C h a p t e r s i x ♥
เป็นอย่างที่เคยเป็น
ผมเขียนบันทึกไดอารี่มาเกือบสามปีแล้ว
อาจจะดูไร้สาระสำหรับใครบางคน แต่มันกลับเป็นสิ่งเยียวยาจิตใจของผมได้มาก
หากไม่มีใครให้ระบายหรือปรึกษา ตัวเองจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
คนเรามีการกำจัดอารมณ์ด้วยวิธีที่แตกต่างกันไป การได้เขียน ได้ถ่ายทอดออกมาผ่านตัวหนังสือมันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น อึดอัดน้อยลงเหมือนได้ระบายความรู้สึกออกมาบ้าง
พอเวลาผ่านไปนาน เมื่อกลับมาอ่านอีกครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าผ่านช่วงนั้นมาได้ยังไงนะ
ไดอารี่ที่มีทั้งสุขและทุกข์ปนกันไป เรียงร้อยกันเป็นช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตที่ผ่านมาเรื่อยๆ ยิ่งทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น
ปัดนิ้วเลื่อนลงไปข้างล่าง จนเจอกับบันทึกครั้งแรก
ตอนนั้นผมอายุแค่สิบสี่
เป็นเด็กที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ถึงจะไม่ค่อยพูด แต่ก็มักจะยิ้มให้คนรอบข้างตลอด
ผมภูมิใจกับชื่อที่ป๊าตั้งให้เอามากๆ ทุกครั้งที่ได้แนะนำตัวผมจะเอ่ยชื่อตัวเองอย่างชัดเจน
‘ชื่ออะไรน่ะเรา’
‘ที่หนึ่ง’
‘…’
ชื่อเป็นที่หนึ่งครับ’
เป็นชื่อที่แปลกจนทุกครั้งที่บอกไปต่อหน้าเพื่อนๆ ต้องเกิดความสงสัยกลับมาทุกครั้ง
‘ทำไมถึงชื่อที่หนึ่งล่ะ เป็นลูกคนแรกเหรอ’
ผมก็ไม่เคยตอบ ได้แต่ส่ายหัวแล้วส่งยิ้มเล็กๆให้คำถามนั้น
เพราะไม่นานก็จะมีคำตอบให้กับคำถามนี้เอง..
พี่ชายคนโตของผมชื่อเอก ส่วนพี่สาวคนกลางชื่อวันที่แปลว่าเลขหนึ่ง
ความหมายของชื่อเราพี่น้องสามคนเหมือนกันด้วยความตั้งใจของป๊าม๊า
ที่คาดหวังกับลูกทุกคนไว้ตั้งแต่ยังเล็ก..
พี่เอกเป็นคนที่จัดได้ว่าหน้าตาดีเลยทีเดียว แม้จะขี้หงุดหงิด อารมณ์รุนแรง แต่ก็ถือว่ารักครอบครัวและพร้อมปกป้องคนที่ตัวเองรัก
ส่วนพี่วันก็เป็นคนน่ารัก ถึงจะเอาแต่ใจไปบ้าง แต่ก็เอ็นดูผมมาตลอด
ทั้งสองเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย ใจดีกับผมยังไงก็ใจดีกับผมอย่างนั้นเสมอ
‘น้องหนึ่ง ไปเล่นน้ำกัน’
‘แต่ว่าม๊า...’
‘พี่ขอให้แล้ว วันนี้วันสุดท้ายนะ น้องหนึ่งไม่อยากไปเล่นเหรอ’
เด็กน้อยวัยสิบขวบที่ไม่เคยสัมผัสกับคำว่าสงกรานต์ส่ายหน้า คว้ามือพี่ชายและพี่สาวตรงหน้าไว้ทันที
‘จับมือพวกพี่ไว้นะ ถ้าหลงกันแย่แน่เลย’
เป็นวันแรกที่เป็นที่หนึ่งได้เข้าใจโลกของความสนุกในช่วงวัยนั้น
แต่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่ทั้งสองโดนตี..
‘ม๊าบอกว่าอย่าพาน้องเถลไถล ถ้าเป็นอะไรกันขึ้นมาจะเป็นยังไง!’
