F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518  (อ่าน 69644 ครั้ง)

ออฟไลน์ miralchs

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
C h a p t e r   f o u r t e e n ♥

เป็นคืนพิเศษ


            ถ้าจะให้พูดถึงเทศกาลสำคัญในช่วงนี้ก็เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้

            ถนนหนทางถูกประดับด้วยของตกแต่ง หลายสถานที่ต่างจัดให้เตรียมพร้อมสำหรับวันที่ใกล้เข้ามาถึง ทุกอย่างถูกแต่งแต้มไปด้วยแสงสีสดใส รวมถึงป้ายที่แทบจะเห็นได้ทั่วทุกมุม

            ‘สุขสันต์วันปีใหม่’

            เทศกาลที่หลายคนรอคอยมาทุกปี

            รอคอยเพื่อจะได้เจอเพื่อนฝูง ใช้เวลาร่วมกับครอบครัว ออกไปเที่ยวหรือนอนโง่ๆอยู่บนเตียงทั้งวัน

            หรือแม้กระทั่ง..อ่านหนังสือสอบ

            ช่างเป็นเรื่องตลกร้าย โรงเรียนที่เคยสอบกลางภาคเทอมสองก่อนปีใหม่มาเกือบทุกปี ไม่รู้ว่าครั้งนี้ทางโรงเรียนใช้เหตุผลข้อไหนในการลงมติประชุมถึงได้ประกาศเลื่อนสอบออกไปเป็นหลังปีใหม่แบบเป๊ะๆ ไม่ขาดไม่เกิน

            พูดให้ชัดเจนคือหลังวันหยุดยาวก็เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม

            ข้อดีอย่างน้อยๆคงเป็นการที่ได้จัดกิจกรรมก่อนวันปีใหม่ เพราะเหมือนมีรับวันหยุดมาเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวัน ถึงแม้จะต้องมาโรงเรียนอยู่ดีก็เถอะ

            การเรียนการสอนงดชั่วคราวเพื่อให้นักเรียนได้ใช้เวลาไปกับช่วงเทศกาล สถานที่ภายในถูกปรับเปลี่ยนให้เข้ากับธีม เต็มไปด้วยซุ้มลูกโป่งผูกรวมกันนับสิบ ริบบิ้นหลากสีแขวนไว้แทบทุกประตูห้องเรียน สายไฟโยงระย้าเต็มทางเดินจนไม่อยากจะคิดสภาพว่าถ้าเกิดเหยียบละก็จะเกิดอะไรขึ้น

            ทว่าการเข้าแถวก็ยังมีเหมือนตามเคย พิเศษหน่อยก็คุณพ่อผอ.ที่เพิ่งกลับมาจากศึกษาดูงาน และคาดว่าจะมีเรื่องราวมากมายมาเล่าให้นักเรียนกว่าสามพันคนฟัง ภาพในวันเปิดเทอมทับซ้อนขึ้นมาทันที ต่างกันตรงที่ไม่ต้องคอยปาดเหงื่อซกในขณะที่เผชิญหน้ากับแสงพระอาทิตย์เหมือนตอนฤดูร้อน

            แถมมีการประกาศรางวัลนักเรียนไปแข่งขันมาในช่วงปิดเทอมเสียด้วย

            คงไม่ต้องบอกเลยว่าเช้านี้ยังอีกยาว

            อันที่จริงถ้ามีกิจกรรมโรงเรียนก็อนุญาตให้ใส่ชุดพละมาได้แทนฟอร์มนักเรียน ดังนั้นก็ไม่เป็นเรื่องน่าแปลกถ้าจะเห็นทุกคนพร้อมใจใส่เหมือนนัดกันมา

            เว้นเสียจากคนที่ต้องมายืนหลังเวทีเพื่อรอรับรางวัล

            ..แบบผมในตอนนี้

            “ต่อไปจะเป็นการประกาศรางวัลการแข่งขันทางวิชาการ...”

            รายชื่อถูกประกาศไปเรื่อยๆตามลำดับรายการแข่งขัน ผมยืนรอนิ่งๆไม่ได้รีบร้อนอะไร กว่าจะถึงรายชื่อก็คงอีกนาน

            ปึก!

            แรงชนเบาๆจากทางด้านหลังทำให้หันไปมอง

            แล้วก็พบกับรอยยิ้มเดิมที่ได้เจอทุกวัน

            “ขอโทษครับ น้องเป็นไรมั้ย” เสียงทักทายแรกของวันจากคนตัวสูงที่วางมาดเก๊กราวกับรุ่นพี่ม.6 จนผมอยากจะหลุดหัวเราะขำออกมา แต่ก็ยอมเล่นไปตามน้ำ

            “ไม่ยกโทษให้ครับ”                             

           “งั้นพี่ต้องทำยังไงเราถึงจะหายโกรธ”

            ยัง..ยังไม่เลิก

            ผมเหล่ตามองคนที่ใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มพลางยักคิ้วให้กวนๆ ก่อนจะยกขาเตะเข้าไปตรงน่องซ้ายของเขาด้วยความหมั่นไส้

            “โอ้ย พี่เจ็บนะน้องหนึ่ง” คนถูกกระทำร้องแสร้งโอดโอยออกมา ทั้งที่ผมลงน้ำหนักไปเท่ามด

            สำออยเก่งนักนะ

            “ใครน้อง อย่ามามั่ว”

            “ก็เกิดทีหลังนี่นา”

            ไม่กี่ชั่วโมงเองเถอะ ผมค่อนขอดในใจ ก่อนหันกลับไปเตรียมตัวเมื่อใกล้จะถึงชื่อตัวเอง

            “ไม่ยกโทษให้เหรอ ใจร้ายจัง”

            “ยกรางวัลให้เราสิ” พูดเป็นเชิงหยอก แต่อีกฝ่ายก็สวนกลับมาทันที

 

            “ยกให้หมดทั้งตัวและหัวใจแล้วครับน้อง”

 

            ฮึ่ย!

            “โอ้ย!”

            นั่นทำให้ผมเหยียบเท้าเขาไปเต็มแรง แล้วหนีขึ้นไปรับเกียรติบัตรโดยไม่สนใจคนเจ้าเล่ห์อีก

 

            ขึ้นเวทีมารับรางวัลเป็นร้อยครั้งก็ไม่มีครั้งไหนมือสั่นจนเกียรติบัตรจะร่วงขนาดนี้ อีกฝ่ายยังยืนอมยิ้มมุมปาก จ้องมองมาไม่กะพริบ จนกระทั่งคุณครูเอ่ยชื่อเรียกถึงได้ก้าวขึ้นมารับ แล้วเดินมาหยุดที่ข้างผมอย่างจงใจพร้อมกับโน้มใบหน้าลงมากระซิบ

            “แอร์ก็เย็น ทำไมแก้มแดง หื้อ..”

            “อื้อ..” เบี่ยงหน้าหลบเป็นพัลวันเมื่อลมหายใจร้อนๆรดที่ข้างแก้ม จะขยับมากก็ไม่ได้เพราะยังอยู่บนเวทีท่ามกลางสายตานักเรียนแทบทั้งโรงเรียน โชคดีที่มายืนตรงมุมอับไม่งั้นคงถูกสายตาตำหนิจากคุณครูที่อยู่ข้างล่าง

            คนตัวสูงกว่ายอมถอยหนี แต่ก็ยังไม่วายจ้องมาด้วยสายตาแพรวพราวที่ทำให้หน้าร้อนวูบวาบไปหมด

            บ้าเอ้ย

            พนันเลยว่าบนโลกนี้ไม่มีคนชื่อเฟิร์สขี้แกล้งไปมากกว่าเขาแล้ว!










            วันปีใหม่ทั้งทีถ้าไม่มีจับฉลากของขวัญก็จะประหลาดไปหน่อย

            เลขที่สุ่มเวียนกันไป กล่องหลากสีสันบนโต๊ะลดลงไปตามจำนวนของชื่อที่โดนเอ่ยเรียก

            เป็นกิจกรรมซ้ำๆเดิมๆคล้ายกับทุกปี

            อย่างไรก็ตาม..มันก็ไม่ได้เหมือนกันทุกอย่างเสมอไป

            นับตั้งแต่จำความได้ของขวัญวันปีใหม่ชิ้นแรกได้จากเพื่อนตอนอนุบาลสาม แล้วก็ได้มาเรื่อยๆแตกต่างกันออกไปในแต่ละปี

            ไม่ได้มีชิ้นไหนพิเศษไปกว่ากัน ทุกชิ้นล้วนมีความหมาย

            เพราะมันไม่ใช่แค่ของขวัญแทนวันพิเศษสำหรับคนทั่วไป

            มันแทนวันพิเศษของผมด้วย..

            “วันเกิดอยากได้ไร”

            คำถามเดิมจากเพื่อนสนิทคนเดิมประหนึ่งตั้งระบบอัตโนมัติไว้ในวันสุดท้ายของปี

            คำตอบก็ไม่ต่างกัน

            “แล้วแต่ให้เลย”

            ใจจริงก็อยากตอบว่าไม่ต้องก็ได้ แต่ก็ดูจะหักหาญน้ำใจกันเกินไปเพราะเจ้าตัวดันเล่นใหญ่ทุกครั้งเมื่อถึงวันจริง

            ปีที่แล้วก็เซอร์ไพรส์กันจนเหนื่อย ตลบหลังหลอกล่อกันสุดฤทธิ์จนผมต้องส่ายหน้าระอาปนยิ้มขำให้กับจอมวางแผนทั้งหลาย

            ถึงจะรู้ตั้งแต่ต้นเริ่ม แต่ก็แสร้งทำเป็นงงงวยตามน้ำเพราะไม่อยากทำให้กร่อย

            คิดถึงตรงนี้มุมปากก็กระตุกยิ้ม

            บอกแล้วว่าที่เป็นอยู่ก็มีความสุขดี เจอเพื่อนแบบนี้ก็เหมือนได้ป้ายสีสันลงบนชีวิต

            ถ้าเปรียบเทียบการเจอเพื่อนเหมือนการซื้อล็อตเตอรี่ ผมคงเป็นคนที่ได้รับรางวัลที่หนึ่งมาอย่างไม่ต้องสงสัย

            “ก็อปปี้เฟิร์สให้สักร้อยคนเป็นไง” ลูกแพรพูดติดตลก

            เป็นเมื่อก่อนคงหันไปด่าเอาสักหน่อย แต่ตอนนี้ผมกลับหัวเราะให้กับความคิดของเพื่อนสนิท

            แบบนั้นน่ะ..ไม่ดีหรอก

            เฟิร์สมีคนเดียวในโลกก็พอแล้ว

            สายตามองไปตามนิ้วเรียวที่ชี้ไปยังคนตัวสูง เห็นมือแกร่งกำลังยกกล้องถ่ายเก็บภาพบรรยากาศภายในห้องเรียน ก่อนใบหน้าคมจะถอยออกมาจากช่องมองภาพ เผยรอยยิ้มขณะที่เลื่อนรูปดูรูปบนจอไปเรื่อยๆ

            จุดที่อีกฝ่ายยืนอยู่เป็นมุมที่ไม่ได้มีใครสนใจ แต่ผมก็ยังวางสายตาไว้ที่เขา

            เหมือนกับห้วงอวกาศว่างเปล่าทว่ามีประกายสดใสของโลกอยู่ตรงนั้น

            หูอื้ออึงไม่ได้ยินเสียงรอบข้างคล้ายกับถูกสะกดไว้ให้มองเพียงคนตรงหน้า

            ราวกับหลุมพรางที่ยินยอมกระโดดลงไปอย่างไร้ข้อแม้..

            แชะ!

            ถูกดึงให้กลับสู่ปัจจุบันด้วยเสียงลั่นชัตเตอร์ในระยะใกล้

            รู้ตัวอีกทีคนที่แอบมองก็มายืนตรงหน้าแล้ว

            ค่อยๆลดระดับกล้องลง จนสามารถสบสายตากันได้อย่างพอดิบพอดี

            “มองตาหวานเยิ้มเชียว..”

            “…”

            “คิดอะไรอยู่ครับคุณหัวหน้าห้อง”

            ความร้อนแผ่ซ่านจากแก้มลามไปจรดใบหู ผมเสมองไปทางอื่นด้วยความประหม่าเมื่อถูกจับได้คาหนังคาเขา

            ไม่ยอมรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ..

            คนตัวสูงยิ้มบางๆเมื่อไม่ได้รับคำตอบจากผม ส่งมือข้างหนึ่งมากอบกุมข้างแก้มไว้ ก่อนจะใช้แรงดึงจนมันยืดออก

            “เฟิร์ส!”  แหวใส่ทันควันเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้เบามือเลยสักนิด จากความอายแปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บอย่างรวดเร็ว คนตัวสูงชักมือกลับอย่างรู้งานแต่ก็ไม่ทันผมที่เข้าไประดมทุบเพื่อเอาคืน

            “อะ หยอกกกกก หยอกกันเข้าไป”

            “สร้างโลกส่วนตัวเก่ง”

            ลูกแพรกับเต้เอ่ยแซวขึ้นมากลางวงล้อมที่ไม่รู้ว่าไปตั้งกันตอนไหน

            “จะเล่นด้วยป้ะ”

            ผมมองรอยยิ้มนั้นอย่างไม่ไว้ใจ

            ไม่ใช่เพราะเกมพิเรนทร์ๆ แต่เพราะน้ำที่บรรจุในขวดสีเหลืองต่างหาก

            ดูภายนอกก็เหมือนน้ำยี่ห้อธรรมดา ผมคงจะเชื่อหมดใจถ้าไม่ติดว่ารู้จักกันดี

            เป็นธรรมเนียมของวันปีใหม่ไปแล้วล่ะ..

            “ขอบาย”

            “ก็รู้อยู่แล้ว”

            “เดี๋ยวจะฟ้องพี่ซัน”

            “ไม่กลัวหรอก” เพื่อนสนิทว่าอย่างท้าทาย “เฟิร์สเล่นป้ะ”

            “มันเล่นก็หมดสนุกพอดี คอแข็งชิบหาย”

            คนข้างตัวยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ แต่ประกายในแววตาสีนิลนั้นก็ซ่อนไม่มิดอยู่ดี

            “จะไปเล่นก็ได้นะ”

            “ให้เล่นจริงอ่อ”

            “จริง ไม่ได้ห้ามสักหน่อย”

            ผมไม่สนใจอะไรเรื่องนี้มากนัก พูดตรงๆก็คือไม่ได้มายด์ว่าใครจะเป็นอะไร

            ชีวิตใครชีวิตมัน การตัดสินใจขึ้นอยู่กับตัวเองไม่ใช่คนอื่น

            แต่ว่า..กับคนข้างๆตอนนี้ก็แอบรู้สึกบ้างนิดหน่อย

            “คนปากไม่ตรงกับใจ”

            และรู้ด้วยว่าเขามองออกอยู่แล้ว

            “อยากให้ห้ามบ้างจัง”

            “พึลึก” หันไปว่าตามใจคิด แต่อีกคนก็ไม่ได้สะเทือน

            “ขอสักข้อให้ชื่นใจหน่อยสิ”

            สบสายตาอ้อนๆนั้นแล้วก็ต้องกลั้นยิ้มแทบบ้า

            ตัดสินใจเอื้อมมือข้างหนึ่งทาบลงบนดวงตาสีนิลเพื่อไม่ให้อีกคนเห็นว่ากำลังยิ้มกว้างแค่ไหน..

            แล้วพูดประโยคสั้นๆที่ให้เขาได้ยินเพียงคนเดียว





            “เราเป็นห่วง..”

 


 

            เวลายี่สิบสี่ชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

            ต้องขอบคุณปีนี้ที่ช่วงเทศกาลตรงกับวันหยุดประจำสัปดาห์ กลายเป็นว่าได้มีเวลาพักผ่อนไปเกือบหนึ่งอาทิตย์เต็ม

            อา..หมายถึงวันพักผ่อนของคนอื่นน่ะสิ

            หนังสือรายวิชาวางกองเป็นตั้งตรงมุมโต๊ะ ดินสอ ปากกาวางระเกะระกะ รวมถึงสมุดจดที่มีร่องรอยการขีดเขียนมากมาย

            เป็นภาพที่คุ้นชินแต่ชวนน่าเบื่อจนพรูลมหายใจออกมาอย่างเนือยๆ

            เหลือบตามองนาฬิกาดิจิทัล เวลาล่วงเลยมาเกือบห้าชั่วโมงนับตั้งแต่จมปลักอยู่กับกองหนังสือ ผมควงปากกาในมาเล่น เอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ รับรู้ถึงลิมิตตัวเองที่เลยขีดจำกัดแล้ว

            จะดันทุรังอ่านต่อก็ไม่มีผล ในเมื่อสมองตื้อไม่รับรู้อะไรสักอย่าง จึงพับสมุดลง คว้าโทรศัพท์ใกล้ตัวมากดเล่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

            เคยบอกว่าไม่ใช่คนที่ติดมือถือ หากต้องการจะพักสายตาสักหน่อยก็ไม่พ้นเดินลงไปหาของกิน เล่นกับแมวสักพัก ชมนกชมไม้ไปเรื่อยเปื่อย

            แต่ก็ต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อบ้านมีสมาชิกใหม่มาได้ร่วมกว่าสามเดือน แม้จะพยายามกล่อมตัวเองว่าทำใจให้ชิน สุดท้ายก็ยังไม่เกิดผลใดๆ

            จะฝืนทำก็เกินความสามารถตัวเอง จึงได้ปล่อยให้ความกระอักกระอ่วนเข้าครอบงำเมื่อเผชิญหน้ากันตรงๆ

            ก็นับกว่าดีขึ้นกว่าวันแรก อีกฝ่ายก็ไม่ใช่ว่านิ่งเฉย เขายังพยายามเข้าหาด้วยวิธีที่ไม่เข้าท่าสำหรับผมสักเท่าไหร่

            บางอย่างก็ควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเวลาจริงๆนั่นแหละนะ

            จากเหตุผลที่ว่ามา การลงไปจากห้องตอนนี้คงได้ปวดหัวกว่าเดิม หนทางสุดท้ายจึงไม่พ้นเจ้าเครื่องเทคโนโลยีสื่อสารขนาดกะทัดรัดในมือ ผมมองหน้าจอที่มีรอยขีดข่วนเส้นเล็กแล้วนึกขันให้กับตัวเอง

            คนที่สังเกตการเปลี่ยนแปลงมาตลอดอย่างผมทำไมจะไม่รู้ว่าพักหลังนี้จับต้องมันบ่อยกว่าปกติ ทั้งที่มันก็เป็นโทรศัพท์เครื่องเดิม

            ก็ไม่ได้สนใจวัตถุสี่เหลี่ยมผืนผ้านี่สักหน่อย

            ที่สนใจน่ะ…

 

            1st  : ทำอะไรอยู่ครับ

            1st : ที่หนึ่ง

            1st : ...

            1st : อ่านหนังสือแน่เลย

            1st : พักสายตาด้วยนะ

 

            เผลอเม้มปากแน่นกับข้อความที่ส่งมารัวๆ

            ปกติรำคาญเสียงแจ้งเตือนจนปิดมันไว้ทุกครั้งเมื่อรบกวน มีข้อความเข้าก็นานทีถึงเปิดอ่านถ้าไม่ใช่ธุระสำคัญ

            เมื่อไหร่กันที่กลายเป็นแบบนี้นะ

            ไม่ได้ใจจดจ่อตลอด แต่ก็ไม่เคยทิ้งช่วงเวลานาน

            เขาจะรู้บ้างหรือเปล่าว่าทุกครั้งที่ส่งข้อความมาหา จะมีคนกลั้นยิ้มแทบบ้าแบบนี้..

 

                                                                                                                            พักแล้ว

                                                                                                                            Sent sticker*

 

            ส่งสติ๊กเกอร์รูปหมียิ้มธรรมดาไปให้ เวลานี้คนตัวสูงคงอ่านหนังสืออยู่ไม่ต่างกัน ผมกดเข้าแอพนั่นนี่ไปอย่างไร้จุดมุ่งหมาย

            ไม่กี่นาทีต่อมาโทรศัพท์ก็สั่นครืดพร้อมกับข้อความที่ถูกส่งมาติดกันจากคนๆเดียว

 

            1st : เบื่อล้ว

            1st : แล้ว*

            1st : ไม่อยากอ่าน

            1st Sent sticker*

 

            หัวเราะให้กับสติ๊กเกอร์หมีร้องไห้ ดูไม่เข้ากับคนตัวสูงเลยสักนิด

 

                                                                                                                            ทำอะไรดีล่ะ

 

            1st : โทรหาได้รึเปล่า?

 

            เหมือนเข้าทาง เขาพิมพ์ตอบกลับมาอย่างรวดเร็วเมื่อผมถามออกไป และอีกฝ่ายก็ไม่รีรอคำตอบเลยด้วยซ้ำ

            ครืด ครืด

            แต่หน้าจอที่โชว์ขึ้นทำให้ผมทำหน้าตื่นทันที ปลายนิ้วที่กำลังจะเลื่อนกดต้องหยุดชะงัก

            Video call!?

            สาบานเลยว่าจนความสัมพันธ์ขยับมาถึงขั้นนี้ก็ไม่เคยคิดจะโทรคุยกันแบบเห็นหน้า

            ใจที่ลังเลสวนทางกับเสียงสั่นที่ใกล้ดับลง แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจรับสายพร้อมกับหงายหน้าจอขึ้นให้คนทางนั้นเห็นเพียงฝ้าเพดานว่างๆ

            เสียงหัวเราะจากปลายสายเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าผมกดรับไปแล้ว

            มันไม่ได้เหมือนเจอกันซึ่งๆหน้าเลยนี่ แถมสภาพในบ้านของผมจืดสนิทจนดูไม่ได้ แน่นอนว่าอีกคนจะไม่มีวันได้เห็นเด็ดขาด

            ‘โชว์หน้าหน่อยสิ’

            “ไม่เอา”

            ‘เขินไรเนี่ย เร็ว อยากเห็นหน้า’

            “มันแปลกๆ คุยกันแบบนี้นี่แหละ”

            ‘เอ้า คุยกับแบบนี้สิแปลก ทำเหมือนไม่เคยเห็นหน้ากันไปได้น้า ฮ่าๆๆ’

            ผมเงียบไป ถึงแม้คนตัวสูงจะคะยั้นคะยอก็ตาม

            เชื่อเถอะว่าสุดท้ายผมก็ต้องแพ้ลูกอ้อนเขาราบคาบ



            ‘ที่หนึ่งครับ ไม่อยากเห็นหน้าเฟิร์สเหรอ..’



            แน่นอนว่าจากฝ้าเผดานว่างเปล่าก็ถูกแทนที่ด้วยใบหน้าของผมหลังจากคำพูดนั้นไม่กี่วินาที

            คนปลายสายยิ้มกว้างจนอยากทะลุจอเข้าไปชกหลายๆครั้งโทษฐานที่ทำให้หลุดความเป็นตัวเองขนาดนี้

            “ทำอะไรอยู่อะ”

            เริ่มต้นด้วยคำถามเบสิคเพื่อลดอาการประหม่า พอนึกได้อีกทีนี่มันคำถามขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ

            ‘คุยกับแฟนอยู่’

            โดนไปหนึ่งดอกเต็มๆ!

            ‘น่ารักมากเลย ที่หนึ่งอยากเห็นหรือเปล่า’

            “อย่าทำอะไรพิเรนทร์ๆนะ”

            เขาไม่ตอบอะไร ยกยิ้มให้ แล้วจ้องมาที่โทรศัพท์นิ่งพร้อมกับเสียงลั่นชัตเตอร์ที่ตามหลังมา

            ‘อ้าว ลืมปิดเสียง’

            “เฟิร์ส!”

            ไม่ต้องเดาเลยว่าอีกฝ่ายทำอะไร ผมรีบรูดซิปขึ้นมาปิดถึงคอ ยกมือสวมฮูดใหญ่ๆที่มันปิดหน้าได้เกือบมิด

            ‘ขอโทษ เราแคปไว้ให้ตัวเองดูคนเดียวหรอก อย่าปิดหน้าดิ ฮ่าๆ’

            “ให้มันจริง หน้าเราเหวอแน่ๆ”

            ‘ไม่เหวอเลย น่ารักมาก’

            จะได้ยินบ่อยแค่ไหน ผมก็ไม่เคยชินกับคำนี้จากเขาสักที

            ‘เอาฮูดออกเร็ว เราพูดจริงๆนะ’

            “…”



            ‘จะเอาให้คนอื่นดูได้ไง หวงขนาดนี้อะ’



            “ฮื่อ บ้าเอ้ย”

            ผมพึมพำแล้วซบหน้าลงกับฝ่ามือตัวเอง ยอมแพ้ให้กับคำพูดของเขาราบคาบ ดึงฮูดออกตามความต้องการอีกคน

            เฟิร์สเลิกแกล้ง เปลี่ยนหัวข้อไปคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป

            ‘ปีใหม่ไปไหนเปล่า’

            “หึ ไม่อะ อยู่บ้านเหมือนเดิม”

            ใช่..เหมือนเดิม

            คืนวันสิ้นปีเป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับหลายคนรวมถึงผม เป็นการข้ามปีไปพร้อมกับคนสำคัญมาตลอด ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน

            เราอยู่ฉลองเทศกาลด้วยกันสองคนมาสามปีเต็มนับจากที่พี่ไม่อยู่ แม้คนเป็นแม่จะบอกให้ผมไปกับเพื่อนฝูงบ้าง ไปเที่ยวบ้าง แต่ผมก็เลือกที่จะอยู่กับท่านมาตลอด

            ก็ไม่รู้จะไปไหน ไปกับใคร กับเพื่อนก็ไม่ใช่ว่าจะต้องไปด้วยกันเสียทุกครั้ง นิสัยส่วนตัวก็ไม่ใช่คนที่ชอบสถานที่พลุกพล่านอยู่แล้วด้วย

            ยิ่งการปล่อยให้บุพการีหนึ่งเดียวในชีวิตอยู่บ้านลำพัง ผมคงทำไม่ได้

            ‘อ่า..’

            ปลายสายนิ่งไปราวกับใช้ความคิด

            และผมคิดว่าผมเดาถูก

            ‘ไปกับเรามั้ย’

            เป็นคำถามที่ไม่เลว แต่ตัดสินใจยากพอควรเลยทีเดียว

            “ไปไหนล่ะ”

            ‘ยังไม่รู้เลย’

            อ้าว..

            ผมเท้าคางมองคนในจอที่กำลังเคาะนิ้วกับโต๊ะเป็นจังหวะ

            ‘ถามไว้ก่อนว่าถ้าไปจะไปได้หรือเปล่า’

            ถ้าเป็นแต่ก่อนคงตอบว่าไม่ไปตั้งแต่เอ่ยชวนแล้ว

            ทว่าพอเป็นเฟิร์สทำให้ผมเกิดความลังเล

            และยิ่งลังเลมากขึ้นเมื่อนึกได้ว่าในบ้านไม่ได้มีกันแค่สองคนอีกต่อไป

            ถ้าอยู่เหมือนเดิมก็พูดได้เลยว่ามันจะเป็นวันปีใหม่ที่อึมครึมที่สุดในชีวิต

            แต่ก็ตัดใจห่างจากม๊าไม่ได้

            ‘คิ้วผูกเป็นโบว์หมดแล้ว’

            “เรา…”

            ‘ไม่เป็นไร โทรคุยกันเหมือนวันนี้ก็ได้นี่นา’

            เขายิ้มเพื่อให้ผมสบายใจ

            “เราจะลองขอนะ”

            ไม่อยากให้อีกคนผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า

            อยากเป็นฝ่ายพยายามคว้าเขาไว้บ้าง..

            ‘ขอบคุณครับ’

            เราคุยกันต่ออีกเกือบชั่วโมง ทวนเนื้อหาด้วยกันนิดหน่อยก่อนที่เขาจะขอวางเพื่อให้ผมได้อ่านหนังสือต่อ

            ก๊อกๆ

            “แป๊บนึงครับ”

            ผมเลื่อนโทรศัพท์ไปไว้อีกฝั่ง ก่อนจะลุกไปเปิดประตู

            “..!”

            เท้าผมก้าวไปข้างหลังด้วยความตกใจ เกิดกระแสความเงียบรอบตัวเมื่อคนตรงหน้าไม่ใช่ม๊าอย่างที่คิด

            “ม๊าทำนี่มาให้กิน”

            ผมหลุบตามองจานในมือ คว้ามาถือไว้แล้วพึมพำขอบคุณเบาๆ

            “ที่หนึ่ง”

            ผมมองหน้าผู้บุกรุกอย่างไม่ไว้ใจ เขาไม่เคยขึ้นมาเฉียดบนห้องของผมสักครั้ง

            “ป๊าได้ยิน..แกคุยกับเพื่อน”

            ครั้งนี้ผมแสดงความตกใจออกมาแบบปิดไม่มิด หลังจากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความฉุนเฉียว

            “แอบฟังผม?”

            น้ำเสียงตอนนี้ก้าวร้าวจนไม่น่าเชื่อว่าจะหลุดมาจากปากตัวเอง

            แย่จริงๆที่ดันสะเพร่าไม่เสียบหูฟังเหมือนทุกครั้ง แต่ใครจะรู้ว่าจะมีคนมาดักยืนแอบฟังข้างนอกแบบนี้

            ภาวนาให้อีกฝ่ายได้ยินแค่ช่วงนั้นแล้วกัน

            เขาเงียบ ไม่พูดอะไร สายตานิ่งเฉยเหมือนวันแรกไม่มีผิดเพี้ยน ผมเตรียมจะปิดประตู แต่โดนมือขวางเอาไว้ก่อน

            “ป๊าอนุญาต”

            “..?”

            “หมายถึง...ถ้าแกจะไปกับเพื่อน..เพราะม๊าก็บอกว่าแกไม่เคยไปไหนทุกปี”

            “กำลังหาทางไล่ผมอยู่รึยังไง”

            ผมแค่นหัวเราะ

            ก่อนจะเงียบลงเมื่อเผลอหันไปสบสายตาคู่นั้น...ที่อ่อนแสงลง


            “ป๊าแค่อยากให้แกมีชีวิตของตัวเอง”

            “…”

            “ทดแทนที่เมื่อก่อน..ไม่ได้ทำ”

            เขามองผมอยู่ครู่ มือหนักๆวางบนไหล่ผมแล้วผละออกไป

            ตัวผมยังนิ่งงันอยู่ที่เดิม มองคนที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นบุพการีอีกคนเดินลงจากบันไดจนลับสายตา

            ถ้าเปรียบเทียบกับคำพูดสมัยโบราณ ผมคงเหมือนนกในกรงทอง คำพูดของอีกฝ่ายก็คล้ายกับกุญแจ

            น่าเศร้าไปหน่อยที่แม้กุญแจนั้นจะไขกรงได้ แต่นกตัวนั้นก็ชินกับกรงไปแล้ว

            ผมยิ้ม

            อย่างน้อยเวลาก็ทำหน้าที่ของมันได้ดี..

 



ออฟไลน์ miralchs

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
(ต่อ)




            “ลืมเอาแปรงสีฟันมา”

            ผมนิ่วหน้านิดหน่อยเมื่อลงมือค้นกระเป๋าสัมภาระตัวเองแล้วไม่เจอสิ่งที่กำลังหา ทั้งที่มั่นใจว่าตัวเองเตรียมมาครบแท้ๆ

            “ยืมของเราก่อนก็ได้”

            “หือ มีสองอันเหรอ”

            “เอามาเผื่อคนแถวนี้แหละ”

            คนตัวสูงในชุดลำลองสบายๆเดินมานั่งลงข้างตัวพร้อมกับยื่นแปรงสีฟันอีกด้ามให้

            เป็นการตัดสินใจที่ปุบปับใช้ได้ ไม่แม้แต่จะวางแผนล่วงหน้าเพราะไม่รู้จะไปที่ไหนในช่วงนี้ จะเลี่ยงสถานที่คนเยอะก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ สุดท้ายจึงได้ตามใจอีกฝ่ายไปโดยปริยาย

            จะเรียกว่าเป็นโรงแรมก็คงไม่ถูกนัก มันคล้ายโฮมสเตย์ขนาดย่อมมากกว่า น่าเหลือเชื่อที่สามารถยึดครองห้องดีๆมาได้ในช่วงเทศกาล เพราะปกติก็คงถูกจองเต็มทุกห้องแล้ว

            ลมเย็นพัดผ่านมาทางหน้าต่างบานใหญ่ขับบรรยากาศให้ชวนฝัน เวลาคล้อยมืดกับแสงรำไรของพระอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาคล้ายกับความอบอุ่นท่ามกลางความหนาวเย็น มองออกไปเห็นผืนหญ้าเขียวขจีจนสุดลูกหูลูกตา จนอดแปลกใจไม่ได้ว่าเขาหาสถานที่เงียบสงบแบบนี้ได้ยังไง

            “อันที่จริงเล็งที่นี่ไว้ตั้งนานแล้ว”

            อยู่เฉยๆเขาก็พูดขึ้นราวกับอ่านใจออก

            “แต่ก็ไม่รู้จะชวนใครมา พอที่หนึ่งตกลงก็รีบจองเลย โคตรโชคดีที่เหลือห้องสุดท้าย”

            นั่นไง..ผมว่าแล้วเชียว

            “แล้วก็ไม่บอก ถ้าเราเลือกไปที่อื่นทำไงอะ”

            เขาหัวเราะ กดปุ่มล็อคโทรศัพท์ไว้หลังจากจดจ่อกับมันได้สักพัก “ที่หนึ่งไม่ไปหรอก”

            ผมไม่ปฏิเสธ เพราะมันก็จริงอย่างที่ว่า

            กว่าสามเดือนที่ผ่านมาต่างฝ่ายก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับอีกคนมากขึ้น ทั้งในเรื่องที่ชอบเรื่องไม่ชอบ เรื่องที่พอใจเรื่องที่ไม่พอใจ เรื่องหยุมหยิมมากมายที่ตอนนี้ยึดพื้นที่ในสมองผมไปเกือบครึ่ง

            จากที่มีแต่เรื่องของตัวเองกับเนื้อหาเรียน แต่ตอนนี้มันถูกแบ่งไปให้อีกคนได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งแล้ว

            เป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำ รวมถึงความรู้สึกที่ไม่เคยมีให้ใคร

            เหมือนกับรางวัลที่ไม่เคยได้รับจากแข่งขัน แต่ได้มาจากหัวใจจริงๆ

            “ปกติปีใหม่ไปกับใครอะ”

            ผมชวนคุยทำลายความเงียบเมื่อเจ้าตัวคว้าโทรศัพท์ที่เพิ่งกดปิดไปขึ้นมาเล่นอีกแล้ว

            แน่ล่ะ วันนี้คงได้ไล่ตอบข้อความมือหงิก

            ก็วันพิเศษของเขานี่นา..

