ตอนที่ 24 คะแนนพิศวาสกับกระต่ายที่โหยหิว...
แต่ก่อนแต่ไรหัวใจกล้าแกร่ง
ใจเคยเข้มแข็งเหมือนแท่งเหล็กหนา
ชายตามตื๊อตามจีบเรื่อยมา
ฉันไม่เคยนำพา...เก็บเอามาสนใจ
แต่มาวันนี้เห็นทีใจแตก...
เจอเขาครั้งแรกหัวใจอ่อนไหว
ชายคนนี้มีดีอะไร
เจอหน้ากันทีไร...หัวใจสั่นรัว.... รักกูซะสิ เหมือนที่กูรักมึงไง.... ไม่รู้ว่าถ้าพูดเต็มประโยคมันจะดีกว่านี้ไหม? แต่ไม่ได้หรอกขืนอ่อนข้อมากไปมีหวังได้โดนข่มกันพอดี แค่นี้ก็พยศจนคุมแทบไม่อยู่แล้ว คิดผิดหรือถูกวะที่มาหลงชอบผู้ชายแมนๆ ขนาดนี้ เคี้ยวยากสุดตีน!!
“ฝันไปเถอะ!!” นั่นคือคำตอบของมัน พร้อมยกมือขึ้นชูนิ้วกลางให้อย่างกวนๆ แต่ไม่ได้ทำให้ผมโมโห หรือผิดหวังอะไร เพราะคิดไว้แล้วว่ามันต้องตอบแบบนั้น ถ้ามันว่านอนสอนง่าย พูดอะไรก็เชื่อฟัง หรือตอบรับทันทีก็คงไม่ใช่มันอยู่แล้ว
ผมอมยิ้มเหมือนเคย ไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยทดท้ออะไร นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้นแหละ ผมยังมีเวลา “จีบ” มันอีกนาน แต่ถ้าพูดด้วยดีๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะสำเร็จไหม...แต่ก็คิดไว้แล้วว่าหากทำดีที่สุดแล้วมันยังดื้อด้านจะไป...ใช้ไม้นวมแล้วไม่ชอบก็คงต้องกลับมาเล่นไม้แข็งอีก... ใครจะยอมปล่อยให้มันไปง่ายๆ ล่ะ
หึหึ!!
ปล่อยให้ตายใจกับความอ่อนหวานไปก่อนเถอะ มันคงคิดมั้งว่าอยู่กับลูกแมวน้อยแสนเชื่อง...ที่ไหนได้ เสือซ่อนเล็บดีๆ นี่เอง
ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนตร์ก็เอาด้วยคาถา...
ถ้าใช้มารยาแล้วไม่ได้ผล มึงก็ต้องจนด้วยกำลังอยู่ดี.... หึหึ!
เล่นตัวมากนักก็รวบหัว รวบหาง จับกดลูกเดียว ดูซิจะหนีไปไหนรอด....
.
.
.
“มึงนั่งหน้านะ” ผมบอก
ไอ้วอกค้อนใส่วงใหญ่ หลังๆ มานี่เริ่มจะทำอะไรเหมือนผู้หญิงขึ้นทุกวันโดยที่ตัวมันเองก็คงไม่รู้สึกตัว แต่ถ้าเป็นผู้หญิงขึ้นมาจริง ก็คงเป็นผู้หญิงที่กระโดกกระเดก และห้าวหาญ บวกกวนตีน จนหาความอ่อนหวานไม่เจออยู่ดี
“รถคันใหญ่แล้วก็หนักขนาดนี้กูจะขับไหวได้ไง” มันโวยวายขึ้นมา ส่งสายตาด่าผมว่า “โง่” แบบไม่ต้องออกเสียง
“ใครบอกจะให้มึงขับ แค่นั่งข้างหน้าจะได้อยู่ในสายตากูตลอดเวลา กูจะได้ไม่ต้องห่วงว่ามึงจะเมาหลับคอพับตกรถไปตอนไหนเท่านั้นเอง” ผมบอกด้วยน้ำเสียงที่แสดงความห่วงใยอย่างไม่ปิดบัง จนอีกฝ่ายต้องเงียบไปเป็นครู่... สงสัยกำลังงงว่าผมเมาหรือเปล่าถึงได้พูดอะไรแบบนี้ออกมาติดๆ กันหลายครั้งในวันเดียวได้