‘ม๊าก็ปล่อยให้น้องไปทำอย่างอื่นมั่งดิ ไม่ใช่แค่อ่านหนังสืออยู่ในบ้านคนเดียว’
‘น้องยังเด็ก พวกแกจะไปเข้าใจอะไร ก็เป็นแบบนี้กันทั้งคู่ ม๊าถึงต้องคาดหวังกับน้องไว้ไง!’
เด็กน้อยยืนร้องไห้ มองพี่ๆที่ถูกตีเพราะตัวเองด้วยความรู้สึกเสียใจ
เสียใจที่ตัวเองช่วยอะไรไม่ได้
ทั้งที่รู้แก่ใจว่าพี่ๆโกหกเพื่อให้คนเป็นน้องได้ก้าวออกจากพื้นที่เดิมๆ
แต่ก็ขี้ขลาดเกินที่จะปกป้อง..
บันทึกไดอารี่ครั้งแรกไม่ได้มีความยาวมากนัก
แต่กลับไปอ่านอีกกี่ครั้งก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกตอนนั้นเสมอ
นานมาแล้วที่เราทั้งสามคนไม่ได้พูดคุยหยอกล้อเหมือนเคยทั้งที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็คงไม่มีใครอยากให้ความสัมพันธ์มันเป็นแบบนี้ แต่จะให้แก้ไขก็คงเสียไปเสียแล้ว
ผมในวัยสิบขวบกับตอนนี้น่ะ
ขี้ขลาดไม่ต่างกันเลย
อีกไม่กี่เดือนก็จะเป็นช่วงเวลาของกีฬาสี
แต่ก่อนที่จะถึง ก็คงต้องผ่านโครงงานให้รอดก่อน
ถ้าให้เปรียบเทียบกับสัปดาห์วันวิทยาศาสตร์กับวันนี้ ก็คงไม่ต่างกันมากนัก ติดที่วันนี้จะดูครื้นเครงกว่าหน่อย เพราะนักเรียนจากโรงเรียนอื่นที่มาไม่ใช่เด็กประถมเหมือนวันนั้น แต่เป็นรุ่นเดียวกัน
โอกาสที่จะได้เพื่อนใหม่ยิ่งมีมากเพราะเป็นการสานสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียน ถ้าได้ยินมาไม่ผิดตอนเย็นของวันนี้ก็อาจจะปาร์ตี้กันนิดหน่อย
นักเรียนชั้นม.5 ที่กระจายตัวกันอยู่รอบโรงเรียนเริ่มทยอยเดินเข้าอาคารหลังจากได้ยินเสียงประกาศผ่านลำโพงให้มารวมตัวกันเพื่อจัดการภารกิจวันนี้ให้เสร็จสิ้น
ผมถอดแมสปิดปากออก กวาดตาทวนสคริปต์อีกที ก่อนจะเก็บลงกระเป๋าเสื้อ
“หน้าไม่เอ็นจอยเลยว่ะ”
เต้เดินเข้ามาทัก อีกฝ่ายวิ่งวุ่นทั้งวันเพราะเป็นกลายเป็นอาสาสมัครจำเป็นที่ต้องคอยช่วยเหลือคุณครูตลอดเวลา ผมเห็นเหงื่อเม็ดเล็กๆตามกรอบหน้าของเพื่อนร่วมกลุ่มก็อดจะยื่นทิชชูให้ไม่ได้
“ต้องเอ็นจอยกับอะไร สคริปต์ยาวเป็นหางว่าว”
“ธรรมดาล่ะครับคุณหัวหน้า”
เนื่องจากฝ่ายคณะกรรมการนักเรียนต้องไปทำหน้าที่เฉพาะ กรรมจึงมาตกที่ผมแทน
ถึงจะเคยไปแข่งพูดสุนทรพจน์ แต่การขึ้นไปกล่าวเปิดงานมันก็เป็นสิ่งที่ผมไม่ค่อยจะถนัดเท่าไหร่ แถมยังมีเวลาให้เตรียมตัวแค่ไม่กี่วัน เพราะผมก็ต้องซ้อมโครงงานของตัวเองไปด้วย
“ละห้องเราอยู่แถวไหน”
“แถวขวาสุดเลย สแตนบายกันเรียบร้อยละ แม่งโดนประเมินแถวแรกอีก โคตรบันเทิงอะงานนี้”
“ใครจับฉลาก”
“เกด”
“เออ สมควร”
เราต่างหัวเราะออกมาอย่างเข้าใจกัน
รองหัวหน้าห้องที่มาพร้อมกับความซวยซ้ำซวยซ้อนเสมอ แต่เธอก็ทำงานได้ดีเชียว
“ไปเตรียมตัวได้ละ ครูเริ่มเข้ามาแล้วเนี่ย”
“เจอกัน”
ผมตอบไปสั้นๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ไปหลังเวที
บรรยากาศในห้องเริ่มเงียบลงเมื่อกรรมการประเมินเข้ามานั่งประจำที่จนครบ
ถึงเวลาแล้ว
ผมสลัดความกังวลทิ้ง เรียกกำลังใจให้ตัวเอง สายตามองไปที่ห้องม.5/12 ก็เห็นเพื่อนๆในห้องยืนยิ้มให้กำลังใจ พร้อมกับลูกแพรที่แอบชูสองนิ้วให้
ผมยิ้มตอบกลับไป พลันกวาดสายตาไปเจอคนตัวสูงที่สุดในห้อง
เราสบตากันเพียงเสี้ยววิ..
