุณยังอยู่ในนั้น...ไม่เคยจางหายไปแม้สักเศษเสี้ยวเดียว
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
fact about ทิวา
เมื่อได้หนึ่งคำใบ้ จะสามารถคาดเดาสิ่งที่เคยสงสัยได้ก่อนคำเฉลยเสมอ
NAVY
ปล.ตอนนี้สต๊อคหมดแล้ว กำลังเร่งปั่นอยู่ค่ะ555
เอาเป็นว่าจะพยายามเร่งปั่นไม่ให้รอนานนะคะ
ขอบคุณสำหรับที่แวะเข้ามา ถึงจะไม่รู้ว่าเพราะกดผิดไหมก็เถอะ555
ขอบคุณค่ะ