หารู้ไม่...ไม่ใช่ว่าผมไม่โรแมนติกหรอกนะ เพียงแค่...ความโรแมนติกมันซ่อนลึก... ลึกมากไปนิดเท่านั้นเอง แต่ถ้าอยากเห็นคงต้องใช้เวลางม ล้วง ควานหาสักหน่อย ก็คงจะค่อยๆ เจอไปเอง... แล้วจะรู้ว่า “กูก็หวานเป็นอะไรเป็น” แต่ตอนนี้เอาไปแค่นี้ก่อน เดี๋ยวจะเข้าใจผิดคิดว่าผมเข้าชมรม “เกลียมัว” ไปซะตั้งแต่เนิ่นๆ
“สัด.... อย่ามาดูถูกกู ไม่ได้เมาขนาดนั้น...ขืนกูนั่งหน้ามึงก็ขับรถไม่ถนัดน่ะสิ แขนจะถึงรึเปล่าก็ไม่รู้จะอันตรายไปกันใหญ่ ไม่เอาหรอก” มันเถียงผม แล้วผลักให้ขึ้นรถ ผมจึงขึ้นไปนั่งบนเคเอชอาร์ลูกสาวคนโปรดที่ปล่อยให้ต้องไปนอนอู่ซะตั้งหลายวันเพราะความซุ่มซ่ามของแม่มันแท้ๆ (แต่กลับกลายเป็นข้ออ้างเข้าไปตีสนิทแบบเนียนๆ เลยนะเนี่ย..)
ผมขยับรถออกจากที่จอดแล้วรอให้ไอ้วอกขึ้นมาซ้อนก่อนจะออกตัวอย่างนุ่มนวลปานรถเก๋ง....
“ปล่อยมือกูแล้วขับรถดีๆ ได้ไหมมึง?” ไอ้วอกตะโกนบอกท่ามกลางสายลมแรงเพราะความเร็วรถระหว่างทางกลับบ้าน ตอนแรกมันเอามือข้างหนึ่งจับเสื้อผมไว้แต่ผมกลับลดมือตัวเองไปกุมมือมันมากอดเอวซะเฉยๆ
“มือเดียวกูก็ขับได้...ไม่ต้องห่วงว่าจะล้มหรอกน่า กูห่วงว่ามึงจะหล่นลงไปซะมากกว่า” ผมตอบด้วยความมั่นอกมั่นใจเพราะแค่ 80 km/hr ไม่ได้เร็วเลย ลองมาคนเดียวเหรอต่อให้เมาก็บิดไม่ต่ำกว่าร้อยห้าสิบ แต่นี่ผ่อนให้แล้วนะ กลัวจะอ้วกแตกแบบคราวที่แล้ว บวกกับกลัวมันร่วงลงไปด้วย มือข้างหนึ่งจึงยังกระชับมือของมันให้กอดเอวตัวเองไว้
“ทำยังกับกูเป็นเด็กไปได้” มันบ่นกระปอดกระแปด ก่อนจะโอบทั้งสองแขนมากอดเอวผมไว้ ทั้งยังแนบหน้าซบไหล่ผมอีกต่างหาก
“แน่นขนาดนี้พอไหม?” มันกอดผมแน่นมากเหมือนจะประชด ทำให้ผมปล่อยมือที่กุมมือมันไปขับรถสองมือได้
ทีแรกนึกเสียใจที่ไม่ได้ขับบีเอ็มมา จะได้ไม่ต้องรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยสวัสดิภาพมันแบบนี้ มาตอนนี้สงสัยจะคิดถูกแล้วล่ะที่ขับเคเอชอาร์ออกมาไม่งั้นมันคงไม่กอดผมแน่นขนาดนี้หรอก กำไรชีวิตยังไงไม่รู้...
ถ้าถามว่าแน่นมากไหม มันก็แน่นนะ แนบแน่นมากซะจนสายลมหนาวที่พัดมากระทบร่างดูจะไม่มีผลใด เพราะกอดของมันทำให้ร่างกายของผมอบอุ่นจนร้อนรุ่มไปทั้งตัว
แต่ถ้าถามว่าพอไหม... ก็คงต้องตอบว่าไม่พอ
แค่ไหนก็ไม่เพียงพอ... จนกว่าจะได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
ชายคนนี้มีดีอะไร
เจอหน้ากันทีไร หัวใจ....สั่นรัว...