ก่อนที่ร่างสูงจะก้มลงมองโทรศัพท์ในมือเช่นเคย
ผมเบือนหน้าหนี สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วก้าวขึ้นไปบนเวที ท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังขึ้น
“สวัสดีครับ ผมนายเป็นที่หนึ่ง เป็นตัวแทนจากโรงเรียน...”
ว่ากันว่าความสัมพันธ์ที่เป็นเส้นขนานน่ะ
ใกล้แค่ไหนก็ไม่มีวันได้บรรจบกันหรอก..
♥
“ผ่านไปสักทีโว้ยยยยยย”
“ไปเพื่อน หมูกระทะเลยวันนี้ กูไม่ไหวแล้ว”
เสียงครึกโครมดังขึ้นอีกครั้ง หลังจากการประเมินโครงงานผ่านพ้นไป ยอมรับเลยว่าเป็นอะไรที่สูบพลังงานมากพอสมควร และถึงแม้จะผ่านไปแล้วก็ต้องรอดูผลคะแนนอยู่ดีว่าจะผ่านเกณฑ์หรือเปล่า
ให้ตายเถอะ วิชาหนึ่งหน่วยกิต
กว่าจะจบงานก็ล่วงเลยเวลามาเกือบห้าโมงเย็นแล้ว ไม่ต้องเดาเลยว่าจุดมุ่งหมายต่อไปของนักเรียนชั้นมัธยมปลายปีสองคืออะไร
สุดท้ายงานปาร์ตี้ตอนเย็นก็ล่ม เพราะต่างแยกย้ายกันไปแต่ละห้องของตัวเอง ส่วนคนที่หวังจะกระชับความสัมพันธ์ต่างโรงเรียนก็ได้แต่เศร้าไป
แหงล่ะ ใครไม่อยากจะหาสิ่งใหม่ๆนอกโรงเรียนบ้าง
“ไปป้ะ ให้ครบ ใกล้ๆ ใครไม่มีรถก็ติดเพื่อนไป”
“ไอ้ม่วงขับรถใหญ่อะ น่าจะอัดกันได้สัก 4-5 คน”
“เค เจอกัน!”
บทสรุปของกว่า 45 ชีวิตของวันนี้จบที่ร้านหมูกระทะใกล้โรงเรียน ผมไม่อยากจะปฏิเสธเพราะไหนๆก็ไปกันทั้งห้อง จะให้กบฏไม่ไปเลยก็คงไม่ดีเท่าไหร่
โชคดีที่เกือบครึ่งห้องมีรถเป็นของตัวเอง การไปกันทั้งห้องจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ อย่างลูกแพรเองก็มี แต่ขึ้นไปกับเต้คงจะดีกว่า
“จะไปกับเต้อ่อ”
“อือ ไว้เจอกันที่ร้าน”
“เค บอกเต้มันขับดีๆ เดี๋ยวแหกอีก”
ผมขำ เห็นท่าทางเป็นเด็กกิจกรรมของมันแบบนี้แต่ก็เฮ้วใช่เล่น
“จะไปด้วย?”
