พิมพ์หน้านี้ - F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: miralchs ที่ 10-03-2018 07:04:13

หัวข้อ: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: miralchs ที่ 10-03-2018 07:04:13
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม






#เป็นที่หนึ่ง



Open ♥ | 10   M a r c h   2018

Close ♥ | --------------------------

keep going ;}




____________________________________________

ถ้าผมเป็นดาวศุกร์

เขาก็คงเป็นโลกใบนี้

เป็นที่หนึ่ง, 2018

____________________________________________


• ส า ร บั ญ •

prologue (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66466.msg3802276#msg3802276)
Chapter  one✿  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66466.msg3821347#msg3821347)  Chapter  two✿ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66466.msg3821352#msg3821352)
Chapter  three✿  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66466.msg3821644#msg3821644) Chapter  four✿  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66466.msg3822016#msg3822016)
Chapter  five [1]✿  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66466.msg3822152#msg3822152) Chapter  five [2]✿  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66466.msg3822392#msg3822392)
Chapter  six✿  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66466.msg3823010#msg3823010)  Chapter  seven✿ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66466.msg3823338#msg3823338)
Chapter  eight✿ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66466.msg3823818#msg3823818) Chapter  nine✿ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66466.msg3824379#msg3824379)
Chapter  ten✿ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66466.msg3824895#msg3824895) Chapter  eleven✿ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66466.msg3825863#msg3825863)
Chapter  twelve✿ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66466.msg3827124#msg3827124) Chapter  thirteen✿ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66466.msg3827797#msg3827797)
Chapter  fourteen✿ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66466.msg3828962#msg3828962) Chapter  fifteen✿ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66466.msg3829465#msg3829465)
Chapter  sixteen✿ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66466.msg3830367#msg3830367) Chapter  seventeen✿ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66466.msg3832211#msg3832211)Chapter  eighteen✿ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66466.msg3832758#msg3832758)
epilogue (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66466.msg3833426#msg3833426)







 
หัวข้อ: Re: m y F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: miralchs ที่ 10-03-2018 19:12:36
p r o l o g u e ♥



             ผมชื่อ ‘ที่หนึ่ง’

            ชื่อจริงว่า ‘เป็นที่หนึ่ง’

            ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดผมเป็นอันดับแรกเสมอ

            เป็นเด็กสายวิชาการ สายกิจกรรม เด่นในทุกวิชา จนได้รับความเอ็นดูจากคุณครู ได้รับความสนใจจากเพื่อนๆ

            ไม่ได้เป็นคนที่ฉลาดจากพรสวรรค์ แต่มั่นใจว่าความขยันและความตั้งใจของผมมีมากพอที่จะสู้คนพวกนั้นแน่นอน

            ผมมั่นใจมาตลอด จนกระทั่ง…
           

            ‘เราเฟิร์สนะ’

            ‘...’

            ‘เพิ่งย้ายมา ยินดีที่ได้รู้จัก’

            รอยยิ้มของคนหน้าชั้นทำให้ผมนิ่งไป

            รวมถึงดวงตาสีนิลที่เป็นประกายคู่นั้น

            นับตั้งแต่วันที่ผมได้รู้จักเขาจนถึงวันนี้ ทำให้ผมรู้ว่า

            หากความมั่นใจของผมมีเต็มร้อย

            เขาก็จะนำหน้าผมไปหนึ่งก้าวเสมอ...

           
            ‘เฟิร์สที่แปลว่าที่หนึ่งเหรอ’

            ‘ใช่แล้ว’

            เพื่อนๆในห้องต่างให้ความสนใจกับนักเรียนใหม่ที่เข้ามากลางเทอม

            เขาเป็นจุดเด่น ท่ามกลางวงล้อม เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยที่ดังขึ้นมาเป็นระลอกทำให้ผมแอบเงยหน้าขึ้นไปมอง

            กับจังหวะที่เขาคนนั้นหันมาสบตาพอดี

            ‘อย่างนี้ก็ชื่อเหมือนที่หนึ่งเลยดิ หัวหน้าห้องเราอะ’

            ‘...’

            เขาไม่ได้ตอบอะไรเพื่อนคนนั้นกลับไป

            แต่ยิ้มให้ผมที่อยู่ห่างไกลจากจุดนั้น

           

            ถ้าผมเป็นดาวศุกร์

            เขาก็คงเป็นโลกใบนี้     

 

            ‘ครูจะคัดคนไปแข่งขันวิชาการ’

            เสียงซ่อกแซ่กจอแจเริ่มเงียบลงเมื่อคุณครูประจำวิชาเคมีเอ่ยขึ้น

            ‘แข่งคนเดียว และครูหวังว่าห้องนี้จะส่งตัวแทนไปคัดกับห้องอื่นๆ’

            ‘ที่หนึ่งไงครับ ไม่ต้องคัดเลย ได้ชัวร์’

            เสียงเพื่อนคนหนึ่งเสนอขึ้น ก่อนที่คนอื่นจะพยักหน้าเห็นด้วย ผมเงยหน้ามองคุณครูที่อยู่หน้าชั้น แล้วก้มกลับไปอ่านหนังสือเงียบๆ

            มีคนรักก็ต้องมีคนชัง ผมเชื่ออย่างนั้น

            และคุณครูที่อาจรู้สึกกับผมเป็นอย่างหลัง

            เป็นเรื่องราวที่ไม่อยากใส่ใจเท่าไหร่ แต่อดสงสัยไม่ได้ทุกทีว่าทำไมเหตุการณ์แค่วันเดียวถึงส่งผลให้มาเป็นความรู้สึกถึงทุกวันนี้

            ‘ไม่มีคนอื่นบ้างหรือไง จะขึ้นม.5 กันแล้วจะเข้ามหา’ลัยก็ต้องมีผลงานกันบ้าง ไม่ใช่ป้อนให้แค่คนๆเดียว’

            ทั้งห้องเงียบ จนกระทั่งมีสมาชิกคนหนึ่งยกมือขึ้น

            ‘ผมขอไปคัดครับ’ เสียงทุ้มเอ่ยกับคุณครู

            ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน

            คนที่ชื่อความหมายเดียวกับผมนั่นแหละ

            เสียงฮือฮาดังขึ้น ผมได้ยินเสียงกริ๊ดจากแก๊งค์ผู้หญิงจากทางด้านหลังพร้อมทั้งกับเสียงปรบมือเกรียวกราวของผู้ชาย

            ‘เด็กใหม่งั้นเหรอ ชื่ออะไรล่ะเรา’

            ‘เฟิร์สครับ’

            ‘งั้นก็ดี เปลี่ยนคนซะบ้าง หลังเลิกเรียนไปพบครูที่ห้องหมวดวิทย์นะ’

            ‘แต่ครูครับ ผมขออย่างหนึ่ง’

            ทันใดนั้นดวงตาคมก็หันมาสบตากับผม

            ‘ผมขอให้ที่หนึ่งไปคัดด้วย’

 

           การประกาศสงครามระหว่างเราครั้งแรก

           กับสายตามุ่งมั่น ที่ผมไม่เคยลืม

 

 

            เวลาบ่ายสามตรง ผมเก็บของใส่กระเป๋า รวบปึกชิ้นงานหนาที่เป็นหน้าที่ของหัวหน้าต้องเอาไปส่ง ลูกแพรเสนอเข้ามาช่วย แต่ปฏิเสธไป เพราะรู้ว่าเพื่อนสนิทต้องรีบไปเรียนวันนี้

            จะบอกว่าเรียนเก่งแล้วเพื่อนน้อยเหมือนในนิยายหรือในหนังก็คงไม่ใช่ ผมมีเพื่อนเป็นกลุ่มใหญ่เหมือนเด็กมัธยมทั่วไป มีอะไรก็ปรึกษากันได้ตลอด แต่ด้วยนิสัยที่ไม่ค่อยพูดทำให้ไม่ได้สนิทใจกับคนทุกคน

            แดดเวลาบ่ายสามเริ่มอ่อนลง เมฆฝนตั้งท่าครึ้ม

            ผมคงจะลงมาจากอาคารเร็วกว่านี้ ถ้าไม่มีเสียงเรียกไว้ก่อน

            ‘ที่หนึ่ง!’

            เสียงที่จำได้แม่นขึ้นใจ

            ในที่สุดเขาก็มาหยุดยืนตรงหน้า

            นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยืนใกล้กัน ทำให้รู้ว่าผมสูงแค่เพียงเลยไหล่เขามาคืบเดียวเท่านั้น

            ‘ไม่ไปหาครูทิพย์ที่ห้องวิทย์เหรอ ที่จะคัดไปแข่งเคมี’

            ผมไม่ค่อยคุยกับใคร

            โดยเฉพาะกับเพื่อนใหม่ ก็ยิ่งไม่อยากคุย

            ไม่อยากเงยหน้าสบตาคู่นั้น

            ‘เราต้องไปส่งงาน ขอตัวก่อนนะ’ ผมรีบก้าวเท้าหนี แต่ก็ไม่ทัน

            คนตัวสูงเอื้อมมือมาคว้าแขนซ้ายไว้ ผมตกใจจนรีบสะบัดออก ทำให้ปึกกระดาษหล่นกระจายเต็มพื้นทันที

            ‘เห้ยเราขอโทษ เราไม่คิดว่าที่หนึ่งจะตกใจ’ เขากุลีกุจอเข้ามาช่วยเก็บ ใบหน้าเสียอย่างปิดไม่มิดพร้อมกับแววตาที่รู้สึกผิด

            ก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น

            แต่สุดท้ายผมก็พูดออกไปได้แค่ประโยคเดียว

            ‘ไม่เป็นไร’

            นั่นเป็น first impression ที่แย่ที่สุดเท่าที่เคยเจอมาเลย

 

            ถึงวันคัดเลือก

            เพราะเป็นการแข่งขันระดับประเทศ ทางโรงเรียนก็ค่อนข้างจะจริงจัง

            แต่เป็นความรู้สึกเฉยๆสำหรับคนที่แข่งมาแทบจะทุกสนาม

            ผมเตรียมตัวมานิดหน่อย เพราะคิดว่าคงไมได้เป็นความรู้ที่นอกเหนือจากที่อ่านมาตลอด และวิชาเคมีก็เป็นวิชาที่ผมถนัดในระดับหนึ่ง

            คุณครูประกาศกติกาการคัดเลือกออกมาซ้ำๆ จนผมจำได้ขึ้นใจ

            รอบแรกเป็นข้อกา รอบสองเป็นข้อเขียน รอบสุดท้ายยกมือตอบ และจะคัดออกเรื่อยๆทุกรอบ

            ถึงเวลาเข้าห้อง หลายสายตามองมาที่ผมด้วยความชินเพราะรู้ว่ายังไงก็ต้องเจอ แต่กลับจับจ้องคนข้างหลังผมด้วยความสนใจ

            เพราะบุคลิก รวมถึงหน้าตาทำให้ไม่สงสัยเลยที่กลายเป็นบุคคลน่าสนใจ

            ผมไปนั่งประจำที่

            เริ่มทำข้อสอบไปเรื่อยๆจนหมดเวลา

            แน่นอนว่าผมเข้ารอบสอง

            เพื่อนร่วมห้องผมอีกคนก็เช่นกัน..

 

            รอบข้อเขียนก็ไม่ยากเท่าไหร่ แต่คนก็พลาดไปเยอะพอสมควร

            และเหลือในรอบสุดท้ายเพียงสองคน

            คือผม กับเฟิร์ส

            หวนนึกไปถึงสายตามุ่งมั่นในวันนั้น ทำให้ผมอดประหม่าไม่ได้

            ได้เวลาเริ่มรอบสุดท้าย

            อีกฝ่ายหันมายิ้ม ชูกำปั้นให้ขยับปากเป็นคำพูดสั้นๆว่า

            ตั้งใจนะ

            นั่นทำให้ผมไม่มีสมาธิเลย

 

 

            คำถามข้อสุดท้ายกับคะแนนที่เท่ากัน

            เป็นการแข่งขันที่สูสีจนทำให้บรรยากาศในห้องกดดันไปหมด

            แต่คนข้างผมก็ไม่มีท่าทีอย่างนั้น เขายังนั่งล้วงกระเป๋ากางเกงสบายๆ

            ‘คำถามข้อสุดท้ายแล้วนะคะ’

            ‘...’

            ‘คำถามมีอยู่ว่า...’

           

            มันยาก

            ตอนนี้ผ่านไปเกือบหนึ่งนาที แต่ผมยังไม่ได้คำตอบ

            เผลอกัดเล็บที่ติดมาจนเป็นนิสัย

            คำถามข้อสุดท้ายให้เวลาห้านาที

            ยิ่งเวลาเดินถอยหลังลงเรื่อยๆผมยิ่งกดดัน

            ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองคู่แข่ง

            พลันนึกไปนึกคำพูดนั้น ก็ทำให้สมาธิที่มีอยู่กระเจิง

           

            จนถึงหนึ่งนาทีสุดท้าย ผมก็ยังคิดคำตอบไม่ออก

            ‘ใกล้จะหมดเวลาแล้วนะคะ’

            เสียงคุณครูเร่งขึ้นมา

            และเสียงทุ้มที่ดังขึ้นหลังจากนั้น

 

            ‘ขอตอบครับ’

         

 
            นั่นเป็นครั้งแรก
 
            ที่ผมไม่ได้เป็นที่หนึ่งเหมือนชื่อ


           

       












___________________





สวัสดีค่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกเลย ฝากให้กำลังใจที่หนึ่งกับเฟิร์สไปด้วยกันนะคะ : )






[/size]
หัวข้อ: Re: m y F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [p r o l o g u e]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 27-03-2018 09:11:55
 :pig4: :pig2: :L1:
หัวข้อ: Re: m y F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [p r o l o g u e]
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 27-03-2018 12:04:56
น่าสนุก   :katai2-1:
หัวข้อ: Re: m y F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r o n e ]
เริ่มหัวข้อโดย: miralchs ที่ 22-04-2018 22:55:19
C h a p t e r    o n e   ♥

เป็นคนแรก




            “หัวหน้าห้อง ม.5 กับตัวแทนห้อง 1 คน ประชุมกันที่ลานวิทย์หลังเลิกแถวนะครับ”

            เสียงกรรมการนักเรียนประกาศผ่านไมโครโฟนท่ามกลางแดดร้อนในช่วงเดือนพฤษภาคม
           
            วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกของการก้าวขึ้นสู่ระดับชั้นม.5

            เป็นปีที่ค่อนข้างจะวุ่นวายเลยทีเดียว

            “วันนี้ใครขาดแถวบ้างอะ”

            “จัดแถวดีๆหน่อย เดี๋ยวครูก็เดินมาด่า”

            “เลิกคุยกันสักทีเถ้ออออะ”

            เป็นปกติธรรมดาที่หลังจากปิดเทอมยาวนานกว่าสองเดือนที่ไม่ได้เจอหน้าเพื่อนๆ จะมีเรื่องให้คุยกันมากมาย

            อมยิ้มให้กับภาพตรงหน้า ก่อนจะออกปากบอกให้เพื่อนเข้าแถว

            นับว่ายังเป็นเรื่องที่ดีที่เพื่อนยังคอยฟังหัวหน้าห้องอยู่เสมอ

            “สรุปใครยังไม่มาโรงเรียนวะ”

            เต้ เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มผมพูดขึ้น พร้อมกับชะเง้อมองไปหลังแถว แล้วขีดเครื่องหมายถูกลงใบเช็คชื่อ
           
            ผมช่วยมองไปทางฝั่งแถวผู้หญิง “แป้ง กานต์ ฝ้าย เมย์ มาแล้ว”
           
            “เค เหลือคนเดียว”

            “ใคร”

            “เฟิร์ส”

            ผมเงียบไป

            วันแรกก็มาสาย เสมอต้นเสมอปลายจริงๆ

            “เช็คขาดเลยป้ะ”

            “รอเคารพธงชาติก่อนแล้วกัน”

            “ใจดีเหลือเกินนะครับคุณหัวหน้า”

            ผมหัวเราะ ก่อนจะเดินกลับไปอยู่ที่ตัวเอง

 

            “วันนี้ท้องฟ้าสดใส เป็นวันเปิดภาคเรียนวันแรก คุณพ่อผอ.ดีใจเป็นอย่างยิ่ง...”

            เป็นธรรมเนียมแทบจะทุกโรงเรียนของการเปิดเรียนที่จะต้องมีผู้อำนวยการหรือคุณครูขึ้นไปอารัมภบท

            และแน่นอนว่ามันไม่ใช่แค่ห้าหรือสิบนาที

            “ไอ้เฟิร์สมายังวะ” เต้ตะโกนถามเพื่อนหลัง

            “โดดแล้วล่ะ”

            ฉลาดไม่น้อยที่ไม่มานั่งตากแดดร้อนระอุแบบนี้

             “ขาดวันแรกน่าจะลบสิบคะแนน”

            “ละใครจะไปประชุมกับหัวหน้า” เกด รองหัวหน้าห้องถามขึ้น “เราต้องไปหาครูอนงค์”

            ส่วนมากแล้วถ้ามีนัดประชุมกับห้องอื่นๆคนที่จะไปกับผมก็จะเป็นเกดไม่ก็เต้

            “ส่งใบเช็คว่ะเพื่อน”

            “เออ ไม่เป็นไร ไปคนเดียวได้” ผมปากเหงื่อที่ไหลออกมาตามไรผม ภาวนาในใจให้ผู้อำนวยการพูดให้จบเร็วๆ

            เกดแย้ง “เอาเปรียบตายดิ เฮ้ย ขอสักคน ไปฟังเฉยๆ”

 

            “เดี๋ยวเราไปให้”     
   

 

            เสียงทุ้มที่คุ้นเคยตะโกนมาจากด้านหลัง

            เป็นเสียงที่ทำให้หายใจผิดจังหวะทุกครั้งที่ได้ยิน

            “ไอ้ห่า กว่าจะมา เช็คขาดไปละเนี่ย”

            ผมนิ่งไป เมื่อรู้สึกว่าเจ้าตัวเดินมานั่งใกล้ๆ

            “โหย เฟิร์สหล่อขึ้นอะ”

            “ไปทำไรมาวะ สูงขึ้นอย่างกับเปรต”

            “คนฮอตเว่อร์ น้องม.4 มองจะคอจะเคล็ดแล้วมั้ง ฮ่าๆๆ”

             เสียงจอแจของสมาชิกห้องม.5/12 ที่ครึกครื้นกว่าเดิมเมื่อคนตัวสูงมาถึง

 

            ไม่ต่างจากครั้งแรกเลย

            เคยโดดเด่นยังไง ก็ยังเป็นเช่นเดิมอย่างนั้น

 

            “เลิกแถวแล้วโว้ยย ร้อนเป็นบ้า ผอ.ก็พูดเหมือนไม่เคยพูดมาเป็นสิบปี”

            “ฟังนโยบายใหม่จนเอียน ซ่อมห้องน้ำหญิงให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่าเถอะ”

            เพื่อนในกลุ่มบ่นออกปากกันจนผมแอบขำ ก่อนจะแยกย้ายกับเพื่อนไปประชุมตามที่กรรมการนักเรียนประกาศ

 

            ส่วนอีกคนก็เดินตามผมมาเงียบๆ

            เราไม่ค่อยจะพูดอะไรกันเท่าไหร่

            จากหนึ่งเทอมที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ของผมกับอีกฝ่ายก็ไม่ได้ดีเท่าที่ควร เหมือนจะแย่ลงในทุกๆวัน

            ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ที่กลายเป็นคู่แข่งกันมาตลอด

            ถึงจะว่าอย่างนั้นแต่ผมกับเขาก็เจอหน้ากันบ่อยยิ่งกว่าเพื่อนในกลุ่ม เพราะต้องไปแข่งขันวิชาการด้วยกัน ไปทำกิจกรรม ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนห้อง

            จากเหตุการณ์วันนั้น วันที่ผมไม่ใช่ที่หนึ่งอีกต่อไป

            มันทำให้ผมพยายามมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

            มันเป็นความรู้สึกที่ไม่อยากแพ้ ไม่อยากให้ชื่อนี้ถูกใครเอาไปครองง่ายๆ

            เฟิร์สเก่ง ผมยอมรับจากใจ

            เก่งโดยที่ไม่ต้องขวนขวาย

            เก่ง...จากพรสวรรค์

            เขามีความคิดเป็นระบบ จัดการระเบียบตัวเองได้ดี รวมถึงการเป็นคนที่มีพลังด้านบวกเสมอ

            นั่นแหละ ที่ผมพูดมาได้ทั้งหมดก็เพราะต้องคลุกคลีกับคนๆนี้อยู่ตลอด

            ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากยอมแพ้ให้

            “ที่หนึ่งมาแล้วๆ”

            สายป่านเพื่อนต่างห้องโบกมือเรียกพร้อมกับยิ้มกว้าง  “โห ขาวขึ้นใช่มั้ยเนี่ย ยืนข้างเราแล้วเราหมองเลยอะ”

            “เว่อร์ไป ก็ไม่ได้ไปตากแดดที่ไหน ตากอยู่โรงเรียนวันนี้ที่แรกเนี่ย” ผมพูดติดตลก

            “เออแล้วนี่..” สายป่านชะเง้อคอมองข้างหลังผม ทำให้ต้องแนะนำเสียเลี่ยงไม่ได้

            “เฟิร์ส เพื่อนห้องเรา”

            “อ้ออออออ เราสายป่านน้า” ลากเสียงยาวแล้วยิ้มกริ่ม พร้อมกับเดินเข้ามากระซิบผม “หล่ออะ มีแฟนยัง”

            “จะรู้มั้ยล่ะ”

            “โอ้ย เขินอะ ไม่กล้ามอง”

            ผมส่ายหน้าเบาๆแล้วเดินไปสมทบกับหัวหน้าห้องอื่น

            “เออก็พูดเลยแล้วกัน เราม.5 แล้วก็น่าจะรู้ๆกันว่าต้องทำกีฬาสี แต่ปัญหาคือเมื่อกี้คือไปคุยกับครูมา เขาบอกปีนี้จำกัดงบว่ะ”

            “ละงบเท่าไหร่”

            “สีละห้าหมื่น”

            หลายคนสบถออกมาทันทีเมื่อได้ยินงบที่ได้

            ทั้งที่จากปีที่ผ่านๆมาไม่เคยจำกัดงบมาก่อน ปล่อยให้ทำอย่างอิสระเต็มที่

            “เชี่ย ค่าอุปกรณ์ ค่าหลีดก็เกินแล้ว ไหนจะขบวน”

            “เหมือนได้ยินมาว่าปีรุ่นพี่เรามีผู้ปกครองมาร้องเรียนว่าใช้เงินมากเกินไป แล้วใช้ไปกับเรื่องไร้ประโยชน์ เพราะมีห้องหนึ่ง ไม่พูดละกันว่าห้องไหน เก็บรายหัวคนละสี่พัน นี่ยังไม่รวมค่าห้องต่างหากนะ”

            “ก็เกินไป ตีห้องละสี่สิบคนก็แสนหก ดาวน์รถได้ละเนี่ย”

            “สมควรอะ ปีที่แล้วคือทำอลังการทุกสีจริง ถ้ามาจำกัดงบปีเราคือดรอปแน่”

            “ห้าหมื่นมันไม่ได้จริงๆนะเว้ย ค่าขบวนไม่ได้แน่อะ”

 

            “เราว่าได้นะ”

            เสียงถกเถียงกันเงียบลงเมื่อเพื่อนร่วมห้องที่ยืนอยู่ข้างๆผมพูดขึ้น

            “ถ้ากีฬาสีมีสี่ส่วน แบ่งห้าหมื่นก็ได้หมื่นสองกว่าๆ อุปกรณ์ฝ่ายขบวนก็ยืมจากรุ่นพี่ โครงบางส่วนก็ยังเห็นอยู่โกดังหลังโรงเรียน ถ้าเราคิดคอนเซปต์ง่ายเราก็ไม่จำเป็นต้องใช้งบเยอะ แต่ถึงใช้เยอะกว่าห้าหมื่นก็ไม่มีใครรู้อยู่ดี ในเมื่อบิลมันก็โกงกันได้ ก็แค่ไม่ให้ขบวนมันเว่อร์มากไปก็พอ”

            ผมหันไปมองอีกฝ่ายก่อนจะเอ่ยปากพูดขัดแต่ก็ถูกแทรกเสียก่อน

            “เออ ฉลาดว่ะ มันโอเคนะ”

            เพื่อนๆคนอื่นเริ่มเห็นด้วย

            แต่ผมกลับรู้สึกไม่สบายใจ

            ก็เท่ากับว่าใช้เงินเกินงบโรงเรียนอยู่ดี

            เพราะนักเรียนทำตัวมีปัญหาไม่ใช่เหรอทางโรงเรียนถึงต้องได้ออกกฎนี้มาแก้ แล้วก็ยังจะทำแบบเดิมอีก

            แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้แย้งอะไรออกไป

            “สรุปงั้นเอาตามนี้ นายชื่อไรนะ เฟิร์สป้ะ”

            “อืม”

            “เริ่มคิดคอนเซปต์เลยละกัน ที่หนึ่งมีอะไรที่คิดไว้ในหัวมั้ย”

            แน่นอนว่าเรื่องนี้คนอื่นๆคงคาดหวังไว้ และผมก็คงไม่ทำให้เพื่อนผิดหวัง

            “คิดไว้แล้วล่ะ”

            คุยกันเรื่อยๆจนตกลงกันได้เรียบร้อย

            เฟิร์สเข้ากับเพื่อคนอื่นได้ดีทั้งที่เพิ่งเริ่มคุยกัน และคนอื่นก็เหมือนจะเห็นด้วยกับเขาเอามาก

 

 

            ผมเคยบอกว่าเขาเหมือนโลก

            ทั้งมีสวยงาม และมีชีวิต

            ใช่ ตอนนี้ผมก็ยังคิดแบบนั้น

 

            “เลือกหัวหน้ากับรองกีฬาสีกันเถอะ”         

            “โหวตนะ”

            มีคนถูกเสนอชื่อลงบนกระดานเกือบสิบคน ซึ่งผมกับเฟิร์สเป็นหนึ่งในนั้น

            เพื่อนโหวตกันเรื่อยๆจนมาถึงผม

            “โหย เยอะว่ะ” สายป่านนับ “สิบ สิบเอ็ด สิบสองคน”

            สายป่านชี้ลงคนที่ยกมือคนสุดท้าย

            ..ที่ข้างตัวผม

           

            “ต่อไป เอ่อ..เฟิร์สนะ”

            มีหัวหน้าห้องที่เป็นผู้หญิงเกินครึ่ง

            เก้าสิบเปอร์เซ็นคงเทใจให้คนตัวสูง

            “ใครเลือกเฟิร์สยกมือ”

            “อือหือ เยอะพอกัน สิบเอ็ด สิบสอง สิบสาม เอ่อ.. สิบสามว่ะ”

            ผมเงียบ ต่างจากเสียงรอบข้าง

            คนข้างตัวก็เช่นกัน

 

            “โอเค สรุปคือเฮดกีฬาสีเป็น เฟิร์ส ม.5/12”

 

            ไม่รู้ว่าควรต้องรู้สึกยังไงเหมือนกันตอนนี้

            เป็นคนแรกจริงๆ

            ที่ก้าวนำผมไปหนึ่งก้าวเสมอ

 

 

            “ขอโทษนะ”

            อีกฝ่ายพูดขึ้นหลังจากที่เดินออกมาได้สักพัก

            ผมเงียบ เพราะไม่รู้จะตอบอะไร

            มันไม่ใช่ความผิดของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ

            ยังไงก็ต้องเคารพผลโหวตที่ได้

            ผมแค่รู้สึก ไม่พร้อมจะคุยเท่าไหร่

            “ที่หนึ่ง”

            “ขอโทษเราทำไม”

            ในที่สุดผมก็ต้องเอ่ยปาก เพราะอีกคนยังตามเซ้าซี้ไม่เลิก

            “นายไม่ได้ผิดอะไรเลย ถ้าจะขอโทษเพราะคิดว่าเราโกรธหรือรู้สึกไม่ดี ก็ไม่ต้อง เราไม่ได้เป็นอะไร”

            โกหกทั้งเพ ก็เห็นๆกันอยู่

            เราทั้งคู่ต่างเงียบ จนได้เสียงลมพัดเบาๆ

            “ไปเรียนเถอะ” ผมตัดบท

            “แล้วเป็นเฮดต้องทำอะไรบ้าง”

            “ก็คอยประสานงานกับทุกฝ่ายทุกห้อง กับคุณครูที่เกี่ยวข้อง จัดการไม่ให้มีปัญหากันเอง”

            “อ๋อ”

            ผมถอนหายใจแบบเนือยๆ ดูท่าก็ไม่รู้จะรอดหรือเปล่า

            ทั้งที่เพิ่งจะย้ายเข้ามาได้ปีเดียว

            “ที่หนึ่ง”

            “...”

            “เป็นเฮดเราอีกทีนะ”

            ผมชะงัก แล้วหยุดเดิน หันไปมองเสี้ยวหน้าฝ่ายตรงข้าม ก่อนที่เขาจะหันมามองกันตรงๆ

 

            “เราทำคนเดียวไม่ได้แน่ๆถ้าไม่มีที่หนึ่ง”

 

 

            นอกจากจะเป็นคนแรกที่ผมก้าวตามไม่ทัน

            ก็ยังเป็นคนแรกที่ทำให้ไปไม่เป็นเช่นกัน..


หัวข้อ: Re: m y F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r o n e]
เริ่มหัวข้อโดย: miralchs ที่ 22-04-2018 23:01:54
C h a p t e r    t w o  ♥

เป็นที่สนใจ


            วันอาทิตย์เป็นวันหยุดสำหรับใครหลายคน

            แต่กับผมคงไม่ใช่

            เด็กนักเรียนม.ปลายกับการเรียนพิเศษเป็นของคู่กัน

            “สองชั่วโมงครับ”

            “เป็นรอบสิบโมงครึ่งนะคะ”

            ผมยิ้มให้กับพี่พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ลงเวลาเรียน แล้วรับบัตรคืน

            ขึ้นม.5 แล้วก็คงเป็นช่วงเตรียมตัวเข้าสู่มหาวิทยาลัย
           
            ซึ่งผ่านการวางแผนมาแล้ว

            ผมไม่ได้อยากเป็นหมอหรอก ถึงจะมั่นใจว่ายังไงก็เป็นได้ก็ตาม

            โชคดีที่พ่อแม่คาดหวังกับลูกชายคนโตไว้มาก จึงไม่ได้ห่วงอะไรกับคนเล็กอย่างผม

            การไม่ได้รับแรงกดดันจากครอบครัว เป็นสิ่งที่ทำให้สบายใจ

            แต่ก็ทำให้รู้สึกเคว้งคว้างไปในคราวเดียวกัน

 

            นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยก็ถึงเวลาขึ้นไปเรียน

            ที่นั่งของผมคือ a12

            วางสัมภาระไว้ข้างล่างโต๊ะคอม พลันแขนซ้ายก็ไปสะกิดโดนคนข้างๆที่หลับอยู่

            ตกใจ เลยรีบหันไปขอโทษ

            “ที่หนึ่งเหรอ”

            เสียงทุ้มติดงัวเงียพร้อมกับเจ้าตัวที่ค่อยๆลืมตาขึ้น

            ผมเผลอเม้มปากเมื่อเห็นชัดว่าอีกคนคือใคร

 

            ไม่อยากจะโทษความบังเอิญสักเท่าไหร่

            แต่ครั้งนี้ก็อดไม่ได้จริงๆ

 

            “เรียนวิชาอะไรอะ”

            “ฟิสิกส์” ผมตอบกลับไปเสียงเบา ก่อนจะเสียบหูฟังใส่หูเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายชวนคุย

            ก็ดีที่ไม่มีเสียงน่ารำคาญตามมา

           

            เวลาเดินผ่านไปเรื่อยๆ

            สักพักก็รู้สึกได้ว่าคนข้างโต๊ะฟุบหลับลงอีกครั้ง

            ถึงจะมีที่คั่น แต่โต๊ะก็ไม่ได้กว้างเท่าไหร่

            บวกกับความสูงที่เดาไว้ว่าต้องเกือบร้อยแปดสิบ ทำให้เขาเอนมาชนผมนิดหน่อย

            ถอนหายใจยาวๆแต่ก็ปลอบใจตัวเองว่าอีกไม่กี่นาทีก็หมดเวลาแล้ว

            ผมกลับมาใช้สมาธิกับบทเรียนบนจอเหมือนเดิม

            แต่สายตาเจ้ากรรมก็ดันเหลือบไปเห็นเวลาที่แสดงบนหน้าจอของคนตัวสูงกว่า

            เรียนมาเกือบสี่ชั่วโมง

            ฮึ ไม่ง่วงก็ให้รู้ไป

            ไม่รู้ว่าขยันหรือฝืนร่างกายอยู่กันแน่

 

            แกร๊ง

            ให้ตาย

            อยากโทษแรงโน้มถ่วงของโลกที่ทำหน้าที่ตอนนี้ได้ดีจริงๆ

            เผลอปัดปากกาตกลงพื้น ไปที่ใต้โต๊ะของเขา

            ดูเหมือนจะหลับลึกซะอีก

            กลืนน้ำลายไปอึกใหญ่ ก่อนจะทำใจก้มตัวลงไปเก็บ

            เลือกได้ก็ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวมากด้วยซ้ำ

            “ทำอะไรน่ะ..”

            เฮือก

            ผมสะดุ้ง ทำให้หัวชนเข้ากับใต้โต๊ะทันที

            “เฮ้ย! เจ็บหรือเปล่า” มือหนารีบดึงผมขึ้นมาทันที

            “ไม่..ไม่เป็นไร”

            “เอาอะไรอะ ปากกาเหรอ” ว่าจบก็ก้มลงหยิบขึ้นมาคืน

            “ขอบคุณ...”

 

            จังหวะที่เงยหน้าขึ้นก็เผลอไปสบตากับอีกฝ่ายเข้า

            ผมที่ถูกเซ็ตขึ้น ดูแปลกตาไปจากที่โรงเรียน

            กับดวงตาสีนิลคู่เดิม

            และแววตาที่มองมาเหมือนเดิมทุกครั้ง

 

            ไม่ชอบเลย

            ไม่ชอบ..

            ที่ตัวเองดันเผลอไปสบตาด้วยบ่อยๆต่างหาก

 

            “ไปกินข้าวด้วยกันมั้ย”

            คนตัวสูงกว่าเดินตามหลังมาติดๆ

            ตอนนี้เที่ยงกว่าแล้ว

            แถมยังเป็นช่วงที่แดดแรงที่สุด

            ไม่อยากไปไหนทั้งนั้น แพลนไว้ในหัวของผมหลังเรียนเสร็จคือกลับไปอ่านหนังสือ

            “เรามีเรียนต่อ”

            โกหกออกไปคำโตแบบไม่รู้สึกผิด

            ใครเขาอยากอยู่ด้วยกันล่ะ

            “มันเที่ยงแล้ว กินข้าวก่อนดิค่อยไป”

            “…”

            “ปวดท้องเพราะโรคกระเพาะวันที่ไปด้วยกันวันนั้นยังไม่เข็ดอีกหรือไง”

            จำได้ดียิ่งกว่าผมเสียอีก

            ผมถอนหายใจใส่อีกฝ่าย ส่ายหัวเชิงไม่ไปแล้วเดินเลี่ยงออกมา

            “ไม่ชอบหน้าอะไรเราขนาดนั้น”

 

            นิสัยอย่างหนึ่งที่บ่งบอกความเป็นเฟิร์สเลยก็คือการพูดตรงๆ

            “เราเปล่า”

            และนิสัยอย่างหนึ่งของผมคือพูดสิ่งที่ตรงข้ามกับความคิด

            “รู้มั้ยว่าตัวเองเป็นคนคิดอะไรก็ออกทางสีหน้าหมดเลย”

            “…”

            “ไม่อยากให้เราห่วง ก็ห่วงตัวเอง แดดร้อนขนาดนี้เราไม่ปล่อยให้เดินกลับหรอก”

            ทำไมถึงได้กลายเป็นคนที่รู้เรื่องของผมไปทุกเรื่อง

            อยากถามออกไป แต่ก็คำได้แค่เดินตามแผ่นหลังกว้างเงียบๆ

 

 

            เรื่องของเรื่องคือการขี่จักรยานยนต์เป็นสิ่งที่ผมแทบจะไม่คุ้นเคย

            และยิ่งการออกแบบให้เบาะหลังยกสูงขึ้น ก็ยิ่งเพิ่มความหวาดระแวงให้ผมไปอีกเท่าตัว

            “ใส่หมวกกันน็อคด้วย”
           
            “ให้เรากลับเองเถอะ”

            คนตัวสูงขมวดคิ้ว “อะไรนะ”

            ก็ไม่รู้พูดยังไง

            จะให้บอกไปว่าไม่กล้าขึ้น ก็คงต้องโดนขำแน่ๆ

            แต่เหมือนเจ้าตัวจะรู้แล้วล่ะ

            “ไว้ใจเราหน่อย ไม่เคยมีประวัติร้ายแรงน่า ขึ้นมาเร็ว”

            ผมสวมหมวกกันน็อคอย่างจำยอม ก้าวขึ้นเบาะหลัง

            วันหลังคงจะไปนั่งฝึกตัวเองหน้ากระจกให้รู้จักปฏิเสธคนมากกว่านี้

            “กลัวตกก็เกาะหลังเรานะ ไม่หวง”

 

            ก็นิสัยซะอย่างนี้

            จะไม่ให้รำคาญได้ยังไง





            มาหยุดที่ร้านอาหารตามสั่งใกล้ๆ 

            ถึงจะบอกว่าเคยไปแข่งวิชาการด้วยกัน หรือไปเป็นตัวแทนห้องด้วยกัน แต่ไม่เคยคิดจะมานั่งกินข้าวด้วยกันสองคนแบบนี้ เพราะทุกครั้งก็ไปกับคุณครู เพื่อนต่างโรงเรียน

            ให้พูดตามตรงก็เป็นครั้งนี้ครั้งแรก

            เกร็งยิ่งกว่าไปแข่งขันโอลิมปิกวิชาการอีก

            “ข้าวมันคุยไม่ได้เหมือนเราหรอกนะ”

            “…”

            “เงยหน้าขึ้นมามองกันบ้าง”

            ผมค่อยๆเหลือบตาขึ้นมอง ก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังอมยิ้ม “ให้เราพูดอะไร”

            “ข้าวติดปากแล้ว”

            รีบหยิบกระดาษมาเช็ดทันที

            ได้ยินหัวเราะตามมาแผ่วๆ จนต้องเผลอกัดปากด้วยความอาย

            ไม่อยากอยู่ด้วยแล้ว

            ให้กลับไปหายใจทิ้งอยู่ที่บ้านก็ยังดีกว่ามานั่งอยู่กับคนแบบนี้

            “เห็นครูหนิงบอกว่าให้เริ่มไปเตรียมตัวซ้อมแข่งฟิสิกส์ได้แล้ว”

            “อื้อ”

            “อีกคนในทีมเหมือนจะเป็นน้องผู้หญิงม.4 คนนี้ๆ ที่หนึ่งรู้จักมั้ย”

            คนตัวสูงยื่นโทรศัพท์มาตรงหน้าผม

            “ไม่รู้จักหรอก”

            “แต่สวยนะ” เขาว่า

            ตัวเล็ก มีลักยิ้ม หน้าหมวยๆหน่อย

            สเปคเขาเลยล่ะ

            “มาอยู่ทีมเดียวกับเราต้องดีแน่นอน”

            จะม่อเขาละสิไม่ว่า

            ผมแอบคิดในใจ ก่อนจะก้มลงทานข้าวในจานตัวเองเหมือนเดิม

            เราต่างเงียบทั้งคู่เมื่อไม่มีอะไรจะคุย

            บรรยากาศอึดอัด จนผมไม่ชอบ

            ปกติก็ไม่เคยคิดจะมาทานข้าวกับคนนอกกลุ่ม  ยิ่งเป็นคนตรงหน้ายิ่งแล้วใหญ่

            บอกเลยว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งแรก และครั้งสุดท้ายที่ผมยอมมานั่งอยู่กับเขา

           

            “แป๊บเดียวก็ม.5 แล้ว”

            “…” ผมหยุดเขี่ยข้าว เงยหน้าขึ้นมอง เมื่อน้ำเสียงอีกฝ่ายเริ่มจริงจัง

            “เรารู้จักกันมาหนึ่งปีเต็มแล้วนะ”

            “…”

            “แต่เหมือนเรายังไม่รู้จักที่หนึ่งดีเลย”

            ผมมองหน้าเขาด้วยความไม่เข้าใจ

            “ทำไมถึงอยากได้รู้จักเราขนาดนั้น”

            จนต้องเอ่ยปากถามในสิ่งที่ตัวเองอยากรู้มาตลอด

 

            “อยากรู้จริงๆเหรอ”

 

            เขายิ้ม

            และเป็นรอยยิ้มที่ผมมั่นใจว่าไม่เคยเห็นที่ไหน

 

            “ก็อยากให้เป็นที่สนใจ แค่นั้นเอง”

 

 

            โลกอยู่ห่างจากดาวศุกร์เกือบ 42 ล้านกิโลเมตร

 
            แต่ทำไมผมรู้สึกว่ามันไม่ได้ไกลกันเลย...


   
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r t w o] , 220418
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 22-04-2018 23:37:55
อุ๊ย!!!! เขินแทนเลยอ่าาา :hao5:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r t w o] , 220418
เริ่มหัวข้อโดย: miralchs ที่ 23-04-2018 18:55:31
C h a p t e r    t h r e e ♥

เป็นเพื่อนร่วมห้อง


            บ้านของผมมีพี่น้องด้วยกันสามคน

            มีลูกชายคนโต ลูกสาวคนกลาง และลูกชายคนเล็ก

            เป็นผมคนเดียวที่ยังเรียนอยู่

            วันที่ 1 มกราคม วันที่หนึ่งของทุกปี และเป็นวันที่หนึ่งในชีวิตของผม

 

            ‘น้องน่ารักมากเลยค่ะม๊า’

            ‘ขอเอกลองอุ้มหน่อย’

            ‘วันอุ้มด้วย’

            ได้รับความสนใจตั้งแต่เล็กจนโตเพราะเป็นคนสุดท้อง

            ‘ทำไมถึงตั้งชื่อน้องว่าที่หนึ่งล่ะ’

            ‘ไม่รู้สิ’

            ‘…’

            ‘เห็นมาเป็นคนสุดท้าย ก็เลยอยากให้เป็นที่หนึ่งในเรื่องอื่นแทน’

            คนเป็นพ่อว่าพลางลูบหัวเด็กน้อยในอ้อมแขน

 

            ‘สอบได้ที่หนึ่งเหรอ’

            ‘สมชื่อจริงๆ’

            ‘เก่งที่สุดเลยลูกม๊า’

            เด็กผู้ชายวัยสิบขวบยิ้มรับด้วยความภูมิใจ

 

            ‘ที่หนึ่งอีกละ’

            ‘เกียรติบัตรเต็มบ้านแล้วเนี่ย’

            กลายเป็นความเคยชินไปแล้วกับการเป็นที่หนึ่ง จากคำชมยกยอ เปลี่ยนเป็นการพยักหน้ารับรู้ราวกับเป็นเรื่องปกติ

            ผมเมื่อตอนสิบสองปียิ้ม

            แต่ดวงตากลับไปไม่ได้ยิ้มไปตาม

 

            ‘เอกจะสอบแล้วทำไมยังเล่นอยู่’

            ‘ตั้งใจเรียนหน่อยสิ มหาวิทยาลัยไม่ได้เข้าง่ายๆนะ’

            ‘วันก็เหมือนกัน เริ่มอ่านหนังสือสักที ไม่ใช่เอาแต่เที่ยว’

            ‘…’

            เสียงทะเลาะที่ดังขึ้นเรื่อยๆ จนเด็กชายวัยสิบสี่ปีต้องเดินออกจากห้องมาดู

            ‘จนจะเข้ามหาวิทยาลัยกันแล้ว ก็ทำไม่ได้ครึ่งของที่หนึ่งเลย ทำไมถึงชอบทำให้ม๊าผิดหวังกันนัก’

            ภาพความทรงจำสุดท้ายของผมในวันนั้น

            คือสายตาของพี่ทั้งสองคน ที่ไม่มองผมแบบเดิมอีกต่อไป..

 

            “ไปเรียนก่อนนะครับม๊า”

            “จ้า ไปดีมาดีนะลูก”

            ผมยกมือไหว้ ก่อนจะคว้ากระเป๋าออกมา

            ไม่ได้มีใครไปส่งที่โรงเรียนมาเกือบสามปีแล้ว

            ด้วยหน้าที่การงานที่ยุ่งมากขึ้นของสมาชิกในบ้าน ทำให้ต่างคนต่างมีชีวิตของตัวเอง

 วันนี้ท้องฟ้าอึมครึม กรมอุตุพยากรณ์อากาศวันนี้ว่าฝนจะตก

            ผมกระชับร่มในมือ เดินขึ้นรถเมล์ที่มาจอดข้างหน้าพอดี

            บรรยากาศตอนเช้ามืดเป็นช่วงที่ทำให้ผมมีความสุขที่สุด เพราะเป็นช่วงที่ไม่วุ่นวาย เลยมักจะชิงมาโรงเรียนก่อนเจ็ดโมงเสมอ

            สถานที่ประจำในตอนเช้าของผมคือห้องสมุด แต่เหมือนวันนี้จะมาก่อนคุณครูไปสักหน่อย ทำให้ยังเห็นแม่กุญแจคล้องไว้เหมือนเมื่อตอนเย็นของเมื่อวาน

            ผมเดินถอยหลังกลับไปหาที่นั่งใกล้ๆ ตอนนี้ที่โรงเรียนเงียบจนได้ยินเสียงนกร้องบนต้นไม้

            จะมีแค่นักกีฬาที่มาฝึกกันแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง

            “อ้าว ที่หนึ่ง”

            ผมหันไปมองตามเสียงเรียก

            ข้อดีของการเป็นเด็กกิจกรรม คือการได้รู้จักใครหลายคนที่ไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมห้อง

            ยังรวมไปถึงรุ่นพี่ตัวสูงตรงหน้า

            ผมยิ้มเป็นเชิงทักทาย เมื่อเจ้าของส่วนสูงกว่าร้อยแปดสิบเดินเข้ามานั่งด้วย

            “มาซ้อมเหรอครับ”
           
            “อือฮึ ครูเรียกมาตั้งแต่ตีสี่” พี่ซันพูดพร้อมกับทำหน้าเบื่อๆ “เขาจะรู้หรือเปล่าว่านั่นน่ะเป็นเวลาที่พี่เพิ่งได้นอนด้วยซ้ำ โคตรปวดหัวตอนนี้”

            ”ให้ทายว่าไม่ได้อ่านหนังสือ”

            “เห็นพี่เคยอ่านเหรอ”
           
            ผมหัวเราะให้กับคำตอบนั่น พร้อมกับเจ้าตัวที่ชวนคุยไปเรื่อย

            เรารู้จักกันจากการไปเข้าค่ายเมื่อตอนผมอยู่มัธยมต้นปีสุดท้าย ส่วนพี่เขาอยู่ม.4

            เป็นคนที่คุยง่าย และพยายามชวนให้ผมมีส่วนร่วมทุกเรื่อง

            ดูไม่มีพิษไม่มีภัย ระยะเวลากว่าสองอาทิตย์ของการเข้าค่าย ทำให้ความสัมพันธ์ของเราสนิทกันได้อย่างรวดเร็ว

            เหมือนว่าจะชอบลูกแพร เพื่อนสนิทของผมด้วย

            “ลูกแพรเป็นไงบ้าง ช่วงนี้ไม่ค่อยตอบแชทพี่เลยอะ”

            และก็ยังจีบไม่ติดมาตอนถึงทุกวันนี้

            “ช่วงนี้ยุ่งๆหน่อยครับ มีโครงงานกลุ่มกับเตรียมกีฬาสี”

            เขาพยักหน้าเหมือนเข้าใจ

            “แต่ก็เห็นเล่นโทรศัพท์อยู่ตลอดนะ”

            เคยมีใครบอกหรือเปล่าว่าคนตัวสูงกับใบหน้าหงอยๆนั้นมันแทบจะไม่เข้ากันเลย

            “ล้อเล่น ก็ยุ่งจริงๆช่วงนี้ รอไปก่อนเดี๋ยวว่างเขาก็ตอบเองแหละครับ”

            “เดี๋ยวนี้หัดกวนตีนพี่นะเรา” ชี้หน้าพร้อมกับส่งสายตามาอย่างคาดโทษ

            ผมหัวเราะ ก็ได้มาจากคนแถวนี้

            “เออ เหมือนชมรมบาสจะมีสมาชิกใหม่ มาจากห้องเรา”

            “ใครเหรอครับ”

            “ตัวสูงหน่อยๆ หน้านิ่งๆ ชื่ออะไรวะพี่จำไม่ได้ เรารู้จักหรือเปล่า”
           
            ม.5/12 มีผู้ชายที่จัดว่าสูงอยู่ไม่ถึงห้าคน แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่าใครลงชมรมอะไรกันบ้าง

            “ไม่รู้หรอกครับ”

            “อ้อ นั่นไง มองมาทางนี้พอดี”

 

            ครั้งที่แล้วผมโทษความบังเอิญไป

            แต่ครั้งนี้ผมจะโทษความตั้งใจของอีกฝ่ายแทน

 

            “ครูเรียกไปซ้อมครับพี่ซัน”
           
            “โอเค เดี๋ยวไป”

             ไม่เพียงแค่มองมาเฉยๆ สุดท้ายคนที่ชื่อเหมือนผมก็เดินมาหยุดที่โต๊ะ

            “เออนี่ไม่รู้จักกันเหรอ ก็นึกว่าอยู่ห้องเดียวกัน”

            กึก

            ผมชะงัก หันไปมองคนที่เพิ่งมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ

            ไม่น่าเลย
           
            ดันไปเห็นแววตาที่ไม่อยากเห็นเข้าไปแล้ว

            สุดท้ายคนที่ตอบพี่เขาก็เป็นอีกฝ่าย

 

            “รู้จักสิครับ ก็เป็นเพื่อนร่วมห้องกัน”

 

            คงจะเป็นครั้งแรกที่ผมเกลียดความปากหนักของตัวเอง



            ถูกเรียกไปพบคุณครูฟิสิกส์ที่ห้อง


            พร้อมกับอีกคนเมื่อตอนเช้า

            และน้องม.4 คนนั้น..

            “ซ้อมหลังเลิกเรียนคงไม่ทัน เพราะตารางเรียนไม่ตรงกัน”

            “…”

            “ถ้าครูขอเป็นวันเสาร์ ตอนบ่าย จะเป็นไปได้มั้ย”

            การแข่งขันต้องมีการซ้อมเป็นเรื่องปกติ

            แต่ปัญหาคือความจำเป็นของนักเรียนม.ปลายที่ต้องเรียนพิเศษควบคู่ไปกับการเรียนในห้องเรียน

            “หนูมาได้ค่ะ”

            “ได้ครับ ไม่มีปัญหา”

            อีกสองคนตอบไปแล้ว ยกเว้นผม

            “เธอล่ะ เป็นที่หนึ่ง”

            “เอ่อ...”

            เพราะโรงเรียนที่อยู่คนละทางกับสถาบันเรียนพิเศษ

            หากจะมา ก็ต้องเดิน เพราะไม่มีรถผ่าน

            แน่นอนว่ามันไม่ได้ใกล้กันเลย...

            แต่สุดท้าย ก็เลือกส่วนรวมมากกว่าตัวเอง

            “ได้ครับ”           

            “งั้นเริ่มอาทิตย์นี้นะ”

            คล้อยหลังครูไปแล้ว แต่เราสามคนก็ยังยืนอยู่ในห้อง

            น้องม.4 เป็นคนเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศแปลกๆนี้

            หันยิ้มตาหยี จนเห็นลักยิ้มที่สองแก้ม น่ารักกว่าในรูปอย่างที่เคยคิดไว้

            “หนูชื่อพีชนะคะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่า”

            เผยรอยยิ้มอย่างแจ่มใส ทำลายบรรยากาศอึมครึมเมื่อกี้ไปเสียสนิท

            “พี่ชื่อเฟิร์สใช่มั้ยคะ หนูแอบเห็นพี่แอดมา”

            “จำพี่ได้เหรอ” คนตัวสูงหัวเราะ

            “ได้ซี่ หล่อๆแบบนี้หนูจำได้”

            “เกินไปแล้วยัยหมวย”

            สนิทกันอย่างรวดเร็วสมกับเป็นเฟิร์ส

            อย่างที่เขาเคยบอกเลยว่า ถ้ามาอยู่ทีมเดียวกันต้องดีมาก ก็คงดีกับตัวเขาเอง

            ถ้าไม่มีน้อง ก็จินตนาการไม่ออกเลยว่าในห้องจะเงียบแค่ไหน

            ผมไม่รู้จะพูดอะไร จึงได้แต่ยืนนิ่ง

            คนตัวสูงไม่ได้หันมาทางนี้เลยแม้แต่น้อย เมื่อเจอคนคุยที่ถูกคอ

            ไม่ชอบเลย ความรู้สึกแบบนี้

 

            “แล้วพี่...?”

            ในที่สุดก็ถูกดึงมาร่วมในบทสนทนาของทั้งคู่

            “ชื่อเป็นที่หนึ่งหรือเปล่าคะ เมื่อกี้พีชเห็นครูเรียก” เธอยิ้ม

            “ครับ”

            “พี่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันเหรอคะ ไม่เห็นพูดด้วยกันเลย”

            เขาเงียบ ผมก็เงียบ

            “ไม่..” 

            “ห้องเดียวกัน”

            “…”

            “อยู่ห้องเดียวกันครับ”

 

 

            ไม่รู้หรอกว่าอะไรทำให้ผมชิงพูดออกไป

            แค่ไม่อยากได้ยินคำว่าไม่ แค่นั้นเอง

 

            มันเป็นเรื่องที่น่าขำ

            อยู่ดีๆบรรยากาศระหว่างเราก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

            “เจอกันวันเสาร์นะน้องหมวย”

            “หนูชื่อพีชมั้ยเล่า”

            หลังจากพูดคุยทำความรู้จักกับน้องเสร็จเรียบร้อย ก็ถึงเวลาแยกย้ายไปเรียนคาบบ่ายต่อ ผมรีบเดินนำออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่ได้สนใจเลยว่าอีกคนจะตามมาหรือเปล่า

            แค่คิดถึงตอนที่พูดประโยคนั้นออกไป ก็อายแทบตายแล้ว

            “ที่หนึ่ง”

            “...” ผมยังก้าวต่อ ไม่หันกลับมองใครทั้งนั้น           

            “เดี๋ยว เดี๋ยวครับ”

            ได้ยินเสียงปนขำตามหลังมา ยิ่งทำให้ผมเดินให้เร็วขึ้น

            เจอคนชื่อเฟิร์สมาเป็นสิบ ก็ไม่เคยเห็นคนไหนน่ารำคาญเท่าคนนี้

            “…”

            “เราเรียนอาคารสาม” คนสูงกว่าเดินจนคว้าไหล่ทัน “หันกลับมาเร็ว เดี๋ยวขึ้นเรียนสายนะ”

            ฮึ

            ทำยังไงได้ ก็ต้องหมุนเท้ากลับไปหาอย่างจำยอม

            “ก็เดินสิ” ผมว่า แต่ไม่ได้มองหน้าอีกฝ่ายแม้แต่น้อย

            เราไมได้พูดอะไรด้วยกันอีก

            แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงเสียงหัวเราะเบาๆของคนที่เดินมาข้างๆ

 

            ไม่อยากจะยอมรับหรอก

            แต่บรรยากาศตอนนี้ก็ดีกว่าเมื่อเช้าเยอะเลย

 

 

            “เงียบใส่เราอีกแล้ว”

            “...” ผมเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะหลบสายตาไปทางอื่น “ก็เรียนอยู่ไง”

            “บ่ายสาม เป็นเวลาเลิกเรียน”

            ก็ไม่ได้หมายถึงตอนนี้มั้ยล่ะ

            แอบตอบกลับในใจ แล้วสะพายกระเป๋าลุกหนี

            “ไปไหน”

            อยากเป็นประสาทตายเข้าสักวัน

            ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่ไม่เข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย ลูกแพรที่ยืนอยู่ในเหตุการณ์ก็ทำหน้างงเป็นไก่ตาแตกจนต้องเอ่ยปากถามแทน “เฟิร์สมีอะไรเหรอ”

            “ว่าจะชวนที่หนึ่งกลับด้วย”

            “อะไรนะ?”

            ครั้งนี้ทั้งผมและเพื่อนสนิทก็หันไปมองคนตัวสูงอย่างไม่เข้าใจ

            เกิดมาได้ครบสิบเจ็ดปี ผมก็ไม่เคยเห็นคนแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน

            ปกติแล้วความสัมพันธ์ของผมกับเฟิร์สอยู่ในระดับที่เกือบล่างสุด

            ถ้าไม่นับว่าต้องไปแข่งขันด้วยกัน บทสนทนาในห้องก็แทบไม่เคยเกิดขึ้น จะมีแค่เฉพาะบางครั้งที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาถามเรื่องงาน

            และการที่ผมจะเดินเข้าไปคุยด้วยก่อนก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่

            ดวงดาวที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยบริวารแบบนั้น ไม่ใช่พื้นที่ที่น่าเข้าไปนักหรอก

            “เรามีเรียนตอนเย็น”

            “อ.อุ๊?”

            นี่พกตารางชีวิตของผมมาโรงเรียนด้วยหรือไง

            ขนาดม๊าก็ยังไม่ได้รู้ดีเท่านี้

            “เห็นลงชื่อลงบนใบเรียนพอดี”

            แสดงว่าเรียนเหมือนกัน..

            “อื้อ ไปก่อนนะ”

            ผมตัดบทแล้วลากลูกแพรออกมาด้วย โดยไม่ฟังเสียงเรียกของคนในห้อง

            “ไม่ไปกับเขาอะ”

            “ละแกจะไปกับใคร” ผมย้อนถาม

            “เกี่ยวอะไรกัน เราเรียนคนละทาง แค่ไปรอรถด้วยกันเฉยๆมั้ย”

            “ก็เดี๋ยวไม่มีเพื่อนรอ”

            “โอ้ย พูดอย่างกับเป็นเด็กประถม” คนสูงพอๆกับผมทำหน้าเหม็นเบื่อ “วันหลังเขาชวนก็ไปเห๊อะ”

            “ไม่เอาอะ”

            “จะไม่ชอบเฟิร์สอะไรขนาดนั้น ก็ดูจริงใจกับแกดีออก”

            “อยากกวนประสาทมากกว่า”

            “เฮ้ ฟังเรานะ”

            ลูกแพรดึงใบหน้าผมให้หันไปมอง

            ผมเห็นประกายแพรวพราวในดวงตาบนใบหน้าจิ้มลิ้มนั้น

 

            “เขาไม่เรียกกวนประสาท”

            “…”

            “เขาเรียก ‘สนใจ’ จำไว้นะที่หนึ่ง”

 

 

            บนถนนมีรถผ่านหน้าไปเป็นร้อย

            แต่ดันไปสบตากับเจ้าของหมวกกันน็อคที่ผมเคยใส่ได้ยังไงก็ไม่รู้
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r t h r e e] , 230418
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 23-04-2018 23:11:54
อ่าาา หนึ่งซึน หรือเฟิส อ่อยไปทั่ว   :hao4:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r t h r e e] , 230418
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 23-04-2018 23:45:21
น่ารักจัง เป็นกำลังใจให้นะคะ  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r t h r e e] , 230418
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 24-04-2018 09:59:54
เรื่องน่าสนใจมากๆค่ะ
สัมผัสได้ถึงความน่ารักของหนึ่งงง
รอนะคะะะะะ :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r t h r e e] , 230418
เริ่มหัวข้อโดย: miralchs ที่ 24-04-2018 13:03:17
C h a p t e r    f o u r  ♥

เป็นที่ปรึกษา


          กึกๆ

           “ยืมยางลบหน่อยสิ”

           คนด้านหลังใช้นิ้วสะกิดเรียกที่ไหล่ผม

           ไม่รู้ว่าตอนนี้กลอกตาด้วยความรำคาญไปกี่รอบแล้ว

           ทำไมการลงชื่อคนแรกถึงไม่มีสิทธิ์เลือกที่นั่งกันนะ

           เดาไม่ผิดตั้งแต่ที่โรงเรียนแล้วว่ายังไงก็คงได้เจอกันที่นี่ แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้นั่งใกล้กัน

           เลี่ยงแล้วเลี่ยงอีก แต่ก็เหมือนฟ้าจะไม่เป็นใจเอาเสียเลย

           หยิบยางลบที่วางไว้ข้างๆให้อีกคนด้วยความหน่ายใจ “ค่อยคืนตอนเลิกนะ”

           จะได้ไม่ต้องวอแวอีก...

           เฟิร์สยิ้มรับ แล้วเขยิบกลับไปนั่งที่ของตัวเอง

           ที่เรียนพิเศษในจังหวัดมีเป็นร้อยเป็นพันที่ แต่ก็ดันเลือกลงเรียนที่เดียวกับคนตัวสูงกว่าไปแล้วสองที่

           ไม่รวมเวลาที่อยู่โรงเรียน หรือเวลาไปซ้อมแข่งวิชาการอีก

           จะด้วยโชคชะตา ความบังเอิญ หรือความตั้งใจก็ไม่สนแล้ว

           สนแค่ว่าจะหลุดพ้นออกไปได้เมื่อไหร่มากกว่า

           ผมสลัดเรื่องไร้สาระออกจากหัวทิ้ง ก้มกลับไปทำแบบฝึกบทหนังสือต่อ

 

 

           ปวดท้อง

           เป็นความรู้สึกแรก หลังจากที่เทปแรกของการเรียนจบ

           ผมนิ่วหน้า ค่อยๆเก็บของใส่กระเป๋า พลางกุมท้องตัวเองไว้ คงเป็นเพราะโรคเก่ากำเริบอีกแน่ๆ

           เพิ่งมานึกได้ว่าลืมกินข้าวเย็นไปสนิท..

           “อะ ยางลบ”

           “อื้อ”

           ปวด จนแทบจะขยับไม่ได้

           ทำไมต้องมาเป็นตอนนี้ด้วยนะ     

           “ที่หนึ่ง ปวดท้องเหรอ” อีกคนในห้องถามด้วยสีหน้าตื่นๆ ไม่มีใครอยู่ข้างบนแล้วนอกจากพวกเราสองคน

           “โรคกระเพาะหรือเปล่า ไปหาหมอเถอะ”

           “…” ผมไม่ได้ตอบอะไร ฝืนเดินไปเปิดประตูด้วยมือสั่นๆ

           “หยุดฝืนตัวเองสักที อาการหนักขนาดนี้แล้ว” อีกฝ่ายรีบตรงมาขวางทันที พร้อมกับขึ้นเสียงใส่จนผมสะดุ้ง

           “เราไม่เป็นไร กลับเถอะ”

           อีกฝ่ายขบกรามแน่น ก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ กับมือใหญ่ที่คว้าข้อมือไว้ แรงกระชากที่ไม่น้อยทำให้ผมเซไปหาอีกฝ่ายแทบจะทันที

           “ขอร้อง ทิ้งทิฐิตัวเองลงสักครั้ง”

           “…”

           “รู้ว่าไม่ชอบให้อยู่ใกล้ แต่จะปฏิเสธเราตอนนี้ โคตรไม่ใช่เรื่องเลย”
           
           ก้มหน้าลงจนเกือบจะชิดกับอก ก่อนจะก้าวเท้าตามแรงพยุงของเพื่อนร่วมห้อง

            น้อยครั้งที่จะถูกขึ้นเสียงใส่ และนี่คงเป็นครั้งแรกจากคนตรงหน้า

            แต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกโกรธเลยแม้แต่นิดเดียว

           “กอดเราไว้ด้วย”

            ผมชั่งใจอยู่นาน จนไม่ได้ดั่งใจคนรอ ถึงได้เอื้อมมือมาคว้าแขนทั้งสองข้างของผมไปประสานที่เอวของเจ้าตัวไว้

            “ถ้าปล่อยมือจะให้มานั่งข้างหน้าแทน” เสียงทุ้มว่าอย่างหงุดหงิด

            ผมฟุบหน้าลงกับแผ่นหลังกว้างด้วยความล้า มองข้ามทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองควรเป็น

            หลับตาลง เมื่อสองล้อเคลื่อนไปตามท้องถนนอย่างไม่รีรอ

 

            ผมนึกถึงหน้าม๊า และพี่ทั้งสองคนของผมขึ้นมา

            น้ำใสๆที่หยดลงข้างแก้มหยดหนึ่ง ตอกย้ำความรู้สึกของตอนนี้ได้เป็นอย่างดี

            ผมแค่นยิ้มให้กับความจริง

            เฟิร์สคือคนแรก ที่รู้ว่าผมเป็นโรคกระเพาะมาได้สามปีแล้ว

 

            “ทานยาตามที่หมอสั่ง และเรื่องที่สำคัญที่สุดคือทานอาหารให้ตรงเวลา เข้าใจใช่มั้ยคะ”

            “ครับ”

            อาการปวดท้องค่อยๆทุเลาลงหลังจากพบหมอ ผมเหลือบมองนาฬิกาพบว่าเป็นเวลาเกือบสี่ทุ่ม ซึ่งก็ดึกพอสมควรสำหรับเด็กม.ปลายอย่างพวกผม

            คนข้างๆไม่ได้พูดอะไรมาก ก่อนจะเดินนำไปที่รถ

            ไม่รู้จะรู้สึกอะไรก่อนเลย

            ทั้งเกรงใจ และรู้สึกผิดที่ปฏิเสธน้ำใจของเขาไปพร้อมๆกัน

            ผมไม่รู้ว่าเขาขับมาโรงพยาบาลไหน แค่ระยะทางก็ไกลจากที่เรียนมากโข ซึ่งมันก็ต้องไกลจากบ้านของผมด้วย

            “บ้านอยู่ไหน”

            “เลยอ.อุ๊ไปอีกสองซอย” ผมตอบเสียงแผ่ว

            อีกฝ่ายเงียบเหมือนกำลังใช้ความคิด

            “หอเราอยู่แถวนี้”

            “…”

            “ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ค้าง เราไม่อยากขับรถตอนดึกๆเท่าไหร่”

            อีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีล้อเล่น บวกกับความผิดของผมในวันนี้ ทำให้ผมตอบรับไป

            “เราขอโทรบอกแม่ก่อนนะ”

            “เอาสิ”

            แม่ของผมอนุญาต แต่ก็บ่นไปเกือบหลายสิบนาทีที่ไม่ยอมโทรบอกตั้งแต่แรก ผมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง พร้อมกับค่อยๆเงยหน้ามองอีกคนที่ยืนพิงรถกดโทรศัพท์มือเดียว

            หน้าตาเขาอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด ก็เพิ่งสังเกตเอาวันนี้ว่าขอบตาเพื่อนร่วมห้องก็คล้ำไม่ต่างอะไรจากเขา

            การเป็นที่หนึ่งมันไม่ได้ง่าย และผมคิดว่าการเป็นเฟิร์สก็ไม่ได้ง่ายเช่นกัน ตอนนี้เขาควรจะได้ทำการบ้าน ทำงานที่ค้างไว้หรืออ่านหนังสือยามดึก แต่กลับต้องมาเสียเวลาให้กับผม

            “ขอบคุณนะ”

            “…”

            อีกฝ่ายละสายตาออกมาจากหน้าจอ แล้วมองผมด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา

            “แล้วก็ขอโทษ...ที่ปฏิเสธออกไปบ่อยๆ”

           

           วันนี้ทำให้ผมเริ่มรู้สึกว่าการพูดตามที่ตัวเองคิด

           มันก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้แย่สักเท่าไหร่

 

            คนตัวสูงกว่าไม่ได้ตอบอะไรกลับ แค่ยิ้มแล้วส่งมือใหญ่ๆนั้นมาลูบหัวผมสองสามครั้ง



     

           “ชุดนักเรียนเอาไปซักได้เลยนะ พรุ่งนี้น่าจะแห้งทัน”

            “อื้อ”

            “ตารางเรียนพรุ่งนี้ไม่น่าจะมีอะไร ใช้สมุดใหม่เราก็ได้ แล้วค่อยเอามาคืน”

            “อื้ม ขอบคุณนะ”

            ชุดนอนที่ใส่บนตัวตอนนี้ใหญ่กว่าผมเกือบไซส์ แต่เจ้าตัวก็บอกว่าหาให้เล็กกว่านี้ไม่ได้แล้ว

            จะโทษกรรมพันธุ์คงไม่ได้ โทษตัวเองดีกว่าที่ไม่ยอมดื่มนมตั้งแต่เด็ก

            ผมดันแว่นตาขึ้นเล็กน้อยเมื่อใช้สายตาเพ่งตัวหนังสือ ตอนนี้ใกล้จะเที่ยงคืน แต่ผมก็ยังไม่ได้รู้สึกง่วงเท่าที่ควร ส่วนเพื่อนร่วมห้องก็เหมือนกำลังจัดระเบียบห้องตัวเองอยู่

            คงไม่ได้นอนกันง่ายๆ

            แอบโล่งใจนิดหน่อยที่เตียงมีขนาดกว้างพอที่ผู้ชายสองคนจะนอนโดยที่ไม่เบียดกัน

            กวาดสายตามองรอบห้อง ไม่ได้ตั้งใจจะสำรวจ แต่ก็อดสงสัยความเป็นอยู่ของเพื่อนร่วมห้องไม่ได้

            ผมไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวของเขาเลย

            ช่างแตกต่างกันจริงๆ ในขณะที่อีกฝ่ายรู้เรื่องของผมไปเกือบทั้งชีวิตแล้ว

            แค่พอจะจำได้เลือนรางว่าเขาชื่อจริงว่าอะไร มาจากที่ไหน ชอบวิชาอะไร แล้วก็สูงเท่าไหร่..

            น่าตลกที่มันเป็นแค่เรื่องพื้นฐานที่ควรรู้ของเพื่อนในห้อง

            ผมไม่ค่อยใส่ใจคนรอบข้าง นั่นเป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย แค่ทุกวันนี้ใช้สมองจำเรื่องราวของตัวเองกับความรู้ที่อ่านไปก็ไม่เหลือพื้นที่ให้เรื่องอื่นเข้ามาแทรกแล้ว

            ก็จะมีแต่เรื่องช่วงนี้แหละที่ทำให้รบกวนสมาธิเรื่อยๆ

            ทั้งที่เป็นคนโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงปล่อยให้มายุ่มย่ามจิตใจขนาดนี้

            ว่ากันว่าต่อให้คนสองคนจะสนิทกันมากแค่ไหน ก็ยังจะมีเส้นหนึ่งที่ก้าวเข้ามาหากันไม่ได้

            ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ผมก็คงมีเจ้าเส้นนี้เป็นร้อยเส้น

            ไม่เคยมีใครเข้ามาใกล้มากกว่านี้

            ลูกแพรอาจจะเป็นคนหนึ่งที่ก้าวเข้ามาแล้วเกือบเจ็ดสิบจากร้อย เพื่อนคนอื่นๆในกลุ่มก็ลดหลั่นกันลงไป

            นั่นเป็นเพราะผมอนุญาต

            แต่กับคนตรงหน้าตอนนี้น่ะ

            นอกจากผมจะไม่อนุญาตแล้ว ก็ยังถือวิสาสะฉีกเส้นกั้นเข้ามาโดยไม่ได้ขอ

            ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ก็ยังไม่รู้จุดประสงค์ของเขาว่าทำไปเพื่ออะไร เคยคิดอยากจะถาม แต่ก็กลัวกลายเป็นไปให้ความสนใจ

            ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ผมใช้ความคิดไปกับตัวเองแล้วจ้องหน้าเฟิร์สอยู่อย่างนั้นจนอีกคนรู้ตัว

            “หิวเหรอ”

            จะหิวได้ยังไง เพิ่งกินไปเมื่อกี้

            “เปล่า”

            เขาเลิกคิ้ว “ง่วงหรือเปล่า เดี๋ยวเราหรี่ไฟลงให้”

            “ไม่..ไม่ได้ง่วง”

            “…”

            เขาครางรับในลำคอ กลับไปสนใจหน้าจอแลปท็อปต่อ

            “…”

            ผมเงียบ แต่กลับเกิดความรู้สึกแปลกๆขึ้นมา

            ถ้าผมเป็นคนที่พูดเก่งขึ้นมาบ้าง จะทำให้รอบตัวคลายบรรยากาศอึดอัดบ้างหรือเปล่านะ

            หลายครั้งที่สัมผัสได้ว่าเวลาคนอื่นที่อยู่กับผมไม่ค่อยจะสบายใจเท่าไหร่ เพราะไม่รู้จะหาเรื่องอะไรมาพูด

            และดูเหมือนผมจะเป็นทั้งผู้พูดและผู้ฟังที่แย่ไปพร้อมๆกันซะด้วย

            ดวงตาสีนิลยังจดจ้องอยู่ที่จอ คิ้วเข้มขมวดกันนิดๆเหมือนไม่ได้ดั่งใจ

            ถ้าผมจะลองเปิดบทสนทนาบ้าง คงไม่แปลกไปมากเท่าไหร่หรอก..

            “ทำอะไรอยู่เหรอ”

            “…”

            คิ้วเข้มคลายออกจากกันทันที “แก้เค้าโครงโครงงานอะ”

            ร้องอ้อออกมาในใจ

            ผมอยู่คนละกลุ่มกับเขา ไม่แปลกที่จะทำเสร็จก่อนอีกฝ่าย

            “…”

            เฟิร์สเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็เงียบไป

            “เราช่วยมั้ย”

            อาจจะเป็นเพราะความง่วง หรืออะไรก็ตาม แต่ผมก็พลั้งปากพูดออกไปแล้ว

            “พูดจริงเหรอ”

            “อื้อ”

            อีกฝ่ายยิ้มจนเห็นลักยิ้มที่แก้มซ้าย “มานั่งใกล้ๆเราดิ”

            ผมหอบผ้าห่มที่พันรอบตัวไว้แล้วค่อยๆเดินไปนั่งข้างคนตัวสูง

            “เหลืออะไรบ้าง”

            “เกือบทั้งหมดเลย”

            “หือ ส่งวันพฤหัสนะ”

             ทำไมพวกที่สมองดีๆตั้งแต่เกิดมักจะขี้เกียจกัน

            “ทันอยู่น่า”

            ผมเพ่งสายตาไปที่จอสีฟ้า โน้มตัวลงไปใกล้ ก่อนจะชี้นิ้วให้เจ้าของห้องเห็นว่าต้องแก้อะไรบ้าง

            “อันนี้เราว่าเปลี่ยนใหม่ดีกว่า มันไม่ครอบคลุมเท่าไหร่”

            “…”

            ลากนิ้วลงมาบรรทัดข้างล่าง “อันนี้ต้องมีสามข้อ ส่วนคำถามก็ต้องกระชับกว่านี้”

            “…”

            ผมกวาดสายตาอ่านคร่าวๆ

            “ที่มาดีแล้ว แล้วก็...”

            ผมสัมผัสได้ว่าคนข้างๆเงียบไป จนต้องหันไปมอง

            ก็เห็นสายตาคมที่จ้องลงมาก่อนอยู่แล้ว

            ผมชะงักจนหายใจผิดจังหวะ ก่อนจะกระแอมไอแล้วนั่งตัวตรงเหมือนเดิม

           “ประมาณนี้แหละ”

           หางตาเหลือบไปรอยยิ้มนั้น

           เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ไปไม่เป็นเลย

          “ที่ปรึกษาดีขนาดนี้...”

            “…”

            “ครูไม่ให้ผ่านก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว”


 

           กลับมากวนประสาทเหมือนเดิมได้รวดเร็วเหลือเกิน

           “เราไปนอนก่อนนะ”

           ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะ ก็ยิ่งอยากจะโยนโคมไฟใส่หัวเจ้าของห้องสักที

 

           “ฝันดีนะ ที่หนึ่ง”

 

           และคืนนั้นก็หลับสนิทราวกับเป็นเวทมนตร์
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r f o u r] , 240418
เริ่มหัวข้อโดย: miralchs ที่ 24-04-2018 19:37:23
C h a p t e r   f i v e [1]  ♥

เป็นคู่แข่ง


            เข็มนาฬิกาบนหน้าปัดชี้ไปที่เลขสิบสอง ในยามที่พระอาทิตย์อยู่กลางหัวพอดี

            แดดจ้าที่ส่องลอดผ่านผ้าม่านเข้ามา ทำให้ไม่ต้องเดาเลยว่าออกไปข้างนอกต้องร้อนระอุแทบจะเรียกว่านรกแน่

            เป็นเวลาที่น่าเอื่อยเฉื่อยเสียจริง

            ชายหนุ่มวัยกลางคนตวัดสายตามองเด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งหลังห้องที่หยอกล้อกันอย่างไม่สนใจการเรียนการสอนตรงหน้า บางคนก็เริ่มเท้าคางลงกับโต๊ะอย่างเบื่อหน่าย เสียงพูดคุยคิกคักเริ่มดังมาเป็นระลอก จนทำให้ชายหนุ่มหน้าห้องต้องถอนหายใจ พลางเหลือบมองนาฬิกาข้างผนัง

            “วันนี้พอแค่นี้ครับ กลับได้”

            เมื่อได้ยินประโยคแสนคุ้นเคยจากคุณครูสอนพิเศษหน้าห้อง เหล่าเด็กนักเรียนวัยมัธยมปลายต่างส่งเสียงเฮกันดังลั่นอย่างไม่เกรงใจ แตกฮือเหมือนผึ้งออกจากรัง เมื่อหมดเวลาเรียนที่ยาวนานกว่าสามชั่วโมงในตอนเช้า

            ผมลุกขึ้นสะพายเป้สีขาวคู่ใจอย่างเอื่อยๆ เพราะรู้สึกง่วงเต็มที จากการที่แทบจะไม่ได้พักผ่อนเมื่อคืน

            ดูเหมือนว่าชีวิตม.5 จะวุ่นวายกว่าที่คิด

            เพียงแค่เทอมแรกก็รู้สึกว่างานมันรุมเร้าจนไม่มีเวลาจะกระดิกตัวไปทำอย่างอื่น

            ยิ่งเป็นหัวหน้าห้อง เป็นตัวแทนในหลายๆเรื่องก็ยิ่งเพิ่มหน้าที่ให้รับผิดชอบอีกเป็นเท่าตัว

            ผมถอนหายใจอย่างหน่ายๆ ในเมื่อตัวเองเลือกที่จะมาเส้นทางนี้แล้วก็คงต้องสู้ต่อไป

            “ก้าวออกมาจากห้องยังไม่ถึงครึ่งนาที เหงื่อไหลเป็นลิตรละ เราว่าประเทศไทยแม่งต้องตั้งอยู่กลางพระอาทิตย์แน่ๆ”

            เสียงเพื่อนสนิทผมบ่นกระปอดกระแปดเมื่อต้องออกมาจากห้องเรียนแสนเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศมาเจอกับสภาพอากาศแบบนี้

            “จะไปไหนต่ออะ” ผมถาม

            “ทำโครงงานต่อที่บ้านเต้  โคตรน่าเบื่อ”     

            ดูจากหน้าก็เชื่อแล้วล่ะว่าเบื่อจริงๆ

            “และแกอะ ไปไหน”

            “ไปซ้อมแข่งฟิสิกส์”

            วันนี้วันเสาร์ เป็นอาทิตย์แรกของการนัดซ้อมเพื่อไปแข่ง

            “อ๋อ กับเฟิร์สป้ะ”

            “กับน้องม.4 ด้วยคนนึง” ผมแก้ให้

            “จ้า ก็กับเฟิร์สด้วยนั่นแหละ” ลูกแพรยิ้มพร้อมกับทำหน้าล้อเลียน จนผมต้องเขกหน้าผากมนนั้นไปหนึ่งที 

            “ไปไงหนิ”

            “เดิน”

            “wtf ได้เหงื่อท่วมตายก่อนถึงที่ซ้อมแน่” อีกคนสบถคำหยาบออกมาทันทีเมื่อได้รับคำตอบจากผม
           
            ก็ขอพูดอีกทีว่าลูกแพรเป็นผู้หญิง ถึงจะห่ามไปหน่อยก็เถอะ

            “เอ้า ก็มันคนละทางกับที่ต้องไปซ้อม ไม่มีรถผ่าน”
           
            “บอกเค้ามารับ”

            “เค้าไหน”

 

            “เฟิร์ส”

            ผมทำหน้าเอือมใส่ลูกแพร ก่อนจะยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา “จะให้รอรถเป็นเพื่อนมั้ย”

            “เฟิร์สจริงๆ” เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจประโยคที่ผมพูด แต่กลับมองไปทางด้านหลังแทน
           
            “...”

            “หันไปดู” มือบางจับไหล่ให้ผมหันกลับไป ก่อนจะชี้นิ้วไปที่คนๆหนึ่งที่นั่งพิงผนังอยู่ไม่ไกล

            จนเหมือนรู้ตัว ถึงได้ละสายตาจากโทรศัพท์มามองทางผม

            ผมมองอีกฝ่ายด้วยความฉงน ส่วนลูกแพรเพียงแค่โบกมือบ๊ายบาย แล้วชิ่งไปขึ้นรถประจำทางที่ขับมาจอดข้างหน้าพอดี

            ยังไม่ทันจะอ้าปากถามออกไป คนตัวสูงก็เฉลยในสิ่งที่ผมสงสัยออกมา

            “มารับ”

            “รับ?”

            “อื้อ ไปซ้อมไง”

            ผมขมวดคิ้วใส่อีกคนทันที

            ไม่ถามหรอกว่ารู้ได้ไงว่าผมเรียนที่นี่ เพราะคนอย่างเฟิร์สก็เหมือนจะรู้ตารางเวลาของผมไปหมดแล้ว

            “ละมาจากไหน”

            “บ้าน”

            “จริงจัง?”

            ผมทำท่าเครียดอย่างปิดไม่มิด จนอีกคนขำใส่กับท่าทีของผม

            “มันทางผ่านพอดีอะ”

            “อยู่หอไม่ใช่เหรอ” ผมถามอย่างสงสัย

            “ก็กลับบ้านมา”

            บอกเลยว่าข้อสอบคณิตศาสตร์เกือบร้อยข้อที่ทำไปเมื่อตอนเช้าก็ไม่ได้ทำให้ผมงงขนาดนี้

            “ช่างมันเถอะ ไปซ้อมกัน” เขาตัดบทแล้วเดินไปประจำที่รถคันเดิม

            ถึงจะยังคลางแคลงใจอยู่ แต่ก็เลือกที่จะเดินตามอีกคนไปเพราะใกล้จะถึงเวลาที่ครูนัดเต็มทีแล้ว
           
            เหมือนรถมอเตอร์ไซค์ลูกรักของคนตรงหน้าจะจอดตากแดดไว้นานเกินไปบ่อย ทำให้ต้องรีบชักมือที่เอื้อมไปแตะเบาะกลับทันที

            “ร้อนเหรอ”

            ไม่ได้อยากจะทำตัวยุ่งยาก แต่ลองคิดสภาพแดดตอนเที่ยงกับรถที่จอดอยู่กลางแจ้ง ถ้ารถคันนี้มีชีวิตก็อาจจะตายไปแล้ว

            “นิดหน่อย ไม่เป็นไร รีบไปเถอะ” ผมส่ายหน้า มันก็ยังพอทนได้ ก็ยังดีกว่าต้องเดินไปเอง

            ถ้าอากาศเหมือนฤดูร้อนของประเทศเมืองหนาวสักหน่อยก็คงจะไม่ต้องมาลำบากใครทั้งนั้น

            “เดี๋ยว”

            “…”

            “อะ เอาไปรอง”

            “จะให้นั่งทับเสื้อคนอื่นได้ไง แดดก็ร้อน ใส่ไปเหอะ” ผมปฏิเสธทันทีเมื่อเฟิร์สถอดแจ็คเก็ตสีดำยื่นให้

            “เราใส่เสื้อแขนยาว ไม่เห็นเหรอ”

            “ก็...”

            “รองไว้ กางเกงก็ยิ่งบาง ที่ซ้อมไกลด้วยนะจะบอก”

            กลับไปผมจะเอาพวกกางเกงยางยืดเก็บเข้ากรุให้หมด ซื้อกางเกงยีนส์หนาๆมาไว้ซักสิบตัว จะได้ไม่เกิดปัญหาแบบนี้อีก

            “ชักช้าไปสายนะ”

            ผมพรูลมหายใจออกมาเมื่อคำค้านถูกปัดตกไป ก่อนจะพับเสื้อให้ดีๆเพื่อไม่ให้ไหลลงไปเกี่ยวกับล้อรถ

            เข็มยาวชี้ไปที่เลขสิบ บ่งบอกเวลาที่เหลืออีกแค่ไม่กี่นาที

            “เดี๋ยวจอดเซเว่นให้แป๊บนึง” เจ้าของรถที่เพิ่งสวมหมวกกันน็อคเสร็จเอี้ยวตัวมาพูดให้ได้ยิน

            “จอดทำไมอะ”

            “ซื้อข้าวดิ เพิ่งเลิกไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวก็ปวดท้องอีก”

            “อ่อ โอเค”

            “เอายามามั้ย”

            “เอามา”

            อีกฝ่ายพยักหน้ารับ ก่อนจะบิดคันเร่งทะยานตัวออกไป

            ผมมองแผ่นหลังกว้างนิ่ง เลือกที่จะไม่พูดอะไร

           เงยหน้ามองแดดที่ค่อยๆเคลื่อนลงจากหัวไปทางทิศตะวันตก

           ท่ามกลางแสงแดดที่แผดเผาในวันหยุดแบบนี้

           ทั้งที่เป็นเรื่องที่ไม่ได้น่ายินดีเลยด้วยซ้ำ

           แต่กลับไม่ได้รู้สึกเบื่อหน่ายเหมือนกับที่ผ่านมาเลย..