แล้วคำถามที่ตามมาคือ....เมื่อไรจะถึงห้องซะทีวะ!! อยาก....กอดมันกลับแล้ว....
เพิ่มความเร็วจาก 80 เป็น 180 ทันที!!
………………………….
“เชี่ย!! ขับรถตามหายมบาลหรือไง บอกกี่ทีไม่เคยจำ สันขวาน....สมองน่ะมีไว้คั่นหูหรือไงวะ สาดเอ๊ย.....คราวหลังไม่ไปไหนด้วยแล้ว แม่ง.....” ไอ้วอกโวยวายทันทีที่ผมพามันมาถึงหอโดยปลอดภัย เฮ้อ...ใครก็ได้ เอาหมาออกจากปากมันทีเถอะ พูดแต่ละทีนี่ มากันทั้งสวนสัตว์
ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เนียนเดินไปพยุงร่างเซๆ นั้นเดินขึ้นหอพักเก่าๆ โทรมๆ ของมันไปเงียบๆ ปล่อยมันก่นด่าไปให้พอใจ เดี๋ยวก็หายเองแหละ โกรธง่ายหายเร็วอยู่แล้วมันน่ะ
พอมาถึงห้องมันก็นอนคว่ำลงกับเตียงหมดสภาพ ผมตามขึ้นไปพยายามปลดกระดุมกางเกงยีนจับมันถอดเสื้อผ้า...
“เฮ้ย!! ทำเชี่ยอะไร” มันโวยวายอีกครั้งขยับหนีผมที่พยายามเผลื้องอาภรณ์ของมันออก
“ถอดเสื้อผ้า จับมึงอาบน้ำไง เหม็นเขียว... เหม็นอ้วกจะตายห่า จะนอนทั้งๆ อย่างนี้ได้ไง”
“ดี...เหม็นให้มากๆ มึงจะได้ไม่ยุ่งกับกูไง” อ้าว... อันเสือกรู้ทันอีก...
“เหอะ!! ฝันไปสิ ถ้ากูอยากจะเอามึงล่ะก็ ต่อให้จมกองขี้มากูก็เอามึงได้”
“ส้นเถอะ....ไอ้โรคจิต!! ” มันด่ากลับมาอีก “อึก...อุ๊บ...”
คราวนี้มันไม่เพียงแต่ขยับตัวหนีผมเท่านั้น มันกลับกลิ้งตัวลงจากเตียง พยายามตะกายฝาห้องพาตัวเองไปที่ห้องน้ำ
แล้วมันก็โก่งคออยู่กับโถส้วมอีกครา ดูแล้วก็ทั้งน่าสงสารทั้งน่าสมเพช.... ผมลูบหลังมันอยู่ครู่หนึ่งจนมันนิ่งไป...
“โอเคยัง....”
มันพยักหน้าอย่างเนือยๆ ทำให้ผมถอนใจเฮือก ลงมือถอดเสื้อยืดของมันออกจากตัวโดยที่มันไม่ขัดขืนอีกต่อไป เผยให้เห็นผิวเนื้อขาวจั๊วที่ยีงมีร่องรอยแดงๆ หลงเหลืออยู่ตามร่างเป็นหย่อมๆ
ถอดกางเกงออกทั้งตัวโดยที่มันไม่ได้ขัดขืนอีกแล้ว แต่ระหว่างนั้นเองมันก็ยังต่อก๊อกสองลงบนเสื้อผมเต็มๆ ทำเอาเหม็นหึ่ง นอกจากตัวการจะไม่รู้สึกผิดยังหัวเราะขำทำซากอะไรก็ไม่รู้
“สมน้ำหน้า เสือกดีนัก” มันพูดแค่นั้นทำเอาผมล่ะหมั่นเขี้ยวอยากเตะสักป้าบเหอะ แต่ก็ต้องยั้งไว้ก่อนเดี๋ยวจะหาว่าชอบใช้ความรุนแรงในครอบครัว!
“มึงตั้งใจป่ะเนี่ย? เต็มสตรีมขนาดนี้?” ผมถามแค่นั้นแต่ไม่ต้องการคำตอบ ถอดเสื้อเลอะอ้วกของตัวเองออกใส่กระแป๋งเล็กๆ ในห้องน้ำ
“เปล๊า...” อีกฝ่ายส่งเสียงสูงจนผมต้องส่ายหัวอย่างระอา
“ฝากซักด้วยนะมึง...ข้อหาทำเสื้อหูเลอะ” ผมบอกแล้วถอดเสื้อผ้าตัวเองออก
“เรื่อง!!” มันตอบรับทันที!! ฮ่าๆ
ผมไม่สนใจคำตอบ...จับมันอาบน้ำ สระผม บังคับให้แปรงฟันตามเสต็ป ....
ไม่อยากจะบอกว่าระหว่างอาบน้ำ มันยากแค่ไหนที่จะอดกลั้นไม่ให้ทำอะไรมันน่ะ!!
ซื้ดดดดดด
…………………………..
สะอาดเอี่ยมอ่อง...ผ่องใสไปทั้งตัว แถมกลิ่นก็หอมสดชื่นหลังการอาบน้ำ
ไอ้วอกพันผ้าเช็ดตัวเข้าที่เอวเดินออกมาจากห้องน้ำในขณะที่ผมใช้ผ้าขนหนูอีกผืนเช็ดผมเปียกๆ ของมันจนมันมองทางไม่เห็น
“พอแล้วๆ” มันร้องบอกพยายามผลักมือผมออก
“ใจเย็นสิ...จะเสร็จแล้ว” ผมบอกขณะขยี้ผมมันอย่างต่อเนื่องอยู่หน้าห้องน้ำ
“บอกให้พอไงวะ.. เลิกเช็ดตัวให้กู แล้วเอาผ้าไปนุ่งไป อุจาดตากู” มันทำเป็นเสียงดังเพื่อปิดบังว่าตัวเองอาย
“โอ๊ย จะอายทำไม... ทำอย่างกับไม่เคยเห็นไปได้”
“ไมได้อาย บอกแล้วไง อุจาดตา” มันเถียงอีก....
หึหึ ผมหัวเราะแล้วหยุดเช็ดผมมัน เอาผ้าขนหนูชื้นๆ นั้นมาพันเอวตัวเอง ที่ตอนแรกปล่อยโทงเทงไม่สนใจสายตาผู้ใด
ไอ้จอมดื้อเบี่ยงกายออกไปเปิดตู้เสื้อผ้าควานหาเสื้อผ้าใส่ ผมเดินตามไปยืนอยู่ข้างหลัง
“ใส่ทำไม? อยู่กับกูมึงไม่ต้องใส่หรอกเดี๋ยวกูก็ถอดอยู่ดี” ผมบอกไปตามความจริง...
“อย่ามาตลก กูไม่ขำ...” มันว่าไม่หันมามอง ดึงบอกเซอร์ออกมาใส่
“ใครบอกกูตลกล่ะ มึงเคยเห็นกูพูดเล่นเหรอ?” ผมถาม “วันนี้กูทำตัวน่ารักนะ มึงน่าจะพิจารณาให้คะแนนพิเศษกูหน่อย พวกคะแนนพิศวาสอะไรเทือกนั้นน่ะ”
“คะแนนพิศวงอะไรของมึ้ง??? ทำตัวน่ารักตอนไหน พากูไปกินเหล้าทั้งทีเสือกสั่งแต่ของที่กูกินไม่ได้ แล้วยังข่มขู่จะทำอนาจารกุในที่สาธารณะ ไม่พอนะ...ยังบังอาจลวนลามกูในร้านอีกต่างหาก”
โอ้... ความผิดกูมันเยอะแยะขนาดนั้นเลยเรอะ
“กูก็ทำคุณไถ่โทษโดยสั่งของใหม่มาให้มึงกินแล้วไง อย่าฟื้นฝอยหาตะเข็บขุดเรื่องเก่ามาพูดใหม่เหมือนผู้หญิงหน่อยเลย”
“ไม่ๆ การที่มึงบังคับให้กูต้องเลือกกินระหว่างของที่กูแพ้ทั้งสองอย่าง ไม่งั้นก็ขู่จะจูบโชว์เพื่อนมึงอ่ะ ไม่ว่าทำอะไรก็ไถ่โทษไม่หมดโว้ย อย่าว่าแต่คะแนนพิศวาสเลย..... ”
มันหยุดเสียงลงแล้วยกมือขึ้นงอนิ้วเป็นรูปปืนแล้วใช้สองนิ้วเรียวจิ้มลงมาที่กระดูกไหปราร้าของผมก่อนจะลากลงมาหยุดตรงที่หน้าอกข้างซ้าย ตรงกับตำแหน่งหัวใจพอดี
“จิตพิสัยติดลบนะ คุณศาสตราวุธ!!” มันย่นจมูก...ยกมุมปากเยาะเย้ย คงคิดล่ะสิว่าคำพูดนี้จะทำให้ผมสลดหดหู่หรือเศร้าโศกได้...