เต้มองหน้าผมอย่างงงๆทันทีเมื่อเดินเข้าไปหา
“มีคนไปด้วยแล้ว?” ผมถามกลับ
“มีมิกไป แต่ซ้อนสามได้ไม่มีปัญหา ขึ้นเลยครับคุณหัวหน้า”
เพิ่งจะโดนบอกให้มันขับระวังๆแต่จะเล่นซ้อนสามแบบไร้หมวกกันน็อคอีก
โคตรจะปลอดภัยเลย
“ขับไหวมั้ย”
“ซ้อนสี่ก็ทำมาละ”
“แต่เคยแหกโค้ง”
“ไม่ขุดได้มั้ยล่ะ ครั้งเดียวเองเถอะ” มันสวนกลับอย่างงอนๆ “ไอ้มิกมาละ มึงนั่งกลางรึหลัง เลือก หัวหน้ารอ” เต้พูดกลั้วหัวเราะ
มิกเป็นคนร่างใหญ่พอควร และรถของเต้ก็ไม่ได้กว้างแม้แต่นิด เหมือนไว้นั่งได้แค่คนเดียวด้วยซ้ำ แต่เจ้าตัวก็ยังยืนยันว่าเคยซ้อนสี่มาแล้วอยู่ดี
“นั่งข้างหลังนี่กูจะทับหัวหน้าตายก่อนมั้ยเนี่ย” มิกพูดแบบไม่ได้ใส่ใจ
“เออนี่ รถของเฟิร์สยังว่างนะเว้ย”
“…”
“คันใหญ่ด้วย นั่งสบายอะ”
ผมเงียบ เต้ก็เงียบ
เป็นอันว่าเพื่อนในกลุ่มผมทุกคนรับรู้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับอีกคนเรียบร้อยแล้ว
อย่าว่าแต่ให้ไปนั่งรถคันเดียวกันเลย
แค่นั่งเรียนในห้องเดียวกันก็อึดอัดแทบตายแล้ว
“ฮ่ะๆ มันไปแล้วมั้ง รีบขึ้นเถ๊อะ กูหิวละเนี่ย” เต้พูดตัดบท ก่อนจะก้าวขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ตัวเอง
“มันก็ยืนพิงรถเล่นโทรศัพท์อยู่นั่น”
มิกชี้ไปที่คนตัวสูงยืนอยู่ไม่ไกล พออีกฝ่ายถอดหูฟังออกมิกก็ไม่ลังเลที่จะตะโกนเรียกทันที จนเต้ตะครุบปากไว้ไม่ทัน
ใช่ อย่างที่ผมบอกไป เรื่องราวระหว่างผมกับเขามีแค่คนในกลุ่มรู้ คงจะไปโทษมิกไม่ได้
“เฟิร์ส!! รถว่างช้ะ แบ่งหัวหน้าไปส่งหน่อยดิ”
ร่างสูงเลิกคิ้ว ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมาที่ผม
“ไอ้ห่าเอ้ย สนุกเลยมั้ยล่ะ” เพื่อนร่วมกลุ่มผมตบหน้าผากตัวเองอย่างเหนื่อยใจ
เราไม่ได้คุยกันมาเกือบหนึ่งเดือนเต็มหลังจากวันนั้น แม้กระทั่งการเดินสวนกันก็ไม่เคยเกิดขึ้น การจะให้ไปนั่งรถคันเดียวกันยิ่งไม่มีความเป็นไปได้เลย
ถึงจะพูดอย่างนั้น
เฟิร์สก็ยังเป็นเฟิร์ส
ใจดี..กับแทบทุกคน
“มาดิ”
“มึงไปนั่งกับมันเลยมิก ให้หัวหน้ามันไปกับกูนี่แหละ”
“เอ้า ได้ไงวะ กูอุตส่าห์อยากให้ที่หนึ่งนั่งสบายๆ”
“ไม่คือ...” ผมมองดูเพื่อนสองคนที่เริ่มมีปากเสียงกันสลับกับอีกคนที่ยืนรออยู่ไม่ไกลแล้วถอนหายใจออกมา
“เอาตามนี้แหละ เดี๋ยวเราไปกับเค้าเอง”
“เออ ก็จบละเนี่ย มึงโวยวายไรเต้”
เพื่อนร่วมกลุ่มของผมหันมามองด้วยแววตาเป็นห่วงอย่างปิดไม่มิด ซึ่งผมก็เข้าใจความหวังดีของเต้ดี
ให้รองจากลูกแพร ก็คงเป็นมันแหละนะ
“ไปได้น่า ไปๆ จะหกโมงแล้ว” ผมยิ้มให้อีกฝ่ายเพื่อความสบายใจ ก่อนจะก้าวเท้าเดินไปอีกทาง
เฟิร์สเก็บโทรศัพท์มือถือลง ยื่นหมวกกันน็อคอีกใบให้โดยไม่ปริปากอะไร