            “มากันแล้ววววววว”

            เสียงใสตะโกนทักทายมาตั้งแต่ยังไม่ทันได้ลงจากรถ ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร

            น้องม.4 คนนั้นนั่นแหละ

            ชื่ออะไรสักอย่าง ผมจำไม่ได้แล้ว

            สุดท้ายก็มาเลทตั้งแต่วันแรก เพราะมัวแต่รอพนักงานเซเว่นอุ่นอาหารให้

            ช่างเป็นนักเรียนดีเด่นเสียจริง

            “ขอโทษที่มาเลทนะครับครู พอดีผมเพิ่งเลิกเรียนครับ” ผมหันไปไหว้คุณครูที่เพิ่งเดินออกมาสมทบ

            “ไม่เป็นไร ทานข้าวให้เสร็จก่อนค่อยเริ่มก็ได้”

            ครูหนิงก็ยังเป็นครูหนิง ท่าทางสบายๆไม่รีบร้อนของผู้สอนทำให้ผมเบาใจไปเปราะหนึ่ง ถึงจะสนิทกันเพราะถูกวานให้ไปช่วยงานบ่อยๆ แต่ก็รู้สึกเกรงใจที่ต้องปล่อยให้มารอแบบนี้

            “ซื้อมากินอ้างหน้างี้ พีชก็หิวแย่เลยอะดิ”

            อ้อ ชื่อพีช

            “เอ้า มากินด้วยกันมา”

            “ให้กินจริงอะ พีชกินเยอะน้า” รุ่นน้องตาเป็นประกายทันทีเมื่อเฟิร์สเอ่ยชวน คนตัวสูงหัวเราะให้อย่างเอ็นดู พร้อมกับตบที่นั่งข้างๆเชิงให้นั่งลง

            “มานานแค่ไหนละ”

            “ก็สักพักแล้วค่ะ นึกว่าพวกพี่จะมาก่อนเลยรีบมา”

            ผมเหลือบมองเด็กผมเปียตรงหน้า

            คำพูดของน้องฟังผ่านๆก็เหมือนจะไม่ได้ตำหนิอะไร แต่ถ้าคิดเล็กคิดน้อยหน่อยก็รู้สึกผิดที่ปล่อยให้น้องมารอคนเดียว

            “ขอโทษที่ปล่อยให้รอนะ”

            อีกคนพูดแทนผมไปแล้ว เลยได้แต่ก้มหน้าลงทานข้าวต่อ

            “ไม่เป็นไรเลยยย พีชชิลๆ แล้วนี่ไปไหนกันมาอะ”

            “ไปรับที่หนึ่ง มีเรียนเช้าอะ ละก็ไปซื้อข้าวมา”

            “อ๋อ”

            ผมนั่งเงียบๆ ปล่อยให้ทั้งคู่คุยกัน

            “แล้วที่พีชบอกในแชท สรุปว่าไงอะ ไม่เห็นตอบ”

            “พี่หลับแล้ว”

            “โหย ห้าทุ่ม เด็กดีสุดๆ”

            “ใครจะนอนดึกเหมือนเรา” น้องถูกคนข้างตัวเขกหน้าผากไปเบาๆ

            บรรยากาศแบบนี้อีกแล้ว

            “แล้วว่าไงคะ อ่านที่พีชถามยัง”

            “เห็นแล้ว ก็ได้อยู่ พี่จะไปส่งเราก่อนแล้ววนกลับมารับที่หนึ่งทีหลัง”

            “ลำบากแย่เลย พีชไม่รู้ว่ามีพี่หนึ่งมาด้วย” น้องหันมามองผม “รบกวนด้วยนะคะ”

            ผมไม่รู้ว่าทั้งสองคนตกลงกันว่าอะไรบ้าง ไม่อยากจะไปถามเซ้าซี้ เลยได้แต่พยักหน้าอือออตามน้ำไป

            แต่พอคิดดูอีกทีกว่าจะเลิกก็เกือบห้าโมงเย็น ถึงตอนนั้นแดดก็คงร่มแล้ว เดินออกกำลังสักหน่อยก็ไม่ได้ลำบากหรอก

            “กลับตอนไปส่งน้องเลยก็ได้ วนกลับไปกลับมามันเสียเวลาเปล่าๆ ยังไงบ้านเราก็อยู่คนละทางกัน”

            “แล้วจะกลับยังไง มันไกลนะ” อีกฝ่ายปั้นหน้าดุพลางเอ่ยเสียงเข้ม “มาด้วยกันก็กลับด้วยกันดิ”

            “เดินไปโรงเรียนก็ไม่ได้ไกลเท่าไหร่ เดี๋ยวเราขึ้นรถต่อเอา”

            “…”

            “ตามนี้แหละ”

            อีกฝ่ายจ้องหน้าผมนิ่งๆ เหมือนไม่พอใจกับคำตอบที่ได้รับ

            ฝ่ายรุ่นน้องก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ได้แต่ยิ้มแห้งแล้วเดินหลบฉากออกไปเมื่อบรรยากาศเริ่มคุกรุ่น

            ผมไม่พูดอะไรต่อ ไม่สบตากับอีกฝ่าย แล้วลุกออกจากที่ตรงนั้นไป

            ขนาดเพื่อนสนิทหรือเพื่อนในกลุ่มแท้ๆผมยังเกรงใจที่บางครั้งต้องวานให้ช่วยเหลือ นับประสาอะไรกับเฟิร์ส ที่หยิบยื่นน้ำใจให้หลายต่อหลายครั้งทั้งที่ผมไม่เคยแสดงท่าทีที่ดีต่อเขาเลย

            มันไม่ใช่การเล่นตัว หรือยั่วยุให้อีกฝ่ายโกรธ แต่มันเป็นความไม่สบายใจลึกๆที่ผมก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงให้อีกฝ่ายเข้าใจ

            ไม่เคยมีคนมาให้ความสนใจผมแบบนี้มานานมากแล้ว

            ไม่แปลกเลยที่เมื่อได้รับอย่างไม่ทันตั้งตัว จะทำให้ผมรู้สึกไม่ชินและต้องปฏิเสธออกไป

            ผมรู้ว่าเขาต้องอารมณ์ไม่ดีแน่

            แต่คงไม่นานหรอก เดี๋ยวก็กลับมากวนประสาทเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

            “เข้ามาซ้อมได้แล้วทั้งสองคน”

            ก็คงไม่ต้องบอกว่าบรรยากาศวันนี้คงจะเต็มไปด้วยความรู้สึกขุ่นมัวอีกแล้ว...

 

            “พีช หยิบกระดาษให้พี่หน่อย”

            “โอ้ย พีชนั่งอยู่ไกลกว่าพี่อีก ไม่เดินไม่หยิบเองเล่า”

            “อายุเท่านี้ทำไมขี้บ่นจริง ไปหยิบเร็ว”

            “ห่างกันตายอะ ปีเดียว”

            “พูดดีๆ”

            “ขอโทษค่า~”

            สมอลทอล์กวันนี้ช่างขัดใจจริงๆ

            เร่งเสียงจนเต็มหลอดก็ยังได้ยินเสียงเล็ดลอดเข้ามาอยู่ดี

            หากถามว่านิสัยอีกอย่างหนึ่งของผมที่ชัดเจนเอามากๆคืออะไร ก็คงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้

            รำคาญ

            ผมไม่ได้ชักสีหน้าใส่หรือทำหน้าบึ้งหน้าบูดอะไรทั้งนั้น แค่คิดในใจกับตัวเอง ถึงจะมีคนบอกว่าผมเป็นคนเก็บอารมณ์ไม่เก่ง แต่ก็มั่นใจผมว่าฉลาดมากพอที่จะไม่แสดงกิริยาใดๆในสถานการณ์แบบนี้

            “ที่หนึ่ง นั่งเงียบเชียว ได้ยินที่ครูพูดหรือเปล่า”

            “ได้ยินครับ”

            ยอมเสียมารยาทใส่หูฟังต่อหน้าครูก็ยังดีกว่าเพิ่มความรำคาญให้ตัวเอง

            “งั้นก็เอาตามนี้นะ เวลาซ้อมก็มากพอตัวอยู่ อาจจะมีนัดเพิ่มหลังเลิกเรียน ยังไงเดี๋ยวครูบอกแล้วกัน”

            “ครับ”

            “พีชถ้าตามไม่ทันก็ถามพี่เขา อย่าปล่อยให้เป็นความสงสัย แต่ครูรู้ว่าเธอก็เก่งพอตัวเหมือนกัน”

            “แหะๆ ขอบคุณค่ะครู”

            “ตั้งใจนะ”

            เวลากว่าสองชั่วโมงผ่านไปอย่างเอื่อยเฉื่อย วันนี้ก็ไม่ได้อะไรเท่าไหร่นอกจากคิดรูปแบบการทดลอง และคงไม่เสร็จอีกด้วย เพราะอีกฝ่ายก็ตึงใส่กัน

            ผมไม่แปลกใจที่น้องม.4 ไม่ค่อยคุยด้วย ถ้าผมเป็นน้องก็คงจะทำแบบเดียวกัน

            นอกจากจะไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยเข้าหา ก็ยังเป็นพวกถามคำตอบคำ

            ไม่ได้มีอคติอะไรกับน้อง เพราะน้องก็เป็นเด็กผู้หญิงแก่นๆร่าเริงทั่วไป ถ้าสังเกตดีๆผมก็ปฏิบัติกับคนที่ไม่สนิทอย่างนี้เกือบทุกคน

          “ทำไมนอนดึกอะเมื่อคืน”

            “ถ้าบอกว่าอ่านหนังสือจะเชื่อป้ะ”

            “หึ” ร่างสูงส่ายหัว

            “โหย พี่จะดูถูกพีชเกินไปแล้ว”

            “ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอที่ไม่ได้ดูผิด”

            “พี่เฟิร์ส!”

            “ฮ่าๆๆๆ”

            คนตัวสูงดูอารมณ์ดีขึ้นอย่างผิดคาดเมื่อได้คุยกับรุ่นน้องหน้าหมวย

            ก็ดีแล้ว จะได้หายบึ้งตึงสักที

            “ผมปรกหน้าหมดละ”

            จังหวะที่เผลอเงยหน้าขึ้นจากหนังสือนั้น

            ผมก็เห็นเพื่อนร่วมห้องค่อยๆทัดปอยผมให้น้องอย่างตั้งใจ ก่อนที่สายตาคมดุจะเลื่อนมามองที่ผมนิ่งๆ

            ผมไม่ได้หลบตาในทันที เพียงมองเข้าไปในดวงตาสีนิลคู่นั้นอย่างไม่เข้าใจ

            แต่สุดท้ายก็เป็นผมที่หลุบตาลงต่ำด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

            ขอบตาร้อนผ่าว แต่ไม่ได้มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด

            ยิ่งเห็นน้องม.4 เขินจนโวยวายใหญ่

            มือที่จับดินสอก็ยิ่งกำแน่นขึ้น

            มันไม่ใช่ความรู้สึก โกรธ หึงหวง หรือไม่พอใจ

            ไม่ใช่เลยทั้งนั้น

            “ขอไปเข้าห้องน้ำนะครับครู”

           

           ผมลุกออกมาโดยไม่ได้ฟังคำอนุญาต

           แต่ถ้ายังขืนอยู่ตรงนั้นต่อ มีหวังได้แสดงด้านที่ไม่ดีออกไปแน่ๆ

            ไม่ชอบความรู้สึกอ่อนแอเลยสักนิด

            และไม่ชอบ...ที่ควบคุมความรู้สึกของตัวเองไม่ได้

            เหตุผลที่ผมที่สร้างเส้นกั้นให้ตัวเองเป็นร้อย มันไม่ได้มีมากมายอะไรเลย และครั้งนี้ก็อีกเหตุผลหนึ่งเช่นกัน

            ผมปลดล็อกหน้าจอโทรศัพท์

            พิมพ์ข้อความสั้นๆ ลงบนแอปพลิเคชันที่คุ้นเคย

            กดบันทึก ก่อนจะปล่อยมือถือลงกับโต๊ะอย่างอ่อนแรง

            ‘ไม่คิดว่าจะรู้สึกแบบนี้อีก’

         

          ความรู้สึกน้อยใจ

          มันไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย


 

          อันที่จริงแล้ว ผมน่ะ ไม่เคยได้เป็นที่หนึ่งเหมือนชื่อหรอก..



____________________________

ฝากเอ็นดูน้องที่หนึ่งกับเฟิร์สด้วยนะคะ ; )

#เป็นที่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r f i v e] , 240418
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 24-04-2018 20:28:46
สงสารน้องงงง  :hao5:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r f i v e] , 240418
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 24-04-2018 21:28:09
เฟิสแกอ่อยเรี่ยราดมาก เอาสักคน เลือกสักคน~
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r f i v e] , 240418
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 24-04-2018 22:06:01
คลุมเครือมากก  :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r f i v e] , 240418
เริ่มหัวข้อโดย: miralchs ที่ 25-04-2018 12:21:08
C h a p t e r   f i v e [2]  ♥

เป็นคู่แข่ง


            สัปดาห์วันวิทยาศาสตร์มาถึง

            เป็นวันที่เด็กมัธยมรอคอย เพราะแทบจะไม่มีการเรียนการสอน เนื่องจากกิจกรรมที่เตรียมไว้มากมาย ไหนจะซุ้มนิทรรศการที่จัดขึ้นเกือบสิบ และเป็นงานเปิดซะด้วย

            สตาฟของงานก็ไม่ใช่ใครที่ไหน

            ก็รุ่นม.5 อีกตามเคย

            จริงๆมันควรจะส่งมอบให้ม.4 ได้ดูแลบ้าง เพื่อให้น้องได้รู้จักเรียนรู้ เพราะม.5 ก็ยุ่งๆกับกีฬาสี ไหนจะโครงงานอะไรต่อมิอะไรอีก แต่ข้อเสนอก็ไม่ได้รับการยินยอมจากฝ่ายปกครองด้วยเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย

            ถ้าให้เรียงลำดับความสบายของเด็กมัธยมปลาย ม.4 คือที่สุดแล้ว

            “ที่หนึ่ง ครูเรียกอะ”

            ผมหันไปมองตามเสียงเรียก แล้วเดินเข้าไปหา

            วันนี้เป็นวันแรก เรียกได้ว่าเป็นวันแห่งความวุ่นวายสุดๆ ทั้งจะต้องแบ่งไปคุมรอบงาน เฝ้าซุ้ม แถมยังต้องดูแลเด็กประถมที่มาจากต่างโรงเรียนอีก สตาฟก็แทบจะไม่ได้นอนกันเพราะต้องรีบตื่นมาเตรียมของ จัดบริเวณรอบอาคารให้เรียบร้อย ผมเองก็ต้องเป็นหนึ่งในนั้น

            ถ้าเดินผ่านกันแล้วเห็นขอบตาคล้ำก็ไม่ต้องเดาเลยว่ารุ่นไหน

            “เดี๋ยวถ้าว่างแล้วครูฝากวานเอาใบรายชื่อคนแข่งไปเรียงหน่อยนะ จะได้ติดลำดับที่เลย”

            “เป็นหลังเลิกเรียนวันนี้ได้มั้ยครับ”

            “ได้ แต่ขอให้ทันวันแข่งก็พอแล้ว หรือจะให้เพื่อนคนที่ว่างไปทำก็ได้ ครูรู้ว่าเธอก็ยุ่ง”

            อีกข้อหนึ่งของการเป็นเด็กกิจกรรม คือการถูกไว้ใจจากคุณครู

            ถามว่าเป็นข้อดีมั้ย มันก็ต้องดีอยู่แล้ว แต่ถ้ามองในอีกแง่ก็แทบจะทำให้ไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเลย เพราะถ้าเคยได้เรียกใช้ใคร ก็จะใช้คนนั้นไปตลอด

            ผมพยักหน้า ก่อนจะรับใบรายชื่อคนลงแข่งมาเปิดดูคร่าวๆ

            สัปดาห์วันวิทย์ นอกจากซุ้มนิทรรศการ หรือการแสดงต่างๆแล้ว ที่ขาดไม่ได้คือการแข่งขัน

            มีเยอะจนต้องถอนหายใจ โรงเรียนก็ขยันจัดขึ้นมาเก่งเหลือเกิน

            เพราะแข่งช่วงวันท้ายๆที่ไม่ค่อยมีอะไรให้ดูแลมากเท่าวันแรก ทำให้ผมตัดสินใจลงแข่งเป็นบางรายการที่ไม่ต้องใช้สมองอะไรมาก เป้าหมายแค่เพียงอยากได้เกียรติบัตรมาสะสมผลงาน

            ผมเปิดกระดาษผ่านไปเรื่อยๆจนเจอหัวข้อที่ตัวเองแข่ง ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมองรายชื่อเกือบล่างสุด

            สายตาก็ไปสะดุดกับชื่อที่คุ้นเคย

            ไม่ใช่แค่หัวข้อเดียว เพราะเมื่อเปิดไปอีกก็เจอ

            ผมจะไม่เอะใจอะไรเลยถ้าอีกฝ่ายไม่ได้ลงแข่งเหมือนผมทุกอย่างแบบนี้

            คิดจะทำอะไรกันแน่

            ผมลอบถอนหายใจ

            จากวันนั้นก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก ก็กลับมาอีหรอบเดิมเหมือนตอนม.4 ถึงจะพอรู้ตัวว่าเขาไม่ได้ติดค้างอะไรในใจแล้ว ยังกวนประสาทได้เหมือนเดิมตามเคย

            แต่ผมทำไม่ได้

            เหตุการณ์วันนั้น ถ้ากลับมาคิดทวนดีๆก็ไม่ใช่อะไรร้ายแรง แทบจะไม่ใช่ความผิดของเฟิร์สเลย มันขึ้นอยู่กับตัวผมทั้งนั้น

            ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องไปน้อยใจเลย เพราะตัวเองก็ไม่สำคัญอะไรตั้งแต่แรก

            เฟิร์สก็คือเฟิร์ส

            ผมควรจะเข้าใจได้ตั้งนานแล้วว่าจริงๆเขาก็เป็นห่วงทุกคน ดูแลทุกคน ใจดีกับทุกคนเท่ากัน

            ไม่ใช่แค่เฉพาะผมคนเดียว

            แต่ถึงจะคิดได้ยังไง ก็ไม่อยากสู้หน้าอีกฝ่ายแล้ว

            ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไปเถอะ ถึงจะไม่ได้ดีเท่าไหร่แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นจะทำเหมือนอีกฝ่ายไร้ตัวตน

            พอใจกับที่เป็นอยู่แล้วล่ะ..

            “ซุ้มภูเขาไฟขาดคนดูแลว่ะ มีใครว่างมั่ง”

            “ไล่จับเด็กน้อยอยู่เนี่ย โคตรเหนื่อย ทำไมพากันดื้อแบบนี้”

            “ฝนก็จะตก ซุ้มพังขึ้นมานี่ชิบหายกันถ้วนหน้าแน่ๆ”

            เสียงสตาฟในละแวกเริ่มโอดครวญ สภาพอากาศวันนี้ก็ช่างจะเป็นใจเหลือเกิน ร้อนมาตลอดเกือบทั้งเดือน เพิ่งจะมาฝนตกเอาเสียได้

            “เด็กเป็นลมๆๆๆ สตาฟไปดูหน่อย” เสียงตะโกนมาจากอีกฟาก ทำให้กลุ่มที่เพิ่งได้นั่งลงต้องรีบกุลีกุจอลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้

            “ฮืออออ กูยอมกลับไปทำโครงงานแล้ว”

            ประโยคสั้นๆแต่เรียกเสียงหัวเราะครืนใหญ่จากสตาฟบริเวณนั้นได้เป็นอย่างดี ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของแต่ละฝ่าย

ถึงจะวุ่นวาย แต่ก็คิดซะว่าได้ทำอย่างอื่นบ้างนอกจากเรียนแล้วกัน

 

            “เชื่อมั้ยว่าวันนี้ฉันพูดคำว่ารำคาญมาเกือบพันครั้งแล้ว”

            ไม่บ่อยนักที่จะได้ยินคำสรรพนามแทนตัวนี้ นอกเสียจากว่าลูกแพรจะอารมณ์เสียเข้าขั้นสุดจริงๆ

            ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้เพื่อนสนิทผมอารมณ์บูดทั้งวัน แค่นึกถึงตอนพักเที่ยงแล้วมีเด็กประถมวิ่งมาชนแล้วถูกลูกแพรแยกเขี้ยวใส่จนร้องไห้จ้า ผมก็ขำไม่หยุดสักที

            “ไปถือสาเด็กทำไม”

            “ทางเดินกว้างเป็นเมตร เดินวิ่งมาชนฉันเนี่ยนะ ไม่ด่าก็บุญแล้ว”

            “นั่นเด็กป้ะ”

            “ป.5 ก็สมควรรู้เรื่องได้แล้วป้ะล่ะ”

            ผมกลั้นหัวเราะให้แทนคำตอบ เพราะไม่รู้จะขำเพื่อนหรือสงสารเด็กดี

            “เออ มีอะไรจะถาม”

            “ว่า”

            “เฟิร์สคบกับน้องม.4 อยู่เหรอ ที่หน้าหมวยๆ ตัวเล็กๆละก็ชอบถักเปียมาโรงเรียนอะ”

            “…”

            ผมนิ่งไป เด็กผู้หญิงคนนั้นคงไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากพีช

            “ทำไมอะ”
           
            “เอ้า ก็ไม่เห็นเหรอวันนี้ มาโรงเรียนด้วยกัน แถมยังตัวติดกันจนแบบน่าหมั่นไส้อะ”

            เอาเข้าจริง ผมก็ไม่เห็นเจ้าตัวตั้งแต่เช้าแล้ว

            ยุ่งขนาดนี้คงจะมีเวลาไปสนใจคนอื่นหรอก

            “เหรอ ไม่รู้สิ”

            “งั้นน้องม.4 ใช่คนที่ไปแข่งฟิสิกส์ด้วยป้ะ”
           
            “ใช่”

            “โป๊ะเชะ งั้นก็ข่าวจริงแล้วล่ะ ลือกันมาขนาดนี้”

            ผมไม่รู้จะพูดอะไร เลยปล่อยให้ลูกแพรพูดเจี๊ยวจ๊าวไปเรื่อยคนเดียว

            อื้อ ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ เขาดูเข้ากันดีตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแล้ว

            ไม่ได้สนใจเลย..จริงๆ

            “ละทีตอนแรกทำมาเป็นสนใจเพื่อนฉัน ไอ้กะล่อนเอ้ย”

            “มั่วละ”

            “พูดจริงๆ แต่ก็ช่างมันเถอะ คนแบบนี้ก็คงไม่อยากให้ยุ่งด้วยแล้ว”

            “…”

            “เอ้อ ลืมบอกอีกเรื่อง จำได้ป้ะที่ครูเพชรมาถามแกว่าจะลงแข่งชีวะให้มั้ย แล้วแกบอกว่าขอคิดดูก่อนเพราะหาเวลาว่างไม่ได้อะ”

            “ก็จัดเวลาได้แล้วนะ แต่ยังไม่ได้บอกครูว่าจะไป”

            “ชิบหาย ละรู้ยังว่ามีคนเสนอตัวไปแทนแกแล้ว”

            “ใคร?”

            “คนเดิม เฟิร์สนั่นแหละ นี่ก็ไม่รู้ว่าครูเพชรจะเอายังไง ยังไงก็ไปคุยกับครูก่อนละกัน เชื่อดิว่ายังไงครูก็เลือกแก”

            ผมเม้มปากแน่น

            เมื่อไหร่จะเลิกยุ่งเกี่ยวกันสักที

            “ไปคุยตอนนี้แหละ”

 

            ฝนที่ตั้งเค้าว่าจะตกตั้งแต่เมื่อเช้าเริ่มเทลงมา

            ทั้งห้องพักครูเงียบ จนได้ยินเสียงเปาะแปะที่กระทบลงบนหลังคา

            ใบหน้าที่รู้สึกผิดของคุณครูนั้น ทำให้ผมตกกดความรู้สึกผิดหวังลงไว้ในใจ

            “ครูนึกว่าเธอจะไม่ลง ก็เลยลงชื่อให้เฟิร์สไปแข่งแทน” ครูตบบ่าผมเป็นเชิงปลอบ “ขอโทษนะที่หนึ่ง”

            “ไม่เป็นไรครับ ผมก็ผิดที่มาบอกช้าไป”

            “ไว้รอบหน้านะ สัญญาเลยว่ายังไงก็เป็นเธอ” คุณครูร่างท้วมยิ้มให้อย่างโล่งใจเมื่อเคลียร์ปัญหาเสร็จสิ้น

            “ครับ”

            ปฏิเสธไม่ได้ว่าผิดหวัง

            แต่ก็นึกไว้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์นี้ยังไงสักวันก็ต้องเกิดขึ้น ในเมื่อคำว่าที่หนึ่งตลอดกาลใช้ไม่ได้ผลตั้งแต่มีอีกคนมาอยู่ในโรงเรียนนี้แล้ว

            ยกมือไหว้ครู แต่ไม่ทันจะได้เดินออกไปจากห้อง ประตูก็ถูกผลักเข้ามาก่อน

            “ขออนุญาตครั...อ้าว”

            “เฟิร์ส..” เสียงลูกแพรเอ่ยขึ้นเบาๆเมื่อเห็นหน้าคนที่เพิ่งเข้ามา

            ผมอยากจบปัญหากับเขาตรงนี้สักที

            มันคาราคาซังมาจนผมไม่อยากทนแล้ว

            “มาคุยกับเราหน่อย”

 

 

            ลูกแพรลงไปรอข้างล่างแล้ว ตอนนี้จึงเหลือผมกับอีกฝ่ายแค่สองคน

            “ว่าไง”

            “เราเหนื่อย”

            ผมพูดตรงๆขึ้นมาอย่างไม่อ้อมค้อม

            “คือเรา เราไม่รู้ว่าเฟิร์สคิดอะไรอยู่ และเราก็คิดว่าเฟิร์สอาจจะยังไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับเรามากพอ”

            “...”

            “พูดตามตรงเราไม่เข้าใจเลยว่าตั้งแต่เปิดเทอมมานายจะเข้าหาเราไปเพื่ออะไรทั้งที่ตอนม.4 เราก็ไม่ได้สนิทกันเลย เราไม่รู้ว่าทำไมเราต้องมาแข่งกับนายทุกครั้ง ซ้ำๆเดิมๆทุกครั้ง”

            “…”

            “ไม่เคยปฏิเสธว่านายเก่ง เผลอๆก็เก่งกว่าเรา เราไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง แต่บางครั้งนายก็จงใจลงแข่งกับเราตลอด แค่แข่งในวันวิทย์นายก็ยังลงหัวข้อเดียวกับเรา”

            ผมพรั่งพรูออกมายาวเหยียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน คงเป็นเพราะอัดอั้นมาตั้งนาน คิดไว้แล้วว่ายังไงวันนี้ก็ต้องพูดให้จบ จะได้ไม่ต้องมีอะไรติดค้างกันอีก

            “เราถามจริงๆเถอะ”

            “…”

            “เมื่อไหร่จะเลิกแข่งกับเราสักที เราเบื่อจะแย่อยู่แล้ว”

            ไม่รู้ว่าประโยคจะแรงไปหรือเปล่า แต่มันก็เป็นสิ่งที่ผมรู้สึกอยู่จริงๆ

            และเขาก็ยังคงเงียบอยู่ดี...

            จนผมจะก้าวหนีนั่นแหละ อีกฝ่ายถึงได้พูดออกมา

            “ไม่เลิกหรอก”

            “…”

            “ถ้าเลิกแล้วทำให้ที่หนึ่งไม่สนใจ เรายอมให้โดนเกลียดยังดีกว่า”

            คนตัวสูงไม่พูดเปล่า เขาขยับเท้าเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น

            ไม่ไหวแล้ว.. พอกันที

            ทำไมถึงชอบล้อเล่นกับความรู้สึกคนอื่นแบบนี้

            “พูดเองนะ”

            “…”

            “ถ้าอยากเป็นคู่แข่งกับเรานัก ก็ได้”

            “...”

            “แล้วไม่ต้องแปลกใจเลย ถ้าเราจะเกลียดคนที่เป็นคู่แข่งเรา”


         

            ตอนนี้ผมได้รู้แล้วว่าผมไม่ใช่ดาวศุกร์อย่างที่เคยเปรียบเทียบไว้

            เพราะผมไม่ได้อยู่ในวงโคจรเดียวกับเขาด้วยซ้ำ...
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r f i v e 2 ] , 250418
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 25-04-2018 12:41:56
สงสารความรู้สึกน้อง~
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r f i v e 2 ] , 250418
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 25-04-2018 17:52:52
ยังไงก็เข้าข้างหนึ่ง
มีคนมาทำแบบนี้กะเรา เราคงงง
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r f i v e 2 ] , 250418
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 25-04-2018 19:01:44
หูยยยยยยย  :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r f i v e 2 ] , 250418
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-04-2018 03:18:50
อึดอัดใจ
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r f i v e 2 ] , 250418
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 26-04-2018 07:41:26
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r f i v e 2 ] , 250418
เริ่มหัวข้อโดย: miralchs ที่ 26-04-2018 20:59:07
C h a p t e r    s i x  ♥

เป็นอย่างที่เคยเป็น


         ผมเขียนบันทึกไดอารี่มาเกือบสามปีแล้ว

         อาจจะดูไร้สาระสำหรับใครบางคน แต่มันกลับเป็นสิ่งเยียวยาจิตใจของผมได้มาก

         หากไม่มีใครให้ระบายหรือปรึกษา ตัวเองจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด

         คนเรามีการกำจัดอารมณ์ด้วยวิธีที่แตกต่างกันไป การได้เขียน ได้ถ่ายทอดออกมาผ่านตัวหนังสือมันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น อึดอัดน้อยลงเหมือนได้ระบายความรู้สึกออกมาบ้าง

         พอเวลาผ่านไปนาน เมื่อกลับมาอ่านอีกครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าผ่านช่วงนั้นมาได้ยังไงนะ

         ไดอารี่ที่มีทั้งสุขและทุกข์ปนกันไป เรียงร้อยกันเป็นช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตที่ผ่านมาเรื่อยๆ ยิ่งทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น

         ปัดนิ้วเลื่อนลงไปข้างล่าง จนเจอกับบันทึกครั้งแรก

         ตอนนั้นผมอายุแค่สิบสี่

         เป็นเด็กที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ถึงจะไม่ค่อยพูด แต่ก็มักจะยิ้มให้คนรอบข้างตลอด

         ผมภูมิใจกับชื่อที่ป๊าตั้งให้เอามากๆ ทุกครั้งที่ได้แนะนำตัวผมจะเอ่ยชื่อตัวเองอย่างชัดเจน

         ‘ชื่ออะไรน่ะเรา’

         ‘ที่หนึ่ง’

         ‘…’

         ชื่อเป็นที่หนึ่งครับ’

         เป็นชื่อที่แปลกจนทุกครั้งที่บอกไปต่อหน้าเพื่อนๆ ต้องเกิดความสงสัยกลับมาทุกครั้ง

         ‘ทำไมถึงชื่อที่หนึ่งล่ะ เป็นลูกคนแรกเหรอ’

         ผมก็ไม่เคยตอบ ได้แต่ส่ายหัวแล้วส่งยิ้มเล็กๆให้คำถามนั้น

         เพราะไม่นานก็จะมีคำตอบให้กับคำถามนี้เอง..

 

         พี่ชายคนโตของผมชื่อเอก ส่วนพี่สาวคนกลางชื่อวันที่แปลว่าเลขหนึ่ง

         ความหมายของชื่อเราพี่น้องสามคนเหมือนกันด้วยความตั้งใจของป๊าม๊า

         ที่คาดหวังกับลูกทุกคนไว้ตั้งแต่ยังเล็ก..

         พี่เอกเป็นคนที่จัดได้ว่าหน้าตาดีเลยทีเดียว แม้จะขี้หงุดหงิด อารมณ์รุนแรง แต่ก็ถือว่ารักครอบครัวและพร้อมปกป้องคนที่ตัวเองรัก

         ส่วนพี่วันก็เป็นคนน่ารัก ถึงจะเอาแต่ใจไปบ้าง แต่ก็เอ็นดูผมมาตลอด

         ทั้งสองเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย ใจดีกับผมยังไงก็ใจดีกับผมอย่างนั้นเสมอ

 

         ‘น้องหนึ่ง ไปเล่นน้ำกัน’

         ‘แต่ว่าม๊า...’

         ‘พี่ขอให้แล้ว วันนี้วันสุดท้ายนะ น้องหนึ่งไม่อยากไปเล่นเหรอ’

         เด็กน้อยวัยสิบขวบที่ไม่เคยสัมผัสกับคำว่าสงกรานต์ส่ายหน้า คว้ามือพี่ชายและพี่สาวตรงหน้าไว้ทันที

         ‘จับมือพวกพี่ไว้นะ ถ้าหลงกันแย่แน่เลย’

         เป็นวันแรกที่เป็นที่หนึ่งได้เข้าใจโลกของความสนุกในช่วงวัยนั้น

         แต่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่ทั้งสองโดนตี..

         ‘ม๊าบอกว่าอย่าพาน้องเถลไถล ถ้าเป็นอะไรกันขึ้นมาจะเป็นยังไง!’

         ‘ม๊าก็ปล่อยให้น้องไปทำอย่างอื่นมั่งดิ ไม่ใช่แค่อ่านหนังสืออยู่ในบ้านคนเดียว’

         ‘น้องยังเด็ก พวกแกจะไปเข้าใจอะไร ก็เป็นแบบนี้กันทั้งคู่ ม๊าถึงต้องคาดหวังกับน้องไว้ไง!’

          เด็กน้อยยืนร้องไห้ มองพี่ๆที่ถูกตีเพราะตัวเองด้วยความรู้สึกเสียใจ

          เสียใจที่ตัวเองช่วยอะไรไม่ได้

          ทั้งที่รู้แก่ใจว่าพี่ๆโกหกเพื่อให้คนเป็นน้องได้ก้าวออกจากพื้นที่เดิมๆ

          แต่ก็ขี้ขลาดเกินที่จะปกป้อง..

         

         บันทึกไดอารี่ครั้งแรกไม่ได้มีความยาวมากนัก

         แต่กลับไปอ่านอีกกี่ครั้งก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกตอนนั้นเสมอ

         นานมาแล้วที่เราทั้งสามคนไม่ได้พูดคุยหยอกล้อเหมือนเคยทั้งที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน

         ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็คงไม่มีใครอยากให้ความสัมพันธ์มันเป็นแบบนี้ แต่จะให้แก้ไขก็คงเสียไปเสียแล้ว

         ผมในวัยสิบขวบกับตอนนี้น่ะ

         ขี้ขลาดไม่ต่างกันเลย
         
 

 

         อีกไม่กี่เดือนก็จะเป็นช่วงเวลาของกีฬาสี

         แต่ก่อนที่จะถึง ก็คงต้องผ่านโครงงานให้รอดก่อน

         ถ้าให้เปรียบเทียบกับสัปดาห์วันวิทยาศาสตร์กับวันนี้ ก็คงไม่ต่างกันมากนัก ติดที่วันนี้จะดูครื้นเครงกว่าหน่อย เพราะนักเรียนจากโรงเรียนอื่นที่มาไม่ใช่เด็กประถมเหมือนวันนั้น แต่เป็นรุ่นเดียวกัน

         โอกาสที่จะได้เพื่อนใหม่ยิ่งมีมากเพราะเป็นการสานสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียน ถ้าได้ยินมาไม่ผิดตอนเย็นของวันนี้ก็อาจจะปาร์ตี้กันนิดหน่อย

         นักเรียนชั้นม.5 ที่กระจายตัวกันอยู่รอบโรงเรียนเริ่มทยอยเดินเข้าอาคารหลังจากได้ยินเสียงประกาศผ่านลำโพงให้มารวมตัวกันเพื่อจัดการภารกิจวันนี้ให้เสร็จสิ้น

         ผมถอดแมสปิดปากออก กวาดตาทวนสคริปต์อีกที ก่อนจะเก็บลงกระเป๋าเสื้อ

         “หน้าไม่เอ็นจอยเลยว่ะ”

         เต้เดินเข้ามาทัก อีกฝ่ายวิ่งวุ่นทั้งวันเพราะเป็นกลายเป็นอาสาสมัครจำเป็นที่ต้องคอยช่วยเหลือคุณครูตลอดเวลา ผมเห็นเหงื่อเม็ดเล็กๆตามกรอบหน้าของเพื่อนร่วมกลุ่มก็อดจะยื่นทิชชูให้ไม่ได้

         “ต้องเอ็นจอยกับอะไร สคริปต์ยาวเป็นหางว่าว”

         “ธรรมดาล่ะครับคุณหัวหน้า”

         เนื่องจากฝ่ายคณะกรรมการนักเรียนต้องไปทำหน้าที่เฉพาะ กรรมจึงมาตกที่ผมแทน

         ถึงจะเคยไปแข่งพูดสุนทรพจน์ แต่การขึ้นไปกล่าวเปิดงานมันก็เป็นสิ่งที่ผมไม่ค่อยจะถนัดเท่าไหร่ แถมยังมีเวลาให้เตรียมตัวแค่ไม่กี่วัน เพราะผมก็ต้องซ้อมโครงงานของตัวเองไปด้วย

         “ละห้องเราอยู่แถวไหน”

         “แถวขวาสุดเลย สแตนบายกันเรียบร้อยละ แม่งโดนประเมินแถวแรกอีก โคตรบันเทิงอะงานนี้”

         “ใครจับฉลาก”

         “เกด”

         “เออ สมควร”

         เราต่างหัวเราะออกมาอย่างเข้าใจกัน

         รองหัวหน้าห้องที่มาพร้อมกับความซวยซ้ำซวยซ้อนเสมอ แต่เธอก็ทำงานได้ดีเชียว

         “ไปเตรียมตัวได้ละ ครูเริ่มเข้ามาแล้วเนี่ย”

         “เจอกัน”

         ผมตอบไปสั้นๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ไปหลังเวที

 

         บรรยากาศในห้องเริ่มเงียบลงเมื่อกรรมการประเมินเข้ามานั่งประจำที่จนครบ

         ถึงเวลาแล้ว

         ผมสลัดความกังวลทิ้ง เรียกกำลังใจให้ตัวเอง สายตามองไปที่ห้องม.5/12 ก็เห็นเพื่อนๆในห้องยืนยิ้มให้กำลังใจ พร้อมกับลูกแพรที่แอบชูสองนิ้วให้

         ผมยิ้มตอบกลับไป พลันกวาดสายตาไปเจอคนตัวสูงที่สุดในห้อง

         เราสบตากันเพียงเสี้ยววิ..

         ก่อนที่ร่างสูงจะก้มลงมองโทรศัพท์ในมือเช่นเคย

         ผมเบือนหน้าหนี สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วก้าวขึ้นไปบนเวที ท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังขึ้น

 

         “สวัสดีครับ ผมนายเป็นที่หนึ่ง เป็นตัวแทนจากโรงเรียน...”

 

 

          ว่ากันว่าความสัมพันธ์ที่เป็นเส้นขนานน่ะ

          ใกล้แค่ไหนก็ไม่มีวันได้บรรจบกันหรอก..






            “ผ่านไปสักทีโว้ยยยยยย”

            “ไปเพื่อน หมูกระทะเลยวันนี้ กูไม่ไหวแล้ว”

            เสียงครึกโครมดังขึ้นอีกครั้ง หลังจากการประเมินโครงงานผ่านพ้นไป ยอมรับเลยว่าเป็นอะไรที่สูบพลังงานมากพอสมควร และถึงแม้จะผ่านไปแล้วก็ต้องรอดูผลคะแนนอยู่ดีว่าจะผ่านเกณฑ์หรือเปล่า

            ให้ตายเถอะ วิชาหนึ่งหน่วยกิต

            กว่าจะจบงานก็ล่วงเลยเวลามาเกือบห้าโมงเย็นแล้ว ไม่ต้องเดาเลยว่าจุดมุ่งหมายต่อไปของนักเรียนชั้นมัธยมปลายปีสองคืออะไร

            สุดท้ายงานปาร์ตี้ตอนเย็นก็ล่ม เพราะต่างแยกย้ายกันไปแต่ละห้องของตัวเอง ส่วนคนที่หวังจะกระชับความสัมพันธ์ต่างโรงเรียนก็ได้แต่เศร้าไป

            แหงล่ะ ใครไม่อยากจะหาสิ่งใหม่ๆนอกโรงเรียนบ้าง

            “ไปป้ะ ให้ครบ ใกล้ๆ ใครไม่มีรถก็ติดเพื่อนไป”

            “ไอ้ม่วงขับรถใหญ่อะ น่าจะอัดกันได้สัก 4-5 คน”

            “เค เจอกัน!”

            บทสรุปของกว่า 45 ชีวิตของวันนี้จบที่ร้านหมูกระทะใกล้โรงเรียน ผมไม่อยากจะปฏิเสธเพราะไหนๆก็ไปกันทั้งห้อง จะให้กบฏไม่ไปเลยก็คงไม่ดีเท่าไหร่

            โชคดีที่เกือบครึ่งห้องมีรถเป็นของตัวเอง การไปกันทั้งห้องจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ อย่างลูกแพรเองก็มี แต่ขึ้นไปกับเต้คงจะดีกว่า

            “จะไปกับเต้อ่อ”

            “อือ ไว้เจอกันที่ร้าน”

            “เค บอกเต้มันขับดีๆ เดี๋ยวแหกอีก”

            ผมขำ เห็นท่าทางเป็นเด็กกิจกรรมของมันแบบนี้แต่ก็เฮ้วใช่เล่น

            “จะไปด้วย?”

            เต้มองหน้าผมอย่างงงๆทันทีเมื่อเดินเข้าไปหา

            “มีคนไปด้วยแล้ว?” ผมถามกลับ

            “มีมิกไป แต่ซ้อนสามได้ไม่มีปัญหา ขึ้นเลยครับคุณหัวหน้า”

            เพิ่งจะโดนบอกให้มันขับระวังๆแต่จะเล่นซ้อนสามแบบไร้หมวกกันน็อคอีก

            โคตรจะปลอดภัยเลย

            “ขับไหวมั้ย”

            “ซ้อนสี่ก็ทำมาละ”

            “แต่เคยแหกโค้ง”

            “ไม่ขุดได้มั้ยล่ะ ครั้งเดียวเองเถอะ” มันสวนกลับอย่างงอนๆ “ไอ้มิกมาละ มึงนั่งกลางรึหลัง เลือก หัวหน้ารอ” เต้พูดกลั้วหัวเราะ

            มิกเป็นคนร่างใหญ่พอควร และรถของเต้ก็ไม่ได้กว้างแม้แต่นิด เหมือนไว้นั่งได้แค่คนเดียวด้วยซ้ำ แต่เจ้าตัวก็ยังยืนยันว่าเคยซ้อนสี่มาแล้วอยู่ดี

            “นั่งข้างหลังนี่กูจะทับหัวหน้าตายก่อนมั้ยเนี่ย” มิกพูดแบบไม่ได้ใส่ใจ

            “เออนี่ รถของเฟิร์สยังว่างนะเว้ย”

            “…”

            “คันใหญ่ด้วย นั่งสบายอะ”

            ผมเงียบ เต้ก็เงียบ

            เป็นอันว่าเพื่อนในกลุ่มผมทุกคนรับรู้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับอีกคนเรียบร้อยแล้ว

            อย่าว่าแต่ให้ไปนั่งรถคันเดียวกันเลย

            แค่นั่งเรียนในห้องเดียวกันก็อึดอัดแทบตายแล้ว

            “ฮ่ะๆ มันไปแล้วมั้ง รีบขึ้นเถ๊อะ กูหิวละเนี่ย” เต้พูดตัดบท ก่อนจะก้าวขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ตัวเอง

            “มันก็ยืนพิงรถเล่นโทรศัพท์อยู่นั่น”

            มิกชี้ไปที่คนตัวสูงยืนอยู่ไม่ไกล พออีกฝ่ายถอดหูฟังออกมิกก็ไม่ลังเลที่จะตะโกนเรียกทันที จนเต้ตะครุบปากไว้ไม่ทัน

            ใช่ อย่างที่ผมบอกไป เรื่องราวระหว่างผมกับเขามีแค่คนในกลุ่มรู้ คงจะไปโทษมิกไม่ได้

            “เฟิร์ส!! รถว่างช้ะ แบ่งหัวหน้าไปส่งหน่อยดิ”

            ร่างสูงเลิกคิ้ว ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมาที่ผม

            “ไอ้ห่าเอ้ย สนุกเลยมั้ยล่ะ” เพื่อนร่วมกลุ่มผมตบหน้าผากตัวเองอย่างเหนื่อยใจ

            เราไม่ได้คุยกันมาเกือบหนึ่งเดือนเต็มหลังจากวันนั้น แม้กระทั่งการเดินสวนกันก็ไม่เคยเกิดขึ้น การจะให้ไปนั่งรถคันเดียวกันยิ่งไม่มีความเป็นไปได้เลย

            ถึงจะพูดอย่างนั้น

            เฟิร์สก็ยังเป็นเฟิร์ส

            ใจดี..กับแทบทุกคน

            “มาดิ”

            “มึงไปนั่งกับมันเลยมิก ให้หัวหน้ามันไปกับกูนี่แหละ”

            “เอ้า ได้ไงวะ กูอุตส่าห์อยากให้ที่หนึ่งนั่งสบายๆ”

            “ไม่คือ...” ผมมองดูเพื่อนสองคนที่เริ่มมีปากเสียงกันสลับกับอีกคนที่ยืนรออยู่ไม่ไกลแล้วถอนหายใจออกมา

            “เอาตามนี้แหละ เดี๋ยวเราไปกับเค้าเอง”

            “เออ ก็จบละเนี่ย มึงโวยวายไรเต้”

            เพื่อนร่วมกลุ่มของผมหันมามองด้วยแววตาเป็นห่วงอย่างปิดไม่มิด ซึ่งผมก็เข้าใจความหวังดีของเต้ดี

            ให้รองจากลูกแพร ก็คงเป็นมันแหละนะ

            “ไปได้น่า ไปๆ จะหกโมงแล้ว” ผมยิ้มให้อีกฝ่ายเพื่อความสบายใจ ก่อนจะก้าวเท้าเดินไปอีกทาง

            เฟิร์สเก็บโทรศัพท์มือถือลง ยื่นหมวกกันน็อคอีกใบให้โดยไม่ปริปากอะไร

            ผมรอให้อีกฝ่ายสตาร์ทรถถึงได้ก้าวขึ้นรถโดยไม่ต้องให้บอก

            หากการนั่งเรียนด้วยกันในห้องอึดอัดแล้ว การนั่งด้วยกันสองคนแบบนี้ยิ่งทวีคูณเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

            โชคดีที่มอเตอร์ไซค์ออกแบบมาให้เบาะกว้างพอสมควร ทำให้สามารถเว้นระยะห่างระหว่างผมกับเขาไว้ได้

            แผ่นหลังกว้างที่เคยคิดว่าตัวเองคุ้นเคย แต่ตอนนี้กลับยิ่งห่างไกลออกไป

            ถึงจะภาวนาให้ถึงร้านเร็วๆ แต่ก็ไม่เป็นดั่งใจคิด

            ไฟสีเหลืองที่เปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว ทำให้คนข้างหน้ากำเบรกทันที

            มันเป็นไปตามกฎการเคลื่อนที่ของนิวตันข้อที่หนึ่ง ทำให้ผมเสียหลักเซไปชนอีกฝ่ายเข้าอย่างแรง

            “...ขอโทษนะ”

            คำกล่าวที่แผ่วเบาราวกับสายลมกระซิบ

            กับเวลาหนึ่งนาที..ที่ใช้เวลายาวนานราวกับไม่ใช่ความจริง

 

 

            “หัวหน้าห้องกับคุณชายมาละ”

            “เออนั่งๆๆ”

            “เหลือสองที่สุดท้ายพอดี ไม่งั้นชวดละเนี่ย”

            ผมเห็นสายตาเป็นห่วงจากเพื่อนในกลุ่มที่นั่งกระจัดกระจายกันอยู่ โดยลูกแพรที่นั่งอยู่รีบลุกขึ้นมาหาทันที

            “เพื่อนแม่งเล่นจับฉลากแยกกันนั่งอะ เลยจองที่ไว้ให้ไม่ได้ โอเคป่าววะ”

            เพื่อนสนิททำเสียงเครียด เหลือบสายตามองคนตัวสูงพร้อมกับฮูดดำที่เดินตามมาข้างหลัง ลูกแพรไมได้ถามเหตุผลอะไร คิดว่าเต้คงจะเล่าให้ฟังแล้ว

            “ไม่เป็นไร กินแป๊บๆเดี๋ยวก็กลับแล้ว”

            “กลับพร้อมเราเลย ไม่งั้นเดี๋ยวก็วนเข้าอีหรอบเดิม มิกแม่งตัวติดกับไอ้เต้ขนาดนั้น”

            “จะไปหาพี่ซันไม่ใช่เหรอ”

            “เฮอะ จะซ้อมเสร็จเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ช่างมันเถอะ จะกลับเมื่อไหร่เดินมาบอกเลยนะ”

            “โอเค”

            ผมเดินกลับมาที่ที่ว่างอยู่ เขานั่งลงด้านนอกไปแล้ว ทำให้ผมต้องเข้าไปนั่งริมติดฝาผนัง

            ร้านเป็นเหมือนร้านเนื้อย่างทั่วไป ต้องเดินไปตักเอง แต่เหมือนเพื่อนที่มาก่อนจะตักมาไว้เผื่อให้เยอะแล้วเลยไม่ต้องลุกไปหลายรอบ

            “ขอน้ำหน่อย”

            “ไอ้เฟิร์สขอน้ำ ส่งมาให้มันดิ๊”

            “สั่งเป็นคุณชายเชียวนะมึง”

            “จะให้เดินข้ามหัวมึงไปเอามั้ยล่ะ”

            ทั้งโต๊ะหัวเราะครืน บรรยากาศครื้นเครงขึ้น เนื่องจากสลับที่นั่งกันจึงทำให้ไม่เกิดการแบ่งกลุ่มและพูดคุยกันได้ทั่วถึง ละแวกที่ผมนั่งส่วนมากจะมีแต่เพื่อนผู้หญิง ตรงข้ามผมก็เป็นเพื่อนผู้หญิงจากกลุ่มหนึ่งที่ผมไม่ค่อยสนิทด้วยเท่าไหร่ ถัดไปก็พอใจชื้นขึ้นมาหน่อยเพราะเป็นรองหัวหน้าห้องนั่นเอง

            “เอาน้ำอะไร” เพื่อนผู้ชายที่อาสาลุกขึ้นไปเอาให้ถามขึ้น

            “น้ำเปล่า”

            “เฮลตี้สุดๆ”

            “เอามาสองแก้ว อีกแก้วไม่ต้องใส่น้ำแข็ง”

            “กูเรียกเก็บแก้วละร้อยได้มั้ยเนี่ย สั่งจั๊งงง”

            “ค่ารายงานยังไม่จ่ายกูเลย”

            “ขอโทษครับคุณชาย!”

            เพื่อนๆต่างส่งเสียงหัวเราะ แต่เป็นผมคนเดียวที่ทำตัวไม่ถูก

            แทบจะไม่ต้องคิดเข้าข้างตัวเอง ในเมื่อคนเดียวที่ยังไม่ได้แก้วน้ำเหมือนกันก็คือผม

            ผมจะไม่แปลกใจไปมากกว่านี้เลย...

            กึก

            น้ำเปล่าที่ไม่ใส่น้ำแข็งตามที่สั่งถูกเลื่อนมาวางไว้ตรงหน้า โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้หันมามอง

            จะไม่แปลกใจไม่มากกว่านี้..ถ้าเขาไม่รู้ว่าผมเจ็บคอ

            เห็นสายตาเต้ที่นั่งเยื้องๆไปหน่อยหันมามองด้วยความสงสัย ซึ่งไม่ต่างอะไรกับผมตอนนี้เลย

            ผมพูดขอบคุณออกไปพอให้เจ้าตัวได้ยิน ก่อนที่เราทั้งสองจะนั่งเงียบแล้วไม่มีบทสนทนาใดๆร่วมกันอีก

            “ที่หนึ่ง จริงหรือเปล่าที่สละสิทธิ์ไปแข่งฟิสิกส์อะ”

            ผมชะงักไปจนเกือบจะทำแก้วตก เมื่อรองหัวหน้าห้องถามขึ้น

            ท่ามกลางสถานการณ์แบบนี้...

            “อื้อ โดนเรียกไปแข่งวิชาอื่นแทน”

            “โห ดีนะเรียกตั้งแต่เนิ่นๆนี่ถ้าเรียกไปตอนใกล้จะแข่งอะ ตายพอดี แต่เสียดายแทน จะไม่เห็นแชมป์ฟิสิกส์ 2 ปีซ้อนอีกแล้ว”

            ผมยิ้มน้อยๆ ไม่พูดอะไรต่อ

            จะบอกว่าโชคช่วยก็ได้ ที่โดนเรียกไปแข่งอีกวิชาเนื่องจากสำคัญกว่าและวันใกล้กว่าทำให้ต้องสละสิทธิ์การแข่งฟิสิกส์ไป

            เป็นเรื่องที่ดีเอามากๆเพราะผมก็ไม่รู้ว่าจะทนอยู่ในเวลาแบบนั้นได้นานแค่ไหนเหมือนกัน และอาจจะกลายเป็นตัวถ่วงในการแข่งไปเลยก็ได้

            คุณครูเอ่ยปากเสียดาย แต่ยังไงถ้ามีคนอย่างเฟิร์สอยู่ก็คงไม่ต้องเป็นกังวลแล้วล่ะ

            ครืด ครืด...

            เจ้าของฮูดสีดำควักโทรศัพท์ขึ้นมารับสายทันทีเมื่อมีเสียงเรียกเข้า

            ผมค่อนข้างแน่ใจว่าคนในสายเป็นใครถึงทำให้เจ้าตัวต้องรีบรับแบบนี้

            เดาไม่ผิดหรอก

            “ว่าไงพีช”

 

 

            นานมาแล้วที่เด็กคนหนึ่งเคยได้รับสิ่งที่ตามหามาเป็นเวลานาน

            แต่สุดท้าย..ก็ต้องกลับไปเป็นอย่างที่เคยเป็น

            เพราะสิ่งที่เขาตามหาน่ะ..มันไม่ได้มีไว้สำหรับเขา

 
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r s i x ] , 260418
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 26-04-2018 22:25:02
หน่วงเว่อวังอลังการ สงสารหนึ่งทุกอย่างเลย
ทั้วเรื่องที่บ้าน เรื่องเฟิร์ส
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r s i x ] , 260418
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 26-04-2018 23:02:04
 :hao5:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r s i x ] , 260418
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 27-04-2018 00:21:56
มาคุจัง
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r s i x ] , 260418
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-04-2018 01:42:32
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r s i x ] , 260418
เริ่มหัวข้อโดย: miralchs ที่ 27-04-2018 17:21:50
C h a p t e r    s e v e n  ♥

เป็นห่วง


            ทำไมคนเราถึงเกลียดวันจันทร์

            เพราะมันเป็นวันแรกของการทำงานหรือเป็นเพราะเรามีความสุขกับวันหยุดที่ผ่านมามากกว่า

            ไม่รู้สิ เหตุผลของวันจันทร์สำหรับแต่ละคนก็คงไม่เหมือนกัน

            ผมไม่ได้เกลียดมัน แค่รู้สึกเนือยนิดหน่อยที่ต้องวนลูปชีวิตไปเรื่อยๆ หากวันจันทร์เป็นจุดเริ่มต้นของสัปดาห์ที่น่าเบื่อ คืนวันอาทิตย์ก็เป็นจุดสิ้นสุดที่ไม่ต่างกัน

            แน่นอนว่าผมเขียนวันเวลาขึ้นมาใหม่เองไม่ได้เหมือนการเขียนเรียงความ ดังนั้นการทำใจยอมรับวันทั้งเจ็ดจึงเป็นทางเลือกดูจะเข้าท่าที่สุดแล้ว

            แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมเกลียดเสียงนาฬิกาปลุกในตอนเช้าของวันจันทร์จริงๆ...

            เวลาหกโมงกว่าๆผมเดินลงมาจากห้องนอนหลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อย กิจวัตรประจำวันแทบจะเหมือนเดิมทุกครั้งไม่เคยเปลี่ยน เคยเห็นม๊าทำกับข้าวอยู่ในครัวตอนเช้ายังไงก็ยังเป็นเหมือนเดิมอย่างนั้น ซึ่งผมก็รู้สึกยินดีกับที่เป็นอยู่

            การเปลี่ยนแปลงมีทั้งไปทางดีและทางไม่ดี ถ้าจะให้เสี่ยง ผมขอมีความสุขกับอะไรเดิมๆดีกว่า

            “ที่หนึ่ง”

            “ครับ”

            ผมขานรับอย่างแปลกใจ

            เราไม่ค่อยมีบทสนทนายามเช้าร่วมกันสักเท่าไหร่ ม๊าไม่ได้เป็นแม่ที่ทำงานบ้านอยู่บ้านเฉยๆ ท่านมีหน้าที่การงานให้รับผิดชอบ กิจกรรมร่วมกันในครอบครัวจึงมีแค่ช่วงทานอาหารเช้าและก่อนเข้านอนเท่านั้น

            ท่านรู้ว่าผมดูแลตัวเองได้...และผมไม่เคยเอ่ยขออะไร

            “ได้ข่าวหรือยัง..”

            “…”

            “ป๊าจะกลับมาแล้วนะ”

            “…ถาวรเลยเหรอครับ”

            “คงเป็นอย่างนั้น”

            ในสมองของผมยังคงจดจำเศษเสี้ยวหนึ่งของความทรงจำได้ลางๆ

            ผมจำใบหน้าของเขาได้ จำเสียง จำสัมผัสทุกอย่างได้

            แต่ผมกลับจำความรู้สึกที่มีให้เขาไม่ได้

          มันเลือนหายไปราวกับความฝัน แต่สิ่งที่ตอกย้ำว่ามันเป็นความจริงก็คือผู้หญิงตรงหน้าผมตอนนี้

            ถ้าผมเป็นคนที่ขี้ขลาดที่สุดในโลก ม๊าก็คงเป็นคนที่เข้มแข็งที่สุดในจักรวาล

            มีคำถามมากมายที่อยากจะถาม แต่สุดท้ายก็เอ่ยออกไปได้แค่ประโยคเดียว

            “เขายังไม่รู้เรื่องนั้นใช่มั้ยครับ”

            “อืม..ไม่รู้หรอก”

          “…”

          “รู้ไปก็คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้”

          “…”

          “ผิดที่ม๊าเอง ผิดที่ม๊าจริงๆที่หนึ่ง”

          เสียงสะอื้นเบาๆท่ามกลางความเงียบงัน แต่ชัดเจนในความรู้สึก

          กับคนขี้ขลาดคนหนึ่งที่ไม่สามารถจะปลอบคนเข้มแข็งกว่าได้ตลอดไป

          ได้แต่หวังว่าการกลับมาครั้งนี้...จะเป็นจุดเริ่มต้นของวันใหม่เสียที

 

           

            เปิดเทอมมาได้เกือบสี่เดือน ตอนนี้ก็ก้าวเข้าสู่ช่วงเตรียมตัวสอบปลายภาคของเทอมแรกอย่างเต็มตัว

            เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทั้งที่มันก็เดินเหมือนปกติของมัน

            มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น หลายกิจกรรมที่ไม่เคยได้ลองก็มาเจอเอาตอนม.5 อะไรที่ไม่เคยทำร่วมกับเพื่อนๆในห้องก็ได้ทำ นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีเหมือนกัน

            ไม่รู้ว่าอนาคตจะได้เจออะไรแบบนี้อีกหรือเปล่า แต่มันก็คงไม่ใช่ความรู้สึกในตอนนี้แน่ๆ

            คงหาชีวิตมัธยมปลายไม่ได้จากที่ไหนอีกแล้ว

            ผมก็ยังคงเชื่อว่าเมื่อเราโตขึ้นแล้วหันกลับมามองเรื่องเก่าๆ เราจะสามารถยิ้มให้กับมันได้อย่างไร้ความทุกข์ใจ

            ถ้าบางเรื่องไม่ร้ายแรงเกินไปล่ะนะ..

            “เฮ้ออออ ทำไมบรรยากาศมันน่านอนอย่างนี้วะ”

            “โดดได้มั้ย ยังไงวันนี้ก็มีแต่คาบเบาๆอะ”

            ผมหันไปมองใบหน้าที่ง่วงนอนอย่างสุดขีดของเต้ พร้อมกับตบไปกลางหน้าผากมันอย่างไม่แรงมากนัก

            “ตื่น”

            “เจ็บโว้ย ตบลงมาได้ หน้าผากยุบขึ้นมาทำไง”

            “สำออยเกินไปละ”

            “ลองบ้างป้ะล่ะ”

            “อย่าๆๆ อย่าทำร้ายหัวหน้าห้องกู”

            ผมแกล้งหลบฝ่ามือของเต้ หัวเราะหึๆอย่างคนถือไพ่เหนือเหนือกว่า เพราะรู้ทั้งรู้ว่าให้ตายยังไงเพื่อนก็ไม่กล้าลงมือลงไม้กับผม

            มันไม่เชิงเป็นความเกรงใจ แต่ทุกคนก็มีบุคลิกที่ต่างกัน เราก็ควรจะรู้ว่าจะปฏิบัติต่อเพื่อนแต่ละคนแบบไหนถึงจะอยู่ด้วยกันได้

            ความอึกทึกครึกโครมของนักเรียนกว่า 45 ชีวิตเงียบลงทันทีเมื่อคุณครูประจำคาบแรกได้มาถึง ผมบอกทำความเคารพ ก่อนที่คุณครูจะเริ่มเข้าบทเรียนแรกของวันนี้

            เสียงทุ้มเอ่ยเนื้อหาที่เรียนอย่างเนิบนาบคลอไปกับเสียงสายฝนพรำ ราวกว่าครึ่งห้องต่างอ้าปากหาวหวอด ไถตัวลงฟุบกับโต๊ะอย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้าง

            ผมก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีเช่นเคย ยังเป็นเด็กเรียนหน้าห้องในสายตาของคุณครูเสมอ คอยจดตามสิ่งที่ครูสอน แต่สายตาก็เหลือบไปมองเพื่อนรอบๆห้องตลอด

            ล้มตายอย่างอนาถจริงๆ

            ก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ เห็นแบบนี้คะแนนเฉลี่ยในห้องก็สูงพอสมควรเมื่อเทียบกับห้องอื่นๆ

            เรียนบ้าง เล่นบ้าง แต่ก็ยังเป็นห้องที่มีความรับผิดชอบดีเยี่ยม

            ตอนนี้เหลือคนที่ยังตั้งใจเรียนอยู่ไม่กี่ชีวิต ผมก็เริ่มจะคล้อยตามไปแล้ว เลยแอบเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่างนิ่งๆ

            แต่เดิมก็ไม่ค่อยจะชอบหน้าฝน พอเวลาผ่านไปก็เฉยกับมันไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

            ถึงจะเป็นเรื่องที่อธิบายได้ในทางชีววิทยา แต่ก็น่าตลกดีที่ความคุ้นเคยชินจะส่งผลให้ความรู้สึกค่อยๆเปลี่ยนไป

            จนสุดท้ายในห้องก็เหลือเพียงผมกับ..เขา ที่ยังคงนั่งหลังตรงอยู่

            เฟิร์สควงปากกาในมือเล่น ส่วนตาคมดุนั้นก็จ้องไปที่จอโปรเจ็คเตอร์

            ไม่ปฏิเสธหรอกที่ตอนนี้กำลังแอบมองอีกฝ่าย

            ผมสามารถเดินผ่านอีกฝ่ายได้อย่างปกติแล้ว นั่นเป็นเรื่องดี และการนั่งอยู่ในห้องแบบนี้ การได้มองเขาในแบบที่มองเพื่อนในห้องได้ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ดีเช่นกัน

            แต่การจะให้ไปพูดกันตรงๆ...ก็ยังทำไม่ได้

            ความสัมพันธ์เราเริ่มต้นจากจุดไหน ผมจำไม่ได้แล้ว รู้ตัวอีกทีอีกฝ่ายก็ก้าวเข้ามาใกล้จนทำให้ไปไม่เป็น และผมก็ดันไปทำลายมันลงเพราะความไม่เข้าใจของตัวเอง

            เคยตั้งคำถามไว้ในใจว่าเราจะทะเลาะกันหรือเมินกันไปเพื่ออะไร และมันจะเป็นอีกนานแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ไม่มีคำตอบให้กับคำถามนั้น

            ลึกๆแล้วเราทุกคนต่างอยากมีความทรงจำร่วมกันที่ดีกับคนอื่น แต่เราจะไปคาดหวังกับทุกสิ่งไม่ได้

            ก็ไม่รู้หรอกว่าถ้าเวลาผ่านไปแล้วผมจะไปปรากฏอยู่ในความทรงจำของคนอื่นในรูปแบบไหน

          ไม่ได้คาดหวังให้เป็นเรื่องที่ดีที่สุด แค่ให้นึกถึงได้โดยไม่รู้สึกแย่ก็พอ

            ดวงตาสีนิลเปลี่ยนทิศจากจอตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และมาหยุดที่ผมพอดี

            อดีตที่ผ่านมาทำให้เรียนรู้ไปได้บ้างว่าการหลบตาไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา

            เป็นเวลายาวนานที่ดวงตาคมจ้องลึกเข้ามาราวกับหาคำตอบที่ต้องการ           

            ยาวนานจนแทบเกือบลืมลมหายใจ..

             ระยะห่างจากหน้าต่างถึงประตูไม่ได้ไกลไปจากความรู้สึกของผมเลย

             กลับกัน มันยิ่งใกล้เข้ามามากขึ้นต่างหาก






            ไม่ทันได้พักหายใจ กิจกรรมใหม่ก็มาหาทันที

            ‘ซ้อมน้อง’

            ไม่ใช่ซ้อมในความหมายเชิงลบแบบนั้น หากเคยผ่านกีฬาสีมาจะรู้ดีว่าคืออะไร

            จะว่าเป็นเรื่องดีก็ดี จะได้รู้จักกับน้องๆเพิ่มมากขึ้น สนิทกันไว้ก็ดีกว่าไม่รู้จักกันเลย

            ในอีกนัยนึง ก็เป็นความบรรลัยไม่แพ้กัน

            เพราะเด็กม.ต้นเราจะไม่มีทางหยั่งรู้เลยว่าแต่ละคนนิสัยแบบไหน พื้นฐานเป็นคนยังไง ยิ่งน้องใหม่อย่างม.1 ที่เพิ่งเข้ามายังปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมใหม่ไม่ได้ ก็เป็นปัญหาหนักเลยที่ม.5 จะต้องช่วยเหลือกันดูแล

            ถ้าโชคดีก็ดีไป

            แต่ถ้าโชคร้ายล่ะก็...

            “เฮ้ย น้อง จะไปไหน!!”

            “แบร่!!” เด็กน้อยตัวสูงแค่เอวของรุ่นพี่ที่ดูยังไงก็ตัวกะเปี๊ยกชัดๆแต่วิ่งหนีเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ น้องหันมาแลบลิ้นใส่อย่างไม่เกรงกลัว สมาชิกในห้องบางส่วนรีบกระจายตัวไปตามหาเด็กกลับมา ส่วนคนอื่นที่นั่งคุมอยู่แสตนต่างกุมขมับทันที

            “กูตายก่อนวันกีฬาสีแน่ๆ”

            “มึงจำวันวิทย์ได้มั้ย นั่นแหละ คูณสิบเข้าไปเลย”

            ภาระหน้าที่ที่ถูกมอบหมายให้มาคุมแสตนแทนที่จะได้ไปอยู่ฝ่ายทำขบวนทำให้เพื่อนร่วมห้องแต่ละคนอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ แต่ก็ติดที่ต้องปั้นหน้าขึงขังเข้าไว้เพื่อน้องๆจะได้เกรงกันบ้าง

            แต่ก็ที่เห็น นอกจากจะไม่สนใจใยดีแล้วยังท้าทายสุดๆ

            ที่นั่งอยู่ข้างบนตอนนี้มีไม่ถึงยี่สิบด้วยซ้ำ...

            “กูได้ตารางเรียนมาละ วันหลังไปดักหน้าห้องเลย หนีไม่ได้แน่ๆ”

            “ขนาดลากมาถึงแสตนก็ยังหนีได้อยู่ดีป้ะวะ ประมาทไม่ได้จริงๆเด็กพวกนี้”

            ผมที่รับบทบาทเป็นหัวหน้าห้องพ่วงด้วยตำแหน่งหัวหน้าสีน้ำเงินก็แทบจะทนไม่ไหวกับพฤติกรรมของน้องๆ มันจะไม่มีวันสำเร็จแน่นอนถ้าไม่ได้รับความร่วมมือ

            ผมบอกเพื่อนผู้หญิงให้ซ้อมน้องบนแสตนต่อไป อย่างน้อยก็ยังดีที่ยังมีกลุ่มเล็กๆคอยเชื่อฟังบ้าง ยังไงวันนี้ก็ต้องตามตัวมาให้จนครบ ผมเชื่อว่าน้องต้องยังอยู่ภายในโรงเรียนแน่นอน เพราะทั้งประตูหน้าและประตูหลังก็ยังไม่เปิดให้ออกจากโรงเรียน

            กีฬาสีนับได้ว่าเป็นประเพณีของโรงเรียนที่สืบทอดกันมายาวนาน และเป็นกิจกรรมที่ไม่ส่งผลต่อคะแนนใดๆ  หรืออาจจะมีแต่ก็น้อยนิด ดังนั้นจึงเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นด้วยความสามัคคีและความร่วมมือร่วมใจล้วนๆ คนที่อยู่มานานย่อมเห็นความสำคัญ แต่สำหรับน้องๆที่เพิ่งเข้ามา ผมไม่รู้ว่าพวกเขาจะเข้าใจมันมากน้อยแค่ไหน หรืออาจจะไม่เข้าใจเลยก็ได้

            แต่ในวันหน้าน้องก็ต้องเป็นรุ่นพี่เหมือนพวกผม เพราะฉะนั้นการที่จะปล่อยปละละเลยในตอนนี้คงไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ

            “ตามหาเลย ไปหลบได้ไม่ไกลหรอก”

            “ฮือ กูจะร้องไห้”

            “ถ้าน้องปิดจุดบนเสื้อไว้อะ”

            ยอมรับว่าโรงเรียนฉลาดในเรื่องนี้ เราแบ่งสีตามห้องไปเลย และจุดบนเสื้อนักเรียนก็สามารถบ่งบอกได้ทันทีว่าอยู่สีอะไร

            “ถ้าปิดตอนที่เห็นเรา ก็นั่นแหละเด็กสีน้ำเงิน”

            “เออ ป้ะลุกๆๆ ไปวิ่งไล่จับเด็กกัน”

            “เฮ!!”

            ผมหลุดหัวเราะออกมาทันทีเมื่อแก๊งผู้ชายในห้องที่หุ่นล่ำอย่างกับอะไรทำตัวเหมือนเด็กอนุบาลสาม ความติ๊งต๊องที่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีก็ยังคงฝังอยู่ในสายเลือดของพวกนี้จริงๆ

            เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงในการซ้อม ผมกับเพื่อนจึงรีบออกตามล่าเด็ก เอาเข้าจริงวันแรกๆมันก็สนุกดีอยู่หรอก แต่จะให้ตามตัวทุกวันไปแบบนี้คงจะไม่ไหว

            สงสัยต้องได้เรียกมาปรับทัศนคติกันยาวๆ

            ผมแยกย้ายกับเพื่อน คิดเอาไว้ว่าสถานที่ที่หนีไม่พ้นก็คงเป็นแหล่งกบดานของน้องม.ต้นที่หลังอาคาร

            อือ นั่นแหละ เดาไม่ผิดอีกแล้ว

            เด็กตัวสูงโย่งสุดในกลุ่มสะดุ้งทันทีเมื่อหันมาเจอหน้าผม พร้อมกับยกกระเป๋ามาปิดเสื้อนักเรียนทันที

            อยากหัวเราะด้วยความเอ็นดู แต่ก็ติดที่ต้องปั้นหน้าโหดเข้าไว้

            “พี่มาทำไร”

            “มาตามน้องไปขึ้นแสตน” ผมตอบตามความจริง

            “ตามใคร พวกผมจะกลับบ้านแล้ว”

            “ประตูโรงเรียนยังไม่เปิดเลย รีบจัง”

            “พ่อแม่ผมมารอแล้ว!” เด็กตัวเล็กๆเสริมขึ้นมา พอผมก้าวเข้าไปใกล้ก็พากันถอยหลังอย่างรวดเร็ว

            “ก็ไปขึ้นแสตนรอประตูเปิด เดี๋ยวก็ได้กลับ”

            “ไม่ จะกลับตอนนี้!”

            “พี่ฟ้องครูนะ”

            “อย่า ไม่เอา!!”

            ผมเกือบหลุดขำออกไปซะแล้ว แต่ก็ยังเก็บอาการไว้ได้ “งั้นก็ตามพี่ไปซ้อมแสตน”

            เด็กน้อยทั้งสามคนมองอย่างชั่งใจ ก่อนจะค่อยๆเดินตามมาอย่างระวัง

            ผมพยักหน้าให้กับความว่าง่าย ถึงจะจำเป็นเอาครูมาขู่ก็เถอะ

            แต่หลังจากหันหลังให้เท่านั้น

            ผมก็เพิ่งได้รู้ว่าตัวเองประมาทเกินไป

            ผลัก!!! ตุ้บ!!

            “แบร่!!!”

            ผมโดนเด็กตัวโย่งผลักลงอย่างแรง ก่อนจะวิ่งหนีหายไปอีกทาง ความเจ็บที่ข้อเท้าแล่นแปร๊บขึ้นมาทันที แรงที่ไม่ใช่น้อยๆทำให้ผมแทบจะน้ำตาไหล ร่องรอยที่ถลอกจากการครูดไปกับพื้นปูนซีเมนต์ ทำให้ผมต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บแสบ

            ทั้งเจ็บกาย และเจ็บใจไปด้วย

            พยายามยันตัวเองขึ้นแต่ก็ต้องทรุดฮวบลงเมื่อไม่สามารถพยุงร่างกายตัวเองไว้ได้

            อาการนี้นี่มัน...ข้อเท้าพลิกชัดๆ

            ผมยอมแพ้ให้กับร่างกายตัวเอง กัดริมฝีปากไว้จนห้อเลือด ค้านโทษตัวเองที่ไม่พกโทรศัพท์มาด้วย

            อา.. ผมต้องรู้สึกอยากร้องไห้หรือเปล่า

            ป่านนี้เพื่อนๆอาจจะตามหาน้องอยู่ คงต้องรออีกหน่อยกว่าเพื่อนจะสงสัยว่าผมหายไป

            ค่อยๆกระเถิบร่างตัวเองไปพิงผนังแถวนั้นอย่างลำบาก อยากสบถออกมาแทบบ้าเมื่อเห็นเลือดบนหัวเข่าที่ยังไหลไม่หยุด

            รู้สึกหน้ามืดชะมัด

            ให้ตาย ผมไม่น่าเกิดมากลัวเลือดเลย…

            ก่อนที่จะสติจะดับวูบลง ผมได้ยินเสียงตะโกนของใครคนหนึ่ง

            “ที่หนึ่ง!!!”

            เสียงที่เคยถูกใช้กับผมเมื่อนานมาแล้ว...

            เสียงของเฟิร์ส

 

            กลิ่นแอมโมเนียยังติดอยู่ที่ปลายจมูก ผมค่อยๆกลอกตาไปรอบห้อง ไม่ผิดไปจากที่คิดเท่าไหร่ว่าต้องมาตื่นอยู่ในห้องพยาบาล

            อาการมึนหัวยังมีอยู่ติดหน่อย ก้มมองร่างกายตัวเองก็พบว่าได้ถูกทำแผลเรียบร้อยแล้ว จะเหลือแค่รอยถลอกบ้างประปราย แต่เหมือนข้อเท้ายังไงก็คงได้ใส่เฝือก

            ผมค่อยๆยันตัวขึ้น ห้องพยาบาลเงียบเชียบราวกับไม่มีใครอยู่ แต่ร่องรอยอุปกรณ์ทำแผลที่เพิ่งถูกใช้งานไปก็บ่งบอกได้ว่าไม่ได้มีผมอยู่ที่นี่คนเดียวแน่นอน

            ครืด

            เสียงผ้ากั้นห้องเลื่อนออก พร้อมกับคนหนึ่งที่เดินเข้ามา

            “เฟิร์ส…”

            ผมเอ่ยชื่ออีกคนเสียงแผ่ว เมื่อเขาลากเก้าอี้มานั่งใกล้ๆเตียง เขามองผมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือมาจับแขนผม พลิกไปมาสำรวจว่ายังมีรอยถลอกอยู่อีกหรือเปล่า แล้วค่อยๆเลื่อนมาจับมือผมที่กำอยู่ให้คลายออก

            ปลายนิ้วของคนตัวสูงลูบช้าๆไปที่รอยแผลบนฝ่ามือ ผมมองการกระทำนั้นอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ปล่อยให้เขาทำโดยไม่ได้ชักมือออกมา

            ระยะจากตรงนี้ ผมอยู่สูงกว่าเขาทำให้มองไม่เห็นใบหน้าอีกคนที่ก้มต่ำอยู่ เลยไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไร...

            เนิ่นนาน...กว่าเสียงทุ้มจะพูดขึ้น

            “เจ็บหรือเปล่า”

            ผมไม่ได้ปฏิเสธ พยักหน้าลงเงียบๆ

            ปลายนิ้วหยุดลูบไปแล้ว เพราะเปลี่ยนทิศทางมาที่ใบหน้าแทน...

            มือหนาเคลื่อนเข้ามาใกล้ ลูบเศษดินที่ติดอยู่ข้างแก้มให้อย่างแผ่วเบา และวางมือไว้อยู่อย่างนั้น

            สัมผัสที่อบอุ่นทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าที่มองมาก่อนอยู่แล้ว

            บางอย่างที่กำลังเปลี่ยนไป..

            ผมไม่ได้กลั้นลมหายใจไว้เหมือนเมื่อก่อน แต่หัวใจกลับเต้นรัวอย่างไม่เคยเป็น
           
            หลอกตัวเองมาตลอดว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ดีแล้ว

            ทั้งที่จริงๆส่วนลึกในใจก็หวังไว้ทุกครั้งว่าจะกลับมาคุยกันได้เหมือนเดิม

            ความเงียบในตอนนี้ทำให้ได้ทบทวนกับตัวเองว่าการกระทำที่ผ่านมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย

            สุดท้ายก็เป็นตัวเองที่รู้สึก...

            “เฟิร์ส..”

            ผมเรียกชื่อคนตรงหน้าอีกครั้ง แต่ปลายนิ้วโป้งของเขาก็เลื่อนมาทาบที่ริมฝีปากของผมเสียก่อน

            “…”

            “…”

            สุดท้ายก็เป็นคนตัวสูงพูดออกมาก่อนเหมือนเช่นเคย

 

            “ขอโทษที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ”

            “…”

            “ขอโทษที่เข้ามายุ่งตลอด แต่เราห้ามตัวเองไม่ได้”

            “…”

            “ถึงจะรู้สึกไม่ดีกับประโยคในวันนั้นเลยยอมถอยออกมา แต่ตอนนี้เราก็ฝืนตัวเองไม่ไหวจริงๆ”

            “…”

 

            “หายโกรธกันเถอะนะ...”

            “…”

            “อย่าเกลียดกันเลย”


            เป็นครั้งแรกที่เห็นดวงตาสีนิลนั้นสั่นไหวจากที่เคยมั่นใจตลอดมา..

            ราวกับคำอธิษฐานในใจที่ได้การตอบรับจากการรอคอยมาแสนนาน

            หากผมเคยเป็นที่หนึ่งในทุกๆเรื่อง

            ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่ผมยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มแข่งขัน

 

            “เราไม่เคยเกลียดมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”

 

            ฤดูฝนได้ผ่านพ้นไปพร้อมกับความทรงจำเก่า

            กับลมหนาวที่พัดเอาความรู้สึกหนึ่งเข้ามาเยือน...

หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r s e v e n ] , 270418
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 27-04-2018 18:31:41
เอาแล้ววววววว ฮืออออ เป็นกำลังใจให้ค่า
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r s e v e n ] , 270418
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-04-2018 19:04:25
ความมืดมนจะหายไปใช่ไหม
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r s e v e n ] , 270418
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 27-04-2018 19:52:32
งือออ เขาคืนดีกันแล้ว
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r s e v e n ] , 270418
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 27-04-2018 22:18:00
เอาละเหวยยยยยยยยยยย อย่าพลิกล็อกดราม่ากันอีกเด้อออ
อึดอัดใจมาตั้งแต่เปิดเรื่อง55555555
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r s e v e n ] , 270418
เริ่มหัวข้อโดย: miralchs ที่ 28-04-2018 14:48:43
C h a p t e r   e i g h t  ♥

เป็นคนน่ารัก


            วันนี้เป็นวันที่อากาศดีกว่าทุกวัน

            บรรยากาศตอนเที่ยงไม่ได้อบอ้าวเหมือนอย่างเคย เป็นสัญญาณของฤดูกาลที่ผลัดเปลี่ยนไป ถึงจะเข้าสู่ช่วงหน้าหนาวก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อนักเรียนไทยนัก ดีเสียอีกที่หลุดพ้นจากอากาศร้อนไปได้บ้าง

            อาทิตย์หน้าเป็นอาทิตย์แห่งการสอบปลายภาคเรียนที่หนึ่ง งานทุกงานที่ค้างจึงต้องจบลงให้ได้ภายในวันศุกร์นี้ ไม่ใช่แค่เด็กม.5 ที่หัวหมุน ชั้นอื่นๆก็พอกัน ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่วันนี้จะเห็นโรงอาหารแออัดไปด้วยเด็กมัธยมเกือบทั้งโรงเรียนจากที่ปกติก็เยอะอยู่แล้ว

            เกือบครึ่งแทบจะไม่ได้มานั่งกินข้าวหรอก จุดประสงค์คือโดดเรียนมาปั่นงานทั้งนั้น

            มองเข้าไปในโรงอาหารแล้วก็ต่างพากันยอมแพ้ ถึงแม้จะกว้างแค่ไหน ถ้าคนเยอะแบบนี้อย่าว่าแต่อ่านหนังสือเลย คงไม่เป็นอันจะทำอะไรแน่ๆ

            อีกทางเลือกหนึ่งเป็นสถานที่ที่สงบอยู่สมควร แต่ก็เดาใจไม่ถูกว่าจะเปิดให้ใช้ตอนเที่ยงหรือเปล่า นั่นแหละ เดาไม่ผิดหรอก ถ้าโรงอาหารไม่ว่าง ก็มีให้เลือกอีกที่เดียวคือห้องสมุด

            กลุ่มเพื่อนถ้ารวมผมด้วยแล้วเรามีราวๆ 5-6 คนปนทั้งผู้หญิงผู้ชาย ถามว่าเป็นกลุ่มแบบไหน จะบอกว่าเด็กเรียนเลยก็ไม่เชิง ต้องบอกว่าเป็นผมคนเดียว ส่วนที่เหลือก็เรียนๆเล่นๆตามประสาวัยมัธยมแล้วเน้นไปทางกิจกรรมกันมากกว่า

            พูดถึงเรื่องกิจกรรมแล้วอดนึกถึงกีฬาสีไม่ได้ งานใหญ่ที่สุดในม.5 ยังไงก็ไม่พ้นเรื่องนี้ แต่เจอเหตุการณ์แบบนั้นไป ให้ตอบตามตรงก็แอบท้อตั้งแต่เริ่มแล้ว

            หลังจากทำแผลที่ห้องพยาบาลเสร็จ ผมก็ไม่ได้เข้าเฝือกอย่างที่คิดไว้เพราะอาการดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงจะเดินขัดๆบ้างก็นับว่าอยู่ในระดับที่ไม่ได้เลวร้าย

            ส่วนเด็กสามคนนั้น...ไม่เหลือ

            ถูกลากมาคุยพร้อมผู้ปกครอง ร้องไห้งอแงใหญ่โกหกว่าไม่ได้ทำ แต่หลักฐานก็ชัดเจนบนกล้องวงจรปิด พ่อแม่เด็กขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่พร้อมกับชดเชยค่ารักษาให้ แต่ก็ผมก็ไม่ได้รับไว้เพราะไม่ได้ถึงขั้นที่จะต้องเข้าโรงพยาบาล

            สงสารมั้ยก็สงสารนิดหน่อย แต่ความผิดก็คือความผิด ยิ่งเป็นเด็กแล้วก็สมควรที่จะโดนตักเตือน ผมไม่ได้ติดค้างอะไรแต่ก็ว่ากล่าวไปตามสมควร

            ต่างจากอีกคนที่ทำแผลให้ผมอยู่ที่ห้องพยาบาล ยั้งอารมณ์ไม่อยู่เลยสักนิด จนเพื่อนต้องปรามให้ใจเย็นเพราะผู้ปกครองก็นั่งอยู่ด้วย บรรยากาศเริ่มมาคุเมื่อเฟิร์สขอใช้สิทธิ์ของการเป็นหัวหน้าสีลงโทษเด็กทั้งสามคน

            ‘ผมคงต้องรายงานความพฤติให้กับฝ่ายปกครอง’

            ‘…’

            ‘ถ้าไม่ดัดนิสัยตั้งแต่ตอนนี้ โตขึ้นไปก็จะทำแบบเดิมอีก หวังว่าผู้ปกครองน้องๆจะเข้าใจนะครับ’

            ไมได้แย้งอะไรออกไปทั้งนั้น เพราะถึงแย้งไปก็ไม่มีสิทธิ์อยู่ดีเพราะอีกฝ่ายถูกรับเลือกให้เป็นหัวหน้าใหญ่ที่สุด ทุกอย่างทุกฝ่ายต้องถูกควบคุมโดยเขา

            แต่เหตุผลจริงๆที่ไม่อยากขัดก็เพราะรู้ว่ามันเป็นความหวังดีของเขาต่างหาก..