หารู้ไม่ ดวงตาหรี่ปรือกับรอยยิ้มที่เหมือนตัวเองเหนือกว่าบนในหน้าขาวซีดนั้น มันช่างก่อกวนต่อมหื่นชิบหายวายป่วง ยิ่งกว่านั้นลักษณะที่มันเอนกายไปด้านหลังน้อยๆ ทรงตัวไม่ค่อยตรงเพราะฤทธิ์สุราจนผมต้องยึดเอวมันไว้เพื่อความปลอดภัยทำให้เราไม่ได้อยู่ห่างกันเท่าไรนัก ประตูตู้เสื้อผ้ากางกั้นแสงไฟจนกลายเป็นมุมมืด...ประกอบกับปลายนิ้วที่แตะอยู่ใกล้หัวใจนั่นมันช่างมีพิษร้ายยิ่งกว่ายาไอซ์เป็นสิบๆ เม็ด
โอ้ใจเอ๋ยใจ ทำไมไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เพียงเขายิ้มยั่ว ก็เผลอตัว รักเขาแล้วซี.... แค่คำพูดธรรมดาๆ กับหน้าจืดๆ นี่มันจะอะไรนักหนา
ทำไมวะ ทำไมวะ... เห็นแล้วรู้สึกว่า….
แม่งเอ็กส์เหี้ยๆ ขึ้นมาซะเฉยๆ
ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แม้จะได้ฟังผลคะแนนอันไม่น่าพึงพอใจนั้น...
แม้อาจารย์เจ้าของวิชา
“สุดที่รักศึกษา” จะทำท่าไม่ชอบขี้หน้านักเรียนหนึ่งเดียวคนนี้ก็ช่างปะไร...
กระต่ายน้อยหน้ามึนก็ไม่เคยจะไหวหวั่น จะขอบากบั่น...แก้ตัวต่อไป...
หวังว่าสักวัน...พระจันทร์คงเห็นใจ.... (โอยเน่าได้อีก...)
ผมค่อยๆ ยกมือขึ้นลูบหลังมือขาวๆ ที่มีแต่กระดูกแผ่วเบา จนอีกฝ่ายรู้สึกตัว มันจึงพยายามจะดึงมือออก ผมขืนรวบมือของมันมากำไว้แล้วกดหนักๆ ลงไปที่หัวใจของตัวเอง เผื่อมันจะรับรู้ว่า มันเป็นต้นเหตุให้ก้อนเนื้อภายในนั้นเต้นถี่ รุนแรงสักเพียงใด...
ค่อยๆ ก้มศีรษะลงไปหามันช้าๆ เพื่อขบเม้มมุมปาก ช่วงชิมรสชาติหวานๆ เผ็ดๆ ของยาสีฟันยี่ห้อโปรด...
“ขี้โกง....อย่ามาขี้โกง...” เสียงอ้อแอ้ของมันช่างน่าหมั่นเขี้ยวเสียจริง....
ให้ตายเถอะ น่าจับมาฟัด จัดหนักแบบไม่ต้องเห็นเดือนเห็นตะวันไปเลยยิ่งดี
“ขี้โกงอะไร” ผมยังทำหน้าซื่อได้เก่งนัก
“ก็มึงจีบกูอยู่นะ... มึงต้องจีบให้ติดก่อนสิ ถึงจะทำอย่างอื่นได้” มันอธิบายอย่างร้อนรน
“ไม่เกี่ยว... จีบก็อยู่ส่วนจีบ จูบก็อยู่ส่วนจูบ... โบราณเขาว่าแต่งงานกันไปเดี๋ยวก็รักกันไปเอง”
“เชี่ยแม่ง...เอาเปรียบ เข้าข้างตัวเองตลอด...” มันสบถด่ายืดยาว จนผมต้องหัวเราะ
“ก็เป็นมาตั้งนานแล้ว ยังไม่ชินอีกเหรอ?”
“ไม่ชิน... ไม่คิดจะชินด้วย ปล่อยกู....” มันว่าแล้วสะดีดสะดิ้ง ดิ้นออกจากวงแขน แต่มันจะไปไหนได้วะ ก็ตอนนี้มันจนตรอกอยู่กับตู้เสื้อผ้านี่ โถๆ .... น่าสงสาร...