ผมรอให้อีกฝ่ายสตาร์ทรถถึงได้ก้าวขึ้นรถโดยไม่ต้องให้บอก
หากการนั่งเรียนด้วยกันในห้องอึดอัดแล้ว การนั่งด้วยกันสองคนแบบนี้ยิ่งทวีคูณเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
โชคดีที่มอเตอร์ไซค์ออกแบบมาให้เบาะกว้างพอสมควร ทำให้สามารถเว้นระยะห่างระหว่างผมกับเขาไว้ได้
แผ่นหลังกว้างที่เคยคิดว่าตัวเองคุ้นเคย แต่ตอนนี้กลับยิ่งห่างไกลออกไป
ถึงจะภาวนาให้ถึงร้านเร็วๆ แต่ก็ไม่เป็นดั่งใจคิด
ไฟสีเหลืองที่เปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว ทำให้คนข้างหน้ากำเบรกทันที
มันเป็นไปตามกฎการเคลื่อนที่ของนิวตันข้อที่หนึ่ง ทำให้ผมเสียหลักเซไปชนอีกฝ่ายเข้าอย่างแรง
“...ขอโทษนะ”
คำกล่าวที่แผ่วเบาราวกับสายลมกระซิบ
กับเวลาหนึ่งนาที..ที่ใช้เวลายาวนานราวกับไม่ใช่ความจริง
“หัวหน้าห้องกับคุณชายมาละ”
“เออนั่งๆๆ”
“เหลือสองที่สุดท้ายพอดี ไม่งั้นชวดละเนี่ย”
ผมเห็นสายตาเป็นห่วงจากเพื่อนในกลุ่มที่นั่งกระจัดกระจายกันอยู่ โดยลูกแพรที่นั่งอยู่รีบลุกขึ้นมาหาทันที
“เพื่อนแม่งเล่นจับฉลากแยกกันนั่งอะ เลยจองที่ไว้ให้ไม่ได้ โอเคป่าววะ”
เพื่อนสนิททำเสียงเครียด เหลือบสายตามองคนตัวสูงพร้อมกับฮูดดำที่เดินตามมาข้างหลัง ลูกแพรไมได้ถามเหตุผลอะไร คิดว่าเต้คงจะเล่าให้ฟังแล้ว
“ไม่เป็นไร กินแป๊บๆเดี๋ยวก็กลับแล้ว”
“กลับพร้อมเราเลย ไม่งั้นเดี๋ยวก็วนเข้าอีหรอบเดิม มิกแม่งตัวติดกับไอ้เต้ขนาดนั้น”
“จะไปหาพี่ซันไม่ใช่เหรอ”
“เฮอะ จะซ้อมเสร็จเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ช่างมันเถอะ จะกลับเมื่อไหร่เดินมาบอกเลยนะ”
“โอเค”
ผมเดินกลับมาที่ที่ว่างอยู่ เขานั่งลงด้านนอกไปแล้ว ทำให้ผมต้องเข้าไปนั่งริมติดฝาผนัง
ร้านเป็นเหมือนร้านเนื้อย่างทั่วไป ต้องเดินไปตักเอง แต่เหมือนเพื่อนที่มาก่อนจะตักมาไว้เผื่อให้เยอะแล้วเลยไม่ต้องลุกไปหลายรอบ
“ขอน้ำหน่อย”
“ไอ้เฟิร์สขอน้ำ ส่งมาให้มันดิ๊”
“สั่งเป็นคุณชายเชียวนะมึง”
“จะให้เดินข้ามหัวมึงไปเอามั้ยล่ะ”
ทั้งโต๊ะหัวเราะครืน บรรยากาศครื้นเครงขึ้น เนื่องจากสลับที่นั่งกันจึงทำให้ไม่เกิดการแบ่งกลุ่มและพูดคุยกันได้ทั่วถึง ละแวกที่ผมนั่งส่วนมากจะมีแต่เพื่อนผู้หญิง ตรงข้ามผมก็เป็นเพื่อนผู้หญิงจากกลุ่มหนึ่งที่ผมไม่ค่อยสนิทด้วยเท่าไหร่ ถัดไปก็พอใจชื้นขึ้นมาหน่อยเพราะเป็นรองหัวหน้าห้องนั่นเอง
“เอาน้ำอะไร” เพื่อนผู้ชายที่อาสาลุกขึ้นไปเอาให้ถามขึ้น
“น้ำเปล่า”
“เฮลตี้สุดๆ”
“เอามาสองแก้ว อีกแก้วไม่ต้องใส่น้ำแข็ง” “กูเรียกเก็บแก้วละร้อยได้มั้ยเนี่ย สั่งจั๊งงง”
“ค่ารายงานยังไม่จ่ายกูเลย”
“ขอโทษครับคุณชาย!”