            ก็ยังยืนยันคำเดิม

เฟิร์สน่ะใจดีกับทุกคน

            จากวันนั้นก็ผ่านมาได้สี่วัน คงไม่ต้องบอกเลยว่าทุกอย่างแทบจะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ

            อันที่จริงแล้วเราก็ยังเป็นเพื่อนในห้องกันเหมือนเดิม กลับมาทักทาย พูดคุยได้อย่างปกติดี

            แต่สิ่งที่ไม่ปกติน่ะ...มันก็มี

            “มองหาใครอะ”

            “ช่วงนี้ใจลอยเหลือเกินนะครับคุณที่หนึ่ง”

            ลูกแพรกับเต้ที่เดินมาวางหนังสือใส่โต๊ะเสียงดังตุ้บอย่างจงใจให้สะดุ้ง แต่ผมก็เพียงหันไปมองนิ่งๆแล้วส่ายหัว

            “ตัวอยู่ห้องสมุด ใจอยู่ที่ไหนแล้วน้า~”

            อยากลุกไปเขย่าคอเพื่อนสนิทตรงหน้าจริงๆถ้าไม่ติดว่าจะก่อความรำคาญให้คนอื่นในห้องสมุด

            แน่นอนว่าบรรยากาศระหว่างผมกับเขาที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดทำให้เพื่อนต่างรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น แถมอีกฝ่ายยังแวะเวียนมาให้เห็นหน้าบ่อยจนเพื่อนชินไปแล้ว

            ก็ไม่ได้มีใครว่าอะไร มีแต่สองคนนี้นี่แหละ ไม่เลิกไม่ถอยสักที

            ไมได้แซวเลยจะขาดใจตายหรือไงกัน

            “อ่านหนังสือไป”

            “แน่ะๆ ทำเป็นกลบเกลื่อน”

            “จะเอาไงว่ามา” ผมปรายตามองอีกคนอย่างเอือมๆ

            “แฮ่ ไม่แซวก็ได้จ้า”

            อยากถอนหายใจใส่เพื่อนตัวดีสักล้านครั้ง รู้อยู่แก่ใจว่ามันหยอกเล่น แต่ก็อดรำคาญไม่ได้อยู่ดี

            อีกฝ่ายก็มีเจ้าข้าวเจ้าของแล้ว ยังจะแซวให้เข้าใจผิดกันไปอีก...

            ผมก็ไม่ได้รู้สึกแย่ขนาดนั้น เพราะนั่นมันก็เป็นเรื่องของคนสองคน เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผม

            แค่กลับมาพูดกันได้เหมือนเดิมก็ดีแล้ว

            ส่วนอาการอื่นๆ ก็ช่างมันเถอะ

          เดี๋ยวสักวันก็จางหายจนไม่รู้สึกเอง

            งั้นเหรอ?

            ให้ตาย ขอถอนคำพูด กว่ามันจะไม่รู้สึกผมคงต้องใช้เวลาเป็นปีเลยล่ะ ถ้าเขายังมาวนเวียนรอบตัวแบบนี้

            สายตาเหลือบมองคนตัวสูงที่เพิ่งอยู่หน้าประตูห้องสมุด เวลาพักเที่ยงในวันปกติเฟิร์สไม่มีทางมาขลุกอยู่ที่นี่เป็นแน่ แต่จะบอกว่าร่างสูงที่เดินเข้ามาเป็นร่างโคลนนิ่งก็จะเหลือเชื่อเกินไป

            เขายังโดดเด่นในหมู่เพื่อนเสมอ แม้จะมีส่วนสูงที่ไล่เลี่ยกันทั้งกลุ่ม รอยยิ้มของเฟิร์สก็ยังเอาชนะคนรอบตัวได้อยู่ดี...

            โชคดีที่เขายังไม่เห็นผมที่อยู่ตรงนี้

            “พูดถึงก็มาเลยแฮะ พรหมลิขิตหรือตั้งใจน้า” ไม่ทันไรคนนั่งตรงข้ามก็เอ่ยปากแซวอีกครั้งหลังจากเงียบไปไม่ถึงห้านาที

            “พูดมากจริงๆ”

            เต้เปิดปากลงหัวเราะไร้เสียงอย่างพอใจเมื่อได้โดนผมด่า ก่อนที่เพื่อนสนิทอีกคนจะเข้ามาผสมโรงด้วยผมก็ลุกหนีทันที

            นั่งอยู่ตัวไปมีหวังตัวพรุนหมดแน่

            ผมเดินมาหลบที่ซอกชั้นหนังสือมุมหนึ่งที่เป็นส่วนตัวพอสมควร อย่างน้อยก็อยู่นี่สักพักดีกว่า ผมไล่สายตามองหาหนังสือบนชั้นไปเรื่อยๆจนสะดุดตากับเล่มหนึ่งที่อยู่เหนือหัวผมไป

            พลันโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นขึ้น 

            หน้าจอโชว์ข้อความหนึ่งจากคนที่เพิ่งเดินเข้ามา...

 

            1st : มาติวข้อสอบให้หน่อย

 

            ผมชั่งใจอยู่ครู่ ก่อนจะพิมพ์กลับไป

            ให้ไปนั่งติวในกลุ่มนั้นคนเดียวคงเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมคิดจะทำ ถึงจะเพื่อนร่วมห้องแต่นิสัยก็ไม่ได้เข้ากันได้ทุกเรื่อง

 

                                                                                                                                                         กินข้าวอยู่

 

            หน้าจอขึ้นคำว่า read อย่างรวดเร็วเหมือนเคยเมื่อพิมพ์ตอบกลับ ผมเก็บโทรศัพท์ลง หันไปสนใจหนังสือบนชั้นที่ต้องการ

            ให้ตายเถอะ ไม่เคยอยากโทษส่วนสูงร้อยเจ็ดสิบสองของตัวเองเท่าวันนี้มาก่อนเลย

            ผมเอื้อมมือสุดแขน ทันใดนั้นกลับถูกปัดออกไปจากมือปริศนาที่เป็นฝ่ายหยิบให้แทน

 

            “เพิ่งรู้ว่าห้องสมุดมีไว้กินข้าว”

            ผมหันไปมองอย่างตกใจทันทีเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นหูมาหยุดอยู่ข้างๆ อีกฝ่ายไม่ได้แสดงท่าทีอะไรแต่ใช้ดวงตาคู่คมจ้องมาพร้อมกับยื่นหนังสือที่ต้องการให้

           “เรา...” ผมลอบกลืนน้ำลายอย่างรู้สึกผิด

           “ไม่อยากเจอหน้ากันขนาดนั้น?”

           “เปล่า ไม่ใช่”

           เฟิร์สยังยืนจ้องหน้าเหมือนรอฟังคำอธิบายจากผมอยู่ จึงต้องจำใจตอบอีกฝ่ายไป

           “ก็ไม่อยากไปนั่งอยู่ในกลุ่มนั้นคนเดียว”

           “แสดงว่าเห็นเราตั้งแต่เดินเข้ามาแล้วดิ”

           “ก็..อื้อ” ต้องยอมรับอย่างเลี่ยงไม่ได้

           ต่างฝ่ายต่างเงียบ เพราะไม่อยากจะทะเลาะกันอีกผมเลยเลือกที่จะยืนนิ่งๆอยู่แบบนี้

           ถ้าเป็นปกติก็คง...เดินหนีไปแล้ว

           สักพักก็รับรู้ได้ถึงแรงที่ฉุดแขนให้นั่งลงไปในพื้นที่คับแคบ เงยหน้ามองอีกฝ่ายก็พบกับสายตากวนประสาทเหมือนเดิม

           อือ..นี่แหละเฟิร์สตัวจริง

           “งั้นก็นั่งติวอยู่นี่แหละ”

           “ไม่อึดอัดเหรอ เดี๋ยวไปนั่งข้างนอกก็ได้...”

           ลำพังผมคนเดียวไม่เท่าไหร่ ก็พอจะยัดตัวลงได้ แต่อีกฝ่ายที่ทั้งแขนขายาวคงจะนั่งไม่ถนัด

           “หึ ขี้เกียจฟังพวกแม่งแซว”

           อีกฝ่ายพูด แล้วหันมายิ้มมุมปากให้น้อยๆ “หรือจะออกไปดี..”

           “นั่งอยู่นี่แหละ”

            กวนตีนจริงๆ

            เราไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงอะไรกันอีก มาติวก็มาติวอย่างที่พูด ตอนแรกก็แอบนึกว่าคนตัวสูงจะหาเรื่องมากวน แต่พอเห็นใบหน้าจริงจังของอีกคนก็ต้องหยุดความคิดนั้น

            ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงได้ใจเด็กผู้หญิงแทบครึ่งโรงเรียนไปครอง...

            “มองอะไร”

            เสียอย่างเดียวก็สายตาล้อเลียนแบบนี้นี่แหละ

            ไม่น่าเผลอให้เลย

            ถึงจะได้ไปแทบครึ่งโรงเรียน แต่ยังไงก็มีตัวจริงที่ครอบครองไปแล้วอยู่ดี

            ไม่บ่อยครั้งที่ผมจะเริ่มพูดอะไรก่อน แต่ครั้งนี้ก็สงสัยจนต้องเอ่ยปากถามอีกฝ่าย

            “ไม่ไปหาพีชเหรอ”

            แปลกที่ไม่เคยจะจำชื่อน้องคนนั้นได้ แต่พอมาเกี่ยวข้องกับคนตรงหน้ากลับจำได้แม่น..

            คนตัวสูงเลิกคิ้วอย่างสงสัย “ทำไมต้องไปหาอะ”

            ปฏิกิริยาตอบรับของเฟิร์สทำให้ผมเริ่มงง

            “ก็...”

            “ไปได้ยินไรมา”

            “ก็...เป็นแฟนกัน...ไม่ใช่เหรอ”

           ราวกับห้องสมุดตกอยู่ในความเงียบสนิท

           “เอาจริงดิ..”

           อีกฝ่ายพึมพำออกมาโดยที่ผมยังงุนงงอยู่ ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะหึหึตามมาทันที

           “อะไรอะ” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ

           “ใครบอก” อีกฝ่ายหันมามองกันตรงๆ แต่ใบหน้ายังเจือไปด้วยความขนขัน

           “ก็เห็นเค้าลือกัน”

           “แล้วเชื่อเหรอ”

           “ก็ไปรับไปส่งกันทุกวัน” ผมพูดอีก

           “ผิดคนละ ไปส่งน้องเขาไม่ถึงสามครั้งเพราะน้องขอมา”

           “แล้วก็...โทรหากันตลอดไม่ใช่เหรอ”

           “อยู่กับเราตลอดเหรอถึงรู้” อีกฝ่ายตอบด้วยความขำปนรอยยิ้ม

            “...”

 

            “ไม่ได้คบกัน ไม่เคยคบด้วย”

            คนตัวสูงหันมาสบตาพูดอย่างจริงจังและหนักแน่น

            พร้อมกับโน้มใบหน้าลงมาใกล้มากขึ้น...

            “ไม่รู้ๆจริงเหรอว่าตอนนี้มองอยู่คนเดียว”






            คุณว่าความเขินอายมีกี่ระดับ

            เป็นคำถามที่ชวนให้งงแปลกๆ และไม่รู้ว่าต้องตอบในเชิงไหนถึงจะตรงประเด็นมากที่สุด

            ถ้าถามคนหนึ่งร้อยคน เชื่อเลยว่ายังไงก็มีคำตอบเป็นร้อยคำตอบ

            แต่รู้หรือเปล่าการที่จะตอบคำถามนี้ได้น่ะ

            คุณต้องเคยมีความรู้สึกนี้มาก่อน...



            วันนี้เหมือนอะไรๆก็เป็นใจไปหมด

            นอกจากอากาศแจ่มใส มีลมหนาวพัดพอให้รู้สึกสดชื่น กับดวงอาทิตย์ที่เริ่มอ่อนแสงลง แล้วยังมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นอีกอย่างเช่นตอนนี้

            เสียงเชียร์บนแสตนของน้องๆทำให้พี่ม.5 ที่มองขึ้นไปจากข้างล่างแทบจะน้ำตาไหลด้วยความรู้สึกดีใจ ในที่สุดผลจากการเคี่ยวเข็ญมาเกือบอาทิตย์ก็แสดงให้เห็นในวันนี้ เด็กมัธยมต้นเริ่มเปิดใจและเริ่มเข้าใจเหตุผลของพวกผมมากขึ้นทำให้การฝึกซ้อมหลังเลิกเรียนเป็นไปอย่างราบรื่น ถึงแม้จะยังไม่เต็มร้อยแต่ก็ดีกว่าวันแรกๆมากโข

            ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยเลยถ้าได้เจอความร่วมมือที่ดี

            หน้าที่ของการเป็นหัวหน้าสีของผมก็ดำเนินต่อไป ได้ทำความรู้จักกับน้องหลายคนรวมถึงเพื่อนต่างห้อง มันเรื่องที่ดีที่ได้รู้จักกับสังคมใหม่ๆ ทั้งการได้พูดคุย ได้ทำงานร่วมกัน

            คงเป็นประสบการณ์ของวัยมัธยมที่หาจากที่อื่นไม่ได้แล้วล่ะ

            “วันนี้พอแค่นี้ครับ ขอบคุณน้องๆทุกคนเลย กลับบ้านกันดีๆนะ” ผมพูดผ่านโทรโข่งขึ้นเพื่อให้ได้ยินทั่วกัน

            “เฮ!!”

            หน้าที่ของการเป็นรุ่นพี่ได้จบลงแล้ว ต่อไปก็คงกลับเข้าสู่หน้าที่ของนักเรียนเต็มตัว

            วันนี้เป็นวันที่มีการเรียนการสอนครั้งสุดท้ายของภาคเรียนที่หนึ่ง บรรยากาศหลังเลิกเรียนจึงค่อนข้างคึกคัก เพราะต่างก็รู้ดีว่าอาทิตย์หน้าเป็นช่วงมรสุมความโหดร้ายจึงใช้เวลาแห่งความสุขที่มีตอนนี้ให้เต็มที่ก่อนที่จะไปเผชิญหน้ากับการสอบ

            “ไปไหนต่อดีเพื่อน” เต้ตะโกนถามขึ้นมา

            “กลับไปอ่านหนังสือเถอะมึงอะ”

            “ฟีลยังไม่มา อ่านไม่ได้โว้ย” เพื่อนรอบๆหัวเราะร่วน ก่อนจะทยอยแยกย้ายกันกลับ

            “ที่หนึ่ง ไปไหนต่อวะ”

            เต้เบนเป้าหมายมาที่ผมแทน หลังจากที่เพื่อนคนอื่นในกลุ่มต่างพากันตอบเป็นเสียงเดียวว่าจะกลับไปนอน

            “ไปเรียน”

            “โอโห ฟิตไปอีกนะครับคุณ”

            “คอร์สมันยังไม่หมดจะให้เสียเงินทิ้งหรือไง”

            นี่แหละเรื่องที่ไม่เคยเลี่ยงได้ไม่ว่าจะงานยุ่งแค่ไหนก็ตาม

            “ละจะไปไหน” ผมถามกลับ

            “ไม่รู้ ก็พากันเทกูกันอะ”

            “เอ้า นั่นไงมิก ไปกับมันดิ”

            “หึ รำคาญมัน” เต้ทำหน้าบูดๆ

            เอาเป็นว่าผมจะเข้าใจใหม่เป็นงอนกันอยู่แล้วกัน

            “ไปไงอะ ให้กูไปส่งได้นะ”

            “ไม่เป็น..”

            ยังไม่ทันได้พูดจบ เสียงริงโทนจากมือถือผมก็ดังขึ้น

            ต้องโทษที่ผมหยิบออกมารับต่อหน้าหรือโทษความสายตาดีของอีกฝ่ายกันดี

            “อ้อ กูรู้ละ งั้นก็ไปดีมาดีนะครับคุณหัวหน้าห้อง หึหึ”

            ผมล่ะเกลียดสายตาของมันตอนนี้จริงๆ เต้เดินมาตบไหล่ทีสองที ก่อนที่จะโดนมิกมาลากคอไป

            “ว่าไง” ผมกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์

            ‘อยู่ไหน’

            “กำลังเดินไป” ผมเงียบเสียงไปนิด แล้วถามกลับ “เลิกแล้วเหรอ”

            ‘ยัง มานั่งรอแป๊บนึง ใกล้เสร็จละ’

            “อื้อ”

            อีกฝ่ายตัดสายไป ผมเดินมาเรื่อยๆจนถึงห้องโสต

            มันถูกปรับเปลี่ยนจนกลายเป็นห้องประชุมโดยความจำเป็นเพื่องานกีฬาสี ผมเคาะประตูสองสามครั้งพอเป็นพิธีแล้วใช้ไหล่เปิดเข้าไป

            จริงๆก็เคยยึดห้องนี้มาใช้ตอนเป็นหัวหน้ากิจกรรมหนึ่งในโรงเรียน แต่ตอนนี้คงมีเจ้าของห้องใหม่แล้วล่ะ

            เฟิร์สยืนพิงขอบโต๊ะ ปล่อยชายเสื้อออกนอกกางเกง ก้มหน้าอ่านเอกสารปึกหนาในมือ ซึ่งให้เดาก็น่าจะเป็นเรื่องงบประมาณ โดยมีรุ่นพี่ที่ผมรู้จักนั่งกองๆกันอยู่สามสี่คน

            พี่น้อยหน่าเป็นคนแรกที่เห็นผม จึงเรียกให้ไปนั่งรวมกัน

            “มาพอดีเลยน้องหนึ่ง นี่กำลังคุยกันเรื่องงบประมาณโรงเรียนกันอยู่ ยังตกลงกันไม่ได้สักที”

            “มีปัญหาอะไรกันเหรอครับ”

            “ปัญหาอะอยู่กับเฟิร์สนู่น ยืนคิดมาเป็นชั่วโมงแล้วเนี่ย”

            คนตัวสูงเงยหน้าขึ้นมอง พร้อมกับชูเอกสารในมือให้ดู เขาไม่ได้ยื่นให้ แต่ตบโต๊ะเป็นเชิงเรียกให้ไปดูข้างๆ

            รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่จุดขึ้นบนริมฝีปากนั้นทำให้แอบหมั่นไส้ไม่ได้

            ได้คืบจะเอาศอกตลอด...

            ผมมองเอกสารในมืออีกฝ่าย กวาดสายตาคร่าวๆก็พอจะรู้ว่าหลายฝ่ายเรียกมาเกินงบโรงเรียนเยอะจากที่เคยตกลงกันในวันประชุมวันแรก ก็พอจะรู้สาเหตุของปัญหาอยู่ เพราะเดาได้ตั้งแต่วันนั้นแล้วว่ายังไงก็ต้องเกิดขึ้น

            เพราะรู้ว่าใช้งบเกินโรงเรียนได้ ใครมันจะใช้น้อยๆกันล่ะ แต่ละสีก็อยากให้ตัวเองออกมาดีทั้งนั้น

            ลำพังถ้าให้ม.5 ปิดเรื่องงบประมาณกันเองก็คงจะได้ แต่เท่าที่อ่านไปมันเกินงบไปครึ่งต่อครึ่งจนเป็นเลขหกหลักอยู่แล้ว ต่อให้ปิดเก่งแค่ไหนยังไงก็สายตาผู้ใหญ่ก็ดูออก

            กลายเป็นว่าผมต้องมาประชุมร่วมด้วยทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยขนาดนั้น กว่าที่ความเห็นจะตรงกันแล้วได้ข้อยุติก็ปาไปครึ่งชั่วโมง

            ผมเอนตัวพิงไปกับโต๊ะเพื่อจะพักขา แต่ก็ชนเข้ากับไหล่อีกข้างที่เท้าแขนไปข้างหลังของคนตัวสูงเสียก่อน

            ให้ตาย

            เนียนเก่งกว่านี้ไม่มีแล้ว

            ผมขยับตัวไปยืนที่อื่น แต่ก็ยังลอบเห็นอีกคนอมยิ้มจนต้องมองค้อนทางสายตากลับไป

            “โอเค งั้นเดี๋ยวค่อยไปประสานกับสีอื่นนะ” รุ่นพี่คนหนึ่งโบกมือให้ “กลับกันดีๆ ล็อคห้องด้วย”

            จนสุดท้ายในห้องก็เหลือผมกับเฟิร์สสองคน

            ผมเดินไปเก็บของตัวเองที่วางรกเต็มโซฟา ส่วนอีกฝ่ายก็รวบเอกสารแถวนั้นมาวางไว้บนโต๊ะ

            ทั้งที่บอกให้มานั่งรอเฉยๆ แต่ก็ดันไปมีส่วนร่วมด้วย

            ทำให้แอบนึกถึงวันแรกของการเปิดเรียนขึ้นมา

            ประโยคที่ทำให้ไปไม่เป็นในวันนั้น ก็ยังจำได้มาตลอด

            ก็ไม่นึกว่าจะได้มาทำจริงๆ

            เปล่าหรอก

            ผมไม่นึกว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้ด้วยซ้ำ

          ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเอง แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะดูไม่ออกเลยว่าคำพูดในห้องสมุดในวันนี้หมายถึงอะไร

            เริ่มเข้าใจจุดประสงค์ของเขามากขึ้น

            ยอมรับว่าช่วงแรกคือความรำคาญ ต่อมาคือความไม่เข้าใจ แต่ไม่ได้รู้สึกไม่ชอบหรือรังเกียจแน่ๆ

          จากการกระทำที่พิสูจน์ความจริงใจของอีกคน คงเป็นเรื่องยากเกินไปที่จะเมินจริงๆ

          แล้วก็...ไม่รู้จะเมินเพื่อขัดแย้งกับตัวเองไปเพื่ออะไรเหมือนกัน

          “คิดอะไรอยู่ครับ คุณหัวหน้า”

            ผมผงะถอยอย่างตกใจเมื่อจู่ๆอีกคนในห้องยื่นหน้าเข้ามาใกล้

            “ป..เปล่า”

            “รู้ตัวแล้วว่าหล่อ แต่ไม่เห็นต้องจ้องกันขนาดนั้นเลย”

            “…”

            “เขินเป็นนะรู้มั้ย”

            โอ้ย ไอ้บ้าเอ้ย

            ผมทำหน้าเหม็นเบื่อใส่อีกฝ่าย คำว่าถ่อมตัวคงไม่มีอยู่จริงถ้าใช้กับเขา รีบลุกขึ้นยืน เดินออกไปนอกห้องโดยไม่สนใจเสียงหัวเราะที่ตามหลังมา

            “ล็อคห้องด้วย” แต่ก็ไม่วายที่ต้องหันไปบอกคนขี้ลืมอยู่ดี

            “รับทราบครับผม”

            เราเดินออกมาจนถึงลานจอดรถมอเตอร์ไซค์ ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีแล้ว ถ้าออกมาช้ากว่านี้คงไม่ไปทันเรียน

            ปกติวันศุกร์ที่ผ่านมาทุกครั้งก็ไปเรียนเองมาตลอด แต่พอมีอีกคนเข้ามาก็เลี่ยงไม่ได้แล้ว

            เคยบอกว่าการเปลี่ยนแปลงมีทั้งดีไม่ดี

          แต่เรื่องนี้ผมให้เป็นอย่างแรกก็ได้

            ‘เรียนที่เดียวกันก็ไปด้วยกันดิ’

          ‘…’

          ‘อย่าปฏิเสธนะ หมดโควตาแล้ว เราไม่ให้’

          มันใช้ได้ที่ไหนกัน..

            ผมเกี่ยวสายคาดหมวกกันน็อคอย่างงกๆเงิ่นๆ เพราะต้องคอยหนีบแผ่นกระดาษม้วนหนาไว้กับข้าวของกีฬาสีที่พะรุงพะรังเต็มไปหมด ทั้งที่อีกคนแบ่งไปช่วยถือแล้วก็เหมือนจะเยอะอยู่ดี

            เหมือนจะนานเกินไปจนคนที่ก้าวขึ้นรถไปแล้วต้องลงมาช่วย

            “เอามือออกๆ”

            มือหนาเอื้อมมือมาติดล็อคให้อย่างคล่องแคล่ว

            แต่ก็ยังไม่ผละออกไปสักที

            “อะไร...”

            “…”

            ผมคาดเดาสายตาที่มองลงมานั้นไม่ถูก แต่มันทำให้ใบหน้าเห่อร้อนแปลกๆ

            “ปล่อยได้แล้ว”



          “ทำไมถึงน่ารักขนาดนี้นะ”

            “…”

            “น่ารัก น่ารักเกินไปแล้วครับ”

 

          คุณว่าความเขินอายมีกี่ระดับ

          ผมไม่รู้หรอก

          แต่ถ้าให้สูงสุดที่หนึ่งร้อย

          นั่นแหละ คือความรู้สึกตอนนี้เลย...
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r e i g h t ] , 280418
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-04-2018 15:49:10
 o13
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r e i g h t ] , 280418
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 28-04-2018 17:52:24
โอ้ยยยระเบิดตู้มม!!!แล้วจ้ะ :hao7:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r e i g h t ] , 280418
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 28-04-2018 18:29:38
เฟิร์สรุกใหญ่เลยน้าาาาาา
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r e i g h t ] , 280418
เริ่มหัวข้อโดย: miralchs ที่ 29-04-2018 19:59:46
C h a p t e r   n i n e  ♥

เป็นที่รู้ใจ


            ในที่สุดวันที่นักเรียนชั้นมัธยมรอคอยก็มาถึง

            ไม่ว่าท้องฟ้าอากาศจะไม่เป็นใจ หรือเกิดเหตุการณ์อะไรก็ตาม ก็ไม่สามารถทำให้อารมณ์แจ่มใสในวันนี้ลดลงได้

            ใช่แล้ว เป็นวันที่จะได้ผ่านช่วงมรสุมแห่งการสอบไปเสียที

            ถึงแม้จะเป็นภาคเรียนที่หนึ่ง ก็ไมได้ทำให้เด็กมัธยมรู้สึกหวั่นเกรงใดๆ เพียงแค่ได้พักผ่อนยาวกว่าหนึ่งเดือนหลังจากนี้ก็นับว่าเป็นสวรรค์แล้ว

            ยกเว้นนักเรียนสองปีสุดท้าย..

            ที่พูดได้เต็มปากเต็มคำว่ามันคือนรกบนดินชัดๆ

            มัธยมปลายปีที่หกน่าจะอาการหนักที่สุดแล้ว เพราะเป็นปีที่ต้องไขว่คว้าหาอนาคต ไม่ได้เกิดความรู้สึกใดๆต่อการสอบเสร็จทั้งนั้น เพราะนับจากนี้มันคือสงครามที่แท้จริงต่างหาก ใช่ คุณต้องเอาตัวรอดด้วยความสามารถของตัวเอง ดังนั้นเมื่อปิดเทอมก็พับเก็บความสบายลงไปได้เลย

            และอีกปีที่นับว่าทรหดไม่แพ้กัน แค่ไม่ใช่หัวข้อของการแข่งขัน แต่เป็นเรื่องของกิจกรรมนานัปการที่ไม่รู้ว่าโรงเรียนสรรหามาจากไหน และก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทุ่มลงแค่ชั้นนี้ชั้นเดียว

            ไม่อยากจะพูดเลยว่าแค่หายใจเฮือกเดียวก็หมดเวลาหนึ่งเดือนแห่งความสุขแล้ว

           แต่ที่สุดแล้วมันก็ได้แค่บ่นนั่นแหละนะ ยอมรับว่าถึงจะพูดไปแบบนั้นเอาเข้าจริงถ้าไม่มีกิจกรรมก็คงเป็นปีที่น่าเบื่อแย่

           “วิชาอะไรสุดท้ายวะ”

           “คณิต”

           “โอ้ยชิลล์ กูบอกเลยให้ห้านาทีพอ”

           “มันเป็นข้อเขียน”

           “ฮ่าๆๆๆๆๆ” มิกนอนลงไปกุมท้องหัวเราะกับพื้นเมื่อเห็นหน้าเหวอๆของเต้เข้า

           “ละไม่มีใครบอกกู”

           “ครูตะโกนบอกจนกูจะถวายสเตร็ปซิลให้คุณเค้าแล้ว”

           “ก็กูไม่ได้ฟังนี่!”

           ผมส่ายหัวอย่างเอือมๆให้กับบุคคลที่ทะเลาะกันได้ทุกวี่ทุกวันแต่ก็ตัวติดกันชนิดที่แทบจะเรียกว่าเป็นปาท่องโก๋

           “มีแนวข้อสอบป้ะครับหัวหน้า”

           “มี”

           “ขอ...”

           “ไม่ให้”

           “อ้าวไอ้นี่” ทำหน้าหาเรื่องจนผมต้องอยากจะขำออกมาดังๆ เป็นคนที่น่าแกล้งเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ

           “งั้นนนนนน ไปขอเฟิร์สก็ได้”

           นั่นไง เล่นเรื่องอะไรไม่เล่น

           “ไม่มีหรอก”

           “เป็นใครถึงจะไปรู้กับเขาอะ~”

           มันทำหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยจนอยากเตะเข้าสักที และเหมือนมิกจะรู้ใจเลยจัดการให้ตามคำขอ

           “โอ้ย กูเจ็บ!”

           “สมน้ำหน้า”

           ไม่นานนักคนที่เต้เพิ่งพูดถึงไปก็เดินขึ้นมาพร้อมกับน้ำเปล่าในมือ

           อีกฝ่ายหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ แล้วยื่นน้ำขวดที่ไม่เย็นให้ ทั้งหมดทั้งมวลตกอยู่สายตาของเพื่อนในกลุ่มของผมแน่นอน

           มองตาไม่กะพริบขนาดนี้ อ้าปากเห็นลิ้นไก่ก็รู้แล้วว่าจะพูดอะไรขึ้นมา

           “หยุด”

           “อะไร๊ ยังไม่พูดไรเลย ร้อนตัวจังครับคุณหัวหน้า”

           คนข้างตัวผมหัวเราะ เท้าแขนไปข้างหลังผมอย่างหน้ามึนๆ

            ไม่ใช่ว่าไม่เคยส่งสายตาปราม แต่รายนี้หน้าหนาเกินที่จะห้ามไปนานแล้ว

            “หวงสุดอะไรสุดแล้วคนนี้”

            “จะเอามั้ยแนวข้อสอบ”
           
            “เปลี่ยนเรื่องเก่งงงงงงง”

            “นับหนึ่ง”

            “เอาค้าบ ฮ่าๆๆๆ”

            ไม่น่าแกล้งมันตั้งแต่แรกถ้ารู้ว่าจะกวนตีนกลับขนาดนี้

            เรื่องราวของผมกับเขาไม่ได้หยุดแค่ที่ในกลุ่มแล้ว จะบอกว่ารับรู้กันทั้งห้องก็คงใช่ เพียงแต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แทน

            ก็แน่ล่ะ ใครมันจะกล้าแซวขึ้นมาสุ่มสี่สุ่มห้าถ้าไม่ได้สนิทกันจริงๆ

            ยิ่งเป็นผมที่เพื่อนค่อนข้างเกรงใจ คงไม่มีพูดออกมาโต้งๆเหมือนเต้กับลูกแพร แค่จะส่งสายตาเป็นเชิงล้อเท่านั้น

            แต่ลับหลังน่ะเชื่อเถอะว่าไม่เหลือ

            “ติวให้หน่อย”

            ไม่รู้ว่าผมทำหน้าเอือมใส่คนตัวสูงกว่าไปกี่ร้อยรอบแล้ว แต่ก็เหมือนยังจะไม่เข็ด ถึงได้หาเรื่องมากวนประสาทได้ทุกวันแบบนี้

            คนที่ไปแข่งคณิตศาสตร์โอลิมปิคอย่างเขาเนี่ยนะจะมาขอให้ผมติวคณิตปลายภาคให้

            ให้แมวออกลูกเป็นหนอนยังน่าเชื่อกว่าเลยมั้ง

            “ให้ติวอะไร”

            “ก็ที่ถืออะ”

            “ก็รู้เรื่องหมดทุกเรื่องแล้วมั้ยอะ”

            “ที่ติวไปเมื่อคืนยังไม่จบเลย”

            “…”

            “ชิงหลับก่อนเรา”

            ฉ่า~

            “เชี่ยยยยยยยยยย เรื่องนี้ต้องขยาย!! ลูกแพรไปไหน มันต้องเม้าท์!”

            อยากจะแทรกแผ่นดินหนีจริงๆ

            รู้แบบนี้จะไม่ยอมรับสายอีกเด็ดขาด

           โชคดีที่สวรรค์เข้าข้าง เมื่อเข็มสั้นชี้ไปที่เลขสอง ผมก็ไม่ลังเลที่จะรีบลุกพรวดเข้าห้องสอบทันที แต่อีกฝ่ายก็คว้าเข้าที่ข้อมือไว้ก่อน

           ผมหันไปมองอย่างเคืองๆ ยิ่งเห็นแววตาขบขันนั่นก็ยิ่งอยากจะเดินหนี

           “ตั้งใจสอบนะ”

           คนตัวสูงยกยิ้มจาง ก่อนจะเดินเข้าอีกห้องไป

 

           ให้ตาย

           เหมือนวันแรก..ที่ได้รู้จักกันเลย

           คำพูดที่ทำให้ไม่มีสมาธิในวันนั้น วันนี้ก็แทบไม่ต่างกัน

 

 

 

            “หมดเวลาแล้วนะคะ”

            เมื่อเสียงจากสวรรค์บอกกล่าวทั้งห้องก็ไม่รีรอที่จะลุกออกไปทันทีหลังจากที่นั่งจนก้นชามาเป็นเวลานาน เกือบทั้งห้องทำเสร็จไปตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรก แต่คุณครูก็ไม่ปล่อยกลับง่ายๆเหมือนรู้ทันนักเรียนจนล่วงเวลามาเกือบสี่โมงเย็น จากที่วางแผนเที่ยวหลังสอบเสร็จไว้มากมายทำให้ต้องยกเลิกบางอย่างไปด้วยเวลาที่ไม่อำนวย

            “ใครจัดให้ครูนพมาคุมวันสุดท้ายยยยยย ห้องอื่นแม่งลุกตั้งแต่สิบวิแรกแล้ว”

            “อดไปร้องเกะเลยว่ะ เอาไง แผนสำรอง”

            “เซ็งอะ แยกย้ายเลยป้ะ”

            “อ้าว เอางี้เลยดิ”

            ออกมาหน้าห้องสอบก็ยังไม่คงไม่ได้ไปไหนเพราะตกลงกันไม่ได้สักที ผมยืนฟังเพื่อนในกลุ่มพูดพร้อมกับเสนอความเห็นบ้างเป็นระยะ

            แต่เหมือนประชามติก็ไม่ต่างอะไรกับวันเรียนวันสุดท้ายที่แยกย้ายกลับไปนอน แท้จริงแล้วในกลุ่มผมไม่ค่อยจะไปไหนมาไหนด้วยกันสักเท่าไหร่ ส่วนมากก็จะเป็นนัดติวมากกว่า

            “เอาไงสรุป”

            “ง่วง ขอกลับไปนอน”

            “เหมือนกัน”

            “โหย สอบวันสุดท้ายทั้งที เดี๋ยวก็ไม่ได้เจอกันแล้วอะ” ลูกแพรบ่นเสียงงุ้งงิ้งขึ้นมา

            “ตลก วันพุธไปเข้าค่าย ปิดเทอมนี้หนีหน้ากันไม่พ้นหรอกเชื่อกู”

            “แยกย้าย เจอกันพุธ”

            เออ ง่ายดี

            หลังจากตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแบบงงๆ กลุ่มผมก็พากันแยกย้ายกลับ ส่วนผมที่ไม่มีเป้าหมายอะไรก็คงกลับบ้านไปพักผ่อน

            ถ้าไม่มีเสียงทุ้มเรียกเอาไว้ก่อน

            “ที่หนึ่ง ไม่ได้ไปกับเพื่อนเหรอ”

            ผมส่ายหัว “แยกย้ายอะ”

            คนตัวสูงนิ่งไปนิด

            “ไอ้เฟิร์ส มาเว้ย เพื่อนไปกันละเนี่ย”

            ความสัมพันธ์ที่ดีคือการไม่ก้าวล้ำความเป็นส่วนตัวซึ่งกันและกัน ผมดีใจที่มันเป็นอย่างนั้น ถึงเราจะสนิทกันมากขึ้น ทำอะไรหลายอย่างร่วมกันมากขึ้น แต่ก็ไม่เคยจะดึงเวลาส่วนตัวของอีกฝ่ายมาใช้เลย เช่นในสถานการณ์แบบนี้

            เราไปด้วยกันตอนไหนก็ได้ ดังนั้นไม่แปลกเลยที่เราทั้งคู่จะเลือกเพื่อนที่หาโอกาสยากกว่า

            แต่..

          “ไปเลย กูว่าจะไปกับที่หนึ่ง”

            “ฮะ?” ผมหน้าเหวออย่างปิดไม่มิดกับการกระทำของอีกฝ่ายที่สวนทางกับความคิดของผม

            “อ่าว เคๆ งั้นพวกกูไปละ”

            “ป้ะ”

            “ไปไหน” ผมถามงงๆ

            “อยากไปไหนอะ”

            “ทำไมไม่ไปกับเพื่อน” ผมถาม “พวกนั้นจะไม่โกรธเหรอ”

            “โกรธทำไม” ร่างสูงขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

            “…”

            “กับพวกนั้นไปตอนไหนก็ได้ เจอกันทุกวันจนเบื่อแล้ว”

            “…”

            “แต่ไปกับที่หนึ่ง ไม่ได้หาได้บ่อยๆนี่”






            ในที่สุดก็ตกลงกันได้

            เรามาหยุดที่ห้างสรรพสินค้าหนึ่งในใจกลางเมือง เหตุผลที่มาของคนตัวสูงคือซื้อของไปเข้าค่าย

            เอาเด็กอนุบาลมาจับผิดดูก็รู้ว่าข้ออ้างชัดๆ

            ไปเข้าค่ายไม่ได้ไปออกรบสักหน่อย...

            แถมยังไปแค่สามวัน พูดเหมือนจะไปเป็นอาทิตย์

            แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากขัดอะไร ถ้าอีกฝ่ายดึงดันจะมาก็คงมาให้ได้ ถึงจะเอี่ยวผมมาด้วยก็ไม่ได้เสียหายเพราะถึงผมกลับบ้านไปก็คงจะไปนอนพักผ่อนจริงๆ

            “ไปไหนก่อนดี”

            “ไม่ได้ลิสต์ไว้เหรอว่าจะซื้ออะไร”

            “หึ” คนตัวสูงส่ายหัว

            จะโกหกให้มันเนียนหน่อยก็ไม่ได้นะคนเรา

            “แล้วเอาไง”

            “ไปกินข้าวก่อนละกัน เดี๋ยวปวดท้อง”

            เชื่อเขาเลย

            ผมก้มมองมือใหญ่ๆที่ถือวิสาสะกุมข้อมือของผมไว้ เขาไม่ได้จับแน่นหรือหลวมจนเกินไป เหมือนกับว่าให้สะบัดออกเมื่อไหร่ก็ได้ถ้าผมไม่สบายใจ

            ความจริงแล้วเราทั้งคู่ยังมีอะไรที่ต้องปรับจูนเข้าหากันอีกมาก เราไม่ได้เหมือนกันทุกอย่าง ยิ่งความคิดยิ่งคนละทางกันโดยสิ้นเชิง แม้จะไม่ค่อยมีความเห็นไม่ตรงกัน เพราะอีกฝ่ายก็ไม่ค่อยจะแย้ง ผมก็ไม่ค่อยอยากขัด แต่ในใจจริงๆแทบจะไม่มีอะไรตรงกันด้วยซ้ำ

            หากคนตรงหน้าสังเกตผมมาตลอด ผมก็คงไม่ต่างตั้งแต่ตอนที่ได้รู้จักวันกันแรก

            เราต่างถูกผลักเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว ถึงจะรู้ดีว่าเป็นความตั้งใจของอีกฝ่ายไปเกือบครึ่ง ก็ถือว่าทำสำเร็จเลยทีเดียว

            เขารู้ว่าผมไม่เคยมีใครพยายามจะตีตื้นขึ้นมาแข่งด้วย รู้ว่าผมไม่เคยถูกให้ความสนใจแบบตรงๆ ทำให้มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะสามารถดึงความสนใจจากผมไปได้มากขนาดนี้

            รู้ตัวอีกที ปากบอกว่ารำคาญให้ตายยังไง สุดท้ายพอเขาไม่สนใจก็คิดมากในแบบที่ไม่เคยเป็นกับใครมาก่อน

            ใช่ ไม่เคยเป็นกับใครมาก่อนจริงๆ

            ถ้าถามความรู้สึกตอนนี้ คงจะตอบเป็นคำตอบที่แน่ชัดไม่ได้

            มันยังไม่ใช่ชอบ หลงหรือรักอะไรทั้งนั้น

            แต่สิ่งที่แน่ใจในตอนนี้คือผมยินดีกับความสัมพันธ์กับที่เป็นอยู่

            หลายสิ่งบนโลกนี้ล้วนต้องใช้ระยะเวลา

            สิ่งนี้ก็เช่นกัน

          ระหว่างรออาหาร คนตัวสูงที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเล่นอย่างเคยชิน การที่ได้ไปไหนมาไหนด้วยบ่อยทำให้ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับเขาอีกข้อหนึ่งว่า

            เฟิร์สติดโทรศัพท์มาก

            ติดในชนิดที่ห่างไม่ได้ ไปไหนต้องพกไปด้วยตลอด แต่เอาเข้าจริงในโทรศัพท์นั้นก็ไม่ได้มีอะไร

            เหมือนอุ่นใจเสมอเมื่อได้ยกขึ้นมาเล่น เขาว่าอย่างนั้นน่ะนะ

            ผมนั่งรอเล่นๆอย่างไม่มีอะไรทำ สายตากวาดมองรอบๆร้านไปเรื่อย แต่ก็วกกลับมาที่จุดสนใจตรงหน้าเหมือนเดิม

            ผมเป็นคนไม่ค่อยพูด

            อันนี้น่าจะรู้กันดี และเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษยสัมพันธ์เข้าขั้นแย่

            มันเป็นอุปสรรคในการเข้าร่วมกิจกรรมอยู่พอสมควร พยายามจะดัดนิสัยอยู่หลายครั้งแต่ก็เหมือนฝืนตัวเองตลอด

            เลยได้แต่ปล่อยไป เพราะถึงผมจะไม่ค่อยพูด แต่ก็มั่นใจว่าแสดงออกให้เห็นทางการกระทำได้

            คนตรงหน้าก็ไม่เคยเซ้าซี้ให้พูดอีกหลังจากได้รู้จักตัวตนกันจริงๆ นั่นทำให้ผมสบายใจขึ้นมาก

            เพราะแบบนี้ทำให้ผมกล้าที่จะคุยกับเขามากขึ้น

            “เฟิร์ส”

            “หืม”

            “…”

            “ว่าไงครับ”

            อยู่เฉยๆสมองก็สั่งการให้เรียกทั้งที่ไม่ได้มีหัวข้อจะคุย

            แค่รู้สึกแปลกๆที่อีกฝ่ายสนใจโทรศัพท์มากเกินไปเท่านั้นเอง

            “เคยมีแฟนมาแล้วกี่คนเหรอ...”

            พูดไปก็อยากตบปากตัวเองที่หาเรื่องที่ดีกว่านี้มาคุยไม่ได้

            ตามที่คิดก็ไม่ได้อะไรเลย แค่อยากรู้จักอีกคนให้มากขึ้น เหมือนที่เขารู้จักผมเป็นอย่างดี

            เกิดบรรยากาศอึนๆชั่วครู่ คนตัวสูงเก็บโทรศัพท์ลงทันทีเหมือนสั่งได้

            “ไม่มีอะไร ช่างมันเถอะ” ผมตัดบทก่อนที่มันจะลามไปมากกว่านี้

            “สามคน”

            “…”

            “คนแรกชื่อฟ้า คบกันตอนม.2 ได้สองเดือนแล้วก็เลิก เพราะเค้าไปมีคนอื่น คนที่สองชื่อโมเม ถ้าจำไม่ผิดนะ คนนี้น่าจะสี่ห้าเดือน ทะเลาะกันแล้วเลิกเรื่องอะไรไม่รู้จำไม่ได้ ส่วนคนล่าสุดชื่อมาย เพิ่งเลิกกันได้ปีกว่าๆก่อนจะย้ายมาอยู่นี่”

            เขาร่ายมายาวเหยียดจนผมต้องนั่งกะพริบตาปริบๆ แต่ก็ตั้งใจฟังทุกคำพูด

            “เอ่อ...”

            “ถามได้ ทุกเรื่องเลย เราอยากตอบ” อีกฝ่ายยกยิ้ม เคาะนิ้วกับโต๊ะเป็นจังหวะอย่างอารมณ์ดี

            “แล้ว...ทำไมถึงเรียนเก่งอะ”

            ถามไปทั้งๆที่น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว

            “เราก็เรียนเยอะเหมือนที่หนึ่งนั่นแหละ แต่จริงๆอาจจะเพราะชอบกับการได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆด้วย ได้ค้นคว้า ได้รู้จัก เราไม่ได้รู้สึกว่ามันน่าเบื่อ กลับกันมันทำให้เราสนุกทุกครั้งที่ได้เรียน แปลกดีใช่มั้ย ฮ่าๆ”

            ผมแอบยิ้มไปกับคนตรงหน้าไม่ได้ ตาเขาเป็นประกายอย่างเห็นได้ชัดมาเมื่อได้พูดถึงเรื่องที่ตัวเองชอบ

            “เราเคยอยากเป็นนักเขียนการ์ตูนด้วยแหละ เพราะเราชอบวาดรูป แต่ก็คงไม่ได้เป็นหรอก”

            “ทำไมอะ”

            ถึงจะไม่เคยเห็นอีกฝ่ายวาดรูป ผมก็มั่นใจว่าเขาต้องทำออกมาได้ดีแน่ๆ

            “ที่บ้านไม่สนับสนุนน่ะ แต่เราก็ไมได้อะไรมากหรอก เค้าอยากให้เป็นอะไรก็เป็น สุดท้ายอนาคตก็เป็นของเรา ถึงตอนนั้นเราจะทำอะไรเค้าก็ไม่ขัดขวางแล้ว” เฟิร์สพูดยิ้มๆเหมือนไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร

            ทำไมถึงเป็นผู้ชายที่มีความคิดในเชิงบวกมากขนาดนี้นะ

            เชื่อเถอะว่าร้อยทั้งร้อยได้มาเจอเขา ก็คงหลงเสน่จนหาทางกลับไม่เจอ

            “แล้วจะเรียนอะไร”

            ให้เดาก็คง หมอ?

            “ไม่ใช่หมอ” เขาหัวเราะเหมือนเดาใจถูก “คงเรียนวิศวะ หัวเราไปทางนี้มากกว่า”

            “อ้อ..”

            “เรารู้นะว่าที่หนึ่งอยากเป็นอะไร”

            “ใครบอก”

            “ไม่มีหรอก เราสังเกตเองของเรานี่แหละ”

            “รู้เรื่องของเราดีกว่าตัวเราเองอีกนะ”

            อีกฝ่ายหัวเราะ แล้วนั่งเท้าคาง ยกยิ้มนิดๆ ใช้ดวงตาคมมองสบมาอย่างมีความหมายแฝง

            “ที่หนึ่ง”

            “ว่า”

            มองกลับไปอย่างหวั่นใจว่าอีกคนจะพูดอะไรออกมา

 

          “ที่หนึ่งว่าเราจะจีบคนตรงหน้าติดมั้ย”

 

            บึ้มม

            ราวกับมีพลุมาจุดระเบิดที่ข้างตัว สัมผัสได้ถึงความร้อนที่ไล่มาตั้งแต่ใบหูมาถึงแก้มทั้งสองข้างของตัวเองทันที

            ทำไมถึงได้เป็นคนพูดอะไรตรงๆแบบนี้!

            นั่งนิ่งเหมือนถูกสับสวิตซ์ รู้สึกมือไม้ที่มีก็เกะกะไปหมด ไม่รู้จะควรเอาวางไว้ตรงไหน

            ผมในสายตาของอีกคนตอนนี้คงดูเหมือนตัวตลก ไม่ต้องเดาเลยว่าตอนนี้หน้าต้องแดงแจ๋เป็นมะเขือเทศสุกแน่ๆ

            เขายิ้ม ยิ้มกว้างกว่าที่เคยเป็น ดวงตาสีนิลประกายพราวไปด้วยความมากเล่ห์ นั่นทำให้ผมเม้มปากแน่น

             เกิดมาได้สิบเจ็ดปี ก็ไม่เคยมีใครมาทำให้หัวใจสั่นได้เท่านี้

             ผมยกมือปิดหน้าอย่างยอมแพ้ ให้มองหน้าอีกคนตอนนี้เป็นเรื่องยากกว่าทำโจทย์เสียอีก

            ได้ยินเสียงหัวเราะเจือปนไปด้วยความเอ็นดู

            “มองหน้าเราก่อนเร็ว”

            “…” ใครมันจะทำ บ้าเอ้ย

            “จะตัดสินให้เราแพ้แล้วเหรอ ไม่แฟร์เลยนะ”

            ผมค่อยๆลดมือลง เบนสายตาไปทิศทางอื่นเพราะไม่กล้ามองตรงๆ

            แต่ก็รับรู้ได้ถึงแววตาอีกคนที่ส่งมาอย่างชัดเจน

            “เราดีใจมากที่วันนี้ที่หนึ่งถามเกี่ยวกับเราเยอะแยะเลย”

            “…”

            “ขอบคุณที่พยายามจะเรียนรู้เกี่ยวกับเรามากขึ้น”

            “…”

            “อาจจะไม่สบายใจที่เรารู้เกี่ยวกับที่หนึ่งเยอะมากขนาดนี้ เอาเข้าจริงเราก็ไม่อยากเป็นแค่คนรู้เรื่องพวกนี้หรอก”

            “…”

            “จริงๆน่ะเราอยากเป็นคนรู้ใจเลยมากกว่า”

 

            ไม่ไหว

            ผมเหมือนจะเป็นโรคหัวใจเลย...

 

__________________________

อะ เต๊าะ เต๊าะเข้าไป
#เป็นที่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r n i n e] , 290418
เริ่มหัวข้อโดย: donut4top ที่ 29-04-2018 20:23:13
จริงๆอ่านเรื่องนี้จากในเด็กดีไปถึงตอนปัจจุบันแล้วแต่ตามมาให้กำลังใจในนี้ด้วย สนุกมากจริงๆค่ะ ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆให้อ่านนะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r n i n e] , 290418
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-04-2018 20:55:48
 :impress2:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r n i n e] , 290418
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 29-04-2018 22:06:54
 :-[
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r n i n e] , 290418
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 29-04-2018 22:29:36
โอ้ยยย หัวใจทำงานหนักนะเนี่ย555
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r n i n e] , 290418
เริ่มหัวข้อโดย: miralchs ที่ 30-04-2018 21:18:18
C h a p t e r   t e n  ♥

เป็น...กันไหม :)



            รสชาติข้าวต้มของวันนี้ดูแปลกไปจากทุกวัน

            เหมือนจะ...จืดลง

            อาจเพราะเมื่อคืนม๊ากลับมาจากที่ทำงานดึก แล้วยังลุกมาทำอาหารในเวลาเช้ามืดเหมือนเคย จะมีอาการเบลอไปสักหน่อยก็คงเป็นเรื่องปกติ

            เสียงวิทยุเปิดคลอไปกับบรรยากาศกรุ่นๆยามเช้า อากาศเย็นลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวเต็มตัว หมอกลอยฟุ้งเต็มถนนหน้าบ้าน เป็นภาพที่แทบจะไม่ค่อยได้เห็นในประเทศเมืองร้อนแบบนี้

            บรรยากาศผ่อนคลายชวนง่วงจนอยากจะกลับไปล้มตัวนอนอีกรอบ

            เสียงนกร้องต้อนรับพร้อมแสงอรุณที่ค่อยๆส่องเข้าผ่านหน้าต่าง เป็นสัญญาณแห่งเช้าวันใหม่

            กิจกรรมแรกของปิดเทอมกำลังจะเริ่มในอีกไม่ช้า

            นัดหมายอยู่ที่แปดโมงตรง ผมตื่นเช้าเป็นปกติเลยต้องไม่รีบร้อนอะไรมาก โชคดีที่จัดของล่วงหน้าไว้ตั้งแต่เมื่อคืนจะได้ไม่มาวุ่นวายเอาตอนนี้

            สถานที่ของการเข้าค่ายครั้งนี้ก็ไม่พ้นขึ้นเหนือ แน่ล่ะ ช่วงปลายปีความเห็นส่วนใหญ่ก็อยากสัมผัสความหนาวเย็นเป็นธรรมดา จะเรียกว่าเข้าค่ายก็พูดได้ไม่เต็มปาก จริงๆแล้วมันก็เหมือนการไปเที่ยวของสายชั้นมากกว่า เพียงแค่มีกิจกรรมให้ทำ

            นักเรียนเกือบห้าร้อยคน คงจะครื้นเครงน่าดู

            ระยะเวลาสามวันเต็มที่โรงเรียนมอบให้ราวกับของขวัญต้อนรับปิดเทอม แต่ใครเล่าย่อมจะเข้าใจดีไปกว่ามัธยมปลายปีสอง

            นี่มันใบเบิกทางการเข้าสู่โรงงานนรกชัดๆ

            สนุกก็สนุกแบบไม่สุดเพราะเหมือนจะมีนัดประชุมเรื่องกีฬาสีกันอีก

            Play hard, work harder ที่แท้จริง

            ผมรวบช้อน เก็บจานไปล้างที่ห้องครัว สายตาก็สอดส่องหาสมาชิกอีกคนในบ้านแต่ก็ไม่พบวี่แวว

            ม๊าคงไม่คิดจะไปทำงานตั้งแต่หกโมงครึ่งหรอก

            สักพักจึงได้ยินเสียงปิดประตูเบาๆจากห้องของตัวเอง

            คนที่มองหาปรากฏขึ้นพร้อมกับกระเป๋าสัมภาระของผม

            “ม๊าไปเช็คดูให้ เผื่อลืมของ”

            พยักหน้าตอบรับ ไม่ได้พูดอะไร

            “เมื่อคืนก็ไม่เรียกม๊าไปช่วยเก็บ”

            กึก

            ผมชะงักมือที่จะยกแก้วน้ำดื่มทันที

            บอกตัวเองว่าท่านคงพูดแบบไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไร แต่ก็เหมือนปากมันไปไวกว่าความคิด

            “ผมก็เก็บเองมาตลอด...”

            “…”

            นานครั้งที่จะเอ่ยปากเถียงคนเป็นแม่ จากที่ยอมมาทุกครั้ง

            ความจริงก็เป็นตามที่พูดไป ท่านจึงไม่ได้ว่ากล่าวออกมา

            “แล้วไปกี่วันล่ะลูก”

            และเลี่ยงไปคำถามอื่นเหมือนเคย..

            “สามวันครับ”

            “ให้ม๊าไปส่งมั้ย”

            “…”

            เกิดความเงียบขึ้นมาภายในบ้านทันที

            เป็นคำถามที่ดูธรรมดาทั่วไป แต่กลับทำให้ผมอยากจะหัวเราะพร้อมกับร้องไห้ไปในคราวเดียวกัน

            ไม่ได้ยินประโยคแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว

            หรือเพราะไม่เรียกร้อง จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับ..

            “ไม่เป็นไรครับ รถออกแปดโมง เดี๋ยวม๊าไปทำงานสาย”

            “อ้าวเหรอ งั้นไปเองได้แน่นะ”

            ท่านถามเหมือนย้ำให้แน่ใจ

            แต่ผมรู้ว่ามันเป็นประโยคที่มีคำตอบในตัวอยู่แล้ว

            “ครับ”

            ไม่ได้มีบทสนทนาต่อกันอีก ผมเดินขึ้นไปรับกระเป๋ามาเช็คของดูให้เรียบร้อยอีกครั้ง ก่อนจะกลับมานั่งอ่านหนังสือรอเวลา ส่วนม๊าก็ไปอาบน้ำเตรียมไปทำงานเหมือนทุกวัน

            มีคนเคยบอกว่าผมเหมือนกับม๊า

            ทั้งหน้าตาและนิสัย

            ตอนผมได้ยินครั้งแรกก็อยากหัวเราะ จะไปเหมือนกันได้ยังไงในเมื่อความชอบก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว

            แต่พอโตขึ้น คำพูดของใครสักคนในวันนั้นก็สะท้อนกลับมา มันเป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย 

            นอกจากหน้าตาและนิสัยที่เหมือนกันแล้ว เราก็ยังคงคาดหวังกับสิ่งเดียวกัน

            ลมเย็นยะเยือกที่พัดผ่านเข้ามา ก็ยังเทียบกับความหนาวเหน็บในใจตอนนี้ไม่ได้แม้แต่ครึ่ง

            “ม๊าไปทำงานก่อนนะ”

            “ครับ สวัสดีครับม๊า”

            “ดูแลตัวเองดีๆนะที่หนึ่ง”

            ผมยิ้มด้วยความรู้สึกวูบโหวงในใจเมื่อสมาชิกหนึ่งเดียวในบ้านขึ้นรถไปแล้ว

 

            ใช่ ดูแลตัวเองให้ดี...เหมือนกับที่ผ่านมาตลอด

 

 

            “เช็คชื่อนะ 5/12 แถวนี้” รองหัวหน้าห้องตะโกนเรียกท่ามกลางความวุ่นวายของนักเรียนทั้งสายชั้นม.5 มันดูละลานตาไปหมดเมื่อมายืนออกันในพื้นที่ที่ค่อนข้างไม่อำนวย ผมยกวอขึ้นประสานกับห้องอื่นๆให้เริ่มจัดแถวได้แล้วก่อนที่จะกินเวลาไปมากกว่านี้

            ควันที่พวยพุ่งออกจากปากทุกครั้งเมื่อพูดทำให้รู้ว่าผมประมาทอากาศวันนี้เกินไป ไออุ่นจากพระอาทิตย์ไม่ได้ช่วยให้ความหนาวเย็นลดลงไปสักนิด เสื้อกันหนาวที่คิดว่าหนาที่สุดแล้วก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคของลมที่พัดเข้ามาเลย

            นี่ขนาดยังไม่ได้ขึ้นเหนือนะ

            เหมือนผมจะเป็นส่วนน้อยที่เตรียมตัวมาไม่ดี มองไปรอบๆก็เห็นบรรดาเสื้อโค้ชขนาดใหญ่ที่ห่อตัวไว้จนมิด รวมถึงผ้าห่มลายประหลาดๆที่ทำเอาต้องขำออกมา
           
            “ที่หนึ่ง!”

            เกดวิ่งมาหาหน้าตาตื่น

            “ว่า”

            “เฟิร์สไปไหนอะ เหลือคนเดียวแล้วตอนนี้”

            เอาแล้วไง

            เมื่อคืนเราไม่ได้คุยอะไรกันมาก แต่อีกฝ่ายขอไปนอนตั้งแต่ยังไม่ทันสองทุ่มเพราะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวนิดหน่อย ผมก็กำชับไปแล้วว่าให้กินยาดักไว้

            ไม่รู้จะฟังกันหรือเปล่า ถึงยังไม่มาสักที

            “เดี๋ยวเราโทรหา”

            “เออ ด่วนเลยๆ ครูโคตรเร่ง ให้ได้ไม่เกินสิบนาทีเนี่ย”

            ผมกดไปที่รายชื่อโทรเข้าล่าสุดทันที

            ‘ครับ’

            เสียงทุ้มแหบพร่าอย่างไม่คุ้น ทำให้ผมใจไม่ดีนัก ดูเหมือนสิ่งที่คาดไว้จะกลายเป็นจริง

            “อยู่ไหนแล้วอะ มาได้หรือเปล่า”

            ‘กำลังจะถึง รถจะออกแล้วเหรอ’

            “อีกประมาณสิบนาที”

            ‘อื้อ เราถึงหน้าประตูแล้ว แค่กๆ’

             “เฟิร์ส ไหวมั้ย เราบอกครูให้ได้นะ” ผมถามอย่างเป็นห่วง อาการของอีกฝ่ายไม่ได้ธรรมดาเลย ท่าทางจะเป็นหนักด้วยซ้ำ

            ‘ไหวๆ ไม่เป็นไร เป็นหวัดธรรมดา’

            สักพักรถยนต์คันสีดำสนิทก็เลี้ยวเข้ามาภายในโรงเรียน พร้อมกับคนตัวสูงที่ก้าวลงจากรถ

            เสียงโหวกเหวกเงียบลง เปลี่ยนเป็นเสียงซุบซิบโดยมีเสียงกริ๊ดดังมาเป็นระลอก

            ยอมรับเลยว่าวันนี้อีกคนต่างไปจากเดิม

            อาจจะเพราะไม่ได้อยู่ในชุดนักเรียน กับผมที่ไม่ได้ถูกเซ็ตให้เป็นทรง หรือใบหน้าภายใต้แมสสีขาวนั้น

            พอมารวมเป็นเขา ก็ละสายตาไม่ได้เลยจริงๆ

            อาการป่วยไม่ได้ทำให้เขาดูดีน้อยลงเลย

            “เฟิร์สขับรถเป็นด้วยเหรอวะ” เต้ที่โผล่มาจากไหนไม่รู้เดินเข้ามากระซิบผม

            ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเขาเท่าไหร่

            เฟิร์สเดินไปเปิดท้ายรถเอาของแล้ววกกลับมาคุยกับคนข้างในที่เหมือนจะนั่งมาด้วย ก่อนจะเดินมาทางที่ผมยืนอยู่ด้วยอาการไม่สู้ดีนัก

            “รีบขึ้นรถเถอะ”

            เขาทำตามอย่างว่าง่ายโดยไม่ปริปากพูดอะไร ความกวนประสาทลดลงเทียบเท่าเป็นศูนย์เมื่อเจอพิษของไข้หวัดเล่นงาน

            ผมเดินนำอีกฝ่ายมาที่รถ มีสองที่สุดท้ายในแถวหน้าเว้นไว้เหมือนจงใจ และไม่ต้องถามหาตัวการเลย

            คนตัวสูงทิ้งตัวลงกับเบาะอย่างเหนื่อยอ่อนคล้ายจะหลับแหล่มิหลับแหล่ ผมสะดุ้งทันทีเมื่อแขนแตะโดนฝ่ามืออีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว

            “เฟิร์ส ตัวร้อนมากเลยนะ” ผมนิ่วหน้าเครียด

            “อือ…”

            “กินยาหรือยัง”

            “กิน..เมื่อเช้า”

            “เมื่อคืนล่ะ”

            “ไม่ได้กิน”

            ว่าแล้ว..

            “เราก็บอกให้กินดักไว้ตั้งแต่เมื่อคืน”

            “ขอโทษ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงงึมงำในลำคอ

            “แล้วทำไมไม่อยู่บ้าน ถ้าป่วยจริงๆไม่ไปก็ได้”

            ถึงพูดอย่างนั้น...พอเอาเข้าจริงก็ดีใจที่อีกฝ่ายมา

            คงจะรู้สึกโหวงแปลกๆถ้าไม่มีคนคอยกวนประสาทอย่างเคย

            “ก็อยากไป” เขาเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “กับที่หนึ่ง”

            “ป่วยก็ยังมาพูดเล่นอีกนะ”

            “ไม่ได้เล่น พูดจริงๆ”

            คนตัวสูงดึงแมสออก ทำให้เห็นใบหน้านั้นได้เต็มตา

            ให้ตายเถอะ นี่เขาป่วยจริงๆใช่มั้ย

            มันมีแค่ร่องรอยความอิดโรยนิดเดียว นิดเดียวเท่านั้น

            พวกผู้หญิงกริ๊ดด้วยสาเหตุอะไร ก็น่าจะรู้แล้ว

            “งั้นก็นอน จะได้หายเร็วๆ”

            ผมพูดตัดบทเมื่อรถเริ่มเคลื่อนที่ออกไป เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ล้มตัวนอนกับเบาะอย่างว่าง่ายอีกครั้ง

            หยิบหูฟังขึ้นมาสวม ไล่หารายชื่อเพลงฟังไปเรื่อยๆ

            ปกติแล้วทั้งรถจะไม่เงียบแบบนี้ อาจจะเพราะเป็นช่วงเช้าเลยยังตื่นกันไม่เต็มที่ ส่วนมากก็พิงเบาะหลับทุกราย

            แต่เชื่อเถอะ ค่ำเมื่อไหร่ก็รู้เรื่องเลย

            นั่นน่ะเวลาตื่นที่แท้จริง

            ผมหันไปมองที่นั่งเยื้องๆก็พบว่าเป็นมิกกับเต้ ถัดไปก็เป็นลูกแพรกับฝ้าย เพื่อนในกลุ่มอีกคน

            คนคิดแผนการทั้งสี่หันมายิ้มให้อย่างรู้ใจ จนผมต้องกลอกตาอย่างเอือมระอา

            ขยันสร้างเหลือเกินเรื่องแบบนี้

            หันไปข้างๆก็เห็นอีกคนเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว

            คิ้วเข้มขมวดแน่นเหมือนไม่สบายตัว ด้วยรูปร่างที่สูงทำให้ตัวไม่พอกับเบาะ ซ้ำยังเบียดไปกับหน้าต่างอีก

            ผมถอนหายใจ เขาคงกลัวว่าจะเอาหวัดมาติด

            ก็ขอบคุณที่ตัวเองเกิดมาแล้วเป็นหวัดแทบนับครั้งได้ เลยพยายามสะกิดเรียกคนตัวสูงกว่าให้เขยิบออกมา

            จะสิงกับหน้าต่างอยู่แล้ว...

            “อือออ..”

            “เฟิร์ส เฟิร์ส”

            อีกฝ่ายค่อยๆลืมตาด้วยความง่วงงุน เขาถอยหลังชิดเบาะทันทีเมื่อผมกระเถิบเข้าไปใกล้

            “อย่าใกล้ เดี๋ยวติดหวัดเรา” เสียงทุ้มแหบเอ่ยดุ

            “ไม่เป็นไร เราเป็นหวัดยาก”

            จัดที่จัดทางให้ใหม่ ให้คนป่วยนอนสบายตัว

            “นอนๆ เบียดเราก็ได้ เดี๋ยวหัวโขกกับหน้าต่าง”

            ผมพูดนิ่งๆก่อนจะขยับกลับไปนั่งฟังเพลงเหมือนเดิม

 

            สักพักก็รับรู้ได้ถึงน้ำหนักที่ทิ้งลงมาบนไหล่ซ้าย

            พร้อมกับเสียงหวีดร้องเบาๆจากที่นั่งเยื้องตัวไป

            “มึง! เขาซบกัน”

            “กูเห็นแล้ว พูดเงียบๆดิ”

            ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ พลางเหลือบมองคนข้างๆ

            ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มนิดหน่อยก่อนจะแสร้งทำเป็นหลับ

            ได้ทีละเอาใหญ่...

            ถ้าไม่ติดว่าไม่สบายอยู่ผมคงผลักออกไปแรงๆแล้ว

            ส่วนสูงที่ค่อนข้างต่างกันมากระหว่างผมกับเขาทำให้ต้องยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง เพราะกลัวคนตัวสูงจะปวดคอเอา

            “เฟิร์ส...”

            เอ่ยปรามทันทีเมื่อมือปลาหมึกนั้นเริ่มเลื้อยมาที่มือผมแต่ก็ยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

            “จะทำอะไร”

            ในที่สุดดวงตาคมดุก็ลืมขึ้น เขาค่อยๆช้อนสายตามองผมจากไหล่ นั่นทำให้ผมหายใจผิดจังหวะอย่างทันที

            มุมนี้นี่มัน..ไม่ดีเอาซะเลย

            “มือเย็น”

            “…”

            “เราจับไว้ จะได้อุ่น”

            “…”

            “นะ”

            ผมเม้มปาก หน้าร้อนผ่าว แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้อีกคนทำอย่างที่พูด

            คนเจ้าเล่ห์มันก็ยังเจ้าเล่ห์อยู่วันยังค่ำ

            ไม่น่าใจดีด้วยเลยจริงๆ





 

            กว่าจะถึงปลายทางท้องฟ้าก็มืดสนิทเสียแล้ว

            ใช้เวลาบนรถไปหลายชั่วโมงจนอดเมื่อยไม่ได้

            ผมบิดขี้เกียจไปสองสามที เสียงประกาศของคุณครูผ่านไมโครโฟนเรียกนักเรียนชั้นมัธยมปลายปีสองให้รีบลงจากรถมารวมกันเพื่อจะได้แยกย้ายไปพักผ่อน

            บนรถต่างเต็มไปด้วยความครื้นเครง แตกต่างจากตอนเช้าลิบลับ แต่ก็ไม่ได้สร้างความรำคาญแต่อย่างใด มันเป็นเรื่องปกติสำหรับการไปเที่ยวเป็นห้องอยู่แล้ว

            จะห่วงก็แต่คนข้างตัว ไม่รู้ว่าจะได้พักผ่อนจริงๆหรือเปล่า

            ผมหันสะกิดร่างสูงที่หลับสนิทไปด้วยฤทธิ์ยาให้ตื่นขึ้น อีกฝ่ายลืมตาด้วยใบหน้าที่งัวเงีย คิ้วเข้มขมวดนิ่ว กับผมที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ทำให้ดูเหมือนเด็กเข้าไปใหญ่

            หมายถึง...เด็กโข่งมากกว่า

            อาการเหมือนเริ่มจะดีกว่าเดิม ตัวยังรุมๆอยู่แต่ก็ไม่ได้ร้อนจี๋เหมือนตอนแรก

            “ถึงแล้วเหรอ”

            ถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้งตามปกติของคนเพิ่งตื่น

            “อื้อ รีบลงไปรวมตัวจะได้ไปนอนต่อ”

            เขาขานรับเบาๆในลำคอ

            ลงไปหอบสัมภาระมาถือไว้ ยืนฟังกฎกติกาต่างๆพอเป็นพิธี ก่อนจะถูกปล่อยให้แยกย้ายตามอัธยาศัย

            ลืมบอกไปหรือเปล่าว่าที่พักมันไม่ใช่โรงแรมหรือเป็นห้องหรอก

            ขึ้นเหนือ ก็ขึ้นอย่างที่ว่าจริงๆ

            เต็นท์ไม่ค่อยได้ใช้งานถูกนำมากางด้วยความจำเป็น ความไม่คุ้นชินทำให้ลำบากนิดหน่อยในการที่จะกางให้มันเป็นรูปเป็นร่าง จนคนป่วยที่ยืนสัปหงกอยู่ต้องรีบเข้ามากางช่วย

            จะบอกว่าถูกมัดมือชกก็คงไม่ ในเมื่อมันเป็นการยินยอมทั้งสองฝ่าย

            ผมควรจะไปนอนกับเพื่อน หรือเขาก็ควรจะไปนอนกับเพื่อนเหมือนกัน

            แต่ด้วยความเป็นเศษเนื่องจากกลุ่มเป็นเลขคี่ทั้งคู่ การจะนอนอัดกันในเต็นท์สามคนคงอึดอัดพิลึก จึงยอมเสียสละออกมาแทน

            ซึ่งก็เข้าทางอีกฝ่ายพอดีล่ะนะ

            แอบละอายใจที่ต้องพึ่งเขาเสมอไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องหยุมหยิมอย่างการกางเต็นท์

            เขาดูเชี่ยวชาญไปหมดทุกเรื่องไม่ได้เฉพาะแค่ด้านวิชาการ

            “ทำแบบนี้”

            ผมเรียนรู้จากคนตัวสูงอย่างรวดเร็ว และยิ้มออกมาเมื่อมันเป็นรูปเป็นร่างสักที

            “จะไปอาบน้ำก่อนมั้ย”

            หากบอกว่าอากาศเมื่อตอนเช้าหนาวมากแล้ว ที่นี่ก็เข้าขั้นวิกฤตเลยทีเดียว

            ตั้งแต่ลงจากรถมาแขนขาก็สั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ ลมที่พัดผ่านมาสร้างความทรมานได้อย่างโหดร้ายสำหรับมนุษย์เมืองร้อนอย่างพวกผม มันไม่ได้หนาวแบบสบายๆหรือผ่อนคลายอะไรทั้งสิ้น

            มันหนาวชนิดที่ต้องวิ่งเข้าหาแสงอาทิตย์เลยต่างหาก

            แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เป็นกลางคืน มันทวีคูณความยะเยือกเข้าไปอีก ผมจะไม่ว่าอะไรเลยถ้าคนป่วยอย่างเขาจะไม่ไปอาบน้ำ

            คนปกติร้อยทั้งร้อยก็ไม่อาบกันหรอก...

            “อือ เดี๋ยวไป”

            “เอาจริง? ไม่อาบก็ได้นะ”

            “แล้วที่หนึ่งล่ะ”

            ชะงักค้างจากการจัดของไป “ก็..อาบก็ได้”

            เอาตรงๆก็เกรงใจ

            จะอยู่ร่วมกันมันก็ต้องปรับตัวอยู่แล้ว

            ถึงในใจจะไม่ได้อยากอาบก็เถอะ

            เขาหัวเราะแผ่วๆเหมือนรู้ความในใจ “ไม่ต้องอาบหรอก เราก็จะนอนเลย ไม่ไหว”

            “ไม่ดีขึ้นเลยเหรอ”

            ผมเม้มปากอย่างชั่งใจ ก่อนจะใช้หลังมือทาบไปที่หน้าผากของคนสูงกว่า

            ก็เหมือนเดิม

            หมายถึง...เจ้าเล่ห์เหมือนเดิม

            เฟิร์สอมยิ้มอีกแล้ว

            “ดีขึ้น”

            มือร้อนค่อยๆเลื่อนมากุมมือผมลงจากหน้าผาก...ไปแนบกับแก้มของเขา

            “แต่อยากหายเลยมากกว่า”

            “…”

            “ก็ไม่อยากให้กังวลนี่นา”

            “คะ...ใครกังวลกัน”

            รีบชักมือออกเหมือนโดนน้ำร้อนลวก ออกปากไล่ให้ไปนอนทันที

            เขาทำตามคำสั่ง

            แต่ก็ยังไม่วายส่งเสียงเบาๆให้ได้ยินกันสองคน

            “ขอบคุณนะครับ”

 

            “อื้อ”

            ขอบคุณ...เหมือนกัน






            ถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่ตีห้า

            เข้าสู่เช้าวันที่สองของการเข้าค่ายเต็มตัว

            ควานหาแว่นที่วางไว้ใกล้หมอนมาสวม มองไปรอบตัวก็ไม่ยักจะเห็นใครอีกคน

            สงสัยไปอาบน้ำ

            มันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจหน่อย ผมนึกว่าเขาจะเป็นพวกขี้เซาหรือตื่นเช้ายากเสียอีก เพราะดูจากพฤติกรรมของเจ้าตัว แต่ก็คงคิดผิดไป

            ผมนั่งลูบหน้าลูบตาอยู่สองสามที เสียงพูดคุยจอแจที่ดังเข้ามาจากข้างนอกทำให้รู้ว่าคนอื่นทยอยตื่นแล้ว

            และห้องน้ำ..เต็มแน่นอน

            ยอมรับเลยว่าคนตัวสูงฉลาดที่ชิงไปอาบตั้งแต่ยังไม่มีใครตื่น ส่วนผมก็คงต้องรอเวลาอีกสักหน่อยให้คนเริ่มซา

            วันนี้อากาศไม่ได้ต่างไปจากเดิมนัก หนาวยังไงก็ยังคงหนาวอยู่อย่างนั้น ผมคว้าเสื้อแขนยาวมาสวมทับอีกชั้น เพราะขืนออกไปในสภาพชุดนอนคงได้แข็งตายอยู่ที่นี่

            ดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า ลมที่พัดเข้ามาแทบทุกจังหวะทำให้เย็นยะเยือกจนขนลุกซู่

            จากจุดที่พักกางเต็นท์อยู่ยังเป็นพื้นที่ราบเรียบ แต่เชื่อเถอะว่าวันนี้กิจกรรมคงไม่พ้นได้แบกเป้เดินขึ้นภูแน่นอน

            ลูกแพรที่ตั้งอาณาเขตของตัวเองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลหันมามองเห็นผมพอดี ก่อนที่จะวิ่งเข้ามาคุยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มจนน่าหมั่นไส้

            “เมื่อคืนหลับสบายมั้ยคะคุณหัวหน้า” อีกฝ่ายยิ้มอย่างมีเลศนัย

            “ร่างไอ้เต้เข้าสิงเหรอ”

            “ฮ่าๆๆๆ อย่าพูดอย่างนั้นสิ นี่เราถามด้วยความหวังดีนะ”

            “ก็ปกติ”

            “งั้นก็เบาใจไป”

            “ทำไม”

            “เปล๊า ก็กลัวเพื่อนไม่ปลอดภัย”

            “ไร้สาระจริงๆ”

            “เอ้า อย่าว่าอย่างนั้นสิ ฮ่าๆๆ” ลูกแพรยืนกุมท้องขำ เหมือนพอใจที่ได้มาแหย่ผมเล่นยามเช้า “อุ้ย ตัวจริงมาละ ไว้เจอกันตอนเรียกรวมนะคะคุณหัวหน้า”

            ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย จนเพื่อนสนิทลับสายตาไป คนที่เพิ่งมาก็เอ่ยทัก

            “ไม่ไปอาบน้ำเหรอ”

            “คนเต็มห้องน้ำมั้ยอะ”

            “ไม่ๆ มีว่างอยู่”   

            ผมพยักหน้ารับ จังหวะที่หันมามองอีกฝ่ายเต็มๆก็ทำให้ชะงักเกือบจะก้าวไม่ออก

            เขาใส่แค่เสื้อยืดสีดำธรรมดา กับกางเกงยีนส์ที่เข้ากับรองเท้าผ้าใบ

            แต่ที่แปลกตาน่ะ...คือผมที่ถูกเซ็ตขึ้น เปิดหน้าผากที่รับกับใบหน้าคมเป็นอย่างดี

           ไม่รู้ตัวว่าเผลอไล่สายตามองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าไปตอนไหนเหมือนกัน

            และถ้าให้เทียบเสียงกริ๊ดของเมื่อวานกับวันนี้

            ก็มั่นใจเลยว่าวันแรกเทียบไม่ติดฝุ่นแน่นอน...

            “มองเราอีกแล้วนะ”

            ผมสะดุ้งหลุดจากภวังค์อย่างรวดเร็วเมื่อเลื่อนสายตาขึ้นมาเจอกับรอยยิ้มที่กลับมากวนประสาทเหมือนเคย

            “ทำไมใส่เสื้อตัวเดียว”

            แสร้งทำเป็นถามคำถามอื่นกลบเกลื่อนสถานการณ์แปลกๆนั้นไป

            “เพิ่งอาบน้ำเสร็จนี่นา อีกอย่างมันไม่ค่อยหนาวเท่าไหร่”

            อะไรนะ?

            องศาที่เลขหลักเดียวเนี่ยนะไม่หนาว

            ไม่ประสาทกลับก็หนังหนาเกินมนุษย์แล้ว 

            “หายไข้แล้วเหรอ”

            คนตัวสูงที่ดูกระฉับกระเฉงขึ้นมากกว่าเมื่อวานอย่างเห็นได้ชัด เดาว่าคงหายสนิทเป็นปลิดทิ้ง

            ก็ดีที่หายทัน ไม่งั้นถ้ายังป่วยในวันที่กิจกรรมเยอะแบบนี้ มีหวังได้กลับไปนอนซมที่บ้าน

            “จะไม่ให้หายได้ยังไง”

             ผมหรี่ตาลงอย่างไม่ไว้ใจเมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับเผยยิ้มแจ่มใส

             “ก็มีพยาบาลดี”

             “ไปอาบน้ำนะ” ผมสวนขึ้นมาก่อนที่จะได้โดนแกล้งไปมากกว่านี้

 

             อากาศหนาวเย็นยามเช้ามืดดูสดใสขึ้นมาทันตาเมื่อมีเสียงหัวเราะเจือไปกับบรรยากาศ

             ก็ขอให้..เป็นวันที่ดีอีกวันแล้วกันนะ

 
 
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r n i n e] , 290418
เริ่มหัวข้อโดย: miralchs ที่ 30-04-2018 21:19:04
(ต่อ)



 

            ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยมองว่าการปีนเขาหรือการแบกเป้เดินขึ้นภูเป็นเรื่องยากอะไรเลย

ถึงจะมีหกล้มบ้างตามทาง มีหยาดเหงื่อไหลตามตัวพอให้รู้จักคำว่าเหนื่อย แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ล้วนเป็นเสน่ห์ของมัน

            เพราะรู้ว่ามีจุดหมายที่สวยงาม ระหว่างทางจะลำบากหน่อยก็ไม่เป็นไร

            แต่ไม่ใช่กับวันนี้...และตอนนี้

            มันเป็นครั้งแรกที่ผมจะเกลียดการขึ้นเขาจับใจ

            ย้อนนึกถึงคำพูดของคุณครูท่านหนึ่งตอนหกโมงครึ่งเกี่ยวกับภารกิจที่หนึ่ง มันถูกตั้งชื่อว่ากิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนชั้นม.5

            แค่ได้ฟังกติกาก็รู้สึกถึงความวุ่นวายแล้ว แต่ส่วนใหญ่กลับเห็นด้วยอย่างพอใจ ต่างจากคนส่วนน้อยอย่างผมที่อยากจะลุกขึ้นแย้งใจจะขาด

            คนบ้าเท่านั้นแหละที่จะใช้ผ้าผูกขาตัวเองกับคนอื่นเพื่อเดินขึ้นเขา

            นั่งฟังจนจบแล้วก็กุมขมับด้วยความหน่ายใจ กติกาสุดแสนประหลาดที่นอกจากจะต้องเดินไปพร้อมกับขาคนอื่นแล้วนั้น

            คือต้องจับฉลากเลือกคู่

            ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่ามันเป็นกิจกรรมที่กระชับความสัมพันธ์ตรงไหน อะไรเป็นสิ่งที่กำหนดว่าการได้เดินขึ้นเขาไปเป็นคู่จะทำให้สนิทกันมากขึ้น

            ยิ่งกับผมแล้ว ใครได้คู่ด้วยคือความโชคร้ายดีๆนี่เอง

            ใช้เวลาจับฉลากไปเกือบชั่วโมง นักเรียนกว่าห้าร้อยคนไม่ใช่เรื่องที่จะเดาได้แน่ๆว่าจะได้ใคร โชคดีที่ไม่ต้องเป็นฝ่ายเดินหา ไม่งั้นคงได้หัวเสียไปกว่านี้

            คนตัวสูงที่นั่งอยู่ข้างๆในตอนนี้ นิ่งเสียจนไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ จนผมไม่กล้าเอ่ยปากถาม

            ไม่นาน คนที่มาเป็นคู่ด้วยก็ปรากฏตัวขึ้นข้างหน้า

            เขาเป็นผู้ชาย ที่สูงพอๆกับเฟิร์ส

            “ที่หนึ่งป้ะ”

            คนตรงหน้าเป็นใคร ผมไม่เคยรู้จัก

            แต่ความรู้สึกแรกเมื่อเห็นก็พลันอยากเปลี่ยนคู่ทันที

            มันคือความรู้สึกไม่ปลอดภัย

            ผมไม่ได้เป็นคนเลือกคบคนจากหน้าตา แต่คนตรงหน้าผมตอนนี้ก็ทำให้อยากคิดใหม่

           และเชื่อว่าเฟิร์สก็คงคิดไม่ต่างกัน

           “ที่หนึ่ง...” คนตัวสูงเอ่ยเสียงเครียด “มาคู่กับเรา”

           “อ้าว ได้ไง กฎก็ต้องเป็นกฎดิ”

           สุดท้ายก็ต้องยอม

           เสียงทุ้มเอ่ยประโยคสุดท้ายกับผมก่อนที่จะต้องหันกลับไปเผชิญความเป็นจริง

           เป็นประโยคที่ทำให้สบายใจราวกับเวทมนตร์...

           ‘ไม่เป็นไร เราจะเดินอยู่ใกล้ๆ ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น’

 

            ปี๊ดดดดด

            เสียงนกหวีดดังขึ้นเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นกิจกรรมแรกของวันที่สอง

            ผมไม่เอ่ยปากพูดอะไรอีกหลังจากได้ทราบชื่อของอีกฝ่าย

            หลีกเลี่ยงทุกการกระทำที่จะได้ถูกเนื้อต้องตัว ยังไงเขาก็เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักได้วันแรก

            ผมไม่ชิน และไม่มีวันชิน

            แต่เหมือนเขาจะไม่ให้ความร่วมมือกับผมสักที

            ดูเหมือนรังสีความเกรงใจของผม ไม่ได้ทำให้สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย

            “อยู่ห้องไหนวะ”

            “สิบสอง” ตอบกลับไปนิ่งๆ

            “กูไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน”

            “…”

            “มองไปมองมามึงก็น่ารักว่ะ มีแฟนยัง”

            ผมไม่ชอบ

            ความรู้สึกรำคาญในใจปะทุหนักขึ้นเรื่อยๆ หากคนปกติเจอคำพูดแบบนี้ก็อาจจะเขินหรือเล่นด้วย แต่ผมทำไม่ได้

            อึดอัดจนเหมือนจะหายใจไม่ออก

            การโดนคุกคามแบบนี้เป็นสิ่งที่ผมเกลียดเข้าไส้ เคยบอกไปว่านิสัยของคนเรามันไม่มีวันเหมือนกัน ซึ่งการกระทำของอีกคนตอนนี้มันน่าขยาดสำหรับผม

            มันต่างจากเฟิร์สลิบลับจริงๆ

            ไม่ไหวแล้ว ต้องเดินอีกไกลแค่ไหนกัน...

            “ไม่ตอบกูอีก หยิ่งเหลือเกินนะมึง แตะตัวหน่อยก็ไม่ได้”

            “…”

            “อ้อ ก็เด็กห้องสิบสองนี่เนาะ หึหึ”

            เสียงพูดคุยรอบข้างไม่ได้ทำให้ผมใจเย็นขึ้นเลยแม้แต่น้อย

            อยากจะแกะผ้าออกให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่ก็ทำไม่ได้

            สายตาสอดส่องหาใครอีกคนทันที
           
            อย่างน้อยถ้ามีเขา...ก็อุ่นใจ

            แต่ก็ไม่พบวี่แวว

            “เดินแบบนี้เมื่อไหร่แม่งจะถึง เกาะกูมันก็ไม่น่าจะตายหรอกมั้ง”

            “รีบเหรอ”

            “อ้าว ปากวอนหาเรื่องนะมึง”

            ผมพรูลมหายใจอย่างอารมณ์ไม่ดีขีดสุด

            “เกาะไหล่กู เดี๋ยวนี้”

            “…”

            “หรือกูต้องโอบเอวดี”

            ไวดั่งใจคิด ผมปัดมือนั้นทิ้งอย่างรวดเร็วเมื่อมันทิ้งสัมผัสลง

            “มึง!”