            “หือ ก็ไปกับเพื่อนบ้าง คนเดียวบ้าง”

            “ไม่ไปกับที่บ้านเหรอ”

            “ก็ที่เคยบอกอะว่าพ่อแม่ไปทำงานอยู่ฮ่องกง ที่บ้านก็มีแต่ญาติกับหลานๆตัวเล็กๆ เราอยู่คงได้จับเด็กกิน พากันดื้อขนาดนั้น” คนตัวสูงพูดติดตลกจนผมหัวเราะตาม

            “นึกว่าจะวางมาดเป็นพี่ชายใจดี”

            “เด็กมันดื้ออะ ยิ่งมีครั้งนึงทำหุ่นกันดั้มเราพังต่อหน้าต่อตา แม่งแบบใจสลายเลย”

            คิดภาพอีกคนแยกเขี้ยวใส่เด็กก็กลั้นขำไม่ไหว เฟิร์สที่เป็นมิตรกับทุกอย่างก็จริง แต่ผมคงต้องเว้นเด็กดื้อไว้สักหน่อยแล้ว

            “หิวยัง ไปหาไรกินกัน”

            ตอนนี้เกือบทุ่มก็ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะชวน ผมตกลงรับคำ หยิบของที่จำเป็นมาถือ

            แล้วดันของบางอย่างลงไปใต้กระเป๋าไม่ให้อีกคนสังเกตเห็น

 



            ถนนอาหารหนาแน่นไปด้วยคนที่หลั่งไหลมาจากหลายพื้นที่

            วันนี้เป็นวันสุดท้ายของปี ใครๆก็รู้

            แต่มันไม่ได้เป็นแค่นั้นสำหรับเฟิร์ส

            ตอนได้ยินครั้งแรกก็ตกใจปนงงๆ ผมไม่เคยใส่ใจวันเกิดใครมาก่อนยกเว้นคนสำคัญ พอได้มาศึกษาเกี่ยวกับเขาจริงจังก็แอบสงสัยในโชคชะตาพอสมควร

            ใช่ วันนี้เป็นวันเกิดของเขา

            และหลังเที่ยงคืน..ก็เป็นวันเกิดของผม

            บางทีม๊าผมกับแม่ของเขาอาจจะเตียงข้างกันหรือเปล่า เคยถามเฟิร์สไปว่าเกิดโรงพยาบาลไหน คลอดกี่โมง อีกฝ่ายก็ไม่ตอบ เอาแต่หัวเราะให้กับคำถามนั้นจนผมเลิกสงสัย

            อีกคนเคยบอกว่าปีใหม่บางปีก็อยู่คนเดียวบ้าง เที่ยวคนเดียวบ้าง ทั้งที่เป็นวันสำคัญของตัวเอง

            ผมที่อยู่ฉลองกับม๊าและแมวหนึ่งตัวยังรู้สึกเหงา แล้วยิ่งอยู่คนเดียวทำไมถึงจะไม่รู้สึก..

            เฟิร์สเข้มแข็ง จิตใจดี และอบอุ่น เป็นคนที่นั่งอยู่ด้วยเฉยๆก็รู้สึกสบายใจ ความกะล่อน ความเจ้าเล่ห์ของอีกคนไม่ได้มีผลอะไรมากมายเลยถ้าเทียบกับหลายสิ่งที่ผมได้รับจากเขา

            อยากทำให้ดีเหมือนอีกฝ่ายบ้าง ไม่อยากแบ่งปันแค่ความทุกข์ให้ในยามไม่สบายใจ ความสุขที่ผมได้รับก็อยากเผื่อแผ่ไปหาคนตัวสูงด้วยเหมือนกัน

            ในทางตรงข้ามก็อยากให้เขาระบายความในใจ แบ่งปันความอึดอัดที่มี หรือเล่าเรื่องแย่ๆในหนึ่งวันให้ฟัง

            ผมปลอบใจใครไม่เก่ง

            แต่ถ้าเป็นเรื่องของคนสำคัญ ก็พร้อมจะรับฟังและอยู่ข้างเสมอ

            ลอบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของอีกคนที่มีชื่อความหมายเดียวกัน รอยยิ้มถูกแต้มลงบนใบหน้าคมจางๆ

            ถ้าเขากำลังมีความสุข ผมเองก็ไม่ต่างกัน

            อยากรักษารอยยิ้มนี้ไว้กับตัวนานๆ..

            คล้ายกระแสไฟฟ้าวิ่งพล่าน เมื่อปลายนิ้วของเราทั้งคู่เกี่ยวโดนกันอย่างไม่ตั้งใจ

            เขาไม่ได้ปล่อย ส่วนผมก็ไม่ได้ชักมือออก พลันเกี่ยวปลายนิ้วก้อยอีกคนให้แน่นขึ้น

            หูของเฟิร์สแดงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งไม่ได้มีให้เห็นบ่อย ผมลอบยิ้มกับตัวเองเมื่ออีกฝ่ายเปลี่ยนมาเป็นกุมไว้ทั้งมือแทน

            “เดี๋ยวหลง..”

            รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นข้ออ้าง

            แต่ก็เต็มใจให้ทำอยู่ดี

 

 

            ใกล้หมดวันแล้ว

            ผมนั่งเท้าคางอยู่ขอบระเบียง มองดูดาวเต็มฟ้าเหมือนคืนวันเข้าค่ายไม่มีผิด

            สายลมเอื่อยๆมาพร้อมกับเสียงพูดคุยจอแจจากบ้านหลังอื่นในระแวกนั้น แต่ละหลังไม่ได้อยู่ห่างไปสักเท่าไหร่ เรายังมองเห็นกัน ผมยิ้มตอบกลับให้กับคุณลุงคุณป้าที่อยู่หลังใกล้เคียง

            ไฟยังคงสว่างพอให้เห็นทุกอย่างได้ชัดเจน แม้จะเงียบสงบแต่ไม่มีใครหลับใหล เสน่ห์ของคืนสิ้นปีคือการได้นับถอยหลังไปพร้อมๆกันกับคนอื่นที่เราอาจจะไม่รู้จักมาก่อนเลยด้วยซ้ำ

            ม๊าโทรมาเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว บอกสุขสันต์วันปีใหม่ล่วงหน้า เพราะง่วงจนอยู่ไม่ไหว ตาปรอยๆของม๊าทำให้ผมต้องยิ้มไปพร้อมกับโบกมือลา

            คนที่นั่งถัดไปจากม๊าไม่ได้ยื่นหน้าเข้ามามีส่วนร่วมในกล้อง แต่คำพูดของเขาก่อนที่จะวางสายไป ผมได้ยินมันชัดเจน

 

            ‘สุขสันต์วันปีใหม่นะ..’

 

            ไม่รู้ว่าเขาจะเข้าใจหรือเปล่า

            รอยยิ้มจากผมไม่ได้ถูกส่งให้แค่ม๊า..แต่ให้อีกคนข้างท่านด้วย

            ‘เช่นกันครับ..ป๊า’

            ถึงเสียงแผ่วเบา แต่มั่นใจว่าเขาได้ยินมันแน่นอน

            นาฬิกาดิจิทัลบนข้อมือบอกเวลาถอยหลัง เหลืออีกแค่สิบนาทีก็จะผ่านพ้นไปอีกหนึ่งปี

            เป็นปีที่จะไม่ลืมเลย..

            ผมก้มมองของในมือ ไม่รู้ว่าเจ้าของวันเกิดจะชอบหรือเปล่า มันไม่ใช่อะไรพิเศษ แต่ก็ตั้งใจที่จะให้

            แกร๊ก

            เสียงปลดล็อคประตูระเบียง ตามมาด้วยคนตัวสูงในชุดพร้อมนอน

            ก่อนที่จะหมดวัน จึงรีบยื่นให้คนข้างๆ

            “สุขสันต์วันเกิด..”

            อีกฝ่ายชะงัก ก้มลงมองของในมือผม

            มันเป็นแค่ textbook ธรรมดาเล่มหนึ่งกับโพสต์อิทสีฟ้าที่มีคำอวยพรสั้นๆ

            “เราจำได้ว่าเฟิร์สอยากได้”

            “…”

            “ขอโทษที่มันดูไม่มีอะไร แต่นาฬิกาเฟิร์สก็มีแล้ว รองเท้าก็หลายคู่ เสื้อก็ย—!”

 

            เขารวบตัวผมเข้าไปกอดตั้งแต่ยังไม่ทันพูดจบ

            “ขอบคุณนะ”

            “…”

            “ดีใจที่จำเรื่องของเราได้..”

            ผมไม่เคยจำเรื่องของใคร

            แต่เฟิร์สจะเป็นคนแรก..

            “อื้อ”

            “เป็นของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับเราเลย”

            อ้อมแขนกอดกระชับแน่น ผมเลื่อนมือขึ้นไปโอบบ่ากว้าง

            ก่อนที่เสียงนับถอยหลังจะดังขึ้น..

            10

            9

            “มีความสุขมากๆนะ”

            “ครับ”

            8

            7

            “คิดอะไรก็ขอให้สมหวัง”

            เขายิ้ม ค่อยๆผละออกมาแล้วคว้ามือของผมมากุมไว้

            6

            5

            “สุขภาพแข็งแรง”

            สายตาเราสอดประสานกันอีกครั้ง เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกรักยิ่งกว่าครั้งไหน..คนตัวสูงโน้มตัวลงมาใกล้จนปลายจมูกเราอยู่ห่างกันไม่กี่เซนติเมตร

            4

            3

            2

            “อยู่กับที่หนึ่ง..ไปนานๆ”

            จนไม่มีระยะห่างระหว่างเรา..

            1

            ปุ้ง!!

            “สุขสันต์วันปีใหม่!!”

            เข็มนาฬิกาเดินวนครบรอบจนชี้เลขสิบสอง พอดีกับริมฝีปากแนบสนิทกัน..

            มันทั้งเชื่องช้า...และอ้อยอิ่งราวกับหยุดเวลาไว้

            สัมผัสแผ่วเบาชวนคล้อยตาม..แต่ตราตรึงในหัวใจ

            เลื่อนมากดจูบย้ำตรงมุมปาก เคลื่อนไปข้างแก้ม..แล้วหยุดที่หน้าผากมน ก่อนจุมพิตด้วยความทะนุถนอม

            หากคนได้รับหัวใจสั่นคลอนจนห้ามไว้ไม่อยู่

 

 

            “รัก..เป็นที่หนึ่ง”

            “อื้อ..รักเหมือนกัน..”

 

 

 

 

            ไม่ว่าโลกจะมีบริวารเป็นใครหรือเยอะแค่ไหน

            แต่ดาวศุกร์ก็จะโคจรอยู่ใกล้ๆ...ตลอดไป

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ความเศร้าหมองหมดไปเหลือแค่ความสดใสเข้ามา

ออฟไลน์ miralchs

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
C h a p t e r   f i f  t e e n ♥

เป็นเรื่องของอนาคต



           ฤดูหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนไปตามเส้นทางของเวลา

           วนกลับมาบรรจบที่หยาดฝนปรอยๆกับท้องฟ้าครึ้มอีกครั้ง

           อุณหภูมิลดต่ำลง อากาศเปลี่ยนแปลงกะทันหันทำให้อาการหวัดมาเยือนได้อย่างง่ายดายจนไม่อยากจะลุกไปไหน

           หยุดอ่านหนังสืออยู่บ้านดีหรือเปล่า..

           อา นั่นเป็นความคิดดีเยี่ยมสุดๆ ถ้าไม่ติดวันนี้มีเทสต์ย่อยของวิชาชีวะที่เรียกได้ว่า…โหดบรรลัย

           ทางเลือกของคนเพิ่งได้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมปลายปีสุดท้ายนั้นไม่ได้มีให้มากนัก สุดท้ายก็ต้องกลั้นใจลุกขึ้นจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัวเหมือนทุกวันอยู่ดี

           เวลาเดินเร็วจนน่ากลัว เผลอไปไม่นานก็กลายเป็นพี่ใหญ่สุดในโรงเรียนไปเสียแล้ว ช่วงวัยมัธยมแสนหรรษากว่าห้าปีที่ผ่านมาเริ่มใกล้จะจบลงเมื่อมองเห็นอนาคตคืบคลานเข้ามาใกล้เรื่อยๆ

           มันกระชั้นชิดราวกับสร้างความกดดันให้ม.6 อย่างไม่รู้ตัว ในขณะที่ลังเลกับเส้นทางมากมายตรงหน้า อนาคตก็รุนหลังบีบบังคับก้าวเดินต่อไปทั้งที่จิตใจยังสับสนกับตัวเอง

           ชีวิตเมื่อปีที่แล้วเหนื่อยก็จริง แต่เทียบกับสิ่งที่ได้รับกลับมามันคุ้มค่าที่จะแลก ประสบการณ์มากมาย การใช้ชีวิตเต็มที่ การได้เจอสังคมหลากหลาย เหมือนเปิดโลกอีกโลกหนึ่งที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน

           ตรงกันข้ามกับตอนนี้โดยสิ้นเชิง เหนื่อยน้อยลง แต่ความเครียดนั้น..มากขึ้นจนไม่รู้จะบรรยายเป็นคำพูดยังไง

           หากหลายปีที่ผ่านมามีเพื่อนคอยอยู่ข้างๆ มีคุณครูคอยให้คำปรึกษา แต่ปีนี้มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง คล้ายกับประตูบานแรกเพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่

           มันไม่สนุกเลยแม้แต่นิด ความรู้สึกถ่ายทอดกันเป็นลูกโซ่จนพลอยหดหู่ไปตามๆกัน การไปโรงเรียนกลายเป็นเรื่องรองจากการหมกตัวอ่านหนังสืออยู่บ้าน ทุกคนต่างพยายามเอาตัวรอดเพื่อเป้าหมายที่ตั้งใจไว้

           แถวม.6 ว่างเหมือนอาถรรพ์ที่ถ่ายทอดกันมารุ่นต่อรุ่น การเช็คชื่อแทนกันกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับพี่ใหญ่ของชั้นมัธยม และการมาโรงเรียนครบทุกคนในห้องกลายเป็นเรื่องพิศวงไปแล้ว..

           กลุ่มไลน์ห้องทำหน้าที่เป็นสัญญาณนัดหมาย จะทำการใหญ่คนเดียวเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องมีผู้ร่วมอุดมการณ์ในวันนั้นสักสองสามคนเป็นอย่างต่ำ

           อือ ได้พิสูจน์ความจริงใจต่อกันก็วันนี้แหละนะ

           แปดโมงไม่นับว่าสายไปสำหรับว่าที่นักศึกษาในอนาคตในวันฝนตก ผมพับเก็บร่มคู่ใจไว้หลังห้อง ผิวเหนอะหนะจากอากาศชื้นในหน้าฝนทำให้ผมนึกหงุดหงิด ผนวกกับอาการง่วงนอนก็ยิ่งรู้สึกอารมณ์ไม่ดีเข้าไปใหญ่

           เป็นเช้าวันจันทร์ที่เลวร้ายจริงๆ

           “เป็นอะไร หื้อ”

           “เปล่า..”

           ผมส่ายหน้า พอดีกับที่อีกคนยืนขนมปังกับนมมาวางไว้ใกล้ๆ

           มองเห็นสภาพม่อลอกม่อแลกของเฟิร์สก็ต้องถอนหายใจ จึงต้องยอมเสียสละผ้าเช็ดหน้าของตัวเองไปซับน้ำฝนออกให้เจ้าตัว

           “เมื่อไหร่จะซื้อหมวกกันน็อคอีกใบ”

           มั่นใจว่าบ่นเรื่องนี้ไม่ต่ำกว่าห้ารอบ ไม่รู้ว่าอีกคนไปทำอีท่าไหนให้หมวกกันน็อคหาย แล้วก็ไม่ยอมไปซื้อใหม่สักที พอเหลือใบเดียวก็ดันเสียสละให้ผมใส่ทุกครั้ง จะปฏิเสธหน่อยก็โดนสายตาดุๆปรามไว้จนต้องยอมตลอด

           “ยังไม่มีเวลาไปเลย”

           “หลังเลิกเรียนก็แวะไปซื้อ”

           “เรียนพิเศษก็สี่โมงครึ่งแล้ว”

           “ก็แป๊บเดียวเอง”

           ผมใส่อารมณ์ลงไปกับน้ำเสียงนิดหน่อยเพราะความรู้สึกหงุดหงิดที่ก่อตัวขึ้นก่อนหน้านี้ แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะความดื้อด้านไม่เข้าท่าของอีกคน

           เขาเงียบไป ผมลดระดับมือลงก่อนเก็บผ้าเช็ดหน้าชื้นๆใส่กระเป๋า

           บทจะดูโตก็โตเป็นผู้ใหญ่จนผมเกรง พอเข้าโหมดแบบนี้ผมก็ไม่รู้จะว่ายังไง

           ระยะเวลาเกือบปี เราต่างปรับตัวเข้าหากันเพื่อให้เข้าใจอีกคนมากขึ้น มีหลายมุมของเฟิร์สที่ผมไม่เคยได้เห็นมาก่อนซึ่งก็ต้องเรียนรู้ ตัวตนของต่างฝ่ายต่างถูกเปิดเผยจนเราสามารถแบ่งปันพื้นที่ส่วนตัวบางส่วนร่วมกันได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ ถึงแม้จะมีเรื่องผิดใจกันบ้างเป็นธรรมดาของความสัมพันธ์ แต่มันก็ผ่านมาได้ทุกครั้ง..เพราะเราทั้งคู่เลือกที่จะรักษาความรู้สึกของอีกฝ่ายไว้

           ผมเรียนรู้ที่จะวางทิฐิลง การตั้งแง่ใส่ไม่ใช่การแก้ปัญหา ยิ่งเป็นเฟิร์สก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทำเลย

           แต่บางครั้งก็จำเป็นต้องแข็งข้อหน่อย เขาตามใจ ดูแล ประคบประหงมจนผมจะเคยตัว และมันต้องกลายเป็นผลเสียแน่ๆถ้าขืนผมยังไม่กล้าขัดใจเขา

           เหมือนตอนนี้ที่ผมตัดสินใจไม่พูดอะไรอีก ยอมรับว่าห้าครั้งที่ผ่านมาผมไม่ได้เตือนจริงจังทำให้คนตัวสูงไม่ใส่ใจเท่าที่ควร

           ต้องให้บอกอีกกี่ครั้งว่าเป็นห่วง...

           “ขอโทษ จะไปซื้อวันนี้เลยครับ”

นั่นแหละ ผมนิ่งได้ไม่นานหรอก พออีกคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหงอยๆ กล้ามเนื้อบนใบหน้าก็ทำหน้าที่ของมันได้ดีเยี่ยม

           เขายกมือผมไปลูบเบาๆ ปลายนิ้วโป้งเกลี่ยวนบนหลังมือราวกับสำนึกผิด สัมผัสแผ่วเบาทำให้ใจกระตุกผิดจังหวะจนต้องทำเนียนเบนหน้าหนีไปทางอื่นไม่ให้อีกคนสังเกตเห็น

           ใครบอกกันว่าอยู่ด้วยกันไปนานๆแล้วจะเลิกเขิน

           ไม่จริงเลยสักนิด

           กลับกันยิ่งโดนแกล้งมากขึ้น ใจก็สั่นเหมือนจะเป็นโรคหัวใจเข้าสักวัน..

           “ยังง่วงอยู่มั้ย ซบเราได้นะ”

           คนตัวสูงกว่าขยับเก้าอี้มาใกล้ ผมกวาดสายตาไปรอบห้อง มีเพื่อนนั่งอยู่ประปราย แต่ละคนก็จมอยู่กับโลกของตัวเอง ไม่ได้สนใจรอบข้างสักเท่าไหร่

           ถึงอย่างนั้นจะให้ไปซบ..ในห้องเรียน

           บ้าไปแล้ว ได้ขุดหลุมฝังตัวเองพอดี

           รู้ว่าเพื่อนเข้าใจความสัมพันธ์ แต่ก็ใช่ว่าจะทำอะไรประเจิดประเจ้อได้นี่นา

           ยิ่งศักดิ์ศรีความหัวหน้าห้องค้ำคออยู่ ผมคงไม่กล้าแสดงอะไรออกไปมากถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกันสองคนจริงๆ

           ส่ายหน้าอีกครั้ง

           “ไม่ง่วงแล้ว”

           แต่ตาจะปิดลงได้ทุกเมื่อ..

           คนตัวสูงหัวเราะหึหึ “เด็กขี้โกหก”

           “อื้อออ เราเจ็บ”

           ผมร้องออกมาทันทีเมื่อมือหนาเอื้อมมาบีบจมูกด้วยความหมั่นไส้

           รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ไม่ได้เห็นบ่อยเหมือนเมื่อก่อนผุดขึ้นมาใบหน้าคม เลยฟาดไปที่ต้นแขนหนักๆหนึ่งทีแต่อีกคนก็ยิ้มรับอย่างไม่สะทกสะท้าน

           ฮึ ทนให้ได้ตลอดไปแล้วกัน..

           “วันนี้จะไปเรียนพร้อมเราเปล่า”

           “ไม่ได้จองชั่วโมงเรียนไว้อะ ว่าจะกลับบ้านเลย”

           บ่วงของการศึกษาชั้นมัธยมหนีไม่พ้นการเรียนพิเศษ ถึงแม้จะเดินมาเกือบจนสุดปลายทางแล้วก็ต้องเรียนไปจนกว่าจะจบ น่าเบื่อไปหน่อยแต่ถ้าขึ้นมหาลัยก็คงไม่ได้เจออะไรแบบนี้อีก

           จะจดจำการเรียนพิเศษมาราธอนกว่าหกปีไว้ไม่ลืมเลยล่ะ

           “งั้นไปอ่านหนังสือกัน”

           “…”

           “สักสองทุ่มค่อยกลับเนอะ”

           “พาเราเถลไถลอีกแล้ว”

           ผมว่าไม่จริงจังนัก เพราะสุดท้ายก็ยอมให้อีกคนลากไปไหนมาไหนอยู่ดี

           “เปล่า”

           “…”

 

           “อยากอยู่ด้วยนานๆ”

           “…”

           “ปีสุดท้ายแล้วนี่นา”

 

           ผมนิ่งไป

           ปกติคงฟาดไปอีกสักทีกับคำพูดอ้อล้อของอีกคน

           แต่กับครั้งนี้ความอ่อนไหวในดวงตาสีนิลก็ฉุกคิดบางอย่างได้ขึ้นมา..

           ทุกคนย่อมมีความฝันและเส้นทางที่แตกต่างกัน

           แน่นอนว่าผมกับเขาแตกต่างกันอย่างชัดเจน

           เวลาแห่งความสุขผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนใครบางคนกล่าวไว้ ดูเป็นความจริงขึ้นมาเมื่อผมได้สัมผัสด้วยตัวเอง ผมยังยิ้มและหัวเราะได้ทุกวันเพราะมั่นใจว่ายังมีอีกคนอยู่ข้างๆเสมอ

           แต่ก็ลืมไปว่า..บนโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นนิรันดร์

           ผมหลุบตาลงต่ำเมื่อนึกได้ว่าความจริงแล้วยังไม่เคยบอกบางอย่างให้คนตรงหน้าฟัง

           บางอย่างเกี่ยวกับ..ความฝันของตัวผมเอง

           “ที่หนึ่ง..ที่หนึ่ง!”

           “ห—ว่า”

           “เหม่ออะไรอยู่”

           หลุดออกภวังค์ ก่อนแสร้งปั้นยิ้มให้สบายใจ

           อยากยืดเวลาออกไปอีกนิด

           กลัว..กลัวว่าความสุขตรงหน้าจะหายไป

           “กลับกี่ทุ่มก็ได้ แต่ส่งเราให้ถึงบ้านนะ”

           “น้อมรับคำบัญชาเลยครับ”

 

           ไม่เป็นไร

           อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ตอนนี้..

 




           มันเป็นเรื่องที่ผ่านการวางแผนมานานแล้ว

           รวมถึงการได้รับคำอนุญาตและการสนับสนุนจากครอบครัว

           ถึงจะเป็นห่วงม๊า แต่ท่านก็ยืนกรานว่าอยู่ด้วยตัวเองได้ และอยากให้ผมเดินไปตามเส้นทางของตัวเอง

           ม๊าคาดหวังไว้สูงกับลูกทุกคนก็จริง แต่ไม่เคยแม้แต่จะบังคับผม..

           เพราะไม่บังคับถึงได้ทำตามความต้องการแทนพี่ๆมาตลอด คนที่ไม่เคยขออะไรเลยสักครั้งจึงได้รับคำยินยอมโดยไร้ข้อแย้ง

           ท่านมั่นใจว่าผมรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้ วางใจที่จะปล่อยให้ไปเผชิญกับประสบการณ์ที่รอคอยอยู่ข้างหน้า

           ใจหนึ่งก็อยากอยู่กับม๊า อีกใจหนึ่งก็อยากเรียนรู้เรื่องราวอีกมากมายบนโลกใบนี้

           นกน้อยที่แม้จะชินกับกรงทอง แต่สายตากลับทอดมองออกไปข้างนอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า..

           ตั้งมั่นอย่างแน่วแน่จึงได้พยายามจดจ่อกับเป้าหมาย ไม่เคยไขว้เขวมาก่อน

           จนกระทั่ง…มีอีกคนเข้ามา

           และผมลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท

           ไม่เคยพลาดอะไรในชีวิตมากมาย แต่ยอมรับเลยว่าครั้งนี้ผมคิดได้ช้าจริงๆ และพลาดไปแล้ว

           มันเคยเป็นเพียงเรื่องของผมคนเดียวและมั่นใจว่าตัวเองต้องทำให้ได้

           แต่ตอนนี้มันไม่ใช่..

 

           ต้นเดือนกรกฎาคม สายฝนพรำกับเมฆหมอกที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นในใจ

           ทางเลือกไม่ได้มีมาก แต่ตัดสินใจยากเหลือเกิน

           ผมควรจะทำยังไงดี…

         

           ก๊อกๆ

           “ที่หนึ่ง มากินข้าวลูก”

           “ครับ”

           ผมขานรับ ละสายตาออกมาจากกระดาษตรงหน้า ก่อนเดินตามม๊าลงไป

           โต๊ะที่มีบุคคลนั่งอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา เป็นภาพที่คุ้นชินมาได้เกือบห้าเดือน หลังจากเวลาค่อยๆทำหน้าที่ประสานให้ทุกอย่างดีขึ้น

           เขาพิสูจน์ให้เห็นว่ายังซื่อตรงและจริงจังกับครอบครัวเหมือนเดิม รอยยิ้มของม๊าที่มีมากขึ้นจากเมื่อก่อนเป็นเครื่องยืนยันว่าเขากลับมาเพื่อทำให้ทุกอย่างคลี่คลายจริงๆ

           ถึงแม้ตะกอนขุ่นๆในใจผมยังไม่ได้จางหายไปทั้งหมด แต่มันก็น้อยลงจนแทบจะมองไม่เห็นแล้ว

           เสียงกระทบกันของช้อนส้อมท่ามกลางความเงียบงันเข้าปกคลุมเหมือนทุกวัน แต่ก็ผ่อนคลายกว่าที่เคย

           ถึงแม้จะมีเรื่องให้คิดมากมายในหัว ผมก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรเพราะไม่อยากทำลายวันเวลาความสุขตรงหน้า

           จนกระทั่งเขาถามขึ้นมา..

           “เป็นอะไร ที่หนึ่ง”

           ได้ยินคำถามนี้บ่อยที่สุดจนคิดจะหลับหูหลับตาไม่สนใจ

           อยากแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเหมือนทุกครั้ง ทั้งที่ตัวเองไม่ใช่คนที่เก็บความรู้สึกเก่งเลย

           “เรื่องเรียนหรือเปล่า”

           เขาคงจะรับรู้มาจากม๊า ผมไม่ได้ส่ายหน้าปฏิเสธ รวมถึงไม่พยักหน้าตอบรับ

           คงเห็นว่าผมนิ่งไป จึงได้พูดไปเรื่อยๆราวกับให้รับฟัง

           “แกเป็นคนเก่ง รู้ตัวใช่มั้ย”

           “…”

           “เป็นคนที่มุ่งมั่นกับทุกเรื่อง และพยายามจนทำมันสำเร็จทุกครั้ง ถึงป๊าจะไม่ได้อยู่ด้วย..แต่ก็สัมผัสถึงพลังในตัวแกได้”

           “…”

           “อนาคตเป็นเรื่องสำคัญต่อการก้าวเดิน แต่มันไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต”

           ผมเงยหน้ามองบุพการีทั้งสอง ก่อนจะได้รับรอยยิ้มตอบกลับมา

           “ป๊ากับม๊าเชื่อมั่นในตัวที่หนึ่งนะ”

 

           ถึงเวลาแล้วหรือเปล่าที่นกควรจะออกจากกรงสักที..




           

           “คะแนนชีวะออกละ”

           “โคตรเศษเลข”

           “ใครผ่านกูอยากกราบเลย”

           “งั้นมึงก็กราบคนข้างๆอะ คะแนนโดดมาจนกูกลัว”

           คาบพักเที่ยงกับผลคะแนนเทสต์ย่อยถูกส่งมาทางกลุ่มห้อง รวดเร็วจนไม่รู้จะนึกขอบคุณคุณครูหรือเสียใจแทนเพื่อนดี

           “เอาเวลาไหนไปอ่านวะที่หนึ่ง”

           “ก็ไม่ได้โหมอ่านทีเดียว ทบทวนเรื่อยๆเอา”

           “เนี่ยมึงฟังไว้ คำตอบจากเทพ”

           ผมโคลงหัวไปมา ไม่ได้สนใจกับคะแนนขนาดนั้น มันก็เหมือนสอบท้ายบทเหมือนที่ผ่านมา แค่เป็นคะแนนดิบเท่านั้นเอง

           โรงอาหารเหมือนเป็นที่สิงสถิตสำหรับรุ่นพี่ม.6 เข้าไปทุกวัน น้องๆชั้นอื่นทยอยขึ้นไปเรียนจนโต๊ะโล่ง ต่างจากพวกผมโดยสิ้นเชิง

            จวบจนจะใกล้เวลาขึ้นเรียนก็ไม่มีใครกระดิกตัวไปไหน ยังคงนั่งเอื่อยๆไม่ยี่หระกับการเรียนการสอนเพราะคาบต่อไปเป็นวิชาที่ไม่จำเป็นต้องเข้าเท่าไหร่ เก็บชั่วโมงให้ครบก็พอแล้ว สุดท้ายเนื้อหาในการสอบครูก็ให้ไปอ่านเองทุกครั้ง

           ความขี้เกียจไม่เข้าใครออกใคร แต่เหมือนจะเข้าม.6 แล้วไม่ออกไปสักที..

           “เมื่อวานกูทะเลาะกับแม่ด้วยว่ะ”

           “เรื่อง?”

           มีหัวข้อมาให้สนทนากันเรื่อยๆ ประสาทการรับรู้ถูกแยกเป็นสองส่วน

           มือปั่นงานเป็นระวิง ส่วนปากก็คุยจ้อกันไม่หยุด

           “ก็เรื่องเดิม”

           “ที่แม่มึงอยากให้เรียนนิติอะดิ”

           “เออ กูโคตรเบื่อที่จะพูดเลย น้ำหน้าอย่างกูอะนะท่องจำอะไรได้กับเขา เกรดเท่านี้ไม่ได้ทำให้แม่กูเข้าใจเลยอะว่ากูเป็นให้ไม่ได้”

           เสียงถอนหายใจจากเพื่อนหนึ่งคนในโต๊ะพลอยให้คนอื่นเครียดไปตามๆกัน

           นักเรียนชั้นมัธยมปลายปีสุดท้ายวันๆหนึ่งก็พูดกันไม่กี่เรื่อง ถ้าไม่บ่นเรื่องงานก็เป็นเรื่องอนาคตของแต่ละคน

           ต่อให้ท้ายที่สุดต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่การได้ระบาย ได้แลกเปลี่ยนกับเพื่อนก็ทำให้รู้สึกดีขึ้น อย่างน้อยก็ไม่ได้เผชิญชะตากรรมเพียงลำพัง

           “มึงก็สอบให้เค้า แล้วก็สอบให้ตัวเองด้วย เรื่องแบบนี้มันต้องเจอกันครึ่งทางว่ะจริงๆ”

           “พูดง่ายแต่ทำยาก ถ้าเค้ายังไม่เข้าใจกูอะ”

           “อือ แล้วมึงอยากเป็นอะไร”

           “…”

           ทั้งโต๊ะเงียบ รอฟังคำตอบ

           “กู..ไม่รู้”

           “เอ้า ไอ้เชี่ย”

           เต้สบถออกมาทันควันเมื่อได้ยิน

           คำว่า ‘ไม่รู้’ นับเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตตอนนี้แล้ว

           มีทางเลือกหลายเส้นทางก็ยังดีที่รู้ตัวเอง แต่ถ้ายังยืนอยู่จุดเดิมโดยที่ข้างหน้าว่างเปล่าก็เหมือนเอาตัวเองมายืนใกล้ปากเหว

           เป็นเรื่องที่ใครก็ช่วยไม่ได้..

           “ไม่ได้คิดไว้คร่าวๆเลยเหรอ”

           ผมถามออกไป ในขณะที่คนตรงหน้ากัดปากอย่างเคร่งเครียด

           ฝ้ายนับว่าเป็นผู้หญิงแก่นเซี้ยวคนหนึ่งรองจากลูกแพร ไม่ได้เป็นคนที่เรียนในระดับดีมากแต่เรื่องกิจกรรมส่วนรวมต้องยกให้เป็นอันดับหนึ่ง

           “เคยคิด แต่ก็กลัวว่าตัวเองจะเป็นไม่ได้ มันเหมือนฝันลมๆแล้งๆอะมึง”

           “แล้วที่ว่านั่นมันคืออะไร”

           “กู..เคยนึกถึงครูอาสา คือมันอาจจะลำบากนะเว้ย แต่พอคิดว่าตัวเองได้ไปยืนอยู่จุดนั้นก็คงมีความสุขอะ”

           “อือ ก็ลองดู”

           “แต่คงยากว่ะ มันหลายเรื่องแน่ๆ กูคง—”

           “ลองยังอะ”

           ผมถามนิ่งๆ

           “ถ้ายังไม่ลองก็อย่าพูดว่ามันยาก”

           “…”

           “ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเองทั้งนั้นฝ้าย ครอบครัวเป็นปัจจัยสำคัญก็จริง แต่ถ้าตั้งใจที่จะทำ คนที่มีสิทธิ์เลือกคือตัวฝ้ายเอง”

           ตัวเองก็ใช่ว่าจะมีประสบการณ์มากพอที่จะไปแนะนำคนอื่น แต่เพราะเป็นเพื่อนถึงได้พูด

           ผมไม่ชอบคนที่ดูถูกความฝันตัวเอง

           อย่างน้อยก็ได้มีแล้วทำไมถึงจะไม่ทำ..

           “สะเทือนไปทั้งกลุ่มเลยว่ะ”

           “เฮ้อ ชีวิตแม่งเครียด”

           พากันกร่อยลงอย่างเห็นได้ชัด เป็นภาพที่ไม่คุ้นเอาเสียเลย

           ปกติก็จะมีรอยยิ้ม มีมุกตลกปล่อยใส่กันไม่เว้นแต่ละวัน พอได้มายืนอยู่ในจุดที่ต้องพากันเครียดก็อดรู้สึกแปลกๆไม่ได้

           นึกถึงม.5 ขึ้นมาเลยแฮะ..

           เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นเพื่อกลบอารมณ์หม่นในใจ ผมมองเพื่อนรอบตัวก่อนจะเผยยิ้มเศร้าออกมา

           อีกไม่กี่เดือนก็จะไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว

           ต้องคิดถึง..มากแน่ๆ

           “เออที่หนึ่ง”

           “ว่า”

           ผมที่กำลังรวบของบนโต๊ะลงกระเป๋าต้องหยุดชะงักไป เมื่อรู้สึกถึงความจริงจังในน้ำเสียงนั้น

           “เรื่องนั้น..ยังเหมือนเดิมหรือเปล่า”

           “…”

           ลูกแพรกำลังจะพูดในสิ่งที่ผมกลัว

 

           “ที่จะสอบชิงทุนไปต่างประเทศน่ะ”

 

           พลันเกิดความเงียบโดยรอบ จนได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง

           ผมเม้มปาก

           ใจสับสนเกินกว่าที่จะตอบอะไรกลับไป

           “กูลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลย...”

           “งี้ก็ไม่มีโอกาสเจอกันในมหาลัยแล้วอะดิ”

           “เอาจริงเหรอวะ ที่หนึ่ง”

           ผมมองลอดออกไปนอกอาคาร ทอดสายตาอย่างไร้จุดมุ่งหมาย

           “แล้ว..เฟิร์ส..”

           เลือกที่จะไม่ตอบเพื่อนสนิท ดวงตาฉายแววสับสนโดยไม่ปิดบัง ลูกแพรจึงไม่พูดขึ้นมาอีก รวมถึงเพื่อนคนอื่นแสร้งเฉย ไม่พยายามคาดคั้นคำตอบจากผม

           แต่รู้..ว่าในใจคนอื่นก็คงวูบไหวไม่แพ้ผมเช่นกัน

           “มึง..ที่หนึ่ง...”

           “มึงอย่าไปเซ้าซี้ดิ”

           “ไม่ใช่”

           เต้ลอบกลืนน้ำลาย พยักพเยิดไปทางด้านหลังให้ผมหันไปมองตาม

 

           “..!”

           ก่อนที่จะชาวาบขึ้นมาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

           

           “เฟิร์ส...”

 

           ที่จริงแล้วการยื้อเวลาไว้..ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย..

 

ออฟไลน์ miralchs

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
(ต่อ)



           อึดอัด

           เป็นความเงียบที่อึดอัดจนแทบบ้า..

           ตั้งแต่คบกันก็ไม่เคยได้สัมผัสกับความรู้สึกนั้นอีกจนกระทั่งมาวันนี้

           ซอกกำแพงแคบๆระหว่างตึกถูกใช้เป็นสถานที่ชั่วคราว ฝนโหมหนักพร้อมกับท้องฟ้าคำรามดังลอดเข้ามาเป็นระยะยิ่งสร้างความขุ่นมัวขึ้นในใจ

           ทะเลาะกันมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่ถูกเมินเฉยแบบนี้

           ผมเลียริมฝีปากแห้งผาก ลอบมองบ่ากว้างของคนตัวสูง เขายังยืนหันหลังไม่ไหวติงนับตั้งแต่เข้ามาหลบในซอก

           รู้ว่าสิ่งที่อีกคนอยากได้ยินมากที่สุดคือคำอธิบาย

           แต่ผมไม่รู้จะเริ่มมันด้วยประโยคไหน..

           “เฟิร์ส”

           สมองสั่งการให้พูดออกไปตามใจคิด ถึงมันจะทำให้ทุกอย่างแย่กว่าเดิม ยังไงสักวันคนตรงหน้าก็ต้องรับรู้

           “ฟังเราก่อนนะ”

           “…”

           ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนบอกเล่าทุกอย่าง

           “เราคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่ยังไม่ขึ้นม.4 ก่อนหน้าที่เราจะได้รู้จักกัน เราบอกแค่ม๊ากับเพื่อนในกลุ่มว่าเราจะไป..”

           “…”

           “มัน..เป็นการสอบชิงทุนเต็มจำนวน เราเลือกคณะ เลือกมหาลัยได้เอง และใช่..ความฝันของเรามันไม่ได้อยู่ที่นี่”

           ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาจุกที่อก  อัดแน่นไปด้วยหลายสิ่งที่ผมต้องอธิบายให้เขาเข้าใจ

           “เราเตรียมตัวมานาน ทุกอย่างพร้อม ใจเราก็พร้อม เป็นสิ่งที่เรามุ่งมั่นมาตลอด..จนเฟิร์สเข้ามา”

           “…”

           “มันผิดที่เรามองข้ามไป เราชินกับการที่มีเฟิร์สข้างๆมาตลอดและก็ลืมไปว่ามันใกล้เข้ามามากขึ้น”

           “…”

           “ทั้งที่มันเป็นเรื่องสำคัญ ต..แต่เราก็ไม่กล้าพูด”

           สายตาเริ่มพร่ามัวเพราะหยดน้ำตา

 

           “เราไม่อยากเห็นเฟิร์สเสียใจ..”

           “…”

           “ขอโทษ..อึก เราขอโทษ”

 

           ฟึ่บ!

           แรงกอดที่โถมเข้าหาตัวอย่างรวดเร็วจนเซถอยหลัง ก่อนมือแกร่งจะกดหัวผมซบลงไปที่อก แล้วกระชับแน่นราวกับตัวผมจะหายตัวไป

           นั่นทำให้บ่อน้ำตาที่กลั้นไว้พังทลายลงไปภายในพริบตา..

           “ฮึก เราไม่รู้จะทำยังไง ไม่รู้จริงๆ”

           “ชู่ว ไม่เอาไม่ร้อง”

           คำปลอมประโลมกับมือที่กำลังลูบหลังขึ้นลงช้าๆคล้ายเชื้อเพลิงโหมให้หนักขึ้นกว่าเดิม ผมเผยด้านอ่อนแอออกมาอย่างหมดกำลัง มือขยุ้มไปที่เสื้อนักเรียนของอีกฝ่ายเหมือนคนไร้ที่พึ่ง

           ผมไม่ได้อยากเลือกเลยสักนิด..แต่จะให้ทำยังไง

           อีกทางก็อนาคต ตรงหน้าก็คนสำคัญ

           “เราต้องเลือกทางไหนถึงจะไม่เสียใจ”

           “…”

           “เราคิดภาพวันนั้นไม่ออกเลย..”

           คนตัวสูงกดจูบลงข้างขมับซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราทั้งคู่ต่างไม่มีคำเอื้อนเอ่ยออกมาแม้ในใจจะมีความรู้สึกผุดพรายขึ้นมามากมาย

           ถ้าไม่มีเขา ผมก็เลือกอนาคตโดยไม่ลังเล

           แต่ตอนนี้...ผมจินตนาการถึงตัวเองในวันที่ไม่มีคนตรงหน้าไม่ได้จริงๆ

           สะอื้นจนหมดแรงถึงได้ค่อยๆผละออกมาแต่อีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีจะปล่อย แรงกอดรัดแน่นราวกับคำสั่งไม่ให้หนี ผมจึงล้มเลิกความพยายามแล้วทิ้งตัวซบลงกับบ่าแกร่ง

 

           ฝนเริ่มซาลง ท้องฟ้ากลับมาสีครามอีกครั้ง ทว่าเราก็ยังไม่ขยับตัวไปไหน

           เดาใจเฟิร์สไม่ถูกเลยว่ากำลังคิดอะไร..อีกฝ่ายนิ่งจนผมหวั่นใจ

           ในขณะคิดสะระตะไปต่างๆนานามือที่ลูบหลังอยู่ก็เลื่อนขึ้นมาหลังคอ ออกแรงเพียงนิดบังคับให้เงยหน้าสบตากันตรงๆ

           “เราไม่ได้โกรธเรื่องที่จะไปเรียนต่อ”

           “…”     

           “แต่เราน้อยใจที่เราไม่รู้อะไรเลย ทั้งๆมันเป็นเรื่องของที่หนึ่ง”

           มืออีกข้างยกขึ้นมาเช็ดคราบน้ำตาบนหน้าออกให้อย่างอ่อนโยน

           “จนอดคิดไม่ได้ว่า..เราสำคัญสำหรับที่หนึ่งอยู่หรือเปล่า”

           “ฮึก ไม่ใช่ มันไม่ใช่อย่างนั้น”

           น้ำตารื้นขึ้นมาอีกระลอกเมื่อสบสายตาคมที่เต็มไปด้วยความเสียใจ

           “อย่าทำแบบนี้อีกนะ”

           “…”

           “มีอะไรก็บอกกัน เจอปัญหาอะไรก็บอกเฟิร์สตรงๆ”

           ผมพยักหน้ารับไม่รีรอ

           คนตัวสูงคลี่ยิ้มออกมาได้เหมือนเดิมอีกครั้ง..แม้จะเป็นยิ้มที่ดูเศร้าจนคนมองใจหาย

           “ส่วนเรื่องนั้น...ที่หนึ่งต้องตัดสินใจเองรู้หรือเปล่า”

           แน่นอนว่าผมรู้ดี

           แต่ผมไม่อยากยอมรับ

           หากหยุดเวลาไว้ได้ผมก็ไม่ลังเลที่จะทำมัน แต่คนเราต้องก้าวเดินต่อไป และสักวันผมก็ต้องเลือก..

           อ้อมกอดที่คลายออกไปยิ่งทำให้ผวาจนอีกคนต้องรวบเข้ามาใหม่ พลางหัวเราะแผ่วๆ

           ใบหน้าคมก้มซบลงกับบ่าของผม กระซิบเสียงสั่น

           “รู้มั้ยว่าเราเป็นคนเห็นแก่ตัว”

           “…”

           “ยิ่งกับคนที่เรารักก็อยากให้อยู่ใกล้ๆตลอดเวลา”

           คนตัวสูงย่อตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกัน กวาดสายตามองไปทั่วใบหน้า ยกมือทัดปอยผมให้อย่างเชื่องช้า

 

           “ไม่เคยอยากให้ไปไหนไกลเลย...”





________________________
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์และฟีดแบ็คนะคะ : )
#เป็นที่หนึ่ง

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
คาดหวังว่าเราจะไม่เสียใจ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เฟิร์สตามไปด้วยเลย อิอิ

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 847
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
อย่าดราม่าเลยโนะ สงสารเราเถอะ 55555

ออฟไลน์ miralchs

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
C h a p t e r   s i x  t e e n ♥

เป็นคนตัดสินใจ


           ว่ากันว่าการรอคอยเป็นสิ่งที่ทรมานที่สุด

           ยิ่งไร้จุดมุ่งหมาย..ก็ไม่มีทางรู้เลยว่ามันจะจบลงเมื่อไหร่

           แต่หลายคนก็เลือกที่จะเสี่ยง ถึงแม้บทสรุปอาจจะไม่ได้สวยหรูดั่งใจคิดไว้

           เพราะยังมีสิ่งที่เรียกว่าความหวังหล่อเลี้ยงให้เชื่อมั่นถึงการรอคอยนั้นอยู่เสมอ

           เชื่อมั่นจนกว่าจะไม่มีหวังแล้ว..

 

           กรมอุตุฯพยากรณ์ว่าวันนี้จะมีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ สภาพอากาศแปรปรวนผิดแผกแปลกไปจากทุกปี ส่งผลกระทบให้กับใครหลายคนที่จำเป็นต้องออกจากบ้านหรือเดินทางบนท้องถนน

           ลมกรรโชกอย่างรุนแรง เม็ดฝนสาดเข้ามาภายในอาคารจนรู้สึกยะเยือก การกางร่มออกไปเดินไม่ปลอดภัยอีกต่อไปเมื่อท้องฟ้ายังขู่คำรามไม่มีท่าทีจะหยุด

           ครืน! เปรี้ยง!

           ผมไม่เคยกลัวเสียงฟ้าร้อง

           แต่ภาวนาให้มันหยุดลงเร็วๆทุกครั้ง

           หลับตาลง ฟุบกับโต๊ะเย็นๆ ปล่อยกายปล่อยใจให้ดำดิ่งไปกับความคิด

           ไม่ได้หลับสนิทมานานเท่าไหร่แล้วนะ

           สองอาทิตย์ สามอาทิตย์...หรือหนึ่งเดือน

            หายใจออกเพียงเฮือกเดียวก็ผ่านวันเวลาวุ่นวายมาได้ ชีวิตเด็กมัธยมปลายปีสุดท้ายไม่ได้สบายอย่างที่ใครเข้าใจ มีหลายเรื่องราวถาโถมเข้ามาไม่เว้นวัน ไหนจะงาน การบ้าน สอบยิบย่อยเต็มไปหมด ไม่แปลกใจเลยที่กิจกรรมยิ่งใหญ่อย่างกีฬาสี ม.6 แทบจะไม่ย่างกรายเข้าไปใกล้

           ลำพังเอาตัวเองให้รอดยังยาก จะให้ไปช่วยเหลือส่วนรวม..ตายพอดี

           กำหนดการสอบปลายภาคครึ่งปีแรกกระชั้นชิดเข้ามาไม่ได้ทำให้รู้สึกยินดียินร้ายเหมือนรุ่นน้องชั้นอื่น คล้ายกับยืนอยู่ในจุดที่ปลงกับทุกสิ่งทุกอย่าง

           เพราะรู้ว่ายังมีอะไรโหดร้ายมากกว่านี้รออยู่ข้างหน้า ด่านของโรงเรียนจึงกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว..

           วันเวลาผ่านไปตามกลไกของโลกใบนี้ หมุนเวียนไปอย่างช้าๆดั่งเครื่องจักร ปัจจุบันผ่านพ้นไปผันเปลี่ยนมาอยู่ในรูปแบบของความทรงจำ

           ทิ้งความรู้สึกนับร้อยพันให้หวนนึกถึงแต่ไม่ให้ยึดติด

           หลายเรื่องยังค้างคา รอให้เจ้าของเป็นคนตัดสินใจด้วยตัวเอง ผมยังจมปลักอยู่กับเรื่องนี้มานับเดือน คำตอบลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ เฝ้ารอให้เลือก แต่ผมก็ยังยืนมองมันด้วยความสับสน

           มันยากกว่าข้อสอบทุกข้อที่เคยทำมา

           คำถามที่ใช้ทฤษฎีหรือหลักความเป็นจริงมันมีคำตอบแน่ชัดในตัว

           แล้วคำถามที่ต้องตอบด้วยความรู้สึก..ผมจะต้องยกหลักอะไรขึ้นมาใช้

           คำพูดของเฟิร์สในวันนั้นเหมือนกับโซ่ตรวนพันธนาการไว้ มันไม่ได้รัดแน่นและพร้อมจะปล่อยได้ทุกเมื่อถ้าผมปลดออก

           ผมจะไปทำลงได้ยังไง ในเมื่อกุญแจอยู่กับเขา

           แน่นอนว่าแค่ผมเอ่ยปากขอ อีกฝ่ายก็ยอมมอบให้ด้วยความเต็มใจ ถึงจะแลกมาด้วยแววตาแสนเจ็บปวดในวันนั้นก็ตาม

           สัญญากับตัวเองไว้ว่าจะรักษารอยยิ้มนั้นไว้ให้ตราบเท่านาน..แล้วก็เป็นคนทำหายไปอีกครั้ง

           แย่..จริงๆ

           ความสัมพันธ์ยังดำเนินต่อไป เป็นทุกวันที่ยังมีคนตัวสูงอยู่ข้างๆ แต่ในใจเราต่างรู้ว่ามันกำลังนับถอยหลังอยู่

           ความรักเป็นบ่อเกิดของความเห็นแก่ตัว

           ผมยอมรับโดยดุษณีเมื่อได้มาพบเจอด้วยตัวเอง

           การยื้อเวลาไว้ยิ่งมีแต่จะทำให้เปล่าประโยชน์ ผมรู้..และก็เลือกที่จะทำมัน

 

           “หลับเหรอนี่”

           ความอบอุ่นส่งผ่านจากการสัมผัสของมือหนาปัดเป่าความทุกข์ในใจให้คลายลง

           ผมส่ายหัวแทนคำตอบ ทว่ามืออีกฝ่ายก็ยังลูบหัวแผ่วเบา

           คงจะเคลิ้มหลับไปถ้าไม่มีอะไรให้คิดอยู่แบบนี้

           ด้วยภาระอันหนักอึ้งในใจจะฝืนหลับก็ทำไม่ลง ร่างกายอ่อนล้าจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ซ้ำยังโหมอ่านหนังสือเป็นบ้าเป็นหลัง แต่ก็ทำได้เพียงหลับตาลงนิ่งๆ

           “อย่าคิดมาก..”

           อาการใหม่ที่ตามมาดึงให้หลุดออกจากความเป็นตัวเองมากโข  แค่ไม่กี่คำพูดของเขาก็ทำให้อ่อนไหวจนอยากร้องไห้ออกมาให้หมดสิ้น..

           ไม่เคยคิดว่าจะกลายเป็นคนขี้แยได้ขนาดนี้

           “เย็นแล้ว ไปกินข้าวกัน”

           “ฝนหยุดตกแล้วเหรอ”

           ผมเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆเมื่อเสียงฝนตกหนักเริ่มซาลง

           สถานที่หลบฝนของเราทั้งคู่ยังเป็นห้องสมุดเหมือนเดิม และกลายเป็นที่ประจำสำหรับผมและเขาไปแล้ว

           อยู่บ้านอาจทำให้มีสมาธิก็จริง แต่บางครั้งก็อยากเปลี่ยนบรรยากาศเหมือนกัน

           เปล่าหรอก...

           นั่นเป็นแค่ข้ออ้างของคนอยากเจอต่างหาก

           “ยังปรอยๆอยู่”

           “ถ้าเฟิร์สหิวเดี๋ยวออกไปกินเลยก็ได้”

           เขาส่ายหัว รั้งผมเข้าไปใกล้

           “เปล่า..”

           “…”

           “กลัวที่หนึ่งปวดท้อง”

           ผมเคยบอกหรือเปล่าว่าเฟิร์สเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย

           เคยดูแลดีแค่ไหน วันนี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลง

           “กินนมไปแล้วเมื่อกี้”

           “แน่นะ”

           “อื้อ”

           นิสัยออดอ้อนไม่เคยใช้กับใครที่ไหน แต่แสดงให้คนตรงหน้าเห็นเพียงคนเดียว ผมนิ่งไปสักพักก่อนจะไล้มือลงไปแตะปลายนิ้วที่วางบนหน้าขาของเขาอย่างไม่นึกคิดอะไร

 

           “ซน”

           หมับ!

           หนีไม่ทันนิ้วยาวๆที่พลิกกลับมาเป็นฝ่ายรวบเอาไว้ทั้งมือ แถมยังออกแรงดึงจนผมถลาไปซบกับอกแข็งๆนั้นเต็มเปา

           หันรีหันขวางมองคนระแวกนั้นทันที ท่าทางล่อแหลมจนต้องรีบดันตัวออกมา ไม่วายได้รับรอยยิ้มล้อเลียนจากคนตัวสูงกลับอีก

           “อยากจับมือก็บอกกันดีๆ”

           “บ้าเหอะ”

           สายตากรุ้มกริ่มจ้องมองมาไม่หยุด ผมหลุบตาลงหนี แสร้งทำเป็นเก็บข้าวของลงใส่กระเป๋า

           “ที่หนึ่ง”

           “…”

           “…”

           “ว่าไง”

           คนตัวสูงกว่าหยิบปากกาไปควงเล่น พูดออกมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ

           “วันนี้..” เขาเว้นจังหวะ “ไปค้างหอเรามั้ย”

           ผมเงยหน้ามอง ถึงจะไม่ใช่คำพูดจริงจัง แต่สายตาที่หันมาสบตานั้นบ่งบอกให้รู้ว่ามีเรื่องสำคัญและจำเป็นต้องคุย

           อา มันยืดเยื้อมานานแล้วจริงๆสินะ

           ผมควรจะหยุดวิ่งหนีมันได้แล้วหรือยัง

           “อื้อ..ไปสิ”

           เขาส่งมือมาลูบหัวอีกสองสามที ก่อนจะดึงให้ลุกขึ้น

           มองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินนำออกไปไล่ลงมาจนพบสัมผัสอบอุ่นบนข้อมือ

 

           ผมรู้สึกใจหายจริงๆ...

 


 



           โดนฝนเล่นงานเข้าให้แล้ว

           อากาศชื้น เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวทำให้ร่างกายปรับตัวตามไม่ทัน ยิ่งอยู่ในช่วงอ่อนแอ ไม่แปลกเลยถ้าจะเป็นหวัดเอาตอนนี้

           “แค่กๆ”

           อาการยังไม่โผล่มากนัก แต่มั่นใจว่าคืนนี้ไม่รอดแน่นอน

           “ไหวเปล่า มากินยาดักไว้ก่อนมา”

           คนตัวสูงพูดด้วยความเป็นห่วง วางยาใส่มือแล้วยื่นแก้วน้ำให้

           ตาเริ่มปรือ ถึงอย่างนั้นก็ต้องคุมสติไม่ให้หลับ ผมเอนตัวลงกับโซฟา หยิบข้อสอบที่ทำค้างไว้มาทำต่อ พอดีกับอีกคนที่ทรุดตัวนั่งข้างๆ

           ความเงียบเข้าปกคลุมเป็นปกติเมื่อเราทั้งคู่จดจ่อกับบางสิ่ง ในขณะที่ผมนั่งขีดเขียนตัวเลขใส่กระดาษทด อีกคนก็อ่านสรุปข้อสอบไปพลาง

           ยังไม่มีใครเริ่มบทสนทนา คล้ายกับประวิงเวลาไว้..

           ผมไม่รู้จะพูดอะไรขึ้นมาก่อน จึงได้แต่ทำข้อสอบต่อไปเงียบๆแม้สมาธิจะไม่อยู่กับตัวแล้วก็ตาม

           เฟิร์สจะคิดอะไรอยู่กันนะ

           เขามีคำตอบให้กับเรื่องนี้หรือยัง..

           จินตนาการไปมากมายก็ไม่กล้าถามอยู่ดี คนตัวสูงไม่ได้มีท่าทีผิดแปลกไปหลังจากวันนั้น ยังทำตัวปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

           แต่สายตา..ไม่เคยโกหก

           ในความรู้สึกห่วงหานั้นมันยังมีบางอย่างซ่อนอยู่ แค่อีกฝ่ายไม่ได้พูดออกมา

           จากนับร้อยพันเรื่องล้วนแตกต่าง นี่เป็นสิ่งที่เราเหมือนกัน

           คือกลัวการสูญเสีย..

           “ทำผิดแล้ว”

           ผมสะดุ้ง หลุดจากอาการเหม่อลอยหลังจากที่คนข้างตัวขยับเข้ามาซ้อนหลังเอาคางเกยบนไหล่ แย่งดินสอในมือไปแสดงวิธีทำใหม่ให้ดู

           หลุบตามองตามมือที่เขียนทับบนพื้นที่ว่างๆ ผ่านไปไม่ถึงนาทีก็ได้คำตอบออกมา

           “ข้อนี้เคยสอนเราเอง ทำไมทำผิดล่ะ”

           “…”

 

           “ไปสอบชิงทุน..จะเหม่อแบบนี้ไม่ได้นะ”

 

           “เฟิร์ส..”

           ราวกับเวลาหยุดเดินไปชั่วขณะ ผมขมวดคิ้ว หันไปหาด้วยความไม่เข้าใจ

           เขาหมายถึง..

           จะให้ผมไป..งั้นเหรอ

           คนตัวสูงขยับมามองตาตรงๆ ก่อนเท้าแขนไปข้างตัวผม ส่วนอีกข้างยกขึ้นมาเกลี่ยที่ข้างแก้มช้าๆ

           “ที่หนึ่งยิ้มน้อยลงรู้หรือเปล่า”

           “…”

           “ข้าวก็ไม่ค่อยทาน ผอมแล้วเนี่ยเห็นมั้ย”

           “อึก..เรา..”

           ผมเม้มปากแน่น น้ำตารื้นอย่างไม่รู้ตัว

           “ปกติก็ไม่ร้องไห้บ่อย..แต่พักนี้ขี้แยขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะเลย”

           เขายิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมแทบจะกลั้นน้ำตาไม่ไหว

 

           “เราอยากให้ที่หนึ่งมีความสุขเหมือนเดิม”

           “…”

           “ไปสอบเถอะนะ”

 

           และ..โผเข้ากอดคนตรงหน้าทันที

 

           “เราจะอยู่ยังไง..”

           “ชู่ว”

           “ไม่มีเฟิร์ส...เราจะอยู่ได้ยังไง”

           “ที่หนึ่งทำได้ เชื่อเฟิร์ส..”

           “ฮึก”

           “อย่าร้องไห้อีก..”

           ผมโอบรอบบ่ากว้างไว้แน่นเท่าที่จะทำได้ พอๆกับที่คนตัวสูงทิ้งน้ำหนักลงมาอย่างหมดแรง

           เราต่างแบกรับความรู้สึกของอีกฝ่ายไว้จนมองข้ามความเป็นจริงที่คืบคลานเข้ามาใกล้ ลืมรอบข้าง ลืมเรื่องราว ลืมแม้กระทั่ง..อนาคต

           ถ้าเลือกได้ผมก็อยากมีเฟิร์สอยู่ข้างๆไปพร้อมกับฝันของตัวเอง

           แต่ทางเดินย่อมมีเพียงเส้นเดียว..

           สัมผัสเปียกชื้นบนไหล่ยิ่งตอกย้ำความเจ็บปวดระหว่างเรามากขึ้น

 

           เขาบอกผมว่าอย่าร้องไห้


           ทั้งที่ตัวเองก็ทำไม่ได้เช่นกัน..







           ปิดเทอมเล็กไม่มีเรื่องราวน่าตื่นเต้นเหมือนปีที่แล้ว

           จากที่เจอหน้ากันทุกวันจนเคยชิน ทำอะไรหลายอย่างร่วมกัน แต่ปีนี้ก็ค่อยๆหายกันไป

           แทบไม่ติดต่อกันเลยด้วยซ้ำ

           กลุ่มไลน์ซาลงอย่างไม่เคยเป็น นานทีถึงมีแจ้งเตือนขึ้นและเป็นแค่เพียงสองสามประโยค

           เป็นช่วงเวลาเกือบหนึ่งเดือนที่เหงาบอกไม่ถูก ต่างคนต่างเก็บตัวเพื่อมุ่งมั่นกับอนาคตของตัวเอง

           มันใกล้เข้ามาถึงแล้ว

           บรรยากาศกดดันก่อตัวขึ้นอย่างเงียบงัน สุดปลายทางเป็นอะไรก็ไม่อาจคาดเดา ได้แต่เพียงทำปัจจุบันให้เต็มที่ ผมได้สัมผัสกับชีวิตม.6 จริงจังก็ตอนนี้ มันทั้งเครียด ทั้งน่าเบื่อเหนื่อยไปพร้อมกัน

           กำหนดการสอบชิงทุนไม่ได้ไกลไปจากนี้มากนัก เหลือเวลาให้เตรียมตัวอีกราวๆสองเดือน นับว่าเร็วกว่าเพื่อนคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด

           มันหมดเวลาเล่นแล้ว

           คอยบอกตัวเองอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้จะเชื่อมั่น แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ ผมจึงพยายามเต็มที่เพื่อไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง

           ถ้าตัดสินใจแล้วก็ต้องไปให้สุดทาง

           เพื่อตัวผมเอง

           และ..เขาด้วย

           เราตกลงกันว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีกจนกว่าวันนั้นจะมาถึง ต่อให้เสียใจมากแค่ไหนทุกอย่างก็ต้องดำเนินต่อไป ผมกับเขายังทำทุกอย่างเหมือนปกติและเก็บซ่อนความรู้สึกนั้นไว้ส่วนลึกที่สุด..

           เพราะอยากสร้างความทรงจำที่ดีร่วมกัน

           เผื่อว่าวันหนึ่งจะได้นึกถึง..แล้วยิ้มออกมาได้อย่างสุขใจ

           “เมี้ยว~”

           สัมผัสเปียกชื้นบนเข่าเรียกให้หันกลับไปสนใจเจ้าตัวจ้อยตรงหน้า

           ผมคลี่ยิ้มออกมาเมื่อมันเดินต้วมเตี้ยมพาร่างอ้วนๆของตัวเองมานอนแหมะที่ตักของผมอย่างสบายใจเฉิบราวกับเป็นเตียงนอนแสนพิเศษ

           เจ้าแมวเหมียวนับวันยิ่งเหิมเกริมนักนะ

           แอบบ่นในใจแต่ก็ส่งมือไปลูบขนฟูๆกล่อมให้มันหลับลง

           อากาศไม่ร้อนไม่เย็นในช่วงบ่ายที่สวนหลังบ้านชวนผ่อนคลายจนอยากแผ่ลงไปกับพื้นหญ้า เป้าหมายการอ่านหนังสือวันนี้ลุล่วงไปด้วยดีจึงให้รางวัลตัวเองโดยการลงมาพักสายตาสักหน่อย

           รู้อีกทีก็ผ่านไปเกือบชั่วโมงเพราะนั่งคิดไปเรื่อยเปื่อย พอเจ้าเหมียวมาเกาะแกะคลอเคลียถึงได้ดึงตัวเองออกมาได้ ผมนั่งลูบขนมันช้าๆจนอยากจะนอนเป็นเพื่อนเสียแล้ว

           ครืด

           “อ้าว”   

           เสียงเปิดบานกระจกมาพร้อมกับผู้บุกรุก ผมเงยหน้ามองคนเป็นพ่อนิ่งๆ ไม่ได้พูดอะไรออกไป

           ปกติแล้วเขาจะมาอ่านหนังสือพิมพ์หลังบ้านในช่วงบ่ายของวันหยุด แต่วันนี้คงตกใจที่ผมมาแย่งพื้นที่จึงทำท่าจะออกไป ผมก็รั้งไว้ก่อน

           อือ ถึงจะแปลกๆหน่อยที่ต้องอยู่ด้วยกันสองคนโดยไม่มีม๊าก็เถอะนะ

           ผมกับป๊าต่างพากันจมอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง ถึงแม้ว่าอะไรจะดีขึ้น นิสัยส่วนตัวของผมก็ไม่ใช่คนที่พูดมาก เขาก็เช่นกัน จึงจบลงด้วยการนั่งเงียบๆในพื้นที่ของแต่ละคน

           กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นพัดโชยมาแตะจมูก บรรยากาศเรียบง่ายชวนคล้อยหลับ ผมเอนตัวนอนกับผืนหญ้าดั่งใจคิด ยื่นมือออกไปทาบกับแสงแดดรำไรที่ทอดผ่านกิ่งไม้

           “การรอใครสักคนมันนานมากแค่ไหน..”

           ผมพึมพำกับตัวเอง

           แต่ดูเหมือนจะมีคนได้ยินด้วย

           “ลูกว่าอะไรนะ”

           ผมลดมือลง หันไปสบตากับเขา

           “เคยรออะไรนานๆไหมครับ”

           “…”

           “แล้วนานเท่าไหร่ถึงเลิกรอ..”

           ป๊ามองด้วยความฉงนนิดหน่อย แต่ก็ยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรงก่อนพูดออกมา

           “ก็ขึ้นอยู่กับว่ามันคือเรื่องอะไร สำคัญกับเราแค่ไหน”

           เขาพับหนังสือพิมพ์ลง

           “อย่างการรอไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียวก็ง่ายหน่อยเพราะเรารู้ว่ามันจะจบลงแน่นอน”

           “…”

           “แต่การรอที่ไม่มีจุดสิ้นสุดน่ะ...บางทีก็ทรมานจนต้องเลิกหวัง”

           “งั้นเหรอครับ”

           “อืม ถึงอย่างนั้นก็ยังมีข้อแม้อยู่ล่ะนะ”

           “…”

           “ถ้าสิ่งนั้นสำคัญกับลูก ต่อให้ทรมานแค่ไหน ใจลูกก็ยังคงรออยู่ดี”

           ป๊ายิ้มให้ผมจางๆ

           “รอจนกว่าจะไม่รู้สึกแล้ว..”







           ปีนี้มีคนสมัครเยอะกว่าที่ผ่านมา
           ห้องโถงขนาดใหญ่แออัดไปด้วยนักเรียนนับพันจากหลายโรงเรียน แทนที่จะวุ่นวายอย่างควรเป็น ทว่ากลับเงียบเชียบสร้างความกดดันให้มากเพิ่มขึ้นจนอดประหม่าไม่ได้

           เพราะเป็นทุนเต็มจำนวน ซ้ำยังรับน้อยจนน่ากลัว คนเป็นพันกับทุนสิบที่..การแข่งขันยิ่งพุ่งสูงเกินกว่าที่จะชะล่าใจ

           ผมมองจากข้างนอก ตรวจเช็คอุปกรณ์ให้เรียบร้อย เวลาสอบทั้งหมดเกือบเจ็ดชั่วโมงเว้นพักกลางวันดังนั้นจึงต้องมั่นใจว่าจะไม่ลืมอะไรเข้าไป

           สูดลมหายใจเข้าลึกๆเรียกขวัญกำลังใจให้ตัวเอง ความรู้ที่สั่งสมมาตั้งแต่มัธยมจะได้ใช้อย่างสุดความสามารถก็วันนี้

           เป็นที่หนึ่ง..ต้องเป็นที่หนึ่ง

           ผมเชื่อว่าตัวเองต้องทำได้

           “พร้อมยัง”

           เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางยื่นเสื้อกันหนาวของตัวเองให้ “เดี๋ยวหนาว”

           “เคยมาแล้วเหรอ”

           “อือ เคยมาแข่งวิทย์ตอนม.3 แอร์ห้องนั้นโคตรเย็น”

           “เกือบได้ถูกแช่แข็งตายแล้วมั้งเนี่ย” ผมพูดกลั้วหัวเราะ คลายความกดดันลง

           “ถึงไม่ได้เอามาเราก็จะกลับไปเอาให้อยู่ดีน่า”

           คนตัวสูงก้มมองนาฬิกาบนข้อมือ “ถึงเวลาแล้ว”

           พอดีกับเสียงประกาศเข้าห้องสอบ..

           เขาคว้ามือผมไปจับ สอดประสานสายตาลงมาอย่างหนักแน่น

           “ตั้งใจ”

           “…”

           “ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น ทำให้เต็มที่ที่สุด”

           สัมผัสผะแผ่วประทับลงบนเปลือกตา..

           “เราเป็นกำลังใจให้..อยู่ตรงนี้”

 

           “ขอบคุณนะ..”

                                       

 


ออฟไลน์ miralchs

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
(ต่อ)


           ครึ่งแรกของการสอบผ่านพ้นไป

           กดดันจนนึกว่าจะขาดอากาศหายใจในห้องสอบไปแล้ว

           ถูกจับไปแข่งวิชาการมากมายหลายที่ แต่ก็ไม่เคยได้มานั่งสอบจริงจังขนาดนี้ ซ้ำยังเป็นตัวชี้ชะตาอนาคตอีก

           เหมือนถูกสูบวิญญาณออกจากร่างเลย..

           นับว่าเป็นเรื่องดีที่ข้อสอบออกตามอ่านมาเกือบทั้งหมด ไม่ยากไม่ง่ายจนเกินไปสมกับเป็นข้อสอบทุน แต่สิ่งที่ทำให้เครียดคงเป็นเรื่องของเวลาที่บีบอัดจนเหงื่อแตกพลั่กทั้งๆที่แอร์เย็นเฉียบ

           เก่งอย่างเดียวก็ไม่ได้..ต้องบริหารเวลาเป็นด้วย

           เขียนคำตอบข้อสุดท้ายลงอย่างหวุดหวิด วิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาอ่อนที่สุดสำหรับผม ถึงทุกการสอบจะไม่เคยตกและคะแนนอยู่ในเกณฑ์ดีมาตลอด แต่พอเทียบวิชาอื่นที่ถนัด การคิดเลขก็ยังคงเป็นปัญหาใหญ่อยู่ดี

           จึงต้องอาศัยการฝึกทำโจทย์ให้มากๆเพื่อทำความคุ้นชินกับมัน ยิ่งไม่ชอบก็ต้องเอาชนะให้ได้

           และโชคดีหน่อยที่มีเด็กคณิตศาสตร์โอลิมปิกอยู่ใกล้ตัว..

           ช่วงอ่านหนังสือก็ได้เขามาช่วยไว้ในบางเรื่องที่ไม่เข้าใจ ผมก็ผลัดติวให้บ้าง แต่คนสมองไวอย่างเขาอธิบายนิดหน่อยก็ไปต่อเองได้แล้ว

           ผมเปิดโทรศัพท์ดูหลังจากที่ไม่ได้จับเลยตั้งแต่เช้า สายกระหน่ำโทรเข้ามาจากเพื่อนสนิทและเพื่อนในกลุ่มจนต้องส่ายหน้าอ่อนใจ

           เล่นใหญ่ไม่มีใครเกิน..

           กดโทรกลับไม่นาน ปลายสายก็รับทันที เสียงโหวกเหวกโวยวายดังลอดเข้ามากระแทกหู ผมยกโทรศัพท์ออกห่างจากตัวก่อนว่ากล่าวไปเบาๆ

           “ทีละคน”

           ‘ที่หนึ่งเป็นไงบ้าง!!’

           ‘รู้ป้ะว่าพวกกูกดดันแทนชิบหาย ไม่องไม่อ่านมันแล้วหนังสือเนี่ย’

           “ข้ออ้างว่ะเต้ ขี้เกียจก็บอกตรงๆ”

           ‘เออ ยอมรับก็ได้วะ ละเป็นไง ยากป้ะ”

           “ไม่เท่าไหร่ พอทำได้”

           ‘พจนานุกรมของเป็นที่หนึ่ง คำว่าพอทำได้คือชิลล์ๆ กูรู้’

           ‘ละพจนานุกรมของมึงหมายถึงอะไร’

           ‘หมายความว่ากูตอแหล’

           ‘ได้เหรอวะ ฮ่าๆๆๆ’

           เสียงหัวเราะที่เดาว่าเกินสามสี่คนทำให้รู้ว่าอยู่กันครบองค์ประชุม เสียดายที่พวกมันนัดกันอ่านหนังสือในวันที่ผมมาสอบ ไม่งั้นตอนนี้คงได้ไปนั่งร่วมวงอยู่ด้วยแล้ว

           ‘เออ เมื่อกี้พี่ซันมาหาไอ้แพร’

           ‘เต้มึงอย่าเล่า!!!’

           ‘ละแต่งตัวมาซะหล่อ ถือถุงมาพร้อม พวกกูก็นึกว่าจะเซอไพรส์อะไร’

           “อือฮึ”

           ‘แต่ไม่เว้ย พออิพี่ควักของในถุงขึ้นมาแล้วบอกพวกกูเท่านั้นแหละ อิเชี่ย แม่งโคตรจี้ ต้องเห็นตอนลูกแพรเหวอนะมึง โคตรแบบต้องถ่ายไว้อะ’

           “มันคือไร แมว?”

           ‘แมวก็เชี่ยแล้วววว โอ้ยยย ที่หนึ่งมึงเมาข้อสอบป้ะเนี่ยยยย’

           “เอ้า แล้วจะรู้มั้ย”

           ‘มึงหยุดเถอะ ได้โปรดเพื่อนรัก’

           ‘เออ ละตอนนั้นที่พวกกูพากันแซวไอ้แพรจนมันม้วนตัวแปดตลบ กูก็เห็นอะไรเหลืองๆโผล่ออกมาจากถุง พอหยิบออกมาอะมึง นั่นแหละ!!’

           “อะไรวะ..”

           ‘แม่งคือพวงมาลัย!! พระเจ้า แล้วยังมีหน้าบอกด้วยนะว่า น้องแพร 9 พวงพอมั้ย หรือจะ 99 พวง พี่ลิสต์รายชื่อวัดให้แล้วนะ ขลังทุกที่ พวกกูแบบโอ้ย แม่งเอ้ยยยย”

           “ฮ่าๆๆ”

           ผมหลุดขำออกมาจนไหล่สั่นเมื่อนึกภาพตาม รู้จุดประสงค์ของเพื่อนสนิททันทีว่าจะทำอะไร แถมยังได้รับการสนับสนุนจากแฟนหนุ่มจนเป็นเรื่องเป็นราว

           ‘เราโคตรเหวอเลยตอนนั้น แบบอะไรวะ แล้วพวงมาลัยแบบคล้องคอสส.อะ โอโหกูแบบไม่รู้จะพูดไรเลย’

           ผมโคลงศีรษะด้วยอารมณ์เห็นใจปนสงสาร แต่ขำก็ขำ ถ้าไม่ใช่พี่ซันผมก็ไม่รู้ว่าจะมีใครเหมาะสมกับลูกแพรอีกแล้ว

           บ้าพอกันทั้งคู่

           ยืนคุยกับปลายสายสักพักก่อนจะกดวางประจวบกับร่างสูงคุ้นเคยที่เดินมาหาพอดี ผมขมวดคิ้ว เอียงคอมองด้วยความสงสัย

           “ไม่กลับไปอ่านหนังสืออะ”

           “อ่านอยู่นี่ไง” เขาชูปึกกระดาษในมือ “เปลี่ยนบรรยากาศดี”

           “จะรอรับเรากลับด้วยอ่อ”

           ผมถามยิ้มๆ ทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว

           “หึ ไอ้แมวเอ้ย”

           สรรพนามแทนตัวหลุดออกมาทุกครั้งเมื่อโดนอีกคนหมั่นไส้ ผมโยกหัวหลบกำปั้นที่พยายามจะทุบลงบนหัว แน่นอนว่าเฟิร์สก็ทำได้แค่ต่อยมันกับอากาศ เพราะเขาไม่กล้าทำจริงหรอก

           “ข้อสอบง่ายอะดิ”

           “ทำไมคิดงั้น”

           “ก็เห็นยิ้มแย้มงี้”

           “เมื่อกี้ขำเพราะพวกเต้ต่างหาก”

           “แล้วข้อสอบไม่ง่ายเลยเหรอ” เขานิ่วหน้า ดูเครียดแทนผมเสียอีก

           “ระดับนี้แล้ว”

           “…”

           “มีครูดี..ทำไมจะทำไม่ได้เล่า” ผมอ้อมแอ้มตอบ

           อีกฝ่ายนึกคิดตาม ก่อนจะเผยยิ้มแพรวพราวทันที “งั้นเดี๋ยวสอนบ่อยๆ”

           “ไม่ต้องแล้ว!”

           “ฮ่าๆๆ”

           เขาหัวเราะ ตวัดแขนโอบรอบคอผม “ไปกินข้าวกัน”

           ออกแรงเพียงนิดก็เดินตามไปอย่างง่ายดาย

           วันนี้คนตัวสูงสวมชุดไปรเวทเหมือนปกติทั่วไป แต่เมื่อปรากฏท่ามกลางชุดนักเรียน เขาก็กลายเป็นจุดสนใจได้อย่างง่ายดาย ด้วยส่วนสูงและใบหน้าที่โดดเด่นยิ่งทำให้ตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งโรงอาหาร

           “คนมองเต็ม” ผมแอบบ่นเบาๆให้อีกฝ่ายได้ยิน

           มันไม่ใช่ครั้งแรกที่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น แทบทุกครั้งที่ไปไหนมาไหนกับเขาก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้ได้เลยว่าคนข้างตัวต้องโดนมองแน่ๆ ตัวผมเองไม่เคยเป็นที่สนใจของคนหมู่มากสักครั้ง ต่อให้เจอบ่อยก็ทำใจให้ชินไม่ได้อยู่ดี

           แถมอีกคนก็ใช่ว่าไม่รู้ตัว รู้ดีเลยแหละถึงได้เก๊กมาดนิ่งตลอด

           น่าหมั่นไส้

           “นั่งข้างนอกป้ะล่ะ”

           “นั่งที่ไหนก็เหมือนกันแหละมั้ง” ผมย่นจมูก “ทำไมไม่ใส่ชุดนักเรียนมา”

           “เอ้า เราไม่ได้สอบนี่ ฮ่าๆ”

           ก็จริงอย่างที่เขาพูด

           ก่อนหน้านี้ไม่นานผมเคยถามเขาไปครั้งหนึ่ง แม้มันจะดูงี่เง่าแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้..ว่าผมแอบหวัง

           และคนตัวสูงคงไม่คิดว่าผมจะเอ่ยปากไปอย่างนั้น เขาเงียบไปจนผมนึกหวั่น

           คำถามว่าจะสอบด้วยหรือเปล่า..

           มาคิดอีกทีก็ไม่น่าพูดออกไปเลย

           ท้ายที่สุดอีกคนก็ส่งยิ้มให้พร้อมส่ายหน้าน้อยๆและไม่ได้กล่าวอะไรหลังจากนั้นอีก

           แน่นอนว่าผมเข้าใจ แม้จะ..ใจหายก็ตาม

           ทุกคนมีเส้นทางที่ต่างกันอยู่แล้ว

           ผมสะดุ้งเมื่อนิ้วชี้ยาวๆจิ้มเข้ามาระหว่างคิ้วพร้อมกับสายตาดุ แล้วพยักพเยิดไปที่จานข้าวตรงหน้า

           “กินข้าว”

           “ก็กินอยู่มั้ย”

           “เถียงอีก” เสียงทุ้มเอ่ย “กินเท่าแมวดม เป็นลมกลางห้องสอบเราจะไม่ช่วยเลย”

           “…”

           ผมเหลือบตามองก่อนจะอมยิ้ม ทั้งที่มันไม่ได้น่าขำเลยสักนิด

           ยิ้มเพราะมั่นใจว่าถ้าตัวเองเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาจริงๆ คนที่จะเข้ามาหามออกไปคนแรกก็เป็นเขาอยู่ดี

           “แล้วจะอยู่รอเราเหรอ”

           “รอสิ”

           ผมชี้นาฬิกาให้ดู “สี่โมงเย็นเลยนะ ค่อยมารับก็ได้”

           เขายักไหล่ เอนตัวลงพนักพิง แขนยาวพาดไปกับเก้าอี้ด้านข้าง แล้วมองผมยิ้มๆ

           “รอได้”

           “…”

           “นานแค่ไหน..ก็จะรอ”

 

           คำพูดราวกับเทพนิยายชวนให้ใจสั่นไหว

           แต่ความจริงช่างน่าเศร้าเกินรับฟังจริงๆ

 

 

 

           “สิบโมงแล้วทำไมยังไม่ประกาศวะ”

           “เว็บล่มป้ะเนี่ย”

           “มึงรีหน้าเว็บใหม่เลย”

           เสียงถกเถียงกันจากหน้าคอมดังเข้ามาให้ได้ยินเป็นระยะตั้งแต่ยังไม่ทันเช้าดี จนตอนนี้ย่ำเข้าช่วงสายแล้ว เพื่อนสนิทสามคนตรงหน้าก็เหมือนจะไม่เงียบลงสักวินาทีเดียว

           อาการตื่นเต้นของตัวเองที่ว่ามีมากแล้วยังเทียบกับพวกนี้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังลอดเข้าโสตประสาทมาเรื่อยๆ ทำราวกับเป็นเรื่องของตัวเองเสียเอง ซ้ำเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ปาไปตีสามเศษเพราะเอาแต่คุยจ้อกันไม่หยุด

           คิดผิดหรือเปล่าที่เปิดประตูต้อนรับเข้ามาโดยไม่เอะใจสงสัยอะไร

           ผมนอนพิงหัวเตียง เลื่อนเช็คประกาศในเว็บตั้งแต่เช้า แต่ก็ยังไม่มีแจ้งอะไรขึ้นมา ทั้งที่ปกติตอนนี้ควรจะได้รู้ผลแล้ว

           พลอยทำให้คนอื่นตื่นเต้นไปด้วย..

           “ที่หนึ่ง ขึ้นยังวะ”

           “ยัง”

           “โอ้ยกูลุ้นแทน เอาจริงก็มั่นใจเกินเก้าสิบเปอร์เซ็นต์อะว่าได้แน่ๆ แต่ไม่รู้ดิ กูอยากเห็นด้วยตาอะ”

           “สิบคนจากเกือบห้าพัน โคตรโหดเลยนะเว้ย”

           “ห้าคนเถอะ เพราะลงได้แค่สายวิทย์คณิต เอาจริงที่หนึ่งได้ไปบนไว้บ้างป้ะวะ”

           เต้หันมาถาม ส่วนผมก็ส่ายหัวกลับไป

           เวลาอ่านหนังสือว่าหายากแล้ว จะเอาเวลาไหนไปบนบานศาลกล่าวอีก

           “ฮือ โคตรเทพ กูบนไว้เก้าวัดยังรู้สึกว่าอยู่ในระยะอันตรายเลยแม่งเอ้ย” มันคร่ำครวญ ทำให้ผมต้องปาสมุดใกล้ๆไปสักที

           “ต่อให้บนไปร้อยวัดแล้วยังไปเที่ยวเล่นกับไอ้มิกอยู่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ช่วย” ว่ากล่าวไปอย่างไม่จริงจังนัก

           รู้ว่ามันเป็นคนตั้งใจจริง มีเล่นมีเรียนบ้าง แต่พักหลังไปกับเพื่อนคู่หูบ่อยจนอดค่อนขอดไม่ได้

           “เค้าเรียกไปผ่อนคลายสมองเว้ย”

           “สาธุ ให้มันจริงเถอะ”

           “มึง ไอ้เหี้ย!! ประกาศแล้ว!!!” เสียงตะโกนจากลูกแพรเรียกให้หันขวับไปมองทันที ผมรีบดีดผึงออกมาจากเตียงแล้วลุกไปดูอย่างรวดเร็ว ลืมไปแม้กระทั่งว่าตัวเองถือโทรศัพท์เปิดค้างหน้าเว็บไว้

           ตึกตัก ตึกตัก

           ใจเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นปนความตระหนก เหงื่อผุดซึมออกมาตามไรผม แถมยังมือสั่นอย่างควบคุมไม่ได้

           ยิ่งกว่ารับเกียรติบัตรครั้งแรก หรือชนะการแข่งขันครั้งแรกเสียอีก

 

           “เฮ ติดโว้ยยยยยยย!!!!”

           “ชื่อแรกเลยมึงๆๆ โอ้ย ที่หนึ่งแม่งเป็นที่หนึ่งสมชื่อเลยว่ะ”

           ผมพรูลมหายใจออกด้วยความโล่งอก ก่อนจะแปรเปลี่ยนความดีใจแทบกลั้นไว้ไม่อยู่

           ความพยายามกว่าหลายปีที่ผ่านมา..ประสบผลสำเร็จแล้ว

           ความฝันของผมเป็นจริงสักที

           ม๊ากับป๊าเข้ามาแสดงความยินดีหลังประกาศลงไม่กี่นาที ผมได้รับกอดเต็มๆจากคนเป็นแม่ ก่อนจะเป็นแรงตบลงเบาๆลงบ่าจากอีกคนที่เป็นพ่อ

           ต้องขอบคุณพวกท่าน รวมถึงเพื่อนทุกคนด้วย..

           และขอบคุณตัวเองที่พยายามจนได้มายืนตรงจุดนี้สักที

           นั่งดีใจไปสักพักเพื่อสงบสติอารมณ์ให้คงที่ จึงรีบต่อสายหาคนสำคัญอีกคน

           สุดท้ายแล้วคนที่ผมอยากขอบคุณมากที่สุด...ก็ยังเป็นเฟิร์ส

           “ฮ—ฮัลโหล”

           พูดเสียงตะกุกตะกักเพราะอาการตื่นเต้นยังไม่ลดลง ปลายสายก็คงพอรู้จึงได้หัวเราะออกมาเบาๆ

           ‘ลงมาหน้าบ้านหน่อยสิ’

           ผมผุดลุกไปหน้าต่างทันที ก่อนจะเห็นว่าเป็นเขาจริงๆที่ยืนอยู่ตรงนั้น

           “เอ้า ไปไหนวะที่หนึ่ง”

           “เดี๋ยวมา”

           ปึง!

           ก้าวเท้าออกมาจากบ้านเร็วๆจนในที่สุดก็มาหยุดหน้าประตูรั้ว ผมกลั้นหายใจแล้วค่อยๆแง้มมันออก

           และก็ได้เห็น..

           รอยยิ้มดั่งพระอาทิตย์กลางใจที่ไม่เคยมีวันไหนไม่ได้รับ

 

           “ยินดีด้วยครับ คนเก่ง”

           บ้าเอ้ย

           ผมจะร้องไห้อีกแล้ว

           ช่อดอกสแตติสสีม่วงถูกยื่นออกมาตรงหน้า ผมหลุบตามองช่อขนาดกะทัดรัดก่อนรับมาถือด้วยใจทั้งหมดที่มี

           เพราะผมรู้ว่าความหมายของมันยิ่งใหญ่มากกว่าอะไร..

           คนตัวสูงยกยิ้มจางๆแล้วรวบผมเข้าไปกอด มือแกร่งคอยปลอบประโลมและอ้อมกอดที่พร้อมให้พักพิงมาเสมอ วันนี้ก็ไม่ต่าง

           แค่คิดว่าต่อไปจะไม่มีแล้ว ก็ร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่..

           “อึก...”

           อีกใจหนึ่งก็แสนยินดี แต่อีกใจกลับร้าวราน

           “มันจะเป็นยังไงต่อ..”

           “…”

           “ระหว่างเรา..จะเหมือนเดิมใช่หรือเปล่า”

           “จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น”

           ใจสับสนลังเลถูกแทนที่ด้วยความหนักแน่นมั่นคงของอีกฝ่าย และผมเชื่อคำนั้นเต็มหัวใจ

 

           “รักมาก..ขนาดนี้”

           “…”

           “เราจะปล่อยมือได้ยังไง..”

 

 

           ดอกสแตติสสีม่วงแทนความรู้สึกที่คงอยู่ตลอดไป

           และผมจะทำให้มันเป็นจริง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ลุ้นไปกับทุกบรรทัดว่ามันจะมีประโยคหรือวรรคไหนมาทำร้ายความรู้สึกเราไหม สุดท้ายค่อยหายใจโล่งหน่อยแม้จะแอบใจหายนิดๆ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ลุ้นตัวโก่งเลย นึกไปสอบชิงทุนซะเอง555

ออฟไลน์ miralchs

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
C h a p t e r   s e v e n  t e e n ♥

เป็นที่รัก


           ฤดูร้อนมาเยือนเร็วกว่าที่คิด

           น่าตกใจพอๆกับหน้าหนาวที่หายไปภายในไม่กี่เดือน

           ปลายเดือนกุมภาพันธ์กับดวงอาทิตย์บนกลางหัวกำลังแผ่แสงแดดจ้า ร้อนระอุจนไม่อยากเชื่อว่าอยู่ในช่วงต้นปี

           แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ

           ปฏิทินบนหน้าจอกาลงบนวันที่ยี่สิบ เพียงพริบตาเดียวก็วนกลับมาช่วงวุ่นวายอีกครั้งหลังจากพักหายใจได้ไม่ทันหายเหนื่อย เหล่านักเรียนมัธยมเริ่มต้นชีวิตปั่นงาน ตามเก็บช่องคะแนนที่หายไปไม่หยุดหย่อน

           มองลงไปข้างล่าง เห็นน้องๆพากันเดินขวักไขว่ หอบเอกสารปึกหนาสูงมิดหัว เร่งรีบกันจนชุลมุนไปหมด เป็นภาพคุ้นตาในยามใกล้สอบและกลายเป็นเรื่องธรรมดาในโรงเรียนไปแล้ว

           เหมือนกับสำนวนที่ว่า...ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา

           ถ้าไม่เห็นเดดไลน์ ก็อย่าหวังเลยว่าจะส่งงาน..

           บรรยากาศคาบแนะแนวเป็นไปด้วยความเอื่อยเฉื่อย ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้นักเรียนม.6 ที่ใกล้จบเต็มทีขึ้นมานั่งฟังกันทั้งห้อง ในเมื่อแต่ก่อนแทบจะนัดกันโดดคาบนี้ทุกครั้ง ไม่เคยเข้าครบทุกคนจนคุณครูประจำวิชาแนะแนวส่ายหน้าระอาใจ

           จะสำนึกเอาตอนนี้ก็เกรงว่าไม่ทันแล้ว คล้ายกับมาฟังเพื่อประชดชีวิตที่ผ่านมา แอบเห็นคุณครูยกยิ้มเยาะเมื่อได้ยินว่าคนที่โดดเรียนเกือบทุกวิชายังไม่มีเป้าหมายในชีวิต แน่ล่ะ มันคงเป็นความเวทนาปนสมน้ำหน้า

           ไม่รับผิดชอบตัวเองก็โทษใครไม่ได้

           เสียงคุณครูแนะเกี่ยวกับข้อสอบสลับกับบ่นนักเรียนบางคนในห้องชวนน่าเบื่อหน่าย ถึงอย่างนั้นก็ตั้งใจฟังทุกคำเพราะเป็นครั้งสุดท้ายของคาบเรียน จบวันนี้ก็ไม่มีคนชี้ทางให้อีกแล้ว เหลือแต่ตัวเองที่ต้องเลือกเส้นทาง

           คนลอยลำก็โชคดีไป ฟังผ่านๆพอเป็นมารยาทก็ได้ มีหลายคนในห้องที่ติดรอบแรกและไม่ต้องดิ้นรนอะไรอีก ผมเป็นหนึ่งในนั้นก็จริง แต่รู้เอาไว้บ้างหน่อยก็ดี

           “ร้อนชิบหาย”

           เต้ยกมือกระพือเสื้อนักเรียน พัดลมบนเพดานทำงานเพียงสองจากสี่ อากาศที่ว่าร้อนอบอ้าวแล้ว ยิ่งนั่งรวมกันเกือบห้าสิบชีวิตในห้องเรียนแคบๆก็แทบจะขาดอากาศหายใจกันไปข้าง

           “กินน้ำป้ะ” ยื่นน้ำที่เหลืออยู่ครึ่งขวดให้

           “ไม่พอว่ะ ระดับนี้ต้องอาบแล้ว”

           “ห้องน้ำอยู่ข้างล่าง”

           “นั่นมันใช้อาบน้ำที่ไหนล่ะ โว๊ะ”

           ผมหัวเราะในลำคอ นั่งเท้าคางทำโจทย์ทดสอบบนกระดานเล่นๆ

           “ม.6 แล้วควรตอบได้ นี่ยังถือว่ายังไม่ยากนะ ผมเลือกมาปรานีพวกคุณสุดๆแล้ว”

           ไม่แปลกใจที่บางคนไม่อยากเข้าเรียนคาบแนะแนว ถอนหายใจกับคำพูดคำจาไม่เข้าหู ก่อนจะยกมือตอบหลังจากครูเขียนโจทย์เสร็จ



           “0 ครับ/ตอบ 0 ครับ”



           ไม่ใช่ผมคนเดียวที่ตอบคำถามบนกระดาน เสียงคุ้นเคยดังขึ้นไล่เลี่ยกันเรียกให้หันไปมองทันที

           เรานั่งกันอยู่คนละฝั่งก็จริง หากแต่แววตาเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวของอีกฝ่ายนั้นชัดเจนราวกับห่างกันเพียงคืบ

           มุมปากคนตัวสูงกระตุกยิ้มน้อยๆก่อนจะหันกลับไปทางเดิม

           ให้ตาย

           แล้วหน้าผมจะร้อนทำไม!

           “แหม เก่งสมคำร่ำลือจริงๆ”

           ครูพูดต่อไป ส่วนผมก็เอนหัวพิงกับขอบหน้าต่าง ขีดเขียนใส่กระดาษทดไปเรื่อย

           “ที่หนึ่ง”

           เสียงเรียกพร้อมแรงสะกิดยิกๆให้หันไปมองจากเพื่อนสนิทด้านหลัง ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ก่อนที่ลูกแพรจะยัดบางอย่างลงบนฝ่ามือ “มีคนฝากมา”

           กระดาษที่ถูกพับเป็นสี่เหลี่ยมเร่งให้คลี่ออกด้วยความอยากรู้ จนพบกับรูปวาดหนึ่ง

           และเป็นรูปของตัวเอง..

           ไม่ต้องสงสัยให้มากความ ถึงจะไม่รู้ว่าใครส่งมาแต่ลายเส้นที่เด่นชัดรวมถึงมุมมองจากตรงนี้ เป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนนั่งริมสุดฝั่งประตู

           ผมกลั้นยิ้ม จะหมั่นไส้ก็ไม่ใช่ จะเขินก็ไม่เชิง พลิกกลับไปหน้าหลังก็เจอกับลายมือของคนตัวสูง

           'ไปกินข้าวด้วยกันนะ : )’

           กลั้นยิ้มไว้ไม่ได้แล้ว..

           “โอยยย รำคาญ”

           เต้ชะโงกคอเข้ามาอ่าน ผมตวัดสายตาใส่ก่อนรีบพับเก็บเข้ากระเป๋ากางเกง

           พอจะอ้าปากพูดเท่านั้น เต้ก็โบกไม้โบกมือพร้อมยิ้มกริ่ม หันไปป่าวประกาศกับลูกสมุนรอบข้างอย่างรวดเร็ว

           “วันนี้หัวหน้าไม่ได้ไปกินข้าวกับเราแล้วว่ะ”

 






           จบชั่วโมงเรียนครั้งสุดท้าย นักเรียนม.6 รีบกรูกันออกจากห้องตั้งแต่ครูยังไม่ทันเดินออกไป ผมรูดซิปกระเป๋า คว้าสะพายขึ้น

           “ออกสุดท้ายปิดพัดลมด้วยนะ!”

           เสียงตะโกนจากลูกแพรดังมาอย่างมีนัยยะ ผมชี้หน้าคาดโทษเพื่อนสนิท แต่เจ้าตัวก็ยิ้มร่าไม่สนใจแล้ววิ่งแจ้นหนี

           จนในห้องเหลือเพียงสองคน

           ต่อให้คบกันมานาน ที่นั่งในห้องเรียนของเราก็ยังเหมือนเดิมไม่ต่างจากวันแรก เขานั่งริมประตูเกือบหลังสุด ส่วนที่นั่งประจำของผมก็ยังเป็นข้างหน้าต่าง

           ขีดเส้นแบ่งอาณาเขตชัดเจนตั้งแต่วันนั้น

           ห่างไกลจนไม่คิดว่าจะมีวันนี้

           วันที่ได้เข้าไปอยู่ในพื้นที่ของกันและกัน…

           ปลายรองเท้าพละก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้า กลิ่นโคโลญจน์อ่อนๆผสมกับเหงื่อของอีกฝ่ายดึงสติให้หายไปชั่วครู่ ผมกระแอมไอ รีบสลัดความคิดนั้นทิ้ง

           บ้าน่า..ไปคิดอะไรแบบนั้นได้ยังไงกัน

           “ถ้ายังเหม่ออีก…” เขาก้มหน้าเข้ามาใกล้ “จะทำอย่างอื่นแทนไปกินข้าวนะ”

           “เงียบไปเลย!”

           ผมทุบไหล่คนตัวสูงไม่ยั้งแรง พลิกบ่ากว้างให้หันออกไปทางประตู เสียงหัวเราะทุ้มๆจากคนข้างหน้ายิ่งอดทุบลงไปอีกสักทีไม่ได้

           “โอ้ย พอแล้ว พอแล้วครับ”

           อีกฝ่ายหันมารวบข้อมือที่ทำการประทุษร้ายไว้พร้อมกับใบหน้าเปื้อนยิ้ม ผมขืนออกแต่เขาไม่ยักปล่อย กลับดึงให้เข้าใกล้กันมากขึ้น

           จนกลายเป็นว่าอยู่ในอ้อมแขนเฟิร์สไปทั้งตัว..

           “หอมจัง”

           พลันหยุดชะงักทุกการกระทำทันทีเมื่อปลายจมูกโด่งซุกลงกับซอกคอ คลอเคลียไปมาให้จั๊กจี้หัวใจ ทำเอาคนได้รับไปไม่เป็น

           “ฟ—เฟิร์ส”

           และยิ่งเสียงสั่นเข้าไปอีกเมื่อคนตัวสูงกว่ากดปลายจมูกลงแล้วสูดเข้าไป..ช้าๆ

           ระบบหมุนเวียนเลือดทำงานอย่างว่องไว ไม่นานใบหน้าก็เห่อร้อนและลามลงไปถึงคอจนไม่อาจฝืนคำสั่งจากร่างกาย

           ผมไม่เคยได้รับสัมผัสแบบนี้มาก่อน เหมือนเรี่ยวแรงอันตรธานหายไป สองขาที่ยืนได้ด้วยตัวเองก็คล้ายกับจะล้มพับลง

           “แม่ง...”

           “…”

           “โคตรอยากกอดไปนานๆเลย”

           ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้ามาในจิตใจ ผมยิ้ม โอบกอดร่างโตๆไว้ด้วยสองมือ

           “ไม่ให้ปล่อยหรอกนะ..”

 

 

           “มันต้องทำเท่าไหร่วะ”

           “แล้วแต่อะ คนรู้จักเยอะหน่อยก็ทำสักร้อยสองร้อย แต่อย่างมึง” ลูกแพรปรายตา “ห้าสิบกูก็ว่าเหลือ”

           “อ้าว ปาก!”

           “ฮ่าๆๆ”

           คู่กัดประจำวันเริ่มทำหน้าที่อีกแล้ว ผมส่ายหน้าระอา บางทีก็อยากแนะให้เต้มันไปทำบุญบ้าง อยู่กับใครก็เหมือนจะสร้างความร้าวฉานไปเสียหมด ถ้าไม่ทะเลาะก็จิกกัดกันจนพรุน

           ถึงจะว่าอย่างนั้น เรื่องที่เข้ากันได้ดีเป็นปีเป็นขลุ่ยกลับไม่พ้นเรื่องของผม หากจะแท็กทีมกันสักครั้งคนซวยดันเป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้อง ทั้งที่ปกติก็ไม่ได้เข้าไปร่วมด่าหรือเข้าข้าง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมกรรมถึงมาตกที่ตัวเอง

           “ที่หนึ่งจะทำกี่อัน”

           ผมครุ่นคิดสักพัก “อาจจะเกือบร้อย”

           เป็นปริมาณที่พอเหมาะพอควร ไม่มากไม่น้อยเกินไปสำหรับคนอย่างผม

           ผลพลอยได้จากการเป็นเด็กวิชาการพ่วงด้วยกิจกรรมนั้น ทำให้รู้จักกับเพื่อนและรุ่นน้องมากมาย อาจจะไม่ได้ให้ครบทุกคน แต่อย่างน้อยก็มั่นใจว่ามันจะไม่เหลือกลับมา

           เย็นวันเสาร์กับมนุษย์มัธยมจำนวนห้าชีวิตกำลังนั่งอุดอู้ในห้องสี่เหลี่ยม ตรงหน้าเป็นอุปกรณ์วางระเกะระกะจนแทบไม่มีทางให้เดิน ถมทับด้วยกองพะเนินของขนมนมเนยอีกนับสิบ

           นั่งอยู่ด้วยกันแค่นี้..กินอย่างกับปอบลง

           ผมนั่งตัดกระดาษด้วยอาการอึนๆนิดหน่อย ตั้งแต่ใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนมานี่เป็นครั้งแรกที่ได้ทำของวันปัจฉิม รู้สึกตื่นเต้นแต่ก็โหวงในใจไปในขณะเดียวกัน

           แค่ตระหนักได้ว่าช่วงเวลาแห่งความสุขกำลังจะสิ้นสุดลงก็ไม่อยากให้มาถึงเลย

           ปฏิเสธไม่ได้ว่าระยะเวลากว่าหกปีในโรงเรียนนี้ ผมผูกพันมากจริงๆ

           ยังจำวันแรกที่ก้าวเข้ามาในรั้วในฐานะนักเรียนชั้นมัธยมปีที่หนึ่งได้อย่างขึ้นใจ

           จำได้ว่าคนที่เข้ามาทักทายเป็นคนแรกคือลูกแพร และต่อมาก็ได้รวมเป็นกลุ่มห้าคนจนถึงทุกวันนี้

           จำวันรับเกียรติบัตรครั้งแรกที่หน้าเสาธงได้ ขาสั่นมากจนเกือบทำร่วงต่อหน้าผู้อำนวยการ

           แม้กระทั่งเรื่องโดดเรียนในคาบคณิตก็ยังติดอยู่ในความทรงจำไม่ไปไหน

           หัวเราะกับตัวเองเบาๆในใจ หลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสถานที่เดียวกันทำให้ผมยึดติดเหลือเกิน

           “แจกแค่เฟซ ไลน์ ไอจีแม่งธรรมดาว่ะ”

           ฝ้ายเปรยขึ้นมา

           “กูแจกเลขบัญชีด้วยเลยละกัน”

           “เดี๋ยว อย่างนี้ก็ได้เหรอวะ ฮ่าๆๆๆ”

           ความคิดพิสดารของเพื่อนร่วมกลุ่มเรียกเสียงหัวเราะให้ดังก้องไปทั่วห้อง อบอวลไปด้วยความครื้นเครง คลอไปด้วยจังหวะเสียงดนตรีจากมือถือ ผมยกเท้าหมายจะถีบเพื่อนด้านข้างเมื่อมันพยายามจะเอนหัวมาซบไหล่

           “ใช่ซี้ กูไม่ใช่เฟิร์สอะ” เต้ตัดพ้อ

           “เคยอยากตายก่อนมีที่เรียนไหม”

           ผมหันปลายกรรไกรไปทางเพื่อนสนิทอีกคน

           “โอโห โหดเสมอต้นเสมอปลายเลยแม่ง”

           “มึงรนหาที่ตายเองเต้”

           “ขอโทษได้ป้ะละ โถ่”

           “อะ น้อยใจไปอี๊ก”

           ผมยกยิ้มเยาะ ผลักหัวทุยๆนั้นไปทีเป็นเชิงปลอบ ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นมันก็กลับไปหาเรื่องคนอื่นเหมือนเดิม

           นั่งทำไปเรื่อยสลับกับพูดคุย รู้ตัวอีกทีก็มืดค่ำ เสบียงอาหารที่ตุนไว้เริ่มหมด ท้องร้องประท้วงเพราะความหิวจึงได้ละมือจากอุปกรณ์ตรงหน้า

           แสงสว่างวาบจากหน้าจอโทรศัพท์ให้หันมอง โชว์ปลายสายคุ้นเคย ผมยิ้มน้อยๆก่อนกดรับ

           “ฮัลโหล”

           ‘อยู่ไหน’

           อีกฝ่ายยิงตรงคำถามมาไม่รีรอ

           “หอเต้”

           ‘…’

           “เฟิร์ส..เป็นอะไรหรือเปล่า”

           ผมใจไม่ดีเมื่ออีกฝ่ายเงียบไป

 

           ‘คิดถึง’

           เปลี่ยนกลับเป็นผมนิ่งเงียบทันทีหลังจากโดนหมัดฮุกสวนมาเน้นๆ

           ‘วันนี้ยังไม่ได้คุยกันเลย..’

           จริงอย่างที่ว่า เราต่างยุ่งด้วยกันทั้งคู่ อีกฝ่ายโหมอ่านหนังสือสอบมาเป็นอาทิตย์แล้ว ส่วนผมก็ไม่อยากไปกวน กลัวจะไปทำลายสมาธิเจ้าตัวเข้า จึงปลีกออกมาทำอย่างอื่นรวมถึงใช้เวลาช่วงนี้เตรียมเอกสารเดินทางต่างๆให้พร้อม

           ได้เจอหน้ากันเต็มที่ก็แค่ในโรงเรียน พอแยกย้ายกลับก็ไม่ได้ว่างที่จะมานั่งแชทหาหรือวิดิโอคอลเหมือนแต่           ก่อน ผมยอมรับและเข้าใจเพราะมันเป็นสิ่งที่ต้องทำ

           แต่สิ่งที่ห้ามไม่ได้นอกเหนือจากนั้น..ก็คงเป็นความรู้สึก

           คิดถึง..มากๆ

           ผมก็ไม่ต่างกัน เพราะทำอะไรไม่ได้จึงยอมกดความคิดนี้ลงไป แม้ในความจริงอยากงี่เง่ากับคนตัวสูงดูสักครั้ง

           กลายเป็นว่าฝ่ายที่ทนไม่ได้เป็นเขาแทน..

           ‘ไม่มีแรงอ่านแล้วครับ’

           เฟิร์สงอแงจนใจอ่อนยวบ ผมชั่งใจก่อนจะเอ่ยออกไป

           “เดี๋ยวเราไปหา”

           ขอทำตามความต้องการของตัวเองสักครั้งแล้วกัน







           แผนการที่จะค้างหอเพื่อนสนิทลำดับสองเป็นอันต้องพับเก็บลง คนตัวสูงขับรถคู่ใจมารับภายในไม่กี่นาทีหลังผมเอ่ยปากพูด ใบหน้าคมแสดงอาการดีใจอย่างซ่อนไม่มิด ไม่วายได้รับเสียงแซวจากเพื่อนร่วมกลุ่มไปตามระเบียบ

           สุดท้ายก็มาโผล่ที่ห้องของอีกคน รู้สึกผิดกับเพื่อนนิดหน่อยแต่พวกนั้นก็ไม่ได้มายด์อะไร ซ้ำยังยุยงให้ไปอีกต่างหากจึงเบาใจลงบ้าง

           แสงจากโคมไฟบนโต๊ะเขียนหนังสือบอกให้รู้ว่าเจ้าของห้องรีบร้อนออกไปมากแค่ไหนถึงได้ลืมปิด ผมมองไปทั่วห้องแล้วหยุดที่กองเอกสารรกๆวางซ้อนทับกัน ขมวดคิ้วก่อนถือวิสาสะเดินเข้าไปดู

           แต่ก็ถูกขวางเอาไว้โดยร่างสูง

           “ไปอาบน้ำ”

           เสียงทุ้มออกคำสั่ง ยัดผ้าขนหนูกับเสื้อผ้าใส่มือให้คนได้รับงงๆกับท่าทีประหลาด ผมหรี่ตามองจับผิด แต่ก็ได้รับกลับมาเพียงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

           “หรือจะอาบพร้อมกัน...”

           กระแทกประตูห้องน้ำใส่โดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ ได้ยินเสียงหัวเราะแว่วเข้ามายิ่งต้องรีบจัดการตัวเองเมื่อรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย

           ให้ตายเถอะ เป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่!

           ใช้เวลาไม่นานผมก็ออกมา คนตัวสูงยังง่วนอยู่กับการทำข้อสอบ กองเอกสารประหลาดนั่นหายไปแล้ว ทิ้งไว้แต่เพียงความสงสัยให้คลาแคลงใจ ผมออกไปแขวนผ้าเช็ดตัวที่ระเบียง แอบบ่นในใจกับชุดนอนวันนี้สักหน่อย เหมือนกับว่าจับตัวไหนได้ก็หยิบมา ไม่คำนึงถึงขนาดตัวที่ต่างกันเลยสักนิด

           เสื้อยืดคอกลมสีขาวหากไปอยู่บนตัวเจ้าของก็ดูปกติ แต่พอมาเป็นตัวผมใส่ก็นึกหงุดหงิดที่ต้องคอยดึงเสื้อขึ้นทุกครั้ง อาการกระฟัดกระเฟียดของตัวเองคงไปเตะตาเจ้าของห้องเข้า เขาจึงละสายตาจากหนังสือแล้วหมุนเก้าอี้หันมามองทางผม

           “ใส่ไม่ได้อ่อ”

           ผมไม่ตอบ ชี้หลักฐานให้ดูแทน เฟิร์สลุกขึ้นไปเปิดตู้เสื้อผ้า คิ้วเข้มๆขมวดนิ่ว นั่นทำให้ผมบอกปัดไป

           “ไม่มีตัวเล็กกว่านี้แล้วอะ”

           “อื้อ ไม่เป็นไร ไปอ่านหนังสือต่อเลย”

           “วันหลังเอาเสื้อผ้ามาไว้หอเรา”

           ผมพยักหน้ารับคำ เขาจึงเดินกลับไปประจำที่ตัวเองต่อ

           วันหลังที่ว่า..จะมีหรือเปล่าก็ไม่รู้

           ต่อคำตอบให้ในใจเพราะไม่กล้าพูดตรงๆ  ผมขยับตัวลงมานั่งพิงโซฟา จัดการกับของปิจฉิมต่อ สักพักอีกคนก็ลุกออกจากเก้าอี้ หอบหนังสือลงมานั่งอ่านข้างๆ

           “เฟิร์ส”

           “หืม” คนข้างตัวขานรับ

           “ทำของปัจฉิมยัง”

           “ไม่มีเวลาทำอะ ปัจฉิมวันไหนเนี่ย”

           มนุษย์โดดแถวเป็นประจำอย่างเฟิร์ส..ก็ไม่แปลกใจที่จะไม่รู้ข่าวสารหน้าเสาธง

           “วันพุธ”

           “อังคารก็ทัน ระดับนี้แล้ว”

           “เราว่าเดี๋ยวเฟิร์สก็ลืม”

           “ทักมาเตือนเราสิ”

           “ฮึ จะปล่อยให้ลืมเลย”

           “ตัวเองไม่ทำอย่างนั้นหรอก”

           อะไรกัน สรรพนามแบบนี้..

           ผมหุบปากฉับ จบบทสนทนาไปอัตโนมัติ คนตัวสูงยิ้ม เปลี่ยนหัวข้อชวนคุยไปเรื่อยๆ ไม่ได้แกล้งให้เขินอายไปมากกว่านี้

           “เมื่อวานหลานที่เราเคยเล่าให้ฟังทำหุ่นยนต์เราพังอีกละ นี่ถ้าได้กลับไปบ้านนะ เราหมายหัวไว้แน่ๆ..” เขาเล่าเรื่องราวแต่ละวันให้ฟังไปพลาง ในขณะเดียวกันก็ตวัดปลายปากกาทำโจทย์ด้วยความคล่องแคล่ว

           ภาพธรรมดาแต่ทำเอาใจคนมองสั่นขึ้นมาเสียได้ เขานั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่ง สายตาจดจ่อไปที่ข้อสอบ

           บุคลิกที่ดูดีรวมถึงใบหน้ายามมุ่งมั่นเป็นองค์ประกอบลงตัวจนละสายตาไม่ได้เลยจริงๆ

           จนกระทั่งคนตัวสูงหันมา ถึงได้รู้ว่าตัวเองเผลอมองอีกฝ่ายไปรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

           ไม่เนียนเลยนะ..เป็นที่หนึ่ง

           ผมบอกกับตัวเอง ก่อนเบนสายตาหนีทำราวกับไม่ได้เกิดอะไรขึ้น

           “วันหลังคิดค่ามองดีไหม”

           “…”                                                         

           “เอาเป็นหอมแก้มหนึ่งครึ่งต่อการแอบมองหนึ่งวินาที”

           “ไม่ดี!” ตอบกลับไปทันควัน

           สัญญาเอาเปรียบกันชัดๆ

           ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง แก้มผมไม่ช้ำก่อนหรือยังไงกัน

           เขายิ้มมุมปาก กระเถิบตัวเข้ามาใกล้มากขึ้น ผมมองด้วยความตื่นตระหนกเมื่ออีกฝ่ายฉวยโอกาสใช้จังหวะที่เผลอเท้าแขนคร่อมตัวผมก่อนก้มหน้าลงมาจรดปลายจมูกลงข้างแก้มเน้นๆ

           “เดี๋ยว!”

           ฟอดดดดด

           “เฟิร์ส! อื้อ พอแล้ว”

           คนมักมากต่อให้ห้ามยังไงก็ยังคงไม่หยุด เขายังเดินหน้าระดมหอมทั้งซ้ายขวาทำเอาต้องสะบัดหน้าหนีเป็นพัลวัน ยิ่งสัมผัสแปรเปลี่ยนเป็นริมฝีปากร้อนๆผมก็หลับตาปี๋ทันที

           “ฮื่ออ ไม่เอา”

           ในที่สุดถึงผละออกมาดูผลงานตัวเอง ผมรีบโกยอากาศหายใจเข้าปอด ถดถอยหนีไปนั่งอีกฟากของโซฟา เขาอมยิ้มอารมณ์ดีขึ้นมาทันตาเห็น แม้ผมจะส่งสายตาค้อนกลับไปก็ไม่รู้ร้อนรู้หนาว

           “เราไม่เตือนเฟิร์สเรื่องของปัจฉิมแน่ๆ” ผมขู่

           “เดี๋ยวก็รู้” และคนตัวสูงก็ตอบอย่างมั่นใจ

 

           แล้วไงล่ะ

           สุดท้ายเข้าเอาจริงคืนวันอังคารผมก็ทักไปเตือนเขาเหมือนเดิม..

 

 





ออฟไลน์ miralchs

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
(ต่อ)


           “จบแล้วโว้ยยยยยยยย”

           “รุ่น 111 จบแล้วค้าบบบบ!!”

           อากาศแจ่มใส ท้องฟ้าเปิดกว้างราวกับล่วงรู้ถึงวันพิเศษที่สุดสำหรับชีวิตของมัธยมปลายปีสุดท้ายในรั้วโรงเรียน ภายในพื้นที่ได้เนรมิตให้กลายเป็นซุ้มของแต่ละห้อง แต้มลงด้วยสีสันหลากหลาย ช่อดอกไม้วางเรียงรายกันเต็มพื้นที่ ยังไม่รวมตุ๊กตา ลูกโป่ง กล่องของขวัญต่อมิอะไรอีกมากมาย

           เสียงหัวเราะเคล้าไปด้วยเสียงพูดคุยไม่หยุดหย่อน บรรยากาศครึกครื้น สร้างชีวิตชีวาให้ภายในโรงเรียนอีกครั้ง จังหวะดนตรีถูกเปิดเป็นเพลงอำลาสถาบันตั้งแต่เช้า

           พิธีการสำคัญกำลังจะเริ่มต้นขึ้นและม.6 คือผู้ที่ถูกเลือกในวันนี้..

           ชุดนักเรียนศักดิ์สิทธิ์มากกว่าเดิมเมื่อได้สวมใส่เข้าหอประชุมเพื่อทำให้เป็นไปตามธรรมเนียมสืบทอดต่อกันมา ตลอดทางมีรุ่นน้องหลายระดับชั้นยืนแสดงความยินดีให้ โปรยดอกไม้สร้างเสียงหัวเราะให้กังวานไปทั่ว ขับกล่อมประสานเพลงมาร์ชโรงเรียนที่ยิ่งใหญ่กว่าครั้งไหน

           “ยินดีด้วยนะครับพี่ๆ!!”

           “อย่าลืมกลับมาเยี่ยมน้องๆด้วยนะค้า~”

           ความสุขสันต์หรรษาแผ่กระจายปกคลุมทั่วทั้งโรงเรียน รุ่นพี่ต่างโบกไม้โบกมือ ยิ้มรับแทนขอบคุณทั้งใจ

           วันสุดท้ายในฐานะของนักเรียนชั้นม.6

           โรงเรียนได้เดินมาส่งจนสุดปลายทางแล้ว..

           ท่ามกลางความเปรมปรีดิ์ ยังมีความรู้สึกที่เรียกว่าใจหายซ่อนอยู่ ไม่ใช่แค่เพียงในตัวรุ่นพี่ สำหรับรุ่นน้องบางคนก็ไม่ต่างกัน

           “หนูชอบพี่นะคะ!”

           “ฮิ้ววววววววววว”

           “มาว่ะๆๆๆ”

           และวันนี้ก็เป็นโอกาสเหมาะสมที่สุดสำหรับการสารภาพรัก..

           ผมอมยิ้มให้กับภาพตรงหน้า เด็กผู้หญิงชั้นม.ปลายปีแรกป่าวประกาศความในใจออกมาให้รุ่นพี่ตัวสูงที่กำลังเดินผ่านไปให้รับรู้ด้วยความเขินอาย เสียงโห่แซวดังไปทั่วบริเวณ และแน่นอนว่าผู้ชายคนนั้นหยุดเดินพร้อมหันกลับมาตอบรับเด็กสาวตรงหน้า

           เสียดายที่ต้องเดินนำไปก่อน ผมจึงไม่รู้หรอกว่าบทสรุปแล้วน้องคนนั้นจะสมหวังหรือเปล่า แต่สิ่งที่ดีที่สุดก็ได้เกิดขึ้น

           แม้ท้ายที่สุดคำตอบที่ได้รับอาจไม่ใช่ดั่งใจฝัน..อย่างน้อยก็ได้พูดมันออกไปแล้ว

           เมื่อโตขึ้นหากมองย้อนกลับมาในวันนี้จะได้ไม่เสียใจภายหลัง เพราะมันจะกลายเป็นความทรงจำอันแสนล้ำค่าที่หาไม่ได้ในวัยนี้อีก

           ความรักยังคงเป็นสิ่งสวยงามเสมอไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบไหน..

 

           เมื่อนาฬิกามันไม่เคยขี้เกียจเดิน

           และวันเวลาทำให้ทุกๆ สิ่งเปลี่ยนไป

           แต่ความทรงจำดีๆ ทุกอย่างยังคงเก็บไว้

 

           บนโลกนี้ไม่มีใครสามารถหยุดเวลาไว้ได้ ทุกอย่างเดินต่อไป ชีวิตและอนาคตขับเคลื่อนไปด้วยความรู้สึกในแต่ละวัน ผ่านพ้นจากอดีต มาถึงปัจจุบัน กลายเป็นอนาคต

           การพบเจอย่อมมีจากเหมือนงานเลี้ยงที่ย่อมมีวันเลิกรา เราไม่อาจควบคุมมันไว้ได้ในกำมือ ทำได้เพียงใช้ทุกวินาทีให้คุ้มค่า สิ่งที่ได้ผิดพลาดไปแล้วก็ปล่อยมันไปให้เป็นบทเรียน ต่อเติมเป็นบันไดแข็งแรงให้ก้าวข้ามผ่านอุปสรรคข้างหน้าได้

 

           ยังคงมีแต่เธอ เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน

           ยังคงมีแต่เธอ เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนไป

           ยิ่งเวลาอ้างว้างทีไร ในใจก็ยิ่งโหยหา

 

           แต่สิ่งที่มั่นคงและไม่มีวันจางหายจนกว่าเราจะลืมมันไป…คือความทรงจำ

           เต็มไปด้วยช่วงเวลาทั้งสุขและทุกข์ปะปน หล่อหลอมให้เป็นตัวผมเองในทุกวันนี้ จึงพยายามจัดเก็บให้มันดีที่สุด ไม่อยากทำหล่นหายไปสักวินาที

           “ใจหายเลยว่ะ”

           ความรู้สึกของมนุษย์เป็นเรื่องซับซ้อนยิ่งกว่าสิ่งใดบนโลกใบนี้ ด้วยระบบความคิดที่แตกต่าง เราไม่หยั่งรู้หรอกว่าคนอื่นกำลังคิดอะไร

           แต่ตอนนี้ผมกับเพื่อนๆคงรู้สึกไม่ต่างกัน

           มองไปทางสนามฟุตบอลหวนให้นึกถึงการแข่งขันชิงที่หนึ่งระดับสายชั้นครั้งแรก จำได้ว่าตัวเองลงแข่ง มุ่งมั่นจนได้รับชัยชนะกลับมา

           “ที่หนึ่งเล่นโหดมากกูจำได้เลย ภาพมันแย่งบอลกับไอ้สายฟ้ายังติดตากูมาจนถึงทุกวันนี้อะ”

           “จริง เห็นตัวเล็กๆแต่ล้มยักษ์ใหญ่ประจำห้องได้ ดีนะมันไม่อยู่แล้ว ไม่งั้นกูว่าเกิดสงคราม ฮ่าๆๆๆ”

           ผมกำเศษกระดาษปาใส่ไม่จริงจัง กลัดเข็มห้อยของปัจฉิมกับเสื้อของเพื่อนรวมกลุ่ม ก่อนเดินวนอ้อมไปหาคนอื่นในระแวกนั้น

           พิธีการสำเร็จผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ใช้เวลาไปเกือบครึ่งวัน กว่าจะถูกปล่อยตัวออกมาก็ปาไปเที่ยงแล้ว นักเรียนม.6 จึงยังกองกันอยู่หน้าหอประชุมเพื่อรอแลกของปัจฉิมให้กับเพื่อนร่วมสายชั้นก่อนแยกย้ายไปตามห้อง

           ถึงฟ้าฝนจะเป็นใจ แต่แดดในตอนเที่ยงก็ไม่ได้เรียกว่าดีมากนัก ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีใครปริปากบ่น มีเพียงเสียงตะโกนเซ็งแซ่จนเกิดความวุ่นวายไปหมด

           “กูชอบมึง”

           “กูรู้ตั้งนานแล้วโว้ย!”

           “คบเลยๆ!”

           ไม่เพียงความสัมพันธ์ในรูปแบบรุ่นพี่รุ่นน้อง หากแต่ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนก็ไม่ต่างกัน

           “ติดแล้วอ่อที่หนึ่ง”

           “ติดละ”

           “เก่งสัด สมชื่อเลยว่ะ”

           เพื่อนต่างห้องเข้ามาทักทายพร้อมกับรอยยิ้ม ผมเดินเวียนไปเรื่อยๆ จนของปัจฉิมใกล้หมด

           ชุดนักเรียนตอนนี้เต็มไปด้วยเข็มกลัดและห้อยคอ รวมถึงสายสะพาย ดูพะรุงพะรังขึ้นมาทันตาเห็น โชคดีที่ไม่มีเขียนเสื้อเหมือนสมัยก่อน ไม่งั้นคงได้เละเทะกว่านี้

           “ห้องสิบสองไปหน้าอาคารหกนะ!”

           ธรรมเนียมยังไม่สิ้นสุด ยังเหลืออีกหนึ่งที่ทำสืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ผมกลับเข้าไปรวมในกลุ่มเพื่อนก่อนจะเดินไปพร้อมกัน

           รุ่นน้องจัดแถวล้อมเป็นวงกลมให้รุ่นพี่ม.6 เข้าไปอยู่ตรงกลาง เป็นความรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก แม้จะไม่ได้เป็นพี่น้องที่เกี่ยวพันกันทางสายเลือด แต่ความหวังดี ความห่วงใยที่ส่งมอบให้กันมาในช่วงมัธยมก็ถักทอก่อให้เป็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นได้อย่างง่ายดาย

           เสียงบูมดังก้องไปทั่วชวนขนลุก มือถือถูกยกขึ้นมาเก็บภาพความทรงจำตรงหน้าไว้ ลานกว้างกับแสงแดดจ้าไม่ได้ทำให้เสียงลดเบาลง กลับกันยิ่งสร้างความฮึกเหิมมากขึ้น

           “เฮ!!!!”

           “ยินดีด้วยครับพี่ๆ”

           “ขอให้ติดคณะที่หวังไว้นะคะ”

           “ขอบคุณมากๆนะน้อง”

           “พี่หนึ่งได้ทุนใช่ป้ะ โคตรเทพอะพี่”

           น้องสายรหัสเดียวกันเดินเข้ามาทักทาย ผมพยักหน้ายิ้มๆก่อนกวักมือเรียกเข้าไปรับของปัจฉิม

           “ตั้งใจเรียน เตรียมตัวไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ จำไว้ว่าเริ่มก่อนก็ได้เปรียบก่อน” ไม่ลืมสั่งเสียรุ่นน้อง คุยกันอยู่สักพักแล้วค่อยแยกย้ายกันไป

           บ่ายคล้อย คอนเสิร์ตกำลังจะเริ่มต้นขึ้น หอประชุมออไปด้วยนักเรียนชั้นมัธยมปลายปีสุดท้าย กอดคอกันราวกับจะไม่ได้พบกันอีก

           “กูต้องคิดถึงพวกมึงแน่เลย”

           เริ่มต้นที่ห้าคน จบพร้อมกันที่ห้าคน เต้เบะปากคล้ายจะร้องไห้ กระตุกใจให้เพื่อนที่เหลือเศร้าไปตามกัน

           “กูเคยคิดนะว่าจะเจอเพื่อนที่ดีไปกว่านี้อีกหรือเปล่า” ฝ้ายเปรยขึ้น “แต่กูคิดไม่ออกเลยว่ะ”

           “เชื่อป้ะกูยังรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ยังจำได้เลยว่าเราแม่งรวมกลุ่มกันได้ยังไง นินทาครูคนไหน โดดเรียนวิชาอะไรกันบ้าง”

           “เรื่องชั่วๆล่ะจำได้ดีนักนะมึง ฮ่าๆๆๆ”

           หากเสียงหัวเราะดังขึ้นบนจิตใจที่วูบโหวง ผมยิ้มกับวันนี้ให้เต็มที่ แม้จะเดินมาด้วยกันจนเจอเส้นทางของแต่ละคน แต่ระหว่างทางที่ก้าวมาด้วยกันนั้นมีค่ายิ่งกว่าอะไร

           ต่อให้อนาคตจะเจอเรื่องราวต่างๆมากมาย...แต่ความทรงจำก็จะไม่ไปไหน

           และมันยังอยู่ที่เดิมให้เราได้นึกถึง

           “สอบให้ติดกันนะเว้ย อย่าให้ที่หนึ่งมันลอยลำคนเดียว”

           “ถ้าได้เจอกันอีกกูเลี้ยงข้าวเลยอะ”

           “แน่นอนว่าต้องมีวันนั้นว่ะ เชื่อกู”



           “ที่หนึ่งไม่ต้องห่วง ต่อให้มึงไปเรียนต่อสุดขอบทวีป พวกกูก็จะตามไปฉลองด้วยกัน”



           “แม่ง พวกบ้าเอ้ย”

           ให้ตายก็หาดีไปกว่าพวกนี้ไม่ได้อีกแล้วจริงๆ

 

           วันที่ความฝันมันไม่เห็นเป็นอย่างใจ

           กระเจิดกระเจิงผิดๆ เพี้ยนๆ กันไปใหญ่

           เพียงแต่อย่างน้อย ฉันก็ยังชื่นใจที่เคยมีเธอ

 

           เสียงดนตรีดังขึ้น อ้อมกอดที่คอกระชับแน่นมากกว่าเดิม ส่งเสียงร้องไปตามทำนองของเพลง ปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างไว้ที่ตรงนี้..ใกล้ๆกัน

           พลันปลายนิ้วข้างซ้ายก็ถูกคว้าเข้าไปกอบกุมโดยเจ้าของฝ่ามืออบอุ่นที่ขยับเข้ามายืนข้างๆ รอยยิ้มสว่างสดใสเช่นเคยและกำลังมอบมาให้ผม

           ไม่มีคำพูดใดระหว่างเรา

           หากแต่รับรู้ด้วยความรู้สึกที่ส่งผ่านให้

           เพลงขับร้องใกล้จะจบลง

           ช่วงเวลาของม.6 ก็เช่นด้วยกัน..

 

           ยังคงมีบทเพลง ของเราเมื่อวันวาน

           ได้ยินเมื่อไร หัวใจยังเป็นอย่างนี้

           ให้เวลามันหมุนไปนานเป็นปี

           แต่เพลงนี้ยังทุ้มในใจ

 

           “ต่อให้เราไม่พบไม่เจอเป็นปี..เพลงนี้ยังทุ้มในใจ”

 

           รุ่น 111 จบจริงๆแล้ว

           ห้องเรียนที่คุ้นเคยเงียบจนน่าใจหาย

           โต๊ะจัดเป็นระเบียบ เก้าอี้ถูกยกขึ้นเมื่อปิดภาคเรียน มันเป็นแบบนี้ทุกปี เพราะยังไงหลังปิดเทอมใหญ่ก็จะได้กลับมาใช้งานเหมือนเดิม

           แต่ปีนี้..ไม่ใช่

           โต๊ะประจำที่นั่งมายาวนานกว่าหกปี ต่อไปก็มีรุ่นน้องเข้ามารับช่วงต่อ รอยลิควิดที่มือบอลไปขีดเขียนเล่นยังไม่หายไป ยังเป็นคราบจางๆให้คิดถึง

           บนกระดานดำเคยสะอาดสะอ้านทุกครั้งก่อนปิดเทอม ตอนนี้เจ้าของห้องเรียนได้แต้มตัวเลข 6/12 ขนาดใหญ่ลงไป พื้นที่ว่างมีลายมือของเพื่อนร่วมห้องเกือบห้าสิบคนเขียนไว้ด้วยถ้อยคำต่างๆนานา

           “คิดถึงเนอะ”

           เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น

           ผมหัวเราะเบาๆ คนอยู่ที่นี่ได้เพียงสามปียังคิดถึง นับประสาอะไรกับคนที่อยู่มาหกปีเต็ม...

           “เรานั่งข้างหน้าต่างมาตั้งแต่ม.1 ไม่รู้ว่าตอนนี้ตาเขหรือยัง”

           “โห ไม่เปลี่ยนที่บ้างอะ”

           “ไม่รู้สิ” ผมยิ้ม “คงชินแล้วมั้ง”

           พิงสะโพกลงกับที่ประจำของตัวเอง ทอดมองไปรอบห้องเรียน

           เราต่างเก็บเกี่ยวบรรยากาศเก่าๆไปด้วยกัน นึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่เขียนกระดานก็มองหาชอล์กหมายจะลงมือ

           คนตัวสูงเดินมาหยุดข้างตัว แหงนมองกระดานก่อนจะลงมือเขียนถัดจากผม

           “เคยสงสัยไหมว่าทำไมเราชื่อความหมายเดียวกัน”

           ผมนิ่งไปนิด

           กวาดสายตามองลายมือของเราทั้งคู่ที่เขียนอยู่ไม่ห่าง ก่อนจะยิ้มบางๆ

           ‘เป็นที่หนึ่ง = 1st’

           สมการน่าขบขัน..แต่เป็นความจริงที่เถียงไม่ได้

           “นั่นสินะ”

           อาจเป็นเพราะโชคชะตา ฟ้าลิขิตหรือความบังเอิญอะไรก็ตามผมไม่สนใจมากนัก

           แต่สิ่งที่ตอบได้ชัดเจนคือ..ผมดีใจที่มีชื่อว่า เป็นที่หนึ่ง

           ชื่อในความหมายเดียวกันกับเขา

           และมีความหมายสำหรับกันและกัน

           “วันแรกที่เราเจอที่หนึ่งน่ะ…”

           เขายืนล้วงกระเป๋ากางเกง ละสายตาจากกระดานหันมามองผม

           มองด้วยแววตาแบบเดียวกับวันนั้น

           “เหมือนโลกหยุดหมุนเลย”

           “…”

           “จำวันที่ไปแข่งวิชาการด้วยกันครั้งแรกได้ด้วย”

           “…”

           “นอนข้างที่หนึ่ง ตื่นเต้นเกือบหัวใจวายแน่ะ”

           เขาขยับเข้ามาใกล้

           “วันที่ที่หนึ่งบอกว่าจะเกลียด..เจ็บเหมือนจะตายให้ได้”

           “เฟิร์ส..”

           “ก็พอจะรู้ว่าไม่สมหวังหรอก แต่ก็ขอลองอีกสักครั้ง”

           คนตัวสูงยิ้มจาง ต่างกับผมที่จะร้องไห้อยู่รอมร่อ

           อีกฝ่ายวิ่งตามมาผมตลอด..ทั้งที่ผมผลักไสแทบทุกครั้ง

           ในที่สุดได้มาเดินข้างกัน แต่ก็ต้องเลือกเดินคนละเส้นทาง

           “จนที่หนึ่งเปิดใจให้ นับตั้งแต่ตอนนั้นเราก็ไม่เคยเสียใจเลยที่ได้พยายามลงไป”

           ผมกอดเขา

           อยากทดแทนความรู้สึกที่ขาดหายไป

           อยากรักให้มากกว่าที่เขารัก..

 

           “ขอบคุณที่เข้ามาเป็นทุกอย่าง…”

           เขากระชับแน่นขึ้น

           “เข้ามาเป็นที่รัก”

           “…”

           “และเข้ามาเป็นที่หนึ่ง”

 

 

           สำหรับผม..

           สิบแปดปีผ่านมา

           นี่เป็นครั้งแรก ที่ได้รักใครคนหนึ่งได้มากขนาดนี้





ตอนหน้าจบแล้วนะคะ :)
#เป็นที่หนึ่ง

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
คิดถึงเพื่อนคิดถึงบรรยากาศตอนเรียน

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
จะร้องไห้ :hao5:

ออฟไลน์ miralchs

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
C h a p t e r e i g h t e e n

เป็นที่หนึ่ง




           ผมกำลังเริ่มนับถอยหลัง


           ท้องฟ้าเปลี่ยนสีทุกวัน...ต่างกับใจที่ยังคงเหมือนเดิม


           ทุกอย่างเตรียมพร้อมไปหมด เอกสารครบ กระเป๋าเดินทางถูกจัดไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ


           เหลือเพียงผม..ที่ลังเลอยู่


           คิดจะถอยหลังกลับก็ไม่ทันเสียแล้ว มหาวิทยาลัยทางนั้นตอบรับมาเรียบร้อย เหลือเพียงไปเรียนปรับพื้นฐานที่นั่นและใช่..มันอีกไม่กี่วันข้างหน้า


           มือข้างหนึ่งกระชับร่มแน่น ส่วนอีกมือล้วงลงในกระเป๋าเสื้อคลุมกันฝน ควานหากระเป๋าสตางค์ให้อุ่นใจ ก่อนจะก้าวเข้าร้าน


           อากาศเย็นกับฝนพรำ กาแฟร้อนๆคงเป็นสิ่งเยียวยาจิตใจตอนนี้ได้ดีที่สุด กวาดสายตามองไปรอบจนเจอเป้าหมาย ลูกแพรเงยหน้าสบตาพอดีจึงชูมือเรียกเข้าไป


           “นึกว่าจะไม่มา”


           “ทำไมคิดงั้น”


           โรงเรียนปิดเทอมมาได้เกือบอาทิตย์ เหล่าว่าที่นักศึกษายังจมอยู่กับกองหนังสือไม่มีวันพัก อีกไม่นานก็เป็นช่วงสำคัญของนักเรียนมอหกทั่วทั้งประเทศ ยิ่งต้องเร่งตัวเองให้มากขึ้น


           เห็นสภาพของเพื่อนแต่ละคนในกลุ่มก็รู้สึกเห็นใจขึ้นมา รอยคล้ำใต้ตาบ่งบอกถึงความหักโหมได้เป็นอย่างดี ผมผ่านช่วงเวลานี้มาก่อนถึงได้เข้าใจ สิ่งที่ต้องการมากที่สุดในตอนนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการพักผ่อนอีกแล้ว


           ผมวางชีทสรุปของตัวเองลงบนโต๊ะ จัดเรียงเป็นหมวดวิชาเรียบร้อย ถึงเก็บไว้ก็เสียเปล่า สู้เอามาแชร์ให้กันอ่านยังจะมีประโยชน์มากกว่า เพื่อนสนิทตาลุกวาว ลงมือคว้าไปก่อนใครราวกับมันเป็นขุมสมบัติล้ำค่า


           “โคตรแรร์เลยว่ะ ชีทของเป็นที่หนึ่ง”


           “บุญตามากที่ได้เห็น”


           “กราบดิ” ผมว่า


           “กวนตีนละ”


           ผมกระตุกยิ้มเบาๆ รับหน้าที่เป็นติวเตอร์จำเป็นชั่วคราวให้กับนักเรียนสี่คน ถึงจะสอบติดแล้วความรู้ที่มีในหัวก็ใช่ว่าหายไปเสียหมด ผมยังทบทวนเนื้อหาอยู่ตลอดเพื่อให้ตัวเองไม่ลำบากถ้าต้องไปเรียนรู้สังคมใหม่


           ลำพังแค่เรื่องเพื่อนจะรอดหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ไหนจะเรื่องจิปาถะยิบย่อย มนุษย์เช่นผมที่ไม่เคยไปอยู่ต่างประเทศนานเป็นปีก็อดจะวิตกกังวลไม่ได้


           แค่คิดว่าต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ ความกลัวก็เข้าเกาะกุมจิตใจแล้ว..


           “ไปเมื่อไหร่อะที่หนึ่ง”


           เสียงฉุดรั้งความคิดให้กลับคืนมา ผมก้มมองวันที่บนหน้าจอมือถือ ก่อนจะพึมพำตอบออกไป


           “สิบหก”


           “เดือนหน้า?”


           ผมส่ายหัว “เดือนนี้”


           “เชี่ย อีกสองวัน”


           “ก็นึกว่ารู้อยู่แล้วนะ” ผมโคลงหัว ตวัดปากกาทำโจทย์ไปพร้อมกับอธิบาย แต่เหมือนบุคคลทั้งสี่จะเลิกตั้งใจฟังไปเสียแล้ว พวกมันหุบปากเงียบ ใบหน้าเศร้าซึมอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาคนมองต้องถอนหายใจ


           “ไม่ได้บอกว่าจะไปอยู่ถาวรสักหน่อย อย่าทำเป็นน้อยใจกันไปได้น่า”


           ตบบ่าปุๆแล้วคลี่ยิ้มให้เพื่อนร่วมกลุ่มสบายใจ


           “มันนานมากเลยนะเว้ย...”


           “ตีไปเบาๆก็สี่ปี” ลูกแพรเม้มปาก “อย่างมาก...ก็หกปี”


           ผมมองเพื่อนด้วยแววตาอ่อนลง


           ก็เพราะรู้ว่ามันนาน..ถึงไม่อยากให้ต้องพะวง ตัวผมเองยังไม่รู้เลยว่าอนาคตจะเป็นยังไง แต่เพราะได้เลือกไปแล้วถึงต้องเดินหน้าให้ถึงที่สุด


           ไม่อยากแบกรับความฝันไว้อย่างเลื่อนลอยทั้งที่มีโอกาสได้ทำ



           ไม่อยากให้ใครสักคนต้องเป็นห่วงถึงต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี..


           “แล้วจะไม่กลับมาไทยเลยอ่อ”


           ผมเคยถามตัวเองด้วยคำถามนี้เช่นกัน


           หากจะกลับก็ย่อมได้ กลับทุกเดือนก็ยังได้ แต่มันจะส่งผลเสียทั้งกับผม..ทั้งคนทางนี้


           ความคิดถึงสะสมไปนานยิ่งน่ากลัว เมื่อได้เจอก็ต้องอยากเจออีกไปเรื่อยๆไม่สิ้นสุด ถึงตอนนั้นจิตใจผมคงไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มันกลายเป็นเรื่องยากที่จะหักห้ามใจตัวเองแน่ๆ


           สู้รอให้เจอกันทีเดียวไม่ดีกว่าหรือ


           แต่ก็ไม่รู้ว่าตอนนั้น..ทางนี้ยังจะอยากเจอเหมือนเดิมหรือเปล่า


           คำถามที่ยังไงก็ไม่มีคำตอบชัดเจน..


           อนาคตเป็นสิ่งที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ผมถึงไม่ค่อยจะสัญญาอะไรไว้กับใคร หากสิ่งที่ตัวเองทำได้ก็คงทำปัจจุบันให้มันดีเพื่อไม่ต้องเสียใจภายหลัง


           “คงรอกลับมาทีเดียว”


           ผมจะอดทนรอถึงวันนั้นได้แค่ไหนกัน


           ยิ่งพอนึกถึง..คนที่ชื่อความหมายเดียวกับผม ความมั่นใจที่คิดว่าจะอยู่ได้ก็ลดลงแทบเป็นศูนย์ ความรู้สึกที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยอีกฝ่ายมันไม่ได้น้อยเลยสักนิด จินตนาการในหัวไม่เคยนึกถึงวันที่ไม่มีเขาเลยด้วยซ้ำ


           ยอมรับว่าปล่อยให้อีกคนรุกล้ำเข้ามาจนเสียความเป็นตัวเอง


           แล้วยังไง..


           ก็เป็นผมเองที่ปล่อยให้เขาเข้ามายึดครองพื้นที่ด้วยความเต็มใจทั้งนั้น


           “แล้วคุยกับเฟิร์สว่าไรมั่ง”


           คนตัวสูงเข้ามามีส่วนรวมในวงสนทนาด้วยฝีมือของเพื่อนสนิทลำดับสอง


           “ก็ไม่ว่าไง”


           “...”


           “เขาให้ไป”


           “โคตรดีเลยว่ะ”


           เขาดีมากเลยต่างหาก..


           ดีจนผมละอายใจ


           ปล่อยให้ไปทั้งที่ตัวเองเจ็บแบบนั้น คำว่าเสียสละยังน้อยเกินไปเลยจริงๆ


           หวนคิดว่าตัวเองเคยทำอะไรเพื่อเขาอย่างจริงจังบ้าง


           ก็ไม่มี..


           “ช่วงแรกกูก็แอบรำคาญแทนที่หนึ่งนะ แม่งเหมือนเข้าหาไม่เป็นอะ ยอมรับว่าตอนที่ที่หนึ่งเรียกไปคุยกูยังสะใจเลย โลเล จะเลือกก็ไม่เลือกสักทาง”


           “...”


           “แต่พอมาคิดดูอีกที เฟิร์สแม่งบริวารเยอะอยู่แล้วป้ะวะ แต่คนที่มันแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาอะ กูไม่เคยเห็นมันทำกับใคร..นอกจากที่หนึ่งเลย”


           “...”


           “พอมาถึงวันนี้..กูมั่นใจเลยว่าไม่มีใครดีกับที่หนึ่งไปมากกว่าเฟิร์สแล้ว”


           ยิ่งเพื่อนสนิทพูดออกมาก็เหมือนตอกย้ำลงภายในจิตใจว่าอีกฝ่ายดีมากแค่ไหน คนตัวสูงทุ่มเทหมดหน้าตัก ยอมไปหมดเสียทุกอย่าง ตลอดเวลาที่คบกันมาผมสัมผัสได้ถึงความรักความห่วงใยที่อีกฝ่ายมีให้ทุกครั้ง


           มันไม่เคยลดน้อยลงจากเดิมเลย..ไม่เคย


           “กูเป็นเพื่อนยังโหวงขนาดนี้ ถ้าเป็นเฟิร์สจะรู้สึกยังไงวะ..”


           ผมคิดตาม...


           ก็คงไม่ต่างจากผมในตอนนี้เท่าไหร่


           ลอบถอนหายใจครั้งที่ล้าน ไม่ใช่เพราะความเหนื่อยหน่าย แค่คิดว่าบางครั้งตัวเองก็ยังไม่ดีพอ ความรู้สึกผิดพุ่งเข้าหาราวกับคันศรทิ่มแทงจิตใจ เขาเป็นฝ่ายรอมาตลอดแล้วยังต้องรออีกต่อไปจนกว่าผมจะกลับมา


           คำถามที่ว่าคนเราจะรอคอยบางสิ่งได้นานเท่าไหร่ กลับกลายเป็นว่าคนถามต้องเป็นฝ่ายทรมานใจไปเสียเอง


           ฝนหยุดตกแล้ว เวลาล่วงเลยผ่านไปหลายชั่วโมง หน้าที่ติวเตอร์จำเป็นได้จบลง เพื่อนร่วมกลุ่มอาลัยอาวรณ์กันอยู่สักพักค่อยแยกย้ายกันกลับ ผมปฏิเสธคำชักชวนของเต้เมื่อมองข้ามไปเห็นมิกนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์ จะเจอกันอีกสองวันที่เหลือก็ยังไม่สาย มันจึงได้ยอมผละออกไป


           เม็ดฝนยังรินๆอยู่บ้าง ผมยังไม่มีความคิดที่จะกลับบ้านในตอนนี้ ชั่งใจกับตัวเองอยู่สักพัก ถึงตัดสินใจกดโทรหาใครอีกคน


           ไม่รู้ว่าจะไปรบกวนเวลาอ่านหนังสือของเจ้าตัวหรือเปล่า


           แต่ว่า..ขอให้ได้ยินเสียงก็ยังดี


           ‘ครับ’


           เฟิร์สไม่เคยไม่รับสายผมนั่นเป็นความจริง


           และไม่เคย..ทิ้งช่วงเวลานานแม้จะยุ่งแค่ไหน


           “...ได้อ่านหนังสืออยู่ไหม”


           ‘อื้อ ใกล้จบแล้ว ที่หนึ่งโทรมาพอดี’


           “...คือ..เรา..”


           อาการอ้ำอึ้งกลับมาอีกแล้ว ไม่กล้าบอกจุดประสงค์ที่แท้จริงให้อีกคนรู้ ผมเม้มปากก่อนรวบรวมความกล้าพูดออกไป


           “อยากเจอ..”


           “...”


           “ด—ได้หรือเปล่า..”


           ‘อยู่ไหน เราจะไปรับ’ ปลายสายตอบกลับมาในทันใด จับน้ำเสียงกระตือรือร้นของอีกฝ่ายแม้ไม่เห็นหน้า


           “ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราไปหา”


           แล้วก็ฉุกคิดได้ว่าปฏิเสธน้ำใจคนตัวสูงไปอีกครั้ง


           นิสัยขี้เกรงใจไม่มีวันหายจริงๆ


           ‘...’


           “เดี๋ยวเราแชร์โลเคชั่นไปให้”


           พอเห็นอีกฝ่ายเงียบก็รีบเปลี่ยนคำ ให้ตายเถอะ นับวันผมยิ่งจะนิสัยเสียเพราะเฟิร์สแล้ว


           ‘รอ อย่าไปไหน’


           “อื้อ ขับรถดีๆ”


           ต้องโทษเขาเลย




 ♥



 
           เกือบได้ถูกฝนแช่แข็ง


           พายุซัดกระหน่ำลงมาอีกครั้ง จนต้องแอบก่นด่าในใจ ต้นเดือนมีนาย่างเข้าสู่หน้าร้อน ไหงฝนกลับตกมันทั้งอาทิตย์เสียได้ โชคดีที่มือบิดอย่างคนตัวสูงยังรักษามาตรฐานของตัวเอง ไม่ว่าสถานที่นั้นจะไกลจากเขามากแค่ไหนก็สามารถย่นระยะเวลาให้ถึงได้ในไม่กี่นาที


           เคยเตือนอยู่บ้างให้เพลาๆลง อุบัติเหตุบนท้องถนนใช่เรื่องเล่นๆซะที่ไหน


           เขารับฟัง แต่ถามว่าทำตามหรือเปล่า ก็อย่างที่เห็น


           ดื้อเงียบจริงๆ


           ท่าทางฝนครั้งนี้จะไม่หยุดตกง่ายๆ กิ่งไม้ข้างนอกไหวเอนเกือบหัก เสียงฟ้าร้องครืนชวนขนลุก มองเห็นแล้วก็ท้อแท้ คาดเดาอนาคตของตัวเองวันนี้ได้เลย


           ถ้าไม่กลับเอาตอนสี่ห้าทุ่มก็ต้องค้างที่นี่


           และเจ้าของห้องไม่มีทางเลือกช้อยส์ข้อแรกแน่ๆ


           รีบอาบน้ำ ผลัดเปลี่ยนชุดเปียกปอนออก นับว่าดีที่ทิ้งเสื้อผ้าครั้งที่แล้วไว้ที่ห้องเขา ไม่งั้นคงได้กลายเป็นเด็กใส่เสื้อพ่อ ถ้าเพื่อนสี่คนที่เหลือได้เห็นผมในสภาพนั้นรับรองว่าได้แท็กทีมสามัคคีกันเชียวล่ะ


           “บอกแม่ยังอะ”


           ผมชูโทรศัพท์ในมือให้ดู เอาเข้าจริงคำถามควรจะเปลี่ยนเป็นว่าผมจะค้างที่นี่ไหมหรือยังไง แต่แน่นอนคนอย่างเฟิร์สไม่ถามหรอก


           เผด็จการที่สุดแล้วคนนี้


           เพราะเขาหวังดีหรอกถึงยอมให้ตลอด..


           “ไม่อ่านต่อแล้วอ่อ” ผมถามเมื่อคนตัวสูงขึ้นมานอนบนเตียง


           “แฟนมาหาทั้งที อ่านต่อก็บ้าแล้ว”


           “ข้ออ้างหรือขี้เกียจ”


           “ตอบว่าเพราะเป็นที่หนึ่งได้ไหม”


           ผมเบ้ปากให้มุกเสี่ยวนั่น เขาหัวเราะจนเห็นลักยิ้มเล็กๆข้างแก้ม ขยับตัวให้เข้าที่เข้าทางก่อนจมสู่โลกของมือถือ


           “เถิบมาได้ป้ะ”


           อีกฝ่ายพูดขึ้นมาทื่อๆหลังจากที่ต่างพากันเงียบ ผมหันไปมองด้วยความงงงวย


           อะไรนะ?


           ไม่ว่าเปล่า ตบปุๆลงที่ว่างข้างเตียงเพราะผมนั่งเว้นระยะห่างกับเขาพอสมควร นึกฉงนแต่ก็ยอมกระเถิบไปตามคำขอ


           หมับ!


           “เฟิร์ส!” เผลอร้องเสียงหลงอย่างตกใจ คนตัวสูงคว้าเข้าที่เอวไม่บอกไม่กล่าว แรงฉุดไม่น้อยทำให้ผมเซไปหาจนเกยทับเขาไปทั้งตัว


           ผมดิ้นหนีออกจากวงแขน แต่ไม่ได้รับความร่วมมือซ้ำแล้วยังถูกรัดแน่นขึ้น อีกฝ่ายพลิกตัวเข้ามารั้งผมไปแนบอก พอหันไปตวัดสายตาเคืองๆใส่ เจ้าของห้องก็เพียงส่ายหัว ยกนิ้วชี้ขึ้นจุปากเชิงให้หยุด


           การกระทำนิ่งๆยังไม่เท่าคำอ้อนวอนที่สะท้อนบนแววตาของอีกคน ทำเอาคนมองใจอ่อนยวบยอมหยุดดิ้นแต่โดยดี มือแกร่งเลื่อนลงมาเกาะเอวผมไว้หลวมๆพร้อมลูบไปมาแผ่วเบา


           และนั่นทำให้สติผมกระเจิง


           ความรู้สึกประหลาดแล่นวูบขึ้นมาตั้งแต่ปลายเท้าราวกับไฟจุดติด ผมเม้มปากแน่น หันหน้าหนีลมหายใจร้อนๆ ลำตัวเหมือนถูกสาปไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อน


           “กลัวเราขนาดนั้นเลย..”


           เสียงทุ้มเอ่ยแกมตัดพ้อ ผมไม่รู้จะตอบยังไง มันไม่เชิงกลัว แค่ไม่ชินกับการสัมผัสเนื้อต้องตัวกันมากกว่า


           แต่ไหนแต่ไรทำมากสุดก็...จูบในคืนวันสิ้นปี


           นอนซ้อนหลังกันอยู่แบบนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่..


           “ขอโทษ”


           “...”


           “กลัวจะไม่ได้กอดแล้ว..”


           เขาตั้งท่าจะคลายอ้อมแขนออก ความวูบโหวงตีรวนขึ้นมา ชั่ววินาทีนั้นใจผมกลับสั่งการให้ทำตรงกันข้าม รั้งท่อนแขนของคนตัวสูงไว้ให้วางลงบนตำแหน่งเดิม


           แล้วสอดประสานนิ้วลงบนมือของเขา..


           เป็นฝ่ายเจ้าของห้องที่ชะงักงัน แต่ก็เป็นเพียงไม่กี่วินาที หลังจากนั้นคนสูงกว่าก็บีบกระชับตอบกลับมา เสียงหัวเราะน้อยๆทำให้ยิ้มออกมาได้อย่างสบายใจ


           “อื้อ เจ็บ”


           ปลายคางแหลมๆวางลงบนหัว กดลงมาราวกับหยอกล้อ มือข้างที่ว่างก็ยกโทรศัพท์เล่นโชว์ให้เห็นกับแบบจะๆ นิ้วโป้งของอีกคนไถหน้าจอไปเรื่อยเปื่อย เสียงแจ้งเตือนดังเข้ามาเป็นระยะไม่มีขาดช่วง


           ฮอตเหลือเกินนะพ่อคุณ..


           “ไม่รำคาญบ้างอ่อ”


           “อะไรนะ”


           “เปล่า หมายถึงแจ้งเตือน..”


           “แอบดูเค้าเล่นอะดิ”


           “ก็มันอยู่ตรงหน้าเราเลยไหมอะ” ผมบุ้ยปาก ชี้หลักฐานให้เห็นกันชัดๆ


           อีกฝ่ายกดปุ่มล็อค โยนโทรศัพท์ลงพลางชะโงกหน้าเข้ามาใกล้


           “อันนี้เรียกว่าถามเฉยๆหรือเรียกว่า..หึง”


           “ห—ถามเฉยๆ!”


           เกือบหลงกลคนเจ้าเล่ห์เข้าแล้ว เฟิร์สเลิกคิ้วคล้ายกับไม่เชื่อ กระตุกยิ้มมุมปากก่อนก้มลงมากดจมูกกับแก้มผมแรงๆ


           “มันเขี้ยว”


           สำหรับเฟิร์สไม่เคยรู้จักคำว่าครั้งเดียว คนตัวสูงยังคลอเคลียสูดดมไม่หยุด คำว่าพอดูเหมือนจะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ในที่สุดก็รวบรวมแรงดันอีกคนออกให้ตัวเองได้หายใจ


           ในตอนนั้น..ดวงตาสีนิลกวาดตามองทั่วใบหน้า ก่อนไล่ระดับสายตาลงมาที่...ริมฝีปาก


           พลันหัวใจหยุดเต้นเมื่ออีกคนโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจร้อนๆริดรดที่ข้างแก้ม ผมไม่ได้เบือนหน้าหนี ทำแค่เพียงหลับตาลงช้าๆ


           ราวกับยอมจำนน..


           สัมผัสผะแผ่วกดลงบนริมฝีปาก ความแปลกใหม่แตกต่างไปจากครั้งที่แล้วพรากสติตัวเองหลุดจางหาย ดึงให้ดำดิ่งลงไปกับห้วงภวังค์ที่อีกฝ่ายหยิบยื่น รสชาติเย้ายวนติดปลายลิ้นมอมเมาชวนหลงระเริง ภายในจิตใจพร่ามัวไปหมดเมื่อมือหนาออกแรงคลึงปลายคางให้ริมฝีปากเผยอออก..


           ใจสั่นไหวจนบีบรัดไปหมด เหมือนร่างกายตัวเองถูกควบคุมโดยคนตัวสูง ไม่มีแรงแม้กระทั่งจะสั่งการหายใจ เขากวาดต้อนผมจนมุม แต่ทิ้งความอ่อนโยนให้ใจเต้นระรัวคล้ายฝูงผีเสื้อบินวนเวียนอยู่ข้างใน


           เชื่องช้า...อ้อยอิ่งและละเมียดละไม


           ก่อนค่อยๆเคลื่อนเปลี่ยนเป้าหมายเป็นซอกคอ ประทับจูบลงไปหนึ่งครั้ง สองครั้ง..สามครั้งและไล่ต่ำลงไปเรื่อยๆ


           “เป็นที่หนึ่ง”


           “...”


           “ห้าม..ห้ามเราตอนนี้ ผลักเราออกไปแรงๆ”


           หากร่างกายที่เลอะเลือนสติสัมปชัญญะ ทว่าใจสะกดให้ผมหยุดนิ่ง ทบทวนกับตัวเองด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มีและตัดสินใจรั้งใบหน้าคมขึ้นมา ก่อนสัมผัสเช่นเดียวกันกับที่เขาทำ


           อ้อมกอดรักแน่นเฉกเช่นพันธะบางๆผูกรั้งหัวใจเราทั้งคู่ เขาส่งมือขึ้นมาลูบข้างแก้ม กระซิบถามเสียงสั่น


           “ถ้ามันเกิดขึ้น..ที่หนึ่งจะเสียใจหรือเปล่า”


           “...”


           “...”


           “เป็นเฟิร์ส..เราไม่เคยเสียใจ”


           ไม่เคยเสียใจเลยสักครั้งเดียว..


           ความอดทนเส้นสุดท้ายได้สิ้นสุดลง การกระทำที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนและนุ่มนวลของอีกฝ่ายคล้ายร่ายมนตร์ให้หลงลืมโลกแห่งความเป็นจริง ฝ่ามือลูบไล้ช้าๆไปตามสัดส่วนของเรือนร่างให้คนได้รับคล้อยตาม ปลดเปลื้องพันธนาการให้รับรู้ถึงตัวตนของกันและกันชัดเจน


           อีกฝ่ายสวมกอดเข้ามาอีกครั้ง ยกหลังมือขึ้นจุมพิต ผ่านขึ้นไปตามเรียวแขนด้วยริมฝีปากร้อนระอุ พลันตวัดสายตาคมจับจ้องไปที่คนใต้ร่างด้วยแววตาพราวเสน่ห์ เร่งเร้าให้วูบวาบ ปั่นป่วนจนแทบลืมลมหายใจ


           “เราจะไม่โกหกว่ามันไม่เจ็บ”


           “...”


           “แต่จะทำให้เจ็บน้อยที่สุดนะ..”


           ท่อนแขนแข็งแรงคร่อมลง คืบคลานเข้าใกล้ กระเซ้าเย้าแหย่จนคนถูกกระทำต้องซบใบหน้าลงกับหมอนอย่างยอมแพ้ ไอความร้อนจากตัวอีกฝ่ายยิ่งทำให้เลือดสูบฉีดไปทั่วร่าง อีกฝ่ายฉวยโอกาสทีเผลอค่อยๆจับข้อเท้าให้กางออกโดยที่ไม่ให้รู้สึกตัว


           “ฮ...อะ”


           “ชู่ว...ที่รัก อย่าเกร็ง...”


           ความเจ็บที่แล่นริ้วเข้ามาเรียกสติให้กลับมาโดยพลัน คนตัวสูงหยัดกายเข้าหา พลางพรมจูบไปทั้วลาดไหล่ วนมาข้างแก้มก่อนหยุดที่ริมฝีปากอีกครั้งพร้อมช้อนเอวขึ้นมากกกอดไว้ด้วยความหวงแหน


           แปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนในไม่ช้า ความอบอุ่นถูกเติมเต็มเข้าทันทีอย่างไม่ต้องร้องขอ จังหวะเนิบนาบแต่หนักแน่นแฝงไปด้วยความรักทั้งหมดที่มี สัมผัสแสนทะนุถนอมชวนลุ่มหลงให้ตกอยู่ในอ้อมกอดของเขาแค่เพียงคนเดียว..


           “ฟ..เฟิร์ส..”


           แววตาคมจับจ้องมองคนใต้ร่างทุกวินาทีดั่งคำสัญญาว่าจะไม่เหลียวแลใครอีก ก้มลงมาด้วยแรงโน้ม เสียงกระซิบโชยตามสายลมให้สลักลึกลงในหัวใจ


           “รัก...รักมากที่สุด”


           เม็ดฝนและพายุกรรโชกราวกับสักขีพยาน กลบซุ่มเสียงอื่นให้ล่องลอยหายไปกับเมฆหมอก สายตาเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่กำลังถ่ายทอดให้แก่และกัน


           ผมหลับตาลงภาวนาร้องขอคำอ้อนวอนให้ส่งไปถึงฟ้าช่วยยืดเวลาออกไปอีกสักหน่อย..อย่างน้อยก็แค่ตอนนี้


           ตอนที่ยังได้อยู่ด้วยกัน






ออฟไลน์ miralchs

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
(ต่อ)

           “เตรียมครบหมดแล้วใช่ไหมที่หนึ่ง”


           “ครับ”


           “ขาดเหลืออะไรหรือเปล่า ให้ม๊าเช็คดูอีกทีไหม”


           “เช็ครอบที่ห้าแล้วครับม๊า” ผมพูดปนขำ


           ถึงจะเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้วก็ไม่คิดว่าจะมาถึงเร็วขนาดนี้ ข้าวของเครื่องใช้ในห้องตัวเองถูกจับยัดลงกระเป๋าไปเสียครึ่ง มองเข้าไปเห็นห้องโล่งก็ทำเอาใจหาย อยู่บ้านหลังนี้มาได้สิบแปดปีเต็ม จะตัดใจไปอยู่ต่างถิ่นเป็นปีมันไม่ได้ง่ายเลย


           แต่..นกในกรง สักวันก็ต้องหัดบินด้วยตัวเอง


           บินออกไปให้รู้ว่ารอบข้างมีอะไร บินออกไปให้รู้จักโลกใบใหญ่ เพราะสุดท้ายที่อยู่ของมันจริงๆ..ก็บินกลับมารังเดิม


           อีกไม่ชั่วโมงเครื่องก็จะออกแล้ว เส้นทางไปสนามบินก็ยังเป็นเส้นทางเดิมที่เคยไป แต่ครั้งนี้ความรู้สึกมันแตกต่างกว่าทุกครั้ง ผมมองออกไปนอกรถ ทอดสายตาไปตามข้างทาง คงไม่ได้เจอกันอีกหลายปี กว่าจะถึงตอนนั้นกลับมาอะไรหลายอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว


           มองเสี้ยวหน้าของบุพการีทั้งสอง


           จะอยู่ด้วยกันสองคนได้หรือเปล่านะ..


           ช่างเป็นเรื่องตลกร้าย..อุตส่าห์มีลูกพร้อมหน้าพร้อมตาสามคนกลับแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง


           พวกท่านแบกรับภาระอะไรในใจไว้บ้าง..ผมไม่เคยรู้


           บางครั้งก็อยากถามแต่ปากมันหนักอึ้งเหมือนมีคนเอาหินมาถ่วงไว้ จึงได้แต่แสดงออกผ่านการกระทำเท่านั้น


           ถ้ากลับมาอีกทีอายุพวกท่านรวมกันก็ร้อยกว่าปีแล้ว ผมดูเป็นลูกที่แย่เกินไปหรือเปล่าถ้าปล่อยให้พวกท่านใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตามลำพัง แม้มีความคิดชั่ววูบเคยอยากให้ย้ายไปอยู่ทั้งครอบครัว แต่มันทำได้เสียที่ไหน


           ต่างคนต่างมีภาระหน้าที่เป็นของตัวเอง


           “ไม่ต้องคิดมาก เป็นที่หนึ่ง”


           คล้ายอ่านใจออก เสียงทุ้มพร่าของคนเป็นพ่อดังขึ้น แววตาอ่อนแสงมองผ่านกระจกมายังผมที่นั่งอยู่ข้างหลัง


           “ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด”


           อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้ผมยอมรับในตัวของเขาได้อย่างรวดเร็ว


           อาจเพราะความเป็นพ่อลูกที่ตัดกันไม่ขาด


           หรือเพราะความเข้าใจ..แม้ไม่ต้องพูดก็สัมผัสถึงกันได้


           รถเคลื่อนตัวมาสนามบินเรียบร้อย เข็มบนหน้าปัดนาฬิกายังทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดี ผมดูหนังซูเปอร์ฮีโร่มามากจนนับไม่ถ้วน แอบคิดว่าถ้าตัวเองมีพลังวิเศษอย่างคนพวกนั้นบ้างจะทำอะไรกับมันดี


           ผมคงไม่ขอให้เวลามีมากขึ้นหรือเดินช้าลง ไม่ขอไทม์แมชชีนย้อนอดีตและไม่ขอเทเลพอร์ตวาร์ปไปอนาคตด้วย..


           แต่จะขอให้เวลาทุกวินาทีมันคุ้มค่าสำหรับการใช้ชีวิตอยู่ไม่ว่าจะตัดสินใจเลือกเส้นทางไหนก็ตาม


           พระเจ้าไม่ได้สร้างให้มนุษย์เดินวนลูป มันเป็นเส้นตรงที่ต้องก้าวไปข้างหน้าเท่านั้น และระหว่างทางก็เป็นเรื่องราวให้โชคชะตาฟ้าลิขิตกำหนดภายใต้กฎเกณฑ์ของแต่ละคน ในบางทีอาจฝืนคำสั่งนอกเหนือบ้าง แต่สุดท้ายคนที่ออกคำสั่งชัดเจนได้มากที่สุดก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากตัวเอง


           ถ้อยคำคัดค้านก่อตัวขึ้นแข่งกับเส้นทางที่เลือก ความย้อนแย้งในผมมันเพิ่มมากขึ้นในทุกวันจนต้องหาคำปลอบใจต่างๆมากลบความรู้สึกนั้น ภายนอกอาจดูเป็นคนที่แน่วแน่ เถรตรง ทั้งที่ในใจตอนนี้สั่นคลอนเหมือนยืนด้วยปลายนิ้วเท้าข้างเดียว


           ไม่รอดก็ต้องรอด


           แค่จะอยู่ได้เองหรือเปล่า..


           เพราะผมเอาสิ่งสำคัญไปด้วยไม่ได้สักอย่างนอกจากตัวและจิตใจ


           ทั้งครอบครัว เพื่อนฝูง..หรือคนรัก


           สุดท้ายอยากปีกกล้าขาแข็งบินออกจากกรงแค่ไหน เอาเข้าจริงก็ตัวสั่นไม่กล้ากางปีกด้วยตัวเองอยู่ดี


           “ที่หนึ่ง!!”


           “แม่ง กูนึกว่าจะมาไม่ทัน”


           ใบหน้าคุ้นชินของมิตรสหายร่วมกลุ่มทั้งสี่โผล่มาให้เห็นเหมือนรู้ใจ ต่างวิ่งกระหืดกระหอบมาจนต้องเอ่ยปากบอกให้ใจเย็น พร้อมชี้เวลาให้ดูว่ายังไม่ใช่เร็วๆนี้


           “ร่างกายกูยังไม่ได้โดนน้ำตั้งแต่เมื่อคืน รีบมาหาเลยนะเนี่ยรู้ป้ะ”


           “อันนี้ต้องดีใจใช่ไหม”


           “เออสิวะ”


           ผมยิ้มเล็กๆ ยอมไม่ด่าสักวันถือเป็นเคล็ดแล้วกัน


           ย้ายสังขารไปยังที่นั่ง สนามบินไม่เป็นอุปสรรคต่อการพูดคุยเป็นลิงจ้อของพวกนี้ ฟังเกือบไม่ทันและต้องยกมือปรามให้เล่าทีละคน


           ชีวิตประจำวันของเพื่อนไม่ดูน่าเบื่อเลยสักนิด ให้นั่งฟังเป็นวันก็ยังได้ ผมลอบมอง ใช้สายตาจดจำใบหน้าของทั้งสี่คนให้ขึ้นใจ


           โชคดีจริงๆที่ได้มีเพื่อนคอยเคียงข้างมาตลอด…


           เวลายังนับถอยหลังลงไม่สิ้นสุด จวบจนถึงยามสมควร ถึงได้ไล่สวมกอดทีละคน เต้ยกหลังมือเช็ดน้ำตาป้อยๆ เกาะหลังผมไว้แน่น


           “อย่าลืมกู”


           “นิสัยแบบนี้ก็ไม่น่าจะลืมง่ายหรอก”


           “ด่าหรือชมวะกูงง”


           “คิดว่าไง”


           มั่นใจว่าความกวนตีนของตัวเองพุ่งสูงขึ้นจากแต่ก่อนเป็นสิบเท่า ซึมซับจากอีกคนมาจนกลัวว่าจะกลายเป็นคนมากเล่ห์เข้าสักวัน


           แต่ตัวการ..ยังไม่มาเลย


           คิดถึงคืนนั้นหน้าก็ร้อนวูบขึ้น ยังจดจำร่องรอยการกระทำทุกอย่างได้อย่างขึ้นใจ จำสายตา ท่าทางของอีกคนได้ยิ่งกว่าเนื้อหาการเรียนในทุกเรื่อง ประสาทสัมผัสที่รับรู้ทุกการเคลื่อนไหว..ให้ตายก็ลืมไม่ลง


           ผมก้มมองดูนาฬิกา เหมือนโชคชะตาอยากล้อเล่นกับผมอีกสักหน่อย ถึงได้บันดาลวันสอบของคนตัวสูง..เป็นวันเดียวกับที่ผมต้องไป


           ไม่มีอะไรยืนยันว่าเขาจะมาทัน..


           หากคำว่าว่า ‘เชื่อ’ คำเดียวก็ทำให้ผมมั่นใจ


           ในตอนนั้น..สายตาหันไปประสานกับเขาที่โดดเด่นออกมาจากคนอื่นพร้อมกับขายาวก้าวเข้ามาใกล้


           และคำว่าเชื่อของผมก็ไม่มีอะไรมาทำลายมันลงได้เลย


           ใบหน้าติดยิ้มจางๆเต็มไปด้วยเหงื่อผุดพรายพร้อมกับเสียงหอบหายใจ บนตัวยังสวมชุดนักเรียนที่ชายเสื้อ           หลุดลุ่ยออกมาจากกางเกง


           ผมร้องไห้อีกแล้ว


           บ่ายสองสิบห้านาทีเป็นเวลาเลิกสอบ..และเป็นเวลาที่เขามายืนตรงหน้าผม


           แค่คิดว่าอีกคนรีบทำให้เสร็จเพราะต้องมาส่งให้ทันขึ้นเครื่อง ความรู้สึกข้างในก็ท่วมท้นจนต้องระบายออกมาด้วยหยดน้ำตา


           ไม่ใช่เพราะเสียใจแต่เป็นเพราะรัก


           รัก..ที่เข้าใจได้โดยไม่ต้องใช้คำพูด


           “อย่าร้องไห้”


           “ฮ..ฮึก เราทำไม่ได้ ไปทั้งที่ไม่มีเฟิร์ส..ไม่ได้”


           “ได้ ที่หนึ่งอยู่ได้”


           แขนแกร่งตวัดโอบรัดรอบคอรั้งให้เข้าใกล้ชิด ซุกใบหน้าคมลงบนลาดไหล่เล็ก ร่างสูงตัวสั่นไหวคล้ายอดกลั้นน้ำตาไว้


           สถานการณ์บีบบังคับให้คนหนึ่งอยู่และอีกคนต้องไป..


           มันยากเกินกว่าที่จะยอมรับได้ง่ายจริงๆ


           “อีกไม่นาน...”


           “…”


           “รอ รอเฟิร์สก่อนนะ”


           เสียงทุ้มบอกกล่าวเป็นคำมั่นสัญญา ก่อนค่อยๆผละออกแม้ใจอยากรั้ง


           ในนาทีสุดท้าย หลังจากเสียงประกาศเรียกผู้โดยสารดังขึ้น ผมเขย่งปลายเท้า ยืดตัวป้องปากกระซิบชิดริมหูของคนตัวสูง


           หากเป็นการแข่งขัน ระยะทางคงคล้ายกฎกติกา ส่วนกาลเวลาเป็นตัวติดสิน


           และรางวัลของผู้ชนะ..คือหัวใจ

 


           “รักของเป็นที่หนึ่ง..”

 


           รอจนกว่าจะได้พบกันอีกครั้ง







 ♥






           ชาติที่แล้วผมอาจจะไปทำบุญทำกรรมกับแมวไว้แน่ๆ


           ถอนหายใจ ก้มลงมองสัตว์สี่เท้าที่ข่วนเข้ามาบนขาเต็มแรง จะชักหนีตัวฟูๆนั่นก็ล้มนอนทับลงมาราวกับเมินเฉย ลำบากต้องทรุดตัวนั่งลงแล้วยกเจ้าอ้วนสีขาวออกไปจากเท้าตัวเอง


           อลิซ แมวประจำหอพักที่มักจะมาป้วนเปี้ยนรอบตัวประหนึ่งว่าผมเป็นเจ้าของ ดูไปดูมาก็คล้ายเจ้าเหมียวที่บ้านไม่หยอก ติดอยู่ตรงว่าชอบข่วนแรงๆให้เลือดซิบนี่แหละนะ ไม่รู้ว่าเพราะรักแรงจึงแกล้งแรงหรือเพราะเกลียดเข้าไส้กันแน่


           เพราะไม่หยั่งรู้ความคิดแมว ถึงยอมเล่นด้วยทุกครั้งแม้จะโดนประทุษร้าย แต่วันนี้คงไม่ได้ นัดจากเพื่อนใหม่เร่งให้ผมต้องเขยิบถอยจากก้อนกลมๆ คว้ากระเป๋าสะพายแล้วก้าวเท้าไปยังรถโดยสาร


           การไปผิดเวลานัดในสภาพแวดล้อมสังคมแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดีนัก นิดๆหน่อยๆก็พาลให้รู้สึกผิดแล้ว คนที่นี่ใจกว้างและซื่อตรง แต่ก็แฝงไปด้วยความเด็ดขาด ชีวิตวิถีความเป็นอยู่ระยะเกือบครึ่งปีค่อยๆซึมซับเข้าไป อะไรที่ไม่เคยหรือไม่ชินเวลาก็ช่วยให้ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ผมไม่ได้รู้สึกแปลกแยกไปจากคนอื่นสักเท่าไหร่ คงเป็นเพราะความโชคดีที่ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเพื่อนหลายเชื้อชาติ


           ด้วยความแตกต่างกันจากอะไรหลายอย่าง บางสิ่งก็ไม่ได้เป็นไปตามใจคิดไปเสียหมดและต้องค่อยๆเรียนรู้เอง ประสบการณ์แปลกใหม่หาได้ยากจากถิ่นเดิมเป็นเหมือนแรงผลักดันให้ใช้ชีวิตนักศึกษาของที่นี่ต่อไปเรื่อยๆ มันไม่น่ากลัวอย่างที่เคยคิด ผมรู้สึกดีกับความเป็นอยู่ในตอนนี้ ความเหงาหงอยเศร้าสร้อยคล้ายอารมณ์ชั่ววูบ พัดมาแล้วก็จางหายไป


           แต่สิ่งที่ยังสลักลึกอยู่..คงเป็นความคิดถึง และมันมากเพิ่มขึ้นทุกวัน


           ใต้ก้นบึ้งจิตใจยังเรียกร้องหาคนทางนั้นอยู่ตลอดเวลา การรอคอยนับวันยิ่งผ่านไปอย่างเชื่องช้า สร้างความทรมานให้คนทั้งสองฝ่าย ผมไม่เคยจดจ่อกับปฏิทินเลยสักครั้งจนได้มาเจอด้วยตัวเอง หมึกปากกาซึมขีดลงบนตัวเลขเหมือนเครื่องย้ำเตือนและกลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่ทำมาตลอด รู้ว่าเป็นข้อเสีย แต่ก็ห้ามตัวเองไม่ได้ทุกครั้ง


           คนเราจะรอคอยได้นานมากที่สุดแค่ไหน


           คอยเฝ้าถามในใจ แต่ผมก็ยังไม่มีคำตอบให้อยู่ดี


           รถเทียบจอดข้างฟุตบาท เหมือนผมจะมาถึงก่อนเพื่อนที่เหลือ โดมขนาดใหญ่ตรงหน้ากับกลุ่มคนประปรายบอกให้รู้ว่าลงไม่ผิดป้าย เวลาจัดนิทรรศการอีกไม่นาทีก็จะเริ่มต้นขึ้น ผมกดส่งข้อความไปบอกคนนัดหมายว่าจะเดินดูรอบๆก่อน ถ้ามาถึงก็เข้าไปได้เลยไม่ต้องรอ


           อันที่จริงก็ไม่ใช่เป็นคนมีหัวทางด้านนี้ ทบทวนรายการแข่งขันวิชาการที่ผ่านมา วิชาแรกและวิชาเดียวที่ผมไม่เคยแตะต้องคือ..ศิลปะ


           มันไม่มีสูตรตายตัวเหมือนฟิสิกส์ ไม่มีคำตอบที่พิสูจน์ได้เหมือนชีววิทยา ไม่มีกฎเกณฑ์ข้อบังคับเหมือนคณิตศาสตร์


           แต่เป็นจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ที่แตกต่างออกไปจากแต่ละคน


ไม่มีแม้แต่นิยามหรือความหมายตายตัว ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับมุมมองของบุคคลนั้นๆ ผมเงยหน้ามองรูปวาดบนฝาผนังด้วยความรู้สึกเรียบเฉย ไม่สามารถวิเคราะห์วิจารณ์ได้ว่าดีหรือไม่ดี มนุษย์เช่นผมไม่คุ้นเคยกับศาสตร์ด้านนี้มาก่อน แม้กระทั่งจะผสมสีให้ได้ดั่งใจก็นับว่าเป็นเรื่องยากแล้ว


           นั่นแหละ ผมถึงได้เชื่อว่าบนโลกนี้..ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ



           อากาศเย็นๆยามสายขับกล่อมให้ง่วงงุน นิทรรศการกลางแจ้งไม่ได้ปิดทึบอยู่ในอาคารส่งผลให้แสงแดดสาดส่องเข้ามาได้อย่างง่ายดาย ตามทางเดินกว้างขวางจุคนได้เต็มที่ ซ้ำแล้วยังมีหลายแยกชวนให้งงงวย


           สมแล้วที่เป็นงานใหญ่


           จุดประสงค์ในการมาที่นี่ของผมคืออะไรกัน จะตอบว่าเป็นเพราะคำชักชวนของเพื่อนก็พูดได้ไม่เต็มปาก


           บางทีอาจเป็นเพราะ...คิดถึง


           คนรู้จักในชีวิตของผมมีหัวทางศิลป์อยู่เพียงไม่กี่คนและเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น


           แล้วก็ดันไม่ใช่แค่คนรู้จักด้วย..


           การมาเดินเล่นปลดปล่อยร่างกายให้ผ่อนคลายหลังจากเรียนอย่างหนักหน่วงมาติดๆกันเป็นอาทิตย์ย่อมเป็นเรื่องน่าสนใจ แต่ความจริงมันก็เป็นเพียงข้ออ้างมากกว่า ผมกวาดสายตามองภาพวาดแต่ละรูปอีกครั้ง แม้จะตัดสินหรือวิจารณ์ไม่ได้ แต่ถ้าให้ตอบตามความรู้สึก...ใจผมก็นึกถึงคนทางนั้นไปแล้ว


           ป่านนี้..จะเรียนเป็นยังไงบ้างนะ


           เรายังเหมือนเดิม ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เปลี่ยนแปลงดั่งคำพูดที่อีกฝ่ายมอบไว้ ความรู้สึกในอดีตเป็นยังไงตอนนี้ก็ไม่ต่าง เพียงแต่มีเรื่องอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องเท่านั้น..


           เวลานอนของผมคือเวลาตื่นของเขา ช่วงผมกลับจากมหาวิทยาลัยนั่นคือตอนที่เขากำลังเรียน


           มันไม่เหมือนกับมัธยม คำว่านักศึกษามาพร้อมกับหน้าที่ต่างๆให้แบกรับ จะเอาแต่ใจเหมือนเมื่อครั้งเป็นนักเรียนก็ไม่ได้ ยิ่งช่วงนี้ต่างฝ่ายต่างพากันยุ่งจนแทบจะไม่ได้ติดต่อกัน ใจที่มีแต่เขาก็อดจะคิดถึงไม่ได้จริงๆ


           เสียงสั่นจากโทรศัพท์เป็นข้อความตอบรับจากเพื่อนต่างถิ่น ผมเก็บมันลงกระเป๋ากางเกง เหม่อมองไปเรื่อยๆไม่ได้หยุดอยู่กับผลงานชิ้นใดเป็นพิเศษ จนเดินเข้ามาในส่วนของภาพวาดจากบุคคลทั่วไป บนทางเดินยาวมีคนสวนผ่านไปมาเป็นระยะ คุ้นหน้าใครคนหนึ่งเหมือนเป็นศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย ผมก้มหัวทักทายเป็นมารยาท ก่อนผละออกมา


           พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นรูปหนึ่งเข้า


           เป็นรูปที่เหมือนไม่มีอะไรแต่ก็มี...


           ถึงจะไม่มีหัวทางด้านศิลปะก็ใช่ว่าจะไม่รู้เลยว่าภาพวาดนี้คืออะไร บนผ้าใบขนาดใหญ่กับสีอะคริลิคแต้มเป็นรูปของดวงตาใครสักคนที่สะท้อนเงาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง


           ผมเงยหน้าจ้องมองด้วยความประหลาดใจพร้อมกับขมวดคิ้วครุ่นคิด ความคุ้นเคยกับลายเส้นชวนให้ฉุกคิดถึงคนตัวสูง มีความคิดชั่ววูบเข้ามาว่าผู้ชายในภาพคล้ายคลึงกับตัวเองอย่างบอกไม่ถูก


           ยืนอยู่ตรงหน้ารูปเป็นหลายนาที พยายามมองหาชื่อศิลปินที่สร้างสรรค์ผลงานแต่ก็ไม่เจอ ซ้ำลายเซ็นยังถูกกลบด้วยสีจนมองไม่ออก


           ติดค้างในใจจนอยากยกกล้องกดชัตเตอร์เก็บไว้ ผมสบตากับรูปวาดนั้นผ่านช่องมองภาพ และ...


           “ผมชอบรูปนี้”


           ภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่งๆดังขึ้นข้างตัวทำให้ผมหันไปมองอย่างตกใจ คนแปลกหน้าเดินเข้ามาแบบไม่ให้สุ้มไม่ให้เสียง ผมผงกหัวก่อนก้าวเท้าออกให้คนมาใหม่ได้พิจารณารูปตรงหน้าชัดๆ


           “ผมเห็นรูปนี้ข้างในงาน พอได้ออกมามองของจริงก็สวยเหมือนที่คิดไว้”


           “…”


           ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมยืนฟังเขาอยู่เงียบๆ


           “ภาพสวยก็จริง แต่ความหมายที่เขาสื่อออกมาลึกซึ้งจนผมต้องปรบมือให้เลยล่ะ คุณได้เข้าไปฟังหรือเปล่า”


           ผมส่ายหน้า


           “น่าเสียดาย แต่อีกสักหน่อยเขาก็ออกมาแล้ว”


           “…”


           “คุณก็คงจะได้ฟัง...”


           เป็นความคิดที่น่าหัวเราะสิ้นดี ผมเลือกยืนอยู่ตรงนี้กับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ ทั้งที่ควรจะเข้าไปข้างในงานตามนัดหมายของเพื่อนได้แล้ว แต่จิตใต้สำนึกกลับกู่ร้องขึ้นมาว่าผมไม่ควรไปไหน


           นาน..กว่าครึ่งชั่วโมง


           เอาเข้าจริงนับเวลาที่เสียไปผมคงเดินครบทุกซอกทุกมุมแล้ว


           คนแปลกหน้าหายไปในตอนที่ผมไม่ทันได้สังเกต ส่ายหน้าระอาให้กับความคิดตัวเองจะว่าอยู่ไปเพื่ออะไร


           จังหวะที่กำลังจะผละออกไป เสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาใกล้ก็ฉุดรั้งให้ผมยืนนิ่งอยู่กับที่





           และหยุดนิ่งไปทุกส่วน..



 

           เคยได้ยินเรื่องเล่าในนิทานปรัมปราว่าหากสบตากับใครสักคนแล้วโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะแสดงว่าคุณกำลังตกหลุมรักใครคนนั้นแม้เป็นเพียงแค่แรกพบ


           แล้วถ้าคนนั้น...ไม่ใช่คนที่เจอกันครั้งแรก


           ผมอาจจะตกหลุมรักอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า


           ราวกับหยุดเวลาไว้โดยไม่ต้องพึ่งเวทมนตร์ เข็มวินาทีเดินผ่านไปอย่างเชื่องช้าในความรู้สึก คล้ายกับสติหลุด           ลอยคว้าง ดวงตาพร่ามัว แต่เห็นเขา..ได้ชัดเจนกว่าใคร


           “ดีใจที่คุณชอบภาพนี้”


           “…”


           “อันที่จริง..ผมวาดไว้นานมาก แต่ยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้ตลอด”


           “…”


           “ผู้ชายในรูปคือคนสำคัญที่สุดของผม เป็นรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ กำลังใจ...”


           วินาทีที่ปลายนิ้วของเราทั้งคู่แตะกันคล้ายกระแสไฟฟ้าวิ่งพล่านไปทั่วร่าง


           “เป็นทุกอย่างในชีวิต..”


           “…”


           “และเขาอยู่ตรงหน้าผม”


           ความอบอุ่นในครั้งอดีตที่เคยได้รับถูกส่งผ่านจากการกอบกุมฝ่ามือ สัมผัสคุ้นเคยทำให้ผมยิ้มกว้างออกมาแม้ดวงตาจะพร่าเลือนไปด้วยน้ำใส


           เวลาที่หล่นหายไปเหมือนได้รับการเติมเต็มอีกครา..


           และผมไม่เคยเสียใจสักวินาทีเลยที่ได้รอ


           “รู้หรือเปล่าว่าทำไมถึงมีแค่คุณคนเดียวที่ได้อยู่ในรูปนั้น..” อีกฝ่ายรั้งเข้าไปกอด


           “เพราะ...ไม่ว่าคุณจะเป็นที่หนึ่งเรื่องอะไรหรือเป็นลำดับที่เท่าไหร่สำหรับคนอื่น”


           “...”


           “แต่สำหรับผม คุณ ‘เป็นที่หนึ่ง’ มาตั้งแต่ครั้งแรก


 

           ...และจะเป็นตลอดไป”

 

 



 
ชั่วชีวิตหนึ่งผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า...ผมต้องการเป็นที่หนึ่งในเรื่องอะไร

..ในวันนี้ผมได้รู้จักแล้ว

ความหมายที่แท้จริงของคำว่า ‘เป็นที่หนึ่ง’



_____________________________________

สวัสดีค่ะ ♡

ในที่สุดเป็นที่หนึ่งก็ได้ดำเนินมาจนถึงปลายทางเรียบร้อยแล้ว

ตลอดระยะเวลา 2 เดือนกว่า เป็นช่วงที่ดีที่สุดสำหรับครึ่งปีแรกของเรา

ไม่คิดว่านิยายพล็อตธรรมดา เป็นชีวิตของนักเรียนม.ปลายทั่วไปจะมาได้ไกลขนาดนี้

ทั้งกำลังใจ ทั้งคอมเม้นท์ รวมถึงคำติชม เป็นแรงผลักดันให้นิยายเรื่องนี้จบลงได้อย่างสมบูรณ์

เราขอบคุณทุกคนจากใจอีกครั้งจริงๆค่ะ

อาจจะไม่ใช่ตอนจบที่ดีที่สุด แต่มันเป็นตอนจบสวยงามที่สุดสำหรับทั้งสองคนแล้วค่ะ : )

ยังเหลือบทส่งท้าย...จากคนที่รักเป็นที่หนึ่งตั้งแต่แรกพบ

ไว้เจอกันครั้งสุดท้ายในตอนต่อไปนะคะ

#เป็นที่หนึ่ง

ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
งงๆ กับชีวิตครอบครัวที่หนึ่งนิดหน่อย
ผู้เขียนอาจอธิบายแล้วแต่เราอาจอ่านข้ามไปตรงไหนสักบท
บทจบเขียนดี ลื่นไหล และดีที่สุดในเรื่องนี้เลย

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ยิ้มได้ ขอบคุณค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
คู่นี้ได้มีความสุขกันสักที :o8:

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 847
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
มีความสุขสักทีน้าาาาาา  ขอบคุณมากค่าที่แต่งเรื่องนี้ขึ้นมา

ออฟไลน์ tungz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เนื้อเรื่องละมุนมากกก คือดีมาก ชอบมากก หาเรื่องแบบนี้มานาน ดีใจที่ในที่สุดก็เจออ่ะ

ออฟไลน์ miralchs

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
E p i l o g u e ♥

           เฟิร์ส

           นิยามศัพท์ในความหมายของภาษาไทยแปลได้ว่า..ที่หนึ่ง

           ทำหน้าที่เป็นส่วนขยายในรูปประโยค

           แต่ไม่ใช่ในชีวิตจริง

           หากเปรียบเทียบรอบข้างเป็นจักรวาลอันกว้างใหญ่ จำกัดวงแคบลงมาให้เป็นระบบสุริยะ สิ่งที่แทนตัวตนของเขาจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากดาวเคราะห์ที่เรียกว่า..โลก

           ในวันสุดท้ายของปี สิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆได้กำเนิดขึ้นในบ้านหลังใหญ่ มีพ่อแม่ เครือญาติมากมายร่วมอวยพรให้เด็กชายตัวน้อยเติบใหญ่เป็นคนดี คำอธิษฐานนั้นดูเหมือนจะเป็นจริง เขาโตขึ้นท่ามกลางความอบอุ่นที่รายล้อมรอบตัว หล่อหลอมจิตใจให้กลายเป็นเด็กหนุ่มผู้เพียบพร้อมและเป็นอย่างที่อวยพรไว้ในวันนั้น รอยยิ้มประกายสุกใสที่มอบให้ผู้คนรอบข้างมีชีวิตชีวาจนไม่อาจเปรียบเทียบเป็นอย่างอื่นไปได้

           จะเรียกว่าศูนย์รวมจักรวาล..คงไม่ใช่ เขาไม่เปรียบเปรยตัวเองว่าเป็นดวงอาทิตย์หรือเป็นดาวฤกษ์ดวงไหน เด็กหนุ่มไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น เขามีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่และคิดว่าคงจะไม่ดิ้นรนหาอะไรให้วุ่นวาย

           หากจะบอกว่าเป็นเพราะคำอธิษฐานของพ่อแม่อาจไม่ถูกเต็มร้อย ต้องบอกว่าเป็นเพราะดีเอ็นเอที่ส่งต่อมาน่าจะถูกต้องเสียมากกว่า ระดับมันสมองของเขาไม่ใช่ธรรมดา ต้องบอกว่าเก่งโดยกำเนิดอย่างแท้จริงและเรียกได้ว่าเป็นพรสวรรค์ได้เต็มปากเต็มคำ

           แต่ใช่ว่าเขาจะนิ่งเฉยหรือทระนงในความเก่งกาจของตัวเอง ตรงกันข้ามเด็กหนุ่มยังมุมานะ ขวนขวายหาความรู้อยู่เสมอ ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เขาใช้มันอย่างคุ้มค่า ทุ่มเทให้กับการเรียนสุดทางจนสมชื่อที่แปลว่า..ที่หนึ่ง

           เนื่องจากโตมาในสภาพแวดล้อมที่ดี ย่อมมีคนรักคนหลงเป็นธรรมดา ยิ่งเพียบพร้อมก็ไม่แปลกที่จะมีคนเข้าหาทุกครั้ง เขาชินกับตัวตนที่ได้รับความรักและความสนใจมาทั้งชีวิต

           จนกระทั่ง...ได้พบเจอกับคนหนึ่ง

           คนที่ไม่เคยเชื่อในโชคชะตาฟ้าลิขิตหรืออะไรก็ตามอย่างเขา แต่กลับตกอยู่ในห้วงภวังค์หลังจากเพียงสบตาใครคนนั้นเข้า

           ‘อย่างนี้ก็ชื่อเหมือนที่หนึ่งเลยดิ หัวหน้าห้องเราอะ’

           และใครคนนั้นชื่อว่า...เป็นที่หนึ่ง

           นับจากนั้นเขาก็เชื่อในเรื่องโชคชะตามาตลอด ความรู้สึกยามได้สบตากันในวันแรกไม่เคยจางหายไปจากจิตใจ มันส่งผลรุนแรงขึ้นทุกครั้งเมื่อมองหาอีกคน นิสัยเจ้าเล่ห์เจ้าแผนการถูกงัดขึ้นมาใช้จากที่เก็บซ่อนมันมาไว้ภายใต้จิตใจ เขาใช้ความพิเศษด้านหัวสมองของตัวเองจัดการเข้าไปอยู่ในสายตาของเป็นที่หนึ่งโดยไม่รอให้เจ้าตัวเอ่ยปากอนุญาต

           ความสัมพันธ์เริ่มต้นด้วยคำว่าคู่แข่งไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก แต่เขาก็หาทางอื่นไม่ได้แล้ว ยิ่งได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยสนใจใคร ปิดกั้นตัวชัดเจน หนทางที่จะก้าวเข้าหาก็เป็นทางอื่นไม่ได้เลย เขายอมแลกคำว่าคู่แข่ง เพื่อให้ได้เข้าใกล้คนตัวเล็ก แม้จะโดนสายตาไม่ชอบใจกลับมาทุกครั้งก็ตาม

           แต่เขาประมาทเป็นที่หนึ่งมากเกินไป คิดว่าการเข้าใกล้จะทำให้เจ้าตัวใจอ่อน ผลลัพธ์ดันออกมาตรงข้าม นอกจากคู่แข่งของเขาจะไม่สนใจใยดี ซ้ำยังตีตัวออกห่างมากขึ้น จนในที่สุดกลายเป็นช่องว่างระหว่างเขากับร่างเล็กที่ไม่ว่าจะใส่ความรู้สึกลงไปมากแค่ไหนก็เหมือนกับโยนมันลงหลุมดำขนาดใหญ่

           กลืนกิน..จนหายไป

           ตั้งแต่เกิดจนอายุสิบหกปี จากวันนั้นทำให้เขารู้ว่า..ไม่มีใครเกิดมาสมบูรณ์แบบจริงๆ

           ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้ ยอมถอยออกมา เว้นระยะห่างกับคนตัวเล็กไว้เช่นเคยและได้เพียงแอบมองอยู่ไกลๆเท่านั้น แต่สถานการณ์ที่ควรจะดีขึ้นก็ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นที่หนึ่งยังคงเส้นคงวา วางเขาไว้ในจำกัดความของคำว่าคู่แข่งมาตลอด

           เพราะเป็นฝ่ายเริ่มต้นจึงต้องเดินเกมต่อไปแล้วรับผลที่ตัวเองก่อไว้ สุดท้ายก็ขยับขึ้นมาตีตนเสมออีกคนได้ งานแข่งขันวิชาการกลายเป็นชนวนสงคราม การชิงชัยชนะคว้าอันดับหนึ่งกลายเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี แต่ใครจะรู้ว่ามีความรู้สึกบางอย่างค่อยๆก่อตัวขึ้นระหว่างคนทั้งสองคน

           ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่ห่างเหิน...ในใจของเขากลับสวนทาง ซ้ำยังฉุดรั้งไว้ไม่อยู่

           ความชอบที่ไต่ระดับเพิ่มมากขึ้นในทุกๆวัน ให้ตายก็ลบออกจากจิตใจไม่ได้เลยจริงๆ

           หากจะลองเสี่ยงดูอีกสักครั้ง...มันจะคุ้มค่าหรือเปล่า

           เขาได้แต่เฝ้าถามตัวเองเงียบๆ

 

 

           กึก

           คนสูงเพียงปลายจมูกชะงักไปเมื่อหันกลับมาเจอเขายืนขวางทางเดิน สถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกก่อตัวขึ้นอีกครั้ง พอเจ้าตัวเบี่ยงหลบไปอีกทาง เขาก็รีบเข้าไปขวางทันที

           ‘เอ่อ...’

           ‘...’

           ‘วันนี้..ซ้อมนะ ที่ห้องเดิม’

           ‘อื้อ’

           ‘...’

           ‘ขอทางหน่อยสิ’

           เขาหลีกทางให้อย่างง่ายดาย ลอบมองคนตัวเล็กเดินออกไปจนลับสายตา

           ..หรือจะไม่มีหวังแล้วจริงๆ

 

 

           เวลาล่วงเลยมาเป็นปี ก้าวเข้าสู่ระดับชั้นมัธยมปลายปีที่สอง ทุกอย่างยังเป็นเหมือนเดิมรวมถึงความรู้สึกที่           หยั่งรากลึกลงในจิตใจ

           เขาใช้เวลาคิดทบทวนทั้งปิดเทอมว่าควรไปต่อหรือหยุดเพียงแค่ตรงนี้ สุดท้ายก็ได้คำตอบที่ซื่อตรงต่อตัวเองออกมา

           ต่อให้ยอมโดนเกลียดก็ยังดีกว่าไม่มีอยู่ในความทรงจำ...

           แผนการฉบับที่สองจึงได้เริ่มต้นขึ้น ทำใจดีสู้เสือเสนอตัวไปเป็นตัวแทนห้องตั้งแต่วันแรกของเปิดเทอม หวังแค่เพียงได้ใกล้ชิดอีกสักหน่อย แต่ใครจะรู้ว่าตัวเองดันไปทำให้อีกคนชิงชังขึ้นอีกแล้ว

           ‘สรุปคือเฮดกีฬาสีเป็นเฟิร์ส มอห้าห้องสิบสอง’

           ยังจำแววตาหม่นแสงของคนตัวเล็กในวันนั้นได้อย่างขึ้นใจ

           เขาเข้าใจความรู้สึกของเป็นที่หนึ่งดี การถูกตีตัวขึ้นมาเสมอแล้วกลายเป็นถูกนำหน้าไปหนึ่งก้าวแทบทุกครั้ง เป็นใครก็ไม่พอใจ

           อยากทำแบบนั้นเสียที่ไหน...แต่สถานการณ์มันบีบบังคับให้ต้องทำ หากเขาไม่ดึงความสามารถตัวเองออกมาก็อย่าหวังเลยว่าจะได้เข้าไปอยู่ในสายตาของอีกคน

           เขาลอบมองอีกคน

           หยุดนึกคิดก่อนจะพูดออกไป

           หากเป็นที่หนึ่งปล่อยให้เขาก้าวนำไปหนึ่งก้าว...เขาก็จะเป็นฝ่ายลดลงมาอยู่ข้างๆเอง

           ‘เป็นเฮดเราอีกทีนะ’

           ‘…’

           ‘เราทำคนเดียวไม่ได้แน่ๆไม่มีที่หนึ่ง’

           ไม่เคยอยากให้เสียใจเลยจริงๆ

 

           โชคชะตาเข้าข้างเป็นอย่างดี

           พาคนตัวเล็กมาอยู่ในสถานที่เดียวกับเขาโดยไม่ต้องใช้ความจงใจ

           ตอนที่รู้ว่าที่นั่งข้างตัวเป็นที่หนึ่ง ใจเต้นแรงแทบคุมไม่อยู่ แต่ก็ต้องเก็บอาการไว้เพราะไม่อยากให้อีกคนกระอักกระอ่วนไปมากกว่านี้

           แต่สุดท้ายก็ฉุดรั้งตัวเองไม่ไหว จึงเอ่ยชวนอีกฝ่ายไปกินข้าว แน่นอนว่าคนตัวเล็กกว่าปฏิเสธทันที แต่เขาก็เตรียมหมัดฮุกสวนไว้เรียบร้อย

           ‘ไม่ชอบหน้าอะไรเราขนาดนั้น’

           ถามเองก็เจ็บเอง โชคดีที่คนตรงหน้าไม่ตอบออกมาตรงๆ ไม่งั้นคงทนรับไม่ไหว

           แล้วก็สมหวังเมื่อออกคำสั่งบังคับเป็นที่หนึ่งมาได้

           เป็นการกินข้าวที่อึมครึมที่สุดในชีวิต แต่ในใจของเขาลิงโลดยิ่งกว่าสิ่งใด ได้จ้องมองที่หนึ่งอยู่แบบนี้ ไม่กินข้าวเขาก็อิ่มอกอิ่มใจไปถึงวันพรุ่งนี้แล้ว

           โคตรดีใจเลย...

 

           คนตัวเล็กกำลังคุยกับใคร

           สมาธิในการซ้อมกระจัดกระเจิงหายไปภายในพริบตาเมื่อหันไปเห็นคนที่แอบชอบคุยกับรุ่นพี่ในชมรมของตัวเอง

           จากตรงนี้มองเห็นรอยยิ้มนั้นชัดเจน...รอยยิ้มที่ไม่มีวันมอบให้แก่เขา

           อยากทำเป็นเมินไปซะ แต่ทั้งคู่กลับหันมามองพอดีจึงเดินเข้าไปร่วมวงสนทนาให้มันรู้แล้วรู้รอด

           และก็กลายเป็นตัวเองมานึกเสียใจ

           ‘เออนี่ ไม่รู้จักกันเหรอ ก็นึกว่าอยู่ห้องเดียวกัน’

           ให้ตาย เขาเก็บซ่อนอารมณ์ของตัวเองไว้ไม่มิดจริงๆ

 

           น้องมอสี่ที่ลงแข่งฟิสิกส์ด้วยก็น่ารักอย่างที่คิด

           อัธยาศัยดี ยิ้มเก่ง ต่างจากคนตัวเล็กที่ยืนเงียบตั้งแต่เดินเข้ามา

           จะโกรธก็ไม่ใช่ จะน้อยใจก็ไม่เชิง เขาขอเวลาเยียวยาตัวเองสักพักก่อนกลับไปเดินกำลังต่อเท่านั้น

           จนกระทั่งพีชถามขึ้น เห็นสีหน้าลังเลของอีกฝ่าย ความรู้สึกน้อยใจก็ตีตื้นขึ้นมา จึงตั้งท่าจะปฏิเสธ แต่ทว่า...

           ‘อยู่ห้องเดียวกัน..’

           ‘…’

           ‘อยู่ห้องเดียวกันครับ’

           เพียงคำพูดเดียว...กลับหล่อเลี้ยงจิตใจเขาให้เบิกบานอีกครั้ง

 

 

           ร่างสูงไม่คิดไม่ฝันว่าตัวเองจะมีวันนี้

           เพราะมันเกินความคาดหมายไปมากโข..

           ภาพตอนที่เป็นที่หนึ่งทรุดลงกับพื้นทำเอาใจหายใจคว่ำ แต่คนตัวน้อยก็ยังไม่ละทิ้งทิฐิตัวเอง จนเขาทนไม่ได้ ขึ้นเสียงใส่เป็นครั้งแรกแม้จะรู้สึกผิดในใจก็ตาม

           เขาเป็นธุระให้ด้วยความเต็มใจ ถึงจะว่าอย่างนั้น...คนเจ้าเล่ห์ก็ยังเจ้าแผนการอยู่วันยังค่ำ

           ใช้โอกาสนี้หลอกล่อให้ลูกแมวเข้ามาอยู่ในกำมือ และได้ผลดีเสียด้วย

           แต่ยังไงถ้าย้อนเวลากลับไปได้

           เขาก็จะไม่บอกความจริงหรอก

           ว่าเขาน่ะ..ชอบขับรถตอนกลางคืนมากกว่าตอนกลางวันเสียอีก

 

 

           เหมือนโชคชะตาจะให้โอกาสเขามากเกินไป

           ทะเลาะกับเป็นที่หนึ่งอีกแล้ว..

           มันไม่ใช่การมีปากเสียง แต่สร้างบรรยากาศอึมครึมรอบตัวจนน่าอึดอัด

           คนตัวสูงโกรธที่อีกฝ่ายปฏิเสธน้ำใจทั้งทีเขาหวังดีมาโดยตลอด ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่รับสิ่งดีๆที่เขาหยิบยื่นให้บ้าง

           เกลียดกัน...มากขนาดนั้นเลยเหรอ

           เป็นที่หนึ่งกำลังจะร้องไห้ ทำไมเขาจะไม่รู้ ต้องห้ามตัวเองแทบตายที่จะไม่ตามเข้าไปปลอบ เพราะอยากให้อีกคนเข้าใจบ้างเหมือนกันว่าเขาต้องรู้สึกยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

           แต่เหมือนความคิดของพวกเขาทั้งสองคนสวนทางกัน..

           แน่นอนว่าเขาโกรธเป็นที่หนึ่งไม่ได้นาน อย่างไรก็ตามร่างสูงก็ต้องกลับไปเดินหน้าแผนที่ตัวเองวางไว้ จนลืมนึกไปว่า...ที่หนึ่งไม่ได้คิดแบบเดียวกัน

           เพราะคิดว่าเดี๋ยวคนตัวเล็กก็หาย กลับกลายเป็นว่าเขาเทเชื้อเพลิงราดสุมไฟให้โหมลุกมากยิ่งขึ้น เป็นที่หนึ่งเรียกเขาออกมาคุย แววตาเฉยชานั้นยังไม่เท่าคำพูดที่บีบหัวใจเขาให้เละไม่เป็นชิ้นดี

           ได้โดนเกลียดสมใจอยากแล้วสินะ...

 

 

           ไม่หลาบจำ

           สมองบอกว่าให้เลิกสนใจ แต่การกระทำกลับสวนกับความคิด

           นับตั้งแต่ทะเลาะกันในวันนั้น คนตัวเล็กก็ไม่เฉียดเข้าใกล้อีก ระยะห่างยิ่งกว้างมากขึ้นไปอีกเท่าตัว แต่ทุกครั้งที่เป็นที่หนึ่งเผลอ สายตาเขาก็มักจะไปวางที่อีกฝ่ายตลอดโดยไม่ให้เจ้าตัวรู้

           ขี้ขลาดเกินที่จะสบตาตรงๆ..

           อดเป็นห่วงไม่ได้ ลูกแมวต้องเจ็บคอแน่หลังกล่าวเปิดงานไปเสียยืดยาว ไหนจะต้องรับผิดชอบโครงงานของตัวเองอีก

           นั่นแหละ จิตใต้สำนึกของเขาเลยสั่งการให้ดูแล แม้ความรู้สึกกรุ่นๆในใจจะยังไม่จางหายไปก็ตาม

           จากที่ไม่ได้คุยกันมาเกือบเดือน พอได้มานั่งข้างๆก็ไม่รู้จะเปิดบทสนทนาเรื่องอะไร ดูเหมือนอีกคนก็ใช่ว่าอยากจะพูดด้วย จึงนั่งนิ่งๆปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมัน

           จนเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าสั่นขึ้น เป็นสายที่เขาฉงนในใจนิดหน่อย เพราะรุ่นน้องคนนี้ไม่เคยโทรเข้ามาก่อนสักที

           ‘ว่าไงพีช’

           คนตัวเล็กจะสงสัยหรือเปล่านะ

           หรือจะไม่สนใจเลย...

 

 

           เขาทนไม่ไหวแล้ว

           มันทิ้งระยะเวลานานมากเกินไป

           ปากบอกว่ายอมโดนเกลียด เอาเข้าจริงก็ทนไม่ได้

           ไม่ไหว...โดนเมินอีกต่อไปคงไม่ไหวแน่ๆ

           ก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงให้กลับไปคุยกันได้เหมือนเมื่อก่อน..

           ดีหน่อยที่เดินผ่านกันได้แล้ว ไม่ต้องเจ็บใจที่ต้องเห็นคนตัวเล็กเลี่ยงเดินหนีทุกครั้งที่เขาเดินเฉียดเข้าใกล้

           แต่จุดประสงค์ของเขาไม่ใช่แค่นี้ อย่างน้อยก็ควรได้คุยกันบ้างสักคำสองคำ ไม่ใช่ทำเมินเหมือนร่างสูงเป็นธาตุอากาศ

           เขานึกคิด ถอนหายใจ แม้สายตาจะจดจ้องไปที่จอโปรเจ็คเตอร์ก็ใช่ว่าสติจะจดจ่ออยู่กับเนื้อหาการเรียน

           พลันก็มีบางอย่างสะกิดให้หันไปมองทางริมหน้าต่าง

           ตอนนั้นเอง...เขาได้สบตากับเป็นที่หนึ่งครั้งแรกหลังจากที่ไม่มองหน้ากันมานับเดือน

           และหัวใจก็กลับมาเต้นแรงอีกครั้ง...

 

 

           ถ้าไม่ติดว่าเป็นเด็กมัธยมต้นเขาจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด

           คนตัวสูงทะนุถนอมมาโดยตลอด แม้จะแตะต้องตัวก็เขาก็ไม่กล้าทำ

           แล้วเด็กเปรตพวกนั้น...กล้าดียังไง

           ใจกระตุกวูบเมื่อเห็นลูกแมวล้มพับไปต่อหน้าต่อตา นึกคาดโทษตัวในใจว่าทำไมถึงไม่ดูแลให้ดีกว่านี้

           ทำไมถึงต้องเมิน ทำไมต้องปล่อยให้เวลายืดเยื้อ

           ทำไม..ปล่อยให้ทิฐิเข้ามาบังจนละเลยอีกฝ่ายไป

           ยิ่งเห็นร่องรอยบอบช้ำบนผิวกายก็แทบอยากจะชกหน้าตัวเอง ในวินาทีนั้นเขาคิดได้ทันทีว่าต่อให้โดนผลักไสมากกว่านี้ ทะเลาะกันไปมากกว่านี้ก็จะไม่มีวันล้มเลิกแผนการของตัวเองอีกเป็นอันขาด

           อยากปกป้อง อยากดูแล ถึงจะอยู่ในสถานะที่ไม่คู่ควร..ก็ไม่เป็นไร

           ราวกับคำอ้อนวอนสัมฤทธิ์ผล จิตใจแห้งเหี่ยวกลับมาพองโตอีกครั้ง

           เหมือนกำแพงตรงหน้าพังทลายลง

           ม่านหมอกที่บดบังจางหายไป

           เมื่อเป็นที่หนึ่งเอ่ยปากพูดประโยคที่ทำให้คลายความทุกข์ใจไปหมดสิ้น

           ‘เราไม่เคยเกลียดมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว’

           ในตอนนั้น

           เขาไม่เสียดายความพยายามของตัวเองเลย...

 

 

           เป็นที่หนึ่งน่ารัก

           น่ารัก...มากๆ

           ใครไม่รู้ เขาจะบอกให้รู้ไว้เลยตรงนี้

           ไม่ใช่แค่ใบหน้า ไม่ใช่แค่แววตา แต่รวมถึงนิสัยที่เจ้าตัวแสดงออกมาด้วย

           โลกของเขาสดใสไปหมดเมื่ออีกฝ่ายเปิดใจยอมให้เข้าใกล้ กลายเป็นคนหน้ามืดตามัวขึ้นมาทันที ยอมแพ้ทุกอย่างที่ขึ้นชื่อด้วยคำว่าเป็นที่หนึ่ง

           ยิ่งตอนคนตัวเล็กเขิน ใจเขาเหมือนจะคลั่งตายเสียให้ได้ คนอะไรใช้คำว่าน่ารักได้สิ้นเปลืองจนร่างสูงสะกดจิตสะกดใจไว้แทบไม่ไหว ต้องคอยหักห้ามตัวเองทุกครั้งไม่ให้ทำอะไรผลีผลาม ทำทุกอย่างแบบค่อยเป็นค่อยไป เขาไม่อยากให้ลูกแมวน้อยตกใจกลัว เพราะถ้าอีกฝ่ายหนีไปอีก เขาคงใจสลายแน่ๆ

           ‘เคยมีแฟนมาแล้วกี่คนเหรอ’

           ไม่คิดว่าจะถูกถาม แต่พอมาเข้าใจย้อนหลังว่าอีกคนกำลังค่อยๆเรียนรู้ตัวเขามากขึ้นก็ใส่คำตอบไปไม่ยั้ง บอกเล่าเรื่องราวของตัวเองให้ฟังจนหมดเปลือก และไม่ลืมหยอดนิดหยอดหน่อยให้คนตรงหน้าแก้มแดงอย่างที่เขาชอบเห็น

           โอ้ย น่ารักโว้ย!

 

 

           เช้าวันพุธตื่นขึ้นมาพร้อมกับคำว่าไม่สบาย

           สบถด่าตัวเองออกมาแรงๆสักที ร่างกายหนักอึ้งจนจะลุกจากเตียงไม่ไหว

           แต่พอนึกได้ว่าวันนี้ต้องไปเข้าค่าย หน้าของเป็นที่หนึ่งก็ลอยเข้ามา

           พลันดีดตัวเองลงจากที่นอนอย่างรวดเร็วราวกับลืมความเจ็บป่วยได้ไข้ไปหมดสิ้น

           จะล้มหมอนนอนเสื่ออย่างไรก็ช่าง เขาต้องไปให้ได้

           และตัวเองก็คิดไม่ผิด

           คนเจ้าแผนการใช้ความไม่สบายให้เป็นประโยชน์ แม้ใจจะกลัวว่าอีกฝ่ายจะติดไข้ แต่ในเมื่อเป็นที่หนึ่งเสนอ เขาก็สนองรับไม่รีรอ

           การได้จับมือนิ่มๆไปพร้อมกับเอนซบตลอดทาง ทำเอาคนป่วยไม่อยากหายเลย..

 

           ลูกแมวน้อยของเขาได้แผล

           โกรธจัด...อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

           ถ้าไม่ไว้หน้าครูหรือเป็นที่หนึ่งไม่ห้ามเขาไว้ สาบานว่าจะสวนหมัดไปไม่ยั้งแรงแน่ๆ ตัวเขาเองยังไม่เคยแม้แต่จะทำให้มีรอยขีดข่วน ทั้งไอ้เด็กพวกนั้นกับไอ้ห่าตรงหน้ามันกล้าดียังไงกัน..

           ได้แต่โทษตัวเองอีกครั้ง ถ้าห้ามไว้ตั้งแต่เนิ่นๆก็คงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้

           อารมณ์คุกรุ่นในใจยังคงชัดเจน เขาสาบานกับตัวเองอย่างแน่วแน่

           ‘จะไม่ปล่อยให้เจ็บตัวอีก’

 

           เพราะสถานะ ‘เพื่อน’ ยังค้ำคอไว้

           เขาทำอะไรมากไม่ได้

           จะแสดงออกชัดเจนมากกว่านี้..ก็ไม่ได้

           เขาจ้องมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่ตัวเองชอบมาได้เป็นปี ทบทวนเรื่องราวต่างๆนานาที่ผ่านพ้นมาได้ด้วยกัน

           สำหรับเป็นที่หนึ่ง..มันคงเหมือนเพิ่งเกิดขึ้น

           แต่กับคนตัวสูง ทุกอย่างมันก่อตัวมานานมากแล้วจริงๆ

           หากจะขยับความสัมพันธ์ขึ้นไปอีกขั้น..จะเป็นไปได้หรือเปล่า

           คำถามที่ตอบได้แค่คนตัวเล็กแต่เพียงผู้เดียว

           ‘เราชอบที่หนึ่ง’

           พูดออกไปแล้ว..ความรู้สึกที่เก็บมาตลอดหนึ่งปี

           คนตัวเล็กมองหน้าเขา

           ถ้าไม่คิดเข้าข้างตัวเอง สายตาของเป็นที่หนึ่งก็สะท้อนใบหน้าของร่างสูงเช่นเดียวกัน..

           เขายังมีโอกาสใช่หรือเปล่า

           ‘เป็นแฟนกันไหม...’

           หากแต่ได้รับเพียงความเงียบงันกลับมา..

           เขาเข้าใจ ไม่คิดจะเร่งรีบอยู่แล้ว แค่คนตัวเล็กรับความรู้สึกนี้ไว้ก็ดีมากโข จริงๆก็ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมาถึงจุดนี้เลยด้วยซ้ำ มันออกนอกแผนการที่วางไว้ไปไกลเกินคาดหมาย เขาจึงยินดี..และพร้อมรอ

           รอจนกว่าจะได้รับคำตอบ

           แม้จะ...ไม่รู้เลยก็ตาม

 

 

           คิดถึงเป็นที่หนึ่ง

           ใจจะขาดแล้ว...

           หนึ่งอาทิตย์มีเจ็ดวันเจอคนตัวเล็กไปแล้วหกวันเขายังรู้สึกว่ามันไม่พอ

           แล้วให้ไม่เจอหน้ากันตั้งสามวันเต็มๆเขาไม่ทรมานใจตายก่อนหรือยังไง

           เอนหัวพิงหน้าต่างรถ พรูลมหายใจออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนหลับตาหนีความเป็นจริงทุกอย่าง

           เสียงลั่นชัตเตอร์ดังเข้ามาแต่เขาไม่คิดจะสนใจ

           ในหัว...มีแต่เรื่องเป็นที่หนึ่ง

           ป่านนี้ลูกแมวกินข้าวแล้วหรือยังนะ

 

           เขาอยู่ซ้อมแข่งจนดึกดื่น ตั้งท่าจะโทรหาคนตัวเล็ก แล้วก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าคงรบกวนการพักผ่อนของอีกคน

ไว้พรุ่งนี้เช้าแล้วกัน..

           ทว่าแสงสว่างวาบบนหน้าจอพร้อมข้อความจากคนสำคัญเร่งให้เขาตอบกลับไปในทันที คนตัวสูงอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ ปกติแล้วถ้าไม่มีเรื่องจำเป็นหรือเรื่องด่วนอะไร เป็นที่หนึ่งจะไม่ทักมาดึกขนาดนี้

           เกิดอะไรขึ้น?

           ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ จัดการโทรหาอย่างรวดเร็ว ไม่นานปลายสายก็รับ อาการอ้ำๆอึ้งๆของคนตัวเล็กยิ่งทำให้ขมวดคิ้วมุ่นเข้าไปใหญ่ แต่ก็ไม่ได้เค้นคำตอบอะไร

           หรือว่า..

           กดเข้าแอพที่เล่นเป็นประจำและเจอกับภาพที่แท็กมาล่าสุด

           ถ้าไม่คิดไปเอง..ก็เพราะรูปนี้สินะ

           ควรจะโกรธพีชที่ทำให้ลูกแมวของเขาเข้าใจผิดหรือควรดีใจที่เป็นที่หนึ่ง...หึง

           เขาจัดการทำสิ่งที่คนอื่นไม่คาดคิด

           อินสตาแกรมที่เคยมีแต่รูปต้นไม้ใบหญ้าและท้องฟ้าสีคราม

           ตอนนี้มีรูปของคนน่ารักของเขาแล้ว

           ‘คิดถึง ;)

           หวังว่าจะไม่โดนลูกแมวข่วนเอาหรอกนะที่แอบลงแบบนี้..

 

 

           ความรู้สึกที่โดนเป็นห่วงจากคนที่ตัวเองชอบแทบจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เลย

           ยิ่งอีกฝ่ายเป็นคนทำแผลให้ก็ปิดอาการดีใจไม่ไหว

           ย้ำอีกที เป็นที่หนึ่งโคตรน่ารัก!

           แอบแทะเล็มไปเล็กน้อยให้พยาบาลจำเป็นอายม้วน และในตอนนั้นเองพีชก็เดินเข้ามา

           ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ารุ่นน้องคนนี้คิดอะไร เป็นที่หนึ่งตั้งท่าจะลุกแต่เขาก็ฉุดแขนให้นั่งอยู่กับที่ ใจจริงก็ไม่อยากทำร้ายความรู้สึกดีๆที่รุ่นน้องมีให้ แต่ในเมื่อใจเขาเลือกคนตัวเล็กไปแล้ว การให้ความหวังยิ่งมีจะแต่จะทำให้เลวร้ายไปมากกว่าเดิม

           เขาซื่อสัตย์กับตัวเอง

           ซื่อสัตย์กับเป็นที่หนึ่ง..

 

 

           เขาใจไม่ดีเลย

           เรื่องราวในครอบครัวของเป็นที่หนึ่งใช่ว่าเขาจะไม่รู้

           ผลพวงจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวทำให้เป็นที่หนึ่งปิดกั้นตัวเองจากทุกคน เขาเพิ่งได้รับรู้เมื่อสัมผัสตัวตนที่แท้จริงของเป็นที่หนึ่ง

           ในส่วนลึก..ที่มีแต่ความเหงาและเคว้งคว้าง

           คนที่ได้รับความสนใจมาโดยตลอดอย่างเขาแม้จะไม่สามารถเข้าใจมันได้อย่างลึกซึ้ง แต่สิ่งที่มั่นใจว่าจะทำได้คือการมอบความหวังดี ความห่วงใยทดแทนหลุมลึกในจิตใจของเป็นที่หนึ่งให้เต็มอีกครั้ง

           จะไม่ทำหน้าที่แค่เป็นคนนั่งข้างๆ เขาจะดูแล เยียวยาทุกอย่างให้คนตัวเล็กวางใจที่จะอยู่ตรงนี้

           และ...

           ‘ขอบคุณที่ทำให้เราชอบใครสักคนได้มากขนาดนี้’

           เขารักเป็นที่หนึ่งมากจริงๆ

 

 

 

ออฟไลน์ miralchs

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
(ต่อ)


          รอบข้างราวกับมีสีชมพูเต็มไปหมด

           เคยคิดว่าตัวเองคงมีความสุขไปไม่ได้มากกว่านี้ พอได้เจอเป็นที่หนึ่งก็รู้ว่าตัวเองคิดผิดมหันต์

           ความสุขที่ท้วมท้นจิตใจ...ต่อให้เอาจักรวาลมาแลกเขาก็ไม่ยอม

           แค่ได้เห็นรอยยิ้มของเป็นที่หนึ่งก็มีกำลังใจในการใช้ชีวิตทุกวัน

           เขาทั้งรักทั้งหลงจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว

 

           คนตัวเล็กจะหาว่าเขาเจ้าเล่ห์ไปแล้วกี่คำกันนะ

           การได้หยอกได้แกล้งที่หนึ่งเป็นสิ่งที่เขาชอบมากที่สุดเลย

           ยิ่งได้เห็นแก้มแดงๆ ตาเรียวเล็กมองค้อนกลับมา ก็อยากดึงมาฟัดให้สมใจอยาก

           น่ารักเป็นบ้า!

           ไม่เคยมีปีใหม่ไหนพิเศษเท่าปีนี้มาก่อน ตั้งแต่คนตัวเล็กตอบตกลง ในใจก็กู่ร้องออกมาด้วยความดีใจ

           แม้จะไม่ได้ทำอะไรเกินเลย แค่ได้อยู่ใกล้ๆกันเขาก็มีความสุขมากแล้ว

           แต่ถ้าถึงเวลาเมื่อไหร่..หมาป่าอย่างเขาจะทบต้นทบดอกให้คุ้มเลยคอยดู

 

           เขาจูบเป็นที่หนึ่ง

           ริมฝีปากนุ่มนิ่มทำเอาใจคนสัมผัสแทบคลั่ง..

           ต้องควบคุมตัวเองไม่ให้บดขยี้ลงไปตามใจอยาก จิตสำนึกยังร้องเตือนให้เขาค่อยๆประทับลงไปอย่างอ้อยอิ่ง

           ลูกแมวน้อยตัวสั่น เรียกให้เขาต้องโอบประคองไว้ กลัวอีกฝ่ายจะล้มพับไปเสียก่อน

           เวลาผ่านไปนานชั่วกัปชั่วกัลป์ คนตัวสูงถึงได้ถอนจุมพิตออกมามองหน้าคนรัก

           ณ วินาทีนั้นทำให้เขารู้ว่า

           ถ้าถึงวันที่เขาห้ามตัวเองไว้ไม่ไหว..

           เป็นที่หนึ่งไม่รอดแน่ๆ

 

 

           หากโชคชะตาจะกลั่นแกล้งเขาสักหน่อย

           ก็ไม่น่าจะเล่นแรงขนาดนี้

           เขาทำอะไรไม่ถูก เหมือนค้อนปอนด์หนักๆทุบลงกลางหัว

           คิดว่ารู้จักอีกฝ่ายดีมากพอแล้ว...แต่มันไม่ใช่

           ‘เรื่องนั้น...ยังเหมือนเดิมหรือเปล่า’

           ‘...’

           ‘ที่จะสอบชิงทุนไปต่างประเทศน่ะ’

           เป็นความผิดเขาที่ดันเข้ามาได้ยินจากปากของคนอื่น

           หรือเป็นความผิดของคนตัวเล็กที่ไม่เคยบอกอะไรเลย..

           ทั้งโกรธ เสียใจ น้อยใจ

           ความรู้สึกผสมปนเปกันไปหมดจนไม่อยากมองหน้าคนรัก

           ไม่อยากพลั้งพลาดทำอะไรออกไปด้วยอารมณ์แบบนี้...

           เขารอคำอธิบายจากอีกฝ่ายด้วยความเงียบงัน

           แม้จะรู้ว่าความเป็นจริงทำให้เจ็บเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน เขาก็อยากฟังชัดๆจากคนของเขา

           คนตัวสูงพร้อมให้โอกาส เพียงแค่..พูดออกมา

           จนกระทั่งเป็นที่หนึ่งร้องไห้..

           ในตอนนั้นเขาก็ไม่ลังเลที่จะกลับหลังหันไปดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดทันที

           ใจร้าวรานจนแทบแตกเป็นเสี่ยงๆเมื่อได้ยินเสียงสะอื้น เขายอมแพ้ ยอมแพ้ทุกอย่าง..แค่เป็นที่หนึ่งไม่ร้องไห้ ใบหน้านวลเต็มไปด้วยคราบน้ำตาทำเอาคนมองใจกระตุกด้วยความเจ็บปวด

           สาบานไว้ว่าจะดูแล จะทะนุถนอม จะไม่ทำให้ทุกข์ใจ

           แต่เป็นตัวเขาเองที่ทำให้คนตัวเล็กร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นท่า

           ‘ชู่ว ไม่เอาไม่ร้อง’

           ได้โปรดคนดี แค่นี้เขาก็ใจจะขาดแล้ว..

 

 

           ความรักทำให้เราเห็นแก่ตัว

           เขารู้แต่เขาก็ยังทำ..

           ต่างพากันเมินเฉยเรื่องราวนั้นเสมือนกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น

           ทำตัวปกติทั้งที่ใจ..ไม่ปกติ

           อย่างน้อยก็ขอยืดเวลาไว้สักหน่อยให้ได้เก็บเกี่ยวช่วงเวลาแห่งความสุขมากกว่านี้ ก่อนที่ความเป็นจริงจะมาถึง เขาก็อยากฉุดรั้งเป็นที่หนึ่งไว้ใกล้ตัว อยากพันธนาการร่างเล็กให้อยู่ในสายตา

           แต่ทำไม่ได้

           แค่เห็นแววตาเศร้าหมองเต็มไปด้วยความสับสน อาการเหม่อลอยมีเพิ่มมากขึ้น

           รวมถึงหยดน้ำตา...ที่เขาไม่อาจทนเห็นมัน

           ภายในไม่กี่เดือน เป็นที่หนึ่งร้องไห้ไปไม่ต่ำกว่าสามครั้ง แม้เจ้าตัวจะไม่บอก แต่คนที่มองอยู่ตรงนี้มาเสมอทำไมเขาจะไม่รู้ คนตัวเล็กทำอะไร รู้สึกแบบไหน ทุกอย่างแทบจะไม่เคยหลุดรอดจากเขา

           เพราะรู้ว่าที่หนึ่งจะไม่มีวันตัดสินใจเอง ถ้ายังมีเขาอยู่แบบนี้

           เฝ้าถามตัวเองอีกครั้ง ถ้าเป็นที่หนึ่งไม่มีความสุข เขาจะรั้งไว้เพื่ออะไร

           หากต้องเจ็บเองก็ยังดีกว่ารักษารอยยิ้มนั้นไว้ไม่ได้

           เพราะรู้สึก..ถึงได้ปล่อยไป

           เพราะรักมาก..ถึงได้เอ่ยประโยคนั้น

           ‘ไปสอบเถอะนะ..’

           พูดออกมาทั้งที่ใจสลายไปแล้ว..

 

 

           ไม่มีทางที่คนอย่างเป็นที่หนึ่งจะสอบไม่ติด

           เป็นการแสดงความยินดีทั้งในใจขมขื่นเกินฝืนทน

           เงยหน้าขึ้นมองฟ้า นึกโทษโชคชะตาที่มอบความสุขระยะสั้นราวกับหลอกลวงให้ตายใจ

           เป็นที่หนึ่งอยู่ไม่ได้..แล้วคิดหรือว่าเขาจะอยู่ได้

           หากแต่ภาระที่แบกรับ ความฝันที่ไม่อาจละทิ้งได้ง่ายดาย เขาจำเป็นต้องอยู่ ถึงอยากจะตามไปมากแค่ไหนก็ต้องอดกลั้นไว้

           จะทำตามใจตัวเองเกินไปไม่ได้

           การไปเรียนต่อต่างประเทศไม่ใช่เรื่องที่ตัดสินใจได้ปุบปับ อย่างน้อยก็ต้องวางแผนมาล่วงหน้า สำหรับคนตัวสูงที่วางทางเดินให้อนาคตแล้วยิ่งยากที่จะตาม

           อีกอย่างคือเขาไม่อยากแข่งกับเป็นที่หนึ่งอีกแล้ว

           ไม่อยากกลับไปในจุดนั้นเลยสักนิดเดียว

           เขาก้มมองช่อดอกสแตติสในมือ

           เพราะคำว่ารักไม่สามารถสั่งทุกอย่างได้ดั่งใจ

           แต่ประโยคนี้..ใช้ไม่ได้กับคนอย่างเฟิร์ส

           เพราะเขาจะทำ

           หลังสืบเสาะหาข้อมูลเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยที่เป็นที่หนึ่งจะไปเรียนต่อ เขาก็แอบจัดการเอกสารไว้เงียบๆ

           อาจจะไม่ใช่ตามไปโดยทันที

           แต่เขาไม่รอจนเป็นที่หนึ่งเรียนจบหรอก

           ไม่มีทาง..

           กว่าจะคว้าใจอีกคนมาได้ยากเย็นแค่ไหนคนตัวสูงก็อยากบอกให้รู้ ดังนั้นอย่าหวังเลยว่าเขาจะยอมง่ายๆ

           เป็นที่หนึ่งจะไปก็จะปล่อยให้ไป

           เพราะเขาจะเป็นฝ่ายตามเอง

 

 

           วันนั้นใกล้เข้ามาเต็มที

           ขอเห็นแก่ตัวอีกสักหน่อยก่อนที่จะได้ห่างกันไปไกล อยากใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มค่า เป็นที่หนึ่งเสนอตัวมาค้างหอเขาอีกครั้ง แน่นอนว่าคนตัวสูงตอบรับแบบไม่คิด อย่างน้อยได้นอนกอดอีกสักครั้งก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว

           แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น...

           อาจเป็นเพราะบรรยากาศ อารมณ์พาไป..หรือเพราะจิตใต้สำนึกความต้องการของเขา

           ‘ถ้ามันเกิดขึ้น..ที่หนึ่งจะเสียใจหรือเปล่า’

           ‘...’

           ‘...’

           ‘เป็นเฟิร์ส..เราไม่เคยเสียใจ’

           เขายอมมอบทั้งตัวและหัวใจไว้ที่เป็นที่หนึ่งแล้วจริงๆ

           ก้มลงจูบข้างขมับด้วยความทะนุถนอม หยัดร่างตัวเองเข้าไปอย่างเชื่องช้า ความสุขโอบล้อมร่างเขาและคนตัวเล็กจนเอ่อล้น

           ‘ฮ...อะ’

           ‘ชู่ว ที่รัก อย่าเกร็ง’

           เขากวาดสายตามองเรือนร่างของคนตัวเล็กด้วยความรักใคร พรมจูบไปทั่วลาดไหล่เนียน ไม่กล้าแม้แต่จะทำรุนแรงราวกับอีกฝ่ายบุบแตกสลาบไปได้ง่าย

           ทุกอย่างเป็นไปอย่างเนิบนาบทว่าตราตรึงในหัวใจ

           ‘รัก...รักมากที่สุด’

           คืนนั้น...เป็นที่หนึ่งเป็นของเขาโดยสมบูรณ์

           ราวกับพันธะหัวใจที่ผูกมัดทั้งสองไว้แก่กัน..

 

 

           ไปแล้ว..

           มองเครื่องบินหายไปในกลุ่มเมฆจนลับสายตา ความรู้สึกประเดประดังแต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด

           จากนี้..อีกกี่วัน กี่เดือนหรือกี่ปี..

           เขาไม่เคยกลัวเรื่องระยะทาง แต่กลัวว่าวันเวลาจะทำให้ความรู้สึกแปรเปลี่ยนไป

           ถึงอย่างนั้นก็ยังเชื่อมั่นในคนตัวเล็ก

           เชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่เปลี่ยนใจ

           ‘รอ..รอเฟิร์สก่อนนะ’

           ไม่เป็นแค่เพียงคำพูด แต่เป็นคำสัญญาที่ให้แก่เป็นที่หนึ่ง

           เขาสอบได้ในคณะตามที่ตัวเองตั้งใจท่ามกลางความยินดีของพ่อแม่และญาติพี่น้อง แผนการลับยังถูกจัดการแบบเงียบๆไม่ให้ใครรู้ เพราะหากเรื่องนี้ถึงหูคนเป็นพ่อเป็นแม่มีหวังได้ถูกล้มเลิกแน่ๆ

           ชีวิตนักศึกษาของคนตัวสูงได้เริ่มต้นขึ้น หากแต่ใจไม่ได้อยู่เนื้อกับตัว พะวงถึงคนทางนั้นทุกวินาที

           ทั้งเป็นห่วงทั้งคิดถึง

           อยากกอดอยากหอมให้สมใจนึก..แม้จะทำได้แค่คิด

           ความแปลกใหม่ในชีวิตไม่ได้ทำให้เขาตื่นเต้น เพื่อนใหม่มากมายหลายตาจากสังคมที่แตกต่างกันยิ่งทำให้หวนคิดถึงเรื่องราวในชีวิตมัธยม เขายังใช้ชีวิตธรรมดา ไม่แสดงตัวตนให้เป็นจุดสนใจมากนัก

           เพราะคนที่เขาอยากให้สนใจ..ไม่ได้อยู่ที่นี่

           ถึงจะเป็นเช่นนั้น คนที่ถูกเปรียบเปรยได้ดั่งโลกเช่นเขาย่อมมีบริวารหรือดวงดาวรายล้อม เรื่องผู้หญิงมีเข้ามาบ้างประปรายแต่เขาก็ปฏิเสธไปอย่างนุ่มนวล

           ถูกปรามาสว่าไร้น้ำยา..ก็แล้วไง

           มีแฟนน่ารักอยู่แล้ว จะให้หันไปมองใครอีก

           คนตัวสูงจัดการเรื่องต่างๆด้วยตัวเอง เรียนได้เพียงเทอมเดียวเขาก็ปรึกษากับอาจารย์ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องย้ายมหาวิทยาลัย มันยุ่งยากและวุ่นวายจนหัวหมุนไปหมด ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะโอนย้ายหน่วยกิตเทียบจากมหาวิทยาลัยไทยไปต่างประเทศ แต่เขาก็ทำมันสำเร็จ

           มัดมือชกพ่อแม่เรียบร้อย ท่านออกปากตำหนินิดหน่อยที่ทำอะไรไม่บอกไม่กล่าว เขายิ้มรับคำดุด่าแต่โดยดีพร้อมกระซิบบอกว่าจะไปตามลูกสะใภ้กลับมาให้

           พวกท่านต้องตกหลุมรักเป็นที่หนึ่งเหมือนเขาแน่นอน..

 

 

           การรอคอยที่แสนยาวนานได้สิ้นสุดลง

           ชั่ววินาทีที่ได้สบตาราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน..เหมือนกับวันแรกที่ได้เจอกัน

           ความรู้สึกรักที่หยั่งรากลึก จนวันนี้งอกเงยสะพรั่ง ออกดอกออกผลให้จิตใจกลับมาเต้นระรัวอีกครั้ง

           ช่วงเวลาที่ได้อดทนรอมันคุ้มค่าเหลือเกิน..เมื่อปลายทางของเขาคือเป็นที่หนึ่ง

           ไม่เคยนึกเสียใจกับทุกอย่างที่ตัวเองได้ทำ ได้พยายามมาตลอด

           เพราะสิ่งที่ได้รับกลับมามีความหมายยิ่งกว่าอะไรบนโลกทั้งใบของเขา..

 

           เป็นที่หนึ่งจะรู้หรือเปล่าว่า

           ท่ามกลางโลกที่รายล้อมไปด้วยหมู่ดาวนับพัน

           เขาก็ยังมองเห็นดาวศุกร์เป็นอันดับแรกอยู่เสมอ

 

 

แด่ความรักครั้งสุดท้าย...และรักตลอดไป





never end.


_____________________________________



จบแล้วค่ะ นิยายเรื่องแรกในชีวิตของเรา
มีหลายเรื่องอยากจะทอล์กมาก แต่พอเอาเข้าจริง จะพูดให้รู้เรื่องหรือเปล่าไม่รู้ 555
มันโหวงแปลกๆ แค่คิดว่าจะไม่ได้มาอัพเป็นที่หนึ่งอีกก็รู้สึกไม่ชินแล้วค่ะ ฮ่าๆ
เราเปิดเรื่องนี้วันที่ 10 มีนาคม จำได้ว่าวันนั้นไม่ได้นอน ครึ้มอกครึ้มใจมีฟีลอยากลองแต่งดู
แล้วไหลไปไกลมาก รู้ตัวอีกทีคือวาร์ปไปตอนที่ 3 กับเวลาเกือบๆเจ็ดโมงเช้า 5555
ก็เลยเอาวะ ลองลงเด็กดีดู ลงเล้าเป็ดดู อยากรู้เหมือนกันว่าจะแต่งไปได้ไกลแค่ไหน
สารภาพว่าตอนแรกเราไม่มีโครงเรื่องในหัวชัดเจนเลยค่ะ เรามีแค่ความรู้สึกของเป็นที่หนึ่งอย่างเดียวเลย
พอมีนักอ่านให้ความสนใจมากขึ้น เราก็ชิ-บหายแล้ว เพราะไม่มีพล็อตจริงจังในหัว 5555555
หลังวันนั้นเราก็หลบไปนั่งเขียนพล็อตค่ะ เราเชื่อว่าการจะสร้างตัวละครให้น่าสนใจต้องสร้างให้เขามีมิติและรู้สึกร่วมไปด้วยได้
ซึ่งเป็นที่หนึ่งสามารถตอบโจทย์เราได้ทุกอย่าง
ทั้งครอบครัว มิตรภาพและคนรัก เราอยากสื่อให้ครบจึงวางแกนตรงกลางไว้เป็นที่หนึ่งและหนักไปทางเฟิร์ส
จริงๆก็อยากให้เป็นฟีลกู้ดแต่พอเรามองเป็นที่หนึ่งใหม่อีกครั้่ง มองภาพรวมของเรื่องใหม่อีกครั้ง
เราอาจจะนิยามว่าเป็นฟีลกู้ดก็ได้ แต่สำหรับนักเขียนมองว่าโทนเรื่องนี้ใกล้เคียงกับคำว่าอบอุ่นมากกว่าค่ะ
ตอนแรกเรามองเป็นสีฟ้า ฟุ้งๆครามๆ เอาไปเอามาสิ่งชัดเจนในหัวเราดันเป็นแสงแดดจางๆซะได้ ฮ่าๆ
ขอบคุณอีกครั้งนะคะ
ทุกคนเป็นกำลังใจที่ดีให้กับเรา รวมถึงเป็นที่หนึ่งและเฟิร์ส
ดีใจที่ได้รู้จักคุณนักอ่านทุกคนผ่านตัวหนังสือ
ดีใจที่ทำให้นิยายเรื่องนี้ไปอยู่ในความทรงจำของคุณ
ขอบคุณมากจริงๆค่ะ

#เป็นที่หนึ่ง

 
ช่องทางติดต่อ
twitter : mirallxx
page : mirall

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
«ตอบ #85 เมื่อ19-05-2018 19:01:27 »

นับถือใจในความพยายามของเฟิร์สเลย

ออฟไลน์ pamhicc

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
«ตอบ #86 เมื่อ21-05-2018 22:35:16 »

เฟิร์สเป็นพระเอกที่แสนดีมากกกกกกกก เป็นหนึ่งโชคดีจริงๆ
 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
«ตอบ #87 เมื่อ22-05-2018 13:10:10 »

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆจ้า

 :L2: :pig4: :L2: :pig4: :L2: :pig4:

ออฟไลน์ phoenixa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 569
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1
Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
«ตอบ #88 เมื่อ22-05-2018 21:15:44 »

ได้อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ
ชอบที่หนึ่งมาก ชอบเฟิร์สด้วย
ได้อ่านคนเก่งที่มีความพยายามแบบนี้แล้วเข้าใจเลยว่าทำไมเราโง่จัง 555

ชอบความสัมพันธ์และความผูกพันของเพื่อนผอง
อ่านแล้วคิดถึงเพื่อนมัธยม ก็ผ่านกิจกรรมอะไรมากมายมาด้วยกันแบบนี้แหละ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ นะคะ
รอติดตามผลงานเรื่องต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: F i r s t | 1st ♥ เป็นที่หนึ่ง [epilogue] , 190518
«ตอบ #89 เมื่อ23-05-2018 00:44:37 »

ที่หนึ่งจะรู้ไหมว่าเฟิร์สพยามยามมากขนาดไหน :hao5:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด