F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518  (อ่าน 69639 ครั้ง)

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
งือออ เขาคืนดีกันแล้ว

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 847
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
เอาละเหวยยยยยยยยยยย อย่าพลิกล็อกดราม่ากันอีกเด้อออ
อึดอัดใจมาตั้งแต่เปิดเรื่อง55555555

ออฟไลน์ miralchs

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
C h a p t e r   e i g h t  ♥

เป็นคนน่ารัก


            วันนี้เป็นวันที่อากาศดีกว่าทุกวัน

            บรรยากาศตอนเที่ยงไม่ได้อบอ้าวเหมือนอย่างเคย เป็นสัญญาณของฤดูกาลที่ผลัดเปลี่ยนไป ถึงจะเข้าสู่ช่วงหน้าหนาวก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อนักเรียนไทยนัก ดีเสียอีกที่หลุดพ้นจากอากาศร้อนไปได้บ้าง

            อาทิตย์หน้าเป็นอาทิตย์แห่งการสอบปลายภาคเรียนที่หนึ่ง งานทุกงานที่ค้างจึงต้องจบลงให้ได้ภายในวันศุกร์นี้ ไม่ใช่แค่เด็กม.5 ที่หัวหมุน ชั้นอื่นๆก็พอกัน ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่วันนี้จะเห็นโรงอาหารแออัดไปด้วยเด็กมัธยมเกือบทั้งโรงเรียนจากที่ปกติก็เยอะอยู่แล้ว

            เกือบครึ่งแทบจะไม่ได้มานั่งกินข้าวหรอก จุดประสงค์คือโดดเรียนมาปั่นงานทั้งนั้น

            มองเข้าไปในโรงอาหารแล้วก็ต่างพากันยอมแพ้ ถึงแม้จะกว้างแค่ไหน ถ้าคนเยอะแบบนี้อย่าว่าแต่อ่านหนังสือเลย คงไม่เป็นอันจะทำอะไรแน่ๆ

            อีกทางเลือกหนึ่งเป็นสถานที่ที่สงบอยู่สมควร แต่ก็เดาใจไม่ถูกว่าจะเปิดให้ใช้ตอนเที่ยงหรือเปล่า นั่นแหละ เดาไม่ผิดหรอก ถ้าโรงอาหารไม่ว่าง ก็มีให้เลือกอีกที่เดียวคือห้องสมุด

            กลุ่มเพื่อนถ้ารวมผมด้วยแล้วเรามีราวๆ 5-6 คนปนทั้งผู้หญิงผู้ชาย ถามว่าเป็นกลุ่มแบบไหน จะบอกว่าเด็กเรียนเลยก็ไม่เชิง ต้องบอกว่าเป็นผมคนเดียว ส่วนที่เหลือก็เรียนๆเล่นๆตามประสาวัยมัธยมแล้วเน้นไปทางกิจกรรมกันมากกว่า

            พูดถึงเรื่องกิจกรรมแล้วอดนึกถึงกีฬาสีไม่ได้ งานใหญ่ที่สุดในม.5 ยังไงก็ไม่พ้นเรื่องนี้ แต่เจอเหตุการณ์แบบนั้นไป ให้ตอบตามตรงก็แอบท้อตั้งแต่เริ่มแล้ว

            หลังจากทำแผลที่ห้องพยาบาลเสร็จ ผมก็ไม่ได้เข้าเฝือกอย่างที่คิดไว้เพราะอาการดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงจะเดินขัดๆบ้างก็นับว่าอยู่ในระดับที่ไม่ได้เลวร้าย

            ส่วนเด็กสามคนนั้น...ไม่เหลือ

            ถูกลากมาคุยพร้อมผู้ปกครอง ร้องไห้งอแงใหญ่โกหกว่าไม่ได้ทำ แต่หลักฐานก็ชัดเจนบนกล้องวงจรปิด พ่อแม่เด็กขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่พร้อมกับชดเชยค่ารักษาให้ แต่ก็ผมก็ไม่ได้รับไว้เพราะไม่ได้ถึงขั้นที่จะต้องเข้าโรงพยาบาล

            สงสารมั้ยก็สงสารนิดหน่อย แต่ความผิดก็คือความผิด ยิ่งเป็นเด็กแล้วก็สมควรที่จะโดนตักเตือน ผมไม่ได้ติดค้างอะไรแต่ก็ว่ากล่าวไปตามสมควร

            ต่างจากอีกคนที่ทำแผลให้ผมอยู่ที่ห้องพยาบาล ยั้งอารมณ์ไม่อยู่เลยสักนิด จนเพื่อนต้องปรามให้ใจเย็นเพราะผู้ปกครองก็นั่งอยู่ด้วย บรรยากาศเริ่มมาคุเมื่อเฟิร์สขอใช้สิทธิ์ของการเป็นหัวหน้าสีลงโทษเด็กทั้งสามคน

            ‘ผมคงต้องรายงานความพฤติให้กับฝ่ายปกครอง’

            ‘…’

            ‘ถ้าไม่ดัดนิสัยตั้งแต่ตอนนี้ โตขึ้นไปก็จะทำแบบเดิมอีก หวังว่าผู้ปกครองน้องๆจะเข้าใจนะครับ’

            ไมได้แย้งอะไรออกไปทั้งนั้น เพราะถึงแย้งไปก็ไม่มีสิทธิ์อยู่ดีเพราะอีกฝ่ายถูกรับเลือกให้เป็นหัวหน้าใหญ่ที่สุด ทุกอย่างทุกฝ่ายต้องถูกควบคุมโดยเขา

            แต่เหตุผลจริงๆที่ไม่อยากขัดก็เพราะรู้ว่ามันเป็นความหวังดีของเขาต่างหาก..

            ก็ยังยืนยันคำเดิม

เฟิร์สน่ะใจดีกับทุกคน

            จากวันนั้นก็ผ่านมาได้สี่วัน คงไม่ต้องบอกเลยว่าทุกอย่างแทบจะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ

            อันที่จริงแล้วเราก็ยังเป็นเพื่อนในห้องกันเหมือนเดิม กลับมาทักทาย พูดคุยได้อย่างปกติดี

            แต่สิ่งที่ไม่ปกติน่ะ...มันก็มี

            “มองหาใครอะ”

            “ช่วงนี้ใจลอยเหลือเกินนะครับคุณที่หนึ่ง”

            ลูกแพรกับเต้ที่เดินมาวางหนังสือใส่โต๊ะเสียงดังตุ้บอย่างจงใจให้สะดุ้ง แต่ผมก็เพียงหันไปมองนิ่งๆแล้วส่ายหัว

            “ตัวอยู่ห้องสมุด ใจอยู่ที่ไหนแล้วน้า~”

            อยากลุกไปเขย่าคอเพื่อนสนิทตรงหน้าจริงๆถ้าไม่ติดว่าจะก่อความรำคาญให้คนอื่นในห้องสมุด

            แน่นอนว่าบรรยากาศระหว่างผมกับเขาที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดทำให้เพื่อนต่างรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น แถมอีกฝ่ายยังแวะเวียนมาให้เห็นหน้าบ่อยจนเพื่อนชินไปแล้ว

            ก็ไม่ได้มีใครว่าอะไร มีแต่สองคนนี้นี่แหละ ไม่เลิกไม่ถอยสักที

            ไมได้แซวเลยจะขาดใจตายหรือไงกัน

            “อ่านหนังสือไป”

            “แน่ะๆ ทำเป็นกลบเกลื่อน”

            “จะเอาไงว่ามา” ผมปรายตามองอีกคนอย่างเอือมๆ

            “แฮ่ ไม่แซวก็ได้จ้า”

            อยากถอนหายใจใส่เพื่อนตัวดีสักล้านครั้ง รู้อยู่แก่ใจว่ามันหยอกเล่น แต่ก็อดรำคาญไม่ได้อยู่ดี

            อีกฝ่ายก็มีเจ้าข้าวเจ้าของแล้ว ยังจะแซวให้เข้าใจผิดกันไปอีก...

            ผมก็ไม่ได้รู้สึกแย่ขนาดนั้น เพราะนั่นมันก็เป็นเรื่องของคนสองคน เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผม

            แค่กลับมาพูดกันได้เหมือนเดิมก็ดีแล้ว

            ส่วนอาการอื่นๆ ก็ช่างมันเถอะ

          เดี๋ยวสักวันก็จางหายจนไม่รู้สึกเอง

            งั้นเหรอ?

            ให้ตาย ขอถอนคำพูด กว่ามันจะไม่รู้สึกผมคงต้องใช้เวลาเป็นปีเลยล่ะ ถ้าเขายังมาวนเวียนรอบตัวแบบนี้

            สายตาเหลือบมองคนตัวสูงที่เพิ่งอยู่หน้าประตูห้องสมุด เวลาพักเที่ยงในวันปกติเฟิร์สไม่มีทางมาขลุกอยู่ที่นี่เป็นแน่ แต่จะบอกว่าร่างสูงที่เดินเข้ามาเป็นร่างโคลนนิ่งก็จะเหลือเชื่อเกินไป

            เขายังโดดเด่นในหมู่เพื่อนเสมอ แม้จะมีส่วนสูงที่ไล่เลี่ยกันทั้งกลุ่ม รอยยิ้มของเฟิร์สก็ยังเอาชนะคนรอบตัวได้อยู่ดี...

            โชคดีที่เขายังไม่เห็นผมที่อยู่ตรงนี้

            “พูดถึงก็มาเลยแฮะ พรหมลิขิตหรือตั้งใจน้า” ไม่ทันไรคนนั่งตรงข้ามก็เอ่ยปากแซวอีกครั้งหลังจากเงียบไปไม่ถึงห้านาที

            “พูดมากจริงๆ”

            เต้เปิดปากลงหัวเราะไร้เสียงอย่างพอใจเมื่อได้โดนผมด่า ก่อนที่เพื่อนสนิทอีกคนจะเข้ามาผสมโรงด้วยผมก็ลุกหนีทันที

            นั่งอยู่ตัวไปมีหวังตัวพรุนหมดแน่

            ผมเดินมาหลบที่ซอกชั้นหนังสือมุมหนึ่งที่เป็นส่วนตัวพอสมควร อย่างน้อยก็อยู่นี่สักพักดีกว่า ผมไล่สายตามองหาหนังสือบนชั้นไปเรื่อยๆจนสะดุดตากับเล่มหนึ่งที่อยู่เหนือหัวผมไป

            พลันโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นขึ้น 

            หน้าจอโชว์ข้อความหนึ่งจากคนที่เพิ่งเดินเข้ามา...

 

            1st : มาติวข้อสอบให้หน่อย

 

            ผมชั่งใจอยู่ครู่ ก่อนจะพิมพ์กลับไป

            ให้ไปนั่งติวในกลุ่มนั้นคนเดียวคงเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมคิดจะทำ ถึงจะเพื่อนร่วมห้องแต่นิสัยก็ไม่ได้เข้ากันได้ทุกเรื่อง

 

                                                                                                                                                         กินข้าวอยู่

 

            หน้าจอขึ้นคำว่า read อย่างรวดเร็วเหมือนเคยเมื่อพิมพ์ตอบกลับ ผมเก็บโทรศัพท์ลง หันไปสนใจหนังสือบนชั้นที่ต้องการ

            ให้ตายเถอะ ไม่เคยอยากโทษส่วนสูงร้อยเจ็ดสิบสองของตัวเองเท่าวันนี้มาก่อนเลย

            ผมเอื้อมมือสุดแขน ทันใดนั้นกลับถูกปัดออกไปจากมือปริศนาที่เป็นฝ่ายหยิบให้แทน

 

            “เพิ่งรู้ว่าห้องสมุดมีไว้กินข้าว”

            ผมหันไปมองอย่างตกใจทันทีเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นหูมาหยุดอยู่ข้างๆ อีกฝ่ายไม่ได้แสดงท่าทีอะไรแต่ใช้ดวงตาคู่คมจ้องมาพร้อมกับยื่นหนังสือที่ต้องการให้

           “เรา...” ผมลอบกลืนน้ำลายอย่างรู้สึกผิด

           “ไม่อยากเจอหน้ากันขนาดนั้น?”

           “เปล่า ไม่ใช่”

           เฟิร์สยังยืนจ้องหน้าเหมือนรอฟังคำอธิบายจากผมอยู่ จึงต้องจำใจตอบอีกฝ่ายไป

           “ก็ไม่อยากไปนั่งอยู่ในกลุ่มนั้นคนเดียว”

           “แสดงว่าเห็นเราตั้งแต่เดินเข้ามาแล้วดิ”

           “ก็..อื้อ” ต้องยอมรับอย่างเลี่ยงไม่ได้

           ต่างฝ่ายต่างเงียบ เพราะไม่อยากจะทะเลาะกันอีกผมเลยเลือกที่จะยืนนิ่งๆอยู่แบบนี้

           ถ้าเป็นปกติก็คง...เดินหนีไปแล้ว

           สักพักก็รับรู้ได้ถึงแรงที่ฉุดแขนให้นั่งลงไปในพื้นที่คับแคบ เงยหน้ามองอีกฝ่ายก็พบกับสายตากวนประสาทเหมือนเดิม

           อือ..นี่แหละเฟิร์สตัวจริง

           “งั้นก็นั่งติวอยู่นี่แหละ”

           “ไม่อึดอัดเหรอ เดี๋ยวไปนั่งข้างนอกก็ได้...”

           ลำพังผมคนเดียวไม่เท่าไหร่ ก็พอจะยัดตัวลงได้ แต่อีกฝ่ายที่ทั้งแขนขายาวคงจะนั่งไม่ถนัด

           “หึ ขี้เกียจฟังพวกแม่งแซว”

           อีกฝ่ายพูด แล้วหันมายิ้มมุมปากให้น้อยๆ “หรือจะออกไปดี..”

           “นั่งอยู่นี่แหละ”

            กวนตีนจริงๆ

            เราไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงอะไรกันอีก มาติวก็มาติวอย่างที่พูด ตอนแรกก็แอบนึกว่าคนตัวสูงจะหาเรื่องมากวน แต่พอเห็นใบหน้าจริงจังของอีกคนก็ต้องหยุดความคิดนั้น

            ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงได้ใจเด็กผู้หญิงแทบครึ่งโรงเรียนไปครอง...

            “มองอะไร”

            เสียอย่างเดียวก็สายตาล้อเลียนแบบนี้นี่แหละ

            ไม่น่าเผลอให้เลย

            ถึงจะได้ไปแทบครึ่งโรงเรียน แต่ยังไงก็มีตัวจริงที่ครอบครองไปแล้วอยู่ดี

            ไม่บ่อยครั้งที่ผมจะเริ่มพูดอะไรก่อน แต่ครั้งนี้ก็สงสัยจนต้องเอ่ยปากถามอีกฝ่าย

            “ไม่ไปหาพีชเหรอ”

            แปลกที่ไม่เคยจะจำชื่อน้องคนนั้นได้ แต่พอมาเกี่ยวข้องกับคนตรงหน้ากลับจำได้แม่น..

            คนตัวสูงเลิกคิ้วอย่างสงสัย “ทำไมต้องไปหาอะ”

            ปฏิกิริยาตอบรับของเฟิร์สทำให้ผมเริ่มงง

            “ก็...”

            “ไปได้ยินไรมา”

            “ก็...เป็นแฟนกัน...ไม่ใช่เหรอ”

           ราวกับห้องสมุดตกอยู่ในความเงียบสนิท

           “เอาจริงดิ..”

           อีกฝ่ายพึมพำออกมาโดยที่ผมยังงุนงงอยู่ ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะหึหึตามมาทันที

           “อะไรอะ” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ

           “ใครบอก” อีกฝ่ายหันมามองกันตรงๆ แต่ใบหน้ายังเจือไปด้วยความขนขัน

           “ก็เห็นเค้าลือกัน”

           “แล้วเชื่อเหรอ”

           “ก็ไปรับไปส่งกันทุกวัน” ผมพูดอีก

           “ผิดคนละ ไปส่งน้องเขาไม่ถึงสามครั้งเพราะน้องขอมา”

           “แล้วก็...โทรหากันตลอดไม่ใช่เหรอ”

           “อยู่กับเราตลอดเหรอถึงรู้” อีกฝ่ายตอบด้วยความขำปนรอยยิ้ม

            “...”

 

            “ไม่ได้คบกัน ไม่เคยคบด้วย”

            คนตัวสูงหันมาสบตาพูดอย่างจริงจังและหนักแน่น

            พร้อมกับโน้มใบหน้าลงมาใกล้มากขึ้น...

            “ไม่รู้ๆจริงเหรอว่าตอนนี้มองอยู่คนเดียว”






            คุณว่าความเขินอายมีกี่ระดับ

            เป็นคำถามที่ชวนให้งงแปลกๆ และไม่รู้ว่าต้องตอบในเชิงไหนถึงจะตรงประเด็นมากที่สุด

            ถ้าถามคนหนึ่งร้อยคน เชื่อเลยว่ายังไงก็มีคำตอบเป็นร้อยคำตอบ

            แต่รู้หรือเปล่าการที่จะตอบคำถามนี้ได้น่ะ

            คุณต้องเคยมีความรู้สึกนี้มาก่อน...



            วันนี้เหมือนอะไรๆก็เป็นใจไปหมด

            นอกจากอากาศแจ่มใส มีลมหนาวพัดพอให้รู้สึกสดชื่น กับดวงอาทิตย์ที่เริ่มอ่อนแสงลง แล้วยังมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นอีกอย่างเช่นตอนนี้

            เสียงเชียร์บนแสตนของน้องๆทำให้พี่ม.5 ที่มองขึ้นไปจากข้างล่างแทบจะน้ำตาไหลด้วยความรู้สึกดีใจ ในที่สุดผลจากการเคี่ยวเข็ญมาเกือบอาทิตย์ก็แสดงให้เห็นในวันนี้ เด็กมัธยมต้นเริ่มเปิดใจและเริ่มเข้าใจเหตุผลของพวกผมมากขึ้นทำให้การฝึกซ้อมหลังเลิกเรียนเป็นไปอย่างราบรื่น ถึงแม้จะยังไม่เต็มร้อยแต่ก็ดีกว่าวันแรกๆมากโข

            ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยเลยถ้าได้เจอความร่วมมือที่ดี

            หน้าที่ของการเป็นหัวหน้าสีของผมก็ดำเนินต่อไป ได้ทำความรู้จักกับน้องหลายคนรวมถึงเพื่อนต่างห้อง มันเรื่องที่ดีที่ได้รู้จักกับสังคมใหม่ๆ ทั้งการได้พูดคุย ได้ทำงานร่วมกัน

            คงเป็นประสบการณ์ของวัยมัธยมที่หาจากที่อื่นไม่ได้แล้วล่ะ

            “วันนี้พอแค่นี้ครับ ขอบคุณน้องๆทุกคนเลย กลับบ้านกันดีๆนะ” ผมพูดผ่านโทรโข่งขึ้นเพื่อให้ได้ยินทั่วกัน

            “เฮ!!”

            หน้าที่ของการเป็นรุ่นพี่ได้จบลงแล้ว ต่อไปก็คงกลับเข้าสู่หน้าที่ของนักเรียนเต็มตัว

            วันนี้เป็นวันที่มีการเรียนการสอนครั้งสุดท้ายของภาคเรียนที่หนึ่ง บรรยากาศหลังเลิกเรียนจึงค่อนข้างคึกคัก เพราะต่างก็รู้ดีว่าอาทิตย์หน้าเป็นช่วงมรสุมความโหดร้ายจึงใช้เวลาแห่งความสุขที่มีตอนนี้ให้เต็มที่ก่อนที่จะไปเผชิญหน้ากับการสอบ

            “ไปไหนต่อดีเพื่อน” เต้ตะโกนถามขึ้นมา

            “กลับไปอ่านหนังสือเถอะมึงอะ”

            “ฟีลยังไม่มา อ่านไม่ได้โว้ย” เพื่อนรอบๆหัวเราะร่วน ก่อนจะทยอยแยกย้ายกันกลับ

            “ที่หนึ่ง ไปไหนต่อวะ”

            เต้เบนเป้าหมายมาที่ผมแทน หลังจากที่เพื่อนคนอื่นในกลุ่มต่างพากันตอบเป็นเสียงเดียวว่าจะกลับไปนอน

            “ไปเรียน”

            “โอโห ฟิตไปอีกนะครับคุณ”

            “คอร์สมันยังไม่หมดจะให้เสียเงินทิ้งหรือไง”

            นี่แหละเรื่องที่ไม่เคยเลี่ยงได้ไม่ว่าจะงานยุ่งแค่ไหนก็ตาม

            “ละจะไปไหน” ผมถามกลับ

            “ไม่รู้ ก็พากันเทกูกันอะ”

            “เอ้า นั่นไงมิก ไปกับมันดิ”

            “หึ รำคาญมัน” เต้ทำหน้าบูดๆ

            เอาเป็นว่าผมจะเข้าใจใหม่เป็นงอนกันอยู่แล้วกัน

            “ไปไงอะ ให้กูไปส่งได้นะ”

            “ไม่เป็น..”

            ยังไม่ทันได้พูดจบ เสียงริงโทนจากมือถือผมก็ดังขึ้น

            ต้องโทษที่ผมหยิบออกมารับต่อหน้าหรือโทษความสายตาดีของอีกฝ่ายกันดี

            “อ้อ กูรู้ละ งั้นก็ไปดีมาดีนะครับคุณหัวหน้าห้อง หึหึ”

            ผมล่ะเกลียดสายตาของมันตอนนี้จริงๆ เต้เดินมาตบไหล่ทีสองที ก่อนที่จะโดนมิกมาลากคอไป

            “ว่าไง” ผมกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์

            ‘อยู่ไหน’

            “กำลังเดินไป” ผมเงียบเสียงไปนิด แล้วถามกลับ “เลิกแล้วเหรอ”

            ‘ยัง มานั่งรอแป๊บนึง ใกล้เสร็จละ’

            “อื้อ”

            อีกฝ่ายตัดสายไป ผมเดินมาเรื่อยๆจนถึงห้องโสต

            มันถูกปรับเปลี่ยนจนกลายเป็นห้องประชุมโดยความจำเป็นเพื่องานกีฬาสี ผมเคาะประตูสองสามครั้งพอเป็นพิธีแล้วใช้ไหล่เปิดเข้าไป

            จริงๆก็เคยยึดห้องนี้มาใช้ตอนเป็นหัวหน้ากิจกรรมหนึ่งในโรงเรียน แต่ตอนนี้คงมีเจ้าของห้องใหม่แล้วล่ะ

            เฟิร์สยืนพิงขอบโต๊ะ ปล่อยชายเสื้อออกนอกกางเกง ก้มหน้าอ่านเอกสารปึกหนาในมือ ซึ่งให้เดาก็น่าจะเป็นเรื่องงบประมาณ โดยมีรุ่นพี่ที่ผมรู้จักนั่งกองๆกันอยู่สามสี่คน

            พี่น้อยหน่าเป็นคนแรกที่เห็นผม จึงเรียกให้ไปนั่งรวมกัน

            “มาพอดีเลยน้องหนึ่ง นี่กำลังคุยกันเรื่องงบประมาณโรงเรียนกันอยู่ ยังตกลงกันไม่ได้สักที”

            “มีปัญหาอะไรกันเหรอครับ”

            “ปัญหาอะอยู่กับเฟิร์สนู่น ยืนคิดมาเป็นชั่วโมงแล้วเนี่ย”

            คนตัวสูงเงยหน้าขึ้นมอง พร้อมกับชูเอกสารในมือให้ดู เขาไม่ได้ยื่นให้ แต่ตบโต๊ะเป็นเชิงเรียกให้ไปดูข้างๆ

            รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่จุดขึ้นบนริมฝีปากนั้นทำให้แอบหมั่นไส้ไม่ได้

            ได้คืบจะเอาศอกตลอด...

            ผมมองเอกสารในมืออีกฝ่าย กวาดสายตาคร่าวๆก็พอจะรู้ว่าหลายฝ่ายเรียกมาเกินงบโรงเรียนเยอะจากที่เคยตกลงกันในวันประชุมวันแรก ก็พอจะรู้สาเหตุของปัญหาอยู่ เพราะเดาได้ตั้งแต่วันนั้นแล้วว่ายังไงก็ต้องเกิดขึ้น

            เพราะรู้ว่าใช้งบเกินโรงเรียนได้ ใครมันจะใช้น้อยๆกันล่ะ แต่ละสีก็อยากให้ตัวเองออกมาดีทั้งนั้น

            ลำพังถ้าให้ม.5 ปิดเรื่องงบประมาณกันเองก็คงจะได้ แต่เท่าที่อ่านไปมันเกินงบไปครึ่งต่อครึ่งจนเป็นเลขหกหลักอยู่แล้ว ต่อให้ปิดเก่งแค่ไหนยังไงก็สายตาผู้ใหญ่ก็ดูออก

            กลายเป็นว่าผมต้องมาประชุมร่วมด้วยทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยขนาดนั้น กว่าที่ความเห็นจะตรงกันแล้วได้ข้อยุติก็ปาไปครึ่งชั่วโมง

            ผมเอนตัวพิงไปกับโต๊ะเพื่อจะพักขา แต่ก็ชนเข้ากับไหล่อีกข้างที่เท้าแขนไปข้างหลังของคนตัวสูงเสียก่อน

            ให้ตาย

            เนียนเก่งกว่านี้ไม่มีแล้ว

            ผมขยับตัวไปยืนที่อื่น แต่ก็ยังลอบเห็นอีกคนอมยิ้มจนต้องมองค้อนทางสายตากลับไป

            “โอเค งั้นเดี๋ยวค่อยไปประสานกับสีอื่นนะ” รุ่นพี่คนหนึ่งโบกมือให้ “กลับกันดีๆ ล็อคห้องด้วย”

            จนสุดท้ายในห้องก็เหลือผมกับเฟิร์สสองคน

            ผมเดินไปเก็บของตัวเองที่วางรกเต็มโซฟา ส่วนอีกฝ่ายก็รวบเอกสารแถวนั้นมาวางไว้บนโต๊ะ

            ทั้งที่บอกให้มานั่งรอเฉยๆ แต่ก็ดันไปมีส่วนร่วมด้วย

            ทำให้แอบนึกถึงวันแรกของการเปิดเรียนขึ้นมา

            ประโยคที่ทำให้ไปไม่เป็นในวันนั้น ก็ยังจำได้มาตลอด

            ก็ไม่นึกว่าจะได้มาทำจริงๆ

            เปล่าหรอก

            ผมไม่นึกว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้ด้วยซ้ำ

          ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเอง แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะดูไม่ออกเลยว่าคำพูดในห้องสมุดในวันนี้หมายถึงอะไร

            เริ่มเข้าใจจุดประสงค์ของเขามากขึ้น

            ยอมรับว่าช่วงแรกคือความรำคาญ ต่อมาคือความไม่เข้าใจ แต่ไม่ได้รู้สึกไม่ชอบหรือรังเกียจแน่ๆ

          จากการกระทำที่พิสูจน์ความจริงใจของอีกคน คงเป็นเรื่องยากเกินไปที่จะเมินจริงๆ

          แล้วก็...ไม่รู้จะเมินเพื่อขัดแย้งกับตัวเองไปเพื่ออะไรเหมือนกัน

          “คิดอะไรอยู่ครับ คุณหัวหน้า”

            ผมผงะถอยอย่างตกใจเมื่อจู่ๆอีกคนในห้องยื่นหน้าเข้ามาใกล้

            “ป..เปล่า”

            “รู้ตัวแล้วว่าหล่อ แต่ไม่เห็นต้องจ้องกันขนาดนั้นเลย”

            “…”

            “เขินเป็นนะรู้มั้ย”

            โอ้ย ไอ้บ้าเอ้ย

            ผมทำหน้าเหม็นเบื่อใส่อีกฝ่าย คำว่าถ่อมตัวคงไม่มีอยู่จริงถ้าใช้กับเขา รีบลุกขึ้นยืน เดินออกไปนอกห้องโดยไม่สนใจเสียงหัวเราะที่ตามหลังมา

            “ล็อคห้องด้วย” แต่ก็ไม่วายที่ต้องหันไปบอกคนขี้ลืมอยู่ดี

            “รับทราบครับผม”

            เราเดินออกมาจนถึงลานจอดรถมอเตอร์ไซค์ ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีแล้ว ถ้าออกมาช้ากว่านี้คงไม่ไปทันเรียน

            ปกติวันศุกร์ที่ผ่านมาทุกครั้งก็ไปเรียนเองมาตลอด แต่พอมีอีกคนเข้ามาก็เลี่ยงไม่ได้แล้ว

            เคยบอกว่าการเปลี่ยนแปลงมีทั้งดีไม่ดี

          แต่เรื่องนี้ผมให้เป็นอย่างแรกก็ได้

            ‘เรียนที่เดียวกันก็ไปด้วยกันดิ’

          ‘…’

          ‘อย่าปฏิเสธนะ หมดโควตาแล้ว เราไม่ให้’

          มันใช้ได้ที่ไหนกัน..