            มันกระชากขาเข้าตัวด้วยความโมโหทันที แต่ด้วยความที่มีผ้าผูกติดกันอยู่ ทำให้ผมเสียหลักล้มครูดไปกับหินแถวนั้น

            อา

             เจ็บตัวอีกแล้วงั้นเหรอ

            “ที่หนึ่ง!!”

            เสียงกรีดร้องโวยวายเต็มไปหมดเมื่อเกิดเหตุการณ์ชุลมุน แต่กลับมีเพียงเสียงเดียวที่ผมจำได้ขึ้นใจ

            “มึงทำเหี้ยอะไร!” เสียงทุ้มตวาดกร้าวไปที่ต้นเหตุ นัยน์ตาดุดันฉายแววโกรธอย่างสุดขีด

            เฟิร์สกระชากเศษผ้าบนข้อเท้าที่ผูกติดกันออกอย่างรุนแรง ก่อนจะค่อยๆพยุงตัวให้ผมลุกขึ้นยืน

            เขากำลังโกรธ โกรธจนผมรู้สึกกลัว เพราะไม่เคยเห็นอีกฝ่ายในมุมนี้มาก่อน

            “ก็แม่งเล่นตัว กูก็อยากไปถึงเร็วๆป้ะ”

            “มึงอยากถึงเร็วมึงก็เดินขึ้นไปเอง ไม่ใช่มาทำร้ายคนอื่น!”

            “อ้าว นี่มันกิจกรรมส่วนรวม กูก็ต้องทำตามกติกา”

            “กติกาคือมึงไม่มีสิทธิ์บังคับใครทั้งนั้น”

            “…”

          “ยิ่งเป็นที่หนึ่ง มึงไม่มีสิทธิ์”

          เขาปล่อยความดุร้ายภายใต้จิตใจออกมาอย่างไม่รู้ตัว รอบข้างต่างเงียบสนิทราวกับไม่มีใครกล้าแย้ง

            เพราะถ้าแย้งออกไป คงรับประกันชีวิตตัวเองตอนนี้ไม่ได้

            แม้กระทั่งตัวต้นเหตุก็ยังลอบกลืนน้ำลาย แตกต่างจากท่าทีอวดดีในตอนนั้นอย่างสิ้นเชิง

            “เกิดอะไรขึ้น”

            คุณครูที่เดินคุมรั้งแถวรีบเข้ามาดูทันที ก่อนจะเรียกหน่วยปฐมพยาบาลเข้ามา

            สถานการณ์คลายลง ผมถูกพยุงขึ้นให้ไปนั่งพักแถวๆนั้นก่อนค่อยเดินต่อ ดีที่แผลไม่ได้ใหญ่อะไรแค่เป็นรอยครูดถากๆเท่านั้น

            “ขอโทษ” 

            เขาเอ่ยท่ามกลางความเงียบ

            “ขอโทษทำไม เฟิร์สไม่ได้ผิดเลย”

            “ขอโทษที่ปล่อยให้เจ็บตัวตลอด เราไม่น่าปล่อยให้เดินกับไอ้ห่านั่นตั้งแต่แรกเลย”

            “ช่างเถอะ ผ่านไปแล้ว ไม่เป็นไร”

            ผมเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามขึ้น

            “แล้วคู่เฟิร์สล่ะ”

            “ไม่ได้เดินด้วยตั้งแต่แรก”

            “อ้าว”

            “กติกาสิ้นคิด ทำไมจะต้องไปทำตาม”

            นี่คงเป็นครั้งแรกที่เราความเห็นตรงกัน

            สายลมเย็นๆค่อยๆพัดความคุกรุ่นในใจให้แผ่วบางลง รวมถึงอารมณ์อีกฝ่ายที่เริ่มจะเย็นลงบ้างแล้ว

            เจ็บตัวไปกี่ครั้ง ลำบากกี่ครั้ง ก็ยังเป็นเฟิร์ส

            เป็นเขา..มาตลอด

            “ขอบคุณนะ..ทุกครั้งเลย”

            “เราเต็มใจ”

            “...”

            “ครั้งหน้าจะดูแลให้ดีกว่านี้”

            ดวงตา..ประสานกันราวกับคำสัญญา

            “จะไม่ปล่อยให้เจ็บตัวอีก”



             ผมวางใจไว้ที่เขาแล้วจริงๆ...

 



            ใช้เวลาเดินขึ้นเขาค่อนข้างนาน

            จากพระอาทิตย์บนหัว ตอนนี้ก็ค่อยๆลาลับขอบฟ้าไป

            มีกำหนดให้อยู่ที่นี่ได้ถึงแค่สองทุ่มเท่านั้น ขากลับก็ไม่ต้องเดินแต่จะเปลี่ยนเป็นนั่งรถลงไปเพื่อความปลอดภัยของนักเรียนแทน

            ก็ยังดีที่คิดได้บ้าง

            มื้อเย็นจบลงไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ก็เป็นช่วงของกิจกรรมไร้สาระอีกเช่นเคย ขอบคุณที่ตัวเองบาดเจ็บจนได้รับสิทธิพิเศษที่ไม่ต้องเข้าไปร่วมวงด้วย

            กิจกรรมที่ดีผมก็ว่าดีและพร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่

            แต่อันไหนที่มันแย่มากๆ ก็อยากจะส่ายหน้าหนี

            สิ่งที่ยังคงเยียวยาจิตใจในช่วงเวลาอันน่าเบื่อเหนื่อยในตอนนี้ก็คงเป็นท้องฟ้าที่ค่อยๆมืดลงทำให้มองเห็นแสงพราวระยับของหมู่ดาว

            ทั้งประกายสุกใสและชัดเจน

            ผมดูดาวเป็นตั้งแต่เด็ก เพราะถูกจับไปเข้าค่ายดาราศาสตร์มาตลอด

            ยิ่งท้องฟ้าเปิดมากเท่าไหร่ เรายิ่งจะสนุกกับการนั่งดูดาวแบบนี้

            อดที่จะถ่ายรูปเก็บไว้ไม่ได้

            ในภาพอาจจะดูธรรมดา แต่ความจริงผมละสายตาไปจากท้องฟ้าในตอนนี้ไม่ได้เลย

            ก็เหมือนกับใครสักคนเคยบอก

            ที่บางที่มองจากรูปก็ไม่สวยเท่าเห็นด้วยตา

            เสียงโหวกเหวกเงียบลง กิจกรรมน่าจะสิ้นสุดแล้ว ก็คงแยกย้ายกันไปเดินชมวิวกัน ผมที่ไม่มีสถานที่ในใจก็คงจะนั่งอยู่แถวนี้แหละ

            เป็นมุมที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ แต่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายอย่างไม่น่าเชื่อ

            และคงจะดีกว่านี้ถ้ามีอีกคนมานั่งด้วยกัน

            มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมไม่รู้หรอก

            รู้สึกตัวอีกที เขาก็ก้าวเข้ามาอยู่ในจุดที่ผมเปิดรับให้อย่างเต็มใจ

            ไม่เคยมีใครได้เข้ามายืนอยู่จุดนี้มาก่อน

            ใช่ เฟิร์สเป็นคนแรก

            สมชื่อเขาเลย..

            บางทีก็อยากถามว่าเขาทำอะไรไม่เป็นบ้างนะ ผมยังไม่เห็นจุดบกพร่องที่ชัดเจนในตัวเขาเลยด้วยซ้ำ

            รู้สึกละอายใจทุกครั้งที่หวนนึกถึงว่าตัวเองเคยทำนิสัยแย่ๆใส่อีกคนไปมากแค่ไหน

            ทั้งที่อีกฝ่ายก็ดีอย่างเสมอต้นเสมอปลายมาตลอด

            บนโทรศัพท์โชว์ชื่อของคนที่กำลังนึกถึงอยู่

            ผมคงไม่ได้นั่งคนเดียวแล้ว

            ‘อยู่ไหน’

            “อยู่...”

            ผมเรียกพิกัดตรงนี้ไม่ถูก เหมือนมันจะไม่ได้ไกลจากลานกิจกรรม แต่ก็เป็นมุมที่มองไม่เห็นเหมือนกัน

            ‘เห็นแล้ว’

            อีกฝ่ายตัดสายไป

            ก่อนที่จะมีคนล้มตัวนั่งข้างๆ

            “มานั่งอะไรที่มืดแบบนี้”

            “ไม่มืดสักหน่อย” ผมชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า “เห็นมั้ย ดาวเต็มเลย”

            เขายิ้มแต่กลับมองมาทางผมแทนที่จะเป็นดาวบนฟ้า

            “เห็น”

            “อย่าเล่นนะ”

            ผมดักทางไว้อย่างรู้ทัน เรียกเสียงหัวเราะจากคนตัวสูงได้เป็นอย่างดี

            เรานั่งดูดาวด้วยกันเงียบๆ ปล่อยความรู้สึกให้ดำดิ่งไปกับบรรยากาศ

            เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ความเงียบระหว่างเราไม่ใช่ความอึดอัด แต่กลายเป็นความสบายใจแทน

            อยากหยุดเวลาตอนนี้ไว้นานๆเลย

 

            “นานแล้วเนอะ”

            เฟิร์สเป็นฝ่ายพูดขึ้นหลังจากที่เราเงียบไปนาน

            “รู้ตัวอีกทีก็รู้จักที่หนึ่งมาได้เป็นปีแล้ว”

            “…”

            “แต่ก็เหมือนเพิ่งผ่านไปเอง..”

            “…”

            “ที่หนึ่งในวันแรกที่เราเจอกับวันนี้ ไม่ต่างกันเลย ทั้งนิสัยแล้วก็แววตา”

            ผมนั่งตั้งใจฟัง

            มันต่างไปจากครั้งอื่น

            และผมไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดขึ้นมาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย..

            “ความรู้สึกเราในวันนั้นกับตอนนี้ก็ไม่ต่างกัน”

            หากแววตาสีนิลนั้นหันมาสบตาอย่างมั่นคง

            “ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็เกินกว่าที่คิดไปมาก ใจจริงเราแค่ได้แอบมองห่างๆก็มีความสุขแล้ว แต่พอขึ้นม.5 ก็อยากจะทำอะไรสักอย่างให้ที่หนึ่งได้มีเราในความทรงจำไว้บ้าง...”

            “…”

            “ถึงรู้ว่าจะโดนเกลียดแต่เราก็ยอม อย่างน้อยในอนาคต...ที่หนึ่งก็จะจำเราได้ในความรู้สึกนั้น”

            “เราไม่...”

            “ชู่ว”

            อีกฝ่ายเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้มากขึ้น จนในที่สุดแขนเราก็สัมผัสกัน

            “ก็ไม่คิดว่าจะมีวันนี้จริงๆ”

            เขาคลี่ยิ้มออกมา...ด้วยความรู้สึกที่มีทั้งหมด

            “ไม่คิดเลยว่าจะได้เข้ามาอยู่ในสายตาที่หนึ่งโดยที่ไม่ได้โดนเกลียด...”

             “…”

             “เราไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้ หรือวันต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งที่เราจะพูดตอนนี้ มันจะกลายเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิตของเรา”

             “เฟิร์ส...”

 

            “เราชอบที่หนึ่ง”

            ในเวลานี้ เป็นวินาทีที่ผมได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเด่นชัดมากที่สุด...

            ความอบอุ่นของอีกคนทาบลงที่หลังมือ ปลายนิ้วของเราทั้งสองค่อยๆสัมผัสกัน

            “จะเป็นไปได้หรือเปล่าถ้าเราไม่อยากใช้คำว่าเพื่อนแล้ว”

            “…”

            “อยากดูแลให้ได้เต็มที่กว่านี้ อยากแสดงออกได้มากกว่านี้…”

            “…”

 

            “เป็นแฟนกันไหม...”

            เป็นเสียงที่แผ่วเบาราวกับไม่มั่นใจ แต่กลับชัดเจนกว่าสิ่งใดในความรู้สึก

 

            มันช่างเป็นการรอคอยที่เนิ่นนานเหลือเกิน

            เพราะผมไม่มีคำตอบให้เขาในตอนนี้



            “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรครับ”

            เขารวบผมเข้าไปในอ้อมแขน ซึ่งผมก็ยินยอมด้วยความเต็มใจ

            ไม่อยากให้อีกคนเสียใจ...ไม่เลย

            “ยังไม่ต้องตอบอะไรตอนนี้ก็ได้”

            “…”

            “…แค่รับความรู้สึกของเราไว้ก็พอแล้ว”

            อ้อมกอดที่กระชับแน่นขึ้นราวกับให้อีกคนรับรู้

 

            “อีกไม่นาน...เราสัญญา

            อย่าเพิ่งเปลี่ยนใจไปจากเรานะ..”

หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r t e n] , 300418
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 30-04-2018 22:15:24
หูยยย คู่นี้บอกรักกันแล้ว~ ลุ้นๆขอให้หนึ่งตอบตกลง
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r t e n] , 300418
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 30-04-2018 22:38:56
แบบละมุนอ่ะะะะ มีครั้งกันและกันตอนมหาลัย ตอนทำงาน ตอนเข้าสู่วัยทำงาน ตอนแก่ไปด้วยกัน แบบเป็นที่หนึ่งของกันและกันตลอดชีวิตและเป้นคนเดียว  :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r t e n] , 300418
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-04-2018 22:58:39
ตอนนี้รู้สึกดีมากๆเลยแต่เหมือนลมสงบแล้วพายุดราม่ากำลังจะมายังไงไม่รู้ กลัวอะ
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r t e n] , 300418
เริ่มหัวข้อโดย: miralchs ที่ 02-05-2018 19:12:51
C h a p t e r   e l e v e n  ♥

เป็นคนปากไม่ตรงกับใจ


            ‘ไปวันนี้แล้วนะ’

            “อื้อ”

            ฤดูกาลล่ารางวัลสำหรับมัธยมปลายปีสองมาถึงแล้ว

            ลืมช่วงเวลาพักผ่อนของสัปดาห์ที่แล้วไปให้หมด เพราะตอนนี้ในหัวต่างเต็มไปด้วยเนื้อหาความรู้ที่อัดแน่นสำหรับการลงแข่งไปแล้วเรียบร้อย

            เคยคิดว่าไว้ว่ายังไงเรียนในมหาวิทยาลัยมันต้องเหนื่อยที่สุด เพราะมันเป็นการเรียนรู้ช่วงสุดท้ายก่อนที่จะได้เริ่มต้นชีวิตการทำงาน

            แต่พอได้ยืนอยู่ในจุดที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ทำให้รู้ว่าช่วงไหนก็เหนื่อยได้ไม่แพ้กัน ไม่เว้นแม้กระทั่งตอนประถม

            เพราะความรู้สึกในปัจจุบันมันไม่ได้ชัดเจนเหมือนอดีตที่เกิดขึ้น

            เราไปตัดสินไม่ได้หรอกว่าครั้งไหนเหนื่อยไปมากกว่ากัน

            ‘ฟังอยู่หรือเปล่า’

            “ฟังอยู่...”

            อากาศเย็นทำให้น่านอนมากขึ้น

            ความรู้สึกขี้เกียจที่ไม่ค่อยได้เจอก็มักจะโผล่มาในช่วงเวลาแบบนี้

            ไม่อยากลุกไปทำอะไรเลย

            ได้ซุกผ้าห่มหนาๆกับเตียงนุ่มๆก็เป็นความสุขที่เรียบง่ายอย่างบอกไม่ถูก

            แต่นั่นแหละ คนเรามีหน้าที่เป็นของตัวเองเสมอ

            ชักจะอิจฉาหมาแมวแถวบ้านแล้วสิ...

            สวมสลิปเปอร์ไปเปิดหน้าต่างให้แสงแดดส่องทั่วถึง ดวงอาทิตย์กลมโตเหมือนทุกวันแต่กลับดูหมองหม่นกว่าที่เคย อาจเป็นเพราะเมฆที่เคลื่อนตัวมาบดบัง

            หรืออาจเป็นเพราะความรู้สึกของผมเอง

            ‘จะมาส่งหรือเปล่า’

            ปลายสายถามด้วยน้ำเสียงคาดหวัง

            หลังจากกลับเข้าค่ายจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาได้เกือบอาทิตย์ ระหว่างนั้นก็มีกิจกรรมเล็กๆน้อยๆผ่านมาให้ทำตลอด จนเรียกว่าได้เจอหน้ากันทุกวันตลอดปิดเทอมจนเบื่ออย่างที่เพื่อนคนหนึ่งเคยบอกไว้

            มันก็ยังเหมือนเดิม

            หมายถึง...สถานะระหว่างผมกับเขา

            ยังจำคำพูด แววตา และความรู้สึกในตอนนั้นได้เป็นอย่างดี

            ราวกับฝังลึกลงในใจ..

            พอจะรู้ว่าอีกไม่นานเขาก็คงต้องพูดสักวัน แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นวันนั้น

            ไม่ได้เตรียมใจไว้เลยสักนิด

            ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น มันยาวนานอย่างที่เป็น ถึงจะเพิ่งได้เข้าใกล้กันแค่ช่วงระยะเวลากว่าหนึ่งเทอม

            แต่สำหรับเฟิร์ส..มันนานมากพอแล้ว

            ไม่คิดว่ามันเร็วเกินที่จะพูด เพราะเอาเข้าจริงความรู้สึกก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลาเสมอไป

            ผมรู้สึกผิด

            มันไม่ใช่การไม่ตอบคำถามนั้น แต่เป็นเพราะความลังเลที่อยู่ในใจต่างหาก

            เขามั่นคงมาตลอด ส่วนผมกลับสับสนกับตัวเองทุกครั้ง

            มันแย่ที่ต้องต่อสู้กับตัวเอง

            ผมคิด คิดกับเรื่องนี้มานาน และถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าถ้าจุดหนึ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลง ผมจะทำยังไง

            คำตอบคือไม่รู้

            โลกที่มีแค่ตัวผมมาตลอด

            ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะมีใครมายืนข้างๆ

            แต่ความรู้สึกในใจก็มาไกลเกินที่จะเดินไปอยู่จุดเดิมแล้ว

            ได้แต่ขอให้เขารอ รอให้มันแน่ใจ

            ทั้งแน่ใจในตัวเขา..และตัวของผมเอง

            “ไปสิ”

 อยากให้อีกฝ่ายยิ้มได้อย่างมีความสุขสักที...

 

            เรื่องราวบนโลกดำเนินต่อไป ชีวิตเราก็เช่นกัน

            รีบออกมาจนลืมใส่เสื้อกันหนาวทับอีกตัว อากาศหนาวจนแสบหน้าไปหมด

            กลัวไปไม่ทันทั้งที่บอกไว้แล้วว่าจะมา

            ไม่อยากเป็นคนที่ผิดคำพูด

            เขาก็ยังเป็นคนที่มองหาได้ง่ายเหมือนเคย ส่วนสูงเด่นชัดออกมาทำให้ผมไม่ลังเลที่จะก้าวเข้าไป

            คนตัวสูงเห็นผมเป็นคนแรก แต่คนที่เอ่ยทักก่อนไม่ใช่เขา

            “พี่หนึ่ง? สวัสดีค่ะ”

            น้องพีชก็ยังเหมือนเดิมจากที่ได้เห็นในวันนั้น

            และดูเหมือนวันนี้จะสดใสมากกว่าปกติ

            พยักหน้ารับ ก่อนจะมองเห็นความสงสัยบนใบหน้านั้นที่ปิดไม่มิด แต่น้องก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา

            ก็ดี เพราะผมก็ไม่รู้จะตอบว่ายังไงเหมือนกัน

            วันแข่งฟิสิกส์มาถึงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นรายการแข่งขันที่ผมได้สละสิทธิ์ไปแล้ว และวันนี้ก็เป็นวันที่เขาต้องเดินทางไปแข่งที่ต่างจังหวัด

            ถึงอีกฝ่ายไม่ได้บอกให้มาส่ง ก็ตั้งใจจะมาอยู่แล้ว

            เจอกันแทบจะตลอด พอรู้ว่าจะหายไปก็วูบโหวงในใจแปลกๆ

            เฟิร์สดึงผมออกมาจากตรงนั้น ใช้นิ้วเกี่ยวแมสปิดปากออกเพื่อให้พูดสะดวกขึ้น ตาคมดุมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนฉายแววไม่พอใจนิดๆ

            “ทำไมไม่ใส่เสื้อหนากว่านี้”

            “ก็รีบออกมา..”

            “รีบแค่ไหนก็ต้องห่วงตัวเอง ดู ปากสั่นหมดแล้ว”

            “กลัวรถออกก่อนนี่”

            “อันนี้คือเถียงเหรอ”

            เป็นพ่อคนที่สองของผมหรือยังไงกัน

            เขานิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนที่มือใหญ่ถือวิสาสะคว้ามือทั้งสองข้างของผมไปกุมไว้ ถูเบาๆจนเริ่มอุ่นขึ้น

            “เราไม่อยู่ก็ดูแลตัวเองดีๆ”

            “อื้อ”

            “อย่าหักโหม กินข้าวให้ตรงเวลาด้วย”

            “เข้าใจแล้ว”

            เขายิ้มนิดๆ ยกมือที่กอบกุมไว้ขึ้นมาเป่าลมอย่างแผ่วเบา

            “ขอบคุณที่มาส่งนะ”

            “ไม่เป็นไร...”

            ผมเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง

            “เราอยากมา”

            และเห็นรอยยิ้มกว้างกว่าที่เคย

            “พี่เฟิร์ส ไปได้แล้ว!”

            เสียงตะโกนเรียกจากเด็กสาวคนเดิมดังขึ้น ผมจึงค่อยๆดึงมือออกมา แล้วยืนนิ่งไป

            ...เมื่ออีกฝ่ายถอดเสื้อกันหนาวชั้นนอกสุดของตัวเองออกมายื่นให้ผม

            “ใส่ไว้”

            “จะไม่หนาวเหรอ” ถึงเขาจะดูเป็นคนไม่ยี่หระกับความหนาวแต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะถ้าเป็นไข้ขึ้นมาช่วงแข่งล่ะก็แย่แน่

            “เราเอามาเยอะ”

            ผมพยักหน้า แล้วรับมาใส่แต่โดยดี ด้วยส่วนสูงที่ต่างกันทำให้มันยาวแทบจะกรอมเข่าเหมือนขโมยเสื้อพ่อมาใส่ยังไงไม่รู้

            “ไปแล้วจริงๆนะ”

            “อื้อ ดูแลตัวเองด้วยเหมือนกัน…”

            “ครับผม”

            “แล้วก็...ทำให้เต็มที่นะ สู้ๆ”

            ผมยิ้มให้ร่างสูง จนเขายกมือขึ้นมาลูบหัวเบาๆ

            “จะรีบกลับมาเอาเสื้อคืน”

            “…”

            “แล้วก็จะเอารางวัลมาฝากด้วยครับ..”

 

          เขาทำได้อยู่แล้ว

          ผมมั่นใจ..

 

 

         

           

            อากาศเย็นทำให้น่านอนขึ้นก็จริง

            แต่ตอนนี้ผมไม่ง่วงเลยสักนิด

            เวลาเที่ยงคืนตรง ร่างกายที่ควรจะพักผ่อนจากการใช้พลังงานไปมากกลับออกคำสั่งให้ผมนั่งอยู่บนเตียงมาเกือบชั่วโมง

            เหมือนกับ..กำลังรอคอยบางอย่าง

            ผมเป็นที่ไม่ค่อยมีบทบาทในสังคมบนโลกอินเทอร์เน็ตสักเท่าไหร่และแทบจะไม่ได้ยุ่งด้วยซ้ำ แต่มันก็จำเป็นที่ต้องมี เพราะทุกวันนี้สามารถพูดได้เต็มปากว่ามันกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของมนุษย์ไปแล้ว

            นั่งเลื่อนหน้าจอไปอย่างเรื่อยเปื่อย เสียงแจ้งเตือนจากแชทกลุ่มดังมาเป็นระยะทำให้รู้ว่าผมไม่ใช่คนเดียวที่ยังอยู่

            สักพักก็มีข้อความจากเพื่อนสนิทขึ้นมา

 

          Pearx : นอนยัง มีไรจะให้ดู

 

            รูปที่ส่งตามมาติดๆใช้เวลาโหลดอยู่ครู่ ก่อนที่จะปรากฏเป็นภาพของคนที่ผมรู้จักเป็นอย่างดี

            ผมไม่มีแอพนี้บนเครื่อง ถึงอย่างนั้นก็พอรู้จักว่ามันใช้สำหรับทำอะไร

 

            Pearx : โจทก์เก่าอีกละ ดีนะที่คนโพสต์รูปเป็นนางเอง ไม่งั้นเราส่งข้อความไปด่าเฟิร์สแน่ๆ

           

            มันเป็นรูปของน้องพีชที่มีคนตัวสูงอยู่ในเฟรมโดยเอนหัวไปทางคนข้างๆ แม้เขาจะใส่หูฟังและไม่ได้สนใจหันมาทางกล้อง แต่พิจารณาจากรูปก็เดาได้เลยว่าพวกเขานั่งข้างกัน

            อะไรกัน

            อาการแบบนี้นี่มัน...

            ร่างกายมันชาขึ้นมารวมถึงรู้สึกแปลบๆที่อก หากใช้หลักทางวิทยาศาสตร์ก็คงเป็นกลไกของร่างกาย

            แต่ผมคงต้องขอแย้งกับหลักการนี้สักครั้ง

            ตอบเพื่อนสนิทกลับไปเพียงสติ๊กเกอร์ธรรมดา และอีกฝ่ายก็รู้จักหน้าที่ของตัวเองดีจึงไม่พิมพ์อะไรมา

            มันไม่ใช่ความผิดอะไร

            แค่รู้สึกว่าผมคงมองพีชในแบบเดิมไม่ได้อีก

            กดเข้าแอพสีเขียวที่ใช้งานบ่อยที่สุดกว่าอย่างอื่น ข้อความล่าสุดถูกส่งมาจากเขาตั้งแต่ยังไม่ทันสามทุ่ม

            ป่านนี้คนตัวสูงคงนอนหลับสนิท

            ไม่รู้ว่าสมองหรือจิตใจที่ออกคำสั่ง รู้ตัวอีกทีก็กดพิมพ์ข้อความส่งไปแล้ว

            อา

            โคตรบ้าเลย

            ทำไมถึงไม่เป็นตัวเองได้ขนาดนี้กันนะ

            ปิดหน้าจอ คว่ำโทรศัพท์ลง

            ผมควรจะนอนได้สักที

 

            แต่เสียงสั่นของโทรศัพท์ก็ทำให้ผมหลุดออกจากห้วงนิทราได้อย่างรวดเร็ว

            และก็เป็นอีกครั้งที่คาดเดาผิดเกี่ยวกับคนตัวสูง

            “อื้อ..ว่าไง”

            ‘เป็นอะไรครับ’

            “…”

            ‘ทำไมยังไม่นอน ดึกแล้ว บอกว่าอย่าหักโหม’

            “เรา...”

            ‘แล้วแชทมามีอะไรเปล่า พอเราตอบแล้วเงียบ’

            ผมควรจะบอกว่าอะไร

            โดยที่ตัวผมเองก็ยังไม่เข้าใจดีด้วยซ้ำว่ามีเหตุผลอะไรที่ต้องทักอีกฝ่าย

            ถ้าจะเพราะเรื่องรูปนั้น...

            ‘หื้อ...ว่าไง’

            “เปล่า ไม่มีอะไรแล้ว”

            ‘แสดงว่ามี’

            “ทำอะไรอยู่อะ ไม่นอนเหรอ”

            รีบเปลี่ยนเรื่องหนี คนปลายสายนิ่งไปนิดก่อนหัวเราะหึๆออกมา

            ‘ซ้อมแข่งอยู่ แต่ใกล้เสร็จละ ที่หนึ่งทักมาพอดี’

            “เรากวนหรือเปล่า ขอโทษ”

            ‘ไม่ๆ ไม่กวน ดีซะอีก เราก็อยากได้ยินเสียงเหมือนกัน…’

            เขาคงยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่แน่

            “...ไปนอนได้แล้ว”
           
            ‘งั้นนอนพร้อมกันนะ’

            “อื้อ”

            ‘ฝันดีนะครับ’

            “ฝันดี..เหมือนกัน”

 

            หากผมนอนช้าอีกสักหน่อย

            หรือลองโหลดแอพนั้นมาก็คงเห็น..

            first1st  just posted a photo.

 

          คิดถึง ;)





หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r t e n] , 300418
เริ่มหัวข้อโดย: miralchs ที่ 02-05-2018 19:13:10
(ต่อ)


            คนเราสามารถทำอะไรพร้อมกันได้สูงสุดที่กี่อย่าง

            มันเป็นคำถามที่ต้องมีตัวแปรควบคุม และตัดสินจากแค่คนๆเดียวไม่ได้

            ที่แน่ๆมันคงมากกว่าหนึ่งอย่าง

            เหมือนกับตอนนี้...ที่ผมกำลังทำอยู่

            “ใครที่ยังไม่ได้ทำอะไร มาช่วยทำตรงนี้หน่อย!”

            “คนไปซื้อของกลับมายังอะ ไม่งั้นก็ทำต่อไม่ได้นะเว้ย”

            “หายไปเป็นชั่วโมงละแม่ง”

            ความชุลมุนกลับมาอีกครั้ง เหมือนจะหนักเข้าทุกวันเมื่อเวลาเริ่มเหลือน้อยลงทุกที

            นับถอยหลังเข้าสู่กิจกรรมที่เป็นปัญหาอันยิ่งใหญ่ของม.5 แต่ละฝ่ายต่างหัวหมุนกันขั้นสุด ทั้งที่วางแผนกันมายาวนานตั้งแต่เปิดเทอม แต่เหมือนอะไรมันจะไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

            ปัญหาที่ควรหายไปดันมีมากเพิ่มขึ้นทุกวัน จากที่สามัคคีกันตอนแรกก็เริ่มมีปากเสียงกันมาเรื่อยๆจากความเห็นที่ไม่ตรงกัน อารมณ์ต่างๆก็ส่งผลทำให้ไม่เสร็จตามที่กำหนดไว้ แถมล่าช้าจนล่วงเวลามามากโข

            เรียกได้ว่าตอนนี้อาจจะเป็นจุดที่แย่ที่สุดสำหรับการทำงานร่วมกันเลยก็ได้

            “เหนื่อยชิบหาย”

            เต้เดินเข้ามานั่งยองๆพร้อมกับหอบหายใจ

            อากาศในฤดูหนาวไม่ได้ช่วยให้อารมณ์เย็นลงเลยแม้แต่นิด

            อือ เรียกว่าอาการหัวร้อนอย่างเต็มรูปแบบมากกว่า

            “เริ่มลงสีหรือยัง”

            “ลงแม่งไรล่ะ สีหมด คนซื้อก็ยังไม่มา โทรจิกเป็นร้อยสายแล้ว”

            “แล้วจะเสร็จเหรอวะอย่างนี้”

            ผมเองก็ไม่ต่าง บางครั้งการที่คนในห้องสนิทกันมากๆก็เป็นผลเสีย ความเกรงใจที่พึงมีกลับไม่ถูกเอามาใช้

            อยากจะถอนหายใจวันละหลายรอบ

            “ทำส่วนอื่นให้มันเสร็จก่อนละกัน พวกของที่ให้น้องใช้ทำให้มันเสร็จวันนี้เลย”

            ออกคำสั่งบอกเพื่อนร่วมกลุ่มให้ไปกระจายต่อ แล้วกลับมาทำหน้าที่ของตัวเอง

            ผมต้องมารับบทบาทประสานงานกับกรรมการนักเรียนด้วยความจำเป็น เนื่องจากหัวหน้าสีตัวจริงดันไม่อยู่

            กำหนดกลับก็น่าจะเป็นวันนี้

            ไม่ได้ติดต่ออะไรกันมากมาย เพราะต่างคนต่างยุ่งไม่แพ้กัน

            กลับบ้านทีก็หลับเป็นตาย เรียนก็ยังไม่เหนื่อยขนาดนี้

            และดูท่าอาจจะไม่ได้กลับด้วยซ้ำถ้างานยังไม่คืบหน้า

            บ้านสีกลายเป็นสถานที่สำหรับขลุกตัวของเด็กห้องสิบสองไปโดยสิ้นเชิง คงไม่ต้องบอกว่าทุ่มเทไปมากแค่ไหน สภาพของแต่ละคนที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นก็เห็นมันวันนี้นี่แหละ

            ก็นะ ครั้งเดียวในชีวิต

            โตไปจะได้หวนกลับมาคิดถึง...ว่าครั้งหนึ่งเคยทำอะไรแบบนี้

            ในที่สุดคนรับหน้าที่ออกไปซื้อของก็กลับเข้ามา เกิดการทะเลาะกันไปตามระเบียบ

            ถึงจะเป็นอย่างนั้น ตีกันแทบตาย ก็ต้องช่วยกันทำให้มันเสร็จอยู่ดี

            ผมละออกจากหน้าจอเพื่อไปช่วยลงสี คัทเอ้าท์สแตนด์เป็นสิ่งที่ทำยากและใช้เวลาทำนานมากที่สุด จะทำกันเพียงสองสามคนก็คงไม่ไหว โชคดีที่ในห้องมีหัวอาร์ตอยู่หลายคนคอยกำกับเลยไม่ได้ลำบากมากนัก

            พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ความมืดยิ่งเป็นอุปสรรคในการทำงานเข้าไปใหญ่ บรรยากาศอึมครึมเริ่มกลับมาสดใสอีกครั้งหลังจากสงบสติอารมณ์กันได้ เพลงบีสต์หนักๆถูกเปิดขึ้นเพื่อกระตุ้นให้อารมณ์ครื้นเครง

            ทำงานร่วมกันมันก็มีแค่นี้ สุดท้ายก็ใช้เป้าหมายเดียวกัน

            รถเวียนเข้าเวียนออกจนเป็นเรื่องปกติ ยังดีที่เช่าบ้านสีอยู่ห่างไกล ไม่งั้นคงเป็นการรบกวนเพื่อนข้างบ้านแน่นอน

            ผมปาดเหงื่อที่ไหลลงมาตามกรอบหน้า อาจจะเป็นครั้งแรกในฤดูหนาวที่รู้สึกอบอ้าวอย่างบอกไม่ถูก

            มือปริศนายื่นผ้าเช็ดหน้าให้ เงยขึ้นไปก็พบว่าเป็นรองหัวหน้าห้อง

            “ขอบคุณนะ”

            “เรื่องแค่นี้เอง คนอะไรรับหน้าที่เยอะชะมัด พักบ้างก็ได้มั้ง”

            “ไม่ได้ทำแล้วจะนอนไม่หลับน่ะสิ”

            “อย่างนี้ก็ได้เหรอ ฮ่าๆๆ โคตรคนจริง”

            สาวผมสั้นหัวเราะจนตาปิด ก่อนจะตวัดพู่กันลงสีพลางชวนคุยไปด้วย

            “เห็นผลแข่งฟิสิกส์ยัง”

            “ออกแล้วเหรอ”

            แอบใจเต้นไปกับผลไม่ได้

            ผมไม่ได้ตามอะไรเลย แถมอีกฝ่ายก็ไม่ได้บอกอะไร คิดว่ากลับมาเดี๋ยวก็รู้เอง

            “ให้ทาย”

            “ไม่หลุดท็อปสามหรอก” ผมยักไหล่

            “ไม่ใช่”

            “…”

            ผมหันไปมองรองหัวหน้าอย่างไม่เข้าใจ

            “ไม่ใช่แค่ท็อปสาม แต่เป็นที่หนึ่งสมชื่อเลยล่ะ”

            ผมหัวเราะให้กับประโยคที่แสนกำกวม

            “นั่นชื่อเราต่างหาก”

            “เออว่ะ โอ้ยสับสน จะตั้งให้มันเหมือนกันทำไมเนี่ย”

            ผมยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร ส่วนอีกคนก็นั่งโม้อยู่อีกสักหน่อยก่อนจะลุกไปทำอย่างอื่น

            ไม่ผิดไปจากที่คิด เพราะผมมั่นใจว่าเขาทำได้

            ไว้ไปแสดงความยินดีด้วยวันหลังก็ยังไม่สายหรอก

            “เดี๋ยวโทรเรียกน้องม.4 มาเลยป้ะ”

            “น้องมันมาได้อ่อ”

            “ได้มั้ง กลุ่มนึงเพิ่งเลิกเรียนพิเศษ น่าจะมาได้แหละ”

            เป็นปกติของทุกปีที่จะมีน้องเข้ามามีส่วนร่วมบ้าง ถึงจะไม่ได้ทำอะไรเยอะแต่ก็พอให้เรียนรู้เอาไปใช้กับปีของตัวเอง

            บรึ้นนน

            “ฮะ มาแล้วเหรอวะ?” เพื่อนคนหนึ่งถามขึ้นอย่างแปลกใจ

            “มาก็เชี่ยละ กูเพิ่งโทรบอกตะกี้”

            “แล้วใครวะ”

            ถึงจะบอกว่ามีรถเข้าออกตลอด แต่ตอนนี้สมาชิกในห้องก็อยู่ที่นี่ครบทุกคน ไม่แปลกที่จะพากันสงสัย

            ไม่ต้องรอคำตอบนาน คนที่เพิ่งมาถึงก็เดินเข้ามา

            “อ้าว ไอ้หล่อ กูก็นึกว่าจะมาพรุ่งนี้”

            “หึ รถมาถึงเร็ว”

            ผมเงยหน้าขึ้นมองคนมาใหม่ทันที อีกฝ่ายก็ไม่ต่างกัน เขากวาดสายตามองจนพบที่ที่ผมนั่งอยู่ ก่อนจะก้าวฉับเข้ามาหา

            เขากางแขนทั้งสองข้างออกเมื่อเดินเข้ามาประชิดผม

            คล้ายกับ..จะกอด

            แต่ก็ชะงักนิ่งไป

            แล้วลดแขนลงข้างตัวเหมือนเดิม..

            ผมรู้ดีว่าทำไม

            แต่เขาก็เลือกที่จะเลี่ยงเรื่องนั้น พร้อมกับส่งยิ้มให้ผมเหมือนที่ผ่านมา

            “กลับมาแล้ว”

            “อื้อ ขอโทษที่ไม่ได้ไปรับนะ วันนี้เรายุ่งมาก” ผมพูดด้วยความรู้สึกผิดจากใจ วันนี้แทบจะยังไม่ได้ลุกไปไหนเลยด้วยซ้ำ

            “ฮ่าๆ ก็พอรู้อยู่”

            มือหนาเอื้อมมาปาดบริเวณข้างแก้ม “หลักฐานตรงหน้าเลย”

            สีอะคริลิคบนมือคนตรงหน้าทำให้หน้าร้อนวูบขึ้นมารวดเร็ว ไม่รู้ว่าไปทำเปื้อนตอนไหน

            “กลับมานานหรือยัง”

            “ได้ประมาณชั่วโมง แล้วก็รีบมาที่นี่”

            “เหนื่อยแย่ มาพรุ่งนี้ก็ยังได้หรอก”

            “ไม่เอา อยากเจอนี่นา ไม่คิดถึงกันเลยเหรอ”

            เผลอขบริมฝีปากตัวเองเมื่อดันเงยหน้าขึ้นไปเจอสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกโหยหาของคนตัวสูง

            “คิดว่าไงล่ะ”

            ผมหลุบตาลง ก่อนที่จะปาดพู่กันลงผ้าใบกลบเกลื่อน

            “เราไม่รู้หรอก”

            “…”

            “ใจของที่หนึ่งเราจะไปรู้ได้ยังไง..”

            คิดไปเองหรือเปล่าว่าในประโยคนั้นมันแฝงไปด้วยความตัดพ้ออยู่

            ผมเงียบ เขาก็เงียบ

            สุดท้ายผมก็หยุดมือ

            เขยิบเข้าไปใกล้เขานิดหน่อย ก่อนจะเอ่ยปากพูดออกไป

            “เฟิร์สคิดยังไงเราก็คิดอย่างนั้นนั่นแหละ”

            รอยยิ้มถูกจุดที่มุมปากทั้งสองข้างอีกครั้ง พัดเอาตะกอนขุ่นในใจให้หายไป..   

            อย่างน้อยตอนนี้ผมก็สามารถแสดงออกกับเขาได้มากขึ้น

            ลดความนิ่ง ลดทิฐิที่มีลงไปบ้างเพื่อให้เราขยับเข้าใกล้กันได้โดยไม่อึดอัด

            “รู้ผลหรือยัง”

            “รู้แล้ว”

            “โหย ไม่เซอไพรส์เลยว่ะ” เขายู่ปากเหมือนเด็กๆ ทำให้ผมหลุดขำออกมา นานครั้งกว่าที่จะเห็นอีกฝ่ายในมุมนี้

            เพราะปกติก็ทำหน้าเจ้าเล่ห์ตลอดน่ะสิ

            “ก็ควรได้ที่หนึ่ง จะได้ไม่เสียแชมป์เรา” ผมพูดตอบไป

            ไม่ชมหรอก เดี๋ยวเหลิง...

            อีกฝ่ายกระตุกยิ้ม คว้าพู่กันไปจากมือผม

            “ได้เป็นที่หนึ่งในการแข่งขันไปแล้ว” เขาพูดเว้นจังหวะนิดหน่อย แล้วเหล่มองผม “แต่เป็นที่หนึ่งในชีวิตจริง ยังไม่ได้เลย”

            “โอย พอแล้ว อย่าแกล้งเรา”

            ก้มหน้างุดซ่อนหน้าแดงของตัวเองไว้ ผลักไหล่คนตัวสูงให้ถอยหนีแล้วแย่งพู่กันคืนมา ซึ่งเขาก็ยอมผละออกไปแต่โดยดีพร้อมกับเสียงหัวเราะเบาๆ

            คนอะไรหาเรื่องได้ทุกวี่ทุกวันแบบนี้นะ

 

            ผมนั่งปาดสีไปเรื่อยๆ ส่วนเขาก็ถูกเรียกใช้งานไปวาดนู่นนี่

            จำได้ว่าอีกฝ่ายชอบวาดรูป เขาคงมีความสุขที่ได้ทำกับงานนี้ ดูจากการที่ไม่ปริปากบ่นอะไรเลยทั้งที่ปกติต้องมีโวยวายบ้างแท้ๆ

            “พอเค้ามาก็ยิ้มแก้มจะแตกเลยนะ”

            ไม่หันไปมองก็รู้ว่าใคร มีไม่กี่คนหรอกที่จะพูดโต้งๆโดยไม่เกรงกลัว

            “ทำงานตัวเองเสร็จยังถึงมากวนคนอื่น”

            “ยังไม่เสร็จ แต่อยากมากวน เห็นคนเขินแล้วตลกดี”

            “อย่าให้พูดบ้าง ไปทำอะไรกับพี่ซันมาอย่าคิดว่าไม่เห็น”

            ลูกแพรหุบปากฉับทันทีเพื่อผมพูดชื่อต้องห้ามนั้นขึ้นมา

            “เอ๊อ ไม่คุยด้วยแล้วก็ได้วะ”

            คนสูงเกือบเท่าผมก้าวหนีผมไปอย่างเร็วจนน่าตลก

            ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์อีกครั้ง คราวนี้คงเป็นน้องม.4 จริงๆ

            กลุ่มน้องราวๆเกือบสิบคน มีทั้งผมคุ้นบ้างไม่คุ้นบ้าง เพราะส่วนมากเป็นผู้หญิง

            แต่นั่น...น้องพีช?

            อยู่ฝ่ายขบวนร่วมกับอีกห้องไม่ใช่หรือไง..

            ผมเก็บความสงสัยไว้ในใจ ละสายตาออกจากรุ่นน้องแล้วกลับมาทำงานต่อ

            รุ่นพี่โบกมือให้เป็นการต้อนรับ ก่อนจะเคลียร์พื้นที่รกๆให้น้องได้นั่งได้สะดวก แอบแปลกใจที่น้องมาเหมือนกัน เพราะตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว

            หลังจากนั่งคุยสัพเพเหระกันไปนิดหน่อยตามประสาพี่น้องร่วมสายก็เริ่มแบ่งหน้าที่ให้ทำ มีน้องบางส่วนลุกมาช่วยทำคัทเอ้าท์ข้างผม

            แต่เหมือนน้องจะเกรงผมไปหน่อยเพราะเล่นเงียบไปเสียสนิททั้งที่ตอนแรกก็พูดเจื้อยแจ้วอยู่ไม่น้อย

            “พี่ชื่อที่หนึ่งนะ”

            เปิดบทสนทนาก่อนเป็นมารยาท ถึงจะไม่ชอบคุยแต่ก็สงสารที่จะต้องมานั่งอึดอัดกันแบบนี้

            “พวกหนูรู้จักพี่ค่ะ ได้ยินชื่อเสียงความเก่งมานานมากกกก”

            คนที่นั่งอยู่ใกล้สุดพูดขึ้นมา ก่อนที่จะแนะนำตัวเองอย่างเร็ว

            “หนูชื่อส้ม คนนี้ปลา แล้วก็นี่มะเหมี่ยวค่า”

            ทันทีที่ได้พูด ก็เหมือนจะหาที่ลงไม่ได้ราวกับรอคอยโอกาสนี้มานาน น้องผู้หญิงทั้งสามคนผลัดกันคุยจ้อไม่หยุดเมื่อรู้ว่าผมไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ลือไว้จนต้องยิ้มตามไปด้วย

            “พี่น่ารักมากเลยรู้มั้ยคะ มันอาจจะแปลกๆที่ชมผู้ชายแบบนี้ แต่พี่น่ารักจริงๆ”

            ได้ยินคำว่าน่ารักออกมาจากปากทั้งสามคนเกือบยี่สิบครั้งได้ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร

            ทั้งที่ก็เป็นคำเดียวกันกับคนตัวสูงพูดวันนั้น แต่ตอนนี้ผมไม่ได้รู้สึกเขินเลย

            มันขึ้นอยู่กับคนพูดจริงๆสินะ

            “เพื่อนหนูอะ มันเป็นแฟนคลับพี่เลย แต่วันนี้มันไม่มา มันเคยแอบถ่ายรูปพี่ด้วยนะ โคตรเว่อร์”

            “ใคร พี่รู้จักมั้ย”

            “ชื่อนาเดียร์ ตัวเล็กๆ ใส่แว่นกลมๆ น้องรหัสพี่ว่าน เดี๋ยวถ้าเจอพี่ที่โรงเรียนหนูจะชี้ให้ดู”

            เป็นเรื่องที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน ผมอาจจะเคยเห็นหน้าน้องเขาก็ได้

            ก็ไม่คิดว่าจะมีคนให้ความสนใจน่ะนะ

            “พวกหนูขอถ่ายรูปกับพี่ได้มั้ยคะ จะเอาไปอวดมัน ฮ่าๆๆ”

            “ได้สิ”

            สิ้นสุดคำตอบรับน้องทั้งสามก็ขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับชูกล้องโทรศัพท์ขึ้นถ่าย

            แชะ

            “โอ้ยน่ารัก น่ารักมากกกก ขอบคุณนะคะ”

            ผมส่ายหัวยิ้มๆ แล้วปล่อยให้น้องๆคุยกันต่อไป

            ตุ้บ!

            เพล้ง!!

            “ว้ายยย!”

            “เฮ้ย ระวัง!”

            เสียงหวีดร้องของใครคนหนึ่งดังขึ้นมาตามด้วยเสียงทุ้มที่ผมคุ้นเคย ส่งผลให้รอบๆหยุดชะงักแล้วหันไปมองด้วยอารามตกใจทันที ก่อนที่เหตุการณ์โกลาหลจะเกิดขึ้น

            พีชยืนอยู่ตรงนั้น กับคนตัวสูงยกแขนกุมหน้าผากตัวเอง

            “พ..พี่เฟิร์ส! เป็นอะไรมั้ย”

            ผมรีบปรี่เข้าไปดูด้วยใจที่กระตุกวูบ เลือดไหลบนหน้าผากของอีกฝ่ายทำให้ผมไม่ลังเลที่จะเดินไปหยุดตรงหน้าเขาโดยไม่ได้สนใจอีกคนที่ไม่มีบาดแผลใดๆ

            ไม่สนใจแม้กระทั่งตัวเอง...ที่กลัวเลือด

            เศษกระจกที่กระจายบนพื้นบอกเหตุการณ์เมื่อครู่ได้เป็นอย่างดี ออกแรงฉุดแขนให้ก้าวออกมาจากที่ตรงนั้น กดไหล่กว้างให้นั่งลงกับพื้นก่อนจะวิ่งไปหากล่องปฐมพยาบาลทันที

            ทั้งหมดทั้งมวลอยู่ในสายตาของแทบทุกคน

            “เอาเรื่องว่ะ...”

            “หัวหน้าแม่ง...กูอิจฉาไอ้เฟิร์สเลย”

            จะรู้หรือเปล่าว่าในความวุ่นวายกลับมีรอยยิ้มหนึ่งเผยออกมาด้วยความดีใจจนรอบข้างหมั่นไส้

            “โอ้ย ซี๊ด”

            ชุบแอลกอฮอล์ลงบนแผลสด จนเฟิร์สนิ่วหน้า มันไม่ได้ลึกเท่าไหร่แต่ก็คงเจ็บน่าดู

            “ทนหน่อยนะ”

            ออกแรงกดให้เบาลงอีกนิด

            อีกฝ่ายๆค่อยลืมตาขึ้น นัยน์ตาคมจ้องมองมาอย่างไม่กะพริบ

            มันทำให้มือผมสั่น

            รวมทั้ง..ใจสั่นด้วย

            “มองอะไร”

            “มองคนน่ารัก”

            กดลงแรงๆสักทีดีไหมนะ

            รอยยิ้มกรุ้มกริ่มทำให้ผมเร่งทำให้เสร็จเร็วๆก่อนที่จะโดนเล่นไปมากกว่านี้

            “รู้มั้ยว่าเมื่อกี้ที่หนึ่งทำหน้าตกใจมากเลยนะ”

            “…”

            “เราเรียกว่าเป็นห่วงได้หรือเปล่า”

            “ใคร..ใครเป็นห่วงกัน” ผมเสมองไปทางอื่นเพื่อไม่ให้คนตรงหน้าได้ใจ

            “หึๆ”

            “พอเลย”

            “นิสัยเหมือนเดิมไม่ต่างจากแต่ก่อนเลย”

            “…”

            “ปากไม่ตรงกับใจเนี่ย”

            จริงๆเลยนะคนเรา

            กดลงแรงๆเสียทีจนคนตัวสูงร้องโอดโอย แต่ใบหน้าคมก็ยังเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม

            สมควรโดนซะบ้าง

 

            “พี่เฟิร์ส”

            ผมชะงักมือที่รวบอุปกรณ์เก็บลงกล่องเมื่อได้ยินเสียงนั้น

            “ขอโทษนะ เป็นไรมากเปล่า”

            จากประโยคแล้วก็คิดว่าสนิทกันดี

            “สบายๆ”

            “เดี๋ยวพีชเลี้ยงมื้อดึกไถ่โทษ กลับตอนไหนก็เรียกพีชเลยนะ”

            ร่างสูงขมวดคิ้ว “ทำไมอะ”

            “เอ้า ก็จะไปด้วย”

            เกิดบรรยากาศแปลกๆรอบตัวทันที ผมตั้งท่าจะลุกหนี

            แต่มือหนากลับฉุดรั้งให้นั่งลงที่เดิมเสียก่อน

            “คงไม่ได้ พี่ว่าจะค้างที่นี่”

            “งั้นออกไปแป๊บนึงก็กลับเข้ามาก็ด้ายย”

            ผมไม่อยากอยู่ฟังแล้ว

            “พี่ถามจริงๆ”

            “…”

            “ต้องการอะไรจากพี่หรือเปล่า”

            คนตัวสูงเลือกที่จะตัดจบ

            รอบข้างต่างเงียบ ทุกสายตาหยุดมองมาที่พวกผมราวกับรอคำตอบจากเด็กผู้หญิงผมเปียตรงหน้า

            “พีช...”

            “…”

            “พีชชอบพี่! ชอบมานานแล้วด้วย”

            ถ้ามันเป็นการพนัน ผมเชื่อว่าตอนนี้ตัวเองก็คงโกยเงินได้เป็นกอบเป็นกำ

            ก็ไม่ผิดจากที่คิดไว้เท่าไหร่

            “อือ รู้แล้ว"

            และผมก็รอฟังคำตอบจากคนข้างตัวเช่นกัน..

            “พีชสัญญาว่าจะทำตัวดีๆถ้าเราคบกัน จะไม่เอาแต่ใจ จะไม่...”

            “ไม่ได้หรอก”

            “...”

            “พี่มีคนที่ชอบอยู่แล้ว”

            “ก็แค่ชอบ ลองให้พีชพิสูจน์ตัวเองก็ได้…”

            น้องยังคงไม่ย่อท้อ สายตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง ทำให้ผมไม่รู้จะพูดยังไง

            จะว่าเห็นใจก็คงใช่

            แต่ผมคงทำตามความต้องการของน้องไม่ได้

            “ไม่ใช่แค่ชอบ”

            เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ มือหนาเลื่อนลงมากุมมือผมอยู่ข้างหลังโดยไม่ให้ใครเห็น

            “แต่พี่รอคำตอบจากเขาอยู่เหมือนกัน”

            อา

            ผมอยากร้องไห้ให้กับประโยคนี้เหลือเกิน

            เด็กสาวสลับมองหน้าผมกับเฟิร์สสองสามที

            “เข้าใจแล้วค่ะ”

            “…”

            “ขอให้คำตอบของเขาเป็นอย่างที่พี่หวังไว้นะคะ”

            ผมกระชับมือราวกับตอบรับคำพูดนั้น

            มันจะเป็นอย่างที่เขาหวังแน่นอน..

 

            น้องเดินออกไปแล้ว จึงเหลือเพียงผมกับเขาแค่สองคนที่นั่งอยู่

            เกิดความเงียบขึ้น ผมมีอะไรหลายอย่างอยากจะพูดออกไป แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าน้อยๆ

            “ไม่ต้องพูดอะไร อย่ากดดันตัวเอง เรารอได้”

            สัมผัสแผ่วเบาบนหลังมือคล้ายกับช่วยคลายความกังวล

            แต่รอยยิ้มจางบนใบหน้าคมนั้น กลับทำให้เจ็บแปลบมากกว่าเดิม...

            มันเป็นรอยยิ้มที่มีความสุขน้อยกว่าครั้งไหนๆ

            เหมือนที่เขาพูดไม่ผิด

            ผมมันคนปากไม่ตรงกับใจจริงๆนั่นแหละ..

 

 

            ครืด ครืด

            โทรศัพท์โชว์รายชื่อที่ทำให้ผมแปลกใจ

            ...และตามมาด้วยลางสังหรณ์บางอย่าง

            ผมมองหน้าร่างสูงสลับกับหน้าจอ

            เขาพยักหน้า บีบมือแน่นขึ้น

            และผมกดรับสายนั้น..

 

 

 

            ‘ที่หนึ่ง...ป๊ากลับมาแล้วนะ’

 

 

            ธรรมชาติไม่ได้สอนให้มนุษย์อยู่อย่างโดดเดี่ยว

            แต่โลกใบนี้กลับสอนให้ผมรู้ว่าบางครั้งเราก็ต้องเลือกที่จะอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง...

หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r e l e v e n] , 020518
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-05-2018 19:57:45
มีเรื่องอะไรหนอ
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r e l e v e n] , 020518
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 02-05-2018 21:38:17
หนูพีช หนูจะมาตีท้ายครัวชาวบ้านไม่ได้นะลูก
งานนี้หนูก็นกไปก่อนนะคะ 555
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r e l e v e n] , 020518
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 03-05-2018 11:25:41
ติดตามจ้า  :mew1:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r e l e v e n] , 020518
เริ่มหัวข้อโดย: miralchs ที่ 05-05-2018 16:08:16
C h a p t e r   t w e l v e  ♥

เป็นคนข้างๆ



            เคยมีเรื่องเล่าในวัยเด็กกันหรือเปล่า

            อาจจะเป็นตอนหกล้มครั้งแรก ตอนโดนคุณครูดุต่อหน้าเพื่อนหรือตอนวิ่งไล่แกล้งคนอื่นไปทั่ว

            ลองหลับตาลงนึกทบทวนถึงความทรงจำที่ผ่านมา ทั้งเรื่องที่สุดแสนวิเศษ เรื่องที่น่าอาย หรือแม้กระทั่งเรื่องที่ไม่อยากจำ

            แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเราล้วนผ่านมันมาแล้ว

            และเป็นความจริงที่เกิดขึ้นกับเราทุกอย่าง

            สมองของเรามีกลไกการทำงานซับซ้อนจนยากเกินจะเข้าใจมันทั้งหมด

            ร้อยพันเรื่องราวที่ถูกจัดเก็บไว้เป็นอย่างดีเพื่อรอเวลาให้เจ้าของได้หวนคิดถึง

            แต่บางเรื่อง...ก็อยากจะลืมมันไปจากความรู้สึกสักที

            แม้ว่ามันจะฝังใจมาตลอดก็ตาม

            เรื่องเล่าในวัยเด็กของผมมันไม่สนุกเอาเสียเลย

            ทั้งที่มีเพื่อนเล่นด้วย มีข้าวให้กินอิ่มทุกมื้อ ใช้ชีวิตสุขสบาย ไม่เคยต้องลำบาก

            แต่ทำไมความทรงจำถึงได้หมองหม่นแบบนั้น..

            เคยมีความฝันหรือเปล่า

            แน่นอนตราบใดที่ยังมีลมหายใจ เราก็ต่างมีฝันเป็นของตัวเองทั้งนั้น

            มันหมุนผลัดเปลี่ยนไปเรื่อยตามกาลเวลาและช่วงความคิด บางฝันอาจเป็นจริงหรืออาจถูกลบเลือนให้จางหายไป

            แต่บางฝันก็ยังอยู่กับเรา..แม้ว่ามันจะไม่เป็นจริง

            ‘พี่อยากเป็นนักดนตรี’

            ‘นั่นเป็นความฝันของพี่เอกเหรอ’

            ‘มันไม่ใช่ความฝัน แต่มันเป็นอนาคตของพี่’

            ‘…’

            ‘สักวันที่หนึ่งก็ต้องเลือกเส้นทางด้วยตัวเองเหมือนกันนะ’

            ‘แล้วพี่วันล่ะ’

            ‘พี่เหรอ...อืมม ก็อยากเข้าวงการนะ แต่คงยากแน่ๆ’

            ‘ถ้ามั่นใจในตัวเองก็ทำได้อยู่แล้วเชื่อพี่’

            ‘พี่เอกก็...พูดเหมือนเป็นเรื่องง่าย’

            ‘...’

           ‘แต่วันจะสู้ ทุกคนต้องได้เห็นวันในทีวี’

           ‘จะรอดูนะ’

            ความฝันในวัยเด็กช่างบริสุทธิ์...แต่ก็มั่นคงเกินที่จะทำลายลงได้ง่ายๆ

            รอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุขนั้นยังไม่จางหายไปจากความทรงจำ

            ผมในวัยแปดขวบที่ไม่ประสีประสาในโลกของความเป็นจริงและไม่เคยมีความฝันเป็นของตัวเอง ก็ได้แต่ส่งกำลังใจให้พี่ทั้งสองคน

            ถึงจะเป็นแค่เศษเสี้ยวเล็กๆก็ตาม

 

            ‘นี่ ป๊าส่งโปสการ์ดมาด้วยแหละ’

            ‘ดูดิ ป๊ายิ้มแฉ่งเลย’

            ผมได้ชื่อนี้มาจากเขา

            ชื่อที่ดูเพียบพร้อม ไม่ว่าใครได้ยินก็แปลกใจ

            พี่กับม๊าเคยพูดให้ฟังบ่อยๆว่าป๊าทั้งใจดี มีรอยยิ้มให้พวกเขาทุกวัน และคอยเติมสีสันให้บ้านเสมอ

            นั่นคือช่วงเวลาก่อนที่ผมจะอายุได้ไม่ทันสามขวบดี

            ผมได้แต่รับฟังและพยักหน้าเงียบๆ เพราะจินตนาการถึงตอนที่เราอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันไม่ออก

            อย่างที่เคยบอกไป..ว่าสมองของมนุษย์จัดเก็บเรื่องราวในอดีตได้ซับซ้อน

            นั่นคือเหตุผลว่าผมจำหน้า จำเสียง และสัมผัสได้แทบทุกอย่าง

            ยกเว้นความรู้สึกผูกพัน...ที่ไม่เคยได้รับจากคนที่ขึ้นชื่อว่าพ่อเลย

            มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่หลวง คนเรามีหน้าที่การงานที่ต้องทำ เขาไม่ได้จากครอบครัวไปด้วยเหตุผลที่เลวร้าย ซึ่งทุกคนก็เคารพในการตัดสินใจ

            มนุษย์บางส่วนรักการขวนขวายหาสิ่งที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ เมื่อได้รับข้อเสนอที่ตรงใจ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธ

            ใช่ นั่นแหละป๊าผม

            สิบกว่าปีที่ม๊ากลายเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวด้วยความเต็มใจ แม้จะมีลูกในวัยไล่เลี่ยกันก็ไม่เคยปริปากบ่น และไม่เคยให้ใครสักคนต้องลำบาก นั่นทำให้ผมนับถือผู้หญิงคนนี้เหลือเกิน

            อะไรที่ว่าดีท่านก็สรรหามาให้

            อะไรที่อยากได้ก็วางกองให้ตรงหน้าราวกับเสกได้

            ชีวิตที่ดีจนใครหลายคนอิจฉา

            แต่ทุกการลงทุน ย่อมต้องการผลตอบแทน

            ความคาดหวังที่สูงลิบลิ่วดั่งหินที่ถ่วงขาเอาไว้ เริ่มทำให้อะไรหลายอย่างในบ้านหลังนี้เปลี่ยนไป

            ‘ม๊าหวังกับที่หนึ่งมากเลยนะ’

            ‘ครับ’

            ‘อยากให้มีอนาคตที่ดี หน้าที่การงานที่ดี ที่ม๊าพูดเพราะม๊าเป็นห่วงนะรู้เปล่า ม๊าก็ไม่ได้อยู่กับลูกทั้งชีวิต ไม่อยากให้โตไปลำบาก’

            ‘หนึ่งจะพยายาม’

            ‘ดีมากลูก เป็นที่หนึ่งก็ให้เป็นที่หนึ่งสมชื่อ’

            ‘…’

            ‘แล้วที่หนึ่งจะกลายเป็นคนที่เก่งที่สุดของม๊า’

            ราวกับคำพูดที่เป็นแรงผลักดันให้เป็นผมในวันนี้

            เด็กน้อยที่ไม่มีความฝัน มีเพียงผู้เป็นแม่และพี่ มีหรือจะไม่ทำตามคำขอนั้น

            ยิ่งม๊าที่ผมรักและเคารพมาเสมอ ท่านไม่เคยขออะไรนอกจากเรื่องนี้

            เป็นที่หนึ่งในตอนนั้นไม่อยากทำให้ใครผิดหวัง

            ผมทำมาตลอด และมันก็ประสบความสำเร็จ ทุกคนในบ้านล้วนภูมิใจ ความรู้สึกตอนนั้นมันเป็นความสุขที่ล้นปรี่

            นั่นคือความฝันของผมครั้งแรก

            ฝันที่จะให้ทุกคนในครอบครัวมอบความรักกับผมตลอดไป

            แต่นั่นแหละ ทุกคนไม่ได้มีฝันที่เหมือนกัน

            ‘ม๊าไม่อนุญาต’

            ‘ทำไมอ่ะม๊า มันก็ไม่ได้…’

            ‘ลูกคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายๆงั้นเหรอ’

            ‘ผมยังไม่ได้ลองเลยม๊าจะไปรู้ได้ยังไง อนาคตผมนะม๊า’

            ‘แต่ม๊าเป็นคนส่งเสียเอก จะเถียงม๊าที่อาบน้ำร้อนมาก่อนทำไม เป็นอย่างที่ม๊าอยากให้เป็นมันยากนักเหรอ ดนตรีเอาไว้เป็นงานอดิเรกก็ได้ม๊าไม่ได้ห้าม แต่อย่าคิดจะเอามันมาเป็นอาชีพ’

            ‘…’

            ‘เอกยังเด็ก จะคิดอะไรตื้นๆก็ไม่แปลก หวังว่าเราจะไม่ได้คุยเรื่องนี้กันอีก’

            ‘ม๊า..’

            ‘วันก็เหมือนกัน อย่าทำม๊าผิดหวังไปอีกคน’

            ทั้งที่ชีวิตเป็นของเรา

            แต่ทำไมความฝันถึงไม่ได้เป็นของเรานะ

            วันนั้นผมได้ยินเสียงฝนตกหนัก

            ..ไปพร้อมกับเสียงสะอื้นของพี่ที่ผมรักทั้งสองคน

            เรื่องราวชีวิตในครอบครัวยังดำเนินไปเรื่อยๆ

            และความฝันในวัยเด็กของพี่ก็เด่นชัดขึ้นทุกวัน

            มันไมได้เป็นอย่างที่ม๊าหวังไว้ ทั้งสองก็ยังคงยืนกรานในคำพูดของตัวเอง มันกลายเป็นการทะเลาะที่เพิ่มระยะห่างต่อกันมากขึ้นมาตลอด

            ผมไม่รู้ควรจะทำตัวยังไง เพราะพวกเขาสำคัญกับผมทุกคน

            อยากให้ม๊ามีความสุข อยากให้พี่ได้ทำตามที่หวัง หากพี่เขาเป็นไม่ได้ผมก็จะเป็นให้ ผมจึงพยายามมากขึ้น อย่างน้อยก็รู้ว่ามีผมอยู่ตรงนี้ที่จะทำตามคำขอ

            และยอมแบกรับหินนั้นไว้เพียงคนเดียว

            ทุกอย่างบนโลกใบนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่ใจคิด ในตอนนั้นถึงแม้ผมจะกวาดรางวัลมาเป็นสิบเป็นร้อยก็ไม่มีใครสนใจ มันกลายเป็นความชินชาต่อการเป็นที่หนึ่งไปแล้ว

            ความสัมพันธ์ในบ้านระหองระแหงมากขึ้น

            จนสุดท้ายพี่ที่ผมรักทั้งสองก็ตัดสินใจเลือกอนาคตของตัวเอง..

            และทิ้งผมไว้กับความรู้สึกที่จะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกแล้ว

            ‘ไม่ว่าที่หนึ่งจะเป็นยังไง พวกพี่ก็รัก’

            ‘ไว้อีกสิบปีเรากลับมาเล่นชิงช้าด้วยกันนะ’

            สายตาผมจับจ้องไปที่ชิงช้าเก่าๆกลางสวนสาธารณะหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำ

            มันคงจะเป็นไปไม่ได้หรอก..

            “ที่หนึ่ง”

            “…”

            “ไหวหรือเปล่า”

            บ้านที่อยู่ทุกวันตั้งแต่เกิด คุ้นชินแทบทุกมุม แต่ตอนนี้ในหัวของผมไม่มีคำสั่งให้ก้าวเข้าไปในนั้นเลย

            ป๊าจะเป็นยังไง จะใจดีอย่างที่ทุกคนบอกไหม แล้วถ้ารู้เรื่องทั้งหมดจะเกิดอะไรขึ้น

            ถ้าผมรู้จักเขาดีก็คงไม่ต้องมากังวลแบบนี้

            “เฟิร์ส...”

            “ไม่เป็นไร มันจะไม่เป็นอะไร” มือหนาโอบไหล่ผมเข้าไปใกล้

            “มันจะเลวร้ายกว่าเดิมหรือเปล่า เขาจะน่ากลัวมั้ย”

            “ชู่ว ใจเย็นๆ”

            “เราไม่อยากให้แม่เราเสียใจไปมากกว่านี้”

            “…”

            “แค่ไม่เจอพี่มาสามปีแม่ก็ทุกข์มากพอแล้ว”

            มันไม่ใช่การบอกความลับอะไร

            แต่เป็นการระบายความอัดอั้นที่เก็บมานานกับคนตรงหน้า

            ที่ผมรู้สึกสบายใจด้วยที่สุดในตอนนี้...

            “มันจะผ่านไปด้วยดี เชื่อเรา”

            “…”

            “เข้มแข็ง ที่หนึ่ง”

            เขาเอื้อมมือมาประคองใบหน้าแล้วปัดปอยผมให้ช้าๆ

            “เฟิร์สอยู่ตรงนี้”

 

 

            ในที่สุดก็ก้าวเท้าเข้ามาในบ้าน

            กลางห้องนั่งเล่นมีคนทั้งสองนั่งอยู่ราวกับรอคอยให้ผมกลับมา

            ผมลงกลอนประตูบ้านอย่างประหม่า ลอบกลืนน้ำลายทันทีเมื่อมีสายตาตวัดหันมอง

            เราสบตากันอย่างเงียบเชียบจนได้ยินเสียงลมหายใจ

            นั่น...

            ป๊าจริงๆเหรอ

            ใบหน้าเคร่งขรึม แววตาเรียบนิ่งไม่แสดงความรู้สึกอะไร ท่านกำลังกอดอกสำรวจผม กวาดสายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้า

            “เป็นที่หนึ่ง..ใช่มั้ย”

            หากเสียงที่เอ่ยออกมา ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด

            “ครับ”

            “เลี้ยงลูกยังไงให้กลับบ้านมืดค่ำแบบนี้”

            “เขาขอฉันแล้ว” ม๊าถอนหายใจ ก่อนที่จะกวักมือให้ผมมาใกล้ๆ “มานั่งนี่สิลูก”

            ความรู้สึกประหม่าและไม่คุ้นชินยังคงอยู่ ผมไม่กล้าสบตากับผู้เป็นพ่อตรงๆ คำกล่าวขานเรื่องราวที่ผ่านมาจากพี่และม๊าของคนตรงหน้าดูเหมือนจะไม่เป็นจริงเลยสักนิด

            “อายุเท่าไหร่แล้ว”

            “สิบเจ็ดครับ”

            “อืม..”

            บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรู้สึกประหลาด ซึ่งผมไม่ชอบเลย

            “ม๊าเล่าให้ฟังว่าเรียนเก่งมาก จริงหรือเปล่า”

            ผมนั่งนิ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างเกรงๆ

            “อืม สมชื่อดี”

            ทำไมถึงได้รู้สึกห่างไกลขนาดนี้..

            “คุณ..”

            “…”

            “ใช่ป๊าจริงๆเหรอครับ”

            “ทำไมพูดแบบนี้ล่ะที่หนึ่ง” ม๊าเอ็ดขึ้นมาทันที ต่างจากคนตรงหน้าที่เลิกคิ้วอย่างสงสัย

            ก่อนที่จะอ้าแขนทั้งสองข้างออก

            “ลองกอดกันดู”

            “…”

            “ตอนแกสองขวบ ป๊าก็เคยกอดมาแล้วเหมือนกัน”

            ผมนั่งนิ่ง

            นั่นมันผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว จะไปเหมือนกับตอนนี้ได้ยังไง

            ชั่งใจสักพัก ก่อนจะส่ายหัว

            “ไม่เป็นไร เข้าใจว่ายังไม่ชิน แต่ก็อีกไม่นานหรอก”

            ท่านเดินมาลูบหัว แต่ผมก็ไม่ได้ปัดมือออกแต่อย่างใด ก่อนที่อีกฝ่ายจะหายเข้าไปในห้องนอน

            ผมทำตัวไม่ถูกเลยสักนิด

            แต่สิ่งที่ยืนยันในใจของผมตอนนี้...คือผมไม่ได้โหยหาสัมผัสจากคนเป็นพ่อเลย

            และมีสิ่งที่คาใจผมมากกว่านั้น

            หันไปถามคนข้างๆก็เหมือนจะพอรู้ว่าผมจะพูดอะไร

            “ม๊าบอกว่าทั้งคู่ไปเข้าค่ายน่ะ..”

            “เขาจะไม่สงสัยเอาเหรอครับ”

            “ถ้ายังอ้างเรื่องนี้ได้อยู่ ก็คงพอยืดเวลาไปได้เรื่อยๆ”

            “…”

            “ม๊าไม่พร้อมที่จะบอกเขาตอนนี้”

            ผมมองใบหน้าโรยราของผู้ให้กำเนิดด้วยความรู้สึกปนเปกันไปหมด

            ภาวนาว่าเมื่อถึงตอนนั้น...มันจะไม่เลวร้ายก็พอ

 

 

 

            ใจของคนเราจะทนต่อความกังวลได้หรือเปล่า

            ผ่านมาสามวันแล้วหลังจากที่ป๊ากลับมาอยู่ที่บ้าน

            ผมไม่รู้ว่าเขาจะตะขิดตะขวงใจในคำโกหกนั้นมากน้อยแค่ไหน

            ถ้าป๊าเป็นคนช่างสังเกต เขาอาจรู้ได้ในทันทีว่าในบ้านมีเพียงผมกับม๊าสองคนที่ยังอยู่ เพราะข้าวของเครื่องใช้ที่อยู่ในนั้น ไม่มีอะไรเป็นของพี่ทั้งสองเลย

            ราวกับคลื่นใต้น้ำที่รอเวลา...

            ผมมาบ้านสีด้วยใจที่เหม่อลอยทุกวันจนจับสังเกตได้ ถึงจะมีสายตาเป็นห่วงจากเพื่อนในกลุ่มแต่พวกนั้นก็รู้ดีว่าหากผมไม่เป็นคนพูดขึ้นมาเองก็จะไม่ถามให้ลำบากใจ

            ไม่พร้อมที่จะปรึกษาหรือระบาย ความรู้สึกที่เป็นอยู่ตอนนี้ผมยังจัดการไม่ถูกเลยด้วยซ้ำ

            จะมีก็แค่คนเดียวที่คอยถามไถ่เสมอ เป็นความห่วงที่ผมไม่อึดอัดเพราะอีกฝ่ายก็ไม่ได้ก้าวก่ายเข้ามาในเรื่องส่วนตัว เพียงแต่จะคอยอยู่ข้างๆเหมือนอย่างที่เคยบอก

            “พอแล้วที่หนึ่ง ไปกินข้าวเถอะ”

            เขาก็ยังคอยเตือนเรื่องทานข้าวให้ตรงเวลาทุกครั้ง ผมผละออกจากงานตรงหน้า ลุกขึ้นเดินตามคนตัวสูงไป

            “ไม่กินอยู่บ้านสีเหรอ”

            “เดี๋ยวพาไปกินที่อื่น”

            เฟิร์สยิ้มให้เหมือนอย่างทุกวัน และพามาหยุดที่ร้านหนึ่งที่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน

            การตกแต่งรอบๆทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา คล้ายกับยกสวนขนาดย่อมมาตั้งไว้ ธรรมชาติกับเสียงดนตรีที่คลอไปเข้ากันดีอย่างบอกไม่ถูก

            “ชอบหรือเปล่า” อีกฝ่ายโน้มลงกระซิบหลังจากที่เดินตามเข้ามา

            “อื้อ..ชอบ”

            “ดีแล้ว”

            เขาจัดการสั่งอาหารให้เสร็จสรรพ ทรุดตัวลงนั่งข้างผมแทนที่จะเป็นฝั่งตรงข้าม

            “มาเบียดเราเดี๋ยวก็อึดอัดหรอก”

            “ไม่ได้ไล่ใช่มั้ย” คนตัวสูงถามอย่างไม่จริงจัง

            “เปล่า ก็ตัวยักษ์ขนาดนี้กลัวนั่งไม่สบาย”

            ยิ่งนั่งข้างกันแบบนี้ยิ่งเห็นความแตกต่างของตัวผมและเขาอย่างชัดเจน

            “ที่หนึ่งก็ตัวเล็กๆเอง”

            เฟิร์สเอนหลังสบายๆก่อนจะดึงแขนผมให้เอนลงมาด้วยกัน

            “ตัวเล็ก...แต่แบกอะไรไว้เยอะเลย”

            “…”

            “เราอะตัวใหญ่กว่าเป็นเท่า”

            “…”

            “อะไรที่มันหนักหนา...แบ่งให้เราบ้างก็ได้”

            ปลายนิ้วเลื่อนมาคลึงที่มุมปากซ้าย

            “อยากให้ยิ้มเหมือนเดิม..”

            ผมยอมจำนนแต่โดยดี

            เอนซบไหล่กว้างของอีกฝ่ายอย่างหมดเรี่ยวแรง ทิ้งทุกอย่างที่เป็นเกราะกำบังตัวเองไว้ ทิ้งแม้กระทั่งทิฐิทั้งหมดที่มี

            เพราะผมต้องการแค่กำลังใจจากเขาเท่านั้น..

            โชคดีเหลือเกินที่ผมมีเฟิร์สเข้ามาในชีวิต

 

 

            ทว่าลางสังหรณ์ในใจกลับทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัว

            มันปะทุรุนแรงกว่าครั้งไหนๆ

            พอได้ยินเสียงแว่วมาจากภายในตัวบ้าน มือที่ถือกุญแจก็ยิ่งสั่นเข้าไปอีก

            ต่อให้จะภาวนาแค่ไหนว่าอย่าเป็นอย่างที่คิด

            ก็ดูเหมือนว่าคำขอนั้นจะไม่มีวันเป็นจริง

            “นี่คุณปิดบังผมมาตลอดสามปีเลยเหรอ”

            “ฉันไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้”



            “ลูกหายไปทั้งสองคน ยังจะกล้าพูดแบบนี้ได้ คุณมันบ้าไปแล้ว!”

            “ขอโทษ ฮึก ฉันขอโทษ”

            “ให้ตายเถอะ!”

            เสียงกร้าวตะคอกใส่ด้วยอารมณ์โกรธอย่างรุนแรง ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นม๊าทรุดลงกับพื้นพร้อมกับเสียงร่ำไห้ปานขาดใจ

            “ม๊า..ม๊า” ตรงเข้าไปจับไหล่คนบนพื้นทันที น้ำตาที่ไหลนองหน้าทำให้ผมรู้สึกเจ็บจนอยากจะแบกรับแทน

            “แกมาก็ดีที่หนึ่ง อย่าบอกว่าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เหมือนม๊าแกนะ”

            “…”

            “กล้าปล่อยให้เขาไปได้ยังไง ป่านนี้จะดีจะร้าย เป็นหรือตายก็ไม่รู้ มีอะไรทำไมไม่คุยกันดีๆ นั่นลูกนะคุณ ลูกแท้ๆ!!”

            “คุณจะรู้อะไร”

            นาทีนั้นผมลุกขึ้นยืนไปประจันหน้ากับคนที่มีศักดิ์เป็นถึงพ่ออย่างไม่เกรงกลัว

            และสบตาเขาด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี

            ถึงจะขี้ขลาดมาตลอด...แต่ครั้งนี้ผมคงต้องกำจัดมันทิ้งไป

            “คนที่หายไปเป็นสิบปีอย่างคุณ มีสิทธิ์ที่จะพูดอย่างนี้ด้วยเหรอ”

            “ที่หนึ่ง!”

            “ที่หนึ่ง พอลูกพอ ฮึก”

            “คุณไม่เคยแม้จะเหลียวแล พอกลับมาคุณก็เอาแต่โทษม๊า ทั้งที่ในตอนนั้นคุณก็ไม่ได้อยู่กับพวกผม”

            “…”

            “เพราะคุณก็รักแต่งานของคุณ ไม่เคย...นึกถึงลูก”

            ”พอแล้วที่หนึ่ง ม๊าขอ”

            “คุณไม่เคยเป็นพ่อที่ดีในสายตาผมเลย”

            ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ หันหลังให้กับเขาแล้วพยุงม๊าขึ้นไป

            พอกันที..

            ผมเหนื่อยแล้ว

            ตั้งแต่จำความได้ ก็ไม่เคยเรียกร้องอะไรจากใคร

            แม้อยากจะได้รับความสนใจมากแค่ไหน แต่เมื่อมันถูกแบ่งไปใช้กับพี่ๆที่ผมรัก ผมก็เรียกร้องอะไรไม่ได้

            แปลกดี คนที่ทำตามคำขอทุกอย่างกลับถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เพื่อไปวิ่งตามคนที่มีความฝันเป็นของตัวเอง

            การหายไปของพี่ ผมไม่รู้หรอกว่าตอนนี้พวกเขาไปอยู่ไหน ทำอะไร แต่ผมเชื่อมั่นในทั้งสองคนว่าเขาอยู่ได้ด้วยตัวเอง

            หากจะขอเรียกร้องหรือเห็นแก่ตัวสักครั้งเพื่อให้ม๊าสนใจบ้าง แต่สุดท้ายท่านก็ยังคงพะวงและคิดถึงพี่มาตลอดตั้งแต่วันนั้น โดยใส่ใจผมที่อยู่ข้างๆน้อยลงทุกวัน

            และมันกลายเป็นความชินชาไปแล้ว

            ชินชา...ที่ไม่ได้รับความสนใจ

            มันทิ้งระยะเวลายาวนานจนผมไม่อยากได้อะไรจากท่านอีก

            ไม่เป็นไรหรอก

            ผมยอมรับมันมาได้นานจนมันไม่รู้สึกแล้วล่ะ..

 

            สะดุ้งตื่นมากลางดึก

            ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย มันเป็นอย่างนี้ทุกครั้งเมื่อมีอาการเครียด

            ก้าวเท้าลงมาจากเตียง หวังไปดื่มน้ำอุ่นที่ห้องครัวให้สมองผ่อนคลายกว่านี้

            แต่ก็ได้ยินเสียงแว่วจากห้องตรงข้ามเสียก่อน

            “แล้วจะเอายังไง”

            “…”

            “ผมไม่ยอมให้ลูกหายตัวไปดื้อๆแบบนี้หรอกนะ โอเค ผมก็มีส่วนผิดที่ไม่ได้อยู่ด้วย แต่จะให้หลับหูหลับตาทำเป็นไม่รับรู้ผมทำไม่ได้”

            “ฉันไม่รู้จะไปตามหาพวกเขาที่ไหน เคยลองสืบแล้วแต่ก็ไม่มีวี่แวว”

            “ผมจะลองดูอีกครั้ง”

            “ฉันจะช่วยเต็มที่...มันนานมากพอแล้ว”

            “เลิกคาดหวังกับลูกได้แล้วนะฟ้า ไม่ใช่แค่สองคนนั้น ที่หนึ่งก็เหมือนกัน”

            “ฉัน...”

            “ดูจากวันนี้ก็รู้ว่าลูกรักคุณมาก จนผมละอายใจที่ไม่เคยดูแลเขาเลย”

            ผมหลุบตาลงต่ำ

            จริงๆพอมาคิดดูอีกทีก็พูดแรงเกินไปเหมือนกัน

            “อย่าทำให้เขาผิดหวังในตัวคุณ ดูแลเขาให้ดีๆเพราะคุณคือที่พึ่งสุดท้ายของที่หนึ่ง”

            “ขอบคุณ”

            ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือผู้ชายคนนั้นรวบตัวม๊าเข้าไปกอด

            จึงตัดสินใจหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องนอนเช่นเคย

            พร้อมกับความคิดมากมายที่ทำให้ผมนอนไม่หลับจนเกือบเช้า..






หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r e l e v e n] , 020518
เริ่มหัวข้อโดย: miralchs ที่ 05-05-2018 16:10:23
(ต่อ)





            การตามหาตัวใครสักคนบนโลกที่มีประชากรเป็นพันล้านช่างเป็นเรื่องที่โหดร้าย

            แค่คิดก็มืดแปดด้านแล้ว

            ผมที่มีเพียงแค่ชื่อกับเรื่องราวความฝันของพี่ จะไปเพียงพอในการตามหาได้ยังไง

            วันนั้นม๊าโกรธมาก และโกรธมาตลอด ตั้งคำสัตย์ไว้ว่าถ้าพวกเขาไม่กลับมาเองก็จะไม่ตามหา

            สุดท้าย ความเป็นแม่ก็ทอดทิ้งลูกตัวเองลงไม่ได้อยู่ดี

            แต่ก็สายไปเสียแล้ว เพราะกว่าจะถึงวันนั้น พวกเขาก็ไม่ได้ทิ้งเบาะแสอะไรไว้ให้เลย...

            ลองเสิร์ชข้อมูลโดยใช้ชื่อพี่ก็ไม่พบ ดูเหมือนทั้งคู่จะปิดบังตัวเองเก่งพอสมควร แม้กระทั่งเพื่อนร่วมรุ่นก็ยังไม่รู้ว่าไปไหน

            ยกแขนขึ้นก่ายหน้าผาก ใช้สมองทบทวนเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา

            ไปอยู่ไหนกันนะ

            จะมีความสุขดีหรือเปล่า

            แล้วจะ..ได้ทำตามความฝันของตัวเองหรือยัง

            ถึงจะจากกันด้วยไม่ดี สายตาเมินเฉยในวันนั้นผมยังจำมันได้ขึ้นใจ แต่สุดท้ายก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาก็ยังเป็นพี่ที่ผมยังรักและเคารพอยู่ดี

            “นอนไปบนเตียงเลยก็ได้ เราไม่ว่า”

            “ได้ไงเล่า สกปรกพอดี”

            เฟิร์สยกยิ้มมุมปาก เสียงฉีกกระดาษนั้นทำให้ผมรู้สึกไม่ปลอดภัย

            “เผื่อจะมีกลิ่นติดไว้บ้าง”

            “เฟิร์ส”

            หันไปมองค้อน กดเสียงต่ำให้เกรงกลัวแต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร แถมยังหัวเราะอย่างชอบใจ

            “โวยวายแล้วน่ารักกว่านั่งเงียบๆอีก”

            เชื่อเขาสิ..

            สถานการณ์ที่บ้านไม่ได้ดีขึ้น ไม่สิ ต้องบอกว่าระหว่างผมกับผู้ชายคนนั้นไม่ได้ดีขึ้นต่างหาก

            พอจะรู้ว่าตัวเองมีทิฐิสูงมาจากใคร

            ก็ยังดีที่คนเรามี safe zone เป็นของตัวเอง

            ซึ่งมันกลายมาเป็นพื้นที่ที่มีคนตัวสูงเข้ามาอยู่ด้วยไปแล้ว

            ความฟุ้งซ่านที่เต็มหัว ถูกกำจัดออกไปจนเกือบหมดเมื่อมีอีกฝ่ายเข้ามาพูดคุย เล่าเรื่องประจำวันให้ฟัง รวมถึงมุกตลกที่แสนฝืดแต่ก็ทำให้ยิ้มออกมาได้เสมอ

            “เฟิร์ส”

            “หืม”

            “การที่จะตามหาใครสักคนมันยากหรือเปล่า”

            อีกฝ่ายชะงักมือที่กำลังทำของกีฬาสี ก่อนที่จะหันมามอง

            “ก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นใคร”

            “…”

            “ให้เราเดามั้ย”

            เงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาคมดุ

            แล้วสารภาพออกไป

            “เราอยากตามหาพวกเขา”

            “มีชื่อหรือเปล่า”

            “อื้อ..มีสิ”

            ผมจดชื่อทั้งสองคนใส่กระดาษให้คนตัวสูง

            “มีรายละเอียดนอกจากนี้มั้ย”

            “เรารู้แค่ว่าพี่เอกอยากเป็นนักดนตรี ส่วนพี่วันอยากเข้าวงการ”

            “อ่า...” คนตัวสูงขมวดคิ้วมุ่น “ไม่รู้มากกว่านี้แล้วเหรอ”

            ผมส่ายหัวเป็นคำตอบ นั่นทำให้อีกฝ่ายหัวเราะแผ่วๆ “จริงๆเลยนะ”

            เขาเดินไปคว้าแล็ปท็อปมาเปิด ขยับเข้ามานั่งข้างผม

            “เราลองเสิร์ชแล้ว ไม่เจอ”

            “อือ เดี๋ยวลอง”

            แววตาจริงจังกับนิ้วที่กดลงแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็วทำให้ผมละสายตาไปจากคนข้างๆไม่ได้

            ผมไม่คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะต้องหาเจอ จริงๆแค่นั่งข้างผมอยู่แบบนี้มันก็ดีมากพอแล้ว…

            ทั้งที่มันแทบจะไม่ใช่เรื่องของเขา แต่ก็ยังคอยอยู่ข้างๆ ส่งกำลังใจ และคอยช่วยแก้ปัญหา

            พนันทั้งชีวิตเลย

            ผมคงหาคนแบบนี้..ไม่ได้อีกแล้ว

            “พี่เอกหน้าตาเป็นยังไง”

            “มีตาสองชั้น คิ้วเข้มๆ เวลายิ้มก็จะมีลักยิ้ม ผิวสีแทนหน่อย”

            คนตัวสูงครางรับในลำคอ ยกโทรศัพท์ขึ้นมากดหาอะไรบางอย่าง

            ผมรับของงานกีฬาสีที่ทำค้างอยู่มาทำต่อจนเสร็จ เวลาเดินผ่านไปเรื่อยๆ อากาศเย็นๆทำให้เปลือกตาผมเริ่มจะปิดลง

            แต่ก็สะดุ้งขึ้นเพราะเสียงเรียก

            “ที่หนึ่ง”

            “…”

            “คนนี้หรือเปล่า”

            เอื้อมมือไปรับโทรศัพท์มาดูใกล้ๆ

            และนั่นทำให้ผมตัวชาวาบทันที

            ไม่ผิด...ไปจากที่ผมบอกเลย

            ใช่ ใช่จริงๆด้วย

            “ไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่คนนี้รู้จักกับเพื่อนพี่เรา ชื่อเอกเหมือน...”

            “ใช่..”

            “…”

            “คนนี้แหละ”

            ผมไม่เข้าใจการทำงานของโชคชะตาสักเท่าไหร่

            บางครั้งก็กำหนดชีวิตง่ายๆกลายเป็นเรื่องวุ่นวาย

            แต่บางครั้งก็ใจดีดั่งมอบพรวิเศษให้..

 

 

            อย่างไรก็ตามข้อมูลก็ไม่ได้มากพอที่จะตามหาคนๆหนึ่งเจอได้รวดเร็ว

            ทุกอย่างต้องใช้เวลาเป็นตัวตัดสิน

            เดินมาหยุดสถานที่ตรงหน้าอีกเป็นอีกครั้งที่เก้า ผ่านมาได้กว่าสองอาทิตย์ที่นี่ก็เหมือนจะเป็นเบาะแสเดียวที่หาได้

            คำบอกเล่าจากเพื่อนพี่ของเฟิร์สเป็นเพียงข้อมูลคร่าวๆว่าทั้งสองสบายดีและมีแพลนจะไปต่างประเทศนานแล้ว

            จนถึงตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าไปหรือยัง

            มันคล้ายกับห้องซ้อมดนตรีแต่ก็ปิดทึบจนดูเหมือนไม่มีใครมาใช้งานมาเป็นเวลานาน

            “มาอีกแล้วหรือพ่อหนุ่ม”

            “ครับ”

            ตอบรับคุณตาที่อาศัยอยู่ระแวกนั้น เขาเห็นผมตั้งแต่ครั้งแรกๆที่มา

            “ตาก็อยากช่วยนะ แต่ตาก็ไม่รู้ว่าเขาไปไหน นานได้เกือบเดือนแล้วล่ะ”

            “…”

            “คนสำคัญใช่ไหม”

            “ครับ”

            ผมพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงมั่นคง

            “พวกเขาเป็นคนในครอบครัวผม..”

            ยาวนานจนฝนตั้งเค้า ท้องฟ้าอึมครึมทั้งที่มันยังเป็นช่วงฤดูหนาว

            “กลับเลยมั้ย เดี๋ยวฝนตกก่อน”

            แม้เรื่องราววุ่นวายจะยืดเยื้อมาเกือบเดือน แต่ยังเป็นผู้ชายคนเดิมทุกครั้ง

            ที่อยู่ข้างๆมาจนถึงวันนี้

            รวมถึงเพื่อน

            เพราะเหตุผลนี้ทำให้ผมไม่ได้ติดค้างในใจอะไรกับม๊าหรือพี่ทั้งสองคน

            ถึงมันจะยังเป็นตะกอนขุ่นใต้ก้นบึ้งของจิตใจ แต่วันเวลาจะช่วยปัดเป่าให้มันทุเลาและจางหายไปเอง

            ผมค้นพบความสุขที่มีรอบข้าง จนเลิกคาดหวังอะไรแบบนั้นไป และต่อให้ม๊าจะหันมาสนใจเอาในตอนนี้ ก็คงคิดว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการแล้ว

            “อื้ม”

            แต่ทว่า...

            “ที่หนึ่ง?”

            มันไม่ใช่เสียงจากคนข้างตัว

            “ใช่ที่หนึ่งหรือเปล่า”

            “พี่เอก พี่วัน…”

            คล้ายกับหนังสือที่เปิดกลับมาจนถึงหน้าแรก เพื่อจบบทสรุปสุดท้ายให้ดีที่สุด...

 

            “คุยกันแล้วล่ะ”

            “เจอกันแล้วเหรอครับ”

            “อื้ม เพิ่งไปเจอมาเมื่อกี้เลย”

            “…”

            “…”

            มีเรื่องราวนับร้อยพันที่อยากจะเล่า แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นจากอะไร

            หากที่คิดออกตอนนี้ ก็คงจะมีคำเดียว

            “พี่ครับ”

            “หืม”

 

            “ผม..ขอโทษ”

            เท่านั้น...กำแพงจางๆที่สร้างขึ้นมากั้นก็พังทลายลงภายในพริบตา

            ระหว่างพวกเรา..เป็นสายใยที่ไม่ว่ายังไงก็ตัดไม่ขาด

            “น้อง มา..มาหาพี่”

            อ้อมกอดของทั้งสองคนที่โหยหามานานเกือบสามปี ตอนนี้อยู่ตรงหน้าผมแล้ว

            “ที่หนึ่งไม่เคยผิด ไม่ผิดอะไรเลย เป็นเพราะพวกพี่เอง”

            “อย่าโทษตัวเองอีกเลยนะ”

            มือที่อบอุ่นในตอนนี้ก็ยังคงอบอุ่นเหมือนเดิม

            “เราจะได้เจอกันอีกมั้ยครับ...”

            “ต้องเจออยู่แล้ว”

            “สัญญาว่าจะกลับมา”

            ความรักเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์ผูกพันมากที่สุด

            ตราบใดที่ยังรู้สึก ความผูกพันก็จะยังคงอยู่ต่อไป

 

            “ไว้เราไปเล่นชิงช้าพร้อมกันทั้งสามคนอีกนะ”

 

 

            ผมนั่งมองฝนตกพรำจากป้ายรถเมล์

            สุดท้ายก็ออกมาไม่ทันฝนที่ตกก่อน

            ท่ามกลางหยดน้ำปรอยๆที่แสนน่าเบื่อ วันนี้กลับเป็นวันแรกที่ผมยิ้มได้อย่างสบายใจ

            คนข้างตัวไม่ได้ยกโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเหมือนแต่ก่อน ในเวลานี้พวกเรานั่งเอื่อยๆ ปล่อยให้สายลมพัดโชยกลิ่นดินชื้นให้ผ่านไป

            “เฟิร์ส”

            “หื้ม..”

            ใครคนหนึ่งบอกว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ

            ผมก็ขอให้ทั้งหมดที่มีส่งไปถึงเขาผ่านแววตาคู่นี้

            “เราคงพูดขอบคุณให้ได้ยินจนเบื่อแล้ว”

            “…”

            “ถึงยังไงเราก็จะขอบคุณไปเรื่อยๆจนกว่าจะไม่มีเฟิร์ส”

            “ที่หนึ่ง..”

            ปลายนิ้วชี้เอื้อมไปแตะลงแผ่วเบาที่ริมฝีปากคนตรงหน้า

            เป็นสัมผัสแรกที่ผมให้เขา..

            เฟิร์สบอกทุกอย่างกับผมมาตลอด

            และมันถึงเวลาสักที

            “ขอบคุณนะที่เข้ามาในชีวิตเรา”

            “…”

            “ขอบคุณทุกความรู้สึกที่มีให้”

            “…”

            “ขอบคุณที่คอยอยู่ข้างๆ และ...”

            วันนี้รอยยิ้มตรงหน้าจะสดใสที่สุด...

            “ขอบคุณที่ทำให้เราชอบใครสักคนได้มากขนาดนี้”

            มันไม่เหมือนวันที่ดาวเต็มฟ้า

            เป็นแค่ตรงนี้...กับป้ายรถเมล์เก่าๆ

            มีผนังที่ถูกพ่นสีจนหม่น

            พร้อมทั้งพื้นโคลนที่เปียกแฉะและอากาศที่ไม่เป็นใจ

            ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบเลย

            แต่มันจะกลายเป็นความทรงจำที่สวยงามอีกครั้งหนึ่ง

            “กอดเราแน่นเกินไปแล้ว”

            “ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ”

 

            อย่างที่เคยบอกไปว่าทุกอย่างต้องใช้เวลา

            อาจจะช้าหรือเร็ว

            แต่เมื่อทุกครั้งที่ฝนตกไม่ว่าจะหนักแค่ไหน

            สุดท้ายมันก็จะซาลงจนพบกับท้องฟ้าสีครามอีกครั้ง
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r t w e l v e] , 050518
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 05-05-2018 17:24:56
เป็นเรื่องที่อึมครึมมาตั้งแต่ต้นเรื่อง แต่ก็ละมุนและมีเสน่ห์มากๆ เขียนได้ดีจริงๆ ครับ
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r t w e l v e] , 050518
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 05-05-2018 17:43:07
ที่หนึ่งได้ปล่อยวางแล้ว สงสารน้อง
กดดันแบกรับอะไรมาตั้งนาน
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r t w e l v e] , 050518
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-05-2018 18:56:01
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r t w e l v e] , 050518
เริ่มหัวข้อโดย: miralchs ที่ 06-05-2018 22:13:22
C h a p t e r   t h i r t e e n  ♥

เป็นคนที่โชคดี


            เหนื่อยมาเกือบปี เพื่อกิจกรรมวันเดียว

            เป็นนิยามของวันกีฬาสีที่ควรจะเปลี่ยนเป็นวันประกวดขบวนพาเหรดหรือวันแข่งสแตนด์เชียร์มากกว่า

            ไม่ได้โฟกัสไปที่กีฬาเลยสักนิด...

            จำได้ว่าตื่นตีสามครั้งสุดท้ายเมื่อตอนไปเข้าค่ายธรรมะ มันเป็นอะไรที่ทรมานน่าดูสำหรับเด็กที่เพิ่งจะอายุไม่ทันได้สิบสามดี

            ถึงยังไงก็ไม่ได้โหดร้ายเท่าตอนนี้

            สแตนด์เชียร์พร้อม เด็กๆมัธยมต้นพร้อม ขบวนพร้อม

            แต่สตาฟม.5 ไม่พร้อม...

            เรียกให้ใกล้เคียงก็คือ จะตายแล้ว

            ที่ผ่านมาเหนื่อยเท่าไหร่ วันนี้ให้คูณไปอีกสิบเท่า อย่าว่าแต่จะให้เดินเลย แค่ยืนนิ่งๆก็จะเซล้มกันระนาว

            สภาพที่กายไม่พร้อมแต่ใจต้องสู้ทำให้ต้องเรียกพลังคืนกลับมาหาตัวเองอีกครั้ง อย่างน้อยถ้าผ่านวันนี้ไปได้ก็ไม่ต้องมีอะไรให้กังวลอีกต่อไป

            ฟ้าที่มืดมิดไร้แสงสว่างกับร่างไร้วิญญาณนับพันมารวมตัวกันหน้าสแตนด์พร้อมกับข้าวของพะรุงพะรัง ประตูโรงเรียนถูกเปิดให้เป็นกรณีพิเศษสำหรับกิจกรรมอันใหญ่หลวงของนักเรียนมัธยม

            อยากจะทรุดลงแล้วนอนไปกับพื้นหญ้าให้รู้แล้วรู้รอด แต่ด้วยหน้าที่ความเป็นหัวหน้าห้องพ่วงด้วยตำแหน่งหัวหน้าสีน้ำเงินที่ค้ำคอไว้อยู่ จะให้ทำตามที่ตัวเองคิดก็จะเกินไป

            มันเป็นการรวมตัวที่เงียบที่สุด ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองด้วยอาการเหม่อลอยคล้ายกับไม่ได้สติ ได้ยินเสียงหาวนับสิบครั้ง เวลาตีสามไม่ใช่เวลาที่สมควรจะมาทำอะไรแบบนี้จริงๆ

            หากจะถามว่าตอนครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ก็คงจะต้องยกนิ้วมานั่งนับชั่วโมงเลยทีเดียว เรียกได้ว่าทุ่มเทกับงานจนวินาทีสุดท้าย

            อิจฉาที่สุดตอนนี้ก็คงเป็นแมวที่กำลังนอนหลับอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ข้างสแตนด์

            ให้ตาย เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ควรได้รับการพักผ่อนด้วยไม่ใช่หรือไง

            ในที่สุดคัทเอ้าท์ที่ใช้เวลาทำกว่าห้าเดือนก็ถูกยกขึ้นไปวางบนสุด โดยมีของตกแต่งวางเรียงรายอยู่หน้าสแตนด์ตามคอนเซ็ปที่ได้รับ

            และร่างของนักเรียนชั้นมัธยมปลายปีสองที่ทรุดลงกับพื้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย..

            “กูเหมือนจะตาย”

            “ไม่ต่างกัน”

            “มึงว่ากูควรจะเลือกไปสวรรค์หรือลงนรก”

            “บาปหนาอย่างมึงก็ไม่น่าถามมั้ง”

            “ไอ้มิก!”

            ไม่ทะเลาะกันสักวันมันคงจะตายแน่ๆ

            ผมปรายตามองผู้ชายสองคนที่นอนล้มลงไปกับหญ้าก่อนจะส่ายหัว แล้วยกวอขึ้นประสานกับฝ่ายอื่นรอบๆ

            เนื่องจากพื้นที่ภายในโรงเรียนค่อนข้างมืดและแสงจากไฟก็ไม่ได้เพียงพอ แถมยังเป็นยามวิกาลที่มีเพียงยามกับคุณครูบางส่วน จึงต้องระมัดระวังอะไรหลายอย่างเพราะถ้าเกิดเหตุอะไรคนที่จะซวยก็ไม่พ้นนักเรียนม.5

            ที่จะโดนหนักสุดก็เป็นเฮดกีฬาสี

            ซึ่งป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้

            เราแยกกันตั้งแต่คืนเมื่อวาน และยังไม่ได้เจอหน้ากันจนถึงตอนนี้ อีกฝ่ายก็ยุ่งไม่แพ้กัน ไหนทั้งจะต้องคุยกับทางโรงเรียน สรุปงบประมาณ เจรจาเคลียร์พื้นที่สำหรับขบวนกีฬาสีอีก

            ก็คง..ไม่ต่างกันนัก

            ท้องฟ้าเริ่มสว่าง ยามเช้าใกล้มาเยือน เสียงพูดคุยเริ่มมีบ้างแต่ส่วนใหญ่ก็เป็นการบ่นกลายๆมากกว่า

            “เหนื่อยโว้ยย เมื่อไหร่จะผ่านไปสักที”

            “อดทนเหอะมึง อีกไม่กี่ชั่วโมงก็หลุดพ้นละ”

            “ที่หนึ่ง ติดต่อเฟิร์สได้ป้ะ โทรหาหลายสายแล้วไม่รับอะ”

            หัวหน้าสีอื่นเดินเข้ามาถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

            “ไม่ได้คุยกันเลย มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

            ผมตอบไปตามตรง บทสนทนาล่าสุดระหว่างผมกับเขาก็ตั้งแต่บ่ายสาม

            “ว่าจะคุยเรื่องขบวน ไม่รู้สรุปว่าจะเอาสีไหนขึ้นก่อนหลังกันแน่ เพราะตอนที่ประชุมวันนั้นก็ให้สีแดงขึ้นก่อนใช่ป้ะ แต่เอาไปเอามาตอนนี้สีส้มบอกจะขึ้นก่อน”

            “ก็ไม่ได้เอาตามที่ประชุมเหรอ”

            “สีส้มแม่งบอกเฟิร์สเปลี่ยนใหม่แล้ว กูก็แบบอะไรวะ วันจริงจะมาเปลี่ยนอะไรอีก แค่นี้ก็วุ่นวายชิบหายแล้วอะ”

            สาบานเลยว่าไม่ได้สนิทกับคนตรงหน้า แต่ด้วยอารมณ์หัวร้อนอาจจะทำให้พลั้งปากพูดออกมาซึ่งผมก็ไม่ได้ถือสาอะไร

            “ใจเย็นๆ ถ้าเรียงตามลำดับสแตนด์ยังไงสีแดงก็ขึ้นก่อน เฟิร์สก็ไม่เห็นพูดอะไรนะว่าจะเปลี่ยน”

            “เออใช่ป้ะ กูงงมาก จะด่ากันตายแล้วมั้ง เฮดก็ดันไม่รับสายอีก จะบ้าตาย”

            “เราขอเบอร์ไว้หน่อย ถ้าติดต่อเฟิร์สได้เดี๋ยวโทรบอก”

            “โอเค ขอบคุณมากๆ”

            ลอบถอนหายใจหลังจากที่เพื่อนต่างสีผละออกไป ผมเห็นเค้าความวุ่นวายอยู่ลางๆตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มงานแล้ว

            พอฟ้าสว่างก็เห็นอะไรชัดขึ้น ความสำเร็จนับหกเดือนอยู่ตรงหน้า เป็นความภูมิใจที่แลกมาด้วยอะไรหลายอย่าง ทั้งกำลังกายและกำลังใจ

            ก็ขอบคุณที่พยายามมาด้วยกัน แม้มีเรื่องราวให้ทะเลาะ ให้ขัดแย้งหรือไม่พอใจกันต่างๆนานา สุดท้ายมันก็ผ่านไปด้วยดี

            กีฬาสีอาจจะไม่ได้ทำให้สามัคคีกันมากขึ้น แต่เชื่อเถอะว่าเราจะเห็นมุมมองของใครหลายคนที่แตกต่างกัน

            และทำให้เข้าใจความคิดแต่ละคนมากกว่าเดิม

            เสียงนาฬิกาบ่งบอกเวลาหกโมงเช้า ร่างกายของผมตอนนี้เหนื่อยและล้ามากเต็มที ความต้องการที่จะพักผ่อนมีมากจนจะสามารถหลับกลางอากาศได้แล้ว

            คงทำได้แค่คิด วันนี้มันยังอีกยาวไกล...

            “ที่หนึ่ง นัดน้องไว้กี่โมง”

            “ประมาณเจ็ดโมง แต่ก็ให้เลทได้นิดหน่อย”

            “มีเบอร์น้องกับผู้ปกครองครบทุกคนป้ะ นี่ก็ไม่ไว้ใจบางคน”

            “มีครบหมด แต่เชื่อเถอะว่ายังไงก็ได้เอาคนไปอุด”

            เรื่องปกติที่จะต้องซ้อมสำรองไว้เผื่อน้องเป็นอะไรกะทันหันหรือไม่มาตามที่นัด

            ก็ม.5 นี่แหละต้องทำทุกอย่าง

            “แล้วติดต่อเฟิร์สได้ยัง”

            ผมส่ายหน้า “ยังไม่ได้โทร”

            “โทรเลย ฝ่ายขบวนแม่งระเบิดลงแล้ว ต้องสแตนบายตอนหกโมงครึ่งเนี่ย”

            ขนาดรองหัวหน้าที่สดใสมาตลอด ในตอนนี้ก็มีสีหน้าไม่สบอารมณ์เช่นกัน

            รอคอยยาวนานจนผมเกือบจะตัดสายทิ้ง แต่ก่อนที่จะได้ทำคนปลายสายก็ดันรับขึ้นมาเสียก่อน

            ‘ครับ’

            ไม่รีรอที่จะยิงตรงคำถามทันที

            “ติดต่อฝ่ายขบวนไปยังอะ ตอนนี้ทะเลาะกันแทบตายแล้ว”

            ‘อ่า..เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องห่วง’

            “แล้วฝั่งนั้นว่าไงบ้าง”

            ‘เหมือนสีส้มเข้าใจผิดอะ แต่เราก็พูดไปชัดเจนแล้วนะ’

            ผมหันไปพยักหน้าให้เกดเป็นเชิงว่าไม่มีอะไรแล้วเพื่อให้สบายใจ

            “โอเค แล้วมีปัญหาอะไรให้ช่วยมั้ย”

            ‘ไม่มีแล้วครับ’

            ผมเงียบไปสักพัก ก่อนจะถามขึ้น

            “อยู่ไหนอะ” / ‘อยู่ไหน’

            ให้ตายเถอะ มาใจตรงกันอะไรเอาตอนนี้

            ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากปลายสาย

            “อยู่สแตนด์”

            ‘ให้ทายว่าเราอยู่ไหน’

            “โรงเรียน” ตอบไปอย่างไม่ได้คิดอะไร

            อีกฝ่ายหัวเราะอีกครั้ง แล้วกดตัดสาย

 

            “อยู่ในใจที่หนึ่งต่างหาก”

            เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างๆหู ผมหันไปมองด้วยอารามตกใจก่อนจะทุบแขนอีกฝ่ายไปที

            “เล่นอะไรเป็นเด็กไปได้” บ่นอุบอิบเมื่อคนตัวสูงยังคงอมยิ้มราวกับไม่รู้สึกผิด

            วันนี้เขาใส่ชุดลำลองสบายๆกับเสื้อสตาฟสีน้ำเงิน และเซ็ตผมขึ้นอีกแล้ว

            หมั่นไส้...

            แค่ในชุดนักเรียนเสียงกริ๊ดก็ดังเป็นนกหวีด พอแต่งตัวแบบนี้ใจคอไม่คิดจะให้รุ่นน้องผู้หญิงพักเลยหรือยังไงกัน

            “หล่ออ่ะดิ จ้องไม่กะพริบเลย”

            ไอ้คนหลงตัวเองเอ้ย

            ผมแสร้งเบ้ปากนิดๆก่อนจะทำเป็นเดินหนีไปทางอื่น

            “แต่ก็หล่อให้ที่หนึ่งมองคนเดียวนะ” เสียงทุ้มพูดไล่หลังมาจงใจทำให้คนแถวนั้นได้ยิน และแน่นอนเสียงโห่แซวก็ดังเกรียวกราวขึ้นมาทันที

            “รำคาญญญญ”

            “เหม็นความรักโว้ยยยยย”

            “อย่ารังแกหัวหน้าห้องกู๊”

            อายจนแทบจะเอาหน้ามุดดินอยู่แล้วเถอะ!

            ผมเดินสำรวจนู่นนี่เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยให้พร้อมสำหรับการแข่งขันสแตนด์เชียร์ที่จะมาถึง ก่อนทรุดนั่งลงกับพื้นหญ้าแถวนั้น กับอีกคนที่เดินมานั่งตามติดๆ

            “มึงจะห่างกันไม่ได้เลยดิ”

            เต้เอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าเหม็นเบื่อเต็มที นั่นทำให้คนข้างผมยิ่งชอบใจ

            “ที่หนึ่งทำเสน่ห์ใส่เรา”

            “เสน่ห์บ้าอะไร” ผมหันไปพูด

 

            “ให้รักให้หลง”

            “โอ้ย กูไม่อยู่ละ รำค๊าญ ไปไอ้มิกลุก!”

            “ฮ่าๆๆๆ”

            กลายเป็นตรงนี้มีผมนั่งอยู่กับเขาสองคน เพราะคนอื่นๆก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่อื่นรวมถึงกลับไปอาบน้ำ เอาของนู่นนี่มาเตรียมไว้สำหรับวันนี้

            เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างหนึ่งคือกีฬาสีจัดขึ้นในช่วงฤดูหนาว ไม่งั้นก็ไม่อยากจะคิดสภาพตอนเป็นหน้าร้อน คงได้ถูกเผาตายกลางสแตนด์ก่อน

            “เหนื่อยหรือเปล่า”

            หันไปถามคนตัวสูง ถึงวันนี้เขาจะดูดีกว่าทุกวัน แต่รอยคล้ำใต้ตาก็ยังปิดบังความอิดโรยนั้นไม่มิดอยู่ดี

            “เหนื่อยมาก”

            “อื้อ เดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว”

            “อยากชาร์จแบต…”

            ผมขมวดคิ้ว มองรอบๆก็มีแต่ต้นไม้กับผืนหญ้า จะไปหาปลั๊กเอาที่ไหน

            แต่พอหันไปเจอแววตาทะเล้นกับลักยิ้มข้างแก้มของอีกฝ่ายก็เหมือนจะรู้ว่าโดนหลอกอีกแน่ๆ

            “ไม่ต้องเลย”

            “นิดเดียวก็ไม่ได้เหรอ”

            “…”

            “นะ”

            ฮึ่ย

            ก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองกลายเป็นที่แพ้ลูกอ้อนของคนตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีก็กลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่แล้ว

            พลันก็รู้สึกถึงความอบอุ่นสอดประสานเข้ามาระหว่างนิ้ว ก่อนที่จะกุมไว้แน่นขึ้น

 

            “ชาร์จพลังงานได้เต็มร้อยเลย...”

 

            เสียงทุ้มกระซิบพัดผ่านมาพร้อมสายลม

            กับใบหน้าร้อนๆที่ไม่ได้เข้ากับอากาศหนาวเลยสักนิดเดียว






            ได้เวลาลงนรกอย่างแท้จริง

            “น้อง เต็มที่กว่านี้!! เอาให้สุด วันนี้วันเดียว!!”

            “เดี๋ยวก็จบแล้ว อดทนไว้ก่อน!”

            คาดว่าหลังจากนี้ยาอมแก้เจ็บคอคงจะขายดีแน่นอน

            สตาฟต่างตะเบ็งเสียงเพื่อสร้างความฮึกเหิมให้แก่น้องๆ เครื่องดื่มชูกำลังถูกวางเรียงรายไว้อย่างไม่ต้องสงสัย ที่ยังเป็นมนุษย์อยู่ได้จนถึงพระอาทิตย์กลางหัวก็ต้องขอบคุณพลังงานจากพวกนี้ทั้งนั้น

            คำปลอบใจที่ว่าเดี๋ยวมันก็จะผ่านไปคงใช้ไม่ได้ผล เวลาทุกวินาทีนับจากตอนเช้าช่างผ่านไปเชื่องช้าราวกับโชคชะตากลั่นแกล้ง

            ไม่เพียงแต่รุ่นพี่ม.5 ที่จะไม่ไหว น้องมัธยมตัวเล็กๆก็เริ่มจะประคองตัวเองไว้ไม่อยู่เหมือนกัน

            อากาศไม่ได้ร้อน ออกจะเย็นด้วยซ้ำ แต่ด้วยระยะเวลาที่ยิงยาวมาตั้งแต่เก้าโมงเช้าก็ไม่แปลกเลยที่น้องจะไม่ให้ความร่วมมือแล้ว

            เด็กหลายคนเริ่มกระสับกระส่าย บางส่วนก็เป็นลมจนต้องเรียกฝ่ายปฐมพยาบาลกันให้วุ่น

            ผมที่เคยผ่านมันมาย่อมเข้าใจดีว่ามันทรมานมากแค่ไหน

            แต่ก็อยากให้อดทน

            “น้อง ฟังพี่นะ”

            ตัดสินใจยกโทรโข่งขึ้น แล้วพูดบางอย่างออกไป

            “ขอบคุณน้องมากๆที่เชื่อฟังมาตลอด ขอบคุณที่ไว้ใจและเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมนี้ พวกพี่ดีใจมากเลยที่เราได้มารู้จักกัน”

            เด็กๆเงียบลงอย่างเชื่อฟัง

            “แล้วรู้หรือเปล่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่พวกพี่ได้นำหน้าที่ของการเป็นสตาฟและเป็นวันสุดท้ายที่น้องจะได้มาขึ้นสแตนด์เชียร์”

            “…”

            “ในอนาคตน้องก็จะมาอยู่ในจุดที่พี่กำลังยืนอยู่ ดังนั้นวันนี้จะเป็นวันเดียวและวันสุดท้ายที่น้องจะได้ทำ เพราะมันจะไม่มีอีกแล้ว”

            “…”

            “อีกไม่กี่ชั่วโมงมันก็จะผ่านไป แต่เชื่อมั้ยว่าถ้าน้องโตขึ้นน้องจะต้องคิดถึงวันนี้มากแน่ๆ”

            “…”

            ผมไม่ใช่เป็นคนที่พูดเก่ง แต่บางสถานการณ์มันก็เป็นหน้าที่ที่เราจะต้องทำ

            แต่ครั้งนี้มันจะเป็นการพูดออกมาจากใจ

            พร้อมกับคลี่ยิ้มบางๆให้กับน้องบนนั้นทุกคน

            “มาทำให้มันดีที่สุดนะ”

            มันไม่ใช่แค่ครั้งแรกของน้อง แต่ก็เป็นครั้งแรกของรุ่นพี่ทุกคนด้วยเช่นกัน

            ไม่เคยได้มาทำอะไรแบบนี้มาก่อน ไม่เคยได้รับรู้ว่ามันยากและลำบากแค่ไหน

            พอได้มาสัมผัสก็อยากจะให้มันออกมาดีที่สุด..

            “สู้ไปด้วยกันนะน้อง!!”

            “เฮ้!!”

            การให้กำลังใจดูเหมือนจะเป็นสิ่งเล็กๆแต่กลับให้พลังที่ยิ่งใหญ่

            สตาฟเดินเข้าไปสำรวจพื้นที่นั่งของน้องเพื่อรอบแข่งขันต่อไป ผมวางโทรโข่งลงก่อนที่จะเข้าไปช่วยคนอื่นๆ

            จัดที่จัดทางพลางส่งน้ำ คอยพัด เช็ดเหงื่อให้ตลอด น้องบางคนหน้าแดงไปหมดแต่ก็ยังยิ้มสู้

            เป็นภาพที่น่าประทับใจจนอยากถ่ายรูปเก็บเอาไว้

            ผมรีบเดินลงมาจากสแตนด์เมื่อเสียงประกาศการแข่งขันดังขึ้น

            และเพราะความรีบทำให้สะดุดกับเชือกกั้นระหว่างที่นั่งทันที

 

            “ระวังหน่อย”

            แต่ข้อมือก็ถูกดึงไว้โดยคนที่คุ้นเคยไว้อย่างทันท่วง น้ำเสียงทุ้มเอ่ยแกมดุก่อนปล่อยมือออก

            “ทำไมมาอยู่นี่” ถามด้วยความสงสัยเพราะอีกคนควรจะไปอยู่ที่กองอำนวยการ

            “เราอยู่สีน้ำเงิน”

            คำตอบทำให้ผมหุบปากฉับแล้วไม่ถามอะไรต่ออีก

            กวนตีนจริงๆ

            และนั่นทำให้คนตัวสูงยกยิ้ม โน้มใบหน้าลงมาด้วยแววตาเจ้าเล่ห์

 

            “แล้วก็อยากมาหาคนที่อยู่สีน้ำเงินด้วย”

 

            โอ้ย ผมไม่พูดกับเขาแล้ว

            “กลับไปอยู่กองอำนวยการเลย!”

            “ฮ่าๆๆ”

            หยอดได้หยอดดี ที่บ้านทำขนมไทยขายหรือไงกัน!


 




หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r t w e l v e] , 050518
เริ่มหัวข้อโดย: miralchs ที่ 06-05-2018 22:15:17
(ต่อ)




            ในที่สุดเวลาที่แสนทรมานก็จบสิ้นลง

            เด็กๆแยกย้ายกันกลับอยากรวดเร็ว

            ส่วนสตาฟ...ยังมีชีวิตอยู่ก็เกินพอแล้ว

            หลังจากช่วยกันเก็บของทุกอย่างออกจากสแตนด์ที่ใช้เวลานับกว่าชั่วโมง เด็กห้องสิบสองก็มานอนกองแผ่หรากันอย่างเหนื่อยอ่อน

            ไม่น่าเชื่อว่าจะมีวันนี้ หลังจากอยู่กับมันมาหกเดือนเต็มๆ

            ต่อไปก็คงหวนกลับมาคิดถึง ถึงมันจะเหนื่อย มีเรื่องราวมากมายแต่ก็พูดได้เลยว่าไม่มีกิจกรรมไหนที่ได้มีส่วนร่วมกับเพื่อนเยอะเท่าวันนี้อีกแล้ว

            พอขึ้นม.6 ก็จะกลายเป็นเรื่องอนาคตของแต่ละคน และอาจจะไม่ได้ทำอะไรด้วยกันเหมือนเดิม

            อา ความผูกพันมีอิทธิพลกับผมมากจริงๆ

            หันไปมองรอบตัว ก็ไม่พบแม้แต่เงาของร่างสูง

            กิจกรรมจบลงแล้ว ทำไมถึงไม่อยู่ที่นี่กัน...

            “มึง พวกมึงๆๆ ลุกๆๆ ห้องเรามีแข่งบาสวันนี้” เสียงพรวดพราดของคนหนึ่งดังขึ้น ทำให้คนที่กองอยู่รอบๆรีบผุดลุกรวดเร็ว

            “เอ้า ทำไมกูเพิ่งรู้”

            “กูก็สงสัยอยู่ว่าผู้ชายบางกลุ่มไปไหน คือไปแข่งเหรอวะ”

            “เออ เหมือนแข่งรอบนอก ป้ะลุกๆๆ ไปเชียร์ให้ชนะ”

            เหมือนได้รับคำตอบให้กระจ่าง ถ้าสังเกตดีๆก็จะไม่เห็นกลุ่มเฟิร์สเลยสักคน

            ไม่ใช่แค่เพื่อนคนอื่นไม่รู้ ตัวผมเองก็ไม่รู้ด้วยเช่นกัน

            ไปแอบลงแข่งตอนไหนนะ

            “ไปมั้ยครับคุณหัวหน้าห้อง” เต้เดินเข้ามาสะกิด

            “ก็ไม่น่าถามหรอกมั้งงง”

            เสียงลูกแพรเอ่ยทัก มือบางตะปบเข้าไหล่ทั้งสองข้างของผม พร้อมกับรอยยิ้มเลศนัย

            น่าจะให้เป็นหลีดไปตลอดทั้งวันจริงๆ

            ทำเป็นไม่สนใจเสียงแซวที่นับวันเริ่มจะหนักขึ้นตลอด

            นั่นแหละ...สุดท้ายผมก็ลุกขึ้นเดินไปสนามบาสอยู่ดี

 

            “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด”

            “เบอร์หนึ่งหล่อมากกกกกกกกก โอ้ย ใจกู๊”

            เดาไม่ผิดไปจากที่คิด

            เสียงกริ๊ดระนาวจนผมต้องนิ่วหน้า เอาเข้าจริงก็ไม่ชอบสถานที่แบบนี้เท่าไหร่ นอกจากจะเสียงดังแล้วยังแออัดไปด้วยผู้คนเต็มขอบข้างสนาม

            ส่วนสูงที่ไม่ปรานีแม้จะเป็นผู้ชายก็ตาม ทำให้ผมต้องเขย่งเท้าขึ้นสุดเพื่อให้เห็นภาพตรงหน้า กวาดสายตาหาคนที่ต้องการพบ

            แล้วก็เจอทันที...

            “พี่เฟิร์สหล่อมากกกกก ไม่ไหว ไม่ไหวจริงๆ”

            เขาโดดเด่นออกมาราวกับมีสปอร์ตไลท์ฉายตามตัว หยาดเหงื่อที่เกาะบนผิวกายไม่ได้ทำให้อีกคนดูดรอปลงไปเลยสักนิด กลับกันมันยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้มากขึ้นไปอีก

            ไม่ไหว..ผมมองเขาตรงๆไม่ได้เลย

            การแข่งขันยาวไปเรื่อยๆ สกอร์ทั้งสองฝั่งที่ไล่ตามกันอย่างสูสียิ่งทำให้บรรยากาศครื้นเครง เสียงโห่เชียร์ดังก้องสนาม ผู้คนเบียดเสียดเข้ามา จนผมที่ทรงตัวไว้ไม่ไหวจึงยอมล่าถอยออกมาแต่โดยดี

            ไม่ใช่สถานที่ที่ควรอยู่เลยจริงๆ

            ถ้าไม่ติดว่ามีอีกคนลงแข่งผมลงไม่มีวันเฉียดเข้าใกล้

            “แม่ง เฟิร์สขี้เก๊กชิบหาย เด็กน้อยแข้งขาอ่อนระทวยหมดแล้วมั้ง” ลูกแพรพูดเหน็บด้วยความหมั่นไส้

            ก่อนที่แขนบางๆจะพาดมาที่ไหล่ผม

            เอียงคอหนีเพราะอยากออกไปเต็มที แต่เหมือนเพื่อนสนิทจะไม่เข้าใจ ลูกแพรมองหน้าผมนิดหน่อยแล้วเผยรอยยิ้มชวนขนลุกออกมา

            “แต่อยากเห็นปฏิกิริยาว่ะ...ที่หนึ่ง โทษนะ!” สิ้นสุดคำพูด คนตัวสูงเท่าๆก็ออกแรงผลักผมออกไปข้างหน้าสุดของขอบสนาม ผมหน้าเหวอ ตกใจจนเกือบจะหันไปด่า พอสติได้คิดจะหันหลังกลับก็ไม่ทันเพราะแถวก็โดนเบียดเข้ามาเรื่อยๆ

            ลอบมองเห็นอีกคนโบกมือยิ้มให้ก็อยากจะแยกเขี้ยวใส่สักที

            อย่าให้เจอพี่ซันนะ ผมจะเอาคืนไม่ยั้ง

            ต้องยอมดูต่อไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งมาอยู่ใกล้ระดับนี้ก็แทบจะลมจับ ห่างจากสนามออกมาแค่นิดเดียว ไม่รู้ว่าลูกบาสจะกระดอนมาโดนหน้าเมื่อไหร่

            เอาตัวเองมาเสี่ยงในพื้นที่อันตรายชัดๆ

            แต่ก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่าตรงนี้ผมเห็นเฟิร์สได้เต็มสองตา

            และเห็นด้วยว่าอีกฝ่ายกำลังจะวิ่งมาใกล้

            จังหวะที่อีกคนวิ่งเฉียดเข้ามาใกล้ขอบสนาม สายตาคมดุก็หันมาสบสายตากับผมตรงนั้นพอดี

            มันเป็นเพียงเสี้ยววิ

            แต่ใจผมดันสั่นไหวจนแทบคุมไม่อยู่



            ฟุ่บ! ตึ้ง!

            ปิ๊ดดดดดด

            “สีน้ำเงินชนะ!”

            “เฮ้!!!”

            การแข่งขันจบลง สีน้ำเงินพลิกกลับมาเป็นฝ่ายชนะอย่างหวุดหวิด กองเชียร์ข้างสนามแทบจะลุกขึ้นมาเต้นอย่างดีใจ

            เอาล่ะ ผมควรจะออกไปจากตรงนี้ได้แล้ว

            รีบก้าวถอยออกมา ตบหน้าตัวเองเบาๆเพื่อเรียกสติ อากาศตรงนี้กับข้างในช่างแตกต่างกันอย่างลิบลับ

            สายตาบังเอิญเห็นร้านน้ำตรงหัวมุม พลันก็นึกถึงคนข้างในสนาม

            ซื้อไว้ก็คงไม่เสียหายอะไร..

 

 

            ห้องน้ำชายตอนนี้เงียบสนิทราวกับป่าช้า

            คงเพราะส่วนหนึ่งทยอยกลับบ้านกันหมดแล้ว คนที่เหลืออยู่ก็นั่งติดข้างสนามกัน ดังนั้นรอบอาคารหรือสถานที่อื่นๆก็เรียกได้ว่าวังเวงเลยทีเดียว

            สภาพตัวเองกระจกตอนนี้ดูไม่จืดเลย

            เงาสะท้อนใบหน้าของคนที่ไม่ได้พักผ่อนมายี่สิบสี่ชั่วโมงเต็มๆก็คงไม่ต้องบอกว่าอาการหนักแค่ไหน

            ส่ายหัวอย่างปลงๆ พรุ่งนี้ก็คงต้องขอตื่นสายกว่าเดิมสักหน่อย ไม่งั้นได้จบชีวิตลงตั้งแต่ยังไม่ทันบรรลุนิติภาวะแน่

            เสียงรองเท้ากระทบพื้นท่ามกลางความเงียบ ทำให้ผมรีบหันไปมองด้วยสัญชาตญาณ ก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก พลางหรี่ตามองอย่างขุ่นเคือง

            “ถ้าเป็นผีเราจะแช่งไม่ให้ผุดไม่ให้เกิดเลย”

            “ผีอะไรหล่อขนาดนี้”

            ผมนับคำว่าหล่อที่หลุดออกมาจากปากเขาวันนี้ได้เป็นครั้งที่สามแล้ว

            คนตัวสูงเดินมาหยุดข้างๆ เปิดก๊อกวักน้ำใส่หน้าจนพอใจ

            มือหนาเสยผมชื้นๆของตัวเองขึ้น ดวงตาคมดุหลุบมองขวดน้ำในมือแล้วเลื่อนขึ้นมาสบตายิ้มๆ พลางก้าวเท้าเข้ามาใกล้ จนปลายเท้าเราชิดกัน

            ให้ทายว่าวันนี้ผมใจเต้นไปกี่รอบ..

            “น้ำคงไม่ได้ซื้อมาให้ตัวเองดื่มหรอกใช่มั้ย”

            “เปล่า เราซื้อให้ตัวเอง”

            พออยู่ด้วยกันนานๆก็ซึมซับความกวนประสาทจากอีกฝ่ายมาได้มากขึ้น

            เสียงหัวเราะแผ่วเมื่อเขามองเห็นว่าพลาสติกยังไม่ได้ถูกแกะ

            “งั้นขอได้เปล่า”

            “…”

            “…”

            “เป็นใครถึงจะมาขอเราง่ายๆ” ผมยังคงเล่นลิ้น โดยไม่รู้ว่าตัวเองจะโดนหมัดฮุกสวนกลับ..

 



            “เป็นแฟน”

 

            ความร้อนลามจากใบหูมาที่แก้มทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว ซ้ำคนตัวสูงยังโน้มตัวลงมาใกล้เรื่อยๆ ผมรีบก้มหน้าชิดอกด้วยความอาย ก่อนผลักไหล่อีกฝ่ายให้ถอยไปทันที

            เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องพูดออกมาโต้งๆเลยนี่

            “อ..เอาไปเลย!” อยากจะปาใส่แทบบ้า แต่ก็ทำได้แค่ยัดใส่มือเร็วๆ

            “แก้มแดงแปลว่าเขิน”

            ยังจะพูดอีกเหรอ!

            “เราร้อนต่างหาก ถอยไปเลยนะ”

            เงาในกระจกสะท้อนรอยยิ้มกว้างจนตาปิดของอีกคน แม้ว่าจะผลักไสแค่ไหนก็เหมือนจะไม่สะทกสะท้านสักนิด แถมยังวอแวไม่เลิก จนผมเหนื่อยที่จะหนี

            ความสัมพันธ์ที่ขยับขึ้นมาเป็นอีกขั้นทำให้ระยะห่างระหว่างเราเริ่มสั้นลงทุกที เขาแสดงออกมากกว่าเดิมชนิดที่ไม่ให้พัก การรุกคืบเข้ามาในหัวใจส่งผลต่อความรู้สึกอย่างรุนแรงจนไปไหนไม่รอด

            บางครั้งก็ดุเหมือนพี่ชาย บางวันก็ขี้อ้อนราวกับน้องเล็ก

            แต่ทุกสิ่งที่เป็นเขา...มัดใจผมไว้ได้อย่างแน่นหนาจริงๆ

            เราต่างมองอีกคนผ่านกระจกด้วยหลายความรู้สึก แววตาอบอุ่นของเขายิ่งทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นน้ำที่จะระเหยกลายเป็นไอ

            คนตัวสูงขยับเข้ามาใกล้จากข้างหลังจนรับรู้ได้ถึงลมหายใจ ผมยืนนิ่ง ไม่ได้ถอยหนี

            จนสัมผัสได้ถึงปลายคางที่วางเกยบนไหล่

            ไม่ทำอะไรมากไปกว่านั้น เขาแค่ค้อมต่ำลงมาแต่มือทั้งสองข้างก็ยังล้วงกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม

            เพียงเท่านี้หัวใจก็ทำงานหนักเกินพอแล้ว

            สายตายังจับจ้องมาที่ผมผ่านกระจกราวกับจะมองให้ทะลุปรุโปร่ง

            คิดจะเล่นเกมจ้องตาอยู่หรือเปล่า..

            ผมยังยืนนิ่งไม่ไหวติง

            ขืนก้าวถอยหลังอีกแค่ก้าวเดียวก็ได้ชนเข้ากับอกอีกฝ่ายแน่นอน

            ผ่านมานับนาที ผมละสายตาออกอย่างยอมแพ้ มากกว่านี้ก็กลัวจะได้ทรุดลงไปกับพื้นก่อน

            คนตัวสูงยกยิ้มมุมปาก กลับไปยืนตัวตรงเหมือนเคย

            “รู้มั้ยว่าเราเห็นอะไร”

            ผมส่ายหัว

            เขาพิงสะโพกกับเคาน์เตอร์อ่างล้างมือ สัมผัสจากปลายนิ้วที่เอื้อมมาทัดปอยผมสร้างความสั่นไหวขึ้นในใจ

            “เห็นความสุข”

            “…”

            “เราไม่เคยเชื่อในเรื่องโชคหรือลิขิตอะไรมาก่อนเลย”

            “อื้อ..”

            เรากอดกันเยอะขึ้น

            และแต่ละครั้งก็ให้ความรู้สึกต่างกันออกไป

            ..เหมือนกับตอนนี้

            “แต่พอได้เจอที่หนึ่ง”

            “…”

            “เราก็ได้รู้จักคำว่าโชคดี”

            “…”

            “และได้รู้ว่าตัวเองโชคดีที่สุดเมื่อได้รัก..”

            อีกฝ่ายผละออกไปแล้ว แต่เสียงทุ้มนั้นยังคงดังก้องอยู่หัวคล้ายกับกรอเทปวนซ้ำเรื่อยๆ

            และแทบกลั้นลมหายใจเมื่อริมฝีปากแตะลงที่ปลายจมูกอย่างแผ่วเบา

            “ขอบคุณที่เข้ามาเป็นโชคดีให้เรา”

 

 

            “โชคดีของเราเหมือนกัน..”

 

            โชคดีที่ได้เป็นคนสำคัญสำหรับคนๆหนึ่ง

            ที่ผมจะไม่มีวันปล่อยมือ



____________________________
#เป็นที่หนึ่ง
ฝากให้กำลังใจทั้งคู่ไปด้วยกันนะคะ : )
[/b]
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r t h i r t e e n] , 060518
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-05-2018 23:46:34
 :man1:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r t h i r t e e n] , 060518
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 07-05-2018 00:39:44
โอ้ยคู่รักหวานฉ่ำแห่งปี อิอิ
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r t h i r t e e n] , 060518
เริ่มหัวข้อโดย: miralchs ที่ 09-05-2018 16:24:51
C h a p t e r   f o u r t e e n ♥

เป็นคืนพิเศษ


            ถ้าจะให้พูดถึงเทศกาลสำคัญในช่วงนี้ก็เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้

            ถนนหนทางถูกประดับด้วยของตกแต่ง หลายสถานที่ต่างจัดให้เตรียมพร้อมสำหรับวันที่ใกล้เข้ามาถึง ทุกอย่างถูกแต่งแต้มไปด้วยแสงสีสดใส รวมถึงป้ายที่แทบจะเห็นได้ทั่วทุกมุม

            ‘สุขสันต์วันปีใหม่’

            เทศกาลที่หลายคนรอคอยมาทุกปี

            รอคอยเพื่อจะได้เจอเพื่อนฝูง ใช้เวลาร่วมกับครอบครัว ออกไปเที่ยวหรือนอนโง่ๆอยู่บนเตียงทั้งวัน

            หรือแม้กระทั่ง..อ่านหนังสือสอบ

            ช่างเป็นเรื่องตลกร้าย โรงเรียนที่เคยสอบกลางภาคเทอมสองก่อนปีใหม่มาเกือบทุกปี ไม่รู้ว่าครั้งนี้ทางโรงเรียนใช้เหตุผลข้อไหนในการลงมติประชุมถึงได้ประกาศเลื่อนสอบออกไปเป็นหลังปีใหม่แบบเป๊ะๆ ไม่ขาดไม่เกิน

            พูดให้ชัดเจนคือหลังวันหยุดยาวก็เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม

            ข้อดีอย่างน้อยๆคงเป็นการที่ได้จัดกิจกรรมก่อนวันปีใหม่ เพราะเหมือนมีรับวันหยุดมาเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวัน ถึงแม้จะต้องมาโรงเรียนอยู่ดีก็เถอะ

            การเรียนการสอนงดชั่วคราวเพื่อให้นักเรียนได้ใช้เวลาไปกับช่วงเทศกาล สถานที่ภายในถูกปรับเปลี่ยนให้เข้ากับธีม เต็มไปด้วยซุ้มลูกโป่งผูกรวมกันนับสิบ ริบบิ้นหลากสีแขวนไว้แทบทุกประตูห้องเรียน สายไฟโยงระย้าเต็มทางเดินจนไม่อยากจะคิดสภาพว่าถ้าเกิดเหยียบละก็จะเกิดอะไรขึ้น

            ทว่าการเข้าแถวก็ยังมีเหมือนตามเคย พิเศษหน่อยก็คุณพ่อผอ.ที่เพิ่งกลับมาจากศึกษาดูงาน และคาดว่าจะมีเรื่องราวมากมายมาเล่าให้นักเรียนกว่าสามพันคนฟัง ภาพในวันเปิดเทอมทับซ้อนขึ้นมาทันที ต่างกันตรงที่ไม่ต้องคอยปาดเหงื่อซกในขณะที่เผชิญหน้ากับแสงพระอาทิตย์เหมือนตอนฤดูร้อน

            แถมมีการประกาศรางวัลนักเรียนไปแข่งขันมาในช่วงปิดเทอมเสียด้วย

            คงไม่ต้องบอกเลยว่าเช้านี้ยังอีกยาว

            อันที่จริงถ้ามีกิจกรรมโรงเรียนก็อนุญาตให้ใส่ชุดพละมาได้แทนฟอร์มนักเรียน ดังนั้นก็ไม่เป็นเรื่องน่าแปลกถ้าจะเห็นทุกคนพร้อมใจใส่เหมือนนัดกันมา

            เว้นเสียจากคนที่ต้องมายืนหลังเวทีเพื่อรอรับรางวัล

            ..แบบผมในตอนนี้

            “ต่อไปจะเป็นการประกาศรางวัลการแข่งขันทางวิชาการ...”

            รายชื่อถูกประกาศไปเรื่อยๆตามลำดับรายการแข่งขัน ผมยืนรอนิ่งๆไม่ได้รีบร้อนอะไร กว่าจะถึงรายชื่อก็คงอีกนาน

            ปึก!

            แรงชนเบาๆจากทางด้านหลังทำให้หันไปมอง

            แล้วก็พบกับรอยยิ้มเดิมที่ได้เจอทุกวัน

            “ขอโทษครับ น้องเป็นไรมั้ย” เสียงทักทายแรกของวันจากคนตัวสูงที่วางมาดเก๊กราวกับรุ่นพี่ม.6 จนผมอยากจะหลุดหัวเราะขำออกมา แต่ก็ยอมเล่นไปตามน้ำ

            “ไม่ยกโทษให้ครับ”                             

           “งั้นพี่ต้องทำยังไงเราถึงจะหายโกรธ”

            ยัง..ยังไม่เลิก

            ผมเหล่ตามองคนที่ใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มพลางยักคิ้วให้กวนๆ ก่อนจะยกขาเตะเข้าไปตรงน่องซ้ายของเขาด้วยความหมั่นไส้

            “โอ้ย พี่เจ็บนะน้องหนึ่ง” คนถูกกระทำร้องแสร้งโอดโอยออกมา ทั้งที่ผมลงน้ำหนักไปเท่ามด

            สำออยเก่งนักนะ

            “ใครน้อง อย่ามามั่ว”

            “ก็เกิดทีหลังนี่นา”

            ไม่กี่ชั่วโมงเองเถอะ ผมค่อนขอดในใจ ก่อนหันกลับไปเตรียมตัวเมื่อใกล้จะถึงชื่อตัวเอง

            “ไม่ยกโทษให้เหรอ ใจร้ายจัง”

            “ยกรางวัลให้เราสิ” พูดเป็นเชิงหยอก แต่อีกฝ่ายก็สวนกลับมาทันที

 

            “ยกให้หมดทั้งตัวและหัวใจแล้วครับน้อง”

 

            ฮึ่ย!

            “โอ้ย!”

            นั่นทำให้ผมเหยียบเท้าเขาไปเต็มแรง แล้วหนีขึ้นไปรับเกียรติบัตรโดยไม่สนใจคนเจ้าเล่ห์อีก

 

            ขึ้นเวทีมารับรางวัลเป็นร้อยครั้งก็ไม่มีครั้งไหนมือสั่นจนเกียรติบัตรจะร่วงขนาดนี้ อีกฝ่ายยังยืนอมยิ้มมุมปาก จ้องมองมาไม่กะพริบ จนกระทั่งคุณครูเอ่ยชื่อเรียกถึงได้ก้าวขึ้นมารับ แล้วเดินมาหยุดที่ข้างผมอย่างจงใจพร้อมกับโน้มใบหน้าลงมากระซิบ

            “แอร์ก็เย็น ทำไมแก้มแดง หื้อ..”

            “อื้อ..” เบี่ยงหน้าหลบเป็นพัลวันเมื่อลมหายใจร้อนๆรดที่ข้างแก้ม จะขยับมากก็ไม่ได้เพราะยังอยู่บนเวทีท่ามกลางสายตานักเรียนแทบทั้งโรงเรียน โชคดีที่มายืนตรงมุมอับไม่งั้นคงถูกสายตาตำหนิจากคุณครูที่อยู่ข้างล่าง

            คนตัวสูงกว่ายอมถอยหนี แต่ก็ยังไม่วายจ้องมาด้วยสายตาแพรวพราวที่ทำให้หน้าร้อนวูบวาบไปหมด

            บ้าเอ้ย

            พนันเลยว่าบนโลกนี้ไม่มีคนชื่อเฟิร์สขี้แกล้งไปมากกว่าเขาแล้ว!










            วันปีใหม่ทั้งทีถ้าไม่มีจับฉลากของขวัญก็จะประหลาดไปหน่อย

            เลขที่สุ่มเวียนกันไป กล่องหลากสีสันบนโต๊ะลดลงไปตามจำนวนของชื่อที่โดนเอ่ยเรียก

            เป็นกิจกรรมซ้ำๆเดิมๆคล้ายกับทุกปี

            อย่างไรก็ตาม..มันก็ไม่ได้เหมือนกันทุกอย่างเสมอไป

            นับตั้งแต่จำความได้ของขวัญวันปีใหม่ชิ้นแรกได้จากเพื่อนตอนอนุบาลสาม แล้วก็ได้มาเรื่อยๆแตกต่างกันออกไปในแต่ละปี

            ไม่ได้มีชิ้นไหนพิเศษไปกว่ากัน ทุกชิ้นล้วนมีความหมาย

            เพราะมันไม่ใช่แค่ของขวัญแทนวันพิเศษสำหรับคนทั่วไป

            มันแทนวันพิเศษของผมด้วย..

            “วันเกิดอยากได้ไร”

            คำถามเดิมจากเพื่อนสนิทคนเดิมประหนึ่งตั้งระบบอัตโนมัติไว้ในวันสุดท้ายของปี

            คำตอบก็ไม่ต่างกัน

            “แล้วแต่ให้เลย”

            ใจจริงก็อยากตอบว่าไม่ต้องก็ได้ แต่ก็ดูจะหักหาญน้ำใจกันเกินไปเพราะเจ้าตัวดันเล่นใหญ่ทุกครั้งเมื่อถึงวันจริง

            ปีที่แล้วก็เซอร์ไพรส์กันจนเหนื่อย ตลบหลังหลอกล่อกันสุดฤทธิ์จนผมต้องส่ายหน้าระอาปนยิ้มขำให้กับจอมวางแผนทั้งหลาย

            ถึงจะรู้ตั้งแต่ต้นเริ่ม แต่ก็แสร้งทำเป็นงงงวยตามน้ำเพราะไม่อยากทำให้กร่อย

            คิดถึงตรงนี้มุมปากก็กระตุกยิ้ม

            บอกแล้วว่าที่เป็นอยู่ก็มีความสุขดี เจอเพื่อนแบบนี้ก็เหมือนได้ป้ายสีสันลงบนชีวิต

            ถ้าเปรียบเทียบการเจอเพื่อนเหมือนการซื้อล็อตเตอรี่ ผมคงเป็นคนที่ได้รับรางวัลที่หนึ่งมาอย่างไม่ต้องสงสัย

            “ก็อปปี้เฟิร์สให้สักร้อยคนเป็นไง” ลูกแพรพูดติดตลก

            เป็นเมื่อก่อนคงหันไปด่าเอาสักหน่อย แต่ตอนนี้ผมกลับหัวเราะให้กับความคิดของเพื่อนสนิท

            แบบนั้นน่ะ..ไม่ดีหรอก

            เฟิร์สมีคนเดียวในโลกก็พอแล้ว

            สายตามองไปตามนิ้วเรียวที่ชี้ไปยังคนตัวสูง เห็นมือแกร่งกำลังยกกล้องถ่ายเก็บภาพบรรยากาศภายในห้องเรียน ก่อนใบหน้าคมจะถอยออกมาจากช่องมองภาพ เผยรอยยิ้มขณะที่เลื่อนรูปดูรูปบนจอไปเรื่อยๆ

            จุดที่อีกฝ่ายยืนอยู่เป็นมุมที่ไม่ได้มีใครสนใจ แต่ผมก็ยังวางสายตาไว้ที่เขา

            เหมือนกับห้วงอวกาศว่างเปล่าทว่ามีประกายสดใสของโลกอยู่ตรงนั้น

            หูอื้ออึงไม่ได้ยินเสียงรอบข้างคล้ายกับถูกสะกดไว้ให้มองเพียงคนตรงหน้า

            ราวกับหลุมพรางที่ยินยอมกระโดดลงไปอย่างไร้ข้อแม้..

            แชะ!

            ถูกดึงให้กลับสู่ปัจจุบันด้วยเสียงลั่นชัตเตอร์ในระยะใกล้

            รู้ตัวอีกทีคนที่แอบมองก็มายืนตรงหน้าแล้ว

            ค่อยๆลดระดับกล้องลง จนสามารถสบสายตากันได้อย่างพอดิบพอดี

            “มองตาหวานเยิ้มเชียว..”

            “…”

            “คิดอะไรอยู่ครับคุณหัวหน้าห้อง”

            ความร้อนแผ่ซ่านจากแก้มลามไปจรดใบหู ผมเสมองไปทางอื่นด้วยความประหม่าเมื่อถูกจับได้คาหนังคาเขา

            ไม่ยอมรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ..

            คนตัวสูงยิ้มบางๆเมื่อไม่ได้รับคำตอบจากผม ส่งมือข้างหนึ่งมากอบกุมข้างแก้มไว้ ก่อนจะใช้แรงดึงจนมันยืดออก

            “เฟิร์ส!”  แหวใส่ทันควันเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้เบามือเลยสักนิด จากความอายแปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บอย่างรวดเร็ว คนตัวสูงชักมือกลับอย่างรู้งานแต่ก็ไม่ทันผมที่เข้าไประดมทุบเพื่อเอาคืน

            “อะ หยอกกกกก หยอกกันเข้าไป”

            “สร้างโลกส่วนตัวเก่ง”

            ลูกแพรกับเต้เอ่ยแซวขึ้นมากลางวงล้อมที่ไม่รู้ว่าไปตั้งกันตอนไหน

            “จะเล่นด้วยป้ะ”

            ผมมองรอยยิ้มนั้นอย่างไม่ไว้ใจ

            ไม่ใช่เพราะเกมพิเรนทร์ๆ แต่เพราะน้ำที่บรรจุในขวดสีเหลืองต่างหาก

            ดูภายนอกก็เหมือนน้ำยี่ห้อธรรมดา ผมคงจะเชื่อหมดใจถ้าไม่ติดว่ารู้จักกันดี

            เป็นธรรมเนียมของวันปีใหม่ไปแล้วล่ะ..

            “ขอบาย”

            “ก็รู้อยู่แล้ว”

            “เดี๋ยวจะฟ้องพี่ซัน”

            “ไม่กลัวหรอก” เพื่อนสนิทว่าอย่างท้าทาย “เฟิร์สเล่นป้ะ”

            “มันเล่นก็หมดสนุกพอดี คอแข็งชิบหาย”

            คนข้างตัวยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ แต่ประกายในแววตาสีนิลนั้นก็ซ่อนไม่มิดอยู่ดี

            “จะไปเล่นก็ได้นะ”

            “ให้เล่นจริงอ่อ”

            “จริง ไม่ได้ห้ามสักหน่อย”

            ผมไม่สนใจอะไรเรื่องนี้มากนัก พูดตรงๆก็คือไม่ได้มายด์ว่าใครจะเป็นอะไร

            ชีวิตใครชีวิตมัน การตัดสินใจขึ้นอยู่กับตัวเองไม่ใช่คนอื่น

            แต่ว่า..กับคนข้างๆตอนนี้ก็แอบรู้สึกบ้างนิดหน่อย

            “คนปากไม่ตรงกับใจ”

            และรู้ด้วยว่าเขามองออกอยู่แล้ว

            “อยากให้ห้ามบ้างจัง”

            “พึลึก” หันไปว่าตามใจคิด แต่อีกคนก็ไม่ได้สะเทือน

            “ขอสักข้อให้ชื่นใจหน่อยสิ”

            สบสายตาอ้อนๆนั้นแล้วก็ต้องกลั้นยิ้มแทบบ้า

            ตัดสินใจเอื้อมมือข้างหนึ่งทาบลงบนดวงตาสีนิลเพื่อไม่ให้อีกคนเห็นว่ากำลังยิ้มกว้างแค่ไหน..

            แล้วพูดประโยคสั้นๆที่ให้เขาได้ยินเพียงคนเดียว





            “เราเป็นห่วง..”

 


 

            เวลายี่สิบสี่ชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

            ต้องขอบคุณปีนี้ที่ช่วงเทศกาลตรงกับวันหยุดประจำสัปดาห์ กลายเป็นว่าได้มีเวลาพักผ่อนไปเกือบหนึ่งอาทิตย์เต็ม

            อา..หมายถึงวันพักผ่อนของคนอื่นน่ะสิ

            หนังสือรายวิชาวางกองเป็นตั้งตรงมุมโต๊ะ ดินสอ ปากกาวางระเกะระกะ รวมถึงสมุดจดที่มีร่องรอยการขีดเขียนมากมาย

            เป็นภาพที่คุ้นชินแต่ชวนน่าเบื่อจนพรูลมหายใจออกมาอย่างเนือยๆ

            เหลือบตามองนาฬิกาดิจิทัล เวลาล่วงเลยมาเกือบห้าชั่วโมงนับตั้งแต่จมปลักอยู่กับกองหนังสือ ผมควงปากกาในมาเล่น เอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ รับรู้ถึงลิมิตตัวเองที่เลยขีดจำกัดแล้ว

            จะดันทุรังอ่านต่อก็ไม่มีผล ในเมื่อสมองตื้อไม่รับรู้อะไรสักอย่าง จึงพับสมุดลง คว้าโทรศัพท์ใกล้ตัวมากดเล่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

            เคยบอกว่าไม่ใช่คนที่ติดมือถือ หากต้องการจะพักสายตาสักหน่อยก็ไม่พ้นเดินลงไปหาของกิน เล่นกับแมวสักพัก ชมนกชมไม้ไปเรื่อยเปื่อย

            แต่ก็ต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อบ้านมีสมาชิกใหม่มาได้ร่วมกว่าสามเดือน แม้จะพยายามกล่อมตัวเองว่าทำใจให้ชิน สุดท้ายก็ยังไม่เกิดผลใดๆ

            จะฝืนทำก็เกินความสามารถตัวเอง จึงได้ปล่อยให้ความกระอักกระอ่วนเข้าครอบงำเมื่อเผชิญหน้ากันตรงๆ

            ก็นับกว่าดีขึ้นกว่าวันแรก อีกฝ่ายก็ไม่ใช่ว่านิ่งเฉย เขายังพยายามเข้าหาด้วยวิธีที่ไม่เข้าท่าสำหรับผมสักเท่าไหร่

            บางอย่างก็ควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเวลาจริงๆนั่นแหละนะ

            จากเหตุผลที่ว่ามา การลงไปจากห้องตอนนี้คงได้ปวดหัวกว่าเดิม หนทางสุดท้ายจึงไม่พ้นเจ้าเครื่องเทคโนโลยีสื่อสารขนาดกะทัดรัดในมือ ผมมองหน้าจอที่มีรอยขีดข่วนเส้นเล็กแล้วนึกขันให้กับตัวเอง

            คนที่สังเกตการเปลี่ยนแปลงมาตลอดอย่างผมทำไมจะไม่รู้ว่าพักหลังนี้จับต้องมันบ่อยกว่าปกติ ทั้งที่มันก็เป็นโทรศัพท์เครื่องเดิม

            ก็ไม่ได้สนใจวัตถุสี่เหลี่ยมผืนผ้านี่สักหน่อย

            ที่สนใจน่ะ…

 

            1st  : ทำอะไรอยู่ครับ

            1st : ที่หนึ่ง

            1st : ...

            1st : อ่านหนังสือแน่เลย

            1st : พักสายตาด้วยนะ

 

            เผลอเม้มปากแน่นกับข้อความที่ส่งมารัวๆ

            ปกติรำคาญเสียงแจ้งเตือนจนปิดมันไว้ทุกครั้งเมื่อรบกวน มีข้อความเข้าก็นานทีถึงเปิดอ่านถ้าไม่ใช่ธุระสำคัญ

            เมื่อไหร่กันที่กลายเป็นแบบนี้นะ

            ไม่ได้ใจจดจ่อตลอด แต่ก็ไม่เคยทิ้งช่วงเวลานาน

            เขาจะรู้บ้างหรือเปล่าว่าทุกครั้งที่ส่งข้อความมาหา จะมีคนกลั้นยิ้มแทบบ้าแบบนี้..

 

                                                                                                                            พักแล้ว

                                                                                                                            Sent sticker*

 

            ส่งสติ๊กเกอร์รูปหมียิ้มธรรมดาไปให้ เวลานี้คนตัวสูงคงอ่านหนังสืออยู่ไม่ต่างกัน ผมกดเข้าแอพนั่นนี่ไปอย่างไร้จุดมุ่งหมาย

            ไม่กี่นาทีต่อมาโทรศัพท์ก็สั่นครืดพร้อมกับข้อความที่ถูกส่งมาติดกันจากคนๆเดียว

 

            1st : เบื่อล้ว

            1st : แล้ว*

            1st : ไม่อยากอ่าน

            1st Sent sticker*

 

            หัวเราะให้กับสติ๊กเกอร์หมีร้องไห้ ดูไม่เข้ากับคนตัวสูงเลยสักนิด

 

                                                                                                                            ทำอะไรดีล่ะ

 

            1st : โทรหาได้รึเปล่า?

 

            เหมือนเข้าทาง เขาพิมพ์ตอบกลับมาอย่างรวดเร็วเมื่อผมถามออกไป และอีกฝ่ายก็ไม่รีรอคำตอบเลยด้วยซ้ำ

            ครืด ครืด

            แต่หน้าจอที่โชว์ขึ้นทำให้ผมทำหน้าตื่นทันที ปลายนิ้วที่กำลังจะเลื่อนกดต้องหยุดชะงัก

            Video call!?

            สาบานเลยว่าจนความสัมพันธ์ขยับมาถึงขั้นนี้ก็ไม่เคยคิดจะโทรคุยกันแบบเห็นหน้า

            ใจที่ลังเลสวนทางกับเสียงสั่นที่ใกล้ดับลง แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจรับสายพร้อมกับหงายหน้าจอขึ้นให้คนทางนั้นเห็นเพียงฝ้าเพดานว่างๆ

            เสียงหัวเราะจากปลายสายเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าผมกดรับไปแล้ว

            มันไม่ได้เหมือนเจอกันซึ่งๆหน้าเลยนี่ แถมสภาพในบ้านของผมจืดสนิทจนดูไม่ได้ แน่นอนว่าอีกคนจะไม่มีวันได้เห็นเด็ดขาด

            ‘โชว์หน้าหน่อยสิ’

            “ไม่เอา”

            ‘เขินไรเนี่ย เร็ว อยากเห็นหน้า’

            “มันแปลกๆ คุยกันแบบนี้นี่แหละ”

            ‘เอ้า คุยกับแบบนี้สิแปลก ทำเหมือนไม่เคยเห็นหน้ากันไปได้น้า ฮ่าๆๆ’

            ผมเงียบไป ถึงแม้คนตัวสูงจะคะยั้นคะยอก็ตาม

            เชื่อเถอะว่าสุดท้ายผมก็ต้องแพ้ลูกอ้อนเขาราบคาบ



            ‘ที่หนึ่งครับ ไม่อยากเห็นหน้าเฟิร์สเหรอ..’



            แน่นอนว่าจากฝ้าเผดานว่างเปล่าก็ถูกแทนที่ด้วยใบหน้าของผมหลังจากคำพูดนั้นไม่กี่วินาที

            คนปลายสายยิ้มกว้างจนอยากทะลุจอเข้าไปชกหลายๆครั้งโทษฐานที่ทำให้หลุดความเป็นตัวเองขนาดนี้

            “ทำอะไรอยู่อะ”

            เริ่มต้นด้วยคำถามเบสิคเพื่อลดอาการประหม่า พอนึกได้อีกทีนี่มันคำถามขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ

            ‘คุยกับแฟนอยู่’

            โดนไปหนึ่งดอกเต็มๆ!

            ‘น่ารักมากเลย ที่หนึ่งอยากเห็นหรือเปล่า’

            “อย่าทำอะไรพิเรนทร์ๆนะ”

            เขาไม่ตอบอะไร ยกยิ้มให้ แล้วจ้องมาที่โทรศัพท์นิ่งพร้อมกับเสียงลั่นชัตเตอร์ที่ตามหลังมา

            ‘อ้าว ลืมปิดเสียง’

            “เฟิร์ส!”

            ไม่ต้องเดาเลยว่าอีกฝ่ายทำอะไร ผมรีบรูดซิปขึ้นมาปิดถึงคอ ยกมือสวมฮูดใหญ่ๆที่มันปิดหน้าได้เกือบมิด

            ‘ขอโทษ เราแคปไว้ให้ตัวเองดูคนเดียวหรอก อย่าปิดหน้าดิ ฮ่าๆ’

            “ให้มันจริง หน้าเราเหวอแน่ๆ”

            ‘ไม่เหวอเลย น่ารักมาก’

            จะได้ยินบ่อยแค่ไหน ผมก็ไม่เคยชินกับคำนี้จากเขาสักที

            ‘เอาฮูดออกเร็ว เราพูดจริงๆนะ’

            “…”



            ‘จะเอาให้คนอื่นดูได้ไง หวงขนาดนี้อะ’



            “ฮื่อ บ้าเอ้ย”

            ผมพึมพำแล้วซบหน้าลงกับฝ่ามือตัวเอง ยอมแพ้ให้กับคำพูดของเขาราบคาบ ดึงฮูดออกตามความต้องการอีกคน

            เฟิร์สเลิกแกล้ง เปลี่ยนหัวข้อไปคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป

            ‘ปีใหม่ไปไหนเปล่า’

            “หึ ไม่อะ อยู่บ้านเหมือนเดิม”

            ใช่..เหมือนเดิม

            คืนวันสิ้นปีเป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับหลายคนรวมถึงผม เป็นการข้ามปีไปพร้อมกับคนสำคัญมาตลอด ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน

            เราอยู่ฉลองเทศกาลด้วยกันสองคนมาสามปีเต็มนับจากที่พี่ไม่อยู่ แม้คนเป็นแม่จะบอกให้ผมไปกับเพื่อนฝูงบ้าง ไปเที่ยวบ้าง แต่ผมก็เลือกที่จะอยู่กับท่านมาตลอด

            ก็ไม่รู้จะไปไหน ไปกับใคร กับเพื่อนก็ไม่ใช่ว่าจะต้องไปด้วยกันเสียทุกครั้ง นิสัยส่วนตัวก็ไม่ใช่คนที่ชอบสถานที่พลุกพล่านอยู่แล้วด้วย

            ยิ่งการปล่อยให้บุพการีหนึ่งเดียวในชีวิตอยู่บ้านลำพัง ผมคงทำไม่ได้

            ‘อ่า..’

            ปลายสายนิ่งไปราวกับใช้ความคิด

            และผมคิดว่าผมเดาถูก

            ‘ไปกับเรามั้ย’

            เป็นคำถามที่ไม่เลว แต่ตัดสินใจยากพอควรเลยทีเดียว

            “ไปไหนล่ะ”

            ‘ยังไม่รู้เลย’

            อ้าว..

            ผมเท้าคางมองคนในจอที่กำลังเคาะนิ้วกับโต๊ะเป็นจังหวะ

            ‘ถามไว้ก่อนว่าถ้าไปจะไปได้หรือเปล่า’

            ถ้าเป็นแต่ก่อนคงตอบว่าไม่ไปตั้งแต่เอ่ยชวนแล้ว

            ทว่าพอเป็นเฟิร์สทำให้ผมเกิดความลังเล

            และยิ่งลังเลมากขึ้นเมื่อนึกได้ว่าในบ้านไม่ได้มีกันแค่สองคนอีกต่อไป

            ถ้าอยู่เหมือนเดิมก็พูดได้เลยว่ามันจะเป็นวันปีใหม่ที่อึมครึมที่สุดในชีวิต

            แต่ก็ตัดใจห่างจากม๊าไม่ได้

            ‘คิ้วผูกเป็นโบว์หมดแล้ว’

            “เรา…”

            ‘ไม่เป็นไร โทรคุยกันเหมือนวันนี้ก็ได้นี่นา’

            เขายิ้มเพื่อให้ผมสบายใจ

            “เราจะลองขอนะ”

            ไม่อยากให้อีกคนผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า

            อยากเป็นฝ่ายพยายามคว้าเขาไว้บ้าง..

            ‘ขอบคุณครับ’

            เราคุยกันต่ออีกเกือบชั่วโมง ทวนเนื้อหาด้วยกันนิดหน่อยก่อนที่เขาจะขอวางเพื่อให้ผมได้อ่านหนังสือต่อ

            ก๊อกๆ

            “แป๊บนึงครับ”

            ผมเลื่อนโทรศัพท์ไปไว้อีกฝั่ง ก่อนจะลุกไปเปิดประตู

            “..!”

            เท้าผมก้าวไปข้างหลังด้วยความตกใจ เกิดกระแสความเงียบรอบตัวเมื่อคนตรงหน้าไม่ใช่ม๊าอย่างที่คิด

            “ม๊าทำนี่มาให้กิน”

            ผมหลุบตามองจานในมือ คว้ามาถือไว้แล้วพึมพำขอบคุณเบาๆ

            “ที่หนึ่ง”

            ผมมองหน้าผู้บุกรุกอย่างไม่ไว้ใจ เขาไม่เคยขึ้นมาเฉียดบนห้องของผมสักครั้ง

            “ป๊าได้ยิน..แกคุยกับเพื่อน”

            ครั้งนี้ผมแสดงความตกใจออกมาแบบปิดไม่มิด หลังจากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความฉุนเฉียว

            “แอบฟังผม?”

            น้ำเสียงตอนนี้ก้าวร้าวจนไม่น่าเชื่อว่าจะหลุดมาจากปากตัวเอง

            แย่จริงๆที่ดันสะเพร่าไม่เสียบหูฟังเหมือนทุกครั้ง แต่ใครจะรู้ว่าจะมีคนมาดักยืนแอบฟังข้างนอกแบบนี้

            ภาวนาให้อีกฝ่ายได้ยินแค่ช่วงนั้นแล้วกัน

            เขาเงียบ ไม่พูดอะไร สายตานิ่งเฉยเหมือนวันแรกไม่มีผิดเพี้ยน ผมเตรียมจะปิดประตู แต่โดนมือขวางเอาไว้ก่อน

            “ป๊าอนุญาต”

            “..?”

            “หมายถึง...ถ้าแกจะไปกับเพื่อน..เพราะม๊าก็บอกว่าแกไม่เคยไปไหนทุกปี”

            “กำลังหาทางไล่ผมอยู่รึยังไง”

            ผมแค่นหัวเราะ

            ก่อนจะเงียบลงเมื่อเผลอหันไปสบสายตาคู่นั้น...ที่อ่อนแสงลง


            “ป๊าแค่อยากให้แกมีชีวิตของตัวเอง”

            “…”

            “ทดแทนที่เมื่อก่อน..ไม่ได้ทำ”

            เขามองผมอยู่ครู่ มือหนักๆวางบนไหล่ผมแล้วผละออกไป

            ตัวผมยังนิ่งงันอยู่ที่เดิม มองคนที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นบุพการีอีกคนเดินลงจากบันไดจนลับสายตา

            ถ้าเปรียบเทียบกับคำพูดสมัยโบราณ ผมคงเหมือนนกในกรงทอง คำพูดของอีกฝ่ายก็คล้ายกับกุญแจ

            น่าเศร้าไปหน่อยที่แม้กุญแจนั้นจะไขกรงได้ แต่นกตัวนั้นก็ชินกับกรงไปแล้ว

            ผมยิ้ม

            อย่างน้อยเวลาก็ทำหน้าที่ของมันได้ดี..

 


หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r t h i r t e e n] , 060518
เริ่มหัวข้อโดย: miralchs ที่ 09-05-2018 16:25:48
(ต่อ)




            “ลืมเอาแปรงสีฟันมา”

            ผมนิ่วหน้านิดหน่อยเมื่อลงมือค้นกระเป๋าสัมภาระตัวเองแล้วไม่เจอสิ่งที่กำลังหา ทั้งที่มั่นใจว่าตัวเองเตรียมมาครบแท้ๆ

            “ยืมของเราก่อนก็ได้”

            “หือ มีสองอันเหรอ”

            “เอามาเผื่อคนแถวนี้แหละ”

            คนตัวสูงในชุดลำลองสบายๆเดินมานั่งลงข้างตัวพร้อมกับยื่นแปรงสีฟันอีกด้ามให้

            เป็นการตัดสินใจที่ปุบปับใช้ได้ ไม่แม้แต่จะวางแผนล่วงหน้าเพราะไม่รู้จะไปที่ไหนในช่วงนี้ จะเลี่ยงสถานที่คนเยอะก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ สุดท้ายจึงได้ตามใจอีกฝ่ายไปโดยปริยาย

            จะเรียกว่าเป็นโรงแรมก็คงไม่ถูกนัก มันคล้ายโฮมสเตย์ขนาดย่อมมากกว่า น่าเหลือเชื่อที่สามารถยึดครองห้องดีๆมาได้ในช่วงเทศกาล เพราะปกติก็คงถูกจองเต็มทุกห้องแล้ว

            ลมเย็นพัดผ่านมาทางหน้าต่างบานใหญ่ขับบรรยากาศให้ชวนฝัน เวลาคล้อยมืดกับแสงรำไรของพระอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาคล้ายกับความอบอุ่นท่ามกลางความหนาวเย็น มองออกไปเห็นผืนหญ้าเขียวขจีจนสุดลูกหูลูกตา จนอดแปลกใจไม่ได้ว่าเขาหาสถานที่เงียบสงบแบบนี้ได้ยังไง

            “อันที่จริงเล็งที่นี่ไว้ตั้งนานแล้ว”

            อยู่เฉยๆเขาก็พูดขึ้นราวกับอ่านใจออก

            “แต่ก็ไม่รู้จะชวนใครมา พอที่หนึ่งตกลงก็รีบจองเลย โคตรโชคดีที่เหลือห้องสุดท้าย”

            นั่นไง..ผมว่าแล้วเชียว

            “แล้วก็ไม่บอก ถ้าเราเลือกไปที่อื่นทำไงอะ”

            เขาหัวเราะ กดปุ่มล็อคโทรศัพท์ไว้หลังจากจดจ่อกับมันได้สักพัก “ที่หนึ่งไม่ไปหรอก”

            ผมไม่ปฏิเสธ เพราะมันก็จริงอย่างที่ว่า

            กว่าสามเดือนที่ผ่านมาต่างฝ่ายก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับอีกคนมากขึ้น ทั้งในเรื่องที่ชอบเรื่องไม่ชอบ เรื่องที่พอใจเรื่องที่ไม่พอใจ เรื่องหยุมหยิมมากมายที่ตอนนี้ยึดพื้นที่ในสมองผมไปเกือบครึ่ง

            จากที่มีแต่เรื่องของตัวเองกับเนื้อหาเรียน แต่ตอนนี้มันถูกแบ่งไปให้อีกคนได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งแล้ว

            เป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำ รวมถึงความรู้สึกที่ไม่เคยมีให้ใคร

            เหมือนกับรางวัลที่ไม่เคยได้รับจากแข่งขัน แต่ได้มาจากหัวใจจริงๆ

            “ปกติปีใหม่ไปกับใครอะ”

            ผมชวนคุยทำลายความเงียบเมื่อเจ้าตัวคว้าโทรศัพท์ที่เพิ่งกดปิดไปขึ้นมาเล่นอีกแล้ว

            แน่ล่ะ วันนี้คงได้ไล่ตอบข้อความมือหงิก

            ก็วันพิเศษของเขานี่นา..

            “หือ ก็ไปกับเพื่อนบ้าง คนเดียวบ้าง”

            “ไม่ไปกับที่บ้านเหรอ”

            “ก็ที่เคยบอกอะว่าพ่อแม่ไปทำงานอยู่ฮ่องกง ที่บ้านก็มีแต่ญาติกับหลานๆตัวเล็กๆ เราอยู่คงได้จับเด็กกิน พากันดื้อขนาดนั้น” คนตัวสูงพูดติดตลกจนผมหัวเราะตาม

            “นึกว่าจะวางมาดเป็นพี่ชายใจดี”

            “เด็กมันดื้ออะ ยิ่งมีครั้งนึงทำหุ่นกันดั้มเราพังต่อหน้าต่อตา แม่งแบบใจสลายเลย”

            คิดภาพอีกคนแยกเขี้ยวใส่เด็กก็กลั้นขำไม่ไหว เฟิร์สที่เป็นมิตรกับทุกอย่างก็จริง แต่ผมคงต้องเว้นเด็กดื้อไว้สักหน่อยแล้ว

            “หิวยัง ไปหาไรกินกัน”

            ตอนนี้เกือบทุ่มก็ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะชวน ผมตกลงรับคำ หยิบของที่จำเป็นมาถือ

            แล้วดันของบางอย่างลงไปใต้กระเป๋าไม่ให้อีกคนสังเกตเห็น

 



            ถนนอาหารหนาแน่นไปด้วยคนที่หลั่งไหลมาจากหลายพื้นที่

            วันนี้เป็นวันสุดท้ายของปี ใครๆก็รู้

            แต่มันไม่ได้เป็นแค่นั้นสำหรับเฟิร์ส

            ตอนได้ยินครั้งแรกก็ตกใจปนงงๆ ผมไม่เคยใส่ใจวันเกิดใครมาก่อนยกเว้นคนสำคัญ พอได้มาศึกษาเกี่ยวกับเขาจริงจังก็แอบสงสัยในโชคชะตาพอสมควร

            ใช่ วันนี้เป็นวันเกิดของเขา

            และหลังเที่ยงคืน..ก็เป็นวันเกิดของผม

            บางทีม๊าผมกับแม่ของเขาอาจจะเตียงข้างกันหรือเปล่า เคยถามเฟิร์สไปว่าเกิดโรงพยาบาลไหน คลอดกี่โมง อีกฝ่ายก็ไม่ตอบ เอาแต่หัวเราะให้กับคำถามนั้นจนผมเลิกสงสัย

            อีกคนเคยบอกว่าปีใหม่บางปีก็อยู่คนเดียวบ้าง เที่ยวคนเดียวบ้าง ทั้งที่เป็นวันสำคัญของตัวเอง

            ผมที่อยู่ฉลองกับม๊าและแมวหนึ่งตัวยังรู้สึกเหงา แล้วยิ่งอยู่คนเดียวทำไมถึงจะไม่รู้สึก..

            เฟิร์สเข้มแข็ง จิตใจดี และอบอุ่น เป็นคนที่นั่งอยู่ด้วยเฉยๆก็รู้สึกสบายใจ ความกะล่อน ความเจ้าเล่ห์ของอีกคนไม่ได้มีผลอะไรมากมายเลยถ้าเทียบกับหลายสิ่งที่ผมได้รับจากเขา

            อยากทำให้ดีเหมือนอีกฝ่ายบ้าง ไม่อยากแบ่งปันแค่ความทุกข์ให้ในยามไม่สบายใจ ความสุขที่ผมได้รับก็อยากเผื่อแผ่ไปหาคนตัวสูงด้วยเหมือนกัน

            ในทางตรงข้ามก็อยากให้เขาระบายความในใจ แบ่งปันความอึดอัดที่มี หรือเล่าเรื่องแย่ๆในหนึ่งวันให้ฟัง

            ผมปลอบใจใครไม่เก่ง

            แต่ถ้าเป็นเรื่องของคนสำคัญ ก็พร้อมจะรับฟังและอยู่ข้างเสมอ

            ลอบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของอีกคนที่มีชื่อความหมายเดียวกัน รอยยิ้มถูกแต้มลงบนใบหน้าคมจางๆ

            ถ้าเขากำลังมีความสุข ผมเองก็ไม่ต่างกัน

            อยากรักษารอยยิ้มนี้ไว้กับตัวนานๆ..

            คล้ายกระแสไฟฟ้าวิ่งพล่าน เมื่อปลายนิ้วของเราทั้งคู่เกี่ยวโดนกันอย่างไม่ตั้งใจ

            เขาไม่ได้ปล่อย ส่วนผมก็ไม่ได้ชักมือออก พลันเกี่ยวปลายนิ้วก้อยอีกคนให้แน่นขึ้น

            หูของเฟิร์สแดงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งไม่ได้มีให้เห็นบ่อย ผมลอบยิ้มกับตัวเองเมื่ออีกฝ่ายเปลี่ยนมาเป็นกุมไว้ทั้งมือแทน

            “เดี๋ยวหลง..”

            รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นข้ออ้าง

            แต่ก็เต็มใจให้ทำอยู่ดี

 

 

            ใกล้หมดวันแล้ว

            ผมนั่งเท้าคางอยู่ขอบระเบียง มองดูดาวเต็มฟ้าเหมือนคืนวันเข้าค่ายไม่มีผิด

            สายลมเอื่อยๆมาพร้อมกับเสียงพูดคุยจอแจจากบ้านหลังอื่นในระแวกนั้น แต่ละหลังไม่ได้อยู่ห่างไปสักเท่าไหร่ เรายังมองเห็นกัน ผมยิ้มตอบกลับให้กับคุณลุงคุณป้าที่อยู่หลังใกล้เคียง

            ไฟยังคงสว่างพอให้เห็นทุกอย่างได้ชัดเจน แม้จะเงียบสงบแต่ไม่มีใครหลับใหล เสน่ห์ของคืนสิ้นปีคือการได้นับถอยหลังไปพร้อมๆกันกับคนอื่นที่เราอาจจะไม่รู้จักมาก่อนเลยด้วยซ้ำ

            ม๊าโทรมาเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว บอกสุขสันต์วันปีใหม่ล่วงหน้า เพราะง่วงจนอยู่ไม่ไหว ตาปรอยๆของม๊าทำให้ผมต้องยิ้มไปพร้อมกับโบกมือลา

            คนที่นั่งถัดไปจากม๊าไม่ได้ยื่นหน้าเข้ามามีส่วนร่วมในกล้อง แต่คำพูดของเขาก่อนที่จะวางสายไป ผมได้ยินมันชัดเจน

 

            ‘สุขสันต์วันปีใหม่นะ..’

 

            ไม่รู้ว่าเขาจะเข้าใจหรือเปล่า

            รอยยิ้มจากผมไม่ได้ถูกส่งให้แค่ม๊า..แต่ให้อีกคนข้างท่านด้วย

            ‘เช่นกันครับ..ป๊า’

            ถึงเสียงแผ่วเบา แต่มั่นใจว่าเขาได้ยินมันแน่นอน

            นาฬิกาดิจิทัลบนข้อมือบอกเวลาถอยหลัง เหลืออีกแค่สิบนาทีก็จะผ่านพ้นไปอีกหนึ่งปี

            เป็นปีที่จะไม่ลืมเลย..

            ผมก้มมองของในมือ ไม่รู้ว่าเจ้าของวันเกิดจะชอบหรือเปล่า มันไม่ใช่อะไรพิเศษ แต่ก็ตั้งใจที่จะให้

            แกร๊ก

            เสียงปลดล็อคประตูระเบียง ตามมาด้วยคนตัวสูงในชุดพร้อมนอน

            ก่อนที่จะหมดวัน จึงรีบยื่นให้คนข้างๆ

            “สุขสันต์วันเกิด..”

            อีกฝ่ายชะงัก ก้มลงมองของในมือผม

            มันเป็นแค่ textbook ธรรมดาเล่มหนึ่งกับโพสต์อิทสีฟ้าที่มีคำอวยพรสั้นๆ

            “เราจำได้ว่าเฟิร์สอยากได้”

            “…”

            “ขอโทษที่มันดูไม่มีอะไร แต่นาฬิกาเฟิร์สก็มีแล้ว รองเท้าก็หลายคู่ เสื้อก็ย—!”

 

            เขารวบตัวผมเข้าไปกอดตั้งแต่ยังไม่ทันพูดจบ

            “ขอบคุณนะ”

            “…”

            “ดีใจที่จำเรื่องของเราได้..”

            ผมไม่เคยจำเรื่องของใคร

            แต่เฟิร์สจะเป็นคนแรก..

            “อื้อ”

            “เป็นของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับเราเลย”

            อ้อมแขนกอดกระชับแน่น ผมเลื่อนมือขึ้นไปโอบบ่ากว้าง

            ก่อนที่เสียงนับถอยหลังจะดังขึ้น..

            10

            9

            “มีความสุขมากๆนะ”

            “ครับ”

            8

            7

            “คิดอะไรก็ขอให้สมหวัง”

            เขายิ้ม ค่อยๆผละออกมาแล้วคว้ามือของผมมากุมไว้

            6

            5

            “สุขภาพแข็งแรง”

            สายตาเราสอดประสานกันอีกครั้ง เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกรักยิ่งกว่าครั้งไหน..คนตัวสูงโน้มตัวลงมาใกล้จนปลายจมูกเราอยู่ห่างกันไม่กี่เซนติเมตร

            4

            3

            2

            “อยู่กับที่หนึ่ง..ไปนานๆ”

            จนไม่มีระยะห่างระหว่างเรา..

            1

            ปุ้ง!!

            “สุขสันต์วันปีใหม่!!”

            เข็มนาฬิกาเดินวนครบรอบจนชี้เลขสิบสอง พอดีกับริมฝีปากแนบสนิทกัน..

            มันทั้งเชื่องช้า...และอ้อยอิ่งราวกับหยุดเวลาไว้

            สัมผัสแผ่วเบาชวนคล้อยตาม..แต่ตราตรึงในหัวใจ

            เลื่อนมากดจูบย้ำตรงมุมปาก เคลื่อนไปข้างแก้ม..แล้วหยุดที่หน้าผากมน ก่อนจุมพิตด้วยความทะนุถนอม

            หากคนได้รับหัวใจสั่นคลอนจนห้ามไว้ไม่อยู่

 

 

            “รัก..เป็นที่หนึ่ง”

            “อื้อ..รักเหมือนกัน..”

 

 

 

 

            ไม่ว่าโลกจะมีบริวารเป็นใครหรือเยอะแค่ไหน

            แต่ดาวศุกร์ก็จะโคจรอยู่ใกล้ๆ...ตลอดไป
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r t h i r t e e n] , 060518
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-05-2018 17:14:11
ความเศร้าหมองหมดไปเหลือแค่ความสดใสเข้ามา
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r f o u r t e e n] , 060518
เริ่มหัวข้อโดย: miralchs ที่ 10-05-2018 21:26:41
C h a p t e r   f i f  t e e n ♥

เป็นเรื่องของอนาคต



           ฤดูหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนไปตามเส้นทางของเวลา

           วนกลับมาบรรจบที่หยาดฝนปรอยๆกับท้องฟ้าครึ้มอีกครั้ง

           อุณหภูมิลดต่ำลง อากาศเปลี่ยนแปลงกะทันหันทำให้อาการหวัดมาเยือนได้อย่างง่ายดายจนไม่อยากจะลุกไปไหน

           หยุดอ่านหนังสืออยู่บ้านดีหรือเปล่า..

           อา นั่นเป็นความคิดดีเยี่ยมสุดๆ ถ้าไม่ติดวันนี้มีเทสต์ย่อยของวิชาชีวะที่เรียกได้ว่า…โหดบรรลัย

           ทางเลือกของคนเพิ่งได้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมปลายปีสุดท้ายนั้นไม่ได้มีให้มากนัก สุดท้ายก็ต้องกลั้นใจลุกขึ้นจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัวเหมือนทุกวันอยู่ดี

           เวลาเดินเร็วจนน่ากลัว เผลอไปไม่นานก็กลายเป็นพี่ใหญ่สุดในโรงเรียนไปเสียแล้ว ช่วงวัยมัธยมแสนหรรษากว่าห้าปีที่ผ่านมาเริ่มใกล้จะจบลงเมื่อมองเห็นอนาคตคืบคลานเข้ามาใกล้เรื่อยๆ

           มันกระชั้นชิดราวกับสร้างความกดดันให้ม.6 อย่างไม่รู้ตัว ในขณะที่ลังเลกับเส้นทางมากมายตรงหน้า อนาคตก็รุนหลังบีบบังคับก้าวเดินต่อไปทั้งที่จิตใจยังสับสนกับตัวเอง

           ชีวิตเมื่อปีที่แล้วเหนื่อยก็จริง แต่เทียบกับสิ่งที่ได้รับกลับมามันคุ้มค่าที่จะแลก ประสบการณ์มากมาย การใช้ชีวิตเต็มที่ การได้เจอสังคมหลากหลาย เหมือนเปิดโลกอีกโลกหนึ่งที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน

           ตรงกันข้ามกับตอนนี้โดยสิ้นเชิง เหนื่อยน้อยลง แต่ความเครียดนั้น..มากขึ้นจนไม่รู้จะบรรยายเป็นคำพูดยังไง

           หากหลายปีที่ผ่านมามีเพื่อนคอยอยู่ข้างๆ มีคุณครูคอยให้คำปรึกษา แต่ปีนี้มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง คล้ายกับประตูบานแรกเพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่

           มันไม่สนุกเลยแม้แต่นิด ความรู้สึกถ่ายทอดกันเป็นลูกโซ่จนพลอยหดหู่ไปตามๆกัน การไปโรงเรียนกลายเป็นเรื่องรองจากการหมกตัวอ่านหนังสืออยู่บ้าน ทุกคนต่างพยายามเอาตัวรอดเพื่อเป้าหมายที่ตั้งใจไว้

           แถวม.6 ว่างเหมือนอาถรรพ์ที่ถ่ายทอดกันมารุ่นต่อรุ่น การเช็คชื่อแทนกันกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับพี่ใหญ่ของชั้นมัธยม และการมาโรงเรียนครบทุกคนในห้องกลายเป็นเรื่องพิศวงไปแล้ว..

           กลุ่มไลน์ห้องทำหน้าที่เป็นสัญญาณนัดหมาย จะทำการใหญ่คนเดียวเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องมีผู้ร่วมอุดมการณ์ในวันนั้นสักสองสามคนเป็นอย่างต่ำ

           อือ ได้พิสูจน์ความจริงใจต่อกันก็วันนี้แหละนะ

           แปดโมงไม่นับว่าสายไปสำหรับว่าที่นักศึกษาในอนาคตในวันฝนตก ผมพับเก็บร่มคู่ใจไว้หลังห้อง ผิวเหนอะหนะจากอากาศชื้นในหน้าฝนทำให้ผมนึกหงุดหงิด ผนวกกับอาการง่วงนอนก็ยิ่งรู้สึกอารมณ์ไม่ดีเข้าไปใหญ่

           เป็นเช้าวันจันทร์ที่เลวร้ายจริงๆ

           “เป็นอะไร หื้อ”

           “เปล่า..”

           ผมส่ายหน้า พอดีกับที่อีกคนยืนขนมปังกับนมมาวางไว้ใกล้ๆ

           มองเห็นสภาพม่อลอกม่อแลกของเฟิร์สก็ต้องถอนหายใจ จึงต้องยอมเสียสละผ้าเช็ดหน้าของตัวเองไปซับน้ำฝนออกให้เจ้าตัว

           “เมื่อไหร่จะซื้อหมวกกันน็อคอีกใบ”

           มั่นใจว่าบ่นเรื่องนี้ไม่ต่ำกว่าห้ารอบ ไม่รู้ว่าอีกคนไปทำอีท่าไหนให้หมวกกันน็อคหาย แล้วก็ไม่ยอมไปซื้อใหม่สักที พอเหลือใบเดียวก็ดันเสียสละให้ผมใส่ทุกครั้ง จะปฏิเสธหน่อยก็โดนสายตาดุๆปรามไว้จนต้องยอมตลอด

           “ยังไม่มีเวลาไปเลย”

           “หลังเลิกเรียนก็แวะไปซื้อ”

           “เรียนพิเศษก็สี่โมงครึ่งแล้ว”

           “ก็แป๊บเดียวเอง”

           ผมใส่อารมณ์ลงไปกับน้ำเสียงนิดหน่อยเพราะความรู้สึกหงุดหงิดที่ก่อตัวขึ้นก่อนหน้านี้ แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะความดื้อด้านไม่เข้าท่าของอีกคน

           เขาเงียบไป ผมลดระดับมือลงก่อนเก็บผ้าเช็ดหน้าชื้นๆใส่กระเป๋า

           บทจะดูโตก็โตเป็นผู้ใหญ่จนผมเกรง พอเข้าโหมดแบบนี้ผมก็ไม่รู้จะว่ายังไง

           ระยะเวลาเกือบปี เราต่างปรับตัวเข้าหากันเพื่อให้เข้าใจอีกคนมากขึ้น มีหลายมุมของเฟิร์สที่ผมไม่เคยได้เห็นมาก่อนซึ่งก็ต้องเรียนรู้ ตัวตนของต่างฝ่ายต่างถูกเปิดเผยจนเราสามารถแบ่งปันพื้นที่ส่วนตัวบางส่วนร่วมกันได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ ถึงแม้จะมีเรื่องผิดใจกันบ้างเป็นธรรมดาของความสัมพันธ์ แต่มันก็ผ่านมาได้ทุกครั้ง..เพราะเราทั้งคู่เลือกที่จะรักษาความรู้สึกของอีกฝ่ายไว้

           ผมเรียนรู้ที่จะวางทิฐิลง การตั้งแง่ใส่ไม่ใช่การแก้ปัญหา ยิ่งเป็นเฟิร์สก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทำเลย

           แต่บางครั้งก็จำเป็นต้องแข็งข้อหน่อย เขาตามใจ ดูแล ประคบประหงมจนผมจะเคยตัว และมันต้องกลายเป็นผลเสียแน่ๆถ้าขืนผมยังไม่กล้าขัดใจเขา

           เหมือนตอนนี้ที่ผมตัดสินใจไม่พูดอะไรอีก ยอมรับว่าห้าครั้งที่ผ่านมาผมไม่ได้เตือนจริงจังทำให้คนตัวสูงไม่ใส่ใจเท่าที่ควร

           ต้องให้บอกอีกกี่ครั้งว่าเป็นห่วง...

           “ขอโทษ จะไปซื้อวันนี้เลยครับ”

นั่นแหละ ผมนิ่งได้ไม่นานหรอก พออีกคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหงอยๆ กล้ามเนื้อบนใบหน้าก็ทำหน้าที่ของมันได้ดีเยี่ยม

           เขายกมือผมไปลูบเบาๆ ปลายนิ้วโป้งเกลี่ยวนบนหลังมือราวกับสำนึกผิด สัมผัสแผ่วเบาทำให้ใจกระตุกผิดจังหวะจนต้องทำเนียนเบนหน้าหนีไปทางอื่นไม่ให้อีกคนสังเกตเห็น

           ใครบอกกันว่าอยู่ด้วยกันไปนานๆแล้วจะเลิกเขิน

           ไม่จริงเลยสักนิด

           กลับกันยิ่งโดนแกล้งมากขึ้น ใจก็สั่นเหมือนจะเป็นโรคหัวใจเข้าสักวัน..

           “ยังง่วงอยู่มั้ย ซบเราได้นะ”

           คนตัวสูงกว่าขยับเก้าอี้มาใกล้ ผมกวาดสายตาไปรอบห้อง มีเพื่อนนั่งอยู่ประปราย แต่ละคนก็จมอยู่กับโลกของตัวเอง ไม่ได้สนใจรอบข้างสักเท่าไหร่

           ถึงอย่างนั้นจะให้ไปซบ..ในห้องเรียน

           บ้าไปแล้ว ได้ขุดหลุมฝังตัวเองพอดี

           รู้ว่าเพื่อนเข้าใจความสัมพันธ์ แต่ก็ใช่ว่าจะทำอะไรประเจิดประเจ้อได้นี่นา

           ยิ่งศักดิ์ศรีความหัวหน้าห้องค้ำคออยู่ ผมคงไม่กล้าแสดงอะไรออกไปมากถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกันสองคนจริงๆ

           ส่ายหน้าอีกครั้ง

           “ไม่ง่วงแล้ว”

           แต่ตาจะปิดลงได้ทุกเมื่อ..

           คนตัวสูงหัวเราะหึหึ “เด็กขี้โกหก”

           “อื้อออ เราเจ็บ”

           ผมร้องออกมาทันทีเมื่อมือหนาเอื้อมมาบีบจมูกด้วยความหมั่นไส้

           รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ไม่ได้เห็นบ่อยเหมือนเมื่อก่อนผุดขึ้นมาใบหน้าคม เลยฟาดไปที่ต้นแขนหนักๆหนึ่งทีแต่อีกคนก็ยิ้มรับอย่างไม่สะทกสะท้าน

           ฮึ ทนให้ได้ตลอดไปแล้วกัน..

           “วันนี้จะไปเรียนพร้อมเราเปล่า”

           “ไม่ได้จองชั่วโมงเรียนไว้อะ ว่าจะกลับบ้านเลย”

           บ่วงของการศึกษาชั้นมัธยมหนีไม่พ้นการเรียนพิเศษ ถึงแม้จะเดินมาเกือบจนสุดปลายทางแล้วก็ต้องเรียนไปจนกว่าจะจบ น่าเบื่อไปหน่อยแต่ถ้าขึ้นมหาลัยก็คงไม่ได้เจออะไรแบบนี้อีก

           จะจดจำการเรียนพิเศษมาราธอนกว่าหกปีไว้ไม่ลืมเลยล่ะ

           “งั้นไปอ่านหนังสือกัน”

           “…”

           “สักสองทุ่มค่อยกลับเนอะ”

           “พาเราเถลไถลอีกแล้ว”

           ผมว่าไม่จริงจังนัก เพราะสุดท้ายก็ยอมให้อีกคนลากไปไหนมาไหนอยู่ดี

           “เปล่า”

           “…”

 

           “อยากอยู่ด้วยนานๆ”

           “…”

           “ปีสุดท้ายแล้วนี่นา”

 

           ผมนิ่งไป

           ปกติคงฟาดไปอีกสักทีกับคำพูดอ้อล้อของอีกคน

           แต่กับครั้งนี้ความอ่อนไหวในดวงตาสีนิลก็ฉุกคิดบางอย่างได้ขึ้นมา..

           ทุกคนย่อมมีความฝันและเส้นทางที่แตกต่างกัน

           แน่นอนว่าผมกับเขาแตกต่างกันอย่างชัดเจน

           เวลาแห่งความสุขผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนใครบางคนกล่าวไว้ ดูเป็นความจริงขึ้นมาเมื่อผมได้สัมผัสด้วยตัวเอง ผมยังยิ้มและหัวเราะได้ทุกวันเพราะมั่นใจว่ายังมีอีกคนอยู่ข้างๆเสมอ

           แต่ก็ลืมไปว่า..บนโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นนิรันดร์

           ผมหลุบตาลงต่ำเมื่อนึกได้ว่าความจริงแล้วยังไม่เคยบอกบางอย่างให้คนตรงหน้าฟัง

           บางอย่างเกี่ยวกับ..ความฝันของตัวผมเอง

           “ที่หนึ่ง..ที่หนึ่ง!”

           “ห—ว่า”

           “เหม่ออะไรอยู่”

           หลุดออกภวังค์ ก่อนแสร้งปั้นยิ้มให้สบายใจ

           อยากยืดเวลาออกไปอีกนิด

           กลัว..กลัวว่าความสุขตรงหน้าจะหายไป

           “กลับกี่ทุ่มก็ได้ แต่ส่งเราให้ถึงบ้านนะ”

           “น้อมรับคำบัญชาเลยครับ”

 

           ไม่เป็นไร

           อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ตอนนี้..

 




           มันเป็นเรื่องที่ผ่านการวางแผนมานานแล้ว

           รวมถึงการได้รับคำอนุญาตและการสนับสนุนจากครอบครัว

           ถึงจะเป็นห่วงม๊า แต่ท่านก็ยืนกรานว่าอยู่ด้วยตัวเองได้ และอยากให้ผมเดินไปตามเส้นทางของตัวเอง

           ม๊าคาดหวังไว้สูงกับลูกทุกคนก็จริง แต่ไม่เคยแม้แต่จะบังคับผม..

           เพราะไม่บังคับถึงได้ทำตามความต้องการแทนพี่ๆมาตลอด คนที่ไม่เคยขออะไรเลยสักครั้งจึงได้รับคำยินยอมโดยไร้ข้อแย้ง

           ท่านมั่นใจว่าผมรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้ วางใจที่จะปล่อยให้ไปเผชิญกับประสบการณ์ที่รอคอยอยู่ข้างหน้า

           ใจหนึ่งก็อยากอยู่กับม๊า อีกใจหนึ่งก็อยากเรียนรู้เรื่องราวอีกมากมายบนโลกใบนี้

           นกน้อยที่แม้จะชินกับกรงทอง แต่สายตากลับทอดมองออกไปข้างนอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า..

           ตั้งมั่นอย่างแน่วแน่จึงได้พยายามจดจ่อกับเป้าหมาย ไม่เคยไขว้เขวมาก่อน

           จนกระทั่ง…มีอีกคนเข้ามา

           และผมลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท

           ไม่เคยพลาดอะไรในชีวิตมากมาย แต่ยอมรับเลยว่าครั้งนี้ผมคิดได้ช้าจริงๆ และพลาดไปแล้ว

           มันเคยเป็นเพียงเรื่องของผมคนเดียวและมั่นใจว่าตัวเองต้องทำให้ได้

           แต่ตอนนี้มันไม่ใช่..

 

           ต้นเดือนกรกฎาคม สายฝนพรำกับเมฆหมอกที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นในใจ

           ทางเลือกไม่ได้มีมาก แต่ตัดสินใจยากเหลือเกิน

           ผมควรจะทำยังไงดี…

         

           ก๊อกๆ

           “ที่หนึ่ง มากินข้าวลูก”

           “ครับ”

           ผมขานรับ ละสายตาออกมาจากกระดาษตรงหน้า ก่อนเดินตามม๊าลงไป

           โต๊ะที่มีบุคคลนั่งอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา เป็นภาพที่คุ้นชินมาได้เกือบห้าเดือน หลังจากเวลาค่อยๆทำหน้าที่ประสานให้ทุกอย่างดีขึ้น

           เขาพิสูจน์ให้เห็นว่ายังซื่อตรงและจริงจังกับครอบครัวเหมือนเดิม รอยยิ้มของม๊าที่มีมากขึ้นจากเมื่อก่อนเป็นเครื่องยืนยันว่าเขากลับมาเพื่อทำให้ทุกอย่างคลี่คลายจริงๆ

           ถึงแม้ตะกอนขุ่นๆในใจผมยังไม่ได้จางหายไปทั้งหมด แต่มันก็น้อยลงจนแทบจะมองไม่เห็นแล้ว

           เสียงกระทบกันของช้อนส้อมท่ามกลางความเงียบงันเข้าปกคลุมเหมือนทุกวัน แต่ก็ผ่อนคลายกว่าที่เคย

           ถึงแม้จะมีเรื่องให้คิดมากมายในหัว ผมก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรเพราะไม่อยากทำลายวันเวลาความสุขตรงหน้า

           จนกระทั่งเขาถามขึ้นมา..

           “เป็นอะไร ที่หนึ่ง”

           ได้ยินคำถามนี้บ่อยที่สุดจนคิดจะหลับหูหลับตาไม่สนใจ

           อยากแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเหมือนทุกครั้ง ทั้งที่ตัวเองไม่ใช่คนที่เก็บความรู้สึกเก่งเลย

           “เรื่องเรียนหรือเปล่า”

           เขาคงจะรับรู้มาจากม๊า ผมไม่ได้ส่ายหน้าปฏิเสธ รวมถึงไม่พยักหน้าตอบรับ

           คงเห็นว่าผมนิ่งไป จึงได้พูดไปเรื่อยๆราวกับให้รับฟัง

           “แกเป็นคนเก่ง รู้ตัวใช่มั้ย”

           “…”

           “เป็นคนที่มุ่งมั่นกับทุกเรื่อง และพยายามจนทำมันสำเร็จทุกครั้ง ถึงป๊าจะไม่ได้อยู่ด้วย..แต่ก็สัมผัสถึงพลังในตัวแกได้”

           “…”

           “อนาคตเป็นเรื่องสำคัญต่อการก้าวเดิน แต่มันไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต”

           ผมเงยหน้ามองบุพการีทั้งสอง ก่อนจะได้รับรอยยิ้มตอบกลับมา

           “ป๊ากับม๊าเชื่อมั่นในตัวที่หนึ่งนะ”

 

           ถึงเวลาแล้วหรือเปล่าที่นกควรจะออกจากกรงสักที..




           

           “คะแนนชีวะออกละ”

           “โคตรเศษเลข”

           “ใครผ่านกูอยากกราบเลย”

           “งั้นมึงก็กราบคนข้างๆอะ คะแนนโดดมาจนกูกลัว”

           คาบพักเที่ยงกับผลคะแนนเทสต์ย่อยถูกส่งมาทางกลุ่มห้อง รวดเร็วจนไม่รู้จะนึกขอบคุณคุณครูหรือเสียใจแทนเพื่อนดี

           “เอาเวลาไหนไปอ่านวะที่หนึ่ง”

           “ก็ไม่ได้โหมอ่านทีเดียว ทบทวนเรื่อยๆเอา”

           “เนี่ยมึงฟังไว้ คำตอบจากเทพ”

           ผมโคลงหัวไปมา ไม่ได้สนใจกับคะแนนขนาดนั้น มันก็เหมือนสอบท้ายบทเหมือนที่ผ่านมา แค่เป็นคะแนนดิบเท่านั้นเอง

           โรงอาหารเหมือนเป็นที่สิงสถิตสำหรับรุ่นพี่ม.6 เข้าไปทุกวัน น้องๆชั้นอื่นทยอยขึ้นไปเรียนจนโต๊ะโล่ง ต่างจากพวกผมโดยสิ้นเชิง

            จวบจนจะใกล้เวลาขึ้นเรียนก็ไม่มีใครกระดิกตัวไปไหน ยังคงนั่งเอื่อยๆไม่ยี่หระกับการเรียนการสอนเพราะคาบต่อไปเป็นวิชาที่ไม่จำเป็นต้องเข้าเท่าไหร่ เก็บชั่วโมงให้ครบก็พอแล้ว สุดท้ายเนื้อหาในการสอบครูก็ให้ไปอ่านเองทุกครั้ง

           ความขี้เกียจไม่เข้าใครออกใคร แต่เหมือนจะเข้าม.6 แล้วไม่ออกไปสักที..

           “เมื่อวานกูทะเลาะกับแม่ด้วยว่ะ”

           “เรื่อง?”

           มีหัวข้อมาให้สนทนากันเรื่อยๆ ประสาทการรับรู้ถูกแยกเป็นสองส่วน

           มือปั่นงานเป็นระวิง ส่วนปากก็คุยจ้อกันไม่หยุด

           “ก็เรื่องเดิม”

           “ที่แม่มึงอยากให้เรียนนิติอะดิ”

           “เออ กูโคตรเบื่อที่จะพูดเลย น้ำหน้าอย่างกูอะนะท่องจำอะไรได้กับเขา เกรดเท่านี้ไม่ได้ทำให้แม่กูเข้าใจเลยอะว่ากูเป็นให้ไม่ได้”

           เสียงถอนหายใจจากเพื่อนหนึ่งคนในโต๊ะพลอยให้คนอื่นเครียดไปตามๆกัน

           นักเรียนชั้นมัธยมปลายปีสุดท้ายวันๆหนึ่งก็พูดกันไม่กี่เรื่อง ถ้าไม่บ่นเรื่องงานก็เป็นเรื่องอนาคตของแต่ละคน

           ต่อให้ท้ายที่สุดต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่การได้ระบาย ได้แลกเปลี่ยนกับเพื่อนก็ทำให้รู้สึกดีขึ้น อย่างน้อยก็ไม่ได้เผชิญชะตากรรมเพียงลำพัง

           “มึงก็สอบให้เค้า แล้วก็สอบให้ตัวเองด้วย เรื่องแบบนี้มันต้องเจอกันครึ่งทางว่ะจริงๆ”

           “พูดง่ายแต่ทำยาก ถ้าเค้ายังไม่เข้าใจกูอะ”

           “อือ แล้วมึงอยากเป็นอะไร”

           “…”

           ทั้งโต๊ะเงียบ รอฟังคำตอบ

           “กู..ไม่รู้”

           “เอ้า ไอ้เชี่ย”

           เต้สบถออกมาทันควันเมื่อได้ยิน

           คำว่า ‘ไม่รู้’ นับเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตตอนนี้แล้ว

           มีทางเลือกหลายเส้นทางก็ยังดีที่รู้ตัวเอง แต่ถ้ายังยืนอยู่จุดเดิมโดยที่ข้างหน้าว่างเปล่าก็เหมือนเอาตัวเองมายืนใกล้ปากเหว

           เป็นเรื่องที่ใครก็ช่วยไม่ได้..

           “ไม่ได้คิดไว้คร่าวๆเลยเหรอ”

           ผมถามออกไป ในขณะที่คนตรงหน้ากัดปากอย่างเคร่งเครียด

           ฝ้ายนับว่าเป็นผู้หญิงแก่นเซี้ยวคนหนึ่งรองจากลูกแพร ไม่ได้เป็นคนที่เรียนในระดับดีมากแต่เรื่องกิจกรรมส่วนรวมต้องยกให้เป็นอันดับหนึ่ง

           “เคยคิด แต่ก็กลัวว่าตัวเองจะเป็นไม่ได้ มันเหมือนฝันลมๆแล้งๆอะมึง”

           “แล้วที่ว่านั่นมันคืออะไร”

           “กู..เคยนึกถึงครูอาสา คือมันอาจจะลำบากนะเว้ย แต่พอคิดว่าตัวเองได้ไปยืนอยู่จุดนั้นก็คงมีความสุขอะ”

           “อือ ก็ลองดู”

           “แต่คงยากว่ะ มันหลายเรื่องแน่ๆ กูคง—”

           “ลองยังอะ”

           ผมถามนิ่งๆ

           “ถ้ายังไม่ลองก็อย่าพูดว่ามันยาก”

           “…”

           “ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเองทั้งนั้นฝ้าย ครอบครัวเป็นปัจจัยสำคัญก็จริง แต่ถ้าตั้งใจที่จะทำ คนที่มีสิทธิ์เลือกคือตัวฝ้ายเอง”

           ตัวเองก็ใช่ว่าจะมีประสบการณ์มากพอที่จะไปแนะนำคนอื่น แต่เพราะเป็นเพื่อนถึงได้พูด

           ผมไม่ชอบคนที่ดูถูกความฝันตัวเอง

           อย่างน้อยก็ได้มีแล้วทำไมถึงจะไม่ทำ..

           “สะเทือนไปทั้งกลุ่มเลยว่ะ”

           “เฮ้อ ชีวิตแม่งเครียด”

           พากันกร่อยลงอย่างเห็นได้ชัด เป็นภาพที่ไม่คุ้นเอาเสียเลย

           ปกติก็จะมีรอยยิ้ม มีมุกตลกปล่อยใส่กันไม่เว้นแต่ละวัน พอได้มายืนอยู่ในจุดที่ต้องพากันเครียดก็อดรู้สึกแปลกๆไม่ได้

           นึกถึงม.5 ขึ้นมาเลยแฮะ..

           เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นเพื่อกลบอารมณ์หม่นในใจ ผมมองเพื่อนรอบตัวก่อนจะเผยยิ้มเศร้าออกมา

           อีกไม่กี่เดือนก็จะไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว

           ต้องคิดถึง..มากแน่ๆ

           “เออที่หนึ่ง”

           “ว่า”

           ผมที่กำลังรวบของบนโต๊ะลงกระเป๋าต้องหยุดชะงักไป เมื่อรู้สึกถึงความจริงจังในน้ำเสียงนั้น

           “เรื่องนั้น..ยังเหมือนเดิมหรือเปล่า”

           “…”

           ลูกแพรกำลังจะพูดในสิ่งที่ผมกลัว

 

           “ที่จะสอบชิงทุนไปต่างประเทศน่ะ”

 

           พลันเกิดความเงียบโดยรอบ จนได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง

           ผมเม้มปาก

           ใจสับสนเกินกว่าที่จะตอบอะไรกลับไป

           “กูลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลย...”

           “งี้ก็ไม่มีโอกาสเจอกันในมหาลัยแล้วอะดิ”

           “เอาจริงเหรอวะ ที่หนึ่ง”

           ผมมองลอดออกไปนอกอาคาร ทอดสายตาอย่างไร้จุดมุ่งหมาย

           “แล้ว..เฟิร์ส..”

           เลือกที่จะไม่ตอบเพื่อนสนิท ดวงตาฉายแววสับสนโดยไม่ปิดบัง ลูกแพรจึงไม่พูดขึ้นมาอีก รวมถึงเพื่อนคนอื่นแสร้งเฉย ไม่พยายามคาดคั้นคำตอบจากผม

           แต่รู้..ว่าในใจคนอื่นก็คงวูบไหวไม่แพ้ผมเช่นกัน

           “มึง..ที่หนึ่ง...”

           “มึงอย่าไปเซ้าซี้ดิ”

           “ไม่ใช่”

           เต้ลอบกลืนน้ำลาย พยักพเยิดไปทางด้านหลังให้ผมหันไปมองตาม

 

           “..!”

           ก่อนที่จะชาวาบขึ้นมาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

           

           “เฟิร์ส...”

 

           ที่จริงแล้วการยื้อเวลาไว้..ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย..

 
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r f o u r t e e n] , 060518
เริ่มหัวข้อโดย: miralchs ที่ 10-05-2018 21:30:54
(ต่อ)



           อึดอัด

           เป็นความเงียบที่อึดอัดจนแทบบ้า..

           ตั้งแต่คบกันก็ไม่เคยได้สัมผัสกับความรู้สึกนั้นอีกจนกระทั่งมาวันนี้

           ซอกกำแพงแคบๆระหว่างตึกถูกใช้เป็นสถานที่ชั่วคราว ฝนโหมหนักพร้อมกับท้องฟ้าคำรามดังลอดเข้ามาเป็นระยะยิ่งสร้างความขุ่นมัวขึ้นในใจ

           ทะเลาะกันมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่ถูกเมินเฉยแบบนี้

           ผมเลียริมฝีปากแห้งผาก ลอบมองบ่ากว้างของคนตัวสูง เขายังยืนหันหลังไม่ไหวติงนับตั้งแต่เข้ามาหลบในซอก

           รู้ว่าสิ่งที่อีกคนอยากได้ยินมากที่สุดคือคำอธิบาย

           แต่ผมไม่รู้จะเริ่มมันด้วยประโยคไหน..

           “เฟิร์ส”

           สมองสั่งการให้พูดออกไปตามใจคิด ถึงมันจะทำให้ทุกอย่างแย่กว่าเดิม ยังไงสักวันคนตรงหน้าก็ต้องรับรู้

           “ฟังเราก่อนนะ”

           “…”

           ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนบอกเล่าทุกอย่าง

           “เราคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่ยังไม่ขึ้นม.4 ก่อนหน้าที่เราจะได้รู้จักกัน เราบอกแค่ม๊ากับเพื่อนในกลุ่มว่าเราจะไป..”

           “…”

           “มัน..เป็นการสอบชิงทุนเต็มจำนวน เราเลือกคณะ เลือกมหาลัยได้เอง และใช่..ความฝันของเรามันไม่ได้อยู่ที่นี่”

           ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาจุกที่อก  อัดแน่นไปด้วยหลายสิ่งที่ผมต้องอธิบายให้เขาเข้าใจ

           “เราเตรียมตัวมานาน ทุกอย่างพร้อม ใจเราก็พร้อม เป็นสิ่งที่เรามุ่งมั่นมาตลอด..จนเฟิร์สเข้ามา”

           “…”

           “มันผิดที่เรามองข้ามไป เราชินกับการที่มีเฟิร์สข้างๆมาตลอดและก็ลืมไปว่ามันใกล้เข้ามามากขึ้น”

           “…”

           “ทั้งที่มันเป็นเรื่องสำคัญ ต..แต่เราก็ไม่กล้าพูด”

           สายตาเริ่มพร่ามัวเพราะหยดน้ำตา

 

           “เราไม่อยากเห็นเฟิร์สเสียใจ..”

           “…”

           “ขอโทษ..อึก เราขอโทษ”

 

           ฟึ่บ!

           แรงกอดที่โถมเข้าหาตัวอย่างรวดเร็วจนเซถอยหลัง ก่อนมือแกร่งจะกดหัวผมซบลงไปที่อก แล้วกระชับแน่นราวกับตัวผมจะหายตัวไป

           นั่นทำให้บ่อน้ำตาที่กลั้นไว้พังทลายลงไปภายในพริบตา..

           “ฮึก เราไม่รู้จะทำยังไง ไม่รู้จริงๆ”

           “ชู่ว ไม่เอาไม่ร้อง”

           คำปลอมประโลมกับมือที่กำลังลูบหลังขึ้นลงช้าๆคล้ายเชื้อเพลิงโหมให้หนักขึ้นกว่าเดิม ผมเผยด้านอ่อนแอออกมาอย่างหมดกำลัง มือขยุ้มไปที่เสื้อนักเรียนของอีกฝ่ายเหมือนคนไร้ที่พึ่ง

           ผมไม่ได้อยากเลือกเลยสักนิด..แต่จะให้ทำยังไง

           อีกทางก็อนาคต ตรงหน้าก็คนสำคัญ

           “เราต้องเลือกทางไหนถึงจะไม่เสียใจ”

           “…”

           “เราคิดภาพวันนั้นไม่ออกเลย..”

           คนตัวสูงกดจูบลงข้างขมับซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราทั้งคู่ต่างไม่มีคำเอื้อนเอ่ยออกมาแม้ในใจจะมีความรู้สึกผุดพรายขึ้นมามากมาย

           ถ้าไม่มีเขา ผมก็เลือกอนาคตโดยไม่ลังเล

           แต่ตอนนี้...ผมจินตนาการถึงตัวเองในวันที่ไม่มีคนตรงหน้าไม่ได้จริงๆ

           สะอื้นจนหมดแรงถึงได้ค่อยๆผละออกมาแต่อีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีจะปล่อย แรงกอดรัดแน่นราวกับคำสั่งไม่ให้หนี ผมจึงล้มเลิกความพยายามแล้วทิ้งตัวซบลงกับบ่าแกร่ง

 

           ฝนเริ่มซาลง ท้องฟ้ากลับมาสีครามอีกครั้ง ทว่าเราก็ยังไม่ขยับตัวไปไหน

           เดาใจเฟิร์สไม่ถูกเลยว่ากำลังคิดอะไร..อีกฝ่ายนิ่งจนผมหวั่นใจ

           ในขณะคิดสะระตะไปต่างๆนานามือที่ลูบหลังอยู่ก็เลื่อนขึ้นมาหลังคอ ออกแรงเพียงนิดบังคับให้เงยหน้าสบตากันตรงๆ

           “เราไม่ได้โกรธเรื่องที่จะไปเรียนต่อ”

           “…”     

           “แต่เราน้อยใจที่เราไม่รู้อะไรเลย ทั้งๆมันเป็นเรื่องของที่หนึ่ง”

           มืออีกข้างยกขึ้นมาเช็ดคราบน้ำตาบนหน้าออกให้อย่างอ่อนโยน

           “จนอดคิดไม่ได้ว่า..เราสำคัญสำหรับที่หนึ่งอยู่หรือเปล่า”

           “ฮึก ไม่ใช่ มันไม่ใช่อย่างนั้น”

           น้ำตารื้นขึ้นมาอีกระลอกเมื่อสบสายตาคมที่เต็มไปด้วยความเสียใจ

           “อย่าทำแบบนี้อีกนะ”

           “…”

           “มีอะไรก็บอกกัน เจอปัญหาอะไรก็บอกเฟิร์สตรงๆ”

           ผมพยักหน้ารับไม่รีรอ

           คนตัวสูงคลี่ยิ้มออกมาได้เหมือนเดิมอีกครั้ง..แม้จะเป็นยิ้มที่ดูเศร้าจนคนมองใจหาย

           “ส่วนเรื่องนั้น...ที่หนึ่งต้องตัดสินใจเองรู้หรือเปล่า”

           แน่นอนว่าผมรู้ดี

           แต่ผมไม่อยากยอมรับ

           หากหยุดเวลาไว้ได้ผมก็ไม่ลังเลที่จะทำมัน แต่คนเราต้องก้าวเดินต่อไป และสักวันผมก็ต้องเลือก..

           อ้อมกอดที่คลายออกไปยิ่งทำให้ผวาจนอีกคนต้องรวบเข้ามาใหม่ พลางหัวเราะแผ่วๆ

           ใบหน้าคมก้มซบลงกับบ่าของผม กระซิบเสียงสั่น

           “รู้มั้ยว่าเราเป็นคนเห็นแก่ตัว”

           “…”

           “ยิ่งกับคนที่เรารักก็อยากให้อยู่ใกล้ๆตลอดเวลา”

           คนตัวสูงย่อตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกัน กวาดสายตามองไปทั่วใบหน้า ยกมือทัดปอยผมให้อย่างเชื่องช้า

 

           “ไม่เคยอยากให้ไปไหนไกลเลย...”





________________________
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์และฟีดแบ็คนะคะ : )
#เป็นที่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r f i f t e e n] , 100518
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-05-2018 22:25:47
คาดหวังว่าเราจะไม่เสียใจ
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r f i f t e e n] , 100518
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 10-05-2018 23:00:43
เฟิร์สตามไปด้วยเลย อิอิ
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r f i f t e e n] , 100518
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 10-05-2018 23:50:05
อย่าดราม่าเลยโนะ สงสารเราเถอะ 55555
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r s i x t e e n] , 120518
เริ่มหัวข้อโดย: miralchs ที่ 12-05-2018 21:19:34
C h a p t e r   s i x  t e e n ♥

เป็นคนตัดสินใจ


           ว่ากันว่าการรอคอยเป็นสิ่งที่ทรมานที่สุด

           ยิ่งไร้จุดมุ่งหมาย..ก็ไม่มีทางรู้เลยว่ามันจะจบลงเมื่อไหร่

           แต่หลายคนก็เลือกที่จะเสี่ยง ถึงแม้บทสรุปอาจจะไม่ได้สวยหรูดั่งใจคิดไว้

           เพราะยังมีสิ่งที่เรียกว่าความหวังหล่อเลี้ยงให้เชื่อมั่นถึงการรอคอยนั้นอยู่เสมอ

           เชื่อมั่นจนกว่าจะไม่มีหวังแล้ว..

 

           กรมอุตุฯพยากรณ์ว่าวันนี้จะมีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ สภาพอากาศแปรปรวนผิดแผกแปลกไปจากทุกปี ส่งผลกระทบให้กับใครหลายคนที่จำเป็นต้องออกจากบ้านหรือเดินทางบนท้องถนน

           ลมกรรโชกอย่างรุนแรง เม็ดฝนสาดเข้ามาภายในอาคารจนรู้สึกยะเยือก การกางร่มออกไปเดินไม่ปลอดภัยอีกต่อไปเมื่อท้องฟ้ายังขู่คำรามไม่มีท่าทีจะหยุด

           ครืน! เปรี้ยง!

           ผมไม่เคยกลัวเสียงฟ้าร้อง

           แต่ภาวนาให้มันหยุดลงเร็วๆทุกครั้ง

           หลับตาลง ฟุบกับโต๊ะเย็นๆ ปล่อยกายปล่อยใจให้ดำดิ่งไปกับความคิด

           ไม่ได้หลับสนิทมานานเท่าไหร่แล้วนะ

           สองอาทิตย์ สามอาทิตย์...หรือหนึ่งเดือน

            หายใจออกเพียงเฮือกเดียวก็ผ่านวันเวลาวุ่นวายมาได้ ชีวิตเด็กมัธยมปลายปีสุดท้ายไม่ได้สบายอย่างที่ใครเข้าใจ มีหลายเรื่องราวถาโถมเข้ามาไม่เว้นวัน ไหนจะงาน การบ้าน สอบยิบย่อยเต็มไปหมด ไม่แปลกใจเลยที่กิจกรรมยิ่งใหญ่อย่างกีฬาสี ม.6 แทบจะไม่ย่างกรายเข้าไปใกล้

           ลำพังเอาตัวเองให้รอดยังยาก จะให้ไปช่วยเหลือส่วนรวม..ตายพอดี

           กำหนดการสอบปลายภาคครึ่งปีแรกกระชั้นชิดเข้ามาไม่ได้ทำให้รู้สึกยินดียินร้ายเหมือนรุ่นน้องชั้นอื่น คล้ายกับยืนอยู่ในจุดที่ปลงกับทุกสิ่งทุกอย่าง

           เพราะรู้ว่ายังมีอะไรโหดร้ายมากกว่านี้รออยู่ข้างหน้า ด่านของโรงเรียนจึงกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว..

           วันเวลาผ่านไปตามกลไกของโลกใบนี้ หมุนเวียนไปอย่างช้าๆดั่งเครื่องจักร ปัจจุบันผ่านพ้นไปผันเปลี่ยนมาอยู่ในรูปแบบของความทรงจำ

           ทิ้งความรู้สึกนับร้อยพันให้หวนนึกถึงแต่ไม่ให้ยึดติด

           หลายเรื่องยังค้างคา รอให้เจ้าของเป็นคนตัดสินใจด้วยตัวเอง ผมยังจมปลักอยู่กับเรื่องนี้มานับเดือน คำตอบลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ เฝ้ารอให้เลือก แต่ผมก็ยังยืนมองมันด้วยความสับสน

           มันยากกว่าข้อสอบทุกข้อที่เคยทำมา

           คำถามที่ใช้ทฤษฎีหรือหลักความเป็นจริงมันมีคำตอบแน่ชัดในตัว

           แล้วคำถามที่ต้องตอบด้วยความรู้สึก..ผมจะต้องยกหลักอะไรขึ้นมาใช้

           คำพูดของเฟิร์สในวันนั้นเหมือนกับโซ่ตรวนพันธนาการไว้ มันไม่ได้รัดแน่นและพร้อมจะปล่อยได้ทุกเมื่อถ้าผมปลดออก

           ผมจะไปทำลงได้ยังไง ในเมื่อกุญแจอยู่กับเขา

           แน่นอนว่าแค่ผมเอ่ยปากขอ อีกฝ่ายก็ยอมมอบให้ด้วยความเต็มใจ ถึงจะแลกมาด้วยแววตาแสนเจ็บปวดในวันนั้นก็ตาม

           สัญญากับตัวเองไว้ว่าจะรักษารอยยิ้มนั้นไว้ให้ตราบเท่านาน..แล้วก็เป็นคนทำหายไปอีกครั้ง

           แย่..จริงๆ

           ความสัมพันธ์ยังดำเนินต่อไป เป็นทุกวันที่ยังมีคนตัวสูงอยู่ข้างๆ แต่ในใจเราต่างรู้ว่ามันกำลังนับถอยหลังอยู่

           ความรักเป็นบ่อเกิดของความเห็นแก่ตัว

           ผมยอมรับโดยดุษณีเมื่อได้มาพบเจอด้วยตัวเอง

           การยื้อเวลาไว้ยิ่งมีแต่จะทำให้เปล่าประโยชน์ ผมรู้..และก็เลือกที่จะทำมัน

 

           “หลับเหรอนี่”

           ความอบอุ่นส่งผ่านจากการสัมผัสของมือหนาปัดเป่าความทุกข์ในใจให้คลายลง

           ผมส่ายหัวแทนคำตอบ ทว่ามืออีกฝ่ายก็ยังลูบหัวแผ่วเบา

           คงจะเคลิ้มหลับไปถ้าไม่มีอะไรให้คิดอยู่แบบนี้

           ด้วยภาระอันหนักอึ้งในใจจะฝืนหลับก็ทำไม่ลง ร่างกายอ่อนล้าจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ซ้ำยังโหมอ่านหนังสือเป็นบ้าเป็นหลัง แต่ก็ทำได้เพียงหลับตาลงนิ่งๆ

           “อย่าคิดมาก..”

           อาการใหม่ที่ตามมาดึงให้หลุดออกจากความเป็นตัวเองมากโข  แค่ไม่กี่คำพูดของเขาก็ทำให้อ่อนไหวจนอยากร้องไห้ออกมาให้หมดสิ้น..

           ไม่เคยคิดว่าจะกลายเป็นคนขี้แยได้ขนาดนี้

           “เย็นแล้ว ไปกินข้าวกัน”

           “ฝนหยุดตกแล้วเหรอ”

           ผมเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆเมื่อเสียงฝนตกหนักเริ่มซาลง

           สถานที่หลบฝนของเราทั้งคู่ยังเป็นห้องสมุดเหมือนเดิม และกลายเป็นที่ประจำสำหรับผมและเขาไปแล้ว

           อยู่บ้านอาจทำให้มีสมาธิก็จริง แต่บางครั้งก็อยากเปลี่ยนบรรยากาศเหมือนกัน

           เปล่าหรอก...

           นั่นเป็นแค่ข้ออ้างของคนอยากเจอต่างหาก

           “ยังปรอยๆอยู่”

           “ถ้าเฟิร์สหิวเดี๋ยวออกไปกินเลยก็ได้”

           เขาส่ายหัว รั้งผมเข้าไปใกล้

           “เปล่า..”

           “…”

           “กลัวที่หนึ่งปวดท้อง”

           ผมเคยบอกหรือเปล่าว่าเฟิร์สเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย

           เคยดูแลดีแค่ไหน วันนี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลง

           “กินนมไปแล้วเมื่อกี้”

           “แน่นะ”

           “อื้อ”

           นิสัยออดอ้อนไม่เคยใช้กับใครที่ไหน แต่แสดงให้คนตรงหน้าเห็นเพียงคนเดียว ผมนิ่งไปสักพักก่อนจะไล้มือลงไปแตะปลายนิ้วที่วางบนหน้าขาของเขาอย่างไม่นึกคิดอะไร

 

           “ซน”

           หมับ!

           หนีไม่ทันนิ้วยาวๆที่พลิกกลับมาเป็นฝ่ายรวบเอาไว้ทั้งมือ แถมยังออกแรงดึงจนผมถลาไปซบกับอกแข็งๆนั้นเต็มเปา

           หันรีหันขวางมองคนระแวกนั้นทันที ท่าทางล่อแหลมจนต้องรีบดันตัวออกมา ไม่วายได้รับรอยยิ้มล้อเลียนจากคนตัวสูงกลับอีก

           “อยากจับมือก็บอกกันดีๆ”

           “บ้าเหอะ”

           สายตากรุ้มกริ่มจ้องมองมาไม่หยุด ผมหลุบตาลงหนี แสร้งทำเป็นเก็บข้าวของลงใส่กระเป๋า

           “ที่หนึ่ง”

           “…”

           “…”

           “ว่าไง”

           คนตัวสูงกว่าหยิบปากกาไปควงเล่น พูดออกมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ

           “วันนี้..” เขาเว้นจังหวะ “ไปค้างหอเรามั้ย”

           ผมเงยหน้ามอง ถึงจะไม่ใช่คำพูดจริงจัง แต่สายตาที่หันมาสบตานั้นบ่งบอกให้รู้ว่ามีเรื่องสำคัญและจำเป็นต้องคุย

           อา มันยืดเยื้อมานานแล้วจริงๆสินะ

           ผมควรจะหยุดวิ่งหนีมันได้แล้วหรือยัง

           “อื้อ..ไปสิ”

           เขาส่งมือมาลูบหัวอีกสองสามที ก่อนจะดึงให้ลุกขึ้น

           มองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินนำออกไปไล่ลงมาจนพบสัมผัสอบอุ่นบนข้อมือ

 

           ผมรู้สึกใจหายจริงๆ...

 


 



           โดนฝนเล่นงานเข้าให้แล้ว

           อากาศชื้น เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวทำให้ร่างกายปรับตัวตามไม่ทัน ยิ่งอยู่ในช่วงอ่อนแอ ไม่แปลกเลยถ้าจะเป็นหวัดเอาตอนนี้

           “แค่กๆ”

           อาการยังไม่โผล่มากนัก แต่มั่นใจว่าคืนนี้ไม่รอดแน่นอน

           “ไหวเปล่า มากินยาดักไว้ก่อนมา”

           คนตัวสูงพูดด้วยความเป็นห่วง วางยาใส่มือแล้วยื่นแก้วน้ำให้

           ตาเริ่มปรือ ถึงอย่างนั้นก็ต้องคุมสติไม่ให้หลับ ผมเอนตัวลงกับโซฟา หยิบข้อสอบที่ทำค้างไว้มาทำต่อ พอดีกับอีกคนที่ทรุดตัวนั่งข้างๆ

           ความเงียบเข้าปกคลุมเป็นปกติเมื่อเราทั้งคู่จดจ่อกับบางสิ่ง ในขณะที่ผมนั่งขีดเขียนตัวเลขใส่กระดาษทด อีกคนก็อ่านสรุปข้อสอบไปพลาง

           ยังไม่มีใครเริ่มบทสนทนา คล้ายกับประวิงเวลาไว้..

           ผมไม่รู้จะพูดอะไรขึ้นมาก่อน จึงได้แต่ทำข้อสอบต่อไปเงียบๆแม้สมาธิจะไม่อยู่กับตัวแล้วก็ตาม

           เฟิร์สจะคิดอะไรอยู่กันนะ

           เขามีคำตอบให้กับเรื่องนี้หรือยัง..

           จินตนาการไปมากมายก็ไม่กล้าถามอยู่ดี คนตัวสูงไม่ได้มีท่าทีผิดแปลกไปหลังจากวันนั้น ยังทำตัวปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

           แต่สายตา..ไม่เคยโกหก

           ในความรู้สึกห่วงหานั้นมันยังมีบางอย่างซ่อนอยู่ แค่อีกฝ่ายไม่ได้พูดออกมา

           จากนับร้อยพันเรื่องล้วนแตกต่าง นี่เป็นสิ่งที่เราเหมือนกัน

           คือกลัวการสูญเสีย..

           “ทำผิดแล้ว”

           ผมสะดุ้ง หลุดจากอาการเหม่อลอยหลังจากที่คนข้างตัวขยับเข้ามาซ้อนหลังเอาคางเกยบนไหล่ แย่งดินสอในมือไปแสดงวิธีทำใหม่ให้ดู

           หลุบตามองตามมือที่เขียนทับบนพื้นที่ว่างๆ ผ่านไปไม่ถึงนาทีก็ได้คำตอบออกมา

           “ข้อนี้เคยสอนเราเอง ทำไมทำผิดล่ะ”

           “…”

 

           “ไปสอบชิงทุน..จะเหม่อแบบนี้ไม่ได้นะ”

 

           “เฟิร์ส..”

           ราวกับเวลาหยุดเดินไปชั่วขณะ ผมขมวดคิ้ว หันไปหาด้วยความไม่เข้าใจ

           เขาหมายถึง..

           จะให้ผมไป..งั้นเหรอ

           คนตัวสูงขยับมามองตาตรงๆ ก่อนเท้าแขนไปข้างตัวผม ส่วนอีกข้างยกขึ้นมาเกลี่ยที่ข้างแก้มช้าๆ

           “ที่หนึ่งยิ้มน้อยลงรู้หรือเปล่า”

           “…”

           “ข้าวก็ไม่ค่อยทาน ผอมแล้วเนี่ยเห็นมั้ย”

           “อึก..เรา..”

           ผมเม้มปากแน่น น้ำตารื้นอย่างไม่รู้ตัว

           “ปกติก็ไม่ร้องไห้บ่อย..แต่พักนี้ขี้แยขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะเลย”

           เขายิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมแทบจะกลั้นน้ำตาไม่ไหว

 

           “เราอยากให้ที่หนึ่งมีความสุขเหมือนเดิม”

           “…”

           “ไปสอบเถอะนะ”

 

           และ..โผเข้ากอดคนตรงหน้าทันที

 

           “เราจะอยู่ยังไง..”

           “ชู่ว”

           “ไม่มีเฟิร์ส...เราจะอยู่ได้ยังไง”

           “ที่หนึ่งทำได้ เชื่อเฟิร์ส..”

           “ฮึก”

           “อย่าร้องไห้อีก..”

           ผมโอบรอบบ่ากว้างไว้แน่นเท่าที่จะทำได้ พอๆกับที่คนตัวสูงทิ้งน้ำหนักลงมาอย่างหมดแรง

           เราต่างแบกรับความรู้สึกของอีกฝ่ายไว้จนมองข้ามความเป็นจริงที่คืบคลานเข้ามาใกล้ ลืมรอบข้าง ลืมเรื่องราว ลืมแม้กระทั่ง..อนาคต

           ถ้าเลือกได้ผมก็อยากมีเฟิร์สอยู่ข้างๆไปพร้อมกับฝันของตัวเอง

           แต่ทางเดินย่อมมีเพียงเส้นเดียว..

           สัมผัสเปียกชื้นบนไหล่ยิ่งตอกย้ำความเจ็บปวดระหว่างเรามากขึ้น

 

           เขาบอกผมว่าอย่าร้องไห้


           ทั้งที่ตัวเองก็ทำไม่ได้เช่นกัน..







           ปิดเทอมเล็กไม่มีเรื่องราวน่าตื่นเต้นเหมือนปีที่แล้ว

           จากที่เจอหน้ากันทุกวันจนเคยชิน ทำอะไรหลายอย่างร่วมกัน แต่ปีนี้ก็ค่อยๆหายกันไป

           แทบไม่ติดต่อกันเลยด้วยซ้ำ

           กลุ่มไลน์ซาลงอย่างไม่เคยเป็น นานทีถึงมีแจ้งเตือนขึ้นและเป็นแค่เพียงสองสามประโยค

           เป็นช่วงเวลาเกือบหนึ่งเดือนที่เหงาบอกไม่ถูก ต่างคนต่างเก็บตัวเพื่อมุ่งมั่นกับอนาคตของตัวเอง

           มันใกล้เข้ามาถึงแล้ว

           บรรยากาศกดดันก่อตัวขึ้นอย่างเงียบงัน สุดปลายทางเป็นอะไรก็ไม่อาจคาดเดา ได้แต่เพียงทำปัจจุบันให้เต็มที่ ผมได้สัมผัสกับชีวิตม.6 จริงจังก็ตอนนี้ มันทั้งเครียด ทั้งน่าเบื่อเหนื่อยไปพร้อมกัน

           กำหนดการสอบชิงทุนไม่ได้ไกลไปจากนี้มากนัก เหลือเวลาให้เตรียมตัวอีกราวๆสองเดือน นับว่าเร็วกว่าเพื่อนคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด

           มันหมดเวลาเล่นแล้ว

           คอยบอกตัวเองอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้จะเชื่อมั่น แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ ผมจึงพยายามเต็มที่เพื่อไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง

           ถ้าตัดสินใจแล้วก็ต้องไปให้สุดทาง

           เพื่อตัวผมเอง

           และ..เขาด้วย

           เราตกลงกันว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีกจนกว่าวันนั้นจะมาถึง ต่อให้เสียใจมากแค่ไหนทุกอย่างก็ต้องดำเนินต่อไป ผมกับเขายังทำทุกอย่างเหมือนปกติและเก็บซ่อนความรู้สึกนั้นไว้ส่วนลึกที่สุด..

           เพราะอยากสร้างความทรงจำที่ดีร่วมกัน

           เผื่อว่าวันหนึ่งจะได้นึกถึง..แล้วยิ้มออกมาได้อย่างสุขใจ

           “เมี้ยว~”

           สัมผัสเปียกชื้นบนเข่าเรียกให้หันกลับไปสนใจเจ้าตัวจ้อยตรงหน้า

           ผมคลี่ยิ้มออกมาเมื่อมันเดินต้วมเตี้ยมพาร่างอ้วนๆของตัวเองมานอนแหมะที่ตักของผมอย่างสบายใจเฉิบราวกับเป็นเตียงนอนแสนพิเศษ

           เจ้าแมวเหมียวนับวันยิ่งเหิมเกริมนักนะ

           แอบบ่นในใจแต่ก็ส่งมือไปลูบขนฟูๆกล่อมให้มันหลับลง

           อากาศไม่ร้อนไม่เย็นในช่วงบ่ายที่สวนหลังบ้านชวนผ่อนคลายจนอยากแผ่ลงไปกับพื้นหญ้า เป้าหมายการอ่านหนังสือวันนี้ลุล่วงไปด้วยดีจึงให้รางวัลตัวเองโดยการลงมาพักสายตาสักหน่อย

           รู้อีกทีก็ผ่านไปเกือบชั่วโมงเพราะนั่งคิดไปเรื่อยเปื่อย พอเจ้าเหมียวมาเกาะแกะคลอเคลียถึงได้ดึงตัวเองออกมาได้ ผมนั่งลูบขนมันช้าๆจนอยากจะนอนเป็นเพื่อนเสียแล้ว

           ครืด

           “อ้าว”   

           เสียงเปิดบานกระจกมาพร้อมกับผู้บุกรุก ผมเงยหน้ามองคนเป็นพ่อนิ่งๆ ไม่ได้พูดอะไรออกไป

           ปกติแล้วเขาจะมาอ่านหนังสือพิมพ์หลังบ้านในช่วงบ่ายของวันหยุด แต่วันนี้คงตกใจที่ผมมาแย่งพื้นที่จึงทำท่าจะออกไป ผมก็รั้งไว้ก่อน

           อือ ถึงจะแปลกๆหน่อยที่ต้องอยู่ด้วยกันสองคนโดยไม่มีม๊าก็เถอะนะ

           ผมกับป๊าต่างพากันจมอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง ถึงแม้ว่าอะไรจะดีขึ้น นิสัยส่วนตัวของผมก็ไม่ใช่คนที่พูดมาก เขาก็เช่นกัน จึงจบลงด้วยการนั่งเงียบๆในพื้นที่ของแต่ละคน

           กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นพัดโชยมาแตะจมูก บรรยากาศเรียบง่ายชวนคล้อยหลับ ผมเอนตัวนอนกับผืนหญ้าดั่งใจคิด ยื่นมือออกไปทาบกับแสงแดดรำไรที่ทอดผ่านกิ่งไม้

           “การรอใครสักคนมันนานมากแค่ไหน..”

           ผมพึมพำกับตัวเอง

           แต่ดูเหมือนจะมีคนได้ยินด้วย

           “ลูกว่าอะไรนะ”

           ผมลดมือลง หันไปสบตากับเขา

           “เคยรออะไรนานๆไหมครับ”

           “…”

           “แล้วนานเท่าไหร่ถึงเลิกรอ..”

           ป๊ามองด้วยความฉงนนิดหน่อย แต่ก็ยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรงก่อนพูดออกมา

           “ก็ขึ้นอยู่กับว่ามันคือเรื่องอะไร สำคัญกับเราแค่ไหน”

           เขาพับหนังสือพิมพ์ลง

           “อย่างการรอไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียวก็ง่ายหน่อยเพราะเรารู้ว่ามันจะจบลงแน่นอน”

           “…”

           “แต่การรอที่ไม่มีจุดสิ้นสุดน่ะ...บางทีก็ทรมานจนต้องเลิกหวัง”

           “งั้นเหรอครับ”

           “อืม ถึงอย่างนั้นก็ยังมีข้อแม้อยู่ล่ะนะ”

           “…”

           “ถ้าสิ่งนั้นสำคัญกับลูก ต่อให้ทรมานแค่ไหน ใจลูกก็ยังคงรออยู่ดี”

           ป๊ายิ้มให้ผมจางๆ

           “รอจนกว่าจะไม่รู้สึกแล้ว..”







           ปีนี้มีคนสมัครเยอะกว่าที่ผ่านมา
           ห้องโถงขนาดใหญ่แออัดไปด้วยนักเรียนนับพันจากหลายโรงเรียน แทนที่จะวุ่นวายอย่างควรเป็น ทว่ากลับเงียบเชียบสร้างความกดดันให้มากเพิ่มขึ้นจนอดประหม่าไม่ได้

           เพราะเป็นทุนเต็มจำนวน ซ้ำยังรับน้อยจนน่ากลัว คนเป็นพันกับทุนสิบที่..การแข่งขันยิ่งพุ่งสูงเกินกว่าที่จะชะล่าใจ

           ผมมองจากข้างนอก ตรวจเช็คอุปกรณ์ให้เรียบร้อย เวลาสอบทั้งหมดเกือบเจ็ดชั่วโมงเว้นพักกลางวันดังนั้นจึงต้องมั่นใจว่าจะไม่ลืมอะไรเข้าไป

           สูดลมหายใจเข้าลึกๆเรียกขวัญกำลังใจให้ตัวเอง ความรู้ที่สั่งสมมาตั้งแต่มัธยมจะได้ใช้อย่างสุดความสามารถก็วันนี้

           เป็นที่หนึ่ง..ต้องเป็นที่หนึ่ง

           ผมเชื่อว่าตัวเองต้องทำได้

           “พร้อมยัง”

           เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางยื่นเสื้อกันหนาวของตัวเองให้ “เดี๋ยวหนาว”

           “เคยมาแล้วเหรอ”

           “อือ เคยมาแข่งวิทย์ตอนม.3 แอร์ห้องนั้นโคตรเย็น”

           “เกือบได้ถูกแช่แข็งตายแล้วมั้งเนี่ย” ผมพูดกลั้วหัวเราะ คลายความกดดันลง

           “ถึงไม่ได้เอามาเราก็จะกลับไปเอาให้อยู่ดีน่า”

           คนตัวสูงก้มมองนาฬิกาบนข้อมือ “ถึงเวลาแล้ว”

           พอดีกับเสียงประกาศเข้าห้องสอบ..

           เขาคว้ามือผมไปจับ สอดประสานสายตาลงมาอย่างหนักแน่น

           “ตั้งใจ”

           “…”

           “ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น ทำให้เต็มที่ที่สุด”

           สัมผัสผะแผ่วประทับลงบนเปลือกตา..

           “เราเป็นกำลังใจให้..อยู่ตรงนี้”

 

           “ขอบคุณนะ..”

                                       

 

หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r f i f t e e n] , 100518
เริ่มหัวข้อโดย: miralchs ที่ 12-05-2018 21:20:20
(ต่อ)


           ครึ่งแรกของการสอบผ่านพ้นไป

           กดดันจนนึกว่าจะขาดอากาศหายใจในห้องสอบไปแล้ว

           ถูกจับไปแข่งวิชาการมากมายหลายที่ แต่ก็ไม่เคยได้มานั่งสอบจริงจังขนาดนี้ ซ้ำยังเป็นตัวชี้ชะตาอนาคตอีก

           เหมือนถูกสูบวิญญาณออกจากร่างเลย..

           นับว่าเป็นเรื่องดีที่ข้อสอบออกตามอ่านมาเกือบทั้งหมด ไม่ยากไม่ง่ายจนเกินไปสมกับเป็นข้อสอบทุน แต่สิ่งที่ทำให้เครียดคงเป็นเรื่องของเวลาที่บีบอัดจนเหงื่อแตกพลั่กทั้งๆที่แอร์เย็นเฉียบ

           เก่งอย่างเดียวก็ไม่ได้..ต้องบริหารเวลาเป็นด้วย

           เขียนคำตอบข้อสุดท้ายลงอย่างหวุดหวิด วิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาอ่อนที่สุดสำหรับผม ถึงทุกการสอบจะไม่เคยตกและคะแนนอยู่ในเกณฑ์ดีมาตลอด แต่พอเทียบวิชาอื่นที่ถนัด การคิดเลขก็ยังคงเป็นปัญหาใหญ่อยู่ดี

           จึงต้องอาศัยการฝึกทำโจทย์ให้มากๆเพื่อทำความคุ้นชินกับมัน ยิ่งไม่ชอบก็ต้องเอาชนะให้ได้

           และโชคดีหน่อยที่มีเด็กคณิตศาสตร์โอลิมปิกอยู่ใกล้ตัว..

           ช่วงอ่านหนังสือก็ได้เขามาช่วยไว้ในบางเรื่องที่ไม่เข้าใจ ผมก็ผลัดติวให้บ้าง แต่คนสมองไวอย่างเขาอธิบายนิดหน่อยก็ไปต่อเองได้แล้ว

           ผมเปิดโทรศัพท์ดูหลังจากที่ไม่ได้จับเลยตั้งแต่เช้า สายกระหน่ำโทรเข้ามาจากเพื่อนสนิทและเพื่อนในกลุ่มจนต้องส่ายหน้าอ่อนใจ

           เล่นใหญ่ไม่มีใครเกิน..

           กดโทรกลับไม่นาน ปลายสายก็รับทันที เสียงโหวกเหวกโวยวายดังลอดเข้ามากระแทกหู ผมยกโทรศัพท์ออกห่างจากตัวก่อนว่ากล่าวไปเบาๆ

           “ทีละคน”

           ‘ที่หนึ่งเป็นไงบ้าง!!’

           ‘รู้ป้ะว่าพวกกูกดดันแทนชิบหาย ไม่องไม่อ่านมันแล้วหนังสือเนี่ย’

           “ข้ออ้างว่ะเต้ ขี้เกียจก็บอกตรงๆ”

           ‘เออ ยอมรับก็ได้วะ ละเป็นไง ยากป้ะ”

           “ไม่เท่าไหร่ พอทำได้”

           ‘พจนานุกรมของเป็นที่หนึ่ง คำว่าพอทำได้คือชิลล์ๆ กูรู้’

           ‘ละพจนานุกรมของมึงหมายถึงอะไร’

           ‘หมายความว่ากูตอแหล’

           ‘ได้เหรอวะ ฮ่าๆๆๆ’

           เสียงหัวเราะที่เดาว่าเกินสามสี่คนทำให้รู้ว่าอยู่กันครบองค์ประชุม เสียดายที่พวกมันนัดกันอ่านหนังสือในวันที่ผมมาสอบ ไม่งั้นตอนนี้คงได้ไปนั่งร่วมวงอยู่ด้วยแล้ว

           ‘เออ เมื่อกี้พี่ซันมาหาไอ้แพร’

           ‘เต้มึงอย่าเล่า!!!’

           ‘ละแต่งตัวมาซะหล่อ ถือถุงมาพร้อม พวกกูก็นึกว่าจะเซอไพรส์อะไร’

           “อือฮึ”

           ‘แต่ไม่เว้ย พออิพี่ควักของในถุงขึ้นมาแล้วบอกพวกกูเท่านั้นแหละ อิเชี่ย แม่งโคตรจี้ ต้องเห็นตอนลูกแพรเหวอนะมึง โคตรแบบต้องถ่ายไว้อะ’

           “มันคือไร แมว?”

           ‘แมวก็เชี่ยแล้วววว โอ้ยยย ที่หนึ่งมึงเมาข้อสอบป้ะเนี่ยยยย’

           “เอ้า แล้วจะรู้มั้ย”

           ‘มึงหยุดเถอะ ได้โปรดเพื่อนรัก’

           ‘เออ ละตอนนั้นที่พวกกูพากันแซวไอ้แพรจนมันม้วนตัวแปดตลบ กูก็เห็นอะไรเหลืองๆโผล่ออกมาจากถุง พอหยิบออกมาอะมึง นั่นแหละ!!’

           “อะไรวะ..”

           ‘แม่งคือพวงมาลัย!! พระเจ้า แล้วยังมีหน้าบอกด้วยนะว่า น้องแพร 9 พวงพอมั้ย หรือจะ 99 พวง พี่ลิสต์รายชื่อวัดให้แล้วนะ ขลังทุกที่ พวกกูแบบโอ้ย แม่งเอ้ยยยย”

           “ฮ่าๆๆ”

           ผมหลุดขำออกมาจนไหล่สั่นเมื่อนึกภาพตาม รู้จุดประสงค์ของเพื่อนสนิททันทีว่าจะทำอะไร แถมยังได้รับการสนับสนุนจากแฟนหนุ่มจนเป็นเรื่องเป็นราว

           ‘เราโคตรเหวอเลยตอนนั้น แบบอะไรวะ แล้วพวงมาลัยแบบคล้องคอสส.อะ โอโหกูแบบไม่รู้จะพูดไรเลย’

           ผมโคลงศีรษะด้วยอารมณ์เห็นใจปนสงสาร แต่ขำก็ขำ ถ้าไม่ใช่พี่ซันผมก็ไม่รู้ว่าจะมีใครเหมาะสมกับลูกแพรอีกแล้ว

           บ้าพอกันทั้งคู่

           ยืนคุยกับปลายสายสักพักก่อนจะกดวางประจวบกับร่างสูงคุ้นเคยที่เดินมาหาพอดี ผมขมวดคิ้ว เอียงคอมองด้วยความสงสัย

           “ไม่กลับไปอ่านหนังสืออะ”

           “อ่านอยู่นี่ไง” เขาชูปึกกระดาษในมือ “เปลี่ยนบรรยากาศดี”

           “จะรอรับเรากลับด้วยอ่อ”

           ผมถามยิ้มๆ ทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว

           “หึ ไอ้แมวเอ้ย”

           สรรพนามแทนตัวหลุดออกมาทุกครั้งเมื่อโดนอีกคนหมั่นไส้ ผมโยกหัวหลบกำปั้นที่พยายามจะทุบลงบนหัว แน่นอนว่าเฟิร์สก็ทำได้แค่ต่อยมันกับอากาศ เพราะเขาไม่กล้าทำจริงหรอก

           “ข้อสอบง่ายอะดิ”

           “ทำไมคิดงั้น”

           “ก็เห็นยิ้มแย้มงี้”

           “เมื่อกี้ขำเพราะพวกเต้ต่างหาก”

           “แล้วข้อสอบไม่ง่ายเลยเหรอ” เขานิ่วหน้า ดูเครียดแทนผมเสียอีก

           “ระดับนี้แล้ว”

           “…”

           “มีครูดี..ทำไมจะทำไม่ได้เล่า” ผมอ้อมแอ้มตอบ

           อีกฝ่ายนึกคิดตาม ก่อนจะเผยยิ้มแพรวพราวทันที “งั้นเดี๋ยวสอนบ่อยๆ”

           “ไม่ต้องแล้ว!”

           “ฮ่าๆๆ”

           เขาหัวเราะ ตวัดแขนโอบรอบคอผม “ไปกินข้าวกัน”

           ออกแรงเพียงนิดก็เดินตามไปอย่างง่ายดาย

           วันนี้คนตัวสูงสวมชุดไปรเวทเหมือนปกติทั่วไป แต่เมื่อปรากฏท่ามกลางชุดนักเรียน เขาก็กลายเป็นจุดสนใจได้อย่างง่ายดาย ด้วยส่วนสูงและใบหน้าที่โดดเด่นยิ่งทำให้ตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งโรงอาหาร

           “คนมองเต็ม” ผมแอบบ่นเบาๆให้อีกฝ่ายได้ยิน

           มันไม่ใช่ครั้งแรกที่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น แทบทุกครั้งที่ไปไหนมาไหนกับเขาก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้ได้เลยว่าคนข้างตัวต้องโดนมองแน่ๆ ตัวผมเองไม่เคยเป็นที่สนใจของคนหมู่มากสักครั้ง ต่อให้เจอบ่อยก็ทำใจให้ชินไม่ได้อยู่ดี

           แถมอีกคนก็ใช่ว่าไม่รู้ตัว รู้ดีเลยแหละถึงได้เก๊กมาดนิ่งตลอด

           น่าหมั่นไส้

           “นั่งข้างนอกป้ะล่ะ”

           “นั่งที่ไหนก็เหมือนกันแหละมั้ง” ผมย่นจมูก “ทำไมไม่ใส่ชุดนักเรียนมา”

           “เอ้า เราไม่ได้สอบนี่ ฮ่าๆ”

           ก็จริงอย่างที่เขาพูด

           ก่อนหน้านี้ไม่นานผมเคยถามเขาไปครั้งหนึ่ง แม้มันจะดูงี่เง่าแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้..ว่าผมแอบหวัง

           และคนตัวสูงคงไม่คิดว่าผมจะเอ่ยปากไปอย่างนั้น เขาเงียบไปจนผมนึกหวั่น

           คำถามว่าจะสอบด้วยหรือเปล่า..

           มาคิดอีกทีก็ไม่น่าพูดออกไปเลย

           ท้ายที่สุดอีกคนก็ส่งยิ้มให้พร้อมส่ายหน้าน้อยๆและไม่ได้กล่าวอะไรหลังจากนั้นอีก

           แน่นอนว่าผมเข้าใจ แม้จะ..ใจหายก็ตาม

           ทุกคนมีเส้นทางที่ต่างกันอยู่แล้ว

           ผมสะดุ้งเมื่อนิ้วชี้ยาวๆจิ้มเข้ามาระหว่างคิ้วพร้อมกับสายตาดุ แล้วพยักพเยิดไปที่จานข้าวตรงหน้า

           “กินข้าว”

           “ก็กินอยู่มั้ย”

           “เถียงอีก” เสียงทุ้มเอ่ย “กินเท่าแมวดม เป็นลมกลางห้องสอบเราจะไม่ช่วยเลย”

           “…”

           ผมเหลือบตามองก่อนจะอมยิ้ม ทั้งที่มันไม่ได้น่าขำเลยสักนิด

           ยิ้มเพราะมั่นใจว่าถ้าตัวเองเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาจริงๆ คนที่จะเข้ามาหามออกไปคนแรกก็เป็นเขาอยู่ดี

           “แล้วจะอยู่รอเราเหรอ”

           “รอสิ”

           ผมชี้นาฬิกาให้ดู “สี่โมงเย็นเลยนะ ค่อยมารับก็ได้”

           เขายักไหล่ เอนตัวลงพนักพิง แขนยาวพาดไปกับเก้าอี้ด้านข้าง แล้วมองผมยิ้มๆ

           “รอได้”

           “…”

           “นานแค่ไหน..ก็จะรอ”

 

           คำพูดราวกับเทพนิยายชวนให้ใจสั่นไหว

           แต่ความจริงช่างน่าเศร้าเกินรับฟังจริงๆ

 

 

 

           “สิบโมงแล้วทำไมยังไม่ประกาศวะ”

           “เว็บล่มป้ะเนี่ย”

           “มึงรีหน้าเว็บใหม่เลย”

           เสียงถกเถียงกันจากหน้าคอมดังเข้ามาให้ได้ยินเป็นระยะตั้งแต่ยังไม่ทันเช้าดี จนตอนนี้ย่ำเข้าช่วงสายแล้ว เพื่อนสนิทสามคนตรงหน้าก็เหมือนจะไม่เงียบลงสักวินาทีเดียว

           อาการตื่นเต้นของตัวเองที่ว่ามีมากแล้วยังเทียบกับพวกนี้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังลอดเข้าโสตประสาทมาเรื่อยๆ ทำราวกับเป็นเรื่องของตัวเองเสียเอง ซ้ำเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ปาไปตีสามเศษเพราะเอาแต่คุยจ้อกันไม่หยุด

           คิดผิดหรือเปล่าที่เปิดประตูต้อนรับเข้ามาโดยไม่เอะใจสงสัยอะไร

           ผมนอนพิงหัวเตียง เลื่อนเช็คประกาศในเว็บตั้งแต่เช้า แต่ก็ยังไม่มีแจ้งอะไรขึ้นมา ทั้งที่ปกติตอนนี้ควรจะได้รู้ผลแล้ว

           พลอยทำให้คนอื่นตื่นเต้นไปด้วย..

           “ที่หนึ่ง ขึ้นยังวะ”

           “ยัง”

           “โอ้ยกูลุ้นแทน เอาจริงก็มั่นใจเกินเก้าสิบเปอร์เซ็นต์อะว่าได้แน่ๆ แต่ไม่รู้ดิ กูอยากเห็นด้วยตาอะ”

           “สิบคนจากเกือบห้าพัน โคตรโหดเลยนะเว้ย”

           “ห้าคนเถอะ เพราะลงได้แค่สายวิทย์คณิต เอาจริงที่หนึ่งได้ไปบนไว้บ้างป้ะวะ”

           เต้หันมาถาม ส่วนผมก็ส่ายหัวกลับไป

           เวลาอ่านหนังสือว่าหายากแล้ว จะเอาเวลาไหนไปบนบานศาลกล่าวอีก

           “ฮือ โคตรเทพ กูบนไว้เก้าวัดยังรู้สึกว่าอยู่ในระยะอันตรายเลยแม่งเอ้ย” มันคร่ำครวญ ทำให้ผมต้องปาสมุดใกล้ๆไปสักที

           “ต่อให้บนไปร้อยวัดแล้วยังไปเที่ยวเล่นกับไอ้มิกอยู่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ช่วย” ว่ากล่าวไปอย่างไม่จริงจังนัก

           รู้ว่ามันเป็นคนตั้งใจจริง มีเล่นมีเรียนบ้าง แต่พักหลังไปกับเพื่อนคู่หูบ่อยจนอดค่อนขอดไม่ได้

           “เค้าเรียกไปผ่อนคลายสมองเว้ย”

           “สาธุ ให้มันจริงเถอะ”

           “มึง ไอ้เหี้ย!! ประกาศแล้ว!!!” เสียงตะโกนจากลูกแพรเรียกให้หันขวับไปมองทันที ผมรีบดีดผึงออกมาจากเตียงแล้วลุกไปดูอย่างรวดเร็ว ลืมไปแม้กระทั่งว่าตัวเองถือโทรศัพท์เปิดค้างหน้าเว็บไว้

           ตึกตัก ตึกตัก

           ใจเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นปนความตระหนก เหงื่อผุดซึมออกมาตามไรผม แถมยังมือสั่นอย่างควบคุมไม่ได้

           ยิ่งกว่ารับเกียรติบัตรครั้งแรก หรือชนะการแข่งขันครั้งแรกเสียอีก

 

           “เฮ ติดโว้ยยยยยยย!!!!”

           “ชื่อแรกเลยมึงๆๆ โอ้ย ที่หนึ่งแม่งเป็นที่หนึ่งสมชื่อเลยว่ะ”

           ผมพรูลมหายใจออกด้วยความโล่งอก ก่อนจะแปรเปลี่ยนความดีใจแทบกลั้นไว้ไม่อยู่

           ความพยายามกว่าหลายปีที่ผ่านมา..ประสบผลสำเร็จแล้ว

           ความฝันของผมเป็นจริงสักที

           ม๊ากับป๊าเข้ามาแสดงความยินดีหลังประกาศลงไม่กี่นาที ผมได้รับกอดเต็มๆจากคนเป็นแม่ ก่อนจะเป็นแรงตบลงเบาๆลงบ่าจากอีกคนที่เป็นพ่อ

           ต้องขอบคุณพวกท่าน รวมถึงเพื่อนทุกคนด้วย..

           และขอบคุณตัวเองที่พยายามจนได้มายืนตรงจุดนี้สักที

           นั่งดีใจไปสักพักเพื่อสงบสติอารมณ์ให้คงที่ จึงรีบต่อสายหาคนสำคัญอีกคน

           สุดท้ายแล้วคนที่ผมอยากขอบคุณมากที่สุด...ก็ยังเป็นเฟิร์ส

           “ฮ—ฮัลโหล”

           พูดเสียงตะกุกตะกักเพราะอาการตื่นเต้นยังไม่ลดลง ปลายสายก็คงพอรู้จึงได้หัวเราะออกมาเบาๆ

           ‘ลงมาหน้าบ้านหน่อยสิ’

           ผมผุดลุกไปหน้าต่างทันที ก่อนจะเห็นว่าเป็นเขาจริงๆที่ยืนอยู่ตรงนั้น

           “เอ้า ไปไหนวะที่หนึ่ง”

           “เดี๋ยวมา”

           ปึง!

           ก้าวเท้าออกมาจากบ้านเร็วๆจนในที่สุดก็มาหยุดหน้าประตูรั้ว ผมกลั้นหายใจแล้วค่อยๆแง้มมันออก

           และก็ได้เห็น..

           รอยยิ้มดั่งพระอาทิตย์กลางใจที่ไม่เคยมีวันไหนไม่ได้รับ

 

           “ยินดีด้วยครับ คนเก่ง”

           บ้าเอ้ย

           ผมจะร้องไห้อีกแล้ว

           ช่อดอกสแตติสสีม่วงถูกยื่นออกมาตรงหน้า ผมหลุบตามองช่อขนาดกะทัดรัดก่อนรับมาถือด้วยใจทั้งหมดที่มี

           เพราะผมรู้ว่าความหมายของมันยิ่งใหญ่มากกว่าอะไร..

           คนตัวสูงยกยิ้มจางๆแล้วรวบผมเข้าไปกอด มือแกร่งคอยปลอบประโลมและอ้อมกอดที่พร้อมให้พักพิงมาเสมอ วันนี้ก็ไม่ต่าง

           แค่คิดว่าต่อไปจะไม่มีแล้ว ก็ร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่..

           “อึก...”

           อีกใจหนึ่งก็แสนยินดี แต่อีกใจกลับร้าวราน

           “มันจะเป็นยังไงต่อ..”

           “…”

           “ระหว่างเรา..จะเหมือนเดิมใช่หรือเปล่า”

           “จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น”

           ใจสับสนลังเลถูกแทนที่ด้วยความหนักแน่นมั่นคงของอีกฝ่าย และผมเชื่อคำนั้นเต็มหัวใจ

 

           “รักมาก..ขนาดนี้”

           “…”

           “เราจะปล่อยมือได้ยังไง..”

 

 

           ดอกสแตติสสีม่วงแทนความรู้สึกที่คงอยู่ตลอดไป

           และผมจะทำให้มันเป็นจริง
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r s i x t e e n] , 120518
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-05-2018 22:04:18
ลุ้นไปกับทุกบรรทัดว่ามันจะมีประโยคหรือวรรคไหนมาทำร้ายความรู้สึกเราไหม สุดท้ายค่อยหายใจโล่งหน่อยแม้จะแอบใจหายนิดๆ
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r s i x t e e n] , 120518
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 12-05-2018 22:42:14
ลุ้นตัวโก่งเลย นึกไปสอบชิงทุนซะเอง555
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r s i x t e e n] , 120518
เริ่มหัวข้อโดย: miralchs ที่ 16-05-2018 20:49:23
C h a p t e r   s e v e n  t e e n ♥

เป็นที่รัก


           ฤดูร้อนมาเยือนเร็วกว่าที่คิด

           น่าตกใจพอๆกับหน้าหนาวที่หายไปภายในไม่กี่เดือน

           ปลายเดือนกุมภาพันธ์กับดวงอาทิตย์บนกลางหัวกำลังแผ่แสงแดดจ้า ร้อนระอุจนไม่อยากเชื่อว่าอยู่ในช่วงต้นปี

           แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ

           ปฏิทินบนหน้าจอกาลงบนวันที่ยี่สิบ เพียงพริบตาเดียวก็วนกลับมาช่วงวุ่นวายอีกครั้งหลังจากพักหายใจได้ไม่ทันหายเหนื่อย เหล่านักเรียนมัธยมเริ่มต้นชีวิตปั่นงาน ตามเก็บช่องคะแนนที่หายไปไม่หยุดหย่อน

           มองลงไปข้างล่าง เห็นน้องๆพากันเดินขวักไขว่ หอบเอกสารปึกหนาสูงมิดหัว เร่งรีบกันจนชุลมุนไปหมด เป็นภาพคุ้นตาในยามใกล้สอบและกลายเป็นเรื่องธรรมดาในโรงเรียนไปแล้ว

           เหมือนกับสำนวนที่ว่า...ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา

           ถ้าไม่เห็นเดดไลน์ ก็อย่าหวังเลยว่าจะส่งงาน..

           บรรยากาศคาบแนะแนวเป็นไปด้วยความเอื่อยเฉื่อย ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้นักเรียนม.6 ที่ใกล้จบเต็มทีขึ้นมานั่งฟังกันทั้งห้อง ในเมื่อแต่ก่อนแทบจะนัดกันโดดคาบนี้ทุกครั้ง ไม่เคยเข้าครบทุกคนจนคุณครูประจำวิชาแนะแนวส่ายหน้าระอาใจ

           จะสำนึกเอาตอนนี้ก็เกรงว่าไม่ทันแล้ว คล้ายกับมาฟังเพื่อประชดชีวิตที่ผ่านมา แอบเห็นคุณครูยกยิ้มเยาะเมื่อได้ยินว่าคนที่โดดเรียนเกือบทุกวิชายังไม่มีเป้าหมายในชีวิต แน่ล่ะ มันคงเป็นความเวทนาปนสมน้ำหน้า

           ไม่รับผิดชอบตัวเองก็โทษใครไม่ได้

           เสียงคุณครูแนะเกี่ยวกับข้อสอบสลับกับบ่นนักเรียนบางคนในห้องชวนน่าเบื่อหน่าย ถึงอย่างนั้นก็ตั้งใจฟังทุกคำเพราะเป็นครั้งสุดท้ายของคาบเรียน จบวันนี้ก็ไม่มีคนชี้ทางให้อีกแล้ว เหลือแต่ตัวเองที่ต้องเลือกเส้นทาง

           คนลอยลำก็โชคดีไป ฟังผ่านๆพอเป็นมารยาทก็ได้ มีหลายคนในห้องที่ติดรอบแรกและไม่ต้องดิ้นรนอะไรอีก ผมเป็นหนึ่งในนั้นก็จริง แต่รู้เอาไว้บ้างหน่อยก็ดี

           “ร้อนชิบหาย”

           เต้ยกมือกระพือเสื้อนักเรียน พัดลมบนเพดานทำงานเพียงสองจากสี่ อากาศที่ว่าร้อนอบอ้าวแล้ว ยิ่งนั่งรวมกันเกือบห้าสิบชีวิตในห้องเรียนแคบๆก็แทบจะขาดอากาศหายใจกันไปข้าง

           “กินน้ำป้ะ” ยื่นน้ำที่เหลืออยู่ครึ่งขวดให้

           “ไม่พอว่ะ ระดับนี้ต้องอาบแล้ว”

           “ห้องน้ำอยู่ข้างล่าง”

           “นั่นมันใช้อาบน้ำที่ไหนล่ะ โว๊ะ”

           ผมหัวเราะในลำคอ นั่งเท้าคางทำโจทย์ทดสอบบนกระดานเล่นๆ

           “ม.6 แล้วควรตอบได้ นี่ยังถือว่ายังไม่ยากนะ ผมเลือกมาปรานีพวกคุณสุดๆแล้ว”

           ไม่แปลกใจที่บางคนไม่อยากเข้าเรียนคาบแนะแนว ถอนหายใจกับคำพูดคำจาไม่เข้าหู ก่อนจะยกมือตอบหลังจากครูเขียนโจทย์เสร็จ



           “0 ครับ/ตอบ 0 ครับ”



           ไม่ใช่ผมคนเดียวที่ตอบคำถามบนกระดาน เสียงคุ้นเคยดังขึ้นไล่เลี่ยกันเรียกให้หันไปมองทันที

           เรานั่งกันอยู่คนละฝั่งก็จริง หากแต่แววตาเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวของอีกฝ่ายนั้นชัดเจนราวกับห่างกันเพียงคืบ

           มุมปากคนตัวสูงกระตุกยิ้มน้อยๆก่อนจะหันกลับไปทางเดิม

           ให้ตาย

           แล้วหน้าผมจะร้อนทำไม!

           “แหม เก่งสมคำร่ำลือจริงๆ”

           ครูพูดต่อไป ส่วนผมก็เอนหัวพิงกับขอบหน้าต่าง ขีดเขียนใส่กระดาษทดไปเรื่อย

           “ที่หนึ่ง”

           เสียงเรียกพร้อมแรงสะกิดยิกๆให้หันไปมองจากเพื่อนสนิทด้านหลัง ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ก่อนที่ลูกแพรจะยัดบางอย่างลงบนฝ่ามือ “มีคนฝากมา”

           กระดาษที่ถูกพับเป็นสี่เหลี่ยมเร่งให้คลี่ออกด้วยความอยากรู้ จนพบกับรูปวาดหนึ่ง

           และเป็นรูปของตัวเอง..

           ไม่ต้องสงสัยให้มากความ ถึงจะไม่รู้ว่าใครส่งมาแต่ลายเส้นที่เด่นชัดรวมถึงมุมมองจากตรงนี้ เป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนนั่งริมสุดฝั่งประตู

           ผมกลั้นยิ้ม จะหมั่นไส้ก็ไม่ใช่ จะเขินก็ไม่เชิง พลิกกลับไปหน้าหลังก็เจอกับลายมือของคนตัวสูง

           'ไปกินข้าวด้วยกันนะ : )’

           กลั้นยิ้มไว้ไม่ได้แล้ว..

           “โอยยย รำคาญ”

           เต้ชะโงกคอเข้ามาอ่าน ผมตวัดสายตาใส่ก่อนรีบพับเก็บเข้ากระเป๋ากางเกง

           พอจะอ้าปากพูดเท่านั้น เต้ก็โบกไม้โบกมือพร้อมยิ้มกริ่ม หันไปป่าวประกาศกับลูกสมุนรอบข้างอย่างรวดเร็ว

           “วันนี้หัวหน้าไม่ได้ไปกินข้าวกับเราแล้วว่ะ”

 






           จบชั่วโมงเรียนครั้งสุดท้าย นักเรียนม.6 รีบกรูกันออกจากห้องตั้งแต่ครูยังไม่ทันเดินออกไป ผมรูดซิปกระเป๋า คว้าสะพายขึ้น

           “ออกสุดท้ายปิดพัดลมด้วยนะ!”

           เสียงตะโกนจากลูกแพรดังมาอย่างมีนัยยะ ผมชี้หน้าคาดโทษเพื่อนสนิท แต่เจ้าตัวก็ยิ้มร่าไม่สนใจแล้ววิ่งแจ้นหนี

           จนในห้องเหลือเพียงสองคน

           ต่อให้คบกันมานาน ที่นั่งในห้องเรียนของเราก็ยังเหมือนเดิมไม่ต่างจากวันแรก เขานั่งริมประตูเกือบหลังสุด ส่วนที่นั่งประจำของผมก็ยังเป็นข้างหน้าต่าง

           ขีดเส้นแบ่งอาณาเขตชัดเจนตั้งแต่วันนั้น

           ห่างไกลจนไม่คิดว่าจะมีวันนี้

           วันที่ได้เข้าไปอยู่ในพื้นที่ของกันและกัน…

           ปลายรองเท้าพละก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้า กลิ่นโคโลญจน์อ่อนๆผสมกับเหงื่อของอีกฝ่ายดึงสติให้หายไปชั่วครู่ ผมกระแอมไอ รีบสลัดความคิดนั้นทิ้ง

           บ้าน่า..ไปคิดอะไรแบบนั้นได้ยังไงกัน

           “ถ้ายังเหม่ออีก…” เขาก้มหน้าเข้ามาใกล้ “จะทำอย่างอื่นแทนไปกินข้าวนะ”

           “เงียบไปเลย!”

           ผมทุบไหล่คนตัวสูงไม่ยั้งแรง พลิกบ่ากว้างให้หันออกไปทางประตู เสียงหัวเราะทุ้มๆจากคนข้างหน้ายิ่งอดทุบลงไปอีกสักทีไม่ได้

           “โอ้ย พอแล้ว พอแล้วครับ”

           อีกฝ่ายหันมารวบข้อมือที่ทำการประทุษร้ายไว้พร้อมกับใบหน้าเปื้อนยิ้ม ผมขืนออกแต่เขาไม่ยักปล่อย กลับดึงให้เข้าใกล้กันมากขึ้น

           จนกลายเป็นว่าอยู่ในอ้อมแขนเฟิร์สไปทั้งตัว..

           “หอมจัง”

           พลันหยุดชะงักทุกการกระทำทันทีเมื่อปลายจมูกโด่งซุกลงกับซอกคอ คลอเคลียไปมาให้จั๊กจี้หัวใจ ทำเอาคนได้รับไปไม่เป็น

           “ฟ—เฟิร์ส”

           และยิ่งเสียงสั่นเข้าไปอีกเมื่อคนตัวสูงกว่ากดปลายจมูกลงแล้วสูดเข้าไป..ช้าๆ

           ระบบหมุนเวียนเลือดทำงานอย่างว่องไว ไม่นานใบหน้าก็เห่อร้อนและลามลงไปถึงคอจนไม่อาจฝืนคำสั่งจากร่างกาย

           ผมไม่เคยได้รับสัมผัสแบบนี้มาก่อน เหมือนเรี่ยวแรงอันตรธานหายไป สองขาที่ยืนได้ด้วยตัวเองก็คล้ายกับจะล้มพับลง

           “แม่ง...”

           “…”

           “โคตรอยากกอดไปนานๆเลย”

           ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้ามาในจิตใจ ผมยิ้ม โอบกอดร่างโตๆไว้ด้วยสองมือ

           “ไม่ให้ปล่อยหรอกนะ..”

 

 

           “มันต้องทำเท่าไหร่วะ”

           “แล้วแต่อะ คนรู้จักเยอะหน่อยก็ทำสักร้อยสองร้อย แต่อย่างมึง” ลูกแพรปรายตา “ห้าสิบกูก็ว่าเหลือ”

           “อ้าว ปาก!”

           “ฮ่าๆๆ”

           คู่กัดประจำวันเริ่มทำหน้าที่อีกแล้ว ผมส่ายหน้าระอา บางทีก็อยากแนะให้เต้มันไปทำบุญบ้าง อยู่กับใครก็เหมือนจะสร้างความร้าวฉานไปเสียหมด ถ้าไม่ทะเลาะก็จิกกัดกันจนพรุน

           ถึงจะว่าอย่างนั้น เรื่องที่เข้ากันได้ดีเป็นปีเป็นขลุ่ยกลับไม่พ้นเรื่องของผม หากจะแท็กทีมกันสักครั้งคนซวยดันเป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้อง ทั้งที่ปกติก็ไม่ได้เข้าไปร่วมด่าหรือเข้าข้าง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมกรรมถึงมาตกที่ตัวเอง

           “ที่หนึ่งจะทำกี่อัน”

           ผมครุ่นคิดสักพัก “อาจจะเกือบร้อย”

           เป็นปริมาณที่พอเหมาะพอควร ไม่มากไม่น้อยเกินไปสำหรับคนอย่างผม

           ผลพลอยได้จากการเป็นเด็กวิชาการพ่วงด้วยกิจกรรมนั้น ทำให้รู้จักกับเพื่อนและรุ่นน้องมากมาย อาจจะไม่ได้ให้ครบทุกคน แต่อย่างน้อยก็มั่นใจว่ามันจะไม่เหลือกลับมา

           เย็นวันเสาร์กับมนุษย์มัธยมจำนวนห้าชีวิตกำลังนั่งอุดอู้ในห้องสี่เหลี่ยม ตรงหน้าเป็นอุปกรณ์วางระเกะระกะจนแทบไม่มีทางให้เดิน ถมทับด้วยกองพะเนินของขนมนมเนยอีกนับสิบ

           นั่งอยู่ด้วยกันแค่นี้..กินอย่างกับปอบลง

           ผมนั่งตัดกระดาษด้วยอาการอึนๆนิดหน่อย ตั้งแต่ใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนมานี่เป็นครั้งแรกที่ได้ทำของวันปัจฉิม รู้สึกตื่นเต้นแต่ก็โหวงในใจไปในขณะเดียวกัน

           แค่ตระหนักได้ว่าช่วงเวลาแห่งความสุขกำลังจะสิ้นสุดลงก็ไม่อยากให้มาถึงเลย

           ปฏิเสธไม่ได้ว่าระยะเวลากว่าหกปีในโรงเรียนนี้ ผมผูกพันมากจริงๆ

           ยังจำวันแรกที่ก้าวเข้ามาในรั้วในฐานะนักเรียนชั้นมัธยมปีที่หนึ่งได้อย่างขึ้นใจ

           จำได้ว่าคนที่เข้ามาทักทายเป็นคนแรกคือลูกแพร และต่อมาก็ได้รวมเป็นกลุ่มห้าคนจนถึงทุกวันนี้

           จำวันรับเกียรติบัตรครั้งแรกที่หน้าเสาธงได้ ขาสั่นมากจนเกือบทำร่วงต่อหน้าผู้อำนวยการ

           แม้กระทั่งเรื่องโดดเรียนในคาบคณิตก็ยังติดอยู่ในความทรงจำไม่ไปไหน

           หัวเราะกับตัวเองเบาๆในใจ หลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสถานที่เดียวกันทำให้ผมยึดติดเหลือเกิน

           “แจกแค่เฟซ ไลน์ ไอจีแม่งธรรมดาว่ะ”

           ฝ้ายเปรยขึ้นมา

           “กูแจกเลขบัญชีด้วยเลยละกัน”

           “เดี๋ยว อย่างนี้ก็ได้เหรอวะ ฮ่าๆๆๆ”

           ความคิดพิสดารของเพื่อนร่วมกลุ่มเรียกเสียงหัวเราะให้ดังก้องไปทั่วห้อง อบอวลไปด้วยความครื้นเครง คลอไปด้วยจังหวะเสียงดนตรีจากมือถือ ผมยกเท้าหมายจะถีบเพื่อนด้านข้างเมื่อมันพยายามจะเอนหัวมาซบไหล่

           “ใช่ซี้ กูไม่ใช่เฟิร์สอะ” เต้ตัดพ้อ

           “เคยอยากตายก่อนมีที่เรียนไหม”

           ผมหันปลายกรรไกรไปทางเพื่อนสนิทอีกคน

           “โอโห โหดเสมอต้นเสมอปลายเลยแม่ง”

           “มึงรนหาที่ตายเองเต้”

           “ขอโทษได้ป้ะละ โถ่”

           “อะ น้อยใจไปอี๊ก”

           ผมยกยิ้มเยาะ ผลักหัวทุยๆนั้นไปทีเป็นเชิงปลอบ ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นมันก็กลับไปหาเรื่องคนอื่นเหมือนเดิม

           นั่งทำไปเรื่อยสลับกับพูดคุย รู้ตัวอีกทีก็มืดค่ำ เสบียงอาหารที่ตุนไว้เริ่มหมด ท้องร้องประท้วงเพราะความหิวจึงได้ละมือจากอุปกรณ์ตรงหน้า

           แสงสว่างวาบจากหน้าจอโทรศัพท์ให้หันมอง โชว์ปลายสายคุ้นเคย ผมยิ้มน้อยๆก่อนกดรับ

           “ฮัลโหล”

           ‘อยู่ไหน’

           อีกฝ่ายยิงตรงคำถามมาไม่รีรอ

           “หอเต้”

           ‘…’

           “เฟิร์ส..เป็นอะไรหรือเปล่า”

           ผมใจไม่ดีเมื่ออีกฝ่ายเงียบไป

 

           ‘คิดถึง’

           เปลี่ยนกลับเป็นผมนิ่งเงียบทันทีหลังจากโดนหมัดฮุกสวนมาเน้นๆ

           ‘วันนี้ยังไม่ได้คุยกันเลย..’

           จริงอย่างที่ว่า เราต่างยุ่งด้วยกันทั้งคู่ อีกฝ่ายโหมอ่านหนังสือสอบมาเป็นอาทิตย์แล้ว ส่วนผมก็ไม่อยากไปกวน กลัวจะไปทำลายสมาธิเจ้าตัวเข้า จึงปลีกออกมาทำอย่างอื่นรวมถึงใช้เวลาช่วงนี้เตรียมเอกสารเดินทางต่างๆให้พร้อม

           ได้เจอหน้ากันเต็มที่ก็แค่ในโรงเรียน พอแยกย้ายกลับก็ไม่ได้ว่างที่จะมานั่งแชทหาหรือวิดิโอคอลเหมือนแต่           ก่อน ผมยอมรับและเข้าใจเพราะมันเป็นสิ่งที่ต้องทำ

           แต่สิ่งที่ห้ามไม่ได้นอกเหนือจากนั้น..ก็คงเป็นความรู้สึก

           คิดถึง..มากๆ

           ผมก็ไม่ต่างกัน เพราะทำอะไรไม่ได้จึงยอมกดความคิดนี้ลงไป แม้ในความจริงอยากงี่เง่ากับคนตัวสูงดูสักครั้ง

           กลายเป็นว่าฝ่ายที่ทนไม่ได้เป็นเขาแทน..

           ‘ไม่มีแรงอ่านแล้วครับ’

           เฟิร์สงอแงจนใจอ่อนยวบ ผมชั่งใจก่อนจะเอ่ยออกไป

           “เดี๋ยวเราไปหา”

           ขอทำตามความต้องการของตัวเองสักครั้งแล้วกัน







           แผนการที่จะค้างหอเพื่อนสนิทลำดับสองเป็นอันต้องพับเก็บลง คนตัวสูงขับรถคู่ใจมารับภายในไม่กี่นาทีหลังผมเอ่ยปากพูด ใบหน้าคมแสดงอาการดีใจอย่างซ่อนไม่มิด ไม่วายได้รับเสียงแซวจากเพื่อนร่วมกลุ่มไปตามระเบียบ

           สุดท้ายก็มาโผล่ที่ห้องของอีกคน รู้สึกผิดกับเพื่อนนิดหน่อยแต่พวกนั้นก็ไม่ได้มายด์อะไร ซ้ำยังยุยงให้ไปอีกต่างหากจึงเบาใจลงบ้าง

           แสงจากโคมไฟบนโต๊ะเขียนหนังสือบอกให้รู้ว่าเจ้าของห้องรีบร้อนออกไปมากแค่ไหนถึงได้ลืมปิด ผมมองไปทั่วห้องแล้วหยุดที่กองเอกสารรกๆวางซ้อนทับกัน ขมวดคิ้วก่อนถือวิสาสะเดินเข้าไปดู

           แต่ก็ถูกขวางเอาไว้โดยร่างสูง

           “ไปอาบน้ำ”

           เสียงทุ้มออกคำสั่ง ยัดผ้าขนหนูกับเสื้อผ้าใส่มือให้คนได้รับงงๆกับท่าทีประหลาด ผมหรี่ตามองจับผิด แต่ก็ได้รับกลับมาเพียงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

           “หรือจะอาบพร้อมกัน...”

           กระแทกประตูห้องน้ำใส่โดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ ได้ยินเสียงหัวเราะแว่วเข้ามายิ่งต้องรีบจัดการตัวเองเมื่อรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย

           ให้ตายเถอะ เป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่!

           ใช้เวลาไม่นานผมก็ออกมา คนตัวสูงยังง่วนอยู่กับการทำข้อสอบ กองเอกสารประหลาดนั่นหายไปแล้ว ทิ้งไว้แต่เพียงความสงสัยให้คลาแคลงใจ ผมออกไปแขวนผ้าเช็ดตัวที่ระเบียง แอบบ่นในใจกับชุดนอนวันนี้สักหน่อย เหมือนกับว่าจับตัวไหนได้ก็หยิบมา ไม่คำนึงถึงขนาดตัวที่ต่างกันเลยสักนิด

           เสื้อยืดคอกลมสีขาวหากไปอยู่บนตัวเจ้าของก็ดูปกติ แต่พอมาเป็นตัวผมใส่ก็นึกหงุดหงิดที่ต้องคอยดึงเสื้อขึ้นทุกครั้ง อาการกระฟัดกระเฟียดของตัวเองคงไปเตะตาเจ้าของห้องเข้า เขาจึงละสายตาจากหนังสือแล้วหมุนเก้าอี้หันมามองทางผม

           “ใส่ไม่ได้อ่อ”

           ผมไม่ตอบ ชี้หลักฐานให้ดูแทน เฟิร์สลุกขึ้นไปเปิดตู้เสื้อผ้า คิ้วเข้มๆขมวดนิ่ว นั่นทำให้ผมบอกปัดไป

           “ไม่มีตัวเล็กกว่านี้แล้วอะ”

           “อื้อ ไม่เป็นไร ไปอ่านหนังสือต่อเลย”

           “วันหลังเอาเสื้อผ้ามาไว้หอเรา”

           ผมพยักหน้ารับคำ เขาจึงเดินกลับไปประจำที่ตัวเองต่อ

           วันหลังที่ว่า..จะมีหรือเปล่าก็ไม่รู้

           ต่อคำตอบให้ในใจเพราะไม่กล้าพูดตรงๆ  ผมขยับตัวลงมานั่งพิงโซฟา จัดการกับของปิจฉิมต่อ สักพักอีกคนก็ลุกออกจากเก้าอี้ หอบหนังสือลงมานั่งอ่านข้างๆ

           “เฟิร์ส”

           “หืม” คนข้างตัวขานรับ

           “ทำของปัจฉิมยัง”

           “ไม่มีเวลาทำอะ ปัจฉิมวันไหนเนี่ย”

           มนุษย์โดดแถวเป็นประจำอย่างเฟิร์ส..ก็ไม่แปลกใจที่จะไม่รู้ข่าวสารหน้าเสาธง

           “วันพุธ”

           “อังคารก็ทัน ระดับนี้แล้ว”

           “เราว่าเดี๋ยวเฟิร์สก็ลืม”

           “ทักมาเตือนเราสิ”

           “ฮึ จะปล่อยให้ลืมเลย”

           “ตัวเองไม่ทำอย่างนั้นหรอก”

           อะไรกัน สรรพนามแบบนี้..

           ผมหุบปากฉับ จบบทสนทนาไปอัตโนมัติ คนตัวสูงยิ้ม เปลี่ยนหัวข้อชวนคุยไปเรื่อยๆ ไม่ได้แกล้งให้เขินอายไปมากกว่านี้

           “เมื่อวานหลานที่เราเคยเล่าให้ฟังทำหุ่นยนต์เราพังอีกละ นี่ถ้าได้กลับไปบ้านนะ เราหมายหัวไว้แน่ๆ..” เขาเล่าเรื่องราวแต่ละวันให้ฟังไปพลาง ในขณะเดียวกันก็ตวัดปลายปากกาทำโจทย์ด้วยความคล่องแคล่ว

           ภาพธรรมดาแต่ทำเอาใจคนมองสั่นขึ้นมาเสียได้ เขานั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่ง สายตาจดจ่อไปที่ข้อสอบ

           บุคลิกที่ดูดีรวมถึงใบหน้ายามมุ่งมั่นเป็นองค์ประกอบลงตัวจนละสายตาไม่ได้เลยจริงๆ

           จนกระทั่งคนตัวสูงหันมา ถึงได้รู้ว่าตัวเองเผลอมองอีกฝ่ายไปรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

           ไม่เนียนเลยนะ..เป็นที่หนึ่ง

           ผมบอกกับตัวเอง ก่อนเบนสายตาหนีทำราวกับไม่ได้เกิดอะไรขึ้น

           “วันหลังคิดค่ามองดีไหม”

           “…”                                                         

           “เอาเป็นหอมแก้มหนึ่งครึ่งต่อการแอบมองหนึ่งวินาที”

           “ไม่ดี!” ตอบกลับไปทันควัน

           สัญญาเอาเปรียบกันชัดๆ

           ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง แก้มผมไม่ช้ำก่อนหรือยังไงกัน

           เขายิ้มมุมปาก กระเถิบตัวเข้ามาใกล้มากขึ้น ผมมองด้วยความตื่นตระหนกเมื่ออีกฝ่ายฉวยโอกาสใช้จังหวะที่เผลอเท้าแขนคร่อมตัวผมก่อนก้มหน้าลงมาจรดปลายจมูกลงข้างแก้มเน้นๆ

           “เดี๋ยว!”

           ฟอดดดดด

           “เฟิร์ส! อื้อ พอแล้ว”

           คนมักมากต่อให้ห้ามยังไงก็ยังคงไม่หยุด เขายังเดินหน้าระดมหอมทั้งซ้ายขวาทำเอาต้องสะบัดหน้าหนีเป็นพัลวัน ยิ่งสัมผัสแปรเปลี่ยนเป็นริมฝีปากร้อนๆผมก็หลับตาปี๋ทันที

           “ฮื่ออ ไม่เอา”

           ในที่สุดถึงผละออกมาดูผลงานตัวเอง ผมรีบโกยอากาศหายใจเข้าปอด ถดถอยหนีไปนั่งอีกฟากของโซฟา เขาอมยิ้มอารมณ์ดีขึ้นมาทันตาเห็น แม้ผมจะส่งสายตาค้อนกลับไปก็ไม่รู้ร้อนรู้หนาว

           “เราไม่เตือนเฟิร์สเรื่องของปัจฉิมแน่ๆ” ผมขู่

           “เดี๋ยวก็รู้” และคนตัวสูงก็ตอบอย่างมั่นใจ

 

           แล้วไงล่ะ

           สุดท้ายเข้าเอาจริงคืนวันอังคารผมก็ทักไปเตือนเขาเหมือนเดิม..

 

 




หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r s i x t e e n] , 120518
เริ่มหัวข้อโดย: miralchs ที่ 16-05-2018 20:50:50
(ต่อ)


           “จบแล้วโว้ยยยยยยยย”

           “รุ่น 111 จบแล้วค้าบบบบ!!”

           อากาศแจ่มใส ท้องฟ้าเปิดกว้างราวกับล่วงรู้ถึงวันพิเศษที่สุดสำหรับชีวิตของมัธยมปลายปีสุดท้ายในรั้วโรงเรียน ภายในพื้นที่ได้เนรมิตให้กลายเป็นซุ้มของแต่ละห้อง แต้มลงด้วยสีสันหลากหลาย ช่อดอกไม้วางเรียงรายกันเต็มพื้นที่ ยังไม่รวมตุ๊กตา ลูกโป่ง กล่องของขวัญต่อมิอะไรอีกมากมาย

           เสียงหัวเราะเคล้าไปด้วยเสียงพูดคุยไม่หยุดหย่อน บรรยากาศครึกครื้น สร้างชีวิตชีวาให้ภายในโรงเรียนอีกครั้ง จังหวะดนตรีถูกเปิดเป็นเพลงอำลาสถาบันตั้งแต่เช้า

           พิธีการสำคัญกำลังจะเริ่มต้นขึ้นและม.6 คือผู้ที่ถูกเลือกในวันนี้..

           ชุดนักเรียนศักดิ์สิทธิ์มากกว่าเดิมเมื่อได้สวมใส่เข้าหอประชุมเพื่อทำให้เป็นไปตามธรรมเนียมสืบทอดต่อกันมา ตลอดทางมีรุ่นน้องหลายระดับชั้นยืนแสดงความยินดีให้ โปรยดอกไม้สร้างเสียงหัวเราะให้กังวานไปทั่ว ขับกล่อมประสานเพลงมาร์ชโรงเรียนที่ยิ่งใหญ่กว่าครั้งไหน

           “ยินดีด้วยนะครับพี่ๆ!!”

           “อย่าลืมกลับมาเยี่ยมน้องๆด้วยนะค้า~”

           ความสุขสันต์หรรษาแผ่กระจายปกคลุมทั่วทั้งโรงเรียน รุ่นพี่ต่างโบกไม้โบกมือ ยิ้มรับแทนขอบคุณทั้งใจ

           วันสุดท้ายในฐานะของนักเรียนชั้นม.6

           โรงเรียนได้เดินมาส่งจนสุดปลายทางแล้ว..

           ท่ามกลางความเปรมปรีดิ์ ยังมีความรู้สึกที่เรียกว่าใจหายซ่อนอยู่ ไม่ใช่แค่เพียงในตัวรุ่นพี่ สำหรับรุ่นน้องบางคนก็ไม่ต่างกัน

           “หนูชอบพี่นะคะ!”

           “ฮิ้ววววววววววว”

           “มาว่ะๆๆๆ”

           และวันนี้ก็เป็นโอกาสเหมาะสมที่สุดสำหรับการสารภาพรัก..

           ผมอมยิ้มให้กับภาพตรงหน้า เด็กผู้หญิงชั้นม.ปลายปีแรกป่าวประกาศความในใจออกมาให้รุ่นพี่ตัวสูงที่กำลังเดินผ่านไปให้รับรู้ด้วยความเขินอาย เสียงโห่แซวดังไปทั่วบริเวณ และแน่นอนว่าผู้ชายคนนั้นหยุดเดินพร้อมหันกลับมาตอบรับเด็กสาวตรงหน้า

           เสียดายที่ต้องเดินนำไปก่อน ผมจึงไม่รู้หรอกว่าบทสรุปแล้วน้องคนนั้นจะสมหวังหรือเปล่า แต่สิ่งที่ดีที่สุดก็ได้เกิดขึ้น

           แม้ท้ายที่สุดคำตอบที่ได้รับอาจไม่ใช่ดั่งใจฝัน..อย่างน้อยก็ได้พูดมันออกไปแล้ว

           เมื่อโตขึ้นหากมองย้อนกลับมาในวันนี้จะได้ไม่เสียใจภายหลัง เพราะมันจะกลายเป็นความทรงจำอันแสนล้ำค่าที่หาไม่ได้ในวัยนี้อีก

           ความรักยังคงเป็นสิ่งสวยงามเสมอไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบไหน..

 

           เมื่อนาฬิกามันไม่เคยขี้เกียจเดิน

           และวันเวลาทำให้ทุกๆ สิ่งเปลี่ยนไป

           แต่ความทรงจำดีๆ ทุกอย่างยังคงเก็บไว้

 

           บนโลกนี้ไม่มีใครสามารถหยุดเวลาไว้ได้ ทุกอย่างเดินต่อไป ชีวิตและอนาคตขับเคลื่อนไปด้วยความรู้สึกในแต่ละวัน ผ่านพ้นจากอดีต มาถึงปัจจุบัน กลายเป็นอนาคต

           การพบเจอย่อมมีจากเหมือนงานเลี้ยงที่ย่อมมีวันเลิกรา เราไม่อาจควบคุมมันไว้ได้ในกำมือ ทำได้เพียงใช้ทุกวินาทีให้คุ้มค่า สิ่งที่ได้ผิดพลาดไปแล้วก็ปล่อยมันไปให้เป็นบทเรียน ต่อเติมเป็นบันไดแข็งแรงให้ก้าวข้ามผ่านอุปสรรคข้างหน้าได้

 

           ยังคงมีแต่เธอ เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน

           ยังคงมีแต่เธอ เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนไป

           ยิ่งเวลาอ้างว้างทีไร ในใจก็ยิ่งโหยหา

 

           แต่สิ่งที่มั่นคงและไม่มีวันจางหายจนกว่าเราจะลืมมันไป…คือความทรงจำ

           เต็มไปด้วยช่วงเวลาทั้งสุขและทุกข์ปะปน หล่อหลอมให้เป็นตัวผมเองในทุกวันนี้ จึงพยายามจัดเก็บให้มันดีที่สุด ไม่อยากทำหล่นหายไปสักวินาที

           “ใจหายเลยว่ะ”

           ความรู้สึกของมนุษย์เป็นเรื่องซับซ้อนยิ่งกว่าสิ่งใดบนโลกใบนี้ ด้วยระบบความคิดที่แตกต่าง เราไม่หยั่งรู้หรอกว่าคนอื่นกำลังคิดอะไร

           แต่ตอนนี้ผมกับเพื่อนๆคงรู้สึกไม่ต่างกัน

           มองไปทางสนามฟุตบอลหวนให้นึกถึงการแข่งขันชิงที่หนึ่งระดับสายชั้นครั้งแรก จำได้ว่าตัวเองลงแข่ง มุ่งมั่นจนได้รับชัยชนะกลับมา

           “ที่หนึ่งเล่นโหดมากกูจำได้เลย ภาพมันแย่งบอลกับไอ้สายฟ้ายังติดตากูมาจนถึงทุกวันนี้อะ”

           “จริง เห็นตัวเล็กๆแต่ล้มยักษ์ใหญ่ประจำห้องได้ ดีนะมันไม่อยู่แล้ว ไม่งั้นกูว่าเกิดสงคราม ฮ่าๆๆๆ”

           ผมกำเศษกระดาษปาใส่ไม่จริงจัง กลัดเข็มห้อยของปัจฉิมกับเสื้อของเพื่อนรวมกลุ่ม ก่อนเดินวนอ้อมไปหาคนอื่นในระแวกนั้น

           พิธีการสำเร็จผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ใช้เวลาไปเกือบครึ่งวัน กว่าจะถูกปล่อยตัวออกมาก็ปาไปเที่ยงแล้ว นักเรียนม.6 จึงยังกองกันอยู่หน้าหอประชุมเพื่อรอแลกของปัจฉิมให้กับเพื่อนร่วมสายชั้นก่อนแยกย้ายไปตามห้อง

           ถึงฟ้าฝนจะเป็นใจ แต่แดดในตอนเที่ยงก็ไม่ได้เรียกว่าดีมากนัก ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีใครปริปากบ่น มีเพียงเสียงตะโกนเซ็งแซ่จนเกิดความวุ่นวายไปหมด

           “กูชอบมึง”

           “กูรู้ตั้งนานแล้วโว้ย!”

           “คบเลยๆ!”

           ไม่เพียงความสัมพันธ์ในรูปแบบรุ่นพี่รุ่นน้อง หากแต่ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนก็ไม่ต่างกัน

           “ติดแล้วอ่อที่หนึ่ง”

           “ติดละ”

           “เก่งสัด สมชื่อเลยว่ะ”

           เพื่อนต่างห้องเข้ามาทักทายพร้อมกับรอยยิ้ม ผมเดินเวียนไปเรื่อยๆ จนของปัจฉิมใกล้หมด

           ชุดนักเรียนตอนนี้เต็มไปด้วยเข็มกลัดและห้อยคอ รวมถึงสายสะพาย ดูพะรุงพะรังขึ้นมาทันตาเห็น โชคดีที่ไม่มีเขียนเสื้อเหมือนสมัยก่อน ไม่งั้นคงได้เละเทะกว่านี้

           “ห้องสิบสองไปหน้าอาคารหกนะ!”

           ธรรมเนียมยังไม่สิ้นสุด ยังเหลืออีกหนึ่งที่ทำสืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ผมกลับเข้าไปรวมในกลุ่มเพื่อนก่อนจะเดินไปพร้อมกัน

           รุ่นน้องจัดแถวล้อมเป็นวงกลมให้รุ่นพี่ม.6 เข้าไปอยู่ตรงกลาง เป็นความรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก แม้จะไม่ได้เป็นพี่น้องที่เกี่ยวพันกันทางสายเลือด แต่ความหวังดี ความห่วงใยที่ส่งมอบให้กันมาในช่วงมัธยมก็ถักทอก่อให้เป็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นได้อย่างง่ายดาย

           เสียงบูมดังก้องไปทั่วชวนขนลุก มือถือถูกยกขึ้นมาเก็บภาพความทรงจำตรงหน้าไว้ ลานกว้างกับแสงแดดจ้าไม่ได้ทำให้เสียงลดเบาลง กลับกันยิ่งสร้างความฮึกเหิมมากขึ้น

           “เฮ!!!!”

           “ยินดีด้วยครับพี่ๆ”

           “ขอให้ติดคณะที่หวังไว้นะคะ”

           “ขอบคุณมากๆนะน้อง”

           “พี่หนึ่งได้ทุนใช่ป้ะ โคตรเทพอะพี่”

           น้องสายรหัสเดียวกันเดินเข้ามาทักทาย ผมพยักหน้ายิ้มๆก่อนกวักมือเรียกเข้าไปรับของปัจฉิม

           “ตั้งใจเรียน เตรียมตัวไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ จำไว้ว่าเริ่มก่อนก็ได้เปรียบก่อน” ไม่ลืมสั่งเสียรุ่นน้อง คุยกันอยู่สักพักแล้วค่อยแยกย้ายกันไป

           บ่ายคล้อย คอนเสิร์ตกำลังจะเริ่มต้นขึ้น หอประชุมออไปด้วยนักเรียนชั้นมัธยมปลายปีสุดท้าย กอดคอกันราวกับจะไม่ได้พบกันอีก

           “กูต้องคิดถึงพวกมึงแน่เลย”

           เริ่มต้นที่ห้าคน จบพร้อมกันที่ห้าคน เต้เบะปากคล้ายจะร้องไห้ กระตุกใจให้เพื่อนที่เหลือเศร้าไปตามกัน

           “กูเคยคิดนะว่าจะเจอเพื่อนที่ดีไปกว่านี้อีกหรือเปล่า” ฝ้ายเปรยขึ้น “แต่กูคิดไม่ออกเลยว่ะ”

           “เชื่อป้ะกูยังรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ยังจำได้เลยว่าเราแม่งรวมกลุ่มกันได้ยังไง นินทาครูคนไหน โดดเรียนวิชาอะไรกันบ้าง”

           “เรื่องชั่วๆล่ะจำได้ดีนักนะมึง ฮ่าๆๆๆ”

           หากเสียงหัวเราะดังขึ้นบนจิตใจที่วูบโหวง ผมยิ้มกับวันนี้ให้เต็มที่ แม้จะเดินมาด้วยกันจนเจอเส้นทางของแต่ละคน แต่ระหว่างทางที่ก้าวมาด้วยกันนั้นมีค่ายิ่งกว่าอะไร

           ต่อให้อนาคตจะเจอเรื่องราวต่างๆมากมาย...แต่ความทรงจำก็จะไม่ไปไหน

           และมันยังอยู่ที่เดิมให้เราได้นึกถึง

           “สอบให้ติดกันนะเว้ย อย่าให้ที่หนึ่งมันลอยลำคนเดียว”

           “ถ้าได้เจอกันอีกกูเลี้ยงข้าวเลยอะ”

           “แน่นอนว่าต้องมีวันนั้นว่ะ เชื่อกู”



           “ที่หนึ่งไม่ต้องห่วง ต่อให้มึงไปเรียนต่อสุดขอบทวีป พวกกูก็จะตามไปฉลองด้วยกัน”



           “แม่ง พวกบ้าเอ้ย”

           ให้ตายก็หาดีไปกว่าพวกนี้ไม่ได้อีกแล้วจริงๆ

 

           วันที่ความฝันมันไม่เห็นเป็นอย่างใจ

           กระเจิดกระเจิงผิดๆ เพี้ยนๆ กันไปใหญ่

           เพียงแต่อย่างน้อย ฉันก็ยังชื่นใจที่เคยมีเธอ

 

           เสียงดนตรีดังขึ้น อ้อมกอดที่คอกระชับแน่นมากกว่าเดิม ส่งเสียงร้องไปตามทำนองของเพลง ปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างไว้ที่ตรงนี้..ใกล้ๆกัน

           พลันปลายนิ้วข้างซ้ายก็ถูกคว้าเข้าไปกอบกุมโดยเจ้าของฝ่ามืออบอุ่นที่ขยับเข้ามายืนข้างๆ รอยยิ้มสว่างสดใสเช่นเคยและกำลังมอบมาให้ผม

           ไม่มีคำพูดใดระหว่างเรา

           หากแต่รับรู้ด้วยความรู้สึกที่ส่งผ่านให้

           เพลงขับร้องใกล้จะจบลง

           ช่วงเวลาของม.6 ก็เช่นด้วยกัน..

 

           ยังคงมีบทเพลง ของเราเมื่อวันวาน

           ได้ยินเมื่อไร หัวใจยังเป็นอย่างนี้

           ให้เวลามันหมุนไปนานเป็นปี

           แต่เพลงนี้ยังทุ้มในใจ

 

           “ต่อให้เราไม่พบไม่เจอเป็นปี..เพลงนี้ยังทุ้มในใจ”

 

           รุ่น 111 จบจริงๆแล้ว

           ห้องเรียนที่คุ้นเคยเงียบจนน่าใจหาย

           โต๊ะจัดเป็นระเบียบ เก้าอี้ถูกยกขึ้นเมื่อปิดภาคเรียน มันเป็นแบบนี้ทุกปี เพราะยังไงหลังปิดเทอมใหญ่ก็จะได้กลับมาใช้งานเหมือนเดิม

           แต่ปีนี้..ไม่ใช่

           โต๊ะประจำที่นั่งมายาวนานกว่าหกปี ต่อไปก็มีรุ่นน้องเข้ามารับช่วงต่อ รอยลิควิดที่มือบอลไปขีดเขียนเล่นยังไม่หายไป ยังเป็นคราบจางๆให้คิดถึง

           บนกระดานดำเคยสะอาดสะอ้านทุกครั้งก่อนปิดเทอม ตอนนี้เจ้าของห้องเรียนได้แต้มตัวเลข 6/12 ขนาดใหญ่ลงไป พื้นที่ว่างมีลายมือของเพื่อนร่วมห้องเกือบห้าสิบคนเขียนไว้ด้วยถ้อยคำต่างๆนานา

           “คิดถึงเนอะ”

           เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น

           ผมหัวเราะเบาๆ คนอยู่ที่นี่ได้เพียงสามปียังคิดถึง นับประสาอะไรกับคนที่อยู่มาหกปีเต็ม...

           “เรานั่งข้างหน้าต่างมาตั้งแต่ม.1 ไม่รู้ว่าตอนนี้ตาเขหรือยัง”

           “โห ไม่เปลี่ยนที่บ้างอะ”

           “ไม่รู้สิ” ผมยิ้ม “คงชินแล้วมั้ง”

           พิงสะโพกลงกับที่ประจำของตัวเอง ทอดมองไปรอบห้องเรียน

           เราต่างเก็บเกี่ยวบรรยากาศเก่าๆไปด้วยกัน นึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่เขียนกระดานก็มองหาชอล์กหมายจะลงมือ

           คนตัวสูงเดินมาหยุดข้างตัว แหงนมองกระดานก่อนจะลงมือเขียนถัดจากผม

           “เคยสงสัยไหมว่าทำไมเราชื่อความหมายเดียวกัน”

           ผมนิ่งไปนิด

           กวาดสายตามองลายมือของเราทั้งคู่ที่เขียนอยู่ไม่ห่าง ก่อนจะยิ้มบางๆ

           ‘เป็นที่หนึ่ง = 1st’

           สมการน่าขบขัน..แต่เป็นความจริงที่เถียงไม่ได้

           “นั่นสินะ”

           อาจเป็นเพราะโชคชะตา ฟ้าลิขิตหรือความบังเอิญอะไรก็ตามผมไม่สนใจมากนัก

           แต่สิ่งที่ตอบได้ชัดเจนคือ..ผมดีใจที่มีชื่อว่า เป็นที่หนึ่ง

           ชื่อในความหมายเดียวกันกับเขา

           และมีความหมายสำหรับกันและกัน

           “วันแรกที่เราเจอที่หนึ่งน่ะ…”

           เขายืนล้วงกระเป๋ากางเกง ละสายตาจากกระดานหันมามองผม

           มองด้วยแววตาแบบเดียวกับวันนั้น

           “เหมือนโลกหยุดหมุนเลย”

           “…”

           “จำวันที่ไปแข่งวิชาการด้วยกันครั้งแรกได้ด้วย”

           “…”

           “นอนข้างที่หนึ่ง ตื่นเต้นเกือบหัวใจวายแน่ะ”

           เขาขยับเข้ามาใกล้

           “วันที่ที่หนึ่งบอกว่าจะเกลียด..เจ็บเหมือนจะตายให้ได้”

           “เฟิร์ส..”

           “ก็พอจะรู้ว่าไม่สมหวังหรอก แต่ก็ขอลองอีกสักครั้ง”

           คนตัวสูงยิ้มจาง ต่างกับผมที่จะร้องไห้อยู่รอมร่อ

           อีกฝ่ายวิ่งตามมาผมตลอด..ทั้งที่ผมผลักไสแทบทุกครั้ง

           ในที่สุดได้มาเดินข้างกัน แต่ก็ต้องเลือกเดินคนละเส้นทาง

           “จนที่หนึ่งเปิดใจให้ นับตั้งแต่ตอนนั้นเราก็ไม่เคยเสียใจเลยที่ได้พยายามลงไป”

           ผมกอดเขา

           อยากทดแทนความรู้สึกที่ขาดหายไป

           อยากรักให้มากกว่าที่เขารัก..

 

           “ขอบคุณที่เข้ามาเป็นทุกอย่าง…”

           เขากระชับแน่นขึ้น

           “เข้ามาเป็นที่รัก”

           “…”

           “และเข้ามาเป็นที่หนึ่ง”

 

 

           สำหรับผม..

           สิบแปดปีผ่านมา

           นี่เป็นครั้งแรก ที่ได้รักใครคนหนึ่งได้มากขนาดนี้





ตอนหน้าจบแล้วนะคะ :)
#เป็นที่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r s i x t e e n] , 120518
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-05-2018 21:10:45
คิดถึงเพื่อนคิดถึงบรรยากาศตอนเรียน
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r s i x t e e n] , 120518
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 17-05-2018 01:12:00
จะร้องไห้ :hao5:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r s i x t e e n] , 120518
เริ่มหัวข้อโดย: miralchs ที่ 18-05-2018 00:51:52
C h a p t e r e i g h t e e n

เป็นที่หนึ่ง




           ผมกำลังเริ่มนับถอยหลัง


           ท้องฟ้าเปลี่ยนสีทุกวัน...ต่างกับใจที่ยังคงเหมือนเดิม


           ทุกอย่างเตรียมพร้อมไปหมด เอกสารครบ กระเป๋าเดินทางถูกจัดไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ


           เหลือเพียงผม..ที่ลังเลอยู่


           คิดจะถอยหลังกลับก็ไม่ทันเสียแล้ว มหาวิทยาลัยทางนั้นตอบรับมาเรียบร้อย เหลือเพียงไปเรียนปรับพื้นฐานที่นั่นและใช่..มันอีกไม่กี่วันข้างหน้า


           มือข้างหนึ่งกระชับร่มแน่น ส่วนอีกมือล้วงลงในกระเป๋าเสื้อคลุมกันฝน ควานหากระเป๋าสตางค์ให้อุ่นใจ ก่อนจะก้าวเข้าร้าน


           อากาศเย็นกับฝนพรำ กาแฟร้อนๆคงเป็นสิ่งเยียวยาจิตใจตอนนี้ได้ดีที่สุด กวาดสายตามองไปรอบจนเจอเป้าหมาย ลูกแพรเงยหน้าสบตาพอดีจึงชูมือเรียกเข้าไป


           “นึกว่าจะไม่มา”


           “ทำไมคิดงั้น”


           โรงเรียนปิดเทอมมาได้เกือบอาทิตย์ เหล่าว่าที่นักศึกษายังจมอยู่กับกองหนังสือไม่มีวันพัก อีกไม่นานก็เป็นช่วงสำคัญของนักเรียนมอหกทั่วทั้งประเทศ ยิ่งต้องเร่งตัวเองให้มากขึ้น


           เห็นสภาพของเพื่อนแต่ละคนในกลุ่มก็รู้สึกเห็นใจขึ้นมา รอยคล้ำใต้ตาบ่งบอกถึงความหักโหมได้เป็นอย่างดี ผมผ่านช่วงเวลานี้มาก่อนถึงได้เข้าใจ สิ่งที่ต้องการมากที่สุดในตอนนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการพักผ่อนอีกแล้ว


           ผมวางชีทสรุปของตัวเองลงบนโต๊ะ จัดเรียงเป็นหมวดวิชาเรียบร้อย ถึงเก็บไว้ก็เสียเปล่า สู้เอามาแชร์ให้กันอ่านยังจะมีประโยชน์มากกว่า เพื่อนสนิทตาลุกวาว ลงมือคว้าไปก่อนใครราวกับมันเป็นขุมสมบัติล้ำค่า


           “โคตรแรร์เลยว่ะ ชีทของเป็นที่หนึ่ง”


           “บุญตามากที่ได้เห็น”


           “กราบดิ” ผมว่า


           “กวนตีนละ”


           ผมกระตุกยิ้มเบาๆ รับหน้าที่เป็นติวเตอร์จำเป็นชั่วคราวให้กับนักเรียนสี่คน ถึงจะสอบติดแล้วความรู้ที่มีในหัวก็ใช่ว่าหายไปเสียหมด ผมยังทบทวนเนื้อหาอยู่ตลอดเพื่อให้ตัวเองไม่ลำบากถ้าต้องไปเรียนรู้สังคมใหม่


           ลำพังแค่เรื่องเพื่อนจะรอดหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ไหนจะเรื่องจิปาถะยิบย่อย มนุษย์เช่นผมที่ไม่เคยไปอยู่ต่างประเทศนานเป็นปีก็อดจะวิตกกังวลไม่ได้


           แค่คิดว่าต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ ความกลัวก็เข้าเกาะกุมจิตใจแล้ว..


           “ไปเมื่อไหร่อะที่หนึ่ง”


           เสียงฉุดรั้งความคิดให้กลับคืนมา ผมก้มมองวันที่บนหน้าจอมือถือ ก่อนจะพึมพำตอบออกไป


           “สิบหก”


           “เดือนหน้า?”


           ผมส่ายหัว “เดือนนี้”


           “เชี่ย อีกสองวัน”


           “ก็นึกว่ารู้อยู่แล้วนะ” ผมโคลงหัว ตวัดปากกาทำโจทย์ไปพร้อมกับอธิบาย แต่เหมือนบุคคลทั้งสี่จะเลิกตั้งใจฟังไปเสียแล้ว พวกมันหุบปากเงียบ ใบหน้าเศร้าซึมอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาคนมองต้องถอนหายใจ


           “ไม่ได้บอกว่าจะไปอยู่ถาวรสักหน่อย อย่าทำเป็นน้อยใจกันไปได้น่า”


           ตบบ่าปุๆแล้วคลี่ยิ้มให้เพื่อนร่วมกลุ่มสบายใจ


           “มันนานมากเลยนะเว้ย...”


           “ตีไปเบาๆก็สี่ปี” ลูกแพรเม้มปาก “อย่างมาก...ก็หกปี”


           ผมมองเพื่อนด้วยแววตาอ่อนลง


           ก็เพราะรู้ว่ามันนาน..ถึงไม่อยากให้ต้องพะวง ตัวผมเองยังไม่รู้เลยว่าอนาคตจะเป็นยังไง แต่เพราะได้เลือกไปแล้วถึงต้องเดินหน้าให้ถึงที่สุด


           ไม่อยากแบกรับความฝันไว้อย่างเลื่อนลอยทั้งที่มีโอกาสได้ทำ



           ไม่อยากให้ใครสักคนต้องเป็นห่วงถึงต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี..


           “แล้วจะไม่กลับมาไทยเลยอ่อ”


           ผมเคยถามตัวเองด้วยคำถามนี้เช่นกัน


           หากจะกลับก็ย่อมได้ กลับทุกเดือนก็ยังได้ แต่มันจะส่งผลเสียทั้งกับผม..ทั้งคนทางนี้


           ความคิดถึงสะสมไปนานยิ่งน่ากลัว เมื่อได้เจอก็ต้องอยากเจออีกไปเรื่อยๆไม่สิ้นสุด ถึงตอนนั้นจิตใจผมคงไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มันกลายเป็นเรื่องยากที่จะหักห้ามใจตัวเองแน่ๆ


           สู้รอให้เจอกันทีเดียวไม่ดีกว่าหรือ


           แต่ก็ไม่รู้ว่าตอนนั้น..ทางนี้ยังจะอยากเจอเหมือนเดิมหรือเปล่า


           คำถามที่ยังไงก็ไม่มีคำตอบชัดเจน..


           อนาคตเป็นสิ่งที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ผมถึงไม่ค่อยจะสัญญาอะไรไว้กับใคร หากสิ่งที่ตัวเองทำได้ก็คงทำปัจจุบันให้มันดีเพื่อไม่ต้องเสียใจภายหลัง


           “คงรอกลับมาทีเดียว”


           ผมจะอดทนรอถึงวันนั้นได้แค่ไหนกัน


           ยิ่งพอนึกถึง..คนที่ชื่อความหมายเดียวกับผม ความมั่นใจที่คิดว่าจะอยู่ได้ก็ลดลงแทบเป็นศูนย์ ความรู้สึกที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยอีกฝ่ายมันไม่ได้น้อยเลยสักนิด จินตนาการในหัวไม่เคยนึกถึงวันที่ไม่มีเขาเลยด้วยซ้ำ


           ยอมรับว่าปล่อยให้อีกคนรุกล้ำเข้ามาจนเสียความเป็นตัวเอง


           แล้วยังไง..


           ก็เป็นผมเองที่ปล่อยให้เขาเข้ามายึดครองพื้นที่ด้วยความเต็มใจทั้งนั้น


           “แล้วคุยกับเฟิร์สว่าไรมั่ง”


           คนตัวสูงเข้ามามีส่วนรวมในวงสนทนาด้วยฝีมือของเพื่อนสนิทลำดับสอง


           “ก็ไม่ว่าไง”


           “...”


           “เขาให้ไป”


           “โคตรดีเลยว่ะ”


           เขาดีมากเลยต่างหาก..


           ดีจนผมละอายใจ


           ปล่อยให้ไปทั้งที่ตัวเองเจ็บแบบนั้น คำว่าเสียสละยังน้อยเกินไปเลยจริงๆ


           หวนคิดว่าตัวเองเคยทำอะไรเพื่อเขาอย่างจริงจังบ้าง


           ก็ไม่มี..


           “ช่วงแรกกูก็แอบรำคาญแทนที่หนึ่งนะ แม่งเหมือนเข้าหาไม่เป็นอะ ยอมรับว่าตอนที่ที่หนึ่งเรียกไปคุยกูยังสะใจเลย โลเล จะเลือกก็ไม่เลือกสักทาง”


           “...”


           “แต่พอมาคิดดูอีกที เฟิร์สแม่งบริวารเยอะอยู่แล้วป้ะวะ แต่คนที่มันแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาอะ กูไม่เคยเห็นมันทำกับใคร..นอกจากที่หนึ่งเลย”


           “...”


           “พอมาถึงวันนี้..กูมั่นใจเลยว่าไม่มีใครดีกับที่หนึ่งไปมากกว่าเฟิร์สแล้ว”


           ยิ่งเพื่อนสนิทพูดออกมาก็เหมือนตอกย้ำลงภายในจิตใจว่าอีกฝ่ายดีมากแค่ไหน คนตัวสูงทุ่มเทหมดหน้าตัก ยอมไปหมดเสียทุกอย่าง ตลอดเวลาที่คบกันมาผมสัมผัสได้ถึงความรักความห่วงใยที่อีกฝ่ายมีให้ทุกครั้ง


           มันไม่เคยลดน้อยลงจากเดิมเลย..ไม่เคย


           “กูเป็นเพื่อนยังโหวงขนาดนี้ ถ้าเป็นเฟิร์สจะรู้สึกยังไงวะ..”


           ผมคิดตาม...


           ก็คงไม่ต่างจากผมในตอนนี้เท่าไหร่


           ลอบถอนหายใจครั้งที่ล้าน ไม่ใช่เพราะความเหนื่อยหน่าย แค่คิดว่าบางครั้งตัวเองก็ยังไม่ดีพอ ความรู้สึกผิดพุ่งเข้าหาราวกับคันศรทิ่มแทงจิตใจ เขาเป็นฝ่ายรอมาตลอดแล้วยังต้องรออีกต่อไปจนกว่าผมจะกลับมา


           คำถามที่ว่าคนเราจะรอคอยบางสิ่งได้นานเท่าไหร่ กลับกลายเป็นว่าคนถามต้องเป็นฝ่ายทรมานใจไปเสียเอง


           ฝนหยุดตกแล้ว เวลาล่วงเลยผ่านไปหลายชั่วโมง หน้าที่ติวเตอร์จำเป็นได้จบลง เพื่อนร่วมกลุ่มอาลัยอาวรณ์กันอยู่สักพักค่อยแยกย้ายกันกลับ ผมปฏิเสธคำชักชวนของเต้เมื่อมองข้ามไปเห็นมิกนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์ จะเจอกันอีกสองวันที่เหลือก็ยังไม่สาย มันจึงได้ยอมผละออกไป


           เม็ดฝนยังรินๆอยู่บ้าง ผมยังไม่มีความคิดที่จะกลับบ้านในตอนนี้ ชั่งใจกับตัวเองอยู่สักพัก ถึงตัดสินใจกดโทรหาใครอีกคน


           ไม่รู้ว่าจะไปรบกวนเวลาอ่านหนังสือของเจ้าตัวหรือเปล่า


           แต่ว่า..ขอให้ได้ยินเสียงก็ยังดี


           ‘ครับ’


           เฟิร์สไม่เคยไม่รับสายผมนั่นเป็นความจริง


           และไม่เคย..ทิ้งช่วงเวลานานแม้จะยุ่งแค่ไหน


           “...ได้อ่านหนังสืออยู่ไหม”


           ‘อื้อ ใกล้จบแล้ว ที่หนึ่งโทรมาพอดี’


           “...คือ..เรา..”


           อาการอ้ำอึ้งกลับมาอีกแล้ว ไม่กล้าบอกจุดประสงค์ที่แท้จริงให้อีกคนรู้ ผมเม้มปากก่อนรวบรวมความกล้าพูดออกไป


           “อยากเจอ..”


           “...”


           “ด—ได้หรือเปล่า..”


           ‘อยู่ไหน เราจะไปรับ’ ปลายสายตอบกลับมาในทันใด จับน้ำเสียงกระตือรือร้นของอีกฝ่ายแม้ไม่เห็นหน้า


           “ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราไปหา”


           แล้วก็ฉุกคิดได้ว่าปฏิเสธน้ำใจคนตัวสูงไปอีกครั้ง


           นิสัยขี้เกรงใจไม่มีวันหายจริงๆ


           ‘...’


           “เดี๋ยวเราแชร์โลเคชั่นไปให้”


           พอเห็นอีกฝ่ายเงียบก็รีบเปลี่ยนคำ ให้ตายเถอะ นับวันผมยิ่งจะนิสัยเสียเพราะเฟิร์สแล้ว


           ‘รอ อย่าไปไหน’


           “อื้อ ขับรถดีๆ”


           ต้องโทษเขาเลย




 ♥



 
           เกือบได้ถูกฝนแช่แข็ง


           พายุซัดกระหน่ำลงมาอีกครั้ง จนต้องแอบก่นด่าในใจ ต้นเดือนมีนาย่างเข้าสู่หน้าร้อน ไหงฝนกลับตกมันทั้งอาทิตย์เสียได้ โชคดีที่มือบิดอย่างคนตัวสูงยังรักษามาตรฐานของตัวเอง ไม่ว่าสถานที่นั้นจะไกลจากเขามากแค่ไหนก็สามารถย่นระยะเวลาให้ถึงได้ในไม่กี่นาที


           เคยเตือนอยู่บ้างให้เพลาๆลง อุบัติเหตุบนท้องถนนใช่เรื่องเล่นๆซะที่ไหน


           เขารับฟัง แต่ถามว่าทำตามหรือเปล่า ก็อย่างที่เห็น


           ดื้อเงียบจริงๆ


           ท่าทางฝนครั้งนี้จะไม่หยุดตกง่ายๆ กิ่งไม้ข้างนอกไหวเอนเกือบหัก เสียงฟ้าร้องครืนชวนขนลุก มองเห็นแล้วก็ท้อแท้ คาดเดาอนาคตของตัวเองวันนี้ได้เลย


           ถ้าไม่กลับเอาตอนสี่ห้าทุ่มก็ต้องค้างที่นี่


           และเจ้าของห้องไม่มีทางเลือกช้อยส์ข้อแรกแน่ๆ


           รีบอาบน้ำ ผลัดเปลี่ยนชุดเปียกปอนออก นับว่าดีที่ทิ้งเสื้อผ้าครั้งที่แล้วไว้ที่ห้องเขา ไม่งั้นคงได้กลายเป็นเด็กใส่เสื้อพ่อ ถ้าเพื่อนสี่คนที่เหลือได้เห็นผมในสภาพนั้นรับรองว่าได้แท็กทีมสามัคคีกันเชียวล่ะ


           “บอกแม่ยังอะ”


           ผมชูโทรศัพท์ในมือให้ดู เอาเข้าจริงคำถามควรจะเปลี่ยนเป็นว่าผมจะค้างที่นี่ไหมหรือยังไง แต่แน่นอนคนอย่างเฟิร์สไม่ถามหรอก


           เผด็จการที่สุดแล้วคนนี้


           เพราะเขาหวังดีหรอกถึงยอมให้ตลอด..


           “ไม่อ่านต่อแล้วอ่อ” ผมถามเมื่อคนตัวสูงขึ้นมานอนบนเตียง


           “แฟนมาหาทั้งที อ่านต่อก็บ้าแล้ว”


           “ข้ออ้างหรือขี้เกียจ”


           “ตอบว่าเพราะเป็นที่หนึ่งได้ไหม”


           ผมเบ้ปากให้มุกเสี่ยวนั่น เขาหัวเราะจนเห็นลักยิ้มเล็กๆข้างแก้ม ขยับตัวให้เข้าที่เข้าทางก่อนจมสู่โลกของมือถือ


           “เถิบมาได้ป้ะ”


           อีกฝ่ายพูดขึ้นมาทื่อๆหลังจากที่ต่างพากันเงียบ ผมหันไปมองด้วยความงงงวย


           อะไรนะ?


           ไม่ว่าเปล่า ตบปุๆลงที่ว่างข้างเตียงเพราะผมนั่งเว้นระยะห่างกับเขาพอสมควร นึกฉงนแต่ก็ยอมกระเถิบไปตามคำขอ


           หมับ!


           “เฟิร์ส!” เผลอร้องเสียงหลงอย่างตกใจ คนตัวสูงคว้าเข้าที่เอวไม่บอกไม่กล่าว แรงฉุดไม่น้อยทำให้ผมเซไปหาจนเกยทับเขาไปทั้งตัว


           ผมดิ้นหนีออกจากวงแขน แต่ไม่ได้รับความร่วมมือซ้ำแล้วยังถูกรัดแน่นขึ้น อีกฝ่ายพลิกตัวเข้ามารั้งผมไปแนบอก พอหันไปตวัดสายตาเคืองๆใส่ เจ้าของห้องก็เพียงส่ายหัว ยกนิ้วชี้ขึ้นจุปากเชิงให้หยุด


           การกระทำนิ่งๆยังไม่เท่าคำอ้อนวอนที่สะท้อนบนแววตาของอีกคน ทำเอาคนมองใจอ่อนยวบยอมหยุดดิ้นแต่โดยดี มือแกร่งเลื่อนลงมาเกาะเอวผมไว้หลวมๆพร้อมลูบไปมาแผ่วเบา


           และนั่นทำให้สติผมกระเจิง


           ความรู้สึกประหลาดแล่นวูบขึ้นมาตั้งแต่ปลายเท้าราวกับไฟจุดติด ผมเม้มปากแน่น หันหน้าหนีลมหายใจร้อนๆ ลำตัวเหมือนถูกสาปไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อน


           “กลัวเราขนาดนั้นเลย..”


           เสียงทุ้มเอ่ยแกมตัดพ้อ ผมไม่รู้จะตอบยังไง มันไม่เชิงกลัว แค่ไม่ชินกับการสัมผัสเนื้อต้องตัวกันมากกว่า


           แต่ไหนแต่ไรทำมากสุดก็...จูบในคืนวันสิ้นปี


           นอนซ้อนหลังกันอยู่แบบนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่..


           “ขอโทษ”


           “...”


           “กลัวจะไม่ได้กอดแล้ว..”


           เขาตั้งท่าจะคลายอ้อมแขนออก ความวูบโหวงตีรวนขึ้นมา ชั่ววินาทีนั้นใจผมกลับสั่งการให้ทำตรงกันข้าม รั้งท่อนแขนของคนตัวสูงไว้ให้วางลงบนตำแหน่งเดิม


           แล้วสอดประสานนิ้วลงบนมือของเขา..


           เป็นฝ่ายเจ้าของห้องที่ชะงักงัน แต่ก็เป็นเพียงไม่กี่วินาที หลังจากนั้นคนสูงกว่าก็บีบกระชับตอบกลับมา เสียงหัวเราะน้อยๆทำให้ยิ้มออกมาได้อย่างสบายใจ


           “อื้อ เจ็บ”


           ปลายคางแหลมๆวางลงบนหัว กดลงมาราวกับหยอกล้อ มือข้างที่ว่างก็ยกโทรศัพท์เล่นโชว์ให้เห็นกับแบบจะๆ นิ้วโป้งของอีกคนไถหน้าจอไปเรื่อยเปื่อย เสียงแจ้งเตือนดังเข้ามาเป็นระยะไม่มีขาดช่วง


           ฮอตเหลือเกินนะพ่อคุณ..


           “ไม่รำคาญบ้างอ่อ”


           “อะไรนะ”


           “เปล่า หมายถึงแจ้งเตือน..”


           “แอบดูเค้าเล่นอะดิ”


           “ก็มันอยู่ตรงหน้าเราเลยไหมอะ” ผมบุ้ยปาก ชี้หลักฐานให้เห็นกันชัดๆ


           อีกฝ่ายกดปุ่มล็อค โยนโทรศัพท์ลงพลางชะโงกหน้าเข้ามาใกล้


           “อันนี้เรียกว่าถามเฉยๆหรือเรียกว่า..หึง”


           “ห—ถามเฉยๆ!”


           เกือบหลงกลคนเจ้าเล่ห์เข้าแล้ว เฟิร์สเลิกคิ้วคล้ายกับไม่เชื่อ กระตุกยิ้มมุมปากก่อนก้มลงมากดจมูกกับแก้มผมแรงๆ


           “มันเขี้ยว”


           สำหรับเฟิร์สไม่เคยรู้จักคำว่าครั้งเดียว คนตัวสูงยังคลอเคลียสูดดมไม่หยุด คำว่าพอดูเหมือนจะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ในที่สุดก็รวบรวมแรงดันอีกคนออกให้ตัวเองได้หายใจ


           ในตอนนั้น..ดวงตาสีนิลกวาดตามองทั่วใบหน้า ก่อนไล่ระดับสายตาลงมาที่...ริมฝีปาก


           พลันหัวใจหยุดเต้นเมื่ออีกคนโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจร้อนๆริดรดที่ข้างแก้ม ผมไม่ได้เบือนหน้าหนี ทำแค่เพียงหลับตาลงช้าๆ


           ราวกับยอมจำนน..


           สัมผัสผะแผ่วกดลงบนริมฝีปาก ความแปลกใหม่แตกต่างไปจากครั้งที่แล้วพรากสติตัวเองหลุดจางหาย ดึงให้ดำดิ่งลงไปกับห้วงภวังค์ที่อีกฝ่ายหยิบยื่น รสชาติเย้ายวนติดปลายลิ้นมอมเมาชวนหลงระเริง ภายในจิตใจพร่ามัวไปหมดเมื่อมือหนาออกแรงคลึงปลายคางให้ริมฝีปากเผยอออก..


           ใจสั่นไหวจนบีบรัดไปหมด เหมือนร่างกายตัวเองถูกควบคุมโดยคนตัวสูง ไม่มีแรงแม้กระทั่งจะสั่งการหายใจ เขากวาดต้อนผมจนมุม แต่ทิ้งความอ่อนโยนให้ใจเต้นระรัวคล้ายฝูงผีเสื้อบินวนเวียนอยู่ข้างใน


           เชื่องช้า...อ้อยอิ่งและละเมียดละไม


           ก่อนค่อยๆเคลื่อนเปลี่ยนเป้าหมายเป็นซอกคอ ประทับจูบลงไปหนึ่งครั้ง สองครั้ง..สามครั้งและไล่ต่ำลงไปเรื่อยๆ


           “เป็นที่หนึ่ง”


           “...”


           “ห้าม..ห้ามเราตอนนี้ ผลักเราออกไปแรงๆ”


           หากร่างกายที่เลอะเลือนสติสัมปชัญญะ ทว่าใจสะกดให้ผมหยุดนิ่ง ทบทวนกับตัวเองด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มีและตัดสินใจรั้งใบหน้าคมขึ้นมา ก่อนสัมผัสเช่นเดียวกันกับที่เขาทำ


           อ้อมกอดรักแน่นเฉกเช่นพันธะบางๆผูกรั้งหัวใจเราทั้งคู่ เขาส่งมือขึ้นมาลูบข้างแก้ม กระซิบถามเสียงสั่น


           “ถ้ามันเกิดขึ้น..ที่หนึ่งจะเสียใจหรือเปล่า”


           “...”


           “...”


           “เป็นเฟิร์ส..เราไม่เคยเสียใจ”


           ไม่เคยเสียใจเลยสักครั้งเดียว..


           ความอดทนเส้นสุดท้ายได้สิ้นสุดลง การกระทำที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนและนุ่มนวลของอีกฝ่ายคล้ายร่ายมนตร์ให้หลงลืมโลกแห่งความเป็นจริง ฝ่ามือลูบไล้ช้าๆไปตามสัดส่วนของเรือนร่างให้คนได้รับคล้อยตาม ปลดเปลื้องพันธนาการให้รับรู้ถึงตัวตนของกันและกันชัดเจน


           อีกฝ่ายสวมกอดเข้ามาอีกครั้ง ยกหลังมือขึ้นจุมพิต ผ่านขึ้นไปตามเรียวแขนด้วยริมฝีปากร้อนระอุ พลันตวัดสายตาคมจับจ้องไปที่คนใต้ร่างด้วยแววตาพราวเสน่ห์ เร่งเร้าให้วูบวาบ ปั่นป่วนจนแทบลืมลมหายใจ


           “เราจะไม่โกหกว่ามันไม่เจ็บ”


           “...”


           “แต่จะทำให้เจ็บน้อยที่สุดนะ..”


           ท่อนแขนแข็งแรงคร่อมลง คืบคลานเข้าใกล้ กระเซ้าเย้าแหย่จนคนถูกกระทำต้องซบใบหน้าลงกับหมอนอย่างยอมแพ้ ไอความร้อนจากตัวอีกฝ่ายยิ่งทำให้เลือดสูบฉีดไปทั่วร่าง อีกฝ่ายฉวยโอกาสทีเผลอค่อยๆจับข้อเท้าให้กางออกโดยที่ไม่ให้รู้สึกตัว


           “ฮ...อะ”


           “ชู่ว...ที่รัก อย่าเกร็ง...”


           ความเจ็บที่แล่นริ้วเข้ามาเรียกสติให้กลับมาโดยพลัน คนตัวสูงหยัดกายเข้าหา พลางพรมจูบไปทั้วลาดไหล่ วนมาข้างแก้มก่อนหยุดที่ริมฝีปากอีกครั้งพร้อมช้อนเอวขึ้นมากกกอดไว้ด้วยความหวงแหน


           แปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนในไม่ช้า ความอบอุ่นถูกเติมเต็มเข้าทันทีอย่างไม่ต้องร้องขอ จังหวะเนิบนาบแต่หนักแน่นแฝงไปด้วยความรักทั้งหมดที่มี สัมผัสแสนทะนุถนอมชวนลุ่มหลงให้ตกอยู่ในอ้อมกอดของเขาแค่เพียงคนเดียว..


           “ฟ..เฟิร์ส..”


           แววตาคมจับจ้องมองคนใต้ร่างทุกวินาทีดั่งคำสัญญาว่าจะไม่เหลียวแลใครอีก ก้มลงมาด้วยแรงโน้ม เสียงกระซิบโชยตามสายลมให้สลักลึกลงในหัวใจ


           “รัก...รักมากที่สุด”


           เม็ดฝนและพายุกรรโชกราวกับสักขีพยาน กลบซุ่มเสียงอื่นให้ล่องลอยหายไปกับเมฆหมอก สายตาเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่กำลังถ่ายทอดให้แก่และกัน


           ผมหลับตาลงภาวนาร้องขอคำอ้อนวอนให้ส่งไปถึงฟ้าช่วยยืดเวลาออกไปอีกสักหน่อย..อย่างน้อยก็แค่ตอนนี้


           ตอนที่ยังได้อยู่ด้วยกัน





หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r e i g h t e e n บทจบ] , 180518
เริ่มหัวข้อโดย: miralchs ที่ 18-05-2018 01:13:51
(ต่อ)

           “เตรียมครบหมดแล้วใช่ไหมที่หนึ่ง”


           “ครับ”


           “ขาดเหลืออะไรหรือเปล่า ให้ม๊าเช็คดูอีกทีไหม”


           “เช็ครอบที่ห้าแล้วครับม๊า” ผมพูดปนขำ


           ถึงจะเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้วก็ไม่คิดว่าจะมาถึงเร็วขนาดนี้ ข้าวของเครื่องใช้ในห้องตัวเองถูกจับยัดลงกระเป๋าไปเสียครึ่ง มองเข้าไปเห็นห้องโล่งก็ทำเอาใจหาย อยู่บ้านหลังนี้มาได้สิบแปดปีเต็ม จะตัดใจไปอยู่ต่างถิ่นเป็นปีมันไม่ได้ง่ายเลย


           แต่..นกในกรง สักวันก็ต้องหัดบินด้วยตัวเอง


           บินออกไปให้รู้ว่ารอบข้างมีอะไร บินออกไปให้รู้จักโลกใบใหญ่ เพราะสุดท้ายที่อยู่ของมันจริงๆ..ก็บินกลับมารังเดิม


           อีกไม่ชั่วโมงเครื่องก็จะออกแล้ว เส้นทางไปสนามบินก็ยังเป็นเส้นทางเดิมที่เคยไป แต่ครั้งนี้ความรู้สึกมันแตกต่างกว่าทุกครั้ง ผมมองออกไปนอกรถ ทอดสายตาไปตามข้างทาง คงไม่ได้เจอกันอีกหลายปี กว่าจะถึงตอนนั้นกลับมาอะไรหลายอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว


           มองเสี้ยวหน้าของบุพการีทั้งสอง


           จะอยู่ด้วยกันสองคนได้หรือเปล่านะ..


           ช่างเป็นเรื่องตลกร้าย..อุตส่าห์มีลูกพร้อมหน้าพร้อมตาสามคนกลับแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง


           พวกท่านแบกรับภาระอะไรในใจไว้บ้าง..ผมไม่เคยรู้


           บางครั้งก็อยากถามแต่ปากมันหนักอึ้งเหมือนมีคนเอาหินมาถ่วงไว้ จึงได้แต่แสดงออกผ่านการกระทำเท่านั้น


           ถ้ากลับมาอีกทีอายุพวกท่านรวมกันก็ร้อยกว่าปีแล้ว ผมดูเป็นลูกที่แย่เกินไปหรือเปล่าถ้าปล่อยให้พวกท่านใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตามลำพัง แม้มีความคิดชั่ววูบเคยอยากให้ย้ายไปอยู่ทั้งครอบครัว แต่มันทำได้เสียที่ไหน


           ต่างคนต่างมีภาระหน้าที่เป็นของตัวเอง


           “ไม่ต้องคิดมาก เป็นที่หนึ่ง”


           คล้ายอ่านใจออก เสียงทุ้มพร่าของคนเป็นพ่อดังขึ้น แววตาอ่อนแสงมองผ่านกระจกมายังผมที่นั่งอยู่ข้างหลัง


           “ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด”


           อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้ผมยอมรับในตัวของเขาได้อย่างรวดเร็ว


           อาจเพราะความเป็นพ่อลูกที่ตัดกันไม่ขาด


           หรือเพราะความเข้าใจ..แม้ไม่ต้องพูดก็สัมผัสถึงกันได้


           รถเคลื่อนตัวมาสนามบินเรียบร้อย เข็มบนหน้าปัดนาฬิกายังทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดี ผมดูหนังซูเปอร์ฮีโร่มามากจนนับไม่ถ้วน แอบคิดว่าถ้าตัวเองมีพลังวิเศษอย่างคนพวกนั้นบ้างจะทำอะไรกับมันดี


           ผมคงไม่ขอให้เวลามีมากขึ้นหรือเดินช้าลง ไม่ขอไทม์แมชชีนย้อนอดีตและไม่ขอเทเลพอร์ตวาร์ปไปอนาคตด้วย..


           แต่จะขอให้เวลาทุกวินาทีมันคุ้มค่าสำหรับการใช้ชีวิตอยู่ไม่ว่าจะตัดสินใจเลือกเส้นทางไหนก็ตาม


           พระเจ้าไม่ได้สร้างให้มนุษย์เดินวนลูป มันเป็นเส้นตรงที่ต้องก้าวไปข้างหน้าเท่านั้น และระหว่างทางก็เป็นเรื่องราวให้โชคชะตาฟ้าลิขิตกำหนดภายใต้กฎเกณฑ์ของแต่ละคน ในบางทีอาจฝืนคำสั่งนอกเหนือบ้าง แต่สุดท้ายคนที่ออกคำสั่งชัดเจนได้มากที่สุดก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากตัวเอง


           ถ้อยคำคัดค้านก่อตัวขึ้นแข่งกับเส้นทางที่เลือก ความย้อนแย้งในผมมันเพิ่มมากขึ้นในทุกวันจนต้องหาคำปลอบใจต่างๆมากลบความรู้สึกนั้น ภายนอกอาจดูเป็นคนที่แน่วแน่ เถรตรง ทั้งที่ในใจตอนนี้สั่นคลอนเหมือนยืนด้วยปลายนิ้วเท้าข้างเดียว


           ไม่รอดก็ต้องรอด


           แค่จะอยู่ได้เองหรือเปล่า..


           เพราะผมเอาสิ่งสำคัญไปด้วยไม่ได้สักอย่างนอกจากตัวและจิตใจ


           ทั้งครอบครัว เพื่อนฝูง..หรือคนรัก


           สุดท้ายอยากปีกกล้าขาแข็งบินออกจากกรงแค่ไหน เอาเข้าจริงก็ตัวสั่นไม่กล้ากางปีกด้วยตัวเองอยู่ดี


           “ที่หนึ่ง!!”


           “แม่ง กูนึกว่าจะมาไม่ทัน”


           ใบหน้าคุ้นชินของมิตรสหายร่วมกลุ่มทั้งสี่โผล่มาให้เห็นเหมือนรู้ใจ ต่างวิ่งกระหืดกระหอบมาจนต้องเอ่ยปากบอกให้ใจเย็น พร้อมชี้เวลาให้ดูว่ายังไม่ใช่เร็วๆนี้


           “ร่างกายกูยังไม่ได้โดนน้ำตั้งแต่เมื่อคืน รีบมาหาเลยนะเนี่ยรู้ป้ะ”


           “อันนี้ต้องดีใจใช่ไหม”


           “เออสิวะ”


           ผมยิ้มเล็กๆ ยอมไม่ด่าสักวันถือเป็นเคล็ดแล้วกัน


           ย้ายสังขารไปยังที่นั่ง สนามบินไม่เป็นอุปสรรคต่อการพูดคุยเป็นลิงจ้อของพวกนี้ ฟังเกือบไม่ทันและต้องยกมือปรามให้เล่าทีละคน


           ชีวิตประจำวันของเพื่อนไม่ดูน่าเบื่อเลยสักนิด ให้นั่งฟังเป็นวันก็ยังได้ ผมลอบมอง ใช้สายตาจดจำใบหน้าของทั้งสี่คนให้ขึ้นใจ


           โชคดีจริงๆที่ได้มีเพื่อนคอยเคียงข้างมาตลอด…


           เวลายังนับถอยหลังลงไม่สิ้นสุด จวบจนถึงยามสมควร ถึงได้ไล่สวมกอดทีละคน เต้ยกหลังมือเช็ดน้ำตาป้อยๆ เกาะหลังผมไว้แน่น


           “อย่าลืมกู”


           “นิสัยแบบนี้ก็ไม่น่าจะลืมง่ายหรอก”


           “ด่าหรือชมวะกูงง”


           “คิดว่าไง”


           มั่นใจว่าความกวนตีนของตัวเองพุ่งสูงขึ้นจากแต่ก่อนเป็นสิบเท่า ซึมซับจากอีกคนมาจนกลัวว่าจะกลายเป็นคนมากเล่ห์เข้าสักวัน


           แต่ตัวการ..ยังไม่มาเลย


           คิดถึงคืนนั้นหน้าก็ร้อนวูบขึ้น ยังจดจำร่องรอยการกระทำทุกอย่างได้อย่างขึ้นใจ จำสายตา ท่าทางของอีกคนได้ยิ่งกว่าเนื้อหาการเรียนในทุกเรื่อง ประสาทสัมผัสที่รับรู้ทุกการเคลื่อนไหว..ให้ตายก็ลืมไม่ลง


           ผมก้มมองดูนาฬิกา เหมือนโชคชะตาอยากล้อเล่นกับผมอีกสักหน่อย ถึงได้บันดาลวันสอบของคนตัวสูง..เป็นวันเดียวกับที่ผมต้องไป


           ไม่มีอะไรยืนยันว่าเขาจะมาทัน..


           หากคำว่าว่า ‘เชื่อ’ คำเดียวก็ทำให้ผมมั่นใจ


           ในตอนนั้น..สายตาหันไปประสานกับเขาที่โดดเด่นออกมาจากคนอื่นพร้อมกับขายาวก้าวเข้ามาใกล้


           และคำว่าเชื่อของผมก็ไม่มีอะไรมาทำลายมันลงได้เลย


           ใบหน้าติดยิ้มจางๆเต็มไปด้วยเหงื่อผุดพรายพร้อมกับเสียงหอบหายใจ บนตัวยังสวมชุดนักเรียนที่ชายเสื้อ           หลุดลุ่ยออกมาจากกางเกง


           ผมร้องไห้อีกแล้ว


           บ่ายสองสิบห้านาทีเป็นเวลาเลิกสอบ..และเป็นเวลาที่เขามายืนตรงหน้าผม


           แค่คิดว่าอีกคนรีบทำให้เสร็จเพราะต้องมาส่งให้ทันขึ้นเครื่อง ความรู้สึกข้างในก็ท่วมท้นจนต้องระบายออกมาด้วยหยดน้ำตา


           ไม่ใช่เพราะเสียใจแต่เป็นเพราะรัก


           รัก..ที่เข้าใจได้โดยไม่ต้องใช้คำพูด


           “อย่าร้องไห้”


           “ฮ..ฮึก เราทำไม่ได้ ไปทั้งที่ไม่มีเฟิร์ส..ไม่ได้”


           “ได้ ที่หนึ่งอยู่ได้”


           แขนแกร่งตวัดโอบรัดรอบคอรั้งให้เข้าใกล้ชิด ซุกใบหน้าคมลงบนลาดไหล่เล็ก ร่างสูงตัวสั่นไหวคล้ายอดกลั้นน้ำตาไว้


           สถานการณ์บีบบังคับให้คนหนึ่งอยู่และอีกคนต้องไป..


           มันยากเกินกว่าที่จะยอมรับได้ง่ายจริงๆ


           “อีกไม่นาน...”


           “…”


           “รอ รอเฟิร์สก่อนนะ”


           เสียงทุ้มบอกกล่าวเป็นคำมั่นสัญญา ก่อนค่อยๆผละออกแม้ใจอยากรั้ง


           ในนาทีสุดท้าย หลังจากเสียงประกาศเรียกผู้โดยสารดังขึ้น ผมเขย่งปลายเท้า ยืดตัวป้องปากกระซิบชิดริมหูของคนตัวสูง


           หากเป็นการแข่งขัน ระยะทางคงคล้ายกฎกติกา ส่วนกาลเวลาเป็นตัวติดสิน


           และรางวัลของผู้ชนะ..คือหัวใจ

 


           “รักของเป็นที่หนึ่ง..”

 


           รอจนกว่าจะได้พบกันอีกครั้ง







 ♥






           ชาติที่แล้วผมอาจจะไปทำบุญทำกรรมกับแมวไว้แน่ๆ


           ถอนหายใจ ก้มลงมองสัตว์สี่เท้าที่ข่วนเข้ามาบนขาเต็มแรง จะชักหนีตัวฟูๆนั่นก็ล้มนอนทับลงมาราวกับเมินเฉย ลำบากต้องทรุดตัวนั่งลงแล้วยกเจ้าอ้วนสีขาวออกไปจากเท้าตัวเอง


           อลิซ แมวประจำหอพักที่มักจะมาป้วนเปี้ยนรอบตัวประหนึ่งว่าผมเป็นเจ้าของ ดูไปดูมาก็คล้ายเจ้าเหมียวที่บ้านไม่หยอก ติดอยู่ตรงว่าชอบข่วนแรงๆให้เลือดซิบนี่แหละนะ ไม่รู้ว่าเพราะรักแรงจึงแกล้งแรงหรือเพราะเกลียดเข้าไส้กันแน่


           เพราะไม่หยั่งรู้ความคิดแมว ถึงยอมเล่นด้วยทุกครั้งแม้จะโดนประทุษร้าย แต่วันนี้คงไม่ได้ นัดจากเพื่อนใหม่เร่งให้ผมต้องเขยิบถอยจากก้อนกลมๆ คว้ากระเป๋าสะพายแล้วก้าวเท้าไปยังรถโดยสาร


           การไปผิดเวลานัดในสภาพแวดล้อมสังคมแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดีนัก นิดๆหน่อยๆก็พาลให้รู้สึกผิดแล้ว คนที่นี่ใจกว้างและซื่อตรง แต่ก็แฝงไปด้วยความเด็ดขาด ชีวิตวิถีความเป็นอยู่ระยะเกือบครึ่งปีค่อยๆซึมซับเข้าไป อะไรที่ไม่เคยหรือไม่ชินเวลาก็ช่วยให้ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ผมไม่ได้รู้สึกแปลกแยกไปจากคนอื่นสักเท่าไหร่ คงเป็นเพราะความโชคดีที่ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเพื่อนหลายเชื้อชาติ


           ด้วยความแตกต่างกันจากอะไรหลายอย่าง บางสิ่งก็ไม่ได้เป็นไปตามใจคิดไปเสียหมดและต้องค่อยๆเรียนรู้เอง ประสบการณ์แปลกใหม่หาได้ยากจากถิ่นเดิมเป็นเหมือนแรงผลักดันให้ใช้ชีวิตนักศึกษาของที่นี่ต่อไปเรื่อยๆ มันไม่น่ากลัวอย่างที่เคยคิด ผมรู้สึกดีกับความเป็นอยู่ในตอนนี้ ความเหงาหงอยเศร้าสร้อยคล้ายอารมณ์ชั่ววูบ พัดมาแล้วก็จางหายไป


           แต่สิ่งที่ยังสลักลึกอยู่..คงเป็นความคิดถึง และมันมากเพิ่มขึ้นทุกวัน


           ใต้ก้นบึ้งจิตใจยังเรียกร้องหาคนทางนั้นอยู่ตลอดเวลา การรอคอยนับวันยิ่งผ่านไปอย่างเชื่องช้า สร้างความทรมานให้คนทั้งสองฝ่าย ผมไม่เคยจดจ่อกับปฏิทินเลยสักครั้งจนได้มาเจอด้วยตัวเอง หมึกปากกาซึมขีดลงบนตัวเลขเหมือนเครื่องย้ำเตือนและกลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่ทำมาตลอด รู้ว่าเป็นข้อเสีย แต่ก็ห้ามตัวเองไม่ได้ทุกครั้ง


           คนเราจะรอคอยได้นานมากที่สุดแค่ไหน


           คอยเฝ้าถามในใจ แต่ผมก็ยังไม่มีคำตอบให้อยู่ดี


           รถเทียบจอดข้างฟุตบาท เหมือนผมจะมาถึงก่อนเพื่อนที่เหลือ โดมขนาดใหญ่ตรงหน้ากับกลุ่มคนประปรายบอกให้รู้ว่าลงไม่ผิดป้าย เวลาจัดนิทรรศการอีกไม่นาทีก็จะเริ่มต้นขึ้น ผมกดส่งข้อความไปบอกคนนัดหมายว่าจะเดินดูรอบๆก่อน ถ้ามาถึงก็เข้าไปได้เลยไม่ต้องรอ


           อันที่จริงก็ไม่ใช่เป็นคนมีหัวทางด้านนี้ ทบทวนรายการแข่งขันวิชาการที่ผ่านมา วิชาแรกและวิชาเดียวที่ผมไม่เคยแตะต้องคือ..ศิลปะ


           มันไม่มีสูตรตายตัวเหมือนฟิสิกส์ ไม่มีคำตอบที่พิสูจน์ได้เหมือนชีววิทยา ไม่มีกฎเกณฑ์ข้อบังคับเหมือนคณิตศาสตร์


           แต่เป็นจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ที่แตกต่างออกไปจากแต่ละคน


ไม่มีแม้แต่นิยามหรือความหมายตายตัว ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับมุมมองของบุคคลนั้นๆ ผมเงยหน้ามองรูปวาดบนฝาผนังด้วยความรู้สึกเรียบเฉย ไม่สามารถวิเคราะห์วิจารณ์ได้ว่าดีหรือไม่ดี มนุษย์เช่นผมไม่คุ้นเคยกับศาสตร์ด้านนี้มาก่อน แม้กระทั่งจะผสมสีให้ได้ดั่งใจก็นับว่าเป็นเรื่องยากแล้ว


           นั่นแหละ ผมถึงได้เชื่อว่าบนโลกนี้..ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ



           อากาศเย็นๆยามสายขับกล่อมให้ง่วงงุน นิทรรศการกลางแจ้งไม่ได้ปิดทึบอยู่ในอาคารส่งผลให้แสงแดดสาดส่องเข้ามาได้อย่างง่ายดาย ตามทางเดินกว้างขวางจุคนได้เต็มที่ ซ้ำแล้วยังมีหลายแยกชวนให้งงงวย


           สมแล้วที่เป็นงานใหญ่


           จุดประสงค์ในการมาที่นี่ของผมคืออะไรกัน จะตอบว่าเป็นเพราะคำชักชวนของเพื่อนก็พูดได้ไม่เต็มปาก


           บางทีอาจเป็นเพราะ...คิดถึง


           คนรู้จักในชีวิตของผมมีหัวทางศิลป์อยู่เพียงไม่กี่คนและเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น


           แล้วก็ดันไม่ใช่แค่คนรู้จักด้วย..


           การมาเดินเล่นปลดปล่อยร่างกายให้ผ่อนคลายหลังจากเรียนอย่างหนักหน่วงมาติดๆกันเป็นอาทิตย์ย่อมเป็นเรื่องน่าสนใจ แต่ความจริงมันก็เป็นเพียงข้ออ้างมากกว่า ผมกวาดสายตามองภาพวาดแต่ละรูปอีกครั้ง แม้จะตัดสินหรือวิจารณ์ไม่ได้ แต่ถ้าให้ตอบตามความรู้สึก...ใจผมก็นึกถึงคนทางนั้นไปแล้ว


           ป่านนี้..จะเรียนเป็นยังไงบ้างนะ


           เรายังเหมือนเดิม ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เปลี่ยนแปลงดั่งคำพูดที่อีกฝ่ายมอบไว้ ความรู้สึกในอดีตเป็นยังไงตอนนี้ก็ไม่ต่าง เพียงแต่มีเรื่องอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องเท่านั้น..


           เวลานอนของผมคือเวลาตื่นของเขา ช่วงผมกลับจากมหาวิทยาลัยนั่นคือตอนที่เขากำลังเรียน


           มันไม่เหมือนกับมัธยม คำว่านักศึกษามาพร้อมกับหน้าที่ต่างๆให้แบกรับ จะเอาแต่ใจเหมือนเมื่อครั้งเป็นนักเรียนก็ไม่ได้ ยิ่งช่วงนี้ต่างฝ่ายต่างพากันยุ่งจนแทบจะไม่ได้ติดต่อกัน ใจที่มีแต่เขาก็อดจะคิดถึงไม่ได้จริงๆ


           เสียงสั่นจากโทรศัพท์เป็นข้อความตอบรับจากเพื่อนต่างถิ่น ผมเก็บมันลงกระเป๋ากางเกง เหม่อมองไปเรื่อยๆไม่ได้หยุดอยู่กับผลงานชิ้นใดเป็นพิเศษ จนเดินเข้ามาในส่วนของภาพวาดจากบุคคลทั่วไป บนทางเดินยาวมีคนสวนผ่านไปมาเป็นระยะ คุ้นหน้าใครคนหนึ่งเหมือนเป็นศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย ผมก้มหัวทักทายเป็นมารยาท ก่อนผละออกมา


           พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นรูปหนึ่งเข้า


           เป็นรูปที่เหมือนไม่มีอะไรแต่ก็มี...


           ถึงจะไม่มีหัวทางด้านศิลปะก็ใช่ว่าจะไม่รู้เลยว่าภาพวาดนี้คืออะไร บนผ้าใบขนาดใหญ่กับสีอะคริลิคแต้มเป็นรูปของดวงตาใครสักคนที่สะท้อนเงาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง


           ผมเงยหน้าจ้องมองด้วยความประหลาดใจพร้อมกับขมวดคิ้วครุ่นคิด ความคุ้นเคยกับลายเส้นชวนให้ฉุกคิดถึงคนตัวสูง มีความคิดชั่ววูบเข้ามาว่าผู้ชายในภาพคล้ายคลึงกับตัวเองอย่างบอกไม่ถูก


           ยืนอยู่ตรงหน้ารูปเป็นหลายนาที พยายามมองหาชื่อศิลปินที่สร้างสรรค์ผลงานแต่ก็ไม่เจอ ซ้ำลายเซ็นยังถูกกลบด้วยสีจนมองไม่ออก


           ติดค้างในใจจนอยากยกกล้องกดชัตเตอร์เก็บไว้ ผมสบตากับรูปวาดนั้นผ่านช่องมองภาพ และ...


           “ผมชอบรูปนี้”


           ภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่งๆดังขึ้นข้างตัวทำให้ผมหันไปมองอย่างตกใจ คนแปลกหน้าเดินเข้ามาแบบไม่ให้สุ้มไม่ให้เสียง ผมผงกหัวก่อนก้าวเท้าออกให้คนมาใหม่ได้พิจารณารูปตรงหน้าชัดๆ


           “ผมเห็นรูปนี้ข้างในงาน พอได้ออกมามองของจริงก็สวยเหมือนที่คิดไว้”


           “…”


           ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมยืนฟังเขาอยู่เงียบๆ


           “ภาพสวยก็จริง แต่ความหมายที่เขาสื่อออกมาลึกซึ้งจนผมต้องปรบมือให้เลยล่ะ คุณได้เข้าไปฟังหรือเปล่า”


           ผมส่ายหน้า


           “น่าเสียดาย แต่อีกสักหน่อยเขาก็ออกมาแล้ว”


           “…”


           “คุณก็คงจะได้ฟัง...”


           เป็นความคิดที่น่าหัวเราะสิ้นดี ผมเลือกยืนอยู่ตรงนี้กับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ ทั้งที่ควรจะเข้าไปข้างในงานตามนัดหมายของเพื่อนได้แล้ว แต่จิตใต้สำนึกกลับกู่ร้องขึ้นมาว่าผมไม่ควรไปไหน


           นาน..กว่าครึ่งชั่วโมง


           เอาเข้าจริงนับเวลาที่เสียไปผมคงเดินครบทุกซอกทุกมุมแล้ว


           คนแปลกหน้าหายไปในตอนที่ผมไม่ทันได้สังเกต ส่ายหน้าระอาให้กับความคิดตัวเองจะว่าอยู่ไปเพื่ออะไร


           จังหวะที่กำลังจะผละออกไป เสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาใกล้ก็ฉุดรั้งให้ผมยืนนิ่งอยู่กับที่





           และหยุดนิ่งไปทุกส่วน..



 

           เคยได้ยินเรื่องเล่าในนิทานปรัมปราว่าหากสบตากับใครสักคนแล้วโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะแสดงว่าคุณกำลังตกหลุมรักใครคนนั้นแม้เป็นเพียงแค่แรกพบ


           แล้วถ้าคนนั้น...ไม่ใช่คนที่เจอกันครั้งแรก


           ผมอาจจะตกหลุมรักอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า


           ราวกับหยุดเวลาไว้โดยไม่ต้องพึ่งเวทมนตร์ เข็มวินาทีเดินผ่านไปอย่างเชื่องช้าในความรู้สึก คล้ายกับสติหลุด           ลอยคว้าง ดวงตาพร่ามัว แต่เห็นเขา..ได้ชัดเจนกว่าใคร


           “ดีใจที่คุณชอบภาพนี้”


           “…”


           “อันที่จริง..ผมวาดไว้นานมาก แต่ยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้ตลอด”


           “…”


           “ผู้ชายในรูปคือคนสำคัญที่สุดของผม เป็นรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ กำลังใจ...”


           วินาทีที่ปลายนิ้วของเราทั้งคู่แตะกันคล้ายกระแสไฟฟ้าวิ่งพล่านไปทั่วร่าง


           “เป็นทุกอย่างในชีวิต..”


           “…”


           “และเขาอยู่ตรงหน้าผม”


           ความอบอุ่นในครั้งอดีตที่เคยได้รับถูกส่งผ่านจากการกอบกุมฝ่ามือ สัมผัสคุ้นเคยทำให้ผมยิ้มกว้างออกมาแม้ดวงตาจะพร่าเลือนไปด้วยน้ำใส


           เวลาที่หล่นหายไปเหมือนได้รับการเติมเต็มอีกครา..


           และผมไม่เคยเสียใจสักวินาทีเลยที่ได้รอ


           “รู้หรือเปล่าว่าทำไมถึงมีแค่คุณคนเดียวที่ได้อยู่ในรูปนั้น..” อีกฝ่ายรั้งเข้าไปกอด


           “เพราะ...ไม่ว่าคุณจะเป็นที่หนึ่งเรื่องอะไรหรือเป็นลำดับที่เท่าไหร่สำหรับคนอื่น”


           “...”


           “แต่สำหรับผม คุณ ‘เป็นที่หนึ่ง’ มาตั้งแต่ครั้งแรก


 

           ...และจะเป็นตลอดไป”

 

 



 
ชั่วชีวิตหนึ่งผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า...ผมต้องการเป็นที่หนึ่งในเรื่องอะไร

..ในวันนี้ผมได้รู้จักแล้ว

ความหมายที่แท้จริงของคำว่า ‘เป็นที่หนึ่ง’



_____________________________________

สวัสดีค่ะ ♡

ในที่สุดเป็นที่หนึ่งก็ได้ดำเนินมาจนถึงปลายทางเรียบร้อยแล้ว

ตลอดระยะเวลา 2 เดือนกว่า เป็นช่วงที่ดีที่สุดสำหรับครึ่งปีแรกของเรา

ไม่คิดว่านิยายพล็อตธรรมดา เป็นชีวิตของนักเรียนม.ปลายทั่วไปจะมาได้ไกลขนาดนี้

ทั้งกำลังใจ ทั้งคอมเม้นท์ รวมถึงคำติชม เป็นแรงผลักดันให้นิยายเรื่องนี้จบลงได้อย่างสมบูรณ์

เราขอบคุณทุกคนจากใจอีกครั้งจริงๆค่ะ

อาจจะไม่ใช่ตอนจบที่ดีที่สุด แต่มันเป็นตอนจบสวยงามที่สุดสำหรับทั้งสองคนแล้วค่ะ : )

ยังเหลือบทส่งท้าย...จากคนที่รักเป็นที่หนึ่งตั้งแต่แรกพบ

ไว้เจอกันครั้งสุดท้ายในตอนต่อไปนะคะ

#เป็นที่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r e i g h t e e n บทจบ] , 180518
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 18-05-2018 03:02:19
งงๆ กับชีวิตครอบครัวที่หนึ่งนิดหน่อย
ผู้เขียนอาจอธิบายแล้วแต่เราอาจอ่านข้ามไปตรงไหนสักบท
บทจบเขียนดี ลื่นไหล และดีที่สุดในเรื่องนี้เลย
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r e i g h t e e n บทจบ] , 180518
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-05-2018 03:27:38
ยิ้มได้ ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r e i g h t e e n บทจบ] , 180518
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 18-05-2018 07:12:16
คู่นี้ได้มีความสุขกันสักที :o8:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r e i g h t e e n บทจบ] , 180518
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 18-05-2018 08:51:43
มีความสุขสักทีน้าาาาาา  ขอบคุณมากค่าที่แต่งเรื่องนี้ขึ้นมา
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r e i g h t e e n บทจบ] , 180518
เริ่มหัวข้อโดย: tungz ที่ 18-05-2018 13:49:47
เนื้อเรื่องละมุนมากกก คือดีมาก ชอบมากก หาเรื่องแบบนี้มานาน ดีใจที่ในที่สุดก็เจออ่ะ
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r e i g h t e e n บทจบ] , 180518
เริ่มหัวข้อโดย: miralchs ที่ 19-05-2018 15:53:57
E p i l o g u e ♥

           เฟิร์ส

           นิยามศัพท์ในความหมายของภาษาไทยแปลได้ว่า..ที่หนึ่ง

           ทำหน้าที่เป็นส่วนขยายในรูปประโยค

           แต่ไม่ใช่ในชีวิตจริง

           หากเปรียบเทียบรอบข้างเป็นจักรวาลอันกว้างใหญ่ จำกัดวงแคบลงมาให้เป็นระบบสุริยะ สิ่งที่แทนตัวตนของเขาจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากดาวเคราะห์ที่เรียกว่า..โลก

           ในวันสุดท้ายของปี สิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆได้กำเนิดขึ้นในบ้านหลังใหญ่ มีพ่อแม่ เครือญาติมากมายร่วมอวยพรให้เด็กชายตัวน้อยเติบใหญ่เป็นคนดี คำอธิษฐานนั้นดูเหมือนจะเป็นจริง เขาโตขึ้นท่ามกลางความอบอุ่นที่รายล้อมรอบตัว หล่อหลอมจิตใจให้กลายเป็นเด็กหนุ่มผู้เพียบพร้อมและเป็นอย่างที่อวยพรไว้ในวันนั้น รอยยิ้มประกายสุกใสที่มอบให้ผู้คนรอบข้างมีชีวิตชีวาจนไม่อาจเปรียบเทียบเป็นอย่างอื่นไปได้

           จะเรียกว่าศูนย์รวมจักรวาล..คงไม่ใช่ เขาไม่เปรียบเปรยตัวเองว่าเป็นดวงอาทิตย์หรือเป็นดาวฤกษ์ดวงไหน เด็กหนุ่มไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น เขามีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่และคิดว่าคงจะไม่ดิ้นรนหาอะไรให้วุ่นวาย

           หากจะบอกว่าเป็นเพราะคำอธิษฐานของพ่อแม่อาจไม่ถูกเต็มร้อย ต้องบอกว่าเป็นเพราะดีเอ็นเอที่ส่งต่อมาน่าจะถูกต้องเสียมากกว่า ระดับมันสมองของเขาไม่ใช่ธรรมดา ต้องบอกว่าเก่งโดยกำเนิดอย่างแท้จริงและเรียกได้ว่าเป็นพรสวรรค์ได้เต็มปากเต็มคำ

           แต่ใช่ว่าเขาจะนิ่งเฉยหรือทระนงในความเก่งกาจของตัวเอง ตรงกันข้ามเด็กหนุ่มยังมุมานะ ขวนขวายหาความรู้อยู่เสมอ ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เขาใช้มันอย่างคุ้มค่า ทุ่มเทให้กับการเรียนสุดทางจนสมชื่อที่แปลว่า..ที่หนึ่ง

           เนื่องจากโตมาในสภาพแวดล้อมที่ดี ย่อมมีคนรักคนหลงเป็นธรรมดา ยิ่งเพียบพร้อมก็ไม่แปลกที่จะมีคนเข้าหาทุกครั้ง เขาชินกับตัวตนที่ได้รับความรักและความสนใจมาทั้งชีวิต

           จนกระทั่ง...ได้พบเจอกับคนหนึ่ง

           คนที่ไม่เคยเชื่อในโชคชะตาฟ้าลิขิตหรืออะไรก็ตามอย่างเขา แต่กลับตกอยู่ในห้วงภวังค์หลังจากเพียงสบตาใครคนนั้นเข้า

           ‘อย่างนี้ก็ชื่อเหมือนที่หนึ่งเลยดิ หัวหน้าห้องเราอะ’

           และใครคนนั้นชื่อว่า...เป็นที่หนึ่ง

           นับจากนั้นเขาก็เชื่อในเรื่องโชคชะตามาตลอด ความรู้สึกยามได้สบตากันในวันแรกไม่เคยจางหายไปจากจิตใจ มันส่งผลรุนแรงขึ้นทุกครั้งเมื่อมองหาอีกคน นิสัยเจ้าเล่ห์เจ้าแผนการถูกงัดขึ้นมาใช้จากที่เก็บซ่อนมันมาไว้ภายใต้จิตใจ เขาใช้ความพิเศษด้านหัวสมองของตัวเองจัดการเข้าไปอยู่ในสายตาของเป็นที่หนึ่งโดยไม่รอให้เจ้าตัวเอ่ยปากอนุญาต

           ความสัมพันธ์เริ่มต้นด้วยคำว่าคู่แข่งไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก แต่เขาก็หาทางอื่นไม่ได้แล้ว ยิ่งได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยสนใจใคร ปิดกั้นตัวชัดเจน หนทางที่จะก้าวเข้าหาก็เป็นทางอื่นไม่ได้เลย เขายอมแลกคำว่าคู่แข่ง เพื่อให้ได้เข้าใกล้คนตัวเล็ก แม้จะโดนสายตาไม่ชอบใจกลับมาทุกครั้งก็ตาม

           แต่เขาประมาทเป็นที่หนึ่งมากเกินไป คิดว่าการเข้าใกล้จะทำให้เจ้าตัวใจอ่อน ผลลัพธ์ดันออกมาตรงข้าม นอกจากคู่แข่งของเขาจะไม่สนใจใยดี ซ้ำยังตีตัวออกห่างมากขึ้น จนในที่สุดกลายเป็นช่องว่างระหว่างเขากับร่างเล็กที่ไม่ว่าจะใส่ความรู้สึกลงไปมากแค่ไหนก็เหมือนกับโยนมันลงหลุมดำขนาดใหญ่

           กลืนกิน..จนหายไป

           ตั้งแต่เกิดจนอายุสิบหกปี จากวันนั้นทำให้เขารู้ว่า..ไม่มีใครเกิดมาสมบูรณ์แบบจริงๆ

           ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้ ยอมถอยออกมา เว้นระยะห่างกับคนตัวเล็กไว้เช่นเคยและได้เพียงแอบมองอยู่ไกลๆเท่านั้น แต่สถานการณ์ที่ควรจะดีขึ้นก็ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นที่หนึ่งยังคงเส้นคงวา วางเขาไว้ในจำกัดความของคำว่าคู่แข่งมาตลอด

           เพราะเป็นฝ่ายเริ่มต้นจึงต้องเดินเกมต่อไปแล้วรับผลที่ตัวเองก่อไว้ สุดท้ายก็ขยับขึ้นมาตีตนเสมออีกคนได้ งานแข่งขันวิชาการกลายเป็นชนวนสงคราม การชิงชัยชนะคว้าอันดับหนึ่งกลายเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี แต่ใครจะรู้ว่ามีความรู้สึกบางอย่างค่อยๆก่อตัวขึ้นระหว่างคนทั้งสองคน

           ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่ห่างเหิน...ในใจของเขากลับสวนทาง ซ้ำยังฉุดรั้งไว้ไม่อยู่

           ความชอบที่ไต่ระดับเพิ่มมากขึ้นในทุกๆวัน ให้ตายก็ลบออกจากจิตใจไม่ได้เลยจริงๆ

           หากจะลองเสี่ยงดูอีกสักครั้ง...มันจะคุ้มค่าหรือเปล่า

           เขาได้แต่เฝ้าถามตัวเองเงียบๆ

 

 

           กึก

           คนสูงเพียงปลายจมูกชะงักไปเมื่อหันกลับมาเจอเขายืนขวางทางเดิน สถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกก่อตัวขึ้นอีกครั้ง พอเจ้าตัวเบี่ยงหลบไปอีกทาง เขาก็รีบเข้าไปขวางทันที

           ‘เอ่อ...’

           ‘...’

           ‘วันนี้..ซ้อมนะ ที่ห้องเดิม’

           ‘อื้อ’

           ‘...’

           ‘ขอทางหน่อยสิ’

           เขาหลีกทางให้อย่างง่ายดาย ลอบมองคนตัวเล็กเดินออกไปจนลับสายตา

           ..หรือจะไม่มีหวังแล้วจริงๆ

 

 

           เวลาล่วงเลยมาเป็นปี ก้าวเข้าสู่ระดับชั้นมัธยมปลายปีที่สอง ทุกอย่างยังเป็นเหมือนเดิมรวมถึงความรู้สึกที่           หยั่งรากลึกลงในจิตใจ

           เขาใช้เวลาคิดทบทวนทั้งปิดเทอมว่าควรไปต่อหรือหยุดเพียงแค่ตรงนี้ สุดท้ายก็ได้คำตอบที่ซื่อตรงต่อตัวเองออกมา

           ต่อให้ยอมโดนเกลียดก็ยังดีกว่าไม่มีอยู่ในความทรงจำ...

           แผนการฉบับที่สองจึงได้เริ่มต้นขึ้น ทำใจดีสู้เสือเสนอตัวไปเป็นตัวแทนห้องตั้งแต่วันแรกของเปิดเทอม หวังแค่เพียงได้ใกล้ชิดอีกสักหน่อย แต่ใครจะรู้ว่าตัวเองดันไปทำให้อีกคนชิงชังขึ้นอีกแล้ว

           ‘สรุปคือเฮดกีฬาสีเป็นเฟิร์ส มอห้าห้องสิบสอง’

           ยังจำแววตาหม่นแสงของคนตัวเล็กในวันนั้นได้อย่างขึ้นใจ

           เขาเข้าใจความรู้สึกของเป็นที่หนึ่งดี การถูกตีตัวขึ้นมาเสมอแล้วกลายเป็นถูกนำหน้าไปหนึ่งก้าวแทบทุกครั้ง เป็นใครก็ไม่พอใจ

           อยากทำแบบนั้นเสียที่ไหน...แต่สถานการณ์มันบีบบังคับให้ต้องทำ หากเขาไม่ดึงความสามารถตัวเองออกมาก็อย่าหวังเลยว่าจะได้เข้าไปอยู่ในสายตาของอีกคน

           เขาลอบมองอีกคน

           หยุดนึกคิดก่อนจะพูดออกไป

           หากเป็นที่หนึ่งปล่อยให้เขาก้าวนำไปหนึ่งก้าว...เขาก็จะเป็นฝ่ายลดลงมาอยู่ข้างๆเอง

           ‘เป็นเฮดเราอีกทีนะ’

           ‘…’

           ‘เราทำคนเดียวไม่ได้แน่ๆไม่มีที่หนึ่ง’

           ไม่เคยอยากให้เสียใจเลยจริงๆ

 

           โชคชะตาเข้าข้างเป็นอย่างดี

           พาคนตัวเล็กมาอยู่ในสถานที่เดียวกับเขาโดยไม่ต้องใช้ความจงใจ

           ตอนที่รู้ว่าที่นั่งข้างตัวเป็นที่หนึ่ง ใจเต้นแรงแทบคุมไม่อยู่ แต่ก็ต้องเก็บอาการไว้เพราะไม่อยากให้อีกคนกระอักกระอ่วนไปมากกว่านี้

           แต่สุดท้ายก็ฉุดรั้งตัวเองไม่ไหว จึงเอ่ยชวนอีกฝ่ายไปกินข้าว แน่นอนว่าคนตัวเล็กกว่าปฏิเสธทันที แต่เขาก็เตรียมหมัดฮุกสวนไว้เรียบร้อย

           ‘ไม่ชอบหน้าอะไรเราขนาดนั้น’

           ถามเองก็เจ็บเอง โชคดีที่คนตรงหน้าไม่ตอบออกมาตรงๆ ไม่งั้นคงทนรับไม่ไหว

           แล้วก็สมหวังเมื่อออกคำสั่งบังคับเป็นที่หนึ่งมาได้

           เป็นการกินข้าวที่อึมครึมที่สุดในชีวิต แต่ในใจของเขาลิงโลดยิ่งกว่าสิ่งใด ได้จ้องมองที่หนึ่งอยู่แบบนี้ ไม่กินข้าวเขาก็อิ่มอกอิ่มใจไปถึงวันพรุ่งนี้แล้ว

           โคตรดีใจเลย...

 

           คนตัวเล็กกำลังคุยกับใคร

           สมาธิในการซ้อมกระจัดกระเจิงหายไปภายในพริบตาเมื่อหันไปเห็นคนที่แอบชอบคุยกับรุ่นพี่ในชมรมของตัวเอง

           จากตรงนี้มองเห็นรอยยิ้มนั้นชัดเจน...รอยยิ้มที่ไม่มีวันมอบให้แก่เขา

           อยากทำเป็นเมินไปซะ แต่ทั้งคู่กลับหันมามองพอดีจึงเดินเข้าไปร่วมวงสนทนาให้มันรู้แล้วรู้รอด

           และก็กลายเป็นตัวเองมานึกเสียใจ

           ‘เออนี่ ไม่รู้จักกันเหรอ ก็นึกว่าอยู่ห้องเดียวกัน’

           ให้ตาย เขาเก็บซ่อนอารมณ์ของตัวเองไว้ไม่มิดจริงๆ

 

           น้องมอสี่ที่ลงแข่งฟิสิกส์ด้วยก็น่ารักอย่างที่คิด

           อัธยาศัยดี ยิ้มเก่ง ต่างจากคนตัวเล็กที่ยืนเงียบตั้งแต่เดินเข้ามา

           จะโกรธก็ไม่ใช่ จะน้อยใจก็ไม่เชิง เขาขอเวลาเยียวยาตัวเองสักพักก่อนกลับไปเดินกำลังต่อเท่านั้น

           จนกระทั่งพีชถามขึ้น เห็นสีหน้าลังเลของอีกฝ่าย ความรู้สึกน้อยใจก็ตีตื้นขึ้นมา จึงตั้งท่าจะปฏิเสธ แต่ทว่า...

           ‘อยู่ห้องเดียวกัน..’

           ‘…’

           ‘อยู่ห้องเดียวกันครับ’

           เพียงคำพูดเดียว...กลับหล่อเลี้ยงจิตใจเขาให้เบิกบานอีกครั้ง

 

 

           ร่างสูงไม่คิดไม่ฝันว่าตัวเองจะมีวันนี้

           เพราะมันเกินความคาดหมายไปมากโข..

           ภาพตอนที่เป็นที่หนึ่งทรุดลงกับพื้นทำเอาใจหายใจคว่ำ แต่คนตัวน้อยก็ยังไม่ละทิ้งทิฐิตัวเอง จนเขาทนไม่ได้ ขึ้นเสียงใส่เป็นครั้งแรกแม้จะรู้สึกผิดในใจก็ตาม

           เขาเป็นธุระให้ด้วยความเต็มใจ ถึงจะว่าอย่างนั้น...คนเจ้าเล่ห์ก็ยังเจ้าแผนการอยู่วันยังค่ำ

           ใช้โอกาสนี้หลอกล่อให้ลูกแมวเข้ามาอยู่ในกำมือ และได้ผลดีเสียด้วย

           แต่ยังไงถ้าย้อนเวลากลับไปได้

           เขาก็จะไม่บอกความจริงหรอก

           ว่าเขาน่ะ..ชอบขับรถตอนกลางคืนมากกว่าตอนกลางวันเสียอีก

 

 

           เหมือนโชคชะตาจะให้โอกาสเขามากเกินไป

           ทะเลาะกับเป็นที่หนึ่งอีกแล้ว..

           มันไม่ใช่การมีปากเสียง แต่สร้างบรรยากาศอึมครึมรอบตัวจนน่าอึดอัด

           คนตัวสูงโกรธที่อีกฝ่ายปฏิเสธน้ำใจทั้งทีเขาหวังดีมาโดยตลอด ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่รับสิ่งดีๆที่เขาหยิบยื่นให้บ้าง

           เกลียดกัน...มากขนาดนั้นเลยเหรอ

           เป็นที่หนึ่งกำลังจะร้องไห้ ทำไมเขาจะไม่รู้ ต้องห้ามตัวเองแทบตายที่จะไม่ตามเข้าไปปลอบ เพราะอยากให้อีกคนเข้าใจบ้างเหมือนกันว่าเขาต้องรู้สึกยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

           แต่เหมือนความคิดของพวกเขาทั้งสองคนสวนทางกัน..

           แน่นอนว่าเขาโกรธเป็นที่หนึ่งไม่ได้นาน อย่างไรก็ตามร่างสูงก็ต้องกลับไปเดินหน้าแผนที่ตัวเองวางไว้ จนลืมนึกไปว่า...ที่หนึ่งไม่ได้คิดแบบเดียวกัน

           เพราะคิดว่าเดี๋ยวคนตัวเล็กก็หาย กลับกลายเป็นว่าเขาเทเชื้อเพลิงราดสุมไฟให้โหมลุกมากยิ่งขึ้น เป็นที่หนึ่งเรียกเขาออกมาคุย แววตาเฉยชานั้นยังไม่เท่าคำพูดที่บีบหัวใจเขาให้เละไม่เป็นชิ้นดี

           ได้โดนเกลียดสมใจอยากแล้วสินะ...

 

 

           ไม่หลาบจำ

           สมองบอกว่าให้เลิกสนใจ แต่การกระทำกลับสวนกับความคิด

           นับตั้งแต่ทะเลาะกันในวันนั้น คนตัวเล็กก็ไม่เฉียดเข้าใกล้อีก ระยะห่างยิ่งกว้างมากขึ้นไปอีกเท่าตัว แต่ทุกครั้งที่เป็นที่หนึ่งเผลอ สายตาเขาก็มักจะไปวางที่อีกฝ่ายตลอดโดยไม่ให้เจ้าตัวรู้

           ขี้ขลาดเกินที่จะสบตาตรงๆ..

           อดเป็นห่วงไม่ได้ ลูกแมวต้องเจ็บคอแน่หลังกล่าวเปิดงานไปเสียยืดยาว ไหนจะต้องรับผิดชอบโครงงานของตัวเองอีก

           นั่นแหละ จิตใต้สำนึกของเขาเลยสั่งการให้ดูแล แม้ความรู้สึกกรุ่นๆในใจจะยังไม่จางหายไปก็ตาม

           จากที่ไม่ได้คุยกันมาเกือบเดือน พอได้มานั่งข้างๆก็ไม่รู้จะเปิดบทสนทนาเรื่องอะไร ดูเหมือนอีกคนก็ใช่ว่าอยากจะพูดด้วย จึงนั่งนิ่งๆปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมัน

           จนเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าสั่นขึ้น เป็นสายที่เขาฉงนในใจนิดหน่อย เพราะรุ่นน้องคนนี้ไม่เคยโทรเข้ามาก่อนสักที

           ‘ว่าไงพีช’

           คนตัวเล็กจะสงสัยหรือเปล่านะ

           หรือจะไม่สนใจเลย...

 

 

           เขาทนไม่ไหวแล้ว

           มันทิ้งระยะเวลานานมากเกินไป

           ปากบอกว่ายอมโดนเกลียด เอาเข้าจริงก็ทนไม่ได้

           ไม่ไหว...โดนเมินอีกต่อไปคงไม่ไหวแน่ๆ

           ก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงให้กลับไปคุยกันได้เหมือนเมื่อก่อน..

           ดีหน่อยที่เดินผ่านกันได้แล้ว ไม่ต้องเจ็บใจที่ต้องเห็นคนตัวเล็กเลี่ยงเดินหนีทุกครั้งที่เขาเดินเฉียดเข้าใกล้

           แต่จุดประสงค์ของเขาไม่ใช่แค่นี้ อย่างน้อยก็ควรได้คุยกันบ้างสักคำสองคำ ไม่ใช่ทำเมินเหมือนร่างสูงเป็นธาตุอากาศ

           เขานึกคิด ถอนหายใจ แม้สายตาจะจดจ้องไปที่จอโปรเจ็คเตอร์ก็ใช่ว่าสติจะจดจ่ออยู่กับเนื้อหาการเรียน

           พลันก็มีบางอย่างสะกิดให้หันไปมองทางริมหน้าต่าง

           ตอนนั้นเอง...เขาได้สบตากับเป็นที่หนึ่งครั้งแรกหลังจากที่ไม่มองหน้ากันมานับเดือน

           และหัวใจก็กลับมาเต้นแรงอีกครั้ง...

 

 

           ถ้าไม่ติดว่าเป็นเด็กมัธยมต้นเขาจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด

           คนตัวสูงทะนุถนอมมาโดยตลอด แม้จะแตะต้องตัวก็เขาก็ไม่กล้าทำ

           แล้วเด็กเปรตพวกนั้น...กล้าดียังไง

           ใจกระตุกวูบเมื่อเห็นลูกแมวล้มพับไปต่อหน้าต่อตา นึกคาดโทษตัวในใจว่าทำไมถึงไม่ดูแลให้ดีกว่านี้

           ทำไมถึงต้องเมิน ทำไมต้องปล่อยให้เวลายืดเยื้อ

           ทำไม..ปล่อยให้ทิฐิเข้ามาบังจนละเลยอีกฝ่ายไป

           ยิ่งเห็นร่องรอยบอบช้ำบนผิวกายก็แทบอยากจะชกหน้าตัวเอง ในวินาทีนั้นเขาคิดได้ทันทีว่าต่อให้โดนผลักไสมากกว่านี้ ทะเลาะกันไปมากกว่านี้ก็จะไม่มีวันล้มเลิกแผนการของตัวเองอีกเป็นอันขาด

           อยากปกป้อง อยากดูแล ถึงจะอยู่ในสถานะที่ไม่คู่ควร..ก็ไม่เป็นไร

           ราวกับคำอ้อนวอนสัมฤทธิ์ผล จิตใจแห้งเหี่ยวกลับมาพองโตอีกครั้ง

           เหมือนกำแพงตรงหน้าพังทลายลง

           ม่านหมอกที่บดบังจางหายไป

           เมื่อเป็นที่หนึ่งเอ่ยปากพูดประโยคที่ทำให้คลายความทุกข์ใจไปหมดสิ้น

           ‘เราไม่เคยเกลียดมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว’

           ในตอนนั้น

           เขาไม่เสียดายความพยายามของตัวเองเลย...

 

 

           เป็นที่หนึ่งน่ารัก

           น่ารัก...มากๆ

           ใครไม่รู้ เขาจะบอกให้รู้ไว้เลยตรงนี้

           ไม่ใช่แค่ใบหน้า ไม่ใช่แค่แววตา แต่รวมถึงนิสัยที่เจ้าตัวแสดงออกมาด้วย

           โลกของเขาสดใสไปหมดเมื่ออีกฝ่ายเปิดใจยอมให้เข้าใกล้ กลายเป็นคนหน้ามืดตามัวขึ้นมาทันที ยอมแพ้ทุกอย่างที่ขึ้นชื่อด้วยคำว่าเป็นที่หนึ่ง

           ยิ่งตอนคนตัวเล็กเขิน ใจเขาเหมือนจะคลั่งตายเสียให้ได้ คนอะไรใช้คำว่าน่ารักได้สิ้นเปลืองจนร่างสูงสะกดจิตสะกดใจไว้แทบไม่ไหว ต้องคอยหักห้ามตัวเองทุกครั้งไม่ให้ทำอะไรผลีผลาม ทำทุกอย่างแบบค่อยเป็นค่อยไป เขาไม่อยากให้ลูกแมวน้อยตกใจกลัว เพราะถ้าอีกฝ่ายหนีไปอีก เขาคงใจสลายแน่ๆ

           ‘เคยมีแฟนมาแล้วกี่คนเหรอ’

           ไม่คิดว่าจะถูกถาม แต่พอมาเข้าใจย้อนหลังว่าอีกคนกำลังค่อยๆเรียนรู้ตัวเขามากขึ้นก็ใส่คำตอบไปไม่ยั้ง บอกเล่าเรื่องราวของตัวเองให้ฟังจนหมดเปลือก และไม่ลืมหยอดนิดหยอดหน่อยให้คนตรงหน้าแก้มแดงอย่างที่เขาชอบเห็น

           โอ้ย น่ารักโว้ย!

 

 

           เช้าวันพุธตื่นขึ้นมาพร้อมกับคำว่าไม่สบาย

           สบถด่าตัวเองออกมาแรงๆสักที ร่างกายหนักอึ้งจนจะลุกจากเตียงไม่ไหว

           แต่พอนึกได้ว่าวันนี้ต้องไปเข้าค่าย หน้าของเป็นที่หนึ่งก็ลอยเข้ามา

           พลันดีดตัวเองลงจากที่นอนอย่างรวดเร็วราวกับลืมความเจ็บป่วยได้ไข้ไปหมดสิ้น

           จะล้มหมอนนอนเสื่ออย่างไรก็ช่าง เขาต้องไปให้ได้

           และตัวเองก็คิดไม่ผิด

           คนเจ้าแผนการใช้ความไม่สบายให้เป็นประโยชน์ แม้ใจจะกลัวว่าอีกฝ่ายจะติดไข้ แต่ในเมื่อเป็นที่หนึ่งเสนอ เขาก็สนองรับไม่รีรอ

           การได้จับมือนิ่มๆไปพร้อมกับเอนซบตลอดทาง ทำเอาคนป่วยไม่อยากหายเลย..

 

           ลูกแมวน้อยของเขาได้แผล

           โกรธจัด...อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

           ถ้าไม่ไว้หน้าครูหรือเป็นที่หนึ่งไม่ห้ามเขาไว้ สาบานว่าจะสวนหมัดไปไม่ยั้งแรงแน่ๆ ตัวเขาเองยังไม่เคยแม้แต่จะทำให้มีรอยขีดข่วน ทั้งไอ้เด็กพวกนั้นกับไอ้ห่าตรงหน้ามันกล้าดียังไงกัน..

           ได้แต่โทษตัวเองอีกครั้ง ถ้าห้ามไว้ตั้งแต่เนิ่นๆก็คงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้

           อารมณ์คุกรุ่นในใจยังคงชัดเจน เขาสาบานกับตัวเองอย่างแน่วแน่

           ‘จะไม่ปล่อยให้เจ็บตัวอีก’

 

           เพราะสถานะ ‘เพื่อน’ ยังค้ำคอไว้

           เขาทำอะไรมากไม่ได้

           จะแสดงออกชัดเจนมากกว่านี้..ก็ไม่ได้

           เขาจ้องมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่ตัวเองชอบมาได้เป็นปี ทบทวนเรื่องราวต่างๆนานาที่ผ่านพ้นมาได้ด้วยกัน

           สำหรับเป็นที่หนึ่ง..มันคงเหมือนเพิ่งเกิดขึ้น

           แต่กับคนตัวสูง ทุกอย่างมันก่อตัวมานานมากแล้วจริงๆ

           หากจะขยับความสัมพันธ์ขึ้นไปอีกขั้น..จะเป็นไปได้หรือเปล่า

           คำถามที่ตอบได้แค่คนตัวเล็กแต่เพียงผู้เดียว

           ‘เราชอบที่หนึ่ง’

           พูดออกไปแล้ว..ความรู้สึกที่เก็บมาตลอดหนึ่งปี

           คนตัวเล็กมองหน้าเขา

           ถ้าไม่คิดเข้าข้างตัวเอง สายตาของเป็นที่หนึ่งก็สะท้อนใบหน้าของร่างสูงเช่นเดียวกัน..

           เขายังมีโอกาสใช่หรือเปล่า

           ‘เป็นแฟนกันไหม...’

           หากแต่ได้รับเพียงความเงียบงันกลับมา..

           เขาเข้าใจ ไม่คิดจะเร่งรีบอยู่แล้ว แค่คนตัวเล็กรับความรู้สึกนี้ไว้ก็ดีมากโข จริงๆก็ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมาถึงจุดนี้เลยด้วยซ้ำ มันออกนอกแผนการที่วางไว้ไปไกลเกินคาดหมาย เขาจึงยินดี..และพร้อมรอ

           รอจนกว่าจะได้รับคำตอบ

           แม้จะ...ไม่รู้เลยก็ตาม

 

 

           คิดถึงเป็นที่หนึ่ง

           ใจจะขาดแล้ว...

           หนึ่งอาทิตย์มีเจ็ดวันเจอคนตัวเล็กไปแล้วหกวันเขายังรู้สึกว่ามันไม่พอ

           แล้วให้ไม่เจอหน้ากันตั้งสามวันเต็มๆเขาไม่ทรมานใจตายก่อนหรือยังไง

           เอนหัวพิงหน้าต่างรถ พรูลมหายใจออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนหลับตาหนีความเป็นจริงทุกอย่าง

           เสียงลั่นชัตเตอร์ดังเข้ามาแต่เขาไม่คิดจะสนใจ

           ในหัว...มีแต่เรื่องเป็นที่หนึ่ง

           ป่านนี้ลูกแมวกินข้าวแล้วหรือยังนะ

 

           เขาอยู่ซ้อมแข่งจนดึกดื่น ตั้งท่าจะโทรหาคนตัวเล็ก แล้วก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าคงรบกวนการพักผ่อนของอีกคน

ไว้พรุ่งนี้เช้าแล้วกัน..

           ทว่าแสงสว่างวาบบนหน้าจอพร้อมข้อความจากคนสำคัญเร่งให้เขาตอบกลับไปในทันที คนตัวสูงอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ ปกติแล้วถ้าไม่มีเรื่องจำเป็นหรือเรื่องด่วนอะไร เป็นที่หนึ่งจะไม่ทักมาดึกขนาดนี้

           เกิดอะไรขึ้น?

           ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ จัดการโทรหาอย่างรวดเร็ว ไม่นานปลายสายก็รับ อาการอ้ำๆอึ้งๆของคนตัวเล็กยิ่งทำให้ขมวดคิ้วมุ่นเข้าไปใหญ่ แต่ก็ไม่ได้เค้นคำตอบอะไร

           หรือว่า..

           กดเข้าแอพที่เล่นเป็นประจำและเจอกับภาพที่แท็กมาล่าสุด

           ถ้าไม่คิดไปเอง..ก็เพราะรูปนี้สินะ

           ควรจะโกรธพีชที่ทำให้ลูกแมวของเขาเข้าใจผิดหรือควรดีใจที่เป็นที่หนึ่ง...หึง

           เขาจัดการทำสิ่งที่คนอื่นไม่คาดคิด

           อินสตาแกรมที่เคยมีแต่รูปต้นไม้ใบหญ้าและท้องฟ้าสีคราม

           ตอนนี้มีรูปของคนน่ารักของเขาแล้ว

           ‘คิดถึง ;)’

           หวังว่าจะไม่โดนลูกแมวข่วนเอาหรอกนะที่แอบลงแบบนี้..

 

 

           ความรู้สึกที่โดนเป็นห่วงจากคนที่ตัวเองชอบแทบจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เลย

           ยิ่งอีกฝ่ายเป็นคนทำแผลให้ก็ปิดอาการดีใจไม่ไหว

           ย้ำอีกที เป็นที่หนึ่งโคตรน่ารัก!

           แอบแทะเล็มไปเล็กน้อยให้พยาบาลจำเป็นอายม้วน และในตอนนั้นเองพีชก็เดินเข้ามา

           ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ารุ่นน้องคนนี้คิดอะไร เป็นที่หนึ่งตั้งท่าจะลุกแต่เขาก็ฉุดแขนให้นั่งอยู่กับที่ ใจจริงก็ไม่อยากทำร้ายความรู้สึกดีๆที่รุ่นน้องมีให้ แต่ในเมื่อใจเขาเลือกคนตัวเล็กไปแล้ว การให้ความหวังยิ่งมีจะแต่จะทำให้เลวร้ายไปมากกว่าเดิม

           เขาซื่อสัตย์กับตัวเอง

           ซื่อสัตย์กับเป็นที่หนึ่ง..

 

 

           เขาใจไม่ดีเลย

           เรื่องราวในครอบครัวของเป็นที่หนึ่งใช่ว่าเขาจะไม่รู้

           ผลพวงจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวทำให้เป็นที่หนึ่งปิดกั้นตัวเองจากทุกคน เขาเพิ่งได้รับรู้เมื่อสัมผัสตัวตนที่แท้จริงของเป็นที่หนึ่ง

           ในส่วนลึก..ที่มีแต่ความเหงาและเคว้งคว้าง

           คนที่ได้รับความสนใจมาโดยตลอดอย่างเขาแม้จะไม่สามารถเข้าใจมันได้อย่างลึกซึ้ง แต่สิ่งที่มั่นใจว่าจะทำได้คือการมอบความหวังดี ความห่วงใยทดแทนหลุมลึกในจิตใจของเป็นที่หนึ่งให้เต็มอีกครั้ง

           จะไม่ทำหน้าที่แค่เป็นคนนั่งข้างๆ เขาจะดูแล เยียวยาทุกอย่างให้คนตัวเล็กวางใจที่จะอยู่ตรงนี้

           และ...

           ‘ขอบคุณที่ทำให้เราชอบใครสักคนได้มากขนาดนี้’

           เขารักเป็นที่หนึ่งมากจริงๆ

 

 

 
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [C h a p t e r e i g h t e e n บทจบ] , 180518
เริ่มหัวข้อโดย: miralchs ที่ 19-05-2018 15:54:26
(ต่อ)


          รอบข้างราวกับมีสีชมพูเต็มไปหมด

           เคยคิดว่าตัวเองคงมีความสุขไปไม่ได้มากกว่านี้ พอได้เจอเป็นที่หนึ่งก็รู้ว่าตัวเองคิดผิดมหันต์

           ความสุขที่ท้วมท้นจิตใจ...ต่อให้เอาจักรวาลมาแลกเขาก็ไม่ยอม

           แค่ได้เห็นรอยยิ้มของเป็นที่หนึ่งก็มีกำลังใจในการใช้ชีวิตทุกวัน

           เขาทั้งรักทั้งหลงจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว

 

           คนตัวเล็กจะหาว่าเขาเจ้าเล่ห์ไปแล้วกี่คำกันนะ

           การได้หยอกได้แกล้งที่หนึ่งเป็นสิ่งที่เขาชอบมากที่สุดเลย

           ยิ่งได้เห็นแก้มแดงๆ ตาเรียวเล็กมองค้อนกลับมา ก็อยากดึงมาฟัดให้สมใจอยาก

           น่ารักเป็นบ้า!

           ไม่เคยมีปีใหม่ไหนพิเศษเท่าปีนี้มาก่อน ตั้งแต่คนตัวเล็กตอบตกลง ในใจก็กู่ร้องออกมาด้วยความดีใจ

           แม้จะไม่ได้ทำอะไรเกินเลย แค่ได้อยู่ใกล้ๆกันเขาก็มีความสุขมากแล้ว

           แต่ถ้าถึงเวลาเมื่อไหร่..หมาป่าอย่างเขาจะทบต้นทบดอกให้คุ้มเลยคอยดู

 

           เขาจูบเป็นที่หนึ่ง

           ริมฝีปากนุ่มนิ่มทำเอาใจคนสัมผัสแทบคลั่ง..

           ต้องควบคุมตัวเองไม่ให้บดขยี้ลงไปตามใจอยาก จิตสำนึกยังร้องเตือนให้เขาค่อยๆประทับลงไปอย่างอ้อยอิ่ง

           ลูกแมวน้อยตัวสั่น เรียกให้เขาต้องโอบประคองไว้ กลัวอีกฝ่ายจะล้มพับไปเสียก่อน

           เวลาผ่านไปนานชั่วกัปชั่วกัลป์ คนตัวสูงถึงได้ถอนจุมพิตออกมามองหน้าคนรัก

           ณ วินาทีนั้นทำให้เขารู้ว่า

           ถ้าถึงวันที่เขาห้ามตัวเองไว้ไม่ไหว..

           เป็นที่หนึ่งไม่รอดแน่ๆ

 

 

           หากโชคชะตาจะกลั่นแกล้งเขาสักหน่อย

           ก็ไม่น่าจะเล่นแรงขนาดนี้

           เขาทำอะไรไม่ถูก เหมือนค้อนปอนด์หนักๆทุบลงกลางหัว

           คิดว่ารู้จักอีกฝ่ายดีมากพอแล้ว...แต่มันไม่ใช่

           ‘เรื่องนั้น...ยังเหมือนเดิมหรือเปล่า’

           ‘...’

           ‘ที่จะสอบชิงทุนไปต่างประเทศน่ะ’

           เป็นความผิดเขาที่ดันเข้ามาได้ยินจากปากของคนอื่น

           หรือเป็นความผิดของคนตัวเล็กที่ไม่เคยบอกอะไรเลย..

           ทั้งโกรธ เสียใจ น้อยใจ

           ความรู้สึกผสมปนเปกันไปหมดจนไม่อยากมองหน้าคนรัก

           ไม่อยากพลั้งพลาดทำอะไรออกไปด้วยอารมณ์แบบนี้...

           เขารอคำอธิบายจากอีกฝ่ายด้วยความเงียบงัน

           แม้จะรู้ว่าความเป็นจริงทำให้เจ็บเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน เขาก็อยากฟังชัดๆจากคนของเขา

           คนตัวสูงพร้อมให้โอกาส เพียงแค่..พูดออกมา

           จนกระทั่งเป็นที่หนึ่งร้องไห้..

           ในตอนนั้นเขาก็ไม่ลังเลที่จะกลับหลังหันไปดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดทันที

           ใจร้าวรานจนแทบแตกเป็นเสี่ยงๆเมื่อได้ยินเสียงสะอื้น เขายอมแพ้ ยอมแพ้ทุกอย่าง..แค่เป็นที่หนึ่งไม่ร้องไห้ ใบหน้านวลเต็มไปด้วยคราบน้ำตาทำเอาคนมองใจกระตุกด้วยความเจ็บปวด

           สาบานไว้ว่าจะดูแล จะทะนุถนอม จะไม่ทำให้ทุกข์ใจ

           แต่เป็นตัวเขาเองที่ทำให้คนตัวเล็กร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นท่า

           ‘ชู่ว ไม่เอาไม่ร้อง’

           ได้โปรดคนดี แค่นี้เขาก็ใจจะขาดแล้ว..

 

 

           ความรักทำให้เราเห็นแก่ตัว

           เขารู้แต่เขาก็ยังทำ..

           ต่างพากันเมินเฉยเรื่องราวนั้นเสมือนกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น

           ทำตัวปกติทั้งที่ใจ..ไม่ปกติ

           อย่างน้อยก็ขอยืดเวลาไว้สักหน่อยให้ได้เก็บเกี่ยวช่วงเวลาแห่งความสุขมากกว่านี้ ก่อนที่ความเป็นจริงจะมาถึง เขาก็อยากฉุดรั้งเป็นที่หนึ่งไว้ใกล้ตัว อยากพันธนาการร่างเล็กให้อยู่ในสายตา

           แต่ทำไม่ได้

           แค่เห็นแววตาเศร้าหมองเต็มไปด้วยความสับสน อาการเหม่อลอยมีเพิ่มมากขึ้น

           รวมถึงหยดน้ำตา...ที่เขาไม่อาจทนเห็นมัน

           ภายในไม่กี่เดือน เป็นที่หนึ่งร้องไห้ไปไม่ต่ำกว่าสามครั้ง แม้เจ้าตัวจะไม่บอก แต่คนที่มองอยู่ตรงนี้มาเสมอทำไมเขาจะไม่รู้ คนตัวเล็กทำอะไร รู้สึกแบบไหน ทุกอย่างแทบจะไม่เคยหลุดรอดจากเขา

           เพราะรู้ว่าที่หนึ่งจะไม่มีวันตัดสินใจเอง ถ้ายังมีเขาอยู่แบบนี้

           เฝ้าถามตัวเองอีกครั้ง ถ้าเป็นที่หนึ่งไม่มีความสุข เขาจะรั้งไว้เพื่ออะไร

           หากต้องเจ็บเองก็ยังดีกว่ารักษารอยยิ้มนั้นไว้ไม่ได้

           เพราะรู้สึก..ถึงได้ปล่อยไป

           เพราะรักมาก..ถึงได้เอ่ยประโยคนั้น

           ‘ไปสอบเถอะนะ..’

           พูดออกมาทั้งที่ใจสลายไปแล้ว..

 

 

           ไม่มีทางที่คนอย่างเป็นที่หนึ่งจะสอบไม่ติด

           เป็นการแสดงความยินดีทั้งในใจขมขื่นเกินฝืนทน

           เงยหน้าขึ้นมองฟ้า นึกโทษโชคชะตาที่มอบความสุขระยะสั้นราวกับหลอกลวงให้ตายใจ

           เป็นที่หนึ่งอยู่ไม่ได้..แล้วคิดหรือว่าเขาจะอยู่ได้

           หากแต่ภาระที่แบกรับ ความฝันที่ไม่อาจละทิ้งได้ง่ายดาย เขาจำเป็นต้องอยู่ ถึงอยากจะตามไปมากแค่ไหนก็ต้องอดกลั้นไว้

           จะทำตามใจตัวเองเกินไปไม่ได้

           การไปเรียนต่อต่างประเทศไม่ใช่เรื่องที่ตัดสินใจได้ปุบปับ อย่างน้อยก็ต้องวางแผนมาล่วงหน้า สำหรับคนตัวสูงที่วางทางเดินให้อนาคตแล้วยิ่งยากที่จะตาม

           อีกอย่างคือเขาไม่อยากแข่งกับเป็นที่หนึ่งอีกแล้ว

           ไม่อยากกลับไปในจุดนั้นเลยสักนิดเดียว

           เขาก้มมองช่อดอกสแตติสในมือ

           เพราะคำว่ารักไม่สามารถสั่งทุกอย่างได้ดั่งใจ

           แต่ประโยคนี้..ใช้ไม่ได้กับคนอย่างเฟิร์ส

           เพราะเขาจะทำ

           หลังสืบเสาะหาข้อมูลเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยที่เป็นที่หนึ่งจะไปเรียนต่อ เขาก็แอบจัดการเอกสารไว้เงียบๆ

           อาจจะไม่ใช่ตามไปโดยทันที

           แต่เขาไม่รอจนเป็นที่หนึ่งเรียนจบหรอก

           ไม่มีทาง..

           กว่าจะคว้าใจอีกคนมาได้ยากเย็นแค่ไหนคนตัวสูงก็อยากบอกให้รู้ ดังนั้นอย่าหวังเลยว่าเขาจะยอมง่ายๆ

           เป็นที่หนึ่งจะไปก็จะปล่อยให้ไป

           เพราะเขาจะเป็นฝ่ายตามเอง

 

 

           วันนั้นใกล้เข้ามาเต็มที

           ขอเห็นแก่ตัวอีกสักหน่อยก่อนที่จะได้ห่างกันไปไกล อยากใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มค่า เป็นที่หนึ่งเสนอตัวมาค้างหอเขาอีกครั้ง แน่นอนว่าคนตัวสูงตอบรับแบบไม่คิด อย่างน้อยได้นอนกอดอีกสักครั้งก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว

           แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น...

           อาจเป็นเพราะบรรยากาศ อารมณ์พาไป..หรือเพราะจิตใต้สำนึกความต้องการของเขา

           ‘ถ้ามันเกิดขึ้น..ที่หนึ่งจะเสียใจหรือเปล่า’

           ‘...’

           ‘...’

           ‘เป็นเฟิร์ส..เราไม่เคยเสียใจ’

           เขายอมมอบทั้งตัวและหัวใจไว้ที่เป็นที่หนึ่งแล้วจริงๆ

           ก้มลงจูบข้างขมับด้วยความทะนุถนอม หยัดร่างตัวเองเข้าไปอย่างเชื่องช้า ความสุขโอบล้อมร่างเขาและคนตัวเล็กจนเอ่อล้น

           ‘ฮ...อะ’

           ‘ชู่ว ที่รัก อย่าเกร็ง’

           เขากวาดสายตามองเรือนร่างของคนตัวเล็กด้วยความรักใคร พรมจูบไปทั่วลาดไหล่เนียน ไม่กล้าแม้แต่จะทำรุนแรงราวกับอีกฝ่ายบุบแตกสลาบไปได้ง่าย

           ทุกอย่างเป็นไปอย่างเนิบนาบทว่าตราตรึงในหัวใจ

           ‘รัก...รักมากที่สุด’

           คืนนั้น...เป็นที่หนึ่งเป็นของเขาโดยสมบูรณ์

           ราวกับพันธะหัวใจที่ผูกมัดทั้งสองไว้แก่กัน..

 

 

           ไปแล้ว..

           มองเครื่องบินหายไปในกลุ่มเมฆจนลับสายตา ความรู้สึกประเดประดังแต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด

           จากนี้..อีกกี่วัน กี่เดือนหรือกี่ปี..

           เขาไม่เคยกลัวเรื่องระยะทาง แต่กลัวว่าวันเวลาจะทำให้ความรู้สึกแปรเปลี่ยนไป

           ถึงอย่างนั้นก็ยังเชื่อมั่นในคนตัวเล็ก

           เชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่เปลี่ยนใจ

           ‘รอ..รอเฟิร์สก่อนนะ’

           ไม่เป็นแค่เพียงคำพูด แต่เป็นคำสัญญาที่ให้แก่เป็นที่หนึ่ง

           เขาสอบได้ในคณะตามที่ตัวเองตั้งใจท่ามกลางความยินดีของพ่อแม่และญาติพี่น้อง แผนการลับยังถูกจัดการแบบเงียบๆไม่ให้ใครรู้ เพราะหากเรื่องนี้ถึงหูคนเป็นพ่อเป็นแม่มีหวังได้ถูกล้มเลิกแน่ๆ

           ชีวิตนักศึกษาของคนตัวสูงได้เริ่มต้นขึ้น หากแต่ใจไม่ได้อยู่เนื้อกับตัว พะวงถึงคนทางนั้นทุกวินาที

           ทั้งเป็นห่วงทั้งคิดถึง

           อยากกอดอยากหอมให้สมใจนึก..แม้จะทำได้แค่คิด

           ความแปลกใหม่ในชีวิตไม่ได้ทำให้เขาตื่นเต้น เพื่อนใหม่มากมายหลายตาจากสังคมที่แตกต่างกันยิ่งทำให้หวนคิดถึงเรื่องราวในชีวิตมัธยม เขายังใช้ชีวิตธรรมดา ไม่แสดงตัวตนให้เป็นจุดสนใจมากนัก

           เพราะคนที่เขาอยากให้สนใจ..ไม่ได้อยู่ที่นี่

           ถึงจะเป็นเช่นนั้น คนที่ถูกเปรียบเปรยได้ดั่งโลกเช่นเขาย่อมมีบริวารหรือดวงดาวรายล้อม เรื่องผู้หญิงมีเข้ามาบ้างประปรายแต่เขาก็ปฏิเสธไปอย่างนุ่มนวล

           ถูกปรามาสว่าไร้น้ำยา..ก็แล้วไง

           มีแฟนน่ารักอยู่แล้ว จะให้หันไปมองใครอีก

           คนตัวสูงจัดการเรื่องต่างๆด้วยตัวเอง เรียนได้เพียงเทอมเดียวเขาก็ปรึกษากับอาจารย์ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องย้ายมหาวิทยาลัย มันยุ่งยากและวุ่นวายจนหัวหมุนไปหมด ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะโอนย้ายหน่วยกิตเทียบจากมหาวิทยาลัยไทยไปต่างประเทศ แต่เขาก็ทำมันสำเร็จ

           มัดมือชกพ่อแม่เรียบร้อย ท่านออกปากตำหนินิดหน่อยที่ทำอะไรไม่บอกไม่กล่าว เขายิ้มรับคำดุด่าแต่โดยดีพร้อมกระซิบบอกว่าจะไปตามลูกสะใภ้กลับมาให้

           พวกท่านต้องตกหลุมรักเป็นที่หนึ่งเหมือนเขาแน่นอน..

 

 

           การรอคอยที่แสนยาวนานได้สิ้นสุดลง

           ชั่ววินาทีที่ได้สบตาราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน..เหมือนกับวันแรกที่ได้เจอกัน

           ความรู้สึกรักที่หยั่งรากลึก จนวันนี้งอกเงยสะพรั่ง ออกดอกออกผลให้จิตใจกลับมาเต้นระรัวอีกครั้ง

           ช่วงเวลาที่ได้อดทนรอมันคุ้มค่าเหลือเกิน..เมื่อปลายทางของเขาคือเป็นที่หนึ่ง

           ไม่เคยนึกเสียใจกับทุกอย่างที่ตัวเองได้ทำ ได้พยายามมาตลอด

           เพราะสิ่งที่ได้รับกลับมามีความหมายยิ่งกว่าอะไรบนโลกทั้งใบของเขา..

 

           เป็นที่หนึ่งจะรู้หรือเปล่าว่า

           ท่ามกลางโลกที่รายล้อมไปด้วยหมู่ดาวนับพัน

           เขาก็ยังมองเห็นดาวศุกร์เป็นอันดับแรกอยู่เสมอ

 

 

แด่ความรักครั้งสุดท้าย...และรักตลอดไป





never end.


_____________________________________



จบแล้วค่ะ นิยายเรื่องแรกในชีวิตของเรา
มีหลายเรื่องอยากจะทอล์กมาก แต่พอเอาเข้าจริง จะพูดให้รู้เรื่องหรือเปล่าไม่รู้ 555
มันโหวงแปลกๆ แค่คิดว่าจะไม่ได้มาอัพเป็นที่หนึ่งอีกก็รู้สึกไม่ชินแล้วค่ะ ฮ่าๆ
เราเปิดเรื่องนี้วันที่ 10 มีนาคม จำได้ว่าวันนั้นไม่ได้นอน ครึ้มอกครึ้มใจมีฟีลอยากลองแต่งดู
แล้วไหลไปไกลมาก รู้ตัวอีกทีคือวาร์ปไปตอนที่ 3 กับเวลาเกือบๆเจ็ดโมงเช้า 5555
ก็เลยเอาวะ ลองลงเด็กดีดู ลงเล้าเป็ดดู อยากรู้เหมือนกันว่าจะแต่งไปได้ไกลแค่ไหน
สารภาพว่าตอนแรกเราไม่มีโครงเรื่องในหัวชัดเจนเลยค่ะ เรามีแค่ความรู้สึกของเป็นที่หนึ่งอย่างเดียวเลย
พอมีนักอ่านให้ความสนใจมากขึ้น เราก็ชิ-บหายแล้ว เพราะไม่มีพล็อตจริงจังในหัว 5555555
หลังวันนั้นเราก็หลบไปนั่งเขียนพล็อตค่ะ เราเชื่อว่าการจะสร้างตัวละครให้น่าสนใจต้องสร้างให้เขามีมิติและรู้สึกร่วมไปด้วยได้
ซึ่งเป็นที่หนึ่งสามารถตอบโจทย์เราได้ทุกอย่าง
ทั้งครอบครัว มิตรภาพและคนรัก เราอยากสื่อให้ครบจึงวางแกนตรงกลางไว้เป็นที่หนึ่งและหนักไปทางเฟิร์ส
จริงๆก็อยากให้เป็นฟีลกู้ดแต่พอเรามองเป็นที่หนึ่งใหม่อีกครั้่ง มองภาพรวมของเรื่องใหม่อีกครั้ง
เราอาจจะนิยามว่าเป็นฟีลกู้ดก็ได้ แต่สำหรับนักเขียนมองว่าโทนเรื่องนี้ใกล้เคียงกับคำว่าอบอุ่นมากกว่าค่ะ
ตอนแรกเรามองเป็นสีฟ้า ฟุ้งๆครามๆ เอาไปเอามาสิ่งชัดเจนในหัวเราดันเป็นแสงแดดจางๆซะได้ ฮ่าๆ
ขอบคุณอีกครั้งนะคะ
ทุกคนเป็นกำลังใจที่ดีให้กับเรา รวมถึงเป็นที่หนึ่งและเฟิร์ส
ดีใจที่ได้รู้จักคุณนักอ่านทุกคนผ่านตัวหนังสือ
ดีใจที่ทำให้นิยายเรื่องนี้ไปอยู่ในความทรงจำของคุณ
ขอบคุณมากจริงๆค่ะ

#เป็นที่หนึ่ง

 
ช่องทางติดต่อ
twitter : mirallxx
page : mirall
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-05-2018 19:01:27
นับถือใจในความพยายามของเฟิร์สเลย
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 21-05-2018 22:35:16
เฟิร์สเป็นพระเอกที่แสนดีมากกกกกกกก เป็นหนึ่งโชคดีจริงๆ
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 22-05-2018 13:10:10
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆจ้า

 :L2: :pig4: :L2: :pig4: :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: phoenixa ที่ 22-05-2018 21:15:44
ได้อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ
ชอบที่หนึ่งมาก ชอบเฟิร์สด้วย
ได้อ่านคนเก่งที่มีความพยายามแบบนี้แล้วเข้าใจเลยว่าทำไมเราโง่จัง 555

ชอบความสัมพันธ์และความผูกพันของเพื่อนผอง
อ่านแล้วคิดถึงเพื่อนมัธยม ก็ผ่านกิจกรรมอะไรมากมายมาด้วยกันแบบนี้แหละ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ นะคะ
รอติดตามผลงานเรื่องต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 23-05-2018 00:44:37
ที่หนึ่งจะรู้ไหมว่าเฟิร์สพยามยามมากขนาดไหน :hao5:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 23-05-2018 01:02:10
อ่านทีเดียวยาวๆ เลย  ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆ มาให้อ่านนะคะ  :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: bearjunjun ที่ 23-05-2018 02:34:08
สุดยอดดดด ชอบมาก
อ่านแล้วคิดถึงช่วงมัธยมมาก
เฟิร์สดีมากกกกก
เป็นที่หนึ่งก็โคตรน่ารักกก
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 02-06-2018 01:20:26
อ่านแล้วชอบมากก  :กอด1:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: wildride ที่ 02-06-2018 15:42:44
 :pig4:
finding a meaningful of life ว่ายากแล้ว
 แต่ว่า
 realize how lucky they are to have the life they have..
..ความรัก กับ คนรัก .. นี่มันอบอุ่นใจดีพิลึก
โชคดีจังเลย
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: chisarachi ที่ 17-06-2018 13:56:08
โทนเรื่องน่ารัก
ตัวละครมีที่มาที่ไห และมีเหตุผล
อ่านแล้วนึกถึงมัธยมที่กิจกรรมหนักมาก
แต่ก็สนุกมากๆ
สิ่งที่ชอบที่สุดคงเป็นโทรเรื่องที่ค่อยเป็นค่อยไป
อ่านแล้วค่อยๆซึมซับความรู้สึกตัวละคร
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 10-09-2018 15:46:36
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 12-09-2018 05:30:09
อ่านแล้วฟินมาก  :mew2:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 01-10-2018 13:45:09
รักความพยายามของพ่อหนุ่มเฟิร์สจริงๆ ผลลัพธ์ก็คุ้มค่าเนอะ เป็นหนึ่งน่ารักมากๆ  :-[
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 01-10-2018 18:42:03
รักละมุน  :m1:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 07-12-2018 08:36:20
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 07-12-2018 10:30:12
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 10-12-2018 10:54:57
อบอุ่นใจ​ อ่านวันเดียวจบ​ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: mizzmizz ที่ 12-12-2018 20:42:13
เป็นนิยายแนวฟีลกู๊ดมากอ่ะ
อ่านแล้วมันละมุนไปหมด
เฟิร์สคือพยายามเพื่อความรักครั้งนี้มากอ่ะ
เป็นที่หนึ่งคือโชคดีมากจริงๆ แล้วลูกเอ๊ยที่ได้เจอคนแบบนี้
รอติดตามเรื่องต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: JJAY.K ที่ 14-12-2018 10:37:43
เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ชอบครับ ไรต์เขียนเรื่องแรกได้ดีเลยครับ เป็นที่หนึ่งที่น่ารัก กับ 1st ที่มั่นคง บรรยากาศของนักเรียนมัธยมที่สนุก เป็นกำลังใจให้ไรต์เขียนเรื่องดี ๆๆมาให้อ่านอีกนะครับ
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: Evangeline ที่ 18-12-2018 09:27:53
กลับมาอ่านต่อ คิดถึงที่หนึ่งมากๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: Charmy ที่ 18-12-2018 23:03:04
มีผู้ชายแบบเฟิร์สอีกมั้ย
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: AngPao1932 ที่ 22-12-2018 10:31:56
ชอบในความชัดเจน ความมั่นคง ของเฟิร์สมาก สามีในฝันชัดๆ ขอบคุณสำหรับนิยายจ้า หน่วงหน่อยๆแต่คือดี
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 22-12-2018 21:47:07
ความพยายามเป็นเหตุของความสำเร็จจริงๆในส่วนของเฟิร์ส น่ารักมากแมัตอนแรกจะมีโกรธกันบ้างเข้าใจกันคนละทางแต่สุดท้ายก็เข้าใจกัน น่ารักมากเลย สรุปเฟิร์สสอบเข้าวิศวะใช่ไหม แต่ตอนไปอยู่ต่างประเทศย้ายคณะหรือเปล่าหรือประกวดเฉยๆถึงได้มีภาพในนิทรรศการ ที่หนึ่งมีความสุขได้แล้วนะ ครอบครัวของที่หนึ่งนี่มีความคิดคลายพ่อแม่เพื่อนเพื่อนชื่อหนึ่ง พี่มันชื่อเฟิร์ส55555 ขอบคุณคนเขียนมากนิยายสนุกมากเลยเป็นนิยายที่ทำให้นึกถึงวัยมัธยมเลยด้วย เพลงทุ้มในใจก็คือเปิดวันจบทุกที่สินะ555
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: Cyclopbee ที่ 23-12-2018 19:40:43
ขอบคุณสำหรับนิยายอบอุ่นแบบนี้ค่ะ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: IamLonelygirl ที่ 24-12-2018 02:29:02
ภาษาคุณดีมากเลยค่ะ
อ่านแล้วลื่นมากเพลินมาก
เริ่มมาด้วยความหน่วงแต่ไม่ได้หน่วงจนอึดอัดเกินไป
เราว่ามันพอดีสำหรับเรา
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 24-12-2018 04:41:42
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: tong_pub ที่ 24-12-2018 12:35:43
เป็นนิยายที่ทำให้หวนคิดถึงวัยมัธยมมาก
ภาษาดี อ่านได้ลื่นไหล เข้าใจง่าย การบรรยายไม่ติดขัด ชอบมากค่ะ
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 26-12-2018 11:24:57
ชอบอ่ะ น่ารักมากเลย หวนนึกถึงตอนมัธยมเรายังกะโหลกกะลาอยู่เลยแม้แต่อนาคตก็ไม่เคยหวั่นกลัวเพราะคิดว่าเรียนที่ไหนก้อได้ขอแค่ตั้งใจ
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: Readingissexy ที่ 26-12-2018 22:27:55
อ่านรวดเดียวเลย ชอบมากกก เรื่องนี้น่ารักมาก ไม่ได้อ่านแนวมัธยมอบอุ่มหัวใจแบบนี้มานานแล้ววว
ขอบคุณนะคะ  :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: Natti ที่ 27-12-2018 22:14:45
อุ่นๆ ละมุนทั้งเรื่องเลยค่ะ แม้ไม่ได้อ่านตอนเขาขอเป็นแฟนกัน

ภาษาดีอ่านลื่นไหล  o13 o13 o13

เป็นที่หนึ่งน่ารัก เฟิร์สก็มุ่งมั่นในทุกเรื่องจริงๆ
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: nijikii ที่ 31-12-2018 08:10:15
อ่านจบแล้ว
ความรู้สึกมันปนเปไปหมด
ทั้งความหวาน ความละมุน ปนความขมๆเหมือนช็อคโกแลต
สนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 31-12-2018 17:57:37
อ่านรวดเดียวจบเลย
นึกกลัวว่าจะเอื่อยๆอืดๆ
แต่นี่มีความเรียลเข้ามา
ให้รู้ว่าชีวิตไม่ได้สมบูรณ์แบบทุกอย่าง
ทุกคนต้องพยายาม ขวนขวายเพื่อได้มา
ชอบมาก อยากอ่านตอนพิเศษที่ทั้งคู่กลับมาไทย
อยากอ่านตอนเจอพ่อแม่ทั้ง 2 ฝ่าย
จะมีตอนพิเศษเพิ่มไหมคะ?
ถึงไม่มีก็โอเค จบแบบนี้ก็ดีค่ะ
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: Yukina ที่ 13-01-2019 15:49:52
 :mew1: :mew1: :mew1:

โอ้ยยยยยยย สนุกมากกกกก ฟิลกู้ดสุดๆ ให้อารมณ์มัธยมมากกกก อยากได้เฟริส ฮืออออ

จบแล้วเหรอออ

ขอภาคสองเถอะ

ขอร้องๆๆๆๆๆๆ

ขอบคุนมากๆนะครับ สำหรับ นิยายดีๆ
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: ease supsnerv ที่ 23-01-2019 18:04:33
มันน่ารักมากมาย โทนเรื่องก็ดีมาก อบอุ่นฟีลกู้ด
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: tangMa ที่ 25-01-2019 16:53:43
เรื่องนี้ เป็นอีกเรื่องที่เราจะจดจำไว้ในใจ
ขอบคุณที่ทำให้เราได้สัมผัส และหวลคิดถึงบรรยากาศความรักใสๆ ที่อบอุ่น
ไม่ใช่แค่ความรักในวัยเรียน แต่มันจะยั่งยืนตลอดไป
จะติดตามเรื่องต่อๆไปนะคะ
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: Pakgadb2st ที่ 26-01-2019 02:19:31
วันนี้เรานั่งอ่านนิยายของคุณตั้งแต่เที่ยงวันจนเลยเที่ยงคืนไปแล้วค่ะ
บอกตรงๆ ว่าครั้งแรกที่เห็นชื่อเรื่องก็ตกหลุกรักทันที… ไม่มีเหตุผลอะไรเลย แค่ชอบจึงกดอ่าน
แต่เพราะตอนแรกอ่านในเล้า เราใช้คอมอ่านจึงอ่านไปแค่ 4-5 ตอนเท่านั้น
หลังจากนั้นจึงย้ายไปอ่านในเด็กดีค่ะ ยังไปคอมเม้นวี้ดว้ายในนั้นอยู่เลย 555
ไม่รู้สึกเสียใจเลยค่ะที่กดเข้ามาอ่าน รู้สึกอิ่มเอมกับเนื้อเรื่องมากๆ และคิดว่าจะไปหาซื้อหนังสือมาเก็บไว้ด้วย
เราชอบภาษาของคุณมากค่ะ ไหลลื่น สวยและนุ่มนวล ไม่รู้สิ แค่รู้สึกว่าแล้วเข้าใจง่าย
อาจจะเป็นมุมมองความคิดของที่หนึ่งมีมิติมากๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้นะคะ แต่มันสัมผัสได้ว่ามีคนแบบนี้อยู่บนโลกจริงๆ
ส่วนเฟิร์สนี่ไม่ต้องพูดถึงเลยค่ะ อบอุ่นแม้จะเจ้าแผนการ
อ่านไปแล้วทำให้นึกแฟนตลอด (อะไรจะนิสัยคล้ายกันขนาดนี้)
นี่น่าจะเป็นการคอมเม้นท์นิยายที่ยาวที่สุดในชีวิตเลยค่ะ อยากจะย้ำอีกครั้งว่าเราชอบนิยายเรื่องนี้มากๆ
ขอบคุณที่เขียนผลงานดีๆ ออกมากให้เราได้ย้อนกลับไปชีวิตตอนมัธยมอีกครั้ง คิดถึงจริงๆ

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: PanGii ที่ 26-01-2019 22:11:48
บอกได้แค่ยิ้มค่ะ ดีมาก
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งธิดา ที่ 27-01-2019 08:30:46
อ่านรวดเดียวเลยชอบค่ะคิดถึงตอนเรียนมัธยมเป็นที่หนึ่งน่ารัก
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: Nattarat ที่ 31-01-2019 14:14:36
ขอตอนพิเศษได้มั้ยค่ะ ชอบค่ะ
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: Jihan ที่ 05-02-2019 05:25:00
เป็นนิยายอีกเรื่องที่ควรอ่านจริงๆค่ะ เราอ่านแล้วรู้สึกได้ว่าพวกเขามีตัวตนจริงๆ เลยเข้าใจตัวละครมากขึ้น รู้สึกเสียใจมากๆที่เพิ่งมาเห็น  :mew6: เลยไม่ได้อ่านแบบเรียลไทม์และให้กำลังใจไปพร้อมๆกัน แต่ก็ขอขอบคุณจริงๆนะคะ ที่แต่งนิยายเรื่องนี้ขึ้นมา แล้วเราจะรออ่านเรื่องต่อๆไปนะคะ สู้ๆ  :L2: :L2:

หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: Am.FerfaHara ที่ 16-02-2019 19:21:10
 :pig4:
ขอบคุณค่ะ นิยายสนุก ละมุนมาก
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: Persoulle ที่ 05-03-2019 10:17:37
ขอบคุณมากค่ะสำหรับนิยาย ฟิลกู๊ด เราชอบมากกกก
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: numildkub ที่ 14-03-2019 03:27:43
ละมุนมาก อ่านไปก็น้ำตาไหล อดหวนนึกถึงตอนอยู่มัธยมไม่ได้เลย
รู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปใช้ชีวิตตอนนั้น ชอบมากเลย
เรื่องนี้แทบจะเป็นเรื่องแรกที่อ่านไปน้ำตาไหลไม่รู้ตัว ไม่ใช่ดราม่าอะไร
แต่เพราะอดคิดถึงเพื่อน คิดถึงสมัยอยู่มัธยมไม่ได้
ขอบคุณนักเขียนมากที่ทำให้เราได้ย้อนกลับไประลึกถึงความทรงจำดีๆ ☺️☺️
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: Nongsea13 ที่ 14-03-2019 17:16:05

ชอบมากค่ะ อ่านได้อย่างชิลมาก ไม่กดดัน สบาย ๆ มาก ๆ  ชอบภาษาที่ใช้

ลื่นไหลดีค่ะ  เป็นกำลังใจให้นะคะ

หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 21-03-2019 14:48:36
อบอุ่นมากๆ นับถือเฟิร์สที่มีความตั้งใจแน่วแน่ และแน่นอนอิจฉาเป็นที่หนึ่งมว้ากกกกกก 5555+
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ อ่านแล้วอบอุ่นหัวใจ...
 :mew1:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 27-03-2019 16:23:07
 :mew1: :mew1: :mew1: อบอุ่นละมุน
พระเอกมีความพยายามมาก รักแล้วต้องกล้าแสดงออก :katai2-1: :katai2-1: ขอบคุณผ๔้แต่งค่ะ
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: koisuratreeJHZZ ที่ 25-04-2019 22:53:40
เพิ่งได้อ่านเรื่องนี้ อยากบอกว่าชอบมากๆเลยค่ะ วันนี้เลยไปหาซื้อหนังสือมาด้วย จะติดตามผลงานเรื่องตาอๆไปนะคะ o13
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: FeRnChOi ที่ 26-04-2019 23:43:23
สนุกมากเลย ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆแบบนี้ออกมานะคะ

ผู้ชายแบบเฟิร์สนี่มีที่ไหนอีกมั้ย อยากได้~~~~
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: pinkypromise ที่ 07-05-2019 10:36:55
ขอบคุณสำหรับนิยายค่า
 o13
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: Ninnin ที่ 10-05-2019 14:01:46
แงลลลลลลลลลลลล เขียนดีมาก จะร้องไห้แน้วววววว ใจบางงงงงงงงง เราเข้าใจที่หนึ่ง
เพราะเรานิสัยแบบที่หนึ่ง อินหนักมากกกกกก
ขอบคุณสำหรับงานเขียนดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 17-05-2019 14:01:02
 :3123: :3123: :3123:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 09-06-2019 12:09:39
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: Tinton ที่ 09-06-2019 21:49:46
Feel Good มากครับเรื่องนี้ เขียนได้ดีมาก ๆ ครับ
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: Bear Company ที่ 10-06-2019 21:17:34
 o13
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: ตุยชิคชิค ที่ 12-06-2019 02:16:58
ฮื่อออ ชอบมากค่ะ อยากให้เฟิรืสเข้ามาเป็นความสบายใจของที่หนึ่งนะ
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: ตุยชิคชิค ที่ 12-06-2019 12:26:12
หวานเว่อร์
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: ตุยชิคชิค ที่ 12-06-2019 19:03:26
เนื้อเรื่องดูอึมครึมแต่ก็น่ารักมากๆเลยค่ะ ชอบที่พระเอกนาวเอกดูเนิร์ดทั้งคู่ คอยเป้นกำลังใจให้กัน ขอบคุณไรต์เตอร์ที่เขียนนิยายน่ารักๆมาให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: taitainiiz1234 ที่ 12-06-2019 22:58:15
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: BuzZenitH ที่ 20-06-2019 09:57:42
 :-[ น่ารักทุกตอนเลย อ่านไปเคลิ้มไป ฮรอลลลล
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: minkky ที่ 27-08-2019 19:06:11
เราอ่านรวดเดียวเลยค่ะ เขียนได้ดีมาก
คิดถึงเพื่อนสมัย ม.ปลายมากเลย คิดถึงเวลา ณ ตอนนั้น
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: Ti0590 ที่ 30-08-2019 03:17:46
เผ็นนิยายของไรท์เรื่อง​แรก แต่เขียนออกมาได้ดีมากๆเลยนะคะ อ่านแล้วก็นึกถึงเพื่อน นึกถึง สมัย ปั๊บปี้เลิฟ และสุดท้าย เฟิร์สกับที่หนึงดีมากจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: tae1234 ที่ 10-09-2019 01:41:45
สนุกมากครับ ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 18-09-2019 10:53:48
สนุก อบอุ่น ขอบคุณมากค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 23-09-2019 12:08:19
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ สนุกมาก ๆ
ขอบคุณที่แต่งนิยายดี ๆ แบบนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: [x]-SayHi ที่ 17-12-2019 12:20:34
Feel good เกินไป ทำใจไม่ได้ อิจฉาเล็กๆ ทำไมแฟนผมไม่ได้แบบนี้บ้าง มีแต่จะตีกันตลอด  :katai1:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 21:04:54
 :pig4:
หัวข้อ: Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
เริ่มหัวข้อโดย: four4 ที่ 21-04-2020 16:26:29
อ่านเรื่องจบใน1วันช่วงโควิด19ระบาด. ชอบตัวเป็นที่หนึ่งความจริงจัง มุ่งมั่น และเรื่องราวชีวิตมัธยมกับเพื่อนๆมันเป็นช่วงที่มีความสุข ยิ่งมีเฟิร์สผู้มีใจรักอย่างไม่ย่อท้อที่จำให้ตัวเองไปอยู่ในสายตาคนๆนึงได้ และพยายามรักษาความรักนั้นไว้อีกเป็นอีกเรื่องที่ทำให้คนอ่านแบบเรามีความสุข. ขอบคุณนักเขียนจากใจครับ