“ไม่ปล่อย....นี่คือการปล้น...ส่ง “A” มาซะดีๆ”
“ไม่ให้โว้ย....” อีกฝ่ายปฏิเสธรับมุก ใบหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
โอ๊ย...กูจะบ้าตาย...
พยายามกลั้นขำอย่างสุดความสามารถเมื่อเห็นมันมองซ้ายมองขวาหาทางรอดออกจากตู้เสื้อผ้านี่
ถ้าออกจากตรงนี้ไปได้...มันคงคิดว่ามันจะรอดมั้ง....
แต่คิดเหมือนผมไหม... ว่าต่อให้หนีออกจากตรงนี้ได้ แต่ยังไงมันก็ไม่รอดหรอก!!
ปล.ขนมปังที่รัก ยอมให้กินซะดีๆ เถอะ
หิวจะตายอยู่แล้ว อยาก...หม่ำขนมปังจนแทบบ้า....
ถ้าไม่ได้กินตอนนี้....กูต้องลงแดงตายแน่เลย
.......................
เพลงประกอบ : ใจอ่อน โดย ฝน ธนสุนทร.... เพลงประกอบมาแนวลูกทุ่งมากๆ คิดว่าตุลย์คงไม่นึกถึงเพลงแนวนี้ แต่คนแต่งต่างหากที่รู้สึกชอบเป็นการส่วนตัวจนใส่ลงไป ฮาๆ รู้สึกชอบเพลงนี้อ่ะ
ขอบคุณทุกบวกทุกเป็ดทุกคอมเมนท์.... นะคะ "ต่ายตุลย์" ช่างกล้านะ
ปล.อ่านตุลย์ที่ไรคิดถึงกันย์กับกิ้งทุกทีเลย
แหะๆ ที่จริงเรื่องเมมชื่อ... ก็คิดไม่ออกว่าจะเมมว่าอะไรดี ให้มันดูสื่อๆ ถึงกระต่าย.. แรกสุดคิดจะให้เมมว่า “rabbit boy” อะไรอย่างนี้แต่น่าจะยาวไป ส่วน “ต่ายตุลย์” เนี่ยคุ้นๆ ว่าเคยมีคนอ่านคนนึงเรียกตุลย์อย่างนี้ ก็เลยยืมมาใช้น่ะค่ะ (น่ารักเกินไปเหรอ? ฮ่าๆๆๆๆ)
นั่นสิ!!ช่วงหลังๆ มานี่รู้สึกแต่งคู่นี้ อารมณ์เดียวกับคู่กันย์กิ๊งเลย ออกหวานๆ น้ำตาลหก มดขึ้น
โอย.... แบบนี้ไม่ใช่ตุลย์แล้ววววววววว
คะแนนติดลบนะ คุณศราวุธ
เป็นคอมเมนท์ที่ให้ไว้ที่กระทู้กันย์กิ๊ง แต่ยืมมาเปลี่ยนจาก ศราวุธ เป็นศาตราวุธแทน อิอิ
อยากบอกว่าชอบข้อความนี้มากเลย ฮาๆ แม้จะเป็นแค่คำพูดธรรมดาแต่จิ้นถึงเวลาที่ปอนด์พูดด้วยน้ำเสียงยั่วยวนแล้วมันเซ็กซี่ (เราคิดไปคนเดียวหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ ฮา)
ก่อนที่ตัวละครจะหลงรักกัน เราก็หลงรักไปก่อนแล้ว สงสัยเราจะชอบปอนด์มากพอๆ กับตุลย์นั่นแหละเลยรู้สึกอย่างนั้น ปอนด์เป็นตัวละครที่อยู่ตรงกลางระหว่าง “กิ๊ง” กับ “น้องฐา” แมนเหมือนกิ๊งหื่นเหมือนน้องฐา (ว่าแต่กิ๊งแมนจริงอ่ะ?) ไม่รู้สิ ฮ่าๆ แล้วปอนด์ก็เซ็กซี่แบบผู้ชายๆ ด้วย
ส่วนตุลย์ มันเริ่มจะคลั่งมากจนออกแนวจิตๆ ไปแล้วกรี๊ดดดด พระเอกของฉันออกแนววิปริตไปแล้วเหรอเนี่ย!!
รักคนอ่านนะคะ