            ผมเกี่ยวสายคาดหมวกกันน็อคอย่างงกๆเงิ่นๆ เพราะต้องคอยหนีบแผ่นกระดาษม้วนหนาไว้กับข้าวของกีฬาสีที่พะรุงพะรังเต็มไปหมด ทั้งที่อีกคนแบ่งไปช่วยถือแล้วก็เหมือนจะเยอะอยู่ดี

            เหมือนจะนานเกินไปจนคนที่ก้าวขึ้นรถไปแล้วต้องลงมาช่วย

            “เอามือออกๆ”

            มือหนาเอื้อมมือมาติดล็อคให้อย่างคล่องแคล่ว

            แต่ก็ยังไม่ผละออกไปสักที

            “อะไร...”

            “…”

            ผมคาดเดาสายตาที่มองลงมานั้นไม่ถูก แต่มันทำให้ใบหน้าเห่อร้อนแปลกๆ

            “ปล่อยได้แล้ว”



          “ทำไมถึงน่ารักขนาดนี้นะ”

            “…”

            “น่ารัก น่ารักเกินไปแล้วครับ”

 

          คุณว่าความเขินอายมีกี่ระดับ

          ผมไม่รู้หรอก

          แต่ถ้าให้สูงสุดที่หนึ่งร้อย

          นั่นแหละ คือความรู้สึกตอนนี้เลย...

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
โอ้ยยยระเบิดตู้มม!!!แล้วจ้ะ :hao7:

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 847
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
เฟิร์สรุกใหญ่เลยน้าาาาาา

ออฟไลน์ miralchs

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
C h a p t e r   n i n e  ♥

เป็นที่รู้ใจ


            ในที่สุดวันที่นักเรียนชั้นมัธยมรอคอยก็มาถึง

            ไม่ว่าท้องฟ้าอากาศจะไม่เป็นใจ หรือเกิดเหตุการณ์อะไรก็ตาม ก็ไม่สามารถทำให้อารมณ์แจ่มใสในวันนี้ลดลงได้

            ใช่แล้ว เป็นวันที่จะได้ผ่านช่วงมรสุมแห่งการสอบไปเสียที

            ถึงแม้จะเป็นภาคเรียนที่หนึ่ง ก็ไมได้ทำให้เด็กมัธยมรู้สึกหวั่นเกรงใดๆ เพียงแค่ได้พักผ่อนยาวกว่าหนึ่งเดือนหลังจากนี้ก็นับว่าเป็นสวรรค์แล้ว

            ยกเว้นนักเรียนสองปีสุดท้าย..

            ที่พูดได้เต็มปากเต็มคำว่ามันคือนรกบนดินชัดๆ

            มัธยมปลายปีที่หกน่าจะอาการหนักที่สุดแล้ว เพราะเป็นปีที่ต้องไขว่คว้าหาอนาคต ไม่ได้เกิดความรู้สึกใดๆต่อการสอบเสร็จทั้งนั้น เพราะนับจากนี้มันคือสงครามที่แท้จริงต่างหาก ใช่ คุณต้องเอาตัวรอดด้วยความสามารถของตัวเอง ดังนั้นเมื่อปิดเทอมก็พับเก็บความสบายลงไปได้เลย

            และอีกปีที่นับว่าทรหดไม่แพ้กัน แค่ไม่ใช่หัวข้อของการแข่งขัน แต่เป็นเรื่องของกิจกรรมนานัปการที่ไม่รู้ว่าโรงเรียนสรรหามาจากไหน และก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทุ่มลงแค่ชั้นนี้ชั้นเดียว

            ไม่อยากจะพูดเลยว่าแค่หายใจเฮือกเดียวก็หมดเวลาหนึ่งเดือนแห่งความสุขแล้ว

           แต่ที่สุดแล้วมันก็ได้แค่บ่นนั่นแหละนะ ยอมรับว่าถึงจะพูดไปแบบนั้นเอาเข้าจริงถ้าไม่มีกิจกรรมก็คงเป็นปีที่น่าเบื่อแย่

           “วิชาอะไรสุดท้ายวะ”

           “คณิต”

           “โอ้ยชิลล์ กูบอกเลยให้ห้านาทีพอ”

           “มันเป็นข้อเขียน”

           “ฮ่าๆๆๆๆๆ” มิกนอนลงไปกุมท้องหัวเราะกับพื้นเมื่อเห็นหน้าเหวอๆของเต้เข้า

           “ละไม่มีใครบอกกู”

           “ครูตะโกนบอกจนกูจะถวายสเตร็ปซิลให้คุณเค้าแล้ว”

           “ก็กูไม่ได้ฟังนี่!”

           ผมส่ายหัวอย่างเอือมๆให้กับบุคคลที่ทะเลาะกันได้ทุกวี่ทุกวันแต่ก็ตัวติดกันชนิดที่แทบจะเรียกว่าเป็นปาท่องโก๋

           “มีแนวข้อสอบป้ะครับหัวหน้า”

           “มี”

           “ขอ...”

           “ไม่ให้”

           “อ้าวไอ้นี่” ทำหน้าหาเรื่องจนผมต้องอยากจะขำออกมาดังๆ เป็นคนที่น่าแกล้งเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ

           “งั้นนนนนน ไปขอเฟิร์สก็ได้”

           นั่นไง เล่นเรื่องอะไรไม่เล่น

           “ไม่มีหรอก”

           “เป็นใครถึงจะไปรู้กับเขาอะ~”

           มันทำหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยจนอยากเตะเข้าสักที และเหมือนมิกจะรู้ใจเลยจัดการให้ตามคำขอ

           “โอ้ย กูเจ็บ!”

           “สมน้ำหน้า”

           ไม่นานนักคนที่เต้เพิ่งพูดถึงไปก็เดินขึ้นมาพร้อมกับน้ำเปล่าในมือ

           อีกฝ่ายหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ แล้วยื่นน้ำขวดที่ไม่เย็นให้ ทั้งหมดทั้งมวลตกอยู่สายตาของเพื่อนในกลุ่มของผมแน่นอน

           มองตาไม่กะพริบขนาดนี้ อ้าปากเห็นลิ้นไก่ก็รู้แล้วว่าจะพูดอะไรขึ้นมา

           “หยุด”

           “อะไร๊ ยังไม่พูดไรเลย ร้อนตัวจังครับคุณหัวหน้า”

           คนข้างตัวผมหัวเราะ เท้าแขนไปข้างหลังผมอย่างหน้ามึนๆ

            ไม่ใช่ว่าไม่เคยส่งสายตาปราม แต่รายนี้หน้าหนาเกินที่จะห้ามไปนานแล้ว

            “หวงสุดอะไรสุดแล้วคนนี้”

            “จะเอามั้ยแนวข้อสอบ”
           
            “เปลี่ยนเรื่องเก่งงงงงงง”

            “นับหนึ่ง”

            “เอาค้าบ ฮ่าๆๆๆ”

            ไม่น่าแกล้งมันตั้งแต่แรกถ้ารู้ว่าจะกวนตีนกลับขนาดนี้

            เรื่องราวของผมกับเขาไม่ได้หยุดแค่ที่ในกลุ่มแล้ว จะบอกว่ารับรู้กันทั้งห้องก็คงใช่ เพียงแต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แทน

            ก็แน่ล่ะ ใครมันจะกล้าแซวขึ้นมาสุ่มสี่สุ่มห้าถ้าไม่ได้สนิทกันจริงๆ

            ยิ่งเป็นผมที่เพื่อนค่อนข้างเกรงใจ คงไม่มีพูดออกมาโต้งๆเหมือนเต้กับลูกแพร แค่จะส่งสายตาเป็นเชิงล้อเท่านั้น

            แต่ลับหลังน่ะเชื่อเถอะว่าไม่เหลือ

            “ติวให้หน่อย”

            ไม่รู้ว่าผมทำหน้าเอือมใส่คนตัวสูงกว่าไปกี่ร้อยรอบแล้ว แต่ก็เหมือนยังจะไม่เข็ด ถึงได้หาเรื่องมากวนประสาทได้ทุกวันแบบนี้

            คนที่ไปแข่งคณิตศาสตร์โอลิมปิคอย่างเขาเนี่ยนะจะมาขอให้ผมติวคณิตปลายภาคให้

            ให้แมวออกลูกเป็นหนอนยังน่าเชื่อกว่าเลยมั้ง

            “ให้ติวอะไร”

            “ก็ที่ถืออะ”

            “ก็รู้เรื่องหมดทุกเรื่องแล้วมั้ยอะ”

            “ที่ติวไปเมื่อคืนยังไม่จบเลย”

            “…”

            “ชิงหลับก่อนเรา”

            ฉ่า~

            “เชี่ยยยยยยยยยย เรื่องนี้ต้องขยาย!! ลูกแพรไปไหน มันต้องเม้าท์!”

            อยากจะแทรกแผ่นดินหนีจริงๆ

            รู้แบบนี้จะไม่ยอมรับสายอีกเด็ดขาด

           โชคดีที่สวรรค์เข้าข้าง เมื่อเข็มสั้นชี้ไปที่เลขสอง ผมก็ไม่ลังเลที่จะรีบลุกพรวดเข้าห้องสอบทันที แต่อีกฝ่ายก็คว้าเข้าที่ข้อมือไว้ก่อน

           ผมหันไปมองอย่างเคืองๆ ยิ่งเห็นแววตาขบขันนั่นก็ยิ่งอยากจะเดินหนี

           “ตั้งใจสอบนะ”

           คนตัวสูงยกยิ้มจาง ก่อนจะเดินเข้าอีกห้องไป

 

           ให้ตาย

           เหมือนวันแรก..ที่ได้รู้จักกันเลย

           คำพูดที่ทำให้ไม่มีสมาธิในวันนั้น วันนี้ก็แทบไม่ต่างกัน

 

 

 

            “หมดเวลาแล้วนะคะ”

            เมื่อเสียงจากสวรรค์บอกกล่าวทั้งห้องก็ไม่รีรอที่จะลุกออกไปทันทีหลังจากที่นั่งจนก้นชามาเป็นเวลานาน เกือบทั้งห้องทำเสร็จไปตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรก แต่คุณครูก็ไม่ปล่อยกลับง่ายๆเหมือนรู้ทันนักเรียนจนล่วงเวลามาเกือบสี่โมงเย็น จากที่วางแผนเที่ยวหลังสอบเสร็จไว้มากมายทำให้ต้องยกเลิกบางอย่างไปด้วยเวลาที่ไม่อำนวย

            “ใครจัดให้ครูนพมาคุมวันสุดท้ายยยยยย ห้องอื่นแม่งลุกตั้งแต่สิบวิแรกแล้ว”

            “อดไปร้องเกะเลยว่ะ เอาไง แผนสำรอง”

            “เซ็งอะ แยกย้ายเลยป้ะ”

            “อ้าว เอางี้เลยดิ”

            ออกมาหน้าห้องสอบก็ยังไม่คงไม่ได้ไปไหนเพราะตกลงกันไม่ได้สักที ผมยืนฟังเพื่อนในกลุ่มพูดพร้อมกับเสนอความเห็นบ้างเป็นระยะ

            แต่เหมือนประชามติก็ไม่ต่างอะไรกับวันเรียนวันสุดท้ายที่แยกย้ายกลับไปนอน แท้จริงแล้วในกลุ่มผมไม่ค่อยจะไปไหนมาไหนด้วยกันสักเท่าไหร่ ส่วนมากก็จะเป็นนัดติวมากกว่า

            “เอาไงสรุป”

            “ง่วง ขอกลับไปนอน”

            “เหมือนกัน”

            “โหย สอบวันสุดท้ายทั้งที เดี๋ยวก็ไม่ได้เจอกันแล้วอะ” ลูกแพรบ่นเสียงงุ้งงิ้งขึ้นมา

            “ตลก วันพุธไปเข้าค่าย ปิดเทอมนี้หนีหน้ากันไม่พ้นหรอกเชื่อกู”

            “แยกย้าย เจอกันพุธ”

            เออ ง่ายดี

            หลังจากตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแบบงงๆ กลุ่มผมก็พากันแยกย้ายกลับ ส่วนผมที่ไม่มีเป้าหมายอะไรก็คงกลับบ้านไปพักผ่อน

            ถ้าไม่มีเสียงทุ้มเรียกเอาไว้ก่อน

            “ที่หนึ่ง ไม่ได้ไปกับเพื่อนเหรอ”

            ผมส่ายหัว “แยกย้ายอะ”

            คนตัวสูงนิ่งไปนิด

            “ไอ้เฟิร์ส มาเว้ย เพื่อนไปกันละเนี่ย”

            ความสัมพันธ์ที่ดีคือการไม่ก้าวล้ำความเป็นส่วนตัวซึ่งกันและกัน ผมดีใจที่มันเป็นอย่างนั้น ถึงเราจะสนิทกันมากขึ้น ทำอะไรหลายอย่างร่วมกันมากขึ้น แต่ก็ไม่เคยจะดึงเวลาส่วนตัวของอีกฝ่ายมาใช้เลย เช่นในสถานการณ์แบบนี้

            เราไปด้วยกันตอนไหนก็ได้ ดังนั้นไม่แปลกเลยที่เราทั้งคู่จะเลือกเพื่อนที่หาโอกาสยากกว่า

            แต่..

          “ไปเลย กูว่าจะไปกับที่หนึ่ง”

            “ฮะ?” ผมหน้าเหวออย่างปิดไม่มิดกับการกระทำของอีกฝ่ายที่สวนทางกับความคิดของผม

            “อ่าว เคๆ งั้นพวกกูไปละ”

            “ป้ะ”

            “ไปไหน” ผมถามงงๆ

            “อยากไปไหนอะ”

            “ทำไมไม่ไปกับเพื่อน” ผมถาม “พวกนั้นจะไม่โกรธเหรอ”

            “โกรธทำไม” ร่างสูงขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

            “…”

            “กับพวกนั้นไปตอนไหนก็ได้ เจอกันทุกวันจนเบื่อแล้ว”

            “…”

            “แต่ไปกับที่หนึ่ง ไม่ได้หาได้บ่อยๆนี่”






            ในที่สุดก็ตกลงกันได้

            เรามาหยุดที่ห้างสรรพสินค้าหนึ่งในใจกลางเมือง เหตุผลที่มาของคนตัวสูงคือซื้อของไปเข้าค่าย

            เอาเด็กอนุบาลมาจับผิดดูก็รู้ว่าข้ออ้างชัดๆ

            ไปเข้าค่ายไม่ได้ไปออกรบสักหน่อย...

            แถมยังไปแค่สามวัน พูดเหมือนจะไปเป็นอาทิตย์

            แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากขัดอะไร ถ้าอีกฝ่ายดึงดันจะมาก็คงมาให้ได้ ถึงจะเอี่ยวผมมาด้วยก็ไม่ได้เสียหายเพราะถึงผมกลับบ้านไปก็คงจะไปนอนพักผ่อนจริงๆ

            “ไปไหนก่อนดี”

            “ไม่ได้ลิสต์ไว้เหรอว่าจะซื้ออะไร”

            “หึ” คนตัวสูงส่ายหัว

            จะโกหกให้มันเนียนหน่อยก็ไม่ได้นะคนเรา

            “แล้วเอาไง”

            “ไปกินข้าวก่อนละกัน เดี๋ยวปวดท้อง”

            เชื่อเขาเลย

            ผมก้มมองมือใหญ่ๆที่ถือวิสาสะกุมข้อมือของผมไว้ เขาไม่ได้จับแน่นหรือหลวมจนเกินไป เหมือนกับว่าให้สะบัดออกเมื่อไหร่ก็ได้ถ้าผมไม่สบายใจ

            ความจริงแล้วเราทั้งคู่ยังมีอะไรที่ต้องปรับจูนเข้าหากันอีกมาก เราไม่ได้เหมือนกันทุกอย่าง ยิ่งความคิดยิ่งคนละทางกันโดยสิ้นเชิง แม้จะไม่ค่อยมีความเห็นไม่ตรงกัน เพราะอีกฝ่ายก็ไม่ค่อยจะแย้ง ผมก็ไม่ค่อยอยากขัด แต่ในใจจริงๆแทบจะไม่มีอะไรตรงกันด้วยซ้ำ

            หากคนตรงหน้าสังเกตผมมาตลอด ผมก็คงไม่ต่างตั้งแต่ตอนที่ได้รู้จักวันกันแรก

            เราต่างถูกผลักเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว ถึงจะรู้ดีว่าเป็นความตั้งใจของอีกฝ่ายไปเกือบครึ่ง ก็ถือว่าทำสำเร็จเลยทีเดียว

            เขารู้ว่าผมไม่เคยมีใครพยายามจะตีตื้นขึ้นมาแข่งด้วย รู้ว่าผมไม่เคยถูกให้ความสนใจแบบตรงๆ ทำให้มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะสามารถดึงความสนใจจากผมไปได้มากขนาดนี้

            รู้ตัวอีกที ปากบอกว่ารำคาญให้ตายยังไง สุดท้ายพอเขาไม่สนใจก็คิดมากในแบบที่ไม่เคยเป็นกับใครมาก่อน

            ใช่ ไม่เคยเป็นกับใครมาก่อนจริงๆ

            ถ้าถามความรู้สึกตอนนี้ คงจะตอบเป็นคำตอบที่แน่ชัดไม่ได้

            มันยังไม่ใช่ชอบ หลงหรือรักอะไรทั้งนั้น

            แต่สิ่งที่แน่ใจในตอนนี้คือผมยินดีกับความสัมพันธ์กับที่เป็นอยู่

            หลายสิ่งบนโลกนี้ล้วนต้องใช้ระยะเวลา

            สิ่งนี้ก็เช่นกัน

          ระหว่างรออาหาร คนตัวสูงที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเล่นอย่างเคยชิน การที่ได้ไปไหนมาไหนด้วยบ่อยทำให้ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับเขาอีกข้อหนึ่งว่า

            เฟิร์สติดโทรศัพท์มาก

            ติดในชนิดที่ห่างไม่ได้ ไปไหนต้องพกไปด้วยตลอด แต่เอาเข้าจริงในโทรศัพท์นั้นก็ไม่ได้มีอะไร

            เหมือนอุ่นใจเสมอเมื่อได้ยกขึ้นมาเล่น เขาว่าอย่างนั้นน่ะนะ

            ผมนั่งรอเล่นๆอย่างไม่มีอะไรทำ สายตากวาดมองรอบๆร้านไปเรื่อย แต่ก็วกกลับมาที่จุดสนใจตรงหน้าเหมือนเดิม

            ผมเป็นคนไม่ค่อยพูด

            อันนี้น่าจะรู้กันดี และเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษยสัมพันธ์เข้าขั้นแย่

            มันเป็นอุปสรรคในการเข้าร่วมกิจกรรมอยู่พอสมควร พยายามจะดัดนิสัยอยู่หลายครั้งแต่ก็เหมือนฝืนตัวเองตลอด

            เลยได้แต่ปล่อยไป เพราะถึงผมจะไม่ค่อยพูด แต่ก็มั่นใจว่าแสดงออกให้เห็นทางการกระทำได้

            คนตรงหน้าก็ไม่เคยเซ้าซี้ให้พูดอีกหลังจากได้รู้จักตัวตนกันจริงๆ นั่นทำให้ผมสบายใจขึ้นมาก

            เพราะแบบนี้ทำให้ผมกล้าที่จะคุยกับเขามากขึ้น

            “เฟิร์ส”

            “หืม”

            “…”

            “ว่าไงครับ”

            อยู่เฉยๆสมองก็สั่งการให้เรียกทั้งที่ไม่ได้มีหัวข้อจะคุย

            แค่รู้สึกแปลกๆที่อีกฝ่ายสนใจโทรศัพท์มากเกินไปเท่านั้นเอง

            “เคยมีแฟนมาแล้วกี่คนเหรอ...”

            พูดไปก็อยากตบปากตัวเองที่หาเรื่องที่ดีกว่านี้มาคุยไม่ได้

            ตามที่คิดก็ไม่ได้อะไรเลย แค่อยากรู้จักอีกคนให้มากขึ้น เหมือนที่เขารู้จักผมเป็นอย่างดี

            เกิดบรรยากาศอึนๆชั่วครู่ คนตัวสูงเก็บโทรศัพท์ลงทันทีเหมือนสั่งได้

            “ไม่มีอะไร ช่างมันเถอะ” ผมตัดบทก่อนที่มันจะลามไปมากกว่านี้

            “สามคน”

            “…”

            “คนแรกชื่อฟ้า คบกันตอนม.2 ได้สองเดือนแล้วก็เลิก เพราะเค้าไปมีคนอื่น คนที่สองชื่อโมเม ถ้าจำไม่ผิดนะ คนนี้น่าจะสี่ห้าเดือน ทะเลาะกันแล้วเลิกเรื่องอะไรไม่รู้จำไม่ได้ ส่วนคนล่าสุดชื่อมาย เพิ่งเลิกกันได้ปีกว่าๆก่อนจะย้ายมาอยู่นี่”

            เขาร่ายมายาวเหยียดจนผมต้องนั่งกะพริบตาปริบๆ แต่ก็ตั้งใจฟังทุกคำพูด

            “เอ่อ...”

            “ถามได้ ทุกเรื่องเลย เราอยากตอบ” อีกฝ่ายยกยิ้ม เคาะนิ้วกับโต๊ะเป็นจังหวะอย่างอารมณ์ดี

            “แล้ว...ทำไมถึงเรียนเก่งอะ”

            ถามไปทั้งๆที่น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว

            “เราก็เรียนเยอะเหมือนที่หนึ่งนั่นแหละ แต่จริงๆอาจจะเพราะชอบกับการได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆด้วย ได้ค้นคว้า ได้รู้จัก เราไม่ได้รู้สึกว่ามันน่าเบื่อ กลับกันมันทำให้เราสนุกทุกครั้งที่ได้เรียน แปลกดีใช่มั้ย ฮ่าๆ”

            ผมแอบยิ้มไปกับคนตรงหน้าไม่ได้ ตาเขาเป็นประกายอย่างเห็นได้ชัดมาเมื่อได้พูดถึงเรื่องที่ตัวเองชอบ

            “เราเคยอยากเป็นนักเขียนการ์ตูนด้วยแหละ เพราะเราชอบวาดรูป แต่ก็คงไม่ได้เป็นหรอก”

            “ทำไมอะ”

            ถึงจะไม่เคยเห็นอีกฝ่ายวาดรูป ผมก็มั่นใจว่าเขาต้องทำออกมาได้ดีแน่ๆ

            “ที่บ้านไม่สนับสนุนน่ะ แต่เราก็ไมได้อะไรมากหรอก เค้าอยากให้เป็นอะไรก็เป็น สุดท้ายอนาคตก็เป็นของเรา ถึงตอนนั้นเราจะทำอะไรเค้าก็ไม่ขัดขวางแล้ว” เฟิร์สพูดยิ้มๆเหมือนไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร

            ทำไมถึงเป็นผู้ชายที่มีความคิดในเชิงบวกมากขนาดนี้นะ

            เชื่อเถอะว่าร้อยทั้งร้อยได้มาเจอเขา ก็คงหลงเสน่จนหาทางกลับไม่เจอ

            “แล้วจะเรียนอะไร”

            ให้เดาก็คง หมอ?

            “ไม่ใช่หมอ” เขาหัวเราะเหมือนเดาใจถูก “คงเรียนวิศวะ หัวเราไปทางนี้มากกว่า”

            “อ้อ..”

            “เรารู้นะว่าที่หนึ่งอยากเป็นอะไร”

            “ใครบอก”

            “ไม่มีหรอก เราสังเกตเองของเรานี่แหละ”

            “รู้เรื่องของเราดีกว่าตัวเราเองอีกนะ”

            อีกฝ่ายหัวเราะ แล้วนั่งเท้าคาง ยกยิ้มนิดๆ ใช้ดวงตาคมมองสบมาอย่างมีความหมายแฝง

            “ที่หนึ่ง”

            “ว่า”

            มองกลับไปอย่างหวั่นใจว่าอีกคนจะพูดอะไรออกมา

 

          “ที่หนึ่งว่าเราจะจีบคนตรงหน้าติดมั้ย”

 

            บึ้มม

            ราวกับมีพลุมาจุดระเบิดที่ข้างตัว สัมผัสได้ถึงความร้อนที่ไล่มาตั้งแต่ใบหูมาถึงแก้มทั้งสองข้างของตัวเองทันที

            ทำไมถึงได้เป็นคนพูดอะไรตรงๆแบบนี้!

            นั่งนิ่งเหมือนถูกสับสวิตซ์ รู้สึกมือไม้ที่มีก็เกะกะไปหมด ไม่รู้จะควรเอาวางไว้ตรงไหน

            ผมในสายตาของอีกคนตอนนี้คงดูเหมือนตัวตลก ไม่ต้องเดาเลยว่าตอนนี้หน้าต้องแดงแจ๋เป็นมะเขือเทศสุกแน่ๆ

            เขายิ้ม ยิ้มกว้างกว่าที่เคยเป็น ดวงตาสีนิลประกายพราวไปด้วยความมากเล่ห์ นั่นทำให้ผมเม้มปากแน่น

             เกิดมาได้สิบเจ็ดปี ก็ไม่เคยมีใครมาทำให้หัวใจสั่นได้เท่านี้

             ผมยกมือปิดหน้าอย่างยอมแพ้ ให้มองหน้าอีกคนตอนนี้เป็นเรื่องยากกว่าทำโจทย์เสียอีก

            ได้ยินเสียงหัวเราะเจือปนไปด้วยความเอ็นดู

            “มองหน้าเราก่อนเร็ว”

            “…” ใครมันจะทำ บ้าเอ้ย

            “จะตัดสินให้เราแพ้แล้วเหรอ ไม่แฟร์เลยนะ”

            ผมค่อยๆลดมือลง เบนสายตาไปทิศทางอื่นเพราะไม่กล้ามองตรงๆ

            แต่ก็รับรู้ได้ถึงแววตาอีกคนที่ส่งมาอย่างชัดเจน

            “เราดีใจมากที่วันนี้ที่หนึ่งถามเกี่ยวกับเราเยอะแยะเลย”

            “…”

            “ขอบคุณที่พยายามจะเรียนรู้เกี่ยวกับเรามากขึ้น”

            “…”

            “อาจจะไม่สบายใจที่เรารู้เกี่ยวกับที่หนึ่งเยอะมากขนาดนี้ เอาเข้าจริงเราก็ไม่อยากเป็นแค่คนรู้เรื่องพวกนี้หรอก”

            “…”

            “จริงๆน่ะเราอยากเป็นคนรู้ใจเลยมากกว่า”

 

            ไม่ไหว

            ผมเหมือนจะเป็นโรคหัวใจเลย...