เพื่อนๆต่างส่งเสียงหัวเราะ แต่เป็นผมคนเดียวที่ทำตัวไม่ถูก
แทบจะไม่ต้องคิดเข้าข้างตัวเอง ในเมื่อคนเดียวที่ยังไม่ได้แก้วน้ำเหมือนกันก็คือผม
ผมจะไม่แปลกใจไปมากกว่านี้เลย...
กึก
น้ำเปล่าที่ไม่ใส่น้ำแข็งตามที่สั่งถูกเลื่อนมาวางไว้ตรงหน้า โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้หันมามอง
จะไม่แปลกใจไม่มากกว่านี้..ถ้าเขาไม่รู้ว่าผมเจ็บคอ
เห็นสายตาเต้ที่นั่งเยื้องๆไปหน่อยหันมามองด้วยความสงสัย ซึ่งไม่ต่างอะไรกับผมตอนนี้เลย
ผมพูดขอบคุณออกไปพอให้เจ้าตัวได้ยิน ก่อนที่เราทั้งสองจะนั่งเงียบแล้วไม่มีบทสนทนาใดๆร่วมกันอีก
“ที่หนึ่ง จริงหรือเปล่าที่สละสิทธิ์ไปแข่งฟิสิกส์อะ”
ผมชะงักไปจนเกือบจะทำแก้วตก เมื่อรองหัวหน้าห้องถามขึ้น
ท่ามกลางสถานการณ์แบบนี้...
“อื้อ โดนเรียกไปแข่งวิชาอื่นแทน”
“โห ดีนะเรียกตั้งแต่เนิ่นๆนี่ถ้าเรียกไปตอนใกล้จะแข่งอะ ตายพอดี แต่เสียดายแทน จะไม่เห็นแชมป์ฟิสิกส์ 2 ปีซ้อนอีกแล้ว”
ผมยิ้มน้อยๆ ไม่พูดอะไรต่อ
จะบอกว่าโชคช่วยก็ได้ ที่โดนเรียกไปแข่งอีกวิชาเนื่องจากสำคัญกว่าและวันใกล้กว่าทำให้ต้องสละสิทธิ์การแข่งฟิสิกส์ไป
เป็นเรื่องที่ดีเอามากๆเพราะผมก็ไม่รู้ว่าจะทนอยู่ในเวลาแบบนั้นได้นานแค่ไหนเหมือนกัน และอาจจะกลายเป็นตัวถ่วงในการแข่งไปเลยก็ได้
คุณครูเอ่ยปากเสียดาย แต่ยังไงถ้ามีคนอย่างเฟิร์สอยู่ก็คงไม่ต้องเป็นกังวลแล้วล่ะ
ครืด ครืด...
เจ้าของฮูดสีดำควักโทรศัพท์ขึ้นมารับสายทันทีเมื่อมีเสียงเรียกเข้า
ผมค่อนข้างแน่ใจว่าคนในสายเป็นใครถึงทำให้เจ้าตัวต้องรีบรับแบบนี้
เดาไม่ผิดหรอก
“ว่าไงพีช”
นานมาแล้วที่เด็กคนหนึ่งเคยได้รับสิ่งที่ตามหามาเป็นเวลานาน
แต่สุดท้าย..ก็ต้องกลับไปเป็นอย่างที่เคยเป็น
เพราะสิ่งที่เขาตามหาน่ะ..มันไม่ได้มีไว้สำหรับเขา