 

__________________________

อะ เต๊าะ เต๊าะเข้าไป
#เป็นที่หนึ่ง

ออฟไลน์ donut4top

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
จริงๆอ่านเรื่องนี้จากในเด็กดีไปถึงตอนปัจจุบันแล้วแต่ตามมาให้กำลังใจในนี้ด้วย สนุกมากจริงๆค่ะ ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆให้อ่านนะคะ :pig4:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ monoo

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1957
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +101/-4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
โอ้ยยย หัวใจทำงานหนักนะเนี่ย555

ออฟไลน์ miralchs

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
C h a p t e r   t e n  ♥

เป็น...กันไหม :)



            รสชาติข้าวต้มของวันนี้ดูแปลกไปจากทุกวัน

            เหมือนจะ...จืดลง

            อาจเพราะเมื่อคืนม๊ากลับมาจากที่ทำงานดึก แล้วยังลุกมาทำอาหารในเวลาเช้ามืดเหมือนเคย จะมีอาการเบลอไปสักหน่อยก็คงเป็นเรื่องปกติ

            เสียงวิทยุเปิดคลอไปกับบรรยากาศกรุ่นๆยามเช้า อากาศเย็นลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวเต็มตัว หมอกลอยฟุ้งเต็มถนนหน้าบ้าน เป็นภาพที่แทบจะไม่ค่อยได้เห็นในประเทศเมืองร้อนแบบนี้

            บรรยากาศผ่อนคลายชวนง่วงจนอยากจะกลับไปล้มตัวนอนอีกรอบ

            เสียงนกร้องต้อนรับพร้อมแสงอรุณที่ค่อยๆส่องเข้าผ่านหน้าต่าง เป็นสัญญาณแห่งเช้าวันใหม่

            กิจกรรมแรกของปิดเทอมกำลังจะเริ่มในอีกไม่ช้า

            นัดหมายอยู่ที่แปดโมงตรง ผมตื่นเช้าเป็นปกติเลยต้องไม่รีบร้อนอะไรมาก โชคดีที่จัดของล่วงหน้าไว้ตั้งแต่เมื่อคืนจะได้ไม่มาวุ่นวายเอาตอนนี้

            สถานที่ของการเข้าค่ายครั้งนี้ก็ไม่พ้นขึ้นเหนือ แน่ล่ะ ช่วงปลายปีความเห็นส่วนใหญ่ก็อยากสัมผัสความหนาวเย็นเป็นธรรมดา จะเรียกว่าเข้าค่ายก็พูดได้ไม่เต็มปาก จริงๆแล้วมันก็เหมือนการไปเที่ยวของสายชั้นมากกว่า เพียงแค่มีกิจกรรมให้ทำ

            นักเรียนเกือบห้าร้อยคน คงจะครื้นเครงน่าดู

            ระยะเวลาสามวันเต็มที่โรงเรียนมอบให้ราวกับของขวัญต้อนรับปิดเทอม แต่ใครเล่าย่อมจะเข้าใจดีไปกว่ามัธยมปลายปีสอง

            นี่มันใบเบิกทางการเข้าสู่โรงงานนรกชัดๆ

            สนุกก็สนุกแบบไม่สุดเพราะเหมือนจะมีนัดประชุมเรื่องกีฬาสีกันอีก

            Play hard, work harder ที่แท้จริง

            ผมรวบช้อน เก็บจานไปล้างที่ห้องครัว สายตาก็สอดส่องหาสมาชิกอีกคนในบ้านแต่ก็ไม่พบวี่แวว

            ม๊าคงไม่คิดจะไปทำงานตั้งแต่หกโมงครึ่งหรอก

            สักพักจึงได้ยินเสียงปิดประตูเบาๆจากห้องของตัวเอง

            คนที่มองหาปรากฏขึ้นพร้อมกับกระเป๋าสัมภาระของผม

            “ม๊าไปเช็คดูให้ เผื่อลืมของ”

            พยักหน้าตอบรับ ไม่ได้พูดอะไร

            “เมื่อคืนก็ไม่เรียกม๊าไปช่วยเก็บ”

            กึก

            ผมชะงักมือที่จะยกแก้วน้ำดื่มทันที

            บอกตัวเองว่าท่านคงพูดแบบไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไร แต่ก็เหมือนปากมันไปไวกว่าความคิด

            “ผมก็เก็บเองมาตลอด...”

            “…”

            นานครั้งที่จะเอ่ยปากเถียงคนเป็นแม่ จากที่ยอมมาทุกครั้ง

            ความจริงก็เป็นตามที่พูดไป ท่านจึงไม่ได้ว่ากล่าวออกมา

            “แล้วไปกี่วันล่ะลูก”

            และเลี่ยงไปคำถามอื่นเหมือนเคย..

            “สามวันครับ”

            “ให้ม๊าไปส่งมั้ย”

            “…”

            เกิดความเงียบขึ้นมาภายในบ้านทันที

            เป็นคำถามที่ดูธรรมดาทั่วไป แต่กลับทำให้ผมอยากจะหัวเราะพร้อมกับร้องไห้ไปในคราวเดียวกัน

            ไม่ได้ยินประโยคแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว

            หรือเพราะไม่เรียกร้อง จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับ..

            “ไม่เป็นไรครับ รถออกแปดโมง เดี๋ยวม๊าไปทำงานสาย”

            “อ้าวเหรอ งั้นไปเองได้แน่นะ”

            ท่านถามเหมือนย้ำให้แน่ใจ

            แต่ผมรู้ว่ามันเป็นประโยคที่มีคำตอบในตัวอยู่แล้ว

            “ครับ”

            ไม่ได้มีบทสนทนาต่อกันอีก ผมเดินขึ้นไปรับกระเป๋ามาเช็คของดูให้เรียบร้อยอีกครั้ง ก่อนจะกลับมานั่งอ่านหนังสือรอเวลา ส่วนม๊าก็ไปอาบน้ำเตรียมไปทำงานเหมือนทุกวัน

            มีคนเคยบอกว่าผมเหมือนกับม๊า

            ทั้งหน้าตาและนิสัย

            ตอนผมได้ยินครั้งแรกก็อยากหัวเราะ จะไปเหมือนกันได้ยังไงในเมื่อความชอบก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว

            แต่พอโตขึ้น คำพูดของใครสักคนในวันนั้นก็สะท้อนกลับมา มันเป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย 

            นอกจากหน้าตาและนิสัยที่เหมือนกันแล้ว เราก็ยังคงคาดหวังกับสิ่งเดียวกัน

            ลมเย็นยะเยือกที่พัดผ่านเข้ามา ก็ยังเทียบกับความหนาวเหน็บในใจตอนนี้ไม่ได้แม้แต่ครึ่ง

            “ม๊าไปทำงานก่อนนะ”

            “ครับ สวัสดีครับม๊า”

            “ดูแลตัวเองดีๆนะที่หนึ่ง”

            ผมยิ้มด้วยความรู้สึกวูบโหวงในใจเมื่อสมาชิกหนึ่งเดียวในบ้านขึ้นรถไปแล้ว

 

            ใช่ ดูแลตัวเองให้ดี...เหมือนกับที่ผ่านมาตลอด

 

 

            “เช็คชื่อนะ 5/12 แถวนี้” รองหัวหน้าห้องตะโกนเรียกท่ามกลางความวุ่นวายของนักเรียนทั้งสายชั้นม.5 มันดูละลานตาไปหมดเมื่อมายืนออกันในพื้นที่ที่ค่อนข้างไม่อำนวย ผมยกวอขึ้นประสานกับห้องอื่นๆให้เริ่มจัดแถวได้แล้วก่อนที่จะกินเวลาไปมากกว่านี้

            ควันที่พวยพุ่งออกจากปากทุกครั้งเมื่อพูดทำให้รู้ว่าผมประมาทอากาศวันนี้เกินไป ไออุ่นจากพระอาทิตย์ไม่ได้ช่วยให้ความหนาวเย็นลดลงไปสักนิด เสื้อกันหนาวที่คิดว่าหนาที่สุดแล้วก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคของลมที่พัดเข้ามาเลย

            นี่ขนาดยังไม่ได้ขึ้นเหนือนะ

            เหมือนผมจะเป็นส่วนน้อยที่เตรียมตัวมาไม่ดี มองไปรอบๆก็เห็นบรรดาเสื้อโค้ชขนาดใหญ่ที่ห่อตัวไว้จนมิด รวมถึงผ้าห่มลายประหลาดๆที่ทำเอาต้องขำออกมา
           
            “ที่หนึ่ง!”

            เกดวิ่งมาหาหน้าตาตื่น

            “ว่า”

            “เฟิร์สไปไหนอะ เหลือคนเดียวแล้วตอนนี้”

            เอาแล้วไง

            เมื่อคืนเราไม่ได้คุยอะไรกันมาก แต่อีกฝ่ายขอไปนอนตั้งแต่ยังไม่ทันสองทุ่มเพราะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวนิดหน่อย ผมก็กำชับไปแล้วว่าให้กินยาดักไว้

            ไม่รู้จะฟังกันหรือเปล่า ถึงยังไม่มาสักที

            “เดี๋ยวเราโทรหา”

            “เออ ด่วนเลยๆ ครูโคตรเร่ง ให้ได้ไม่เกินสิบนาทีเนี่ย”

            ผมกดไปที่รายชื่อโทรเข้าล่าสุดทันที

            ‘ครับ’

            เสียงทุ้มแหบพร่าอย่างไม่คุ้น ทำให้ผมใจไม่ดีนัก ดูเหมือนสิ่งที่คาดไว้จะกลายเป็นจริง

            “อยู่ไหนแล้วอะ มาได้หรือเปล่า”

            ‘กำลังจะถึง รถจะออกแล้วเหรอ’

            “อีกประมาณสิบนาที”

            ‘อื้อ เราถึงหน้าประตูแล้ว แค่กๆ’

             “เฟิร์ส ไหวมั้ย เราบอกครูให้ได้นะ” ผมถามอย่างเป็นห่วง อาการของอีกฝ่ายไม่ได้ธรรมดาเลย ท่าทางจะเป็นหนักด้วยซ้ำ

            ‘ไหวๆ ไม่เป็นไร เป็นหวัดธรรมดา’

            สักพักรถยนต์คันสีดำสนิทก็เลี้ยวเข้ามาภายในโรงเรียน พร้อมกับคนตัวสูงที่ก้าวลงจากรถ

            เสียงโหวกเหวกเงียบลง เปลี่ยนเป็นเสียงซุบซิบโดยมีเสียงกริ๊ดดังมาเป็นระลอก

            ยอมรับเลยว่าวันนี้อีกคนต่างไปจากเดิม

            อาจจะเพราะไม่ได้อยู่ในชุดนักเรียน กับผมที่ไม่ได้ถูกเซ็ตให้เป็นทรง หรือใบหน้าภายใต้แมสสีขาวนั้น

            พอมารวมเป็นเขา ก็ละสายตาไม่ได้เลยจริงๆ

            อาการป่วยไม่ได้ทำให้เขาดูดีน้อยลงเลย

            “เฟิร์สขับรถเป็นด้วยเหรอวะ” เต้ที่โผล่มาจากไหนไม่รู้เดินเข้ามากระซิบผม

            ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเขาเท่าไหร่

            เฟิร์สเดินไปเปิดท้ายรถเอาของแล้ววกกลับมาคุยกับคนข้างในที่เหมือนจะนั่งมาด้วย ก่อนจะเดินมาทางที่ผมยืนอยู่ด้วยอาการไม่สู้ดีนัก

            “รีบขึ้นรถเถอะ”

            เขาทำตามอย่างว่าง่ายโดยไม่ปริปากพูดอะไร ความกวนประสาทลดลงเทียบเท่าเป็นศูนย์เมื่อเจอพิษของไข้หวัดเล่นงาน

            ผมเดินนำอีกฝ่ายมาที่รถ มีสองที่สุดท้ายในแถวหน้าเว้นไว้เหมือนจงใจ และไม่ต้องถามหาตัวการเลย

            คนตัวสูงทิ้งตัวลงกับเบาะอย่างเหนื่อยอ่อนคล้ายจะหลับแหล่มิหลับแหล่ ผมสะดุ้งทันทีเมื่อแขนแตะโดนฝ่ามืออีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว

            “เฟิร์ส ตัวร้อนมากเลยนะ” ผมนิ่วหน้าเครียด

            “อือ…”

            “กินยาหรือยัง”

            “กิน..เมื่อเช้า”

            “เมื่อคืนล่ะ”

            “ไม่ได้กิน”

            ว่าแล้ว..

            “เราก็บอกให้กินดักไว้ตั้งแต่เมื่อคืน”

            “ขอโทษ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงงึมงำในลำคอ

            “แล้วทำไมไม่อยู่บ้าน ถ้าป่วยจริงๆไม่ไปก็ได้”

            ถึงพูดอย่างนั้น...พอเอาเข้าจริงก็ดีใจที่อีกฝ่ายมา

            คงจะรู้สึกโหวงแปลกๆถ้าไม่มีคนคอยกวนประสาทอย่างเคย

            “ก็อยากไป” เขาเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “กับที่หนึ่ง”

            “ป่วยก็ยังมาพูดเล่นอีกนะ”

            “ไม่ได้เล่น พูดจริงๆ”

            คนตัวสูงดึงแมสออก ทำให้เห็นใบหน้านั้นได้เต็มตา

            ให้ตายเถอะ นี่เขาป่วยจริงๆใช่มั้ย

            มันมีแค่ร่องรอยความอิดโรยนิดเดียว นิดเดียวเท่านั้น

            พวกผู้หญิงกริ๊ดด้วยสาเหตุอะไร ก็น่าจะรู้แล้ว

            “งั้นก็นอน จะได้หายเร็วๆ”

            ผมพูดตัดบทเมื่อรถเริ่มเคลื่อนที่ออกไป เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ล้มตัวนอนกับเบาะอย่างว่าง่ายอีกครั้ง

            หยิบหูฟังขึ้นมาสวม ไล่หารายชื่อเพลงฟังไปเรื่อยๆ

            ปกติแล้วทั้งรถจะไม่เงียบแบบนี้ อาจจะเพราะเป็นช่วงเช้าเลยยังตื่นกันไม่เต็มที่ ส่วนมากก็พิงเบาะหลับทุกราย

            แต่เชื่อเถอะ ค่ำเมื่อไหร่ก็รู้เรื่องเลย

            นั่นน่ะเวลาตื่นที่แท้จริง

            ผมหันไปมองที่นั่งเยื้องๆก็พบว่าเป็นมิกกับเต้ ถัดไปก็เป็นลูกแพรกับฝ้าย เพื่อนในกลุ่มอีกคน

            คนคิดแผนการทั้งสี่หันมายิ้มให้อย่างรู้ใจ จนผมต้องกลอกตาอย่างเอือมระอา

            ขยันสร้างเหลือเกินเรื่องแบบนี้

            หันไปข้างๆก็เห็นอีกคนเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว

            คิ้วเข้มขมวดแน่นเหมือนไม่สบายตัว ด้วยรูปร่างที่สูงทำให้ตัวไม่พอกับเบาะ ซ้ำยังเบียดไปกับหน้าต่างอีก

            ผมถอนหายใจ เขาคงกลัวว่าจะเอาหวัดมาติด

            ก็ขอบคุณที่ตัวเองเกิดมาแล้วเป็นหวัดแทบนับครั้งได้ เลยพยายามสะกิดเรียกคนตัวสูงกว่าให้เขยิบออกมา

            จะสิงกับหน้าต่างอยู่แล้ว...

            “อือออ..”

            “เฟิร์ส เฟิร์ส”

            อีกฝ่ายค่อยๆลืมตาด้วยความง่วงงุน เขาถอยหลังชิดเบาะทันทีเมื่อผมกระเถิบเข้าไปใกล้

            “อย่าใกล้ เดี๋ยวติดหวัดเรา” เสียงทุ้มแหบเอ่ยดุ

            “ไม่เป็นไร เราเป็นหวัดยาก”

            จัดที่จัดทางให้ใหม่ ให้คนป่วยนอนสบายตัว

            “นอนๆ เบียดเราก็ได้ เดี๋ยวหัวโขกกับหน้าต่าง”

            ผมพูดนิ่งๆก่อนจะขยับกลับไปนั่งฟังเพลงเหมือนเดิม

 

            สักพักก็รับรู้ได้ถึงน้ำหนักที่ทิ้งลงมาบนไหล่ซ้าย

            พร้อมกับเสียงหวีดร้องเบาๆจากที่นั่งเยื้องตัวไป

            “มึง! เขาซบกัน”

            “กูเห็นแล้ว พูดเงียบๆดิ”

            ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ พลางเหลือบมองคนข้างๆ

            ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มนิดหน่อยก่อนจะแสร้งทำเป็นหลับ

            ได้ทีละเอาใหญ่...

            ถ้าไม่ติดว่าไม่สบายอยู่ผมคงผลักออกไปแรงๆแล้ว

            ส่วนสูงที่ค่อนข้างต่างกันมากระหว่างผมกับเขาทำให้ต้องยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง เพราะกลัวคนตัวสูงจะปวดคอเอา

            “เฟิร์ส...”

            เอ่ยปรามทันทีเมื่อมือปลาหมึกนั้นเริ่มเลื้อยมาที่มือผมแต่ก็ยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

            “จะทำอะไร”

            ในที่สุดดวงตาคมดุก็ลืมขึ้น เขาค่อยๆช้อนสายตามองผมจากไหล่ นั่นทำให้ผมหายใจผิดจังหวะอย่างทันที

            มุมนี้นี่มัน..ไม่ดีเอาซะเลย

            “มือเย็น”

            “…”

            “เราจับไว้ จะได้อุ่น”

            “…”

            “นะ”

            ผมเม้มปาก หน้าร้อนผ่าว แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้อีกคนทำอย่างที่พูด

            คนเจ้าเล่ห์มันก็ยังเจ้าเล่ห์อยู่วันยังค่ำ

            ไม่น่าใจดีด้วยเลยจริงๆ





 

            กว่าจะถึงปลายทางท้องฟ้าก็มืดสนิทเสียแล้ว

            ใช้เวลาบนรถไปหลายชั่วโมงจนอดเมื่อยไม่ได้

            ผมบิดขี้เกียจไปสองสามที เสียงประกาศของคุณครูผ่านไมโครโฟนเรียกนักเรียนชั้นมัธยมปลายปีสองให้รีบลงจากรถมารวมกันเพื่อจะได้แยกย้ายไปพักผ่อน

            บนรถต่างเต็มไปด้วยความครื้นเครง แตกต่างจากตอนเช้าลิบลับ แต่ก็ไม่ได้สร้างความรำคาญแต่อย่างใด มันเป็นเรื่องปกติสำหรับการไปเที่ยวเป็นห้องอยู่แล้ว

            จะห่วงก็แต่คนข้างตัว ไม่รู้ว่าจะได้พักผ่อนจริงๆหรือเปล่า

            ผมหันสะกิดร่างสูงที่หลับสนิทไปด้วยฤทธิ์ยาให้ตื่นขึ้น อีกฝ่ายลืมตาด้วยใบหน้าที่งัวเงีย คิ้วเข้มขมวดนิ่ว กับผมที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ทำให้ดูเหมือนเด็กเข้าไปใหญ่

            หมายถึง...เด็กโข่งมากกว่า

            อาการเหมือนเริ่มจะดีกว่าเดิม ตัวยังรุมๆอยู่แต่ก็ไม่ได้ร้อนจี๋เหมือนตอนแรก

            “ถึงแล้วเหรอ”

            ถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้งตามปกติของคนเพิ่งตื่น

            “อื้อ รีบลงไปรวมตัวจะได้ไปนอนต่อ”

            เขาขานรับเบาๆในลำคอ

            ลงไปหอบสัมภาระมาถือไว้ ยืนฟังกฎกติกาต่างๆพอเป็นพิธี ก่อนจะถูกปล่อยให้แยกย้ายตามอัธยาศัย

            ลืมบอกไปหรือเปล่าว่าที่พักมันไม่ใช่โรงแรมหรือเป็นห้องหรอก

            ขึ้นเหนือ ก็ขึ้นอย่างที่ว่าจริงๆ

            เต็นท์ไม่ค่อยได้ใช้งานถูกนำมากางด้วยความจำเป็น ความไม่คุ้นชินทำให้ลำบากนิดหน่อยในการที่จะกางให้มันเป็นรูปเป็นร่าง จนคนป่วยที่ยืนสัปหงกอยู่ต้องรีบเข้ามากางช่วย

            จะบอกว่าถูกมัดมือชกก็คงไม่ ในเมื่อมันเป็นการยินยอมทั้งสองฝ่าย

            ผมควรจะไปนอนกับเพื่อน หรือเขาก็ควรจะไปนอนกับเพื่อนเหมือนกัน

            แต่ด้วยความเป็นเศษเนื่องจากกลุ่มเป็นเลขคี่ทั้งคู่ การจะนอนอัดกันในเต็นท์สามคนคงอึดอัดพิลึก จึงยอมเสียสละออกมาแทน

            ซึ่งก็เข้าทางอีกฝ่ายพอดีล่ะนะ

            แอบละอายใจที่ต้องพึ่งเขาเสมอไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องหยุมหยิมอย่างการกางเต็นท์

            เขาดูเชี่ยวชาญไปหมดทุกเรื่องไม่ได้เฉพาะแค่ด้านวิชาการ

            “ทำแบบนี้”

            ผมเรียนรู้จากคนตัวสูงอย่างรวดเร็ว และยิ้มออกมาเมื่อมันเป็นรูปเป็นร่างสักที

            “จะไปอาบน้ำก่อนมั้ย”

            หากบอกว่าอากาศเมื่อตอนเช้าหนาวมากแล้ว ที่นี่ก็เข้าขั้นวิกฤตเลยทีเดียว

            ตั้งแต่ลงจากรถมาแขนขาก็สั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ ลมที่พัดผ่านมาสร้างความทรมานได้อย่างโหดร้ายสำหรับมนุษย์เมืองร้อนอย่างพวกผม มันไม่ได้หนาวแบบสบายๆหรือผ่อนคลายอะไรทั้งสิ้น

            มันหนาวชนิดที่ต้องวิ่งเข้าหาแสงอาทิตย์เลยต่างหาก

            แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เป็นกลางคืน มันทวีคูณความยะเยือกเข้าไปอีก ผมจะไม่ว่าอะไรเลยถ้าคนป่วยอย่างเขาจะไม่ไปอาบน้ำ

            คนปกติร้อยทั้งร้อยก็ไม่อาบกันหรอก...

            “อือ เดี๋ยวไป”

            “เอาจริง? ไม่อาบก็ได้นะ”

            “แล้วที่หนึ่งล่ะ”

            ชะงักค้างจากการจัดของไป “ก็..อาบก็ได้”

            เอาตรงๆก็เกรงใจ

            จะอยู่ร่วมกันมันก็ต้องปรับตัวอยู่แล้ว

            ถึงในใจจะไม่ได้อยากอาบก็เถอะ

            เขาหัวเราะแผ่วๆเหมือนรู้ความในใจ “ไม่ต้องอาบหรอก เราก็จะนอนเลย ไม่ไหว”

            “ไม่ดีขึ้นเลยเหรอ”

            ผมเม้มปากอย่างชั่งใจ ก่อนจะใช้หลังมือทาบไปที่หน้าผากของคนสูงกว่า

            ก็เหมือนเดิม

            หมายถึง...เจ้าเล่ห์เหมือนเดิม

            เฟิร์สอมยิ้มอีกแล้ว

            “ดีขึ้น”

            มือร้อนค่อยๆเลื่อนมากุมมือผมลงจากหน้าผาก...ไปแนบกับแก้มของเขา

            “แต่อยากหายเลยมากกว่า”

            “…”

            “ก็ไม่อยากให้กังวลนี่นา”

            “คะ...ใครกังวลกัน”

            รีบชักมือออกเหมือนโดนน้ำร้อนลวก ออกปากไล่ให้ไปนอนทันที

            เขาทำตามคำสั่ง

            แต่ก็ยังไม่วายส่งเสียงเบาๆให้ได้ยินกันสองคน

            “ขอบคุณนะครับ”

 

            “อื้อ”

            ขอบคุณ...เหมือนกัน






            ถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่ตีห้า

            เข้าสู่เช้าวันที่สองของการเข้าค่ายเต็มตัว

            ควานหาแว่นที่วางไว้ใกล้หมอนมาสวม มองไปรอบตัวก็ไม่ยักจะเห็นใครอีกคน

            สงสัยไปอาบน้ำ

            มันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจหน่อย ผมนึกว่าเขาจะเป็นพวกขี้เซาหรือตื่นเช้ายากเสียอีก เพราะดูจากพฤติกรรมของเจ้าตัว แต่ก็คงคิดผิดไป

            ผมนั่งลูบหน้าลูบตาอยู่สองสามที เสียงพูดคุยจอแจที่ดังเข้ามาจากข้างนอกทำให้รู้ว่าคนอื่นทยอยตื่นแล้ว

            และห้องน้ำ..เต็มแน่นอน

            ยอมรับเลยว่าคนตัวสูงฉลาดที่ชิงไปอาบตั้งแต่ยังไม่มีใครตื่น ส่วนผมก็คงต้องรอเวลาอีกสักหน่อยให้คนเริ่มซา

            วันนี้อากาศไม่ได้ต่างไปจากเดิมนัก หนาวยังไงก็ยังคงหนาวอยู่อย่างนั้น ผมคว้าเสื้อแขนยาวมาสวมทับอีกชั้น เพราะขืนออกไปในสภาพชุดนอนคงได้แข็งตายอยู่ที่นี่

            ดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า ลมที่พัดเข้ามาแทบทุกจังหวะทำให้เย็นยะเยือกจนขนลุกซู่

            จากจุดที่พักกางเต็นท์อยู่ยังเป็นพื้นที่ราบเรียบ แต่เชื่อเถอะว่าวันนี้กิจกรรมคงไม่พ้นได้แบกเป้เดินขึ้นภูแน่นอน

            ลูกแพรที่ตั้งอาณาเขตของตัวเองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลหันมามองเห็นผมพอดี ก่อนที่จะวิ่งเข้ามาคุยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มจนน่าหมั่นไส้

            “เมื่อคืนหลับสบายมั้ยคะคุณหัวหน้า” อีกฝ่ายยิ้มอย่างมีเลศนัย

            “ร่างไอ้เต้เข้าสิงเหรอ”

            “ฮ่าๆๆๆ อย่าพูดอย่างนั้นสิ นี่เราถามด้วยความหวังดีนะ”

            “ก็ปกติ”

            “งั้นก็เบาใจไป”

            “ทำไม”

            “เปล๊า ก็กลัวเพื่อนไม่ปลอดภัย”

            “ไร้สาระจริงๆ”

            “เอ้า อย่าว่าอย่างนั้นสิ ฮ่าๆๆ” ลูกแพรยืนกุมท้องขำ เหมือนพอใจที่ได้มาแหย่ผมเล่นยามเช้า “อุ้ย ตัวจริงมาละ ไว้เจอกันตอนเรียกรวมนะคะคุณหัวหน้า”

            ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย จนเพื่อนสนิทลับสายตาไป คนที่เพิ่งมาก็เอ่ยทัก

            “ไม่ไปอาบน้ำเหรอ”

            “คนเต็มห้องน้ำมั้ยอะ”

            “ไม่ๆ มีว่างอยู่”   

            ผมพยักหน้ารับ จังหวะที่หันมามองอีกฝ่ายเต็มๆก็ทำให้ชะงักเกือบจะก้าวไม่ออก

            เขาใส่แค่เสื้อยืดสีดำธรรมดา กับกางเกงยีนส์ที่เข้ากับรองเท้าผ้าใบ

            แต่ที่แปลกตาน่ะ...คือผมที่ถูกเซ็ตขึ้น เปิดหน้าผากที่รับกับใบหน้าคมเป็นอย่างดี

           ไม่รู้ตัวว่าเผลอไล่สายตามองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าไปตอนไหนเหมือนกัน

            และถ้าให้เทียบเสียงกริ๊ดของเมื่อวานกับวันนี้

            ก็มั่นใจเลยว่าวันแรกเทียบไม่ติดฝุ่นแน่นอน...

            “มองเราอีกแล้วนะ”

            ผมสะดุ้งหลุดจากภวังค์อย่างรวดเร็วเมื่อเลื่อนสายตาขึ้นมาเจอกับรอยยิ้มที่กลับมากวนประสาทเหมือนเคย

            “ทำไมใส่เสื้อตัวเดียว”

            แสร้งทำเป็นถามคำถามอื่นกลบเกลื่อนสถานการณ์แปลกๆนั้นไป

            “เพิ่งอาบน้ำเสร็จนี่นา อีกอย่างมันไม่ค่อยหนาวเท่าไหร่”

            อะไรนะ?

            องศาที่เลขหลักเดียวเนี่ยนะไม่หนาว

            ไม่ประสาทกลับก็หนังหนาเกินมนุษย์แล้ว 

            “หายไข้แล้วเหรอ”

            คนตัวสูงที่ดูกระฉับกระเฉงขึ้นมากกว่าเมื่อวานอย่างเห็นได้ชัด เดาว่าคงหายสนิทเป็นปลิดทิ้ง

            ก็ดีที่หายทัน ไม่งั้นถ้ายังป่วยในวันที่กิจกรรมเยอะแบบนี้ มีหวังได้กลับไปนอนซมที่บ้าน

            “จะไม่ให้หายได้ยังไง”

             ผมหรี่ตาลงอย่างไม่ไว้ใจเมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับเผยยิ้มแจ่มใส

             “ก็มีพยาบาลดี”

             “ไปอาบน้ำนะ” ผมสวนขึ้นมาก่อนที่จะได้โดนแกล้งไปมากกว่านี้

 

             อากาศหนาวเย็นยามเช้ามืดดูสดใสขึ้นมาทันตาเมื่อมีเสียงหัวเราะเจือไปกับบรรยากาศ

             ก็ขอให้..เป็นวันที่ดีอีกวันแล้วกันนะ

 
 

ออฟไลน์ miralchs

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
(ต่อ)



 

            ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยมองว่าการปีนเขาหรือการแบกเป้เดินขึ้นภูเป็นเรื่องยากอะไรเลย

ถึงจะมีหกล้มบ้างตามทาง มีหยาดเหงื่อไหลตามตัวพอให้รู้จักคำว่าเหนื่อย แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ล้วนเป็นเสน่ห์ของมัน

            เพราะรู้ว่ามีจุดหมายที่สวยงาม ระหว่างทางจะลำบากหน่อยก็ไม่เป็นไร

            แต่ไม่ใช่กับวันนี้...และตอนนี้

            มันเป็นครั้งแรกที่ผมจะเกลียดการขึ้นเขาจับใจ

            ย้อนนึกถึงคำพูดของคุณครูท่านหนึ่งตอนหกโมงครึ่งเกี่ยวกับภารกิจที่หนึ่ง มันถูกตั้งชื่อว่ากิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนชั้นม.5

            แค่ได้ฟังกติกาก็รู้สึกถึงความวุ่นวายแล้ว แต่ส่วนใหญ่กลับเห็นด้วยอย่างพอใจ ต่างจากคนส่วนน้อยอย่างผมที่อยากจะลุกขึ้นแย้งใจจะขาด

            คนบ้าเท่านั้นแหละที่จะใช้ผ้าผูกขาตัวเองกับคนอื่นเพื่อเดินขึ้นเขา

            นั่งฟังจนจบแล้วก็กุมขมับด้วยความหน่ายใจ กติกาสุดแสนประหลาดที่นอกจากจะต้องเดินไปพร้อมกับขาคนอื่นแล้วนั้น

            คือต้องจับฉลากเลือกคู่

            ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่ามันเป็นกิจกรรมที่กระชับความสัมพันธ์ตรงไหน อะไรเป็นสิ่งที่กำหนดว่าการได้เดินขึ้นเขาไปเป็นคู่จะทำให้สนิทกันมากขึ้น

            ยิ่งกับผมแล้ว ใครได้คู่ด้วยคือความโชคร้ายดีๆนี่เอง

            ใช้เวลาจับฉลากไปเกือบชั่วโมง นักเรียนกว่าห้าร้อยคนไม่ใช่เรื่องที่จะเดาได้แน่ๆว่าจะได้ใคร โชคดีที่ไม่ต้องเป็นฝ่ายเดินหา ไม่งั้นคงได้หัวเสียไปกว่านี้

            คนตัวสูงที่นั่งอยู่ข้างๆในตอนนี้ นิ่งเสียจนไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ จนผมไม่กล้าเอ่ยปากถาม

            ไม่นาน คนที่มาเป็นคู่ด้วยก็ปรากฏตัวขึ้นข้างหน้า

            เขาเป็นผู้ชาย ที่สูงพอๆกับเฟิร์ส

            “ที่หนึ่งป้ะ”

            คนตรงหน้าเป็นใคร ผมไม่เคยรู้จัก

            แต่ความรู้สึกแรกเมื่อเห็นก็พลันอยากเปลี่ยนคู่ทันที

            มันคือความรู้สึกไม่ปลอดภัย

            ผมไม่ได้เป็นคนเลือกคบคนจากหน้าตา แต่คนตรงหน้าผมตอนนี้ก็ทำให้อยากคิดใหม่

           และเชื่อว่าเฟิร์สก็คงคิดไม่ต่างกัน

           “ที่หนึ่ง...” คนตัวสูงเอ่ยเสียงเครียด “มาคู่กับเรา”

           “อ้าว ได้ไง กฎก็ต้องเป็นกฎดิ”

           สุดท้ายก็ต้องยอม

           เสียงทุ้มเอ่ยประโยคสุดท้ายกับผมก่อนที่จะต้องหันกลับไปเผชิญความเป็นจริง

           เป็นประโยคที่ทำให้สบายใจราวกับเวทมนตร์...

           ‘ไม่เป็นไร เราจะเดินอยู่ใกล้ๆ ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น’

 

            ปี๊ดดดดด

            เสียงนกหวีดดังขึ้นเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นกิจกรรมแรกของวันที่สอง

            ผมไม่เอ่ยปากพูดอะไรอีกหลังจากได้ทราบชื่อของอีกฝ่าย

            หลีกเลี่ยงทุกการกระทำที่จะได้ถูกเนื้อต้องตัว ยังไงเขาก็เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักได้วันแรก

            ผมไม่ชิน และไม่มีวันชิน

            แต่เหมือนเขาจะไม่ให้ความร่วมมือกับผมสักที

            ดูเหมือนรังสีความเกรงใจของผม ไม่ได้ทำให้สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย

            “อยู่ห้องไหนวะ”

            “สิบสอง” ตอบกลับไปนิ่งๆ

            “กูไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน”

            “…”

            “มองไปมองมามึงก็น่ารักว่ะ มีแฟนยัง”

            ผมไม่ชอบ

            ความรู้สึกรำคาญในใจปะทุหนักขึ้นเรื่อยๆ หากคนปกติเจอคำพูดแบบนี้ก็อาจจะเขินหรือเล่นด้วย แต่ผมทำไม่ได้

            อึดอัดจนเหมือนจะหายใจไม่ออก

            การโดนคุกคามแบบนี้เป็นสิ่งที่ผมเกลียดเข้าไส้ เคยบอกไปว่านิสัยของคนเรามันไม่มีวันเหมือนกัน ซึ่งการกระทำของอีกคนตอนนี้มันน่าขยาดสำหรับผม

            มันต่างจากเฟิร์สลิบลับจริงๆ

            ไม่ไหวแล้ว ต้องเดินอีกไกลแค่ไหนกัน...

            “ไม่ตอบกูอีก หยิ่งเหลือเกินนะมึง แตะตัวหน่อยก็ไม่ได้”

            “…”

            “อ้อ ก็เด็กห้องสิบสองนี่เนาะ หึหึ”

            เสียงพูดคุยรอบข้างไม่ได้ทำให้ผมใจเย็นขึ้นเลยแม้แต่น้อย

            อยากจะแกะผ้าออกให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่ก็ทำไม่ได้

            สายตาสอดส่องหาใครอีกคนทันที
           
            อย่างน้อยถ้ามีเขา...ก็อุ่นใจ

            แต่ก็ไม่พบวี่แวว

            “เดินแบบนี้เมื่อไหร่แม่งจะถึง เกาะกูมันก็ไม่น่าจะตายหรอกมั้ง”

            “รีบเหรอ”

            “อ้าว ปากวอนหาเรื่องนะมึง”

            ผมพรูลมหายใจอย่างอารมณ์ไม่ดีขีดสุด

            “เกาะไหล่กู เดี๋ยวนี้”

            “…”

            “หรือกูต้องโอบเอวดี”

            ไวดั่งใจคิด ผมปัดมือนั้นทิ้งอย่างรวดเร็วเมื่อมันทิ้งสัมผัสลง

            “มึง!”

            มันกระชากขาเข้าตัวด้วยความโมโหทันที แต่ด้วยความที่มีผ้าผูกติดกันอยู่ ทำให้ผมเสียหลักล้มครูดไปกับหินแถวนั้น

            อา

             เจ็บตัวอีกแล้วงั้นเหรอ

            “ที่หนึ่ง!!”

            เสียงกรีดร้องโวยวายเต็มไปหมดเมื่อเกิดเหตุการณ์ชุลมุน แต่กลับมีเพียงเสียงเดียวที่ผมจำได้ขึ้นใจ

            “มึงทำเหี้ยอะไร!” เสียงทุ้มตวาดกร้าวไปที่ต้นเหตุ นัยน์ตาดุดันฉายแววโกรธอย่างสุดขีด

            เฟิร์สกระชากเศษผ้าบนข้อเท้าที่ผูกติดกันออกอย่างรุนแรง ก่อนจะค่อยๆพยุงตัวให้ผมลุกขึ้นยืน

            เขากำลังโกรธ โกรธจนผมรู้สึกกลัว เพราะไม่เคยเห็นอีกฝ่ายในมุมนี้มาก่อน

            “ก็แม่งเล่นตัว กูก็อยากไปถึงเร็วๆป้ะ”

            “มึงอยากถึงเร็วมึงก็เดินขึ้นไปเอง ไม่ใช่มาทำร้ายคนอื่น!”

            “อ้าว นี่มันกิจกรรมส่วนรวม กูก็ต้องทำตามกติกา”

            “กติกาคือมึงไม่มีสิทธิ์บังคับใครทั้งนั้น”

            “…”

          “ยิ่งเป็นที่หนึ่ง มึงไม่มีสิทธิ์”

          เขาปล่อยความดุร้ายภายใต้จิตใจออกมาอย่างไม่รู้ตัว รอบข้างต่างเงียบสนิทราวกับไม่มีใครกล้าแย้ง

            เพราะถ้าแย้งออกไป คงรับประกันชีวิตตัวเองตอนนี้ไม่ได้

            แม้กระทั่งตัวต้นเหตุก็ยังลอบกลืนน้ำลาย แตกต่างจากท่าทีอวดดีในตอนนั้นอย่างสิ้นเชิง

            “เกิดอะไรขึ้น”

            คุณครูที่เดินคุมรั้งแถวรีบเข้ามาดูทันที ก่อนจะเรียกหน่วยปฐมพยาบาลเข้ามา

            สถานการณ์คลายลง ผมถูกพยุงขึ้นให้ไปนั่งพักแถวๆนั้นก่อนค่อยเดินต่อ ดีที่แผลไม่ได้ใหญ่อะไรแค่เป็นรอยครูดถากๆเท่านั้น

            “ขอโทษ” 

            เขาเอ่ยท่ามกลางความเงียบ

            “ขอโทษทำไม เฟิร์สไม่ได้ผิดเลย”

            “ขอโทษที่ปล่อยให้เจ็บตัวตลอด เราไม่น่าปล่อยให้เดินกับไอ้ห่านั่นตั้งแต่แรกเลย”

            “ช่างเถอะ ผ่านไปแล้ว ไม่เป็นไร”

            ผมเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามขึ้น

            “แล้วคู่เฟิร์สล่ะ”

            “ไม่ได้เดินด้วยตั้งแต่แรก”

            “อ้าว”

            “กติกาสิ้นคิด ทำไมจะต้องไปทำตาม”

            นี่คงเป็นครั้งแรกที่เราความเห็นตรงกัน

            สายลมเย็นๆค่อยๆพัดความคุกรุ่นในใจให้แผ่วบางลง รวมถึงอารมณ์อีกฝ่ายที่เริ่มจะเย็นลงบ้างแล้ว

            เจ็บตัวไปกี่ครั้ง ลำบากกี่ครั้ง ก็ยังเป็นเฟิร์ส

            เป็นเขา..มาตลอด

            “ขอบคุณนะ..ทุกครั้งเลย”

            “เราเต็มใจ”

            “...”

            “ครั้งหน้าจะดูแลให้ดีกว่านี้”

            ดวงตา..ประสานกันราวกับคำสัญญา

            “จะไม่ปล่อยให้เจ็บตัวอีก”



             ผมวางใจไว้ที่เขาแล้วจริงๆ...

 



            ใช้เวลาเดินขึ้นเขาค่อนข้างนาน

            จากพระอาทิตย์บนหัว ตอนนี้ก็ค่อยๆลาลับขอบฟ้าไป

            มีกำหนดให้อยู่ที่นี่ได้ถึงแค่สองทุ่มเท่านั้น ขากลับก็ไม่ต้องเดินแต่จะเปลี่ยนเป็นนั่งรถลงไปเพื่อความปลอดภัยของนักเรียนแทน

            ก็ยังดีที่คิดได้บ้าง

            มื้อเย็นจบลงไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ก็เป็นช่วงของกิจกรรมไร้สาระอีกเช่นเคย ขอบคุณที่ตัวเองบาดเจ็บจนได้รับสิทธิพิเศษที่ไม่ต้องเข้าไปร่วมวงด้วย

            กิจกรรมที่ดีผมก็ว่าดีและพร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่

            แต่อันไหนที่มันแย่มากๆ ก็อยากจะส่ายหน้าหนี

            สิ่งที่ยังคงเยียวยาจิตใจในช่วงเวลาอันน่าเบื่อเหนื่อยในตอนนี้ก็คงเป็นท้องฟ้าที่ค่อยๆมืดลงทำให้มองเห็นแสงพราวระยับของหมู่ดาว

            ทั้งประกายสุกใสและชัดเจน

            ผมดูดาวเป็นตั้งแต่เด็ก เพราะถูกจับไปเข้าค่ายดาราศาสตร์มาตลอด

            ยิ่งท้องฟ้าเปิดมากเท่าไหร่ เรายิ่งจะสนุกกับการนั่งดูดาวแบบนี้

            อดที่จะถ่ายรูปเก็บไว้ไม่ได้

            ในภาพอาจจะดูธรรมดา แต่ความจริงผมละสายตาไปจากท้องฟ้าในตอนนี้ไม่ได้เลย

            ก็เหมือนกับใครสักคนเคยบอก

            ที่บางที่มองจากรูปก็ไม่สวยเท่าเห็นด้วยตา

            เสียงโหวกเหวกเงียบลง กิจกรรมน่าจะสิ้นสุดแล้ว ก็คงแยกย้ายกันไปเดินชมวิวกัน ผมที่ไม่มีสถานที่ในใจก็คงจะนั่งอยู่แถวนี้แหละ

            เป็นมุมที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ แต่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายอย่างไม่น่าเชื่อ

            และคงจะดีกว่านี้ถ้ามีอีกคนมานั่งด้วยกัน

            มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมไม่รู้หรอก

            รู้สึกตัวอีกที เขาก็ก้าวเข้ามาอยู่ในจุดที่ผมเปิดรับให้อย่างเต็มใจ

            ไม่เคยมีใครได้เข้ามายืนอยู่จุดนี้มาก่อน

            ใช่ เฟิร์สเป็นคนแรก

            สมชื่อเขาเลย..

            บางทีก็อยากถามว่าเขาทำอะไรไม่เป็นบ้างนะ ผมยังไม่เห็นจุดบกพร่องที่ชัดเจนในตัวเขาเลยด้วยซ้ำ

            รู้สึกละอายใจทุกครั้งที่หวนนึกถึงว่าตัวเองเคยทำนิสัยแย่ๆใส่อีกคนไปมากแค่ไหน

            ทั้งที่อีกฝ่ายก็ดีอย่างเสมอต้นเสมอปลายมาตลอด

            บนโทรศัพท์โชว์ชื่อของคนที่กำลังนึกถึงอยู่

            ผมคงไม่ได้นั่งคนเดียวแล้ว

            ‘อยู่ไหน’

            “อยู่...”

            ผมเรียกพิกัดตรงนี้ไม่ถูก เหมือนมันจะไม่ได้ไกลจากลานกิจกรรม แต่ก็เป็นมุมที่มองไม่เห็นเหมือนกัน

            ‘เห็นแล้ว’

            อีกฝ่ายตัดสายไป

            ก่อนที่จะมีคนล้มตัวนั่งข้างๆ

            “มานั่งอะไรที่มืดแบบนี้”

            “ไม่มืดสักหน่อย” ผมชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า “เห็นมั้ย ดาวเต็มเลย”

            เขายิ้มแต่กลับมองมาทางผมแทนที่จะเป็นดาวบนฟ้า

            “เห็น”

            “อย่าเล่นนะ”

            ผมดักทางไว้อย่างรู้ทัน เรียกเสียงหัวเราะจากคนตัวสูงได้เป็นอย่างดี

            เรานั่งดูดาวด้วยกันเงียบๆ ปล่อยความรู้สึกให้ดำดิ่งไปกับบรรยากาศ

            เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ความเงียบระหว่างเราไม่ใช่ความอึดอัด แต่กลายเป็นความสบายใจแทน

            อยากหยุดเวลาตอนนี้ไว้นานๆเลย

 

            “นานแล้วเนอะ”

            เฟิร์สเป็นฝ่ายพูดขึ้นหลังจากที่เราเงียบไปนาน

            “รู้ตัวอีกทีก็รู้จักที่หนึ่งมาได้เป็นปีแล้ว”

            “…”

            “แต่ก็เหมือนเพิ่งผ่านไปเอง..”

            “…”

            “ที่หนึ่งในวันแรกที่เราเจอกับวันนี้ ไม่ต่างกันเลย ทั้งนิสัยแล้วก็แววตา”

            ผมนั่งตั้งใจฟัง

            มันต่างไปจากครั้งอื่น

            และผมไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดขึ้นมาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย..

            “ความรู้สึกเราในวันนั้นกับตอนนี้ก็ไม่ต่างกัน”

            หากแววตาสีนิลนั้นหันมาสบตาอย่างมั่นคง

            “ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็เกินกว่าที่คิดไปมาก ใจจริงเราแค่ได้แอบมองห่างๆก็มีความสุขแล้ว แต่พอขึ้นม.5 ก็อยากจะทำอะไรสักอย่างให้ที่หนึ่งได้มีเราในความทรงจำไว้บ้าง...”

            “…”

            “ถึงรู้ว่าจะโดนเกลียดแต่เราก็ยอม อย่างน้อยในอนาคต...ที่หนึ่งก็จะจำเราได้ในความรู้สึกนั้น”

            “เราไม่...”

            “ชู่ว”

            อีกฝ่ายเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้มากขึ้น จนในที่สุดแขนเราก็สัมผัสกัน

            “ก็ไม่คิดว่าจะมีวันนี้จริงๆ”

            เขาคลี่ยิ้มออกมา...ด้วยความรู้สึกที่มีทั้งหมด

            “ไม่คิดเลยว่าจะได้เข้ามาอยู่ในสายตาที่หนึ่งโดยที่ไม่ได้โดนเกลียด...”

             “…”

             “เราไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้ หรือวันต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งที่เราจะพูดตอนนี้ มันจะกลายเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิตของเรา”

             “เฟิร์ส...”

 

            “เราชอบที่หนึ่ง”

            ในเวลานี้ เป็นวินาทีที่ผมได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเด่นชัดมากที่สุด...

            ความอบอุ่นของอีกคนทาบลงที่หลังมือ ปลายนิ้วของเราทั้งสองค่อยๆสัมผัสกัน

            “จะเป็นไปได้หรือเปล่าถ้าเราไม่อยากใช้คำว่าเพื่อนแล้ว”

            “…”

            “อยากดูแลให้ได้เต็มที่กว่านี้ อยากแสดงออกได้มากกว่านี้…”

            “…”

 

            “เป็นแฟนกันไหม...”

            เป็นเสียงที่แผ่วเบาราวกับไม่มั่นใจ แต่กลับชัดเจนกว่าสิ่งใดในความรู้สึก

 

            มันช่างเป็นการรอคอยที่เนิ่นนานเหลือเกิน

            เพราะผมไม่มีคำตอบให้เขาในตอนนี้



            “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรครับ”

            เขารวบผมเข้าไปในอ้อมแขน ซึ่งผมก็ยินยอมด้วยความเต็มใจ

            ไม่อยากให้อีกคนเสียใจ...ไม่เลย

            “ยังไม่ต้องตอบอะไรตอนนี้ก็ได้”

            “…”

            “…แค่รับความรู้สึกของเราไว้ก็พอแล้ว”

            อ้อมกอดที่กระชับแน่นขึ้นราวกับให้อีกคนรับรู้

 

            “อีกไม่นาน...เราสัญญา

            อย่าเพิ่งเปลี่ยนใจไปจากเรานะ..”


ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
หูยยย คู่นี้บอกรักกันแล้ว~ ลุ้นๆขอให้หนึ่งตอบตกลง

ออฟไลน์ onlyplease

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
แบบละมุนอ่ะะะะ มีครั้งกันและกันตอนมหาลัย ตอนทำงาน ตอนเข้าสู่วัยทำงาน ตอนแก่ไปด้วยกัน แบบเป็นที่หนึ่งของกันและกันตลอดชีวิตและเป้นคนเดียว  :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ตอนนี้รู้สึกดีมากๆเลยแต่เหมือนลมสงบแล้วพายุดราม่ากำลังจะมายังไงไม่รู้ กลัวอะ

ออฟไลน์ miralchs

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
C h a p t e r   e l e v e n  ♥

เป็นคนปากไม่ตรงกับใจ


            ‘ไปวันนี้แล้วนะ’

            “อื้อ”

            ฤดูกาลล่ารางวัลสำหรับมัธยมปลายปีสองมาถึงแล้ว

            ลืมช่วงเวลาพักผ่อนของสัปดาห์ที่แล้วไปให้หมด เพราะตอนนี้ในหัวต่างเต็มไปด้วยเนื้อหาความรู้ที่อัดแน่นสำหรับการลงแข่งไปแล้วเรียบร้อย

            เคยคิดว่าไว้ว่ายังไงเรียนในมหาวิทยาลัยมันต้องเหนื่อยที่สุด เพราะมันเป็นการเรียนรู้ช่วงสุดท้ายก่อนที่จะได้เริ่มต้นชีวิตการทำงาน

            แต่พอได้ยืนอยู่ในจุดที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ทำให้รู้ว่าช่วงไหนก็เหนื่อยได้ไม่แพ้กัน ไม่เว้นแม้กระทั่งตอนประถม

            เพราะความรู้สึกในปัจจุบันมันไม่ได้ชัดเจนเหมือนอดีตที่เกิดขึ้น

            เราไปตัดสินไม่ได้หรอกว่าครั้งไหนเหนื่อยไปมากกว่ากัน

            ‘ฟังอยู่หรือเปล่า’

            “ฟังอยู่...”

            อากาศเย็นทำให้น่านอนมากขึ้น

            ความรู้สึกขี้เกียจที่ไม่ค่อยได้เจอก็มักจะโผล่มาในช่วงเวลาแบบนี้

            ไม่อยากลุกไปทำอะไรเลย

            ได้ซุกผ้าห่มหนาๆกับเตียงนุ่มๆก็เป็นความสุขที่เรียบง่ายอย่างบอกไม่ถูก

            แต่นั่นแหละ คนเรามีหน้าที่เป็นของตัวเองเสมอ

            ชักจะอิจฉาหมาแมวแถวบ้านแล้วสิ...

            สวมสลิปเปอร์ไปเปิดหน้าต่างให้แสงแดดส่องทั่วถึง ดวงอาทิตย์กลมโตเหมือนทุกวันแต่กลับดูหมองหม่นกว่าที่เคย อาจเป็นเพราะเมฆที่เคลื่อนตัวมาบดบัง

            หรืออาจเป็นเพราะความรู้สึกของผมเอง

            ‘จะมาส่งหรือเปล่า’

            ปลายสายถามด้วยน้ำเสียงคาดหวัง

            หลังจากกลับเข้าค่ายจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาได้เกือบอาทิตย์ ระหว่างนั้นก็มีกิจกรรมเล็กๆน้อยๆผ่านมาให้ทำตลอด จนเรียกว่าได้เจอหน้ากันทุกวันตลอดปิดเทอมจนเบื่ออย่างที่เพื่อนคนหนึ่งเคยบอกไว้

            มันก็ยังเหมือนเดิม

            หมายถึง...สถานะระหว่างผมกับเขา

            ยังจำคำพูด แววตา และความรู้สึกในตอนนั้นได้เป็นอย่างดี

            ราวกับฝังลึกลงในใจ..

            พอจะรู้ว่าอีกไม่นานเขาก็คงต้องพูดสักวัน แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นวันนั้น

            ไม่ได้เตรียมใจไว้เลยสักนิด

            ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น มันยาวนานอย่างที่เป็น ถึงจะเพิ่งได้เข้าใกล้กันแค่ช่วงระยะเวลากว่าหนึ่งเทอม

            แต่สำหรับเฟิร์ส..มันนานมากพอแล้ว

            ไม่คิดว่ามันเร็วเกินที่จะพูด เพราะเอาเข้าจริงความรู้สึกก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลาเสมอไป

            ผมรู้สึกผิด

            มันไม่ใช่การไม่ตอบคำถามนั้น แต่เป็นเพราะความลังเลที่อยู่ในใจต่างหาก

            เขามั่นคงมาตลอด ส่วนผมกลับสับสนกับตัวเองทุกครั้ง

            มันแย่ที่ต้องต่อสู้กับตัวเอง

            ผมคิด คิดกับเรื่องนี้มานาน และถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าถ้าจุดหนึ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลง ผมจะทำยังไง

            คำตอบคือไม่รู้

            โลกที่มีแค่ตัวผมมาตลอด

            ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะมีใครมายืนข้างๆ

            แต่ความรู้สึกในใจก็มาไกลเกินที่จะเดินไปอยู่จุดเดิมแล้ว

            ได้แต่ขอให้เขารอ รอให้มันแน่ใจ

            ทั้งแน่ใจในตัวเขา..และตัวของผมเอง

            “ไปสิ”

 อยากให้อีกฝ่ายยิ้มได้อย่างมีความสุขสักที...

 

            เรื่องราวบนโลกดำเนินต่อไป ชีวิตเราก็เช่นกัน

            รีบออกมาจนลืมใส่เสื้อกันหนาวทับอีกตัว อากาศหนาวจนแสบหน้าไปหมด

            กลัวไปไม่ทันทั้งที่บอกไว้แล้วว่าจะมา

            ไม่อยากเป็นคนที่ผิดคำพูด

            เขาก็ยังเป็นคนที่มองหาได้ง่ายเหมือนเคย ส่วนสูงเด่นชัดออกมาทำให้ผมไม่ลังเลที่จะก้าวเข้าไป

            คนตัวสูงเห็นผมเป็นคนแรก แต่คนที่เอ่ยทักก่อนไม่ใช่เขา

            “พี่หนึ่ง? สวัสดีค่ะ”

            น้องพีชก็ยังเหมือนเดิมจากที่ได้เห็นในวันนั้น

            และดูเหมือนวันนี้จะสดใสมากกว่าปกติ

            พยักหน้ารับ ก่อนจะมองเห็นความสงสัยบนใบหน้านั้นที่ปิดไม่มิด แต่น้องก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา

            ก็ดี เพราะผมก็ไม่รู้จะตอบว่ายังไงเหมือนกัน

            วันแข่งฟิสิกส์มาถึงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นรายการแข่งขันที่ผมได้สละสิทธิ์ไปแล้ว และวันนี้ก็เป็นวันที่เขาต้องเดินทางไปแข่งที่ต่างจังหวัด

            ถึงอีกฝ่ายไม่ได้บอกให้มาส่ง ก็ตั้งใจจะมาอยู่แล้ว

            เจอกันแทบจะตลอด พอรู้ว่าจะหายไปก็วูบโหวงในใจแปลกๆ

            เฟิร์สดึงผมออกมาจากตรงนั้น ใช้นิ้วเกี่ยวแมสปิดปากออกเพื่อให้พูดสะดวกขึ้น ตาคมดุมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนฉายแววไม่พอใจนิดๆ

            “ทำไมไม่ใส่เสื้อหนากว่านี้”

            “ก็รีบออกมา..”

            “รีบแค่ไหนก็ต้องห่วงตัวเอง ดู ปากสั่นหมดแล้ว”

            “กลัวรถออกก่อนนี่”

            “อันนี้คือเถียงเหรอ”

            เป็นพ่อคนที่สองของผมหรือยังไงกัน

            เขานิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนที่มือใหญ่ถือวิสาสะคว้ามือทั้งสองข้างของผมไปกุมไว้ ถูเบาๆจนเริ่มอุ่นขึ้น

            “เราไม่อยู่ก็ดูแลตัวเองดีๆ”

            “อื้อ”

            “อย่าหักโหม กินข้าวให้ตรงเวลาด้วย”

            “เข้าใจแล้ว”

            เขายิ้มนิดๆ ยกมือที่กอบกุมไว้ขึ้นมาเป่าลมอย่างแผ่วเบา

            “ขอบคุณที่มาส่งนะ”

            “ไม่เป็นไร...”

            ผมเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง

            “เราอยากมา”

            และเห็นรอยยิ้มกว้างกว่าที่เคย

            “พี่เฟิร์ส ไปได้แล้ว!”

            เสียงตะโกนเรียกจากเด็กสาวคนเดิมดังขึ้น ผมจึงค่อยๆดึงมือออกมา แล้วยืนนิ่งไป

            ...เมื่ออีกฝ่ายถอดเสื้อกันหนาวชั้นนอกสุดของตัวเองออกมายื่นให้ผม

            “ใส่ไว้”

            “จะไม่หนาวเหรอ” ถึงเขาจะดูเป็นคนไม่ยี่หระกับความหนาวแต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะถ้าเป็นไข้ขึ้นมาช่วงแข่งล่ะก็แย่แน่

            “เราเอามาเยอะ”

            ผมพยักหน้า แล้วรับมาใส่แต่โดยดี ด้วยส่วนสูงที่ต่างกันทำให้มันยาวแทบจะกรอมเข่าเหมือนขโมยเสื้อพ่อมาใส่ยังไงไม่รู้

            “ไปแล้วจริงๆนะ”

            “อื้อ ดูแลตัวเองด้วยเหมือนกัน…”

            “ครับผม”

            “แล้วก็...ทำให้เต็มที่นะ สู้ๆ”

            ผมยิ้มให้ร่างสูง จนเขายกมือขึ้นมาลูบหัวเบาๆ

            “จะรีบกลับมาเอาเสื้อคืน”

            “…”

            “แล้วก็จะเอารางวัลมาฝากด้วยครับ..”

 

          เขาทำได้อยู่แล้ว

          ผมมั่นใจ..

 

 

         

           

            อากาศเย็นทำให้น่านอนขึ้นก็จริง

            แต่ตอนนี้ผมไม่ง่วงเลยสักนิด

            เวลาเที่ยงคืนตรง ร่างกายที่ควรจะพักผ่อนจากการใช้พลังงานไปมากกลับออกคำสั่งให้ผมนั่งอยู่บนเตียงมาเกือบชั่วโมง

            เหมือนกับ..กำลังรอคอยบางอย่าง

            ผมเป็นที่ไม่ค่อยมีบทบาทในสังคมบนโลกอินเทอร์เน็ตสักเท่าไหร่และแทบจะไม่ได้ยุ่งด้วยซ้ำ แต่มันก็จำเป็นที่ต้องมี เพราะทุกวันนี้สามารถพูดได้เต็มปากว่ามันกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของมนุษย์ไปแล้ว

            นั่งเลื่อนหน้าจอไปอย่างเรื่อยเปื่อย เสียงแจ้งเตือนจากแชทกลุ่มดังมาเป็นระยะทำให้รู้ว่าผมไม่ใช่คนเดียวที่ยังอยู่

            สักพักก็มีข้อความจากเพื่อนสนิทขึ้นมา

 

          Pearx : นอนยัง มีไรจะให้ดู

 

            รูปที่ส่งตามมาติดๆใช้เวลาโหลดอยู่ครู่ ก่อนที่จะปรากฏเป็นภาพของคนที่ผมรู้จักเป็นอย่างดี

            ผมไม่มีแอพนี้บนเครื่อง ถึงอย่างนั้นก็พอรู้จักว่ามันใช้สำหรับทำอะไร

 

            Pearx : โจทก์เก่าอีกละ ดีนะที่คนโพสต์รูปเป็นนางเอง ไม่งั้นเราส่งข้อความไปด่าเฟิร์สแน่ๆ

           

            มันเป็นรูปของน้องพีชที่มีคนตัวสูงอยู่ในเฟรมโดยเอนหัวไปทางคนข้างๆ แม้เขาจะใส่หูฟังและไม่ได้สนใจหันมาทางกล้อง แต่พิจารณาจากรูปก็เดาได้เลยว่าพวกเขานั่งข้างกัน

            อะไรกัน

            อาการแบบนี้นี่มัน...

            ร่างกายมันชาขึ้นมารวมถึงรู้สึกแปลบๆที่อก หากใช้หลักทางวิทยาศาสตร์ก็คงเป็นกลไกของร่างกาย

            แต่ผมคงต้องขอแย้งกับหลักการนี้สักครั้ง

            ตอบเพื่อนสนิทกลับไปเพียงสติ๊กเกอร์ธรรมดา และอีกฝ่ายก็รู้จักหน้าที่ของตัวเองดีจึงไม่พิมพ์อะไรมา

            มันไม่ใช่ความผิดอะไร

            แค่รู้สึกว่าผมคงมองพีชในแบบเดิมไม่ได้อีก

            กดเข้าแอพสีเขียวที่ใช้งานบ่อยที่สุดกว่าอย่างอื่น ข้อความล่าสุดถูกส่งมาจากเขาตั้งแต่ยังไม่ทันสามทุ่ม

            ป่านนี้คนตัวสูงคงนอนหลับสนิท

            ไม่รู้ว่าสมองหรือจิตใจที่ออกคำสั่ง รู้ตัวอีกทีก็กดพิมพ์ข้อความส่งไปแล้ว

            อา

            โคตรบ้าเลย

            ทำไมถึงไม่เป็นตัวเองได้ขนาดนี้กันนะ

            ปิดหน้าจอ คว่ำโทรศัพท์ลง

            ผมควรจะนอนได้สักที

 

            แต่เสียงสั่นของโทรศัพท์ก็ทำให้ผมหลุดออกจากห้วงนิทราได้อย่างรวดเร็ว

            และก็เป็นอีกครั้งที่คาดเดาผิดเกี่ยวกับคนตัวสูง

            “อื้อ..ว่าไง”

            ‘เป็นอะไรครับ’

            “…”

            ‘ทำไมยังไม่นอน ดึกแล้ว บอกว่าอย่าหักโหม’

            “เรา...”

            ‘แล้วแชทมามีอะไรเปล่า พอเราตอบแล้วเงียบ’

            ผมควรจะบอกว่าอะไร

            โดยที่ตัวผมเองก็ยังไม่เข้าใจดีด้วยซ้ำว่ามีเหตุผลอะไรที่ต้องทักอีกฝ่าย

            ถ้าจะเพราะเรื่องรูปนั้น...

            ‘หื้อ...ว่าไง’

            “เปล่า ไม่มีอะไรแล้ว”

            ‘แสดงว่ามี’

            “ทำอะไรอยู่อะ ไม่นอนเหรอ”

            รีบเปลี่ยนเรื่องหนี คนปลายสายนิ่งไปนิดก่อนหัวเราะหึๆออกมา

            ‘ซ้อมแข่งอยู่ แต่ใกล้เสร็จละ ที่หนึ่งทักมาพอดี’

            “เรากวนหรือเปล่า ขอโทษ”

            ‘ไม่ๆ ไม่กวน ดีซะอีก เราก็อยากได้ยินเสียงเหมือนกัน…’

            เขาคงยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่แน่

            “...ไปนอนได้แล้ว”
           
            ‘งั้นนอนพร้อมกันนะ’

            “อื้อ”

            ‘ฝันดีนะครับ’

            “ฝันดี..เหมือนกัน”

 

            หากผมนอนช้าอีกสักหน่อย

            หรือลองโหลดแอพนั้นมาก็คงเห็น..

            first1st  just posted a photo.

 

          คิดถึง ;)






ออฟไลน์ miralchs

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
(ต่อ)


            คนเราสามารถทำอะไรพร้อมกันได้สูงสุดที่กี่อย่าง

            มันเป็นคำถามที่ต้องมีตัวแปรควบคุม และตัดสินจากแค่คนๆเดียวไม่ได้

            ที่แน่ๆมันคงมากกว่าหนึ่งอย่าง

            เหมือนกับตอนนี้...ที่ผมกำลังทำอยู่

            “ใครที่ยังไม่ได้ทำอะไร มาช่วยทำตรงนี้หน่อย!”

            “คนไปซื้อของกลับมายังอะ ไม่งั้นก็ทำต่อไม่ได้นะเว้ย”

            “หายไปเป็นชั่วโมงละแม่ง”

            ความชุลมุนกลับมาอีกครั้ง เหมือนจะหนักเข้าทุกวันเมื่อเวลาเริ่มเหลือน้อยลงทุกที

            นับถอยหลังเข้าสู่กิจกรรมที่เป็นปัญหาอันยิ่งใหญ่ของม.5 แต่ละฝ่ายต่างหัวหมุนกันขั้นสุด ทั้งที่วางแผนกันมายาวนานตั้งแต่เปิดเทอม แต่เหมือนอะไรมันจะไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

            ปัญหาที่ควรหายไปดันมีมากเพิ่มขึ้นทุกวัน จากที่สามัคคีกันตอนแรกก็เริ่มมีปากเสียงกันมาเรื่อยๆจากความเห็นที่ไม่ตรงกัน อารมณ์ต่างๆก็ส่งผลทำให้ไม่เสร็จตามที่กำหนดไว้ แถมล่าช้าจนล่วงเวลามามากโข

            เรียกได้ว่าตอนนี้อาจจะเป็นจุดที่แย่ที่สุดสำหรับการทำงานร่วมกันเลยก็ได้

            “เหนื่อยชิบหาย”

            เต้เดินเข้ามานั่งยองๆพร้อมกับหอบหายใจ

            อากาศในฤดูหนาวไม่ได้ช่วยให้อารมณ์เย็นลงเลยแม้แต่นิด

            อือ เรียกว่าอาการหัวร้อนอย่างเต็มรูปแบบมากกว่า

            “เริ่มลงสีหรือยัง”

            “ลงแม่งไรล่ะ สีหมด คนซื้อก็ยังไม่มา โทรจิกเป็นร้อยสายแล้ว”

            “แล้วจะเสร็จเหรอวะอย่างนี้”

            ผมเองก็ไม่ต่าง บางครั้งการที่คนในห้องสนิทกันมากๆก็เป็นผลเสีย ความเกรงใจที่พึงมีกลับไม่ถูกเอามาใช้

            อยากจะถอนหายใจวันละหลายรอบ

            “ทำส่วนอื่นให้มันเสร็จก่อนละกัน พวกของที่ให้น้องใช้ทำให้มันเสร็จวันนี้เลย”

            ออกคำสั่งบอกเพื่อนร่วมกลุ่มให้ไปกระจายต่อ แล้วกลับมาทำหน้าที่ของตัวเอง

            ผมต้องมารับบทบาทประสานงานกับกรรมการนักเรียนด้วยความจำเป็น เนื่องจากหัวหน้าสีตัวจริงดันไม่อยู่

            กำหนดกลับก็น่าจะเป็นวันนี้

            ไม่ได้ติดต่ออะไรกันมากมาย เพราะต่างคนต่างยุ่งไม่แพ้กัน

            กลับบ้านทีก็หลับเป็นตาย เรียนก็ยังไม่เหนื่อยขนาดนี้

            และดูท่าอาจจะไม่ได้กลับด้วยซ้ำถ้างานยังไม่คืบหน้า

            บ้านสีกลายเป็นสถานที่สำหรับขลุกตัวของเด็กห้องสิบสองไปโดยสิ้นเชิง คงไม่ต้องบอกว่าทุ่มเทไปมากแค่ไหน สภาพของแต่ละคนที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นก็เห็นมันวันนี้นี่แหละ

            ก็นะ ครั้งเดียวในชีวิต

            โตไปจะได้หวนกลับมาคิดถึง...ว่าครั้งหนึ่งเคยทำอะไรแบบนี้

            ในที่สุดคนรับหน้าที่ออกไปซื้อของก็กลับเข้ามา เกิดการทะเลาะกันไปตามระเบียบ

            ถึงจะเป็นอย่างนั้น ตีกันแทบตาย ก็ต้องช่วยกันทำให้มันเสร็จอยู่ดี

            ผมละออกจากหน้าจอเพื่อไปช่วยลงสี คัทเอ้าท์สแตนด์เป็นสิ่งที่ทำยากและใช้เวลาทำนานมากที่สุด จะทำกันเพียงสองสามคนก็คงไม่ไหว โชคดีที่ในห้องมีหัวอาร์ตอยู่หลายคนคอยกำกับเลยไม่ได้ลำบากมากนัก

            พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ความมืดยิ่งเป็นอุปสรรคในการทำงานเข้าไปใหญ่ บรรยากาศอึมครึมเริ่มกลับมาสดใสอีกครั้งหลังจากสงบสติอารมณ์กันได้ เพลงบีสต์หนักๆถูกเปิดขึ้นเพื่อกระตุ้นให้อารมณ์ครื้นเครง

            ทำงานร่วมกันมันก็มีแค่นี้ สุดท้ายก็ใช้เป้าหมายเดียวกัน

            รถเวียนเข้าเวียนออกจนเป็นเรื่องปกติ ยังดีที่เช่าบ้านสีอยู่ห่างไกล ไม่งั้นคงเป็นการรบกวนเพื่อนข้างบ้านแน่นอน

            ผมปาดเหงื่อที่ไหลลงมาตามกรอบหน้า อาจจะเป็นครั้งแรกในฤดูหนาวที่รู้สึกอบอ้าวอย่างบอกไม่ถูก

            มือปริศนายื่นผ้าเช็ดหน้าให้ เงยขึ้นไปก็พบว่าเป็นรองหัวหน้าห้อง

            “ขอบคุณนะ”

            “เรื่องแค่นี้เอง คนอะไรรับหน้าที่เยอะชะมัด พักบ้างก็ได้มั้ง”

            “ไม่ได้ทำแล้วจะนอนไม่หลับน่ะสิ”

            “อย่างนี้ก็ได้เหรอ ฮ่าๆๆ โคตรคนจริง”

            สาวผมสั้นหัวเราะจนตาปิด ก่อนจะตวัดพู่กันลงสีพลางชวนคุยไปด้วย

            “เห็นผลแข่งฟิสิกส์ยัง”

            “ออกแล้วเหรอ”

            แอบใจเต้นไปกับผลไม่ได้

            ผมไม่ได้ตามอะไรเลย แถมอีกฝ่ายก็ไม่ได้บอกอะไร คิดว่ากลับมาเดี๋ยวก็รู้เอง

            “ให้ทาย”

            “ไม่หลุดท็อปสามหรอก” ผมยักไหล่

            “ไม่ใช่”

            “…”

            ผมหันไปมองรองหัวหน้าอย่างไม่เข้าใจ

            “ไม่ใช่แค่ท็อปสาม แต่เป็นที่หนึ่งสมชื่อเลยล่ะ”

            ผมหัวเราะให้กับประโยคที่แสนกำกวม

            “นั่นชื่อเราต่างหาก”

            “เออว่ะ โอ้ยสับสน จะตั้งให้มันเหมือนกันทำไมเนี่ย”

            ผมยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร ส่วนอีกคนก็นั่งโม้อยู่อีกสักหน่อยก่อนจะลุกไปทำอย่างอื่น

            ไม่ผิดไปจากที่คิด เพราะผมมั่นใจว่าเขาทำได้

            ไว้ไปแสดงความยินดีด้วยวันหลังก็ยังไม่สายหรอก

            “เดี๋ยวโทรเรียกน้องม.4 มาเลยป้ะ”

            “น้องมันมาได้อ่อ”

            “ได้มั้ง กลุ่มนึงเพิ่งเลิกเรียนพิเศษ น่าจะมาได้แหละ”

            เป็นปกติของทุกปีที่จะมีน้องเข้ามามีส่วนร่วมบ้าง ถึงจะไม่ได้ทำอะไรเยอะแต่ก็พอให้เรียนรู้เอาไปใช้กับปีของตัวเอง

            บรึ้นนน

            “ฮะ มาแล้วเหรอวะ?” เพื่อนคนหนึ่งถามขึ้นอย่างแปลกใจ

            “มาก็เชี่ยละ กูเพิ่งโทรบอกตะกี้”

            “แล้วใครวะ”

            ถึงจะบอกว่ามีรถเข้าออกตลอด แต่ตอนนี้สมาชิกในห้องก็อยู่ที่นี่ครบทุกคน ไม่แปลกที่จะพากันสงสัย

            ไม่ต้องรอคำตอบนาน คนที่เพิ่งมาถึงก็เดินเข้ามา

            “อ้าว ไอ้หล่อ กูก็นึกว่าจะมาพรุ่งนี้”

            “หึ รถมาถึงเร็ว”

            ผมเงยหน้าขึ้นมองคนมาใหม่ทันที อีกฝ่ายก็ไม่ต่างกัน เขากวาดสายตามองจนพบที่ที่ผมนั่งอยู่ ก่อนจะก้าวฉับเข้ามาหา

            เขากางแขนทั้งสองข้างออกเมื่อเดินเข้ามาประชิดผม

            คล้ายกับ..จะกอด

            แต่ก็ชะงักนิ่งไป

            แล้วลดแขนลงข้างตัวเหมือนเดิม..

            ผมรู้ดีว่าทำไม

            แต่เขาก็เลือกที่จะเลี่ยงเรื่องนั้น พร้อมกับส่งยิ้มให้ผมเหมือนที่ผ่านมา

            “กลับมาแล้ว”

            “อื้อ ขอโทษที่ไม่ได้ไปรับนะ วันนี้เรายุ่งมาก” ผมพูดด้วยความรู้สึกผิดจากใจ วันนี้แทบจะยังไม่ได้ลุกไปไหนเลยด้วยซ้ำ

            “ฮ่าๆ ก็พอรู้อยู่”

            มือหนาเอื้อมมาปาดบริเวณข้างแก้ม “หลักฐานตรงหน้าเลย”

            สีอะคริลิคบนมือคนตรงหน้าทำให้หน้าร้อนวูบขึ้นมารวดเร็ว ไม่รู้ว่าไปทำเปื้อนตอนไหน

            “กลับมานานหรือยัง”

            “ได้ประมาณชั่วโมง แล้วก็รีบมาที่นี่”

            “เหนื่อยแย่ มาพรุ่งนี้ก็ยังได้หรอก”

            “ไม่เอา อยากเจอนี่นา ไม่คิดถึงกันเลยเหรอ”

            เผลอขบริมฝีปากตัวเองเมื่อดันเงยหน้าขึ้นไปเจอสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกโหยหาของคนตัวสูง

            “คิดว่าไงล่ะ”

            ผมหลุบตาลง ก่อนที่จะปาดพู่กันลงผ้าใบกลบเกลื่อน

            “เราไม่รู้หรอก”

            “…”

            “ใจของที่หนึ่งเราจะไปรู้ได้ยังไง..”

            คิดไปเองหรือเปล่าว่าในประโยคนั้นมันแฝงไปด้วยความตัดพ้ออยู่

            ผมเงียบ เขาก็เงียบ

            สุดท้ายผมก็หยุดมือ

            เขยิบเข้าไปใกล้เขานิดหน่อย ก่อนจะเอ่ยปากพูดออกไป

            “เฟิร์สคิดยังไงเราก็คิดอย่างนั้นนั่นแหละ”

            รอยยิ้มถูกจุดที่มุมปากทั้งสองข้างอีกครั้ง พัดเอาตะกอนขุ่นในใจให้หายไป..   

            อย่างน้อยตอนนี้ผมก็สามารถแสดงออกกับเขาได้มากขึ้น

            ลดความนิ่ง ลดทิฐิที่มีลงไปบ้างเพื่อให้เราขยับเข้าใกล้กันได้โดยไม่อึดอัด

            “รู้ผลหรือยัง”

            “รู้แล้ว”

            “โหย ไม่เซอไพรส์เลยว่ะ” เขายู่ปากเหมือนเด็กๆ ทำให้ผมหลุดขำออกมา นานครั้งกว่าที่จะเห็นอีกฝ่ายในมุมนี้

            เพราะปกติก็ทำหน้าเจ้าเล่ห์ตลอดน่ะสิ

            “ก็ควรได้ที่หนึ่ง จะได้ไม่เสียแชมป์เรา” ผมพูดตอบไป

            ไม่ชมหรอก เดี๋ยวเหลิง...

            อีกฝ่ายกระตุกยิ้ม คว้าพู่กันไปจากมือผม

            “ได้เป็นที่หนึ่งในการแข่งขันไปแล้ว” เขาพูดเว้นจังหวะนิดหน่อย แล้วเหล่มองผม “แต่เป็นที่หนึ่งในชีวิตจริง ยังไม่ได้เลย”

            “โอย พอแล้ว อย่าแกล้งเรา”

            ก้มหน้างุดซ่อนหน้าแดงของตัวเองไว้ ผลักไหล่คนตัวสูงให้ถอยหนีแล้วแย่งพู่กันคืนมา ซึ่งเขาก็ยอมผละออกไปแต่โดยดีพร้อมกับเสียงหัวเราะเบาๆ

            คนอะไรหาเรื่องได้ทุกวี่ทุกวันแบบนี้นะ

 

            ผมนั่งปาดสีไปเรื่อยๆ ส่วนเขาก็ถูกเรียกใช้งานไปวาดนู่นนี่

            จำได้ว่าอีกฝ่ายชอบวาดรูป เขาคงมีความสุขที่ได้ทำกับงานนี้ ดูจากการที่ไม่ปริปากบ่นอะไรเลยทั้งที่ปกติต้องมีโวยวายบ้างแท้ๆ

            “พอเค้ามาก็ยิ้มแก้มจะแตกเลยนะ”

            ไม่หันไปมองก็รู้ว่าใคร มีไม่กี่คนหรอกที่จะพูดโต้งๆโดยไม่เกรงกลัว

            “ทำงานตัวเองเสร็จยังถึงมากวนคนอื่น”

            “ยังไม่เสร็จ แต่อยากมากวน เห็นคนเขินแล้วตลกดี”

            “อย่าให้พูดบ้าง ไปทำอะไรกับพี่ซันมาอย่าคิดว่าไม่เห็น”

            ลูกแพรหุบปากฉับทันทีเพื่อผมพูดชื่อต้องห้ามนั้นขึ้นมา

            “เอ๊อ ไม่คุยด้วยแล้วก็ได้วะ”

            คนสูงเกือบเท่าผมก้าวหนีผมไปอย่างเร็วจนน่าตลก

            ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์อีกครั้ง คราวนี้คงเป็นน้องม.4 จริงๆ

            กลุ่มน้องราวๆเกือบสิบคน มีทั้งผมคุ้นบ้างไม่คุ้นบ้าง เพราะส่วนมากเป็นผู้หญิง

            แต่นั่น...น้องพีช?

            อยู่ฝ่ายขบวนร่วมกับอีกห้องไม่ใช่หรือไง..

            ผมเก็บความสงสัยไว้ในใจ ละสายตาออกจากรุ่นน้องแล้วกลับมาทำงานต่อ

            รุ่นพี่โบกมือให้เป็นการต้อนรับ ก่อนจะเคลียร์พื้นที่รกๆให้น้องได้นั่งได้สะดวก แอบแปลกใจที่น้องมาเหมือนกัน เพราะตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว

            หลังจากนั่งคุยสัพเพเหระกันไปนิดหน่อยตามประสาพี่น้องร่วมสายก็เริ่มแบ่งหน้าที่ให้ทำ มีน้องบางส่วนลุกมาช่วยทำคัทเอ้าท์ข้างผม

            แต่เหมือนน้องจะเกรงผมไปหน่อยเพราะเล่นเงียบไปเสียสนิททั้งที่ตอนแรกก็พูดเจื้อยแจ้วอยู่ไม่น้อย

            “พี่ชื่อที่หนึ่งนะ”

            เปิดบทสนทนาก่อนเป็นมารยาท ถึงจะไม่ชอบคุยแต่ก็สงสารที่จะต้องมานั่งอึดอัดกันแบบนี้

            “พวกหนูรู้จักพี่ค่ะ ได้ยินชื่อเสียงความเก่งมานานมากกกก”

            คนที่นั่งอยู่ใกล้สุดพูดขึ้นมา ก่อนที่จะแนะนำตัวเองอย่างเร็ว

            “หนูชื่อส้ม คนนี้ปลา แล้วก็นี่มะเหมี่ยวค่า”

            ทันทีที่ได้พูด ก็เหมือนจะหาที่ลงไม่ได้ราวกับรอคอยโอกาสนี้มานาน น้องผู้หญิงทั้งสามคนผลัดกันคุยจ้อไม่หยุดเมื่อรู้ว่าผมไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ลือไว้จนต้องยิ้มตามไปด้วย

            “พี่น่ารักมากเลยรู้มั้ยคะ มันอาจจะแปลกๆที่ชมผู้ชายแบบนี้ แต่พี่น่ารักจริงๆ”

            ได้ยินคำว่าน่ารักออกมาจากปากทั้งสามคนเกือบยี่สิบครั้งได้ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร

            ทั้งที่ก็เป็นคำเดียวกันกับคนตัวสูงพูดวันนั้น แต่ตอนนี้ผมไม่ได้รู้สึกเขินเลย

            มันขึ้นอยู่กับคนพูดจริงๆสินะ

            “เพื่อนหนูอะ มันเป็นแฟนคลับพี่เลย แต่วันนี้มันไม่มา มันเคยแอบถ่ายรูปพี่ด้วยนะ โคตรเว่อร์”

            “ใคร พี่รู้จักมั้ย”

            “ชื่อนาเดียร์ ตัวเล็กๆ ใส่แว่นกลมๆ น้องรหัสพี่ว่าน เดี๋ยวถ้าเจอพี่ที่โรงเรียนหนูจะชี้ให้ดู”

            เป็นเรื่องที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน ผมอาจจะเคยเห็นหน้าน้องเขาก็ได้

            ก็ไม่คิดว่าจะมีคนให้ความสนใจน่ะนะ

            “พวกหนูขอถ่ายรูปกับพี่ได้มั้ยคะ จะเอาไปอวดมัน ฮ่าๆๆ”

            “ได้สิ”

            สิ้นสุดคำตอบรับน้องทั้งสามก็ขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับชูกล้องโทรศัพท์ขึ้นถ่าย

            แชะ

            “โอ้ยน่ารัก น่ารักมากกกก ขอบคุณนะคะ”

            ผมส่ายหัวยิ้มๆ แล้วปล่อยให้น้องๆคุยกันต่อไป

            ตุ้บ!

            เพล้ง!!

            “ว้ายยย!”

            “เฮ้ย ระวัง!”

            เสียงหวีดร้องของใครคนหนึ่งดังขึ้นมาตามด้วยเสียงทุ้มที่ผมคุ้นเคย ส่งผลให้รอบๆหยุดชะงักแล้วหันไปมองด้วยอารามตกใจทันที ก่อนที่เหตุการณ์โกลาหลจะเกิดขึ้น

            พีชยืนอยู่ตรงนั้น กับคนตัวสูงยกแขนกุมหน้าผากตัวเอง

            “พ..พี่เฟิร์ส! เป็นอะไรมั้ย”

            ผมรีบปรี่เข้าไปดูด้วยใจที่กระตุกวูบ เลือดไหลบนหน้าผากของอีกฝ่ายทำให้ผมไม่ลังเลที่จะเดินไปหยุดตรงหน้าเขาโดยไม่ได้สนใจอีกคนที่ไม่มีบาดแผลใดๆ

            ไม่สนใจแม้กระทั่งตัวเอง...ที่กลัวเลือด

            เศษกระจกที่กระจายบนพื้นบอกเหตุการณ์เมื่อครู่ได้เป็นอย่างดี ออกแรงฉุดแขนให้ก้าวออกมาจากที่ตรงนั้น กดไหล่กว้างให้นั่งลงกับพื้นก่อนจะวิ่งไปหากล่องปฐมพยาบาลทันที

            ทั้งหมดทั้งมวลอยู่ในสายตาของแทบทุกคน

            “เอาเรื่องว่ะ...”

            “หัวหน้าแม่ง...กูอิจฉาไอ้เฟิร์สเลย”

            จะรู้หรือเปล่าว่าในความวุ่นวายกลับมีรอยยิ้มหนึ่งเผยออกมาด้วยความดีใจจนรอบข้างหมั่นไส้

            “โอ้ย ซี๊ด”

            ชุบแอลกอฮอล์ลงบนแผลสด จนเฟิร์สนิ่วหน้า มันไม่ได้ลึกเท่าไหร่แต่ก็คงเจ็บน่าดู

            “ทนหน่อยนะ”

            ออกแรงกดให้เบาลงอีกนิด

            อีกฝ่ายๆค่อยลืมตาขึ้น นัยน์ตาคมจ้องมองมาอย่างไม่กะพริบ

            มันทำให้มือผมสั่น

            รวมทั้ง..ใจสั่นด้วย

            “มองอะไร”

            “มองคนน่ารัก”

            กดลงแรงๆสักทีดีไหมนะ

            รอยยิ้มกรุ้มกริ่มทำให้ผมเร่งทำให้เสร็จเร็วๆก่อนที่จะโดนเล่นไปมากกว่านี้

            “รู้มั้ยว่าเมื่อกี้ที่หนึ่งทำหน้าตกใจมากเลยนะ”

            “…”

            “เราเรียกว่าเป็นห่วงได้หรือเปล่า”

            “ใคร..ใครเป็นห่วงกัน” ผมเสมองไปทางอื่นเพื่อไม่ให้คนตรงหน้าได้ใจ

            “หึๆ”

            “พอเลย”

            “นิสัยเหมือนเดิมไม่ต่างจากแต่ก่อนเลย”

            “…”

            “ปากไม่ตรงกับใจเนี่ย”

            จริงๆเลยนะคนเรา

            กดลงแรงๆเสียทีจนคนตัวสูงร้องโอดโอย แต่ใบหน้าคมก็ยังเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม

            สมควรโดนซะบ้าง

 

            “พี่เฟิร์ส”

            ผมชะงักมือที่รวบอุปกรณ์เก็บลงกล่องเมื่อได้ยินเสียงนั้น

            “ขอโทษนะ เป็นไรมากเปล่า”

            จากประโยคแล้วก็คิดว่าสนิทกันดี

            “สบายๆ”

            “เดี๋ยวพีชเลี้ยงมื้อดึกไถ่โทษ กลับตอนไหนก็เรียกพีชเลยนะ”

            ร่างสูงขมวดคิ้ว “ทำไมอะ”

            “เอ้า ก็จะไปด้วย”

            เกิดบรรยากาศแปลกๆรอบตัวทันที ผมตั้งท่าจะลุกหนี

            แต่มือหนากลับฉุดรั้งให้นั่งลงที่เดิมเสียก่อน

            “คงไม่ได้ พี่ว่าจะค้างที่นี่”

            “งั้นออกไปแป๊บนึงก็กลับเข้ามาก็ด้ายย”

            ผมไม่อยากอยู่ฟังแล้ว

            “พี่ถามจริงๆ”

            “…”

            “ต้องการอะไรจากพี่หรือเปล่า”

            คนตัวสูงเลือกที่จะตัดจบ

            รอบข้างต่างเงียบ ทุกสายตาหยุดมองมาที่พวกผมราวกับรอคำตอบจากเด็กผู้หญิงผมเปียตรงหน้า

            “พีช...”

            “…”

            “พีชชอบพี่! ชอบมานานแล้วด้วย”

            ถ้ามันเป็นการพนัน ผมเชื่อว่าตอนนี้ตัวเองก็คงโกยเงินได้เป็นกอบเป็นกำ

            ก็ไม่ผิดจากที่คิดไว้เท่าไหร่

            “อือ รู้แล้ว"

            และผมก็รอฟังคำตอบจากคนข้างตัวเช่นกัน..

            “พีชสัญญาว่าจะทำตัวดีๆถ้าเราคบกัน จะไม่เอาแต่ใจ จะไม่...”

            “ไม่ได้หรอก”

            “...”

            “พี่มีคนที่ชอบอยู่แล้ว”

            “ก็แค่ชอบ ลองให้พีชพิสูจน์ตัวเองก็ได้…”

            น้องยังคงไม่ย่อท้อ สายตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง ทำให้ผมไม่รู้จะพูดยังไง

            จะว่าเห็นใจก็คงใช่

            แต่ผมคงทำตามความต้องการของน้องไม่ได้

            “ไม่ใช่แค่ชอบ”

            เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ มือหนาเลื่อนลงมากุมมือผมอยู่ข้างหลังโดยไม่ให้ใครเห็น

            “แต่พี่รอคำตอบจากเขาอยู่เหมือนกัน”

            อา

            ผมอยากร้องไห้ให้กับประโยคนี้เหลือเกิน

            เด็กสาวสลับมองหน้าผมกับเฟิร์สสองสามที

            “เข้าใจแล้วค่ะ”

            “…”

            “ขอให้คำตอบของเขาเป็นอย่างที่พี่หวังไว้นะคะ”

            ผมกระชับมือราวกับตอบรับคำพูดนั้น

            มันจะเป็นอย่างที่เขาหวังแน่นอน..

 

            น้องเดินออกไปแล้ว จึงเหลือเพียงผมกับเขาแค่สองคนที่นั่งอยู่

            เกิดความเงียบขึ้น ผมมีอะไรหลายอย่างอยากจะพูดออกไป แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าน้อยๆ

            “ไม่ต้องพูดอะไร อย่ากดดันตัวเอง เรารอได้”

            สัมผัสแผ่วเบาบนหลังมือคล้ายกับช่วยคลายความกังวล

            แต่รอยยิ้มจางบนใบหน้าคมนั้น กลับทำให้เจ็บแปลบมากกว่าเดิม...

            มันเป็นรอยยิ้มที่มีความสุขน้อยกว่าครั้งไหนๆ

            เหมือนที่เขาพูดไม่ผิด

            ผมมันคนปากไม่ตรงกับใจจริงๆนั่นแหละ..

 

 

            ครืด ครืด

            โทรศัพท์โชว์รายชื่อที่ทำให้ผมแปลกใจ

            ...และตามมาด้วยลางสังหรณ์บางอย่าง

            ผมมองหน้าร่างสูงสลับกับหน้าจอ

            เขาพยักหน้า บีบมือแน่นขึ้น

            และผมกดรับสายนั้น..

 

 

 

            ‘ที่หนึ่ง...ป๊ากลับมาแล้วนะ’

 

 

            ธรรมชาติไม่ได้สอนให้มนุษย์อยู่อย่างโดดเดี่ยว

            แต่โลกใบนี้กลับสอนให้ผมรู้ว่าบางครั้งเราก็ต้องเลือกที่จะอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง...


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
มีเรื่องอะไรหนอ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
หนูพีช หนูจะมาตีท้ายครัวชาวบ้านไม่ได้นะลูก
งานนี้หนูก็นกไปก่อนนะคะ 555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ kungverrycool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ติดตามจ้า  :mew1:

ออฟไลน์ miralchs

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
C h a p t e r   t w e l v e  ♥

เป็นคนข้างๆ



            เคยมีเรื่องเล่าในวัยเด็กกันหรือเปล่า

            อาจจะเป็นตอนหกล้มครั้งแรก ตอนโดนคุณครูดุต่อหน้าเพื่อนหรือตอนวิ่งไล่แกล้งคนอื่นไปทั่ว

            ลองหลับตาลงนึกทบทวนถึงความทรงจำที่ผ่านมา ทั้งเรื่องที่สุดแสนวิเศษ เรื่องที่น่าอาย หรือแม้กระทั่งเรื่องที่ไม่อยากจำ

            แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเราล้วนผ่านมันมาแล้ว

            และเป็นความจริงที่เกิดขึ้นกับเราทุกอย่าง

            สมองของเรามีกลไกการทำงานซับซ้อนจนยากเกินจะเข้าใจมันทั้งหมด

            ร้อยพันเรื่องราวที่ถูกจัดเก็บไว้เป็นอย่างดีเพื่อรอเวลาให้เจ้าของได้หวนคิดถึง

            แต่บางเรื่อง...ก็อยากจะลืมมันไปจากความรู้สึกสักที

            แม้ว่ามันจะฝังใจมาตลอดก็ตาม

            เรื่องเล่าในวัยเด็กของผมมันไม่สนุกเอาเสียเลย

            ทั้งที่มีเพื่อนเล่นด้วย มีข้าวให้กินอิ่มทุกมื้อ ใช้ชีวิตสุขสบาย ไม่เคยต้องลำบาก

            แต่ทำไมความทรงจำถึงได้หมองหม่นแบบนั้น..

            เคยมีความฝันหรือเปล่า

            แน่นอนตราบใดที่ยังมีลมหายใจ เราก็ต่างมีฝันเป็นของตัวเองทั้งนั้น

            มันหมุนผลัดเปลี่ยนไปเรื่อยตามกาลเวลาและช่วงความคิด บางฝันอาจเป็นจริงหรืออาจถูกลบเลือนให้จางหายไป

            แต่บางฝันก็ยังอยู่กับเรา..แม้ว่ามันจะไม่เป็นจริง

            ‘พี่อยากเป็นนักดนตรี’

            ‘นั่นเป็นความฝันของพี่เอกเหรอ’

            ‘มันไม่ใช่ความฝัน แต่มันเป็นอนาคตของพี่’

            ‘…’

            ‘สักวันที่หนึ่งก็ต้องเลือกเส้นทางด้วยตัวเองเหมือนกันนะ’

            ‘แล้วพี่วันล่ะ’

            ‘พี่เหรอ...อืมม ก็อยากเข้าวงการนะ แต่คงยากแน่ๆ’

            ‘ถ้ามั่นใจในตัวเองก็ทำได้อยู่แล้วเชื่อพี่’

            ‘พี่เอกก็...พูดเหมือนเป็นเรื่องง่าย’

            ‘...’

           ‘แต่วันจะสู้ ทุกคนต้องได้เห็นวันในทีวี’

           ‘จะรอดูนะ’

            ความฝันในวัยเด็กช่างบริสุทธิ์...แต่ก็มั่นคงเกินที่จะทำลายลงได้ง่ายๆ

            รอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุขนั้นยังไม่จางหายไปจากความทรงจำ

            ผมในวัยแปดขวบที่ไม่ประสีประสาในโลกของความเป็นจริงและไม่เคยมีความฝันเป็นของตัวเอง ก็ได้แต่ส่งกำลังใจให้พี่ทั้งสองคน

            ถึงจะเป็นแค่เศษเสี้ยวเล็กๆก็ตาม

 

            ‘นี่ ป๊าส่งโปสการ์ดมาด้วยแหละ’

            ‘ดูดิ ป๊ายิ้มแฉ่งเลย’

            ผมได้ชื่อนี้มาจากเขา

            ชื่อที่ดูเพียบพร้อม ไม่ว่าใครได้ยินก็แปลกใจ

            พี่กับม๊าเคยพูดให้ฟังบ่อยๆว่าป๊าทั้งใจดี มีรอยยิ้มให้พวกเขาทุกวัน และคอยเติมสีสันให้บ้านเสมอ

            นั่นคือช่วงเวลาก่อนที่ผมจะอายุได้ไม่ทันสามขวบดี

            ผมได้แต่รับฟังและพยักหน้าเงียบๆ เพราะจินตนาการถึงตอนที่เราอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันไม่ออก

            อย่างที่เคยบอกไป..ว่าสมองของมนุษย์จัดเก็บเรื่องราวในอดีตได้ซับซ้อน

            นั่นคือเหตุผลว่าผมจำหน้า จำเสียง และสัมผัสได้แทบทุกอย่าง

            ยกเว้นความรู้สึกผูกพัน...ที่ไม่เคยได้รับจากคนที่ขึ้นชื่อว่าพ่อเลย

            มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่หลวง คนเรามีหน้าที่การงานที่ต้องทำ เขาไม่ได้จากครอบครัวไปด้วยเหตุผลที่เลวร้าย ซึ่งทุกคนก็เคารพในการตัดสินใจ

            มนุษย์บางส่วนรักการขวนขวายหาสิ่งที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ เมื่อได้รับข้อเสนอที่ตรงใจ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธ

            ใช่ นั่นแหละป๊าผม

            สิบกว่าปีที่ม๊ากลายเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวด้วยความเต็มใจ แม้จะมีลูกในวัยไล่เลี่ยกันก็ไม่เคยปริปากบ่น และไม่เคยให้ใครสักคนต้องลำบาก นั่นทำให้ผมนับถือผู้หญิงคนนี้เหลือเกิน

            อะไรที่ว่าดีท่านก็สรรหามาให้

            อะไรที่อยากได้ก็วางกองให้ตรงหน้าราวกับเสกได้

            ชีวิตที่ดีจนใครหลายคนอิจฉา

            แต่ทุกการลงทุน ย่อมต้องการผลตอบแทน

            ความคาดหวังที่สูงลิบลิ่วดั่งหินที่ถ่วงขาเอาไว้ เริ่มทำให้อะไรหลายอย่างในบ้านหลังนี้เปลี่ยนไป

            ‘ม๊าหวังกับที่หนึ่งมากเลยนะ’

            ‘ครับ’

            ‘อยากให้มีอนาคตที่ดี หน้าที่การงานที่ดี ที่ม๊าพูดเพราะม๊าเป็นห่วงนะรู้เปล่า ม๊าก็ไม่ได้อยู่กับลูกทั้งชีวิต ไม่อยากให้โตไปลำบาก’

            ‘หนึ่งจะพยายาม’

            ‘ดีมากลูก เป็นที่หนึ่งก็ให้เป็นที่หนึ่งสมชื่อ’

            ‘…’

            ‘แล้วที่หนึ่งจะกลายเป็นคนที่เก่งที่สุดของม๊า’

            ราวกับคำพูดที่เป็นแรงผลักดันให้เป็นผมในวันนี้

            เด็กน้อยที่ไม่มีความฝัน มีเพียงผู้เป็นแม่และพี่ มีหรือจะไม่ทำตามคำขอนั้น

            ยิ่งม๊าที่ผมรักและเคารพมาเสมอ ท่านไม่เคยขออะไรนอกจากเรื่องนี้

            เป็นที่หนึ่งในตอนนั้นไม่อยากทำให้ใครผิดหวัง

            ผมทำมาตลอด และมันก็ประสบความสำเร็จ ทุกคนในบ้านล้วนภูมิใจ ความรู้สึกตอนนั้นมันเป็นความสุขที่ล้นปรี่

            นั่นคือความฝันของผมครั้งแรก

            ฝันที่จะให้ทุกคนในครอบครัวมอบความรักกับผมตลอดไป

            แต่นั่นแหละ ทุกคนไม่ได้มีฝันที่เหมือนกัน

            ‘ม๊าไม่อนุญาต’

            ‘ทำไมอ่ะม๊า มันก็ไม่ได้…’

            ‘ลูกคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายๆงั้นเหรอ’

            ‘ผมยังไม่ได้ลองเลยม๊าจะไปรู้ได้ยังไง อนาคตผมนะม๊า’

            ‘แต่ม๊าเป็นคนส่งเสียเอก จะเถียงม๊าที่อาบน้ำร้อนมาก่อนทำไม เป็นอย่างที่ม๊าอยากให้เป็นมันยากนักเหรอ ดนตรีเอาไว้เป็นงานอดิเรกก็ได้ม๊าไม่ได้ห้าม แต่อย่าคิดจะเอามันมาเป็นอาชีพ’

            ‘…’

            ‘เอกยังเด็ก จะคิดอะไรตื้นๆก็ไม่แปลก หวังว่าเราจะไม่ได้คุยเรื่องนี้กันอีก’

            ‘ม๊า..’

            ‘วันก็เหมือนกัน อย่าทำม๊าผิดหวังไปอีกคน’

            ทั้งที่ชีวิตเป็นของเรา

            แต่ทำไมความฝันถึงไม่ได้เป็นของเรานะ

            วันนั้นผมได้ยินเสียงฝนตกหนัก

            ..ไปพร้อมกับเสียงสะอื้นของพี่ที่ผมรักทั้งสองคน

            เรื่องราวชีวิตในครอบครัวยังดำเนินไปเรื่อยๆ

            และความฝันในวัยเด็กของพี่ก็เด่นชัดขึ้นทุกวัน

            มันไมได้เป็นอย่างที่ม๊าหวังไว้ ทั้งสองก็ยังคงยืนกรานในคำพูดของตัวเอง มันกลายเป็นการทะเลาะที่เพิ่มระยะห่างต่อกันมากขึ้นมาตลอด

            ผมไม่รู้ควรจะทำตัวยังไง เพราะพวกเขาสำคัญกับผมทุกคน

            อยากให้ม๊ามีความสุข อยากให้พี่ได้ทำตามที่หวัง หากพี่เขาเป็นไม่ได้ผมก็จะเป็นให้ ผมจึงพยายามมากขึ้น อย่างน้อยก็รู้ว่ามีผมอยู่ตรงนี้ที่จะทำตามคำขอ

            และยอมแบกรับหินนั้นไว้เพียงคนเดียว

            ทุกอย่างบนโลกใบนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่ใจคิด ในตอนนั้นถึงแม้ผมจะกวาดรางวัลมาเป็นสิบเป็นร้อยก็ไม่มีใครสนใจ มันกลายเป็นความชินชาต่อการเป็นที่หนึ่งไปแล้ว

            ความสัมพันธ์ในบ้านระหองระแหงมากขึ้น

            จนสุดท้ายพี่ที่ผมรักทั้งสองก็ตัดสินใจเลือกอนาคตของตัวเอง..

            และทิ้งผมไว้กับความรู้สึกที่จะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกแล้ว

            ‘ไม่ว่าที่หนึ่งจะเป็นยังไง พวกพี่ก็รัก’

            ‘ไว้อีกสิบปีเรากลับมาเล่นชิงช้าด้วยกันนะ’

            สายตาผมจับจ้องไปที่ชิงช้าเก่าๆกลางสวนสาธารณะหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำ

            มันคงจะเป็นไปไม่ได้หรอก..

            “ที่หนึ่ง”

            “…”

            “ไหวหรือเปล่า”

            บ้านที่อยู่ทุกวันตั้งแต่เกิด คุ้นชินแทบทุกมุม แต่ตอนนี้ในหัวของผมไม่มีคำสั่งให้ก้าวเข้าไปในนั้นเลย

            ป๊าจะเป็นยังไง จะใจดีอย่างที่ทุกคนบอกไหม แล้วถ้ารู้เรื่องทั้งหมดจะเกิดอะไรขึ้น

            ถ้าผมรู้จักเขาดีก็คงไม่ต้องมากังวลแบบนี้

            “เฟิร์ส...”

            “ไม่เป็นไร มันจะไม่เป็นอะไร” มือหนาโอบไหล่ผมเข้าไปใกล้

            “มันจะเลวร้ายกว่าเดิมหรือเปล่า เขาจะน่ากลัวมั้ย”

            “ชู่ว ใจเย็นๆ”

            “เราไม่อยากให้แม่เราเสียใจไปมากกว่านี้”

            “…”

            “แค่ไม่เจอพี่มาสามปีแม่ก็ทุกข์มากพอแล้ว”

            มันไม่ใช่การบอกความลับอะไร

            แต่เป็นการระบายความอัดอั้นที่เก็บมานานกับคนตรงหน้า

            ที่ผมรู้สึกสบายใจด้วยที่สุดในตอนนี้...

            “มันจะผ่านไปด้วยดี เชื่อเรา”

            “…”

            “เข้มแข็ง ที่หนึ่ง”

            เขาเอื้อมมือมาประคองใบหน้าแล้วปัดปอยผมให้ช้าๆ

            “เฟิร์สอยู่ตรงนี้”

 

 

            ในที่สุดก็ก้าวเท้าเข้ามาในบ้าน

            กลางห้องนั่งเล่นมีคนทั้งสองนั่งอยู่ราวกับรอคอยให้ผมกลับมา

            ผมลงกลอนประตูบ้านอย่างประหม่า ลอบกลืนน้ำลายทันทีเมื่อมีสายตาตวัดหันมอง

            เราสบตากันอย่างเงียบเชียบจนได้ยินเสียงลมหายใจ

            นั่น...

            ป๊าจริงๆเหรอ

            ใบหน้าเคร่งขรึม แววตาเรียบนิ่งไม่แสดงความรู้สึกอะไร ท่านกำลังกอดอกสำรวจผม กวาดสายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้า

            “เป็นที่หนึ่ง..ใช่มั้ย”

            หากเสียงที่เอ่ยออกมา ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด

            “ครับ”

            “เลี้ยงลูกยังไงให้กลับบ้านมืดค่ำแบบนี้”

            “เขาขอฉันแล้ว” ม๊าถอนหายใจ ก่อนที่จะกวักมือให้ผมมาใกล้ๆ “มานั่งนี่สิลูก”

            ความรู้สึกประหม่าและไม่คุ้นชินยังคงอยู่ ผมไม่กล้าสบตากับผู้เป็นพ่อตรงๆ คำกล่าวขานเรื่องราวที่ผ่านมาจากพี่และม๊าของคนตรงหน้าดูเหมือนจะไม่เป็นจริงเลยสักนิด

            “อายุเท่าไหร่แล้ว”

            “สิบเจ็ดครับ”

            “อืม..”

            บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรู้สึกประหลาด ซึ่งผมไม่ชอบเลย

            “ม๊าเล่าให้ฟังว่าเรียนเก่งมาก จริงหรือเปล่า”

            ผมนั่งนิ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างเกรงๆ

            “อืม สมชื่อดี”

            ทำไมถึงได้รู้สึกห่างไกลขนาดนี้..

            “คุณ..”

            “…”

            “ใช่ป๊าจริงๆเหรอครับ”

            “ทำไมพูดแบบนี้ล่ะที่หนึ่ง” ม๊าเอ็ดขึ้นมาทันที ต่างจากคนตรงหน้าที่เลิกคิ้วอย่างสงสัย

            ก่อนที่จะอ้าแขนทั้งสองข้างออก

            “ลองกอดกันดู”

            “…”

            “ตอนแกสองขวบ ป๊าก็เคยกอดมาแล้วเหมือนกัน”

            ผมนั่งนิ่ง

            นั่นมันผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว จะไปเหมือนกับตอนนี้ได้ยังไง

            ชั่งใจสักพัก ก่อนจะส่ายหัว

            “ไม่เป็นไร เข้าใจว่ายังไม่ชิน แต่ก็อีกไม่นานหรอก”

            ท่านเดินมาลูบหัว แต่ผมก็ไม่ได้ปัดมือออกแต่อย่างใด ก่อนที่อีกฝ่ายจะหายเข้าไปในห้องนอน

            ผมทำตัวไม่ถูกเลยสักนิด

            แต่สิ่งที่ยืนยันในใจของผมตอนนี้...คือผมไม่ได้โหยหาสัมผัสจากคนเป็นพ่อเลย

            และมีสิ่งที่คาใจผมมากกว่านั้น

            หันไปถามคนข้างๆก็เหมือนจะพอรู้ว่าผมจะพูดอะไร

            “ม๊าบอกว่าทั้งคู่ไปเข้าค่ายน่ะ..”

            “เขาจะไม่สงสัยเอาเหรอครับ”

            “ถ้ายังอ้างเรื่องนี้ได้อยู่ ก็คงพอยืดเวลาไปได้เรื่อยๆ”

            “…”

            “ม๊าไม่พร้อมที่จะบอกเขาตอนนี้”

            ผมมองใบหน้าโรยราของผู้ให้กำเนิดด้วยความรู้สึกปนเปกันไปหมด

            ภาวนาว่าเมื่อถึงตอนนั้น...มันจะไม่เลวร้ายก็พอ

 

 

 

            ใจของคนเราจะทนต่อความกังวลได้หรือเปล่า

            ผ่านมาสามวันแล้วหลังจากที่ป๊ากลับมาอยู่ที่บ้าน

            ผมไม่รู้ว่าเขาจะตะขิดตะขวงใจในคำโกหกนั้นมากน้อยแค่ไหน

            ถ้าป๊าเป็นคนช่างสังเกต เขาอาจรู้ได้ในทันทีว่าในบ้านมีเพียงผมกับม๊าสองคนที่ยังอยู่ เพราะข้าวของเครื่องใช้ที่อยู่ในนั้น ไม่มีอะไรเป็นของพี่ทั้งสองเลย

            ราวกับคลื่นใต้น้ำที่รอเวลา...

            ผมมาบ้านสีด้วยใจที่เหม่อลอยทุกวันจนจับสังเกตได้ ถึงจะมีสายตาเป็นห่วงจากเพื่อนในกลุ่มแต่พวกนั้นก็รู้ดีว่าหากผมไม่เป็นคนพูดขึ้นมาเองก็จะไม่ถามให้ลำบากใจ

            ไม่พร้อมที่จะปรึกษาหรือระบาย ความรู้สึกที่เป็นอยู่ตอนนี้ผมยังจัดการไม่ถูกเลยด้วยซ้ำ

            จะมีก็แค่คนเดียวที่คอยถามไถ่เสมอ เป็นความห่วงที่ผมไม่อึดอัดเพราะอีกฝ่ายก็ไม่ได้ก้าวก่ายเข้ามาในเรื่องส่วนตัว เพียงแต่จะคอยอยู่ข้างๆเหมือนอย่างที่เคยบอก

            “พอแล้วที่หนึ่ง ไปกินข้าวเถอะ”

            เขาก็ยังคอยเตือนเรื่องทานข้าวให้ตรงเวลาทุกครั้ง ผมผละออกจากงานตรงหน้า ลุกขึ้นเดินตามคนตัวสูงไป

            “ไม่กินอยู่บ้านสีเหรอ”

            “เดี๋ยวพาไปกินที่อื่น”

            เฟิร์สยิ้มให้เหมือนอย่างทุกวัน และพามาหยุดที่ร้านหนึ่งที่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน

            การตกแต่งรอบๆทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา คล้ายกับยกสวนขนาดย่อมมาตั้งไว้ ธรรมชาติกับเสียงดนตรีที่คลอไปเข้ากันดีอย่างบอกไม่ถูก

            “ชอบหรือเปล่า” อีกฝ่ายโน้มลงกระซิบหลังจากที่เดินตามเข้ามา

            “อื้อ..ชอบ”

            “ดีแล้ว”

            เขาจัดการสั่งอาหารให้เสร็จสรรพ ทรุดตัวลงนั่งข้างผมแทนที่จะเป็นฝั่งตรงข้าม

            “มาเบียดเราเดี๋ยวก็อึดอัดหรอก”

            “ไม่ได้ไล่ใช่มั้ย” คนตัวสูงถามอย่างไม่จริงจัง

            “เปล่า ก็ตัวยักษ์ขนาดนี้กลัวนั่งไม่สบาย”

            ยิ่งนั่งข้างกันแบบนี้ยิ่งเห็นความแตกต่างของตัวผมและเขาอย่างชัดเจน

            “ที่หนึ่งก็ตัวเล็กๆเอง”

            เฟิร์สเอนหลังสบายๆก่อนจะดึงแขนผมให้เอนลงมาด้วยกัน

            “ตัวเล็ก...แต่แบกอะไรไว้เยอะเลย”

            “…”

            “เราอะตัวใหญ่กว่าเป็นเท่า”

            “…”

            “อะไรที่มันหนักหนา...แบ่งให้เราบ้างก็ได้”

            ปลายนิ้วเลื่อนมาคลึงที่มุมปากซ้าย

            “อยากให้ยิ้มเหมือนเดิม..”

            ผมยอมจำนนแต่โดยดี

            เอนซบไหล่กว้างของอีกฝ่ายอย่างหมดเรี่ยวแรง ทิ้งทุกอย่างที่เป็นเกราะกำบังตัวเองไว้ ทิ้งแม้กระทั่งทิฐิทั้งหมดที่มี

            เพราะผมต้องการแค่กำลังใจจากเขาเท่านั้น..

            โชคดีเหลือเกินที่ผมมีเฟิร์สเข้ามาในชีวิต

 

 

            ทว่าลางสังหรณ์ในใจกลับทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัว

            มันปะทุรุนแรงกว่าครั้งไหนๆ

            พอได้ยินเสียงแว่วมาจากภายในตัวบ้าน มือที่ถือกุญแจก็ยิ่งสั่นเข้าไปอีก

            ต่อให้จะภาวนาแค่ไหนว่าอย่าเป็นอย่างที่คิด

            ก็ดูเหมือนว่าคำขอนั้นจะไม่มีวันเป็นจริง

            “นี่คุณปิดบังผมมาตลอดสามปีเลยเหรอ”

            “ฉันไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้”



            “ลูกหายไปทั้งสองคน ยังจะกล้าพูดแบบนี้ได้ คุณมันบ้าไปแล้ว!”

            “ขอโทษ ฮึก ฉันขอโทษ”

            “ให้ตายเถอะ!”

            เสียงกร้าวตะคอกใส่ด้วยอารมณ์โกรธอย่างรุนแรง ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นม๊าทรุดลงกับพื้นพร้อมกับเสียงร่ำไห้ปานขาดใจ

            “ม๊า..ม๊า” ตรงเข้าไปจับไหล่คนบนพื้นทันที น้ำตาที่ไหลนองหน้าทำให้ผมรู้สึกเจ็บจนอยากจะแบกรับแทน

            “แกมาก็ดีที่หนึ่ง อย่าบอกว่าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เหมือนม๊าแกนะ”

            “…”

            “กล้าปล่อยให้เขาไปได้ยังไง ป่านนี้จะดีจะร้าย เป็นหรือตายก็ไม่รู้ มีอะไรทำไมไม่คุยกันดีๆ นั่นลูกนะคุณ ลูกแท้ๆ!!”

            “คุณจะรู้อะไร”

            นาทีนั้นผมลุกขึ้นยืนไปประจันหน้ากับคนที่มีศักดิ์เป็นถึงพ่ออย่างไม่เกรงกลัว

            และสบตาเขาด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี

            ถึงจะขี้ขลาดมาตลอด...แต่ครั้งนี้ผมคงต้องกำจัดมันทิ้งไป

            “คนที่หายไปเป็นสิบปีอย่างคุณ มีสิทธิ์ที่จะพูดอย่างนี้ด้วยเหรอ”

            “ที่หนึ่ง!”

            “ที่หนึ่ง พอลูกพอ ฮึก”

            “คุณไม่เคยแม้จะเหลียวแล พอกลับมาคุณก็เอาแต่โทษม๊า ทั้งที่ในตอนนั้นคุณก็ไม่ได้อยู่กับพวกผม”

            “…”

            “เพราะคุณก็รักแต่งานของคุณ ไม่เคย...นึกถึงลูก”

            ”พอแล้วที่หนึ่ง ม๊าขอ”

            “คุณไม่เคยเป็นพ่อที่ดีในสายตาผมเลย”

            ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ หันหลังให้กับเขาแล้วพยุงม๊าขึ้นไป

            พอกันที..

            ผมเหนื่อยแล้ว

            ตั้งแต่จำความได้ ก็ไม่เคยเรียกร้องอะไรจากใคร

            แม้อยากจะได้รับความสนใจมากแค่ไหน แต่เมื่อมันถูกแบ่งไปใช้กับพี่ๆที่ผมรัก ผมก็เรียกร้องอะไรไม่ได้

            แปลกดี คนที่ทำตามคำขอทุกอย่างกลับถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เพื่อไปวิ่งตามคนที่มีความฝันเป็นของตัวเอง

            การหายไปของพี่ ผมไม่รู้หรอกว่าตอนนี้พวกเขาไปอยู่ไหน ทำอะไร แต่ผมเชื่อมั่นในทั้งสองคนว่าเขาอยู่ได้ด้วยตัวเอง

            หากจะขอเรียกร้องหรือเห็นแก่ตัวสักครั้งเพื่อให้ม๊าสนใจบ้าง แต่สุดท้ายท่านก็ยังคงพะวงและคิดถึงพี่มาตลอดตั้งแต่วันนั้น โดยใส่ใจผมที่อยู่ข้างๆน้อยลงทุกวัน

            และมันกลายเป็นความชินชาไปแล้ว

            ชินชา...ที่ไม่ได้รับความสนใจ

            มันทิ้งระยะเวลายาวนานจนผมไม่อยากได้อะไรจากท่านอีก

            ไม่เป็นไรหรอก

            ผมยอมรับมันมาได้นานจนมันไม่รู้สึกแล้วล่ะ..

 

            สะดุ้งตื่นมากลางดึก

            ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย มันเป็นอย่างนี้ทุกครั้งเมื่อมีอาการเครียด

            ก้าวเท้าลงมาจากเตียง หวังไปดื่มน้ำอุ่นที่ห้องครัวให้สมองผ่อนคลายกว่านี้

            แต่ก็ได้ยินเสียงแว่วจากห้องตรงข้ามเสียก่อน

            “แล้วจะเอายังไง”

            “…”

            “ผมไม่ยอมให้ลูกหายตัวไปดื้อๆแบบนี้หรอกนะ โอเค ผมก็มีส่วนผิดที่ไม่ได้อยู่ด้วย แต่จะให้หลับหูหลับตาทำเป็นไม่รับรู้ผมทำไม่ได้”

            “ฉันไม่รู้จะไปตามหาพวกเขาที่ไหน เคยลองสืบแล้วแต่ก็ไม่มีวี่แวว”

            “ผมจะลองดูอีกครั้ง”

            “ฉันจะช่วยเต็มที่...มันนานมากพอแล้ว”

            “เลิกคาดหวังกับลูกได้แล้วนะฟ้า ไม่ใช่แค่สองคนนั้น ที่หนึ่งก็เหมือนกัน”

            “ฉัน...”

            “ดูจากวันนี้ก็รู้ว่าลูกรักคุณมาก จนผมละอายใจที่ไม่เคยดูแลเขาเลย”

            ผมหลุบตาลงต่ำ

            จริงๆพอมาคิดดูอีกทีก็พูดแรงเกินไปเหมือนกัน

            “อย่าทำให้เขาผิดหวังในตัวคุณ ดูแลเขาให้ดีๆเพราะคุณคือที่พึ่งสุดท้ายของที่หนึ่ง”

            “ขอบคุณ”

            ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือผู้ชายคนนั้นรวบตัวม๊าเข้าไปกอด

            จึงตัดสินใจหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องนอนเช่นเคย

            พร้อมกับความคิดมากมายที่ทำให้ผมนอนไม่หลับจนเกือบเช้า..







ออฟไลน์ miralchs

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
(ต่อ)





            การตามหาตัวใครสักคนบนโลกที่มีประชากรเป็นพันล้านช่างเป็นเรื่องที่โหดร้าย

            แค่คิดก็มืดแปดด้านแล้ว

            ผมที่มีเพียงแค่ชื่อกับเรื่องราวความฝันของพี่ จะไปเพียงพอในการตามหาได้ยังไง

            วันนั้นม๊าโกรธมาก และโกรธมาตลอด ตั้งคำสัตย์ไว้ว่าถ้าพวกเขาไม่กลับมาเองก็จะไม่ตามหา

            สุดท้าย ความเป็นแม่ก็ทอดทิ้งลูกตัวเองลงไม่ได้อยู่ดี

            แต่ก็สายไปเสียแล้ว เพราะกว่าจะถึงวันนั้น พวกเขาก็ไม่ได้ทิ้งเบาะแสอะไรไว้ให้เลย...

            ลองเสิร์ชข้อมูลโดยใช้ชื่อพี่ก็ไม่พบ ดูเหมือนทั้งคู่จะปิดบังตัวเองเก่งพอสมควร แม้กระทั่งเพื่อนร่วมรุ่นก็ยังไม่รู้ว่าไปไหน

            ยกแขนขึ้นก่ายหน้าผาก ใช้สมองทบทวนเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา

            ไปอยู่ไหนกันนะ

            จะมีความสุขดีหรือเปล่า

            แล้วจะ..ได้ทำตามความฝันของตัวเองหรือยัง

            ถึงจะจากกันด้วยไม่ดี สายตาเมินเฉยในวันนั้นผมยังจำมันได้ขึ้นใจ แต่สุดท้ายก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาก็ยังเป็นพี่ที่ผมยังรักและเคารพอยู่ดี

            “นอนไปบนเตียงเลยก็ได้ เราไม่ว่า”

            “ได้ไงเล่า สกปรกพอดี”

            เฟิร์สยกยิ้มมุมปาก เสียงฉีกกระดาษนั้นทำให้ผมรู้สึกไม่ปลอดภัย

            “เผื่อจะมีกลิ่นติดไว้บ้าง”

            “เฟิร์ส”

            หันไปมองค้อน กดเสียงต่ำให้เกรงกลัวแต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร แถมยังหัวเราะอย่างชอบใจ

            “โวยวายแล้วน่ารักกว่านั่งเงียบๆอีก”

            เชื่อเขาสิ..

            สถานการณ์ที่บ้านไม่ได้ดีขึ้น ไม่สิ ต้องบอกว่าระหว่างผมกับผู้ชายคนนั้นไม่ได้ดีขึ้นต่างหาก

            พอจะรู้ว่าตัวเองมีทิฐิสูงมาจากใคร

            ก็ยังดีที่คนเรามี safe zone เป็นของตัวเอง

            ซึ่งมันกลายมาเป็นพื้นที่ที่มีคนตัวสูงเข้ามาอยู่ด้วยไปแล้ว

            ความฟุ้งซ่านที่เต็มหัว ถูกกำจัดออกไปจนเกือบหมดเมื่อมีอีกฝ่ายเข้ามาพูดคุย เล่าเรื่องประจำวันให้ฟัง รวมถึงมุกตลกที่แสนฝืดแต่ก็ทำให้ยิ้มออกมาได้เสมอ

            “เฟิร์ส”

            “หืม”

            “การที่จะตามหาใครสักคนมันยากหรือเปล่า”

            อีกฝ่ายชะงักมือที่กำลังทำของกีฬาสี ก่อนที่จะหันมามอง

            “ก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นใคร”

            “…”

            “ให้เราเดามั้ย”

            เงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาคมดุ

            แล้วสารภาพออกไป

            “เราอยากตามหาพวกเขา”

            “มีชื่อหรือเปล่า”

            “อื้อ..มีสิ”

            ผมจดชื่อทั้งสองคนใส่กระดาษให้คนตัวสูง

            “มีรายละเอียดนอกจากนี้มั้ย”

            “เรารู้แค่ว่าพี่เอกอยากเป็นนักดนตรี ส่วนพี่วันอยากเข้าวงการ”

            “อ่า...” คนตัวสูงขมวดคิ้วมุ่น “ไม่รู้มากกว่านี้แล้วเหรอ”

            ผมส่ายหัวเป็นคำตอบ นั่นทำให้อีกฝ่ายหัวเราะแผ่วๆ “จริงๆเลยนะ”

            เขาเดินไปคว้าแล็ปท็อปมาเปิด ขยับเข้ามานั่งข้างผม

            “เราลองเสิร์ชแล้ว ไม่เจอ”

            “อือ เดี๋ยวลอง”

            แววตาจริงจังกับนิ้วที่กดลงแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็วทำให้ผมละสายตาไปจากคนข้างๆไม่ได้

            ผมไม่คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะต้องหาเจอ จริงๆแค่นั่งข้างผมอยู่แบบนี้มันก็ดีมากพอแล้ว…

            ทั้งที่มันแทบจะไม่ใช่เรื่องของเขา แต่ก็ยังคอยอยู่ข้างๆ ส่งกำลังใจ และคอยช่วยแก้ปัญหา

            พนันทั้งชีวิตเลย

            ผมคงหาคนแบบนี้..ไม่ได้อีกแล้ว

            “พี่เอกหน้าตาเป็นยังไง”

            “มีตาสองชั้น คิ้วเข้มๆ เวลายิ้มก็จะมีลักยิ้ม ผิวสีแทนหน่อย”

            คนตัวสูงครางรับในลำคอ ยกโทรศัพท์ขึ้นมากดหาอะไรบางอย่าง

            ผมรับของงานกีฬาสีที่ทำค้างอยู่มาทำต่อจนเสร็จ เวลาเดินผ่านไปเรื่อยๆ อากาศเย็นๆทำให้เปลือกตาผมเริ่มจะปิดลง

            แต่ก็สะดุ้งขึ้นเพราะเสียงเรียก

            “ที่หนึ่ง”

            “…”

            “คนนี้หรือเปล่า”

            เอื้อมมือไปรับโทรศัพท์มาดูใกล้ๆ

            และนั่นทำให้ผมตัวชาวาบทันที

            ไม่ผิด...ไปจากที่ผมบอกเลย

            ใช่ ใช่จริงๆด้วย

            “ไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่คนนี้รู้จักกับเพื่อนพี่เรา ชื่อเอกเหมือน...”

            “ใช่..”

            “…”

            “คนนี้แหละ”

            ผมไม่เข้าใจการทำงานของโชคชะตาสักเท่าไหร่

            บางครั้งก็กำหนดชีวิตง่ายๆกลายเป็นเรื่องวุ่นวาย

            แต่บางครั้งก็ใจดีดั่งมอบพรวิเศษให้..

 

 

            อย่างไรก็ตามข้อมูลก็ไม่ได้มากพอที่จะตามหาคนๆหนึ่งเจอได้รวดเร็ว

            ทุกอย่างต้องใช้เวลาเป็นตัวตัดสิน

            เดินมาหยุดสถานที่ตรงหน้าอีกเป็นอีกครั้งที่เก้า ผ่านมาได้กว่าสองอาทิตย์ที่นี่ก็เหมือนจะเป็นเบาะแสเดียวที่หาได้

            คำบอกเล่าจากเพื่อนพี่ของเฟิร์สเป็นเพียงข้อมูลคร่าวๆว่าทั้งสองสบายดีและมีแพลนจะไปต่างประเทศนานแล้ว

            จนถึงตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าไปหรือยัง

            มันคล้ายกับห้องซ้อมดนตรีแต่ก็ปิดทึบจนดูเหมือนไม่มีใครมาใช้งานมาเป็นเวลานาน

            “มาอีกแล้วหรือพ่อหนุ่ม”

            “ครับ”

            ตอบรับคุณตาที่อาศัยอยู่ระแวกนั้น เขาเห็นผมตั้งแต่ครั้งแรกๆที่มา

            “ตาก็อยากช่วยนะ แต่ตาก็ไม่รู้ว่าเขาไปไหน นานได้เกือบเดือนแล้วล่ะ”

            “…”

            “คนสำคัญใช่ไหม”

            “ครับ”

            ผมพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงมั่นคง

            “พวกเขาเป็นคนในครอบครัวผม..”

            ยาวนานจนฝนตั้งเค้า ท้องฟ้าอึมครึมทั้งที่มันยังเป็นช่วงฤดูหนาว

            “กลับเลยมั้ย เดี๋ยวฝนตกก่อน”

            แม้เรื่องราววุ่นวายจะยืดเยื้อมาเกือบเดือน แต่ยังเป็นผู้ชายคนเดิมทุกครั้ง

            ที่อยู่ข้างๆมาจนถึงวันนี้

            รวมถึงเพื่อน

            เพราะเหตุผลนี้ทำให้ผมไม่ได้ติดค้างในใจอะไรกับม๊าหรือพี่ทั้งสองคน

            ถึงมันจะยังเป็นตะกอนขุ่นใต้ก้นบึ้งของจิตใจ แต่วันเวลาจะช่วยปัดเป่าให้มันทุเลาและจางหายไปเอง

            ผมค้นพบความสุขที่มีรอบข้าง จนเลิกคาดหวังอะไรแบบนั้นไป และต่อให้ม๊าจะหันมาสนใจเอาในตอนนี้ ก็คงคิดว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการแล้ว

            “อื้ม”

            แต่ทว่า...

            “ที่หนึ่ง?”

            มันไม่ใช่เสียงจากคนข้างตัว

            “ใช่ที่หนึ่งหรือเปล่า”

            “พี่เอก พี่วัน…”

            คล้ายกับหนังสือที่เปิดกลับมาจนถึงหน้าแรก เพื่อจบบทสรุปสุดท้ายให้ดีที่สุด...

 

            “คุยกันแล้วล่ะ”

            “เจอกันแล้วเหรอครับ”

            “อื้ม เพิ่งไปเจอมาเมื่อกี้เลย”

            “…”

            “…”

            มีเรื่องราวนับร้อยพันที่อยากจะเล่า แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นจากอะไร

            หากที่คิดออกตอนนี้ ก็คงจะมีคำเดียว

            “พี่ครับ”

            “หืม”

 

            “ผม..ขอโทษ”

            เท่านั้น...กำแพงจางๆที่สร้างขึ้นมากั้นก็พังทลายลงภายในพริบตา

            ระหว่างพวกเรา..เป็นสายใยที่ไม่ว่ายังไงก็ตัดไม่ขาด

            “น้อง มา..มาหาพี่”

            อ้อมกอดของทั้งสองคนที่โหยหามานานเกือบสามปี ตอนนี้อยู่ตรงหน้าผมแล้ว

            “ที่หนึ่งไม่เคยผิด ไม่ผิดอะไรเลย เป็นเพราะพวกพี่เอง”

            “อย่าโทษตัวเองอีกเลยนะ”

            มือที่อบอุ่นในตอนนี้ก็ยังคงอบอุ่นเหมือนเดิม

            “เราจะได้เจอกันอีกมั้ยครับ...”

            “ต้องเจออยู่แล้ว”

            “สัญญาว่าจะกลับมา”

            ความรักเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์ผูกพันมากที่สุด

            ตราบใดที่ยังรู้สึก ความผูกพันก็จะยังคงอยู่ต่อไป

 

            “ไว้เราไปเล่นชิงช้าพร้อมกันทั้งสามคนอีกนะ”

 

 

            ผมนั่งมองฝนตกพรำจากป้ายรถเมล์

            สุดท้ายก็ออกมาไม่ทันฝนที่ตกก่อน

            ท่ามกลางหยดน้ำปรอยๆที่แสนน่าเบื่อ วันนี้กลับเป็นวันแรกที่ผมยิ้มได้อย่างสบายใจ

            คนข้างตัวไม่ได้ยกโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเหมือนแต่ก่อน ในเวลานี้พวกเรานั่งเอื่อยๆ ปล่อยให้สายลมพัดโชยกลิ่นดินชื้นให้ผ่านไป

            “เฟิร์ส”

            “หื้ม..”

            ใครคนหนึ่งบอกว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ

            ผมก็ขอให้ทั้งหมดที่มีส่งไปถึงเขาผ่านแววตาคู่นี้

            “เราคงพูดขอบคุณให้ได้ยินจนเบื่อแล้ว”

            “…”

            “ถึงยังไงเราก็จะขอบคุณไปเรื่อยๆจนกว่าจะไม่มีเฟิร์ส”

            “ที่หนึ่ง..”

            ปลายนิ้วชี้เอื้อมไปแตะลงแผ่วเบาที่ริมฝีปากคนตรงหน้า

            เป็นสัมผัสแรกที่ผมให้เขา..

            เฟิร์สบอกทุกอย่างกับผมมาตลอด

            และมันถึงเวลาสักที

            “ขอบคุณนะที่เข้ามาในชีวิตเรา”

            “…”

            “ขอบคุณทุกความรู้สึกที่มีให้”

            “…”

            “ขอบคุณที่คอยอยู่ข้างๆ และ...”

            วันนี้รอยยิ้มตรงหน้าจะสดใสที่สุด...

            “ขอบคุณที่ทำให้เราชอบใครสักคนได้มากขนาดนี้”

            มันไม่เหมือนวันที่ดาวเต็มฟ้า

            เป็นแค่ตรงนี้...กับป้ายรถเมล์เก่าๆ

            มีผนังที่ถูกพ่นสีจนหม่น

            พร้อมทั้งพื้นโคลนที่เปียกแฉะและอากาศที่ไม่เป็นใจ

            ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบเลย

            แต่มันจะกลายเป็นความทรงจำที่สวยงามอีกครั้งหนึ่ง

            “กอดเราแน่นเกินไปแล้ว”

            “ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ”

 

            อย่างที่เคยบอกไปว่าทุกอย่างต้องใช้เวลา

            อาจจะช้าหรือเร็ว

            แต่เมื่อทุกครั้งที่ฝนตกไม่ว่าจะหนักแค่ไหน

            สุดท้ายมันก็จะซาลงจนพบกับท้องฟ้าสีครามอีกครั้ง

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
เป็นเรื่องที่อึมครึมมาตั้งแต่ต้นเรื่อง แต่ก็ละมุนและมีเสน่ห์มากๆ เขียนได้ดีจริงๆ ครับ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ที่หนึ่งได้ปล่อยวางแล้ว สงสารน้อง
กดดันแบกรับอะไรมาตั้งนาน

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ miralchs

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
C h a p t e r   t h i r t e e n  ♥

เป็นคนที่โชคดี


            เหนื่อยมาเกือบปี เพื่อกิจกรรมวันเดียว

            เป็นนิยามของวันกีฬาสีที่ควรจะเปลี่ยนเป็นวันประกวดขบวนพาเหรดหรือวันแข่งสแตนด์เชียร์มากกว่า

            ไม่ได้โฟกัสไปที่กีฬาเลยสักนิด...

            จำได้ว่าตื่นตีสามครั้งสุดท้ายเมื่อตอนไปเข้าค่ายธรรมะ มันเป็นอะไรที่ทรมานน่าดูสำหรับเด็กที่เพิ่งจะอายุไม่ทันได้สิบสามดี

            ถึงยังไงก็ไม่ได้โหดร้ายเท่าตอนนี้

            สแตนด์เชียร์พร้อม เด็กๆมัธยมต้นพร้อม ขบวนพร้อม

            แต่สตาฟม.5 ไม่พร้อม...

            เรียกให้ใกล้เคียงก็คือ จะตายแล้ว

            ที่ผ่านมาเหนื่อยเท่าไหร่ วันนี้ให้คูณไปอีกสิบเท่า อย่าว่าแต่จะให้เดินเลย แค่ยืนนิ่งๆก็จะเซล้มกันระนาว

            สภาพที่กายไม่พร้อมแต่ใจต้องสู้ทำให้ต้องเรียกพลังคืนกลับมาหาตัวเองอีกครั้ง อย่างน้อยถ้าผ่านวันนี้ไปได้ก็ไม่ต้องมีอะไรให้กังวลอีกต่อไป

            ฟ้าที่มืดมิดไร้แสงสว่างกับร่างไร้วิญญาณนับพันมารวมตัวกันหน้าสแตนด์พร้อมกับข้าวของพะรุงพะรัง ประตูโรงเรียนถูกเปิดให้เป็นกรณีพิเศษสำหรับกิจกรรมอันใหญ่หลวงของนักเรียนมัธยม

            อยากจะทรุดลงแล้วนอนไปกับพื้นหญ้าให้รู้แล้วรู้รอด แต่ด้วยหน้าที่ความเป็นหัวหน้าห้องพ่วงด้วยตำแหน่งหัวหน้าสีน้ำเงินที่ค้ำคอไว้อยู่ จะให้ทำตามที่ตัวเองคิดก็จะเกินไป

            มันเป็นการรวมตัวที่เงียบที่สุด ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองด้วยอาการเหม่อลอยคล้ายกับไม่ได้สติ ได้ยินเสียงหาวนับสิบครั้ง เวลาตีสามไม่ใช่เวลาที่สมควรจะมาทำอะไรแบบนี้จริงๆ

            หากจะถามว่าตอนครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ก็คงจะต้องยกนิ้วมานั่งนับชั่วโมงเลยทีเดียว เรียกได้ว่าทุ่มเทกับงานจนวินาทีสุดท้าย

            อิจฉาที่สุดตอนนี้ก็คงเป็นแมวที่กำลังนอนหลับอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ข้างสแตนด์

            ให้ตาย เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ควรได้รับการพักผ่อนด้วยไม่ใช่หรือไง

            ในที่สุดคัทเอ้าท์ที่ใช้เวลาทำกว่าห้าเดือนก็ถูกยกขึ้นไปวางบนสุด โดยมีของตกแต่งวางเรียงรายอยู่หน้าสแตนด์ตามคอนเซ็ปที่ได้รับ

            และร่างของนักเรียนชั้นมัธยมปลายปีสองที่ทรุดลงกับพื้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย..

            “กูเหมือนจะตาย”

            “ไม่ต่างกัน”

            “มึงว่ากูควรจะเลือกไปสวรรค์หรือลงนรก”

            “บาปหนาอย่างมึงก็ไม่น่าถามมั้ง”

            “ไอ้มิก!”

            ไม่ทะเลาะกันสักวันมันคงจะตายแน่ๆ

            ผมปรายตามองผู้ชายสองคนที่นอนล้มลงไปกับหญ้าก่อนจะส่ายหัว แล้วยกวอขึ้นประสานกับฝ่ายอื่นรอบๆ

            เนื่องจากพื้นที่ภายในโรงเรียนค่อนข้างมืดและแสงจากไฟก็ไม่ได้เพียงพอ แถมยังเป็นยามวิกาลที่มีเพียงยามกับคุณครูบางส่วน จึงต้องระมัดระวังอะไรหลายอย่างเพราะถ้าเกิดเหตุอะไรคนที่จะซวยก็ไม่พ้นนักเรียนม.5

            ที่จะโดนหนักสุดก็เป็นเฮดกีฬาสี

            ซึ่งป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้

            เราแยกกันตั้งแต่คืนเมื่อวาน และยังไม่ได้เจอหน้ากันจนถึงตอนนี้ อีกฝ่ายก็ยุ่งไม่แพ้กัน ไหนทั้งจะต้องคุยกับทางโรงเรียน สรุปงบประมาณ เจรจาเคลียร์พื้นที่สำหรับขบวนกีฬาสีอีก

            ก็คง..ไม่ต่างกันนัก

            ท้องฟ้าเริ่มสว่าง ยามเช้าใกล้มาเยือน เสียงพูดคุยเริ่มมีบ้างแต่ส่วนใหญ่ก็เป็นการบ่นกลายๆมากกว่า

            “เหนื่อยโว้ยย เมื่อไหร่จะผ่านไปสักที”

            “อดทนเหอะมึง อีกไม่กี่ชั่วโมงก็หลุดพ้นละ”

            “ที่หนึ่ง ติดต่อเฟิร์สได้ป้ะ โทรหาหลายสายแล้วไม่รับอะ”

            หัวหน้าสีอื่นเดินเข้ามาถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

            “ไม่ได้คุยกันเลย มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

            ผมตอบไปตามตรง บทสนทนาล่าสุดระหว่างผมกับเขาก็ตั้งแต่บ่ายสาม

            “ว่าจะคุยเรื่องขบวน ไม่รู้สรุปว่าจะเอาสีไหนขึ้นก่อนหลังกันแน่ เพราะตอนที่ประชุมวันนั้นก็ให้สีแดงขึ้นก่อนใช่ป้ะ แต่เอาไปเอามาตอนนี้สีส้มบอกจะขึ้นก่อน”

            “ก็ไม่ได้เอาตามที่ประชุมเหรอ”

            “สีส้มแม่งบอกเฟิร์สเปลี่ยนใหม่แล้ว กูก็แบบอะไรวะ วันจริงจะมาเปลี่ยนอะไรอีก แค่นี้ก็วุ่นวายชิบหายแล้วอะ”

            สาบานเลยว่าไม่ได้สนิทกับคนตรงหน้า แต่ด้วยอารมณ์หัวร้อนอาจจะทำให้พลั้งปากพูดออกมาซึ่งผมก็ไม่ได้ถือสาอะไร

            “ใจเย็นๆ ถ้าเรียงตามลำดับสแตนด์ยังไงสีแดงก็ขึ้นก่อน เฟิร์สก็ไม่เห็นพูดอะไรนะว่าจะเปลี่ยน”

            “เออใช่ป้ะ กูงงมาก จะด่ากันตายแล้วมั้ง เฮดก็ดันไม่รับสายอีก จะบ้าตาย”

            “เราขอเบอร์ไว้หน่อย ถ้าติดต่อเฟิร์สได้เดี๋ยวโทรบอก”

            “โอเค ขอบคุณมากๆ”

            ลอบถอนหายใจหลังจากที่เพื่อนต่างสีผละออกไป ผมเห็นเค้าความวุ่นวายอยู่ลางๆตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มงานแล้ว

            พอฟ้าสว่างก็เห็นอะไรชัดขึ้น ความสำเร็จนับหกเดือนอยู่ตรงหน้า เป็นความภูมิใจที่แลกมาด้วยอะไรหลายอย่าง ทั้งกำลังกายและกำลังใจ

            ก็ขอบคุณที่พยายามมาด้วยกัน แม้มีเรื่องราวให้ทะเลาะ ให้ขัดแย้งหรือไม่พอใจกันต่างๆนานา สุดท้ายมันก็ผ่านไปด้วยดี

            กีฬาสีอาจจะไม่ได้ทำให้สามัคคีกันมากขึ้น แต่เชื่อเถอะว่าเราจะเห็นมุมมองของใครหลายคนที่แตกต่างกัน

            และทำให้เข้าใจความคิดแต่ละคนมากกว่าเดิม

            เสียงนาฬิกาบ่งบอกเวลาหกโมงเช้า ร่างกายของผมตอนนี้เหนื่อยและล้ามากเต็มที ความต้องการที่จะพักผ่อนมีมากจนจะสามารถหลับกลางอากาศได้แล้ว

            คงทำได้แค่คิด วันนี้มันยังอีกยาวไกล...

            “ที่หนึ่ง นัดน้องไว้กี่โมง”

            “ประมาณเจ็ดโมง แต่ก็ให้เลทได้นิดหน่อย”

            “มีเบอร์น้องกับผู้ปกครองครบทุกคนป้ะ นี่ก็ไม่ไว้ใจบางคน”

            “มีครบหมด แต่เชื่อเถอะว่ายังไงก็ได้เอาคนไปอุด”

            เรื่องปกติที่จะต้องซ้อมสำรองไว้เผื่อน้องเป็นอะไรกะทันหันหรือไม่มาตามที่นัด

            ก็ม.5 นี่แหละต้องทำทุกอย่าง

            “แล้วติดต่อเฟิร์สได้ยัง”

            ผมส่ายหน้า “ยังไม่ได้โทร”

            “โทรเลย ฝ่ายขบวนแม่งระเบิดลงแล้ว ต้องสแตนบายตอนหกโมงครึ่งเนี่ย”

            ขนาดรองหัวหน้าที่สดใสมาตลอด ในตอนนี้ก็มีสีหน้าไม่สบอารมณ์เช่นกัน

            รอคอยยาวนานจนผมเกือบจะตัดสายทิ้ง แต่ก่อนที่จะได้ทำคนปลายสายก็ดันรับขึ้นมาเสียก่อน

            ‘ครับ’

            ไม่รีรอที่จะยิงตรงคำถามทันที

            “ติดต่อฝ่ายขบวนไปยังอะ ตอนนี้ทะเลาะกันแทบตายแล้ว”

            ‘อ่า..เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องห่วง’

            “แล้วฝั่งนั้นว่าไงบ้าง”

            ‘เหมือนสีส้มเข้าใจผิดอะ แต่เราก็พูดไปชัดเจนแล้วนะ’

            ผมหันไปพยักหน้าให้เกดเป็นเชิงว่าไม่มีอะไรแล้วเพื่อให้สบายใจ

            “โอเค แล้วมีปัญหาอะไรให้ช่วยมั้ย”

            ‘ไม่มีแล้วครับ’

            ผมเงียบไปสักพัก ก่อนจะถามขึ้น

            “อยู่ไหนอะ” / ‘อยู่ไหน’

            ให้ตายเถอะ มาใจตรงกันอะไรเอาตอนนี้

            ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากปลายสาย

            “อยู่สแตนด์”

            ‘ให้ทายว่าเราอยู่ไหน’

            “โรงเรียน” ตอบไปอย่างไม่ได้คิดอะไร

            อีกฝ่ายหัวเราะอีกครั้ง แล้วกดตัดสาย

 

            “อยู่ในใจที่หนึ่งต่างหาก”

            เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างๆหู ผมหันไปมองด้วยอารามตกใจก่อนจะทุบแขนอีกฝ่ายไปที

            “เล่นอะไรเป็นเด็กไปได้” บ่นอุบอิบเมื่อคนตัวสูงยังคงอมยิ้มราวกับไม่รู้สึกผิด

            วันนี้เขาใส่ชุดลำลองสบายๆกับเสื้อสตาฟสีน้ำเงิน และเซ็ตผมขึ้นอีกแล้ว

            หมั่นไส้...

            แค่ในชุดนักเรียนเสียงกริ๊ดก็ดังเป็นนกหวีด พอแต่งตัวแบบนี้ใจคอไม่คิดจะให้รุ่นน้องผู้หญิงพักเลยหรือยังไงกัน

            “หล่ออ่ะดิ จ้องไม่กะพริบเลย”

            ไอ้คนหลงตัวเองเอ้ย

            ผมแสร้งเบ้ปากนิดๆก่อนจะทำเป็นเดินหนีไปทางอื่น

            “แต่ก็หล่อให้ที่หนึ่งมองคนเดียวนะ” เสียงทุ้มพูดไล่หลังมาจงใจทำให้คนแถวนั้นได้ยิน และแน่นอนเสียงโห่แซวก็ดังเกรียวกราวขึ้นมาทันที

            “รำคาญญญญ”

            “เหม็นความรักโว้ยยยยย”

            “อย่ารังแกหัวหน้าห้องกู๊”

            อายจนแทบจะเอาหน้ามุดดินอยู่แล้วเถอะ!

            ผมเดินสำรวจนู่นนี่เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยให้พร้อมสำหรับการแข่งขันสแตนด์เชียร์ที่จะมาถึง ก่อนทรุดนั่งลงกับพื้นหญ้าแถวนั้น กับอีกคนที่เดินมานั่งตามติดๆ

            “มึงจะห่างกันไม่ได้เลยดิ”

            เต้เอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าเหม็นเบื่อเต็มที นั่นทำให้คนข้างผมยิ่งชอบใจ

            “ที่หนึ่งทำเสน่ห์ใส่เรา”

            “เสน่ห์บ้าอะไร” ผมหันไปพูด

 

            “ให้รักให้หลง”

            “โอ้ย กูไม่อยู่ละ รำค๊าญ ไปไอ้มิกลุก!”

            “ฮ่าๆๆๆ”

            กลายเป็นตรงนี้มีผมนั่งอยู่กับเขาสองคน เพราะคนอื่นๆก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่อื่นรวมถึงกลับไปอาบน้ำ เอาของนู่นนี่มาเตรียมไว้สำหรับวันนี้

            เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างหนึ่งคือกีฬาสีจัดขึ้นในช่วงฤดูหนาว ไม่งั้นก็ไม่อยากจะคิดสภาพตอนเป็นหน้าร้อน คงได้ถูกเผาตายกลางสแตนด์ก่อน

            “เหนื่อยหรือเปล่า”

            หันไปถามคนตัวสูง ถึงวันนี้เขาจะดูดีกว่าทุกวัน แต่รอยคล้ำใต้ตาก็ยังปิดบังความอิดโรยนั้นไม่มิดอยู่ดี

            “เหนื่อยมาก”

            “อื้อ เดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว”

            “อยากชาร์จแบต…”

            ผมขมวดคิ้ว มองรอบๆก็มีแต่ต้นไม้กับผืนหญ้า จะไปหาปลั๊กเอาที่ไหน

            แต่พอหันไปเจอแววตาทะเล้นกับลักยิ้มข้างแก้มของอีกฝ่ายก็เหมือนจะรู้ว่าโดนหลอกอีกแน่ๆ

            “ไม่ต้องเลย”

            “นิดเดียวก็ไม่ได้เหรอ”

            “…”

            “นะ”

            ฮึ่ย

            ก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองกลายเป็นที่แพ้ลูกอ้อนของคนตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีก็กลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่แล้ว

            พลันก็รู้สึกถึงความอบอุ่นสอดประสานเข้ามาระหว่างนิ้ว ก่อนที่จะกุมไว้แน่นขึ้น

 

            “ชาร์จพลังงานได้เต็มร้อยเลย...”

 

            เสียงทุ้มกระซิบพัดผ่านมาพร้อมสายลม

            กับใบหน้าร้อนๆที่ไม่ได้เข้ากับอากาศหนาวเลยสักนิดเดียว






            ได้เวลาลงนรกอย่างแท้จริง

            “น้อง เต็มที่กว่านี้!! เอาให้สุด วันนี้วันเดียว!!”

            “เดี๋ยวก็จบแล้ว อดทนไว้ก่อน!”

            คาดว่าหลังจากนี้ยาอมแก้เจ็บคอคงจะขายดีแน่นอน

            สตาฟต่างตะเบ็งเสียงเพื่อสร้างความฮึกเหิมให้แก่น้องๆ เครื่องดื่มชูกำลังถูกวางเรียงรายไว้อย่างไม่ต้องสงสัย ที่ยังเป็นมนุษย์อยู่ได้จนถึงพระอาทิตย์กลางหัวก็ต้องขอบคุณพลังงานจากพวกนี้ทั้งนั้น

            คำปลอบใจที่ว่าเดี๋ยวมันก็จะผ่านไปคงใช้ไม่ได้ผล เวลาทุกวินาทีนับจากตอนเช้าช่างผ่านไปเชื่องช้าราวกับโชคชะตากลั่นแกล้ง

            ไม่เพียงแต่รุ่นพี่ม.5 ที่จะไม่ไหว น้องมัธยมตัวเล็กๆก็เริ่มจะประคองตัวเองไว้ไม่อยู่เหมือนกัน

            อากาศไม่ได้ร้อน ออกจะเย็นด้วยซ้ำ แต่ด้วยระยะเวลาที่ยิงยาวมาตั้งแต่เก้าโมงเช้าก็ไม่แปลกเลยที่น้องจะไม่ให้ความร่วมมือแล้ว

            เด็กหลายคนเริ่มกระสับกระส่าย บางส่วนก็เป็นลมจนต้องเรียกฝ่ายปฐมพยาบาลกันให้วุ่น

            ผมที่เคยผ่านมันมาย่อมเข้าใจดีว่ามันทรมานมากแค่ไหน

            แต่ก็อยากให้อดทน

            “น้อง ฟังพี่นะ”

            ตัดสินใจยกโทรโข่งขึ้น แล้วพูดบางอย่างออกไป

            “ขอบคุณน้องมากๆที่เชื่อฟังมาตลอด ขอบคุณที่ไว้ใจและเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมนี้ พวกพี่ดีใจมากเลยที่เราได้มารู้จักกัน”

            เด็กๆเงียบลงอย่างเชื่อฟัง

            “แล้วรู้หรือเปล่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่พวกพี่ได้นำหน้าที่ของการเป็นสตาฟและเป็นวันสุดท้ายที่น้องจะได้มาขึ้นสแตนด์เชียร์”

            “…”

            “ในอนาคตน้องก็จะมาอยู่ในจุดที่พี่กำลังยืนอยู่ ดังนั้นวันนี้จะเป็นวันเดียวและวันสุดท้ายที่น้องจะได้ทำ เพราะมันจะไม่มีอีกแล้ว”

            “…”

            “อีกไม่กี่ชั่วโมงมันก็จะผ่านไป แต่เชื่อมั้ยว่าถ้าน้องโตขึ้นน้องจะต้องคิดถึงวันนี้มากแน่ๆ”

            “…”

            ผมไม่ใช่เป็นคนที่พูดเก่ง แต่บางสถานการณ์มันก็เป็นหน้าที่ที่เราจะต้องทำ

            แต่ครั้งนี้มันจะเป็นการพูดออกมาจากใจ

            พร้อมกับคลี่ยิ้มบางๆให้กับน้องบนนั้นทุกคน

            “มาทำให้มันดีที่สุดนะ”

            มันไม่ใช่แค่ครั้งแรกของน้อง แต่ก็เป็นครั้งแรกของรุ่นพี่ทุกคนด้วยเช่นกัน

            ไม่เคยได้มาทำอะไรแบบนี้มาก่อน ไม่เคยได้รับรู้ว่ามันยากและลำบากแค่ไหน

            พอได้มาสัมผัสก็อยากจะให้มันออกมาดีที่สุด..

            “สู้ไปด้วยกันนะน้อง!!”

            “เฮ้!!”

            การให้กำลังใจดูเหมือนจะเป็นสิ่งเล็กๆแต่กลับให้พลังที่ยิ่งใหญ่

            สตาฟเดินเข้าไปสำรวจพื้นที่นั่งของน้องเพื่อรอบแข่งขันต่อไป ผมวางโทรโข่งลงก่อนที่จะเข้าไปช่วยคนอื่นๆ

            จัดที่จัดทางพลางส่งน้ำ คอยพัด เช็ดเหงื่อให้ตลอด น้องบางคนหน้าแดงไปหมดแต่ก็ยังยิ้มสู้

            เป็นภาพที่น่าประทับใจจนอยากถ่ายรูปเก็บเอาไว้

            ผมรีบเดินลงมาจากสแตนด์เมื่อเสียงประกาศการแข่งขันดังขึ้น

            และเพราะความรีบทำให้สะดุดกับเชือกกั้นระหว่างที่นั่งทันที

 

            “ระวังหน่อย”

            แต่ข้อมือก็ถูกดึงไว้โดยคนที่คุ้นเคยไว้อย่างทันท่วง น้ำเสียงทุ้มเอ่ยแกมดุก่อนปล่อยมือออก

            “ทำไมมาอยู่นี่” ถามด้วยความสงสัยเพราะอีกคนควรจะไปอยู่ที่กองอำนวยการ

            “เราอยู่สีน้ำเงิน”

            คำตอบทำให้ผมหุบปากฉับแล้วไม่ถามอะไรต่ออีก

            กวนตีนจริงๆ

            และนั่นทำให้คนตัวสูงยกยิ้ม โน้มใบหน้าลงมาด้วยแววตาเจ้าเล่ห์

 

            “แล้วก็อยากมาหาคนที่อยู่สีน้ำเงินด้วย”

 

            โอ้ย ผมไม่พูดกับเขาแล้ว

            “กลับไปอยู่กองอำนวยการเลย!”

            “ฮ่าๆๆ”

            หยอดได้หยอดดี ที่บ้านทำขนมไทยขายหรือไงกัน!


 





ออฟไลน์ miralchs

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
(ต่อ)




            ในที่สุดเวลาที่แสนทรมานก็จบสิ้นลง

            เด็กๆแยกย้ายกันกลับอยากรวดเร็ว

            ส่วนสตาฟ...ยังมีชีวิตอยู่ก็เกินพอแล้ว

            หลังจากช่วยกันเก็บของทุกอย่างออกจากสแตนด์ที่ใช้เวลานับกว่าชั่วโมง เด็กห้องสิบสองก็มานอนกองแผ่หรากันอย่างเหนื่อยอ่อน

            ไม่น่าเชื่อว่าจะมีวันนี้ หลังจากอยู่กับมันมาหกเดือนเต็มๆ

            ต่อไปก็คงหวนกลับมาคิดถึง ถึงมันจะเหนื่อย มีเรื่องราวมากมายแต่ก็พูดได้เลยว่าไม่มีกิจกรรมไหนที่ได้มีส่วนร่วมกับเพื่อนเยอะเท่าวันนี้อีกแล้ว

            พอขึ้นม.6 ก็จะกลายเป็นเรื่องอนาคตของแต่ละคน และอาจจะไม่ได้ทำอะไรด้วยกันเหมือนเดิม

            อา ความผูกพันมีอิทธิพลกับผมมากจริงๆ

            หันไปมองรอบตัว ก็ไม่พบแม้แต่เงาของร่างสูง

            กิจกรรมจบลงแล้ว ทำไมถึงไม่อยู่ที่นี่กัน...

            “มึง พวกมึงๆๆ ลุกๆๆ ห้องเรามีแข่งบาสวันนี้” เสียงพรวดพราดของคนหนึ่งดังขึ้น ทำให้คนที่กองอยู่รอบๆรีบผุดลุกรวดเร็ว

            “เอ้า ทำไมกูเพิ่งรู้”

            “กูก็สงสัยอยู่ว่าผู้ชายบางกลุ่มไปไหน คือไปแข่งเหรอวะ”

            “เออ เหมือนแข่งรอบนอก ป้ะลุกๆๆ ไปเชียร์ให้ชนะ”

            เหมือนได้รับคำตอบให้กระจ่าง ถ้าสังเกตดีๆก็จะไม่เห็นกลุ่มเฟิร์สเลยสักคน

            ไม่ใช่แค่เพื่อนคนอื่นไม่รู้ ตัวผมเองก็ไม่รู้ด้วยเช่นกัน

            ไปแอบลงแข่งตอนไหนนะ

            “ไปมั้ยครับคุณหัวหน้าห้อง” เต้เดินเข้ามาสะกิด

            “ก็ไม่น่าถามหรอกมั้งงง”

            เสียงลูกแพรเอ่ยทัก มือบางตะปบเข้าไหล่ทั้งสองข้างของผม พร้อมกับรอยยิ้มเลศนัย

            น่าจะให้เป็นหลีดไปตลอดทั้งวันจริงๆ

            ทำเป็นไม่สนใจเสียงแซวที่นับวันเริ่มจะหนักขึ้นตลอด

            นั่นแหละ...สุดท้ายผมก็ลุกขึ้นเดินไปสนามบาสอยู่ดี

 

            “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด”

            “เบอร์หนึ่งหล่อมากกกกกกกกก โอ้ย ใจกู๊”

            เดาไม่ผิดไปจากที่คิด

            เสียงกริ๊ดระนาวจนผมต้องนิ่วหน้า เอาเข้าจริงก็ไม่ชอบสถานที่แบบนี้เท่าไหร่ นอกจากจะเสียงดังแล้วยังแออัดไปด้วยผู้คนเต็มขอบข้างสนาม

            ส่วนสูงที่ไม่ปรานีแม้จะเป็นผู้ชายก็ตาม ทำให้ผมต้องเขย่งเท้าขึ้นสุดเพื่อให้เห็นภาพตรงหน้า กวาดสายตาหาคนที่ต้องการพบ

            แล้วก็เจอทันที...

            “พี่เฟิร์สหล่อมากกกกก ไม่ไหว ไม่ไหวจริงๆ”

            เขาโดดเด่นออกมาราวกับมีสปอร์ตไลท์ฉายตามตัว หยาดเหงื่อที่เกาะบนผิวกายไม่ได้ทำให้อีกคนดูดรอปลงไปเลยสักนิด กลับกันมันยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้มากขึ้นไปอีก

            ไม่ไหว..ผมมองเขาตรงๆไม่ได้เลย

            การแข่งขันยาวไปเรื่อยๆ สกอร์ทั้งสองฝั่งที่ไล่ตามกันอย่างสูสียิ่งทำให้บรรยากาศครื้นเครง เสียงโห่เชียร์ดังก้องสนาม ผู้คนเบียดเสียดเข้ามา จนผมที่ทรงตัวไว้ไม่ไหวจึงยอมล่าถอยออกมาแต่โดยดี

            ไม่ใช่สถานที่ที่ควรอยู่เลยจริงๆ

            ถ้าไม่ติดว่ามีอีกคนลงแข่งผมลงไม่มีวันเฉียดเข้าใกล้

            “แม่ง เฟิร์สขี้เก๊กชิบหาย เด็กน้อยแข้งขาอ่อนระทวยหมดแล้วมั้ง” ลูกแพรพูดเหน็บด้วยความหมั่นไส้

            ก่อนที่แขนบางๆจะพาดมาที่ไหล่ผม

            เอียงคอหนีเพราะอยากออกไปเต็มที แต่เหมือนเพื่อนสนิทจะไม่เข้าใจ ลูกแพรมองหน้าผมนิดหน่อยแล้วเผยรอยยิ้มชวนขนลุกออกมา

            “แต่อยากเห็นปฏิกิริยาว่ะ...ที่หนึ่ง โทษนะ!” สิ้นสุดคำพูด คนตัวสูงเท่าๆก็ออกแรงผลักผมออกไปข้างหน้าสุดของขอบสนาม ผมหน้าเหวอ ตกใจจนเกือบจะหันไปด่า พอสติได้คิดจะหันหลังกลับก็ไม่ทันเพราะแถวก็โดนเบียดเข้ามาเรื่อยๆ

            ลอบมองเห็นอีกคนโบกมือยิ้มให้ก็อยากจะแยกเขี้ยวใส่สักที

            อย่าให้เจอพี่ซันนะ ผมจะเอาคืนไม่ยั้ง

            ต้องยอมดูต่อไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งมาอยู่ใกล้ระดับนี้ก็แทบจะลมจับ ห่างจากสนามออกมาแค่นิดเดียว ไม่รู้ว่าลูกบาสจะกระดอนมาโดนหน้าเมื่อไหร่

            เอาตัวเองมาเสี่ยงในพื้นที่อันตรายชัดๆ

            แต่ก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่าตรงนี้ผมเห็นเฟิร์สได้เต็มสองตา

            และเห็นด้วยว่าอีกฝ่ายกำลังจะวิ่งมาใกล้

            จังหวะที่อีกคนวิ่งเฉียดเข้ามาใกล้ขอบสนาม สายตาคมดุก็หันมาสบสายตากับผมตรงนั้นพอดี

            มันเป็นเพียงเสี้ยววิ

            แต่ใจผมดันสั่นไหวจนแทบคุมไม่อยู่



            ฟุ่บ! ตึ้ง!

            ปิ๊ดดดดดด

            “สีน้ำเงินชนะ!”

            “เฮ้!!!”

            การแข่งขันจบลง สีน้ำเงินพลิกกลับมาเป็นฝ่ายชนะอย่างหวุดหวิด กองเชียร์ข้างสนามแทบจะลุกขึ้นมาเต้นอย่างดีใจ

            เอาล่ะ ผมควรจะออกไปจากตรงนี้ได้แล้ว

            รีบก้าวถอยออกมา ตบหน้าตัวเองเบาๆเพื่อเรียกสติ อากาศตรงนี้กับข้างในช่างแตกต่างกันอย่างลิบลับ

            สายตาบังเอิญเห็นร้านน้ำตรงหัวมุม พลันก็นึกถึงคนข้างในสนาม

            ซื้อไว้ก็คงไม่เสียหายอะไร..

 

 

            ห้องน้ำชายตอนนี้เงียบสนิทราวกับป่าช้า

            คงเพราะส่วนหนึ่งทยอยกลับบ้านกันหมดแล้ว คนที่เหลืออยู่ก็นั่งติดข้างสนามกัน ดังนั้นรอบอาคารหรือสถานที่อื่นๆก็เรียกได้ว่าวังเวงเลยทีเดียว

            สภาพตัวเองกระจกตอนนี้ดูไม่จืดเลย

            เงาสะท้อนใบหน้าของคนที่ไม่ได้พักผ่อนมายี่สิบสี่ชั่วโมงเต็มๆก็คงไม่ต้องบอกว่าอาการหนักแค่ไหน

            ส่ายหัวอย่างปลงๆ พรุ่งนี้ก็คงต้องขอตื่นสายกว่าเดิมสักหน่อย ไม่งั้นได้จบชีวิตลงตั้งแต่ยังไม่ทันบรรลุนิติภาวะแน่

            เสียงรองเท้ากระทบพื้นท่ามกลางความเงียบ ทำให้ผมรีบหันไปมองด้วยสัญชาตญาณ ก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก พลางหรี่ตามองอย่างขุ่นเคือง

            “ถ้าเป็นผีเราจะแช่งไม่ให้ผุดไม่ให้เกิดเลย”

            “ผีอะไรหล่อขนาดนี้”

            ผมนับคำว่าหล่อที่หลุดออกมาจากปากเขาวันนี้ได้เป็นครั้งที่สามแล้ว

            คนตัวสูงเดินมาหยุดข้างๆ เปิดก๊อกวักน้ำใส่หน้าจนพอใจ

            มือหนาเสยผมชื้นๆของตัวเองขึ้น ดวงตาคมดุหลุบมองขวดน้ำในมือแล้วเลื่อนขึ้นมาสบตายิ้มๆ พลางก้าวเท้าเข้ามาใกล้ จนปลายเท้าเราชิดกัน

            ให้ทายว่าวันนี้ผมใจเต้นไปกี่รอบ..

            “น้ำคงไม่ได้ซื้อมาให้ตัวเองดื่มหรอกใช่มั้ย”

            “เปล่า เราซื้อให้ตัวเอง”

            พออยู่ด้วยกันนานๆก็ซึมซับความกวนประสาทจากอีกฝ่ายมาได้มากขึ้น

            เสียงหัวเราะแผ่วเมื่อเขามองเห็นว่าพลาสติกยังไม่ได้ถูกแกะ

            “งั้นขอได้เปล่า”

            “…”

            “…”

            “เป็นใครถึงจะมาขอเราง่ายๆ” ผมยังคงเล่นลิ้น โดยไม่รู้ว่าตัวเองจะโดนหมัดฮุกสวนกลับ..

 



            “เป็นแฟน”

 

            ความร้อนลามจากใบหูมาที่แก้มทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว ซ้ำคนตัวสูงยังโน้มตัวลงมาใกล้เรื่อยๆ ผมรีบก้มหน้าชิดอกด้วยความอาย ก่อนผลักไหล่อีกฝ่ายให้ถอยไปทันที

            เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องพูดออกมาโต้งๆเลยนี่

            “อ..เอาไปเลย!” อยากจะปาใส่แทบบ้า แต่ก็ทำได้แค่ยัดใส่มือเร็วๆ

            “แก้มแดงแปลว่าเขิน”

            ยังจะพูดอีกเหรอ!

            “เราร้อนต่างหาก ถอยไปเลยนะ”

            เงาในกระจกสะท้อนรอยยิ้มกว้างจนตาปิดของอีกคน แม้ว่าจะผลักไสแค่ไหนก็เหมือนจะไม่สะทกสะท้านสักนิด แถมยังวอแวไม่เลิก จนผมเหนื่อยที่จะหนี

            ความสัมพันธ์ที่ขยับขึ้นมาเป็นอีกขั้นทำให้ระยะห่างระหว่างเราเริ่มสั้นลงทุกที เขาแสดงออกมากกว่าเดิมชนิดที่ไม่ให้พัก การรุกคืบเข้ามาในหัวใจส่งผลต่อความรู้สึกอย่างรุนแรงจนไปไหนไม่รอด

            บางครั้งก็ดุเหมือนพี่ชาย บางวันก็ขี้อ้อนราวกับน้องเล็ก

            แต่ทุกสิ่งที่เป็นเขา...มัดใจผมไว้ได้อย่างแน่นหนาจริงๆ

            เราต่างมองอีกคนผ่านกระจกด้วยหลายความรู้สึก แววตาอบอุ่นของเขายิ่งทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นน้ำที่จะระเหยกลายเป็นไอ

            คนตัวสูงขยับเข้ามาใกล้จากข้างหลังจนรับรู้ได้ถึงลมหายใจ ผมยืนนิ่ง ไม่ได้ถอยหนี

            จนสัมผัสได้ถึงปลายคางที่วางเกยบนไหล่

            ไม่ทำอะไรมากไปกว่านั้น เขาแค่ค้อมต่ำลงมาแต่มือทั้งสองข้างก็ยังล้วงกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม

            เพียงเท่านี้หัวใจก็ทำงานหนักเกินพอแล้ว

            สายตายังจับจ้องมาที่ผมผ่านกระจกราวกับจะมองให้ทะลุปรุโปร่ง

            คิดจะเล่นเกมจ้องตาอยู่หรือเปล่า..

            ผมยังยืนนิ่งไม่ไหวติง

            ขืนก้าวถอยหลังอีกแค่ก้าวเดียวก็ได้ชนเข้ากับอกอีกฝ่ายแน่นอน

            ผ่านมานับนาที ผมละสายตาออกอย่างยอมแพ้ มากกว่านี้ก็กลัวจะได้ทรุดลงไปกับพื้นก่อน

            คนตัวสูงยกยิ้มมุมปาก กลับไปยืนตัวตรงเหมือนเคย

            “รู้มั้ยว่าเราเห็นอะไร”

            ผมส่ายหัว

            เขาพิงสะโพกกับเคาน์เตอร์อ่างล้างมือ สัมผัสจากปลายนิ้วที่เอื้อมมาทัดปอยผมสร้างความสั่นไหวขึ้นในใจ

            “เห็นความสุข”

            “…”

            “เราไม่เคยเชื่อในเรื่องโชคหรือลิขิตอะไรมาก่อนเลย”

            “อื้อ..”

            เรากอดกันเยอะขึ้น

            และแต่ละครั้งก็ให้ความรู้สึกต่างกันออกไป

            ..เหมือนกับตอนนี้

            “แต่พอได้เจอที่หนึ่ง”

            “…”

            “เราก็ได้รู้จักคำว่าโชคดี”

            “…”

            “และได้รู้ว่าตัวเองโชคดีที่สุดเมื่อได้รัก..”

            อีกฝ่ายผละออกไปแล้ว แต่เสียงทุ้มนั้นยังคงดังก้องอยู่หัวคล้ายกับกรอเทปวนซ้ำเรื่อยๆ

            และแทบกลั้นลมหายใจเมื่อริมฝีปากแตะลงที่ปลายจมูกอย่างแผ่วเบา

            “ขอบคุณที่เข้ามาเป็นโชคดีให้เรา”

 

 

            “โชคดีของเราเหมือนกัน..”

 

            โชคดีที่ได้เป็นคนสำคัญสำหรับคนๆหนึ่ง

            ที่ผมจะไม่มีวันปล่อยมือ



____________________________
#เป็นที่หนึ่ง
ฝากให้กำลังใจทั้งคู่ไปด้วยกันนะคะ : )
[/b]

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
โอ้ยคู่รักหวานฉ่ำแห่งปี อิอิ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด