ตอนที่ 41
หลุมพราง…
“เป็นไงบ้างพี่ ใน SD การ์ดมีอะไรเหรอ”
คุณอวกาศเดินเข้าไปถามคุณจักรวาลที่เอา SD การ์ดออกมาตรวจสอบข้อมูลดูว่ามีอะไรอยู่บ้าง เมื่อวานมัวแต่วุ่นวายเรื่องส่วนตัวกันเลยลืมตรวจสอบไปเสียสนิท เมื่อเช้าพอตื่นมาคุณจักรวาลเลยรีบเอามาตรวจสอบที่ห้องรับแขก
“เยอะเลยล่ะ คิดไม่ถึงว่ามารีอาจะหาข้อมูลพวกนี้มาได้”
“มีข้อมูลอะไรอยู่บ้างเหรอครับ”
ผมถามด้วยความอยากรู้ ตอนนี้ต่อให้อยากรู้ว่าอาจารย์มารีอาใช้วิธีอะไรในการหาข้อมูลพวกนี้แค่ไหนก็คงไม่มีทางได้รู้ เพราะคนที่จะตอบเธอไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว…
“บันทึกการปลอมแปลงบัญชีของบริษัทตลอดสิบแปดปี หลักฐานการฟอกเงินโดยเอาเงินทีได้ไปแลกเปลี่ยนเป็นทองคำกับพวกรถยนต์นำเข้าหรูๆ รวมถึง…บ่อนการพนัน”
“บ่อน? พวกนั้นเปิดบ่อนการด้วยเหรอครับ?”
“ไม่แน่ใจว่าเป็นบ่อนเล็กหรือว่าใหญ่ แต่คงไม่ใช่แบบถูกกฎหมายแน่ๆ เพราการสร้างบ่อนถูกกฏหมายจำเป็นต้องยื่นเรื่องขอสัมปทานคาสิโนเสียก่อน และต้องใช้เงินอย่างมหาศาลเลยล่ะ ลำพังแค่ยักยอกเอาไปคงพอแค่ยื่นเรื่องขอสัมปทานเท่านั้น แต่คงไม่มีเงินเหลือไปสร้างหรือว่าปรังปรุงคาสิโนอะไร”
“เข้าใจละ ถ้าเราตรวจสอบจนรู้ได้ว่าใครคือคนที่ได้เงินไปจากการยักยอกและฟอกเงิน รวมถึงใครเป็นเจ้าของบ่อน ก็จะจัดการตัวพ่อได้ใช่ไหมพี่”
คุณจักรวาลพยักหน้ารับแนวคิดของคุณอวกาศ ตัวพ่องั้นเหรอ… จะว่าไป…
“ในจดหมายของอาจารย์ที่เขียนถึงผม เหมือนเธอต้องการให้ผมช่วยคุณกวินทร์จากการเป็นหุ่นเชิดของพ่อเขานะครับ ผมอยากรู้ว่า…พ่อของคุณกวินทร์เป็นใคร และเป็นคนยังไง พอจะมีข้อมูลไหมครับ”
“ในระบบของบริษัทมีข้อมูลทุกอย่างนะ แต่มันก็ไม่มีอะไรนอกจากประวัติส่วนตัวทั่วไปและความสามารถพิเศษ อีกอย่าง…พ่อของหมอนั่นน่ะ…”
คุณจักรวาลเงียบไป ผมกับคุณอวกาศมองหน้ากันด้วยความรู้สึกไม่ค่อยดีนัก จะต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่ๆ
“คุณอาไกรศรประสบอุบัติเหตุจนเดินไม่ได้มาสิบแปดปีแล้ว ช่วงก่อนจะเกิดเรื่องกับครอบครัวของพวกเราได้ไม่กี่เดือนหรอก”
“จริงเหรอพี่! ทำไมผมไม่เคยรู้เลยล่ะ!”
“เพราะหลังจากเกิดเรื่องระหว่างเรากับเขาก็เป็นศัตรูกันอย่างเปิดเผยมากขึ้นเพียงแต่ไม่แสดงออกให้คนนอกรับรู้เท่านั้นเอง คุณพ่อเลยไม่อยากให้นายรับรู้อะไรทั้งนั้น”
สิบแปดปี…เดินไม่ได้ถึงสิบแปดปี แถมยังเป็นช่วงก่อนจะเกิดเรื่องกับครอบครัวของผมในตอนนั้นอีก แปลว่าคือช่วงเวลาแค่ไม่กี่เดือนก่อนที่คุณกวินทร์จะเปลี่ยนไปและกลายเป็นหุ่นเชิดให้พ่อของเขามาตลอดสินะ?!
เดี๋ยวก่อน อาจารย์มารีอาเคยเขียนไว้ในจดหมายเกี่ยวกับผู้อยู่เบื้องหลังตัวจริงว่าคือพ่อของคุณกวินทร์ นั่นอาจจะเพราะคนที่สั่งการให้ทำทุกอย่างจริงๆคือพ่อของเขาแต่คุณกวินทร์คอยออกหน้าแทน ประมาณว่าพ่อคือที่ปรึกษาในการทำเรื่องเลวร้ายทั้งหมดหรือเปล่า? ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงมันก็ไม่น่าจะใช่เรื่องแปลกอะไร ในเมื่อความแค้นครั้งนี้จุดเริ่มต้นคือสองพ่อลูกนั่นเริ่มลงมือก่อน แล้วทำไมอาจารย์ถึงต้องใช้คำว่าผู้อยู่เบื้องหลังตัวจริงล่ะ?
“ไทม์…คิดอะไรออกงั้นเหรอ”
ผมเงยหน้ามองคุณจักรวาลที่ส่งเสียงเรียก มีบางอย่างแปลกๆแฮะ การแก้แค้นอสังหาไม่ได้ดูเหมือนเป็นการอยากแก้แค้นของคนเป็นพ่อเพียงคนเดียว แต่ตัวคุณกวินทร์เองก็ดูเต็มใจและอยากที่จะแก้แค้นเหมือนกัน
มันอะไรกันแน่นะ เหตุผลที่ทำไมอาจารย์ถึงบอกว่าพ่อของคุณกวินทร์คือผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมด และคุณกวินทร์เป็นเพียงหุ่นเชิด!
“อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับพ่อของคุณกวินทร์…คืออะไรเหรอครับ”
“รถคว่ำ ตอนนั้นคุณพ่อเองก็รีบไปที่โรงพยาบาลเหมือนกัน มีอะไรหรือเปล่า”
“สาเหตุที่รถคว่ำล่ะครับ”
“เกิดจากความประมาทน่ะ ดูเหมือนจะมีการเบรกกะทันหันทำให้รถคว่ำ คุณอาไกรศรเป็นคนขับรถไม่เก่งอยู่แล้ว แต่วันนั้นรู้สึกว่าจะขับรถเอง ไม่ได้ให้คนขับรถขับให้เหมือนทุกครั้ง”
ผมคิดภาพในวันเกิดอุบัติเหตุครั้งนั้นตามที่คุณจักรวาลเล่า แต่มันยังมีบางอย่างคาใจ อะไรบางอย่างติดอยู่ในหัวของผม!
“เรื่องสาเหตุของอุบัติเหตุ คนที่ยืนยันคือใครเหรอครับ”
“จากพวกตำรวจแล้วก็ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานในที่เกิดเหตุ มีเอกสารยืนยันให้คุณพ่อดูตอนที่คุณพ่อไปสถานีตำรวจเพื่อตามเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น”
“มีอะไรหรือเปล่าไทม์ นายสงสัยอะไรเหรอ”
“ครับ มีบางอย่างที่ผมสงสัย”
ตอบคำถามคุณอวกาศก่อนจะเรียบเรียงเรื่องราวทุกอย่างในหัวใหม่อีกครั้ง หุ่นเชิด…ทำไมอาจารย์มารีอาถึงบอกว่าคุณกวินทร์เป็นเพียงหุ่นเชิด…
“วันที่ไปสถานีตำรวจ มีใครไปบ้างเหรอครับ”
“มีฉันกับคุณพ่อแค่สองคน ตอนนั้นคุณอายังอยู่ที่โรงพยาบาล ส่วนกวินทร์ก็เฝ้าคุณอาตลอดไม่ไปไหน คุณพ่อเลยอาสาตามเรื่องให้เอง ตกลงนายคิดอะไรอยู่กันแน่”
อย่างนี้นี่เอง เท่ากับว่าคนที่เห็นเอกสารยืนยันการเกิดอุบัติเหตุของคุณไกรศรในวันนั้นมีเพียงคุณพ่อกับคุณจักรวาลเท่านั้น
เข้าใจล่ะ… แบบนี้เองสินะ เพราะงั้นอาจารย์มารีอาถึงได้ใช้คำว่าหุ่นเชิดกับคุณกวินทร์ ถ้าทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ผมคิด ก็จะลงล็อกพอดีว่าทำไมหลังจากนั้นคุณกวินทร์ถึงเปลี่ยนไป และเข้าพวกกับพ่อของตัวเองเพื่อแก้แค้นอสังหา!
“คุณจักรวาล คุณอวกาศ ผมมีเรื่องจะขอให้ช่วยครับ”
ผมมองหน้าทั้งสองคนอย่างจริงจัง ความจริงของอุบัติเหตุคราวนั้นที่ถูกปิดตายเอาไว้ ผมนี่แหละจะเป็นคนเปิดเผยมันเอง!
จะไม่มีหุ่นเชิดที่ถูกชักใยอีกต่อไป…
ปี๊น! ปี๊น!
เสียงบีบแตรดังสนั่นหวั่นไหวจนพวกเราสามคนที่กำลังนั่งสุมหัวคุยกันถึงเรื่องทั้งหมดต้องรีบวิ่งออกมาดู แม่บ้านคนหนึ่งวิ่งหน้าตั้งเข้ามาด้วยท่าทางตกใจ
“บะ…บอสคะ นายน้อย หน้า…หน้าบ้านค่ะ…”
“ใจเย็นๆครับป้าหอม เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
ผมเข้าไปแตะไหล่ป้าหอมเบาๆเพื่อให้เธอสงบลง แต่ดูแล้วไม่น่าจะได้ผล สีหน้าเธอดูตกใจจนหน้าซีดไปสั่นไปหมด
“บอสครับ! แย่แล้วครับ!”
ยังไม่ทันที่ป้าหอมจะได้อธิบาย บอดี้การ์ดที่คอยเฝ้ารอบๆบ้านคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาเสียก่อน มีอะไรกันอีกล่ะเนี่ย
“มีอะไร”
“เมื่อกี้มีรถตู้เอา…เอา…”
“เอาอะไร”
“เอาคุณเฟี้ยวกับ…ใครอีกคนก็ไม่รู้มาโยนทิ้งที่หน้าบ้านครับ”
“อะไรนะ!!!”
คราวนี้เป็นเสียงของคุณอวกาศ เขารีบวิ่งฝ่าทุกคนออกไปทางหน้าบ้านอย่างร้อนรน ผมกับคุณจักรวาลรีบวิ่งตามไปติดๆ ยังไม่ทันจะถึงประตูรั้วใหญ่ บอดี้การ์ดสองคนก็แบกร่างไร้สติของไอ้เฟี้ยวกับ…
ไอ้โชเล่!!!
ทั้งสองคนถูกบอดี้การ์ดแบกเข้ามาในสภาพไม่น่าดู ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจากการถูกทำร้าย มีเลือดไหลซึมเสื้อผ้าออกมา แขนของไอ้เฟี้ยวห้อยโตงเตงลงข้างตัว บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าของร่างไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆอีกแล้ว
ตุ้บ…
“ไทม์!”
คุณจักรวาลรีบเข้ามาประคองผมที่ล้มทั้งยืนเมื่อเห็นสภาพของไอ้เฟี้ยว น้ำตามากมายหลั่งไหลออกมา ขณะที่ร่างของไอ้เฟี้ยวถูกส่งต่อให้คุณอวกาศ
“ตามหมอมา! โทรตามหมอที่เก่งที่สุดมาเดี๋ยวนี้!!!”
คุณอวกาศตะโกนลั่น เหล่าแม่บ้านกับบอดี้การ์ดรีบพากันกดโทรศัพท์ยกใหญ่ ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นถึงขนาดนี้ ผม…
“ใจเย็นๆนะ เฟี้ยวจะต้องไม่เป็นอะไร”
“เพราะผม…เพราะผมครับ”
ผมหันไปจับตัวคนข้างๆ ไม่สามารถหยุดน้ำตาเอาไว้ได้อีกแล้ว
“มันไม่ใช่เพราะนาย อย่าคิดแบบนั้น”
“ฮึก…อะ…ไอ้เฟี้ยว…ตะไม่เป็นไรใช่ไหมครับ ฮึก…”
“ไม่เป็นไร หมอนั่นจะต้องปลอดภัย ฉันสัญญา”
คุณจักรวาลกอดผมไว้แน่น กดศีรษะให้ซบลงกับอกแกร่งขณะที่ผมกำลังร้องไห้แทบขาดใจ ภาพไอ้เฟี้ยวที่เต็มไปด้วยบาดแผลยังติดตาอยู่เลย
“เข้าไปข้างในกันเถอะ ไปดูเฟี้ยวกัน”
ร่างสูงพยุงผมที่แข้งขาอ่อนแรงให้เข้าไปในบ้าน เฟี้ยวถูกพาตัวไปที่ห้องนอนส่วนตัวของคุณอวกาศ ส่วนโชเล่ถูกพาไปที่ห้องรับรองแขกเพื่อรอหมอมา พวกเราสามคนมานั่งเฝ้าเฟี้ยวอยู่ที่ห้องโดยที่คุณอวกาศกำลังถอดเสื้อผ้าของมันออกเพื่อเช็ดล้างคราบเลือดที่ติดตัว
“เด็กคนนี้อึดจะตาย ไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอกนะ”
ถึงจะพูดกับผมด้วยรอยยิ้มแบบนั้น แต่มือของคุณอวกาศที่กำลังถือผ้าไล่เช็ดเลือดให้ไอ้เฟี้ยวนั้นสั่นจนคนมองอย่างผมรู้สึกได้
หมับ…
“ฉันทำเอง”
“ไม่เป็นไรครับ ผมทำเองได้”
“นายไม่ไหวหรอก มือสั่นขนาดนี้ ถ้าสะเทือนมากๆอาจจะทำให้เฟี้ยวเจ็บแผลมากขึ้นก็ได้”
พอเจอเหตุผลนี้เข้าไป คุณอวกาศเลยต้องยอมปล่อยให้คุณจักรวาลเป็นคนเช็ดเลือดออกให้แทน ถึงคุณจักรวาลจะดูนิ่งที่สุดเมื่อเห็นสภาพของไอ้เฟี้ยว แต่สายตาของเขาที่มองไปยังร่างไร้สตินั้นดูทรมานกว่าคนนอนเจ็บเองหลายร้อยเท่า
กูขอโทษ ไอ้เฟี้ยว กูขอโทษ…
“เรียบร้อยแล้วนะคะ พยายามอย่าให้แผลโดนน้ำนะ จะได้หายเร็วๆ”
“ครับผม ขอบคุณมากนะครับ”
พยาบาลคนสวยฉีกยิ้มหวานก่อนจะเก็บอุปกรณ์ทำแผลทั้งหมดเดินออกจากห้องไป ไอ้โชเล่ที่มองตามหลังเธอจนมาเจอกับผมที่ยืนอยู่ตรงประตูพอดีร้องทัก
“อ้าวไอ้ไทม์ มาเยี่ยมกูเหรอ”
“ห้องมึงอยู่ห่างจากห้องกูไปแค่สิบก้าวเองนะ พูดเหมือนกูมาไกลเพื่อมาหามึงเลย”
ผมแค่นหัวเราะ เดินเข้าไปลากเก้าอี้มานั่งข้างๆมันที่นอนแบ็บอยู่บนเตียง หลังจากวันที่มันกับไอ้เฟี้ยวถูกซ้อมปางตายก็ผ่านมาสองวันแล้ว วันนี้เข้าวันที่สองพอดี ไม่อยากเชื่อว่าพวกมันจะรอดตายมาได้ หมอบอกว่าที่หมดสติไปเป็นเพราะเหนื่อยมากทั้งคู่ บาดแผลที่ได้รับมาไม่ได้ทำให้พวกมันหมดสติหรือใกล้ตายแต่อย่างใด
รู้สึกอยากจะทวงน้ำตาที่เสียไปคืนมามากๆ วันนั้นพอหมอมาตรวจอาการทำแผลและฉีดยาให้เสร็จ ไม่ถึงสองชั่วโมงมันสองคนก็ฟื้นลุกขึ้นมาคุยปร๋อ แถมยังแดกเก่งกว่าปกติอีกต่างหาก เล่นเอาพวกผมสามคนงงเป็นไก่ตาแตกไปเลย
แต่ว่า…พอไอ้โชเล่ฟื้นขึ้นมา คำถามแรกที่ออกมาจากปากมันก็คือไอ้เฟี้ยวอยู่ที่ไหน ปลอดภัยดีหรือเปล่า มันทำให้ผมรู้ได้ว่าถึงความเหี้ยที่มันทำไว้กับผมจะเป็นเรื่องจริงก็ตาม แต่ความเป็นเพื่อนที่มันมอบให้กับไอ้เฟี้ยวนั่นก็มาจากใจของมันด้วยเช่นกัน
แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่ผมจะให้อภัยในการกระทำของมัน อาจจะไม่สามารถเป็นเพื่อนกันได้อย่างสนิทใจเหมือนผมกับไอ้เฟี้ยว แต่อย่างน้อยผมก็ไม่คิดแค้นในสิ่งที่มันเคยทำไว้กับผมก็แล้วกัน สำหรับคนที่ให้ใจกับเพื่อนรักของผมอย่างมัน แค่ทำเป็นลืมๆเรื่องที่มันสร้างเอาไว้ซะทำไมผมจะทำไม่ได้
"ว๊ากกกก กูบอกว่าไม่ต้องไง กูเช็ดตัวเองได้ ออกไปเว้ยยย!”
“อะ…อีกแล้วสินะ”
ไอ้โชเล่นหันมาทำหน้าเจื่อนใส่ผมทันทีเมื่อได้ยินเสียงโวยวายของไอ้เฟี้ยวดังออกมาจากห้องของมัน นั่นก็เพราะตั้งแต่ไอ้เฟี้ยวฟื้นขึ้น คุณอวกาศก็คอยเฝ้าและดูแลอย่างดีถึงเจ้าคนเจ็บจะออกไปไล่แค่ไหนก็ไม่เคยท้อ
ช่างมีความพยายามเป็นเลิศเหลือเกินนะพี่ชายผม!
“แล้วมึงดีขึ้นหรือยัง ขยับตัวได้ใช่ไหม”
“สบายมาก กูกับไอ้เฟี้ยวเจอแบบนี้กันประจำอยู่แล้ว”
“แล้วจำไม่ได้เลยเหรอว่าเป็นพวกโรงเรียนไหนที่มาดักทำร้ายพวกมึง”
“ไม่ว่ะ มันมากันเยอะแล้วก็เร็วมาก กระทืบเสร็จก็ยังอุตส่าห์เอาพวกกูมาส่งถึงที่อีก จิตใจดีฉิบหาย”
ผมพยักหน้ารับในสิ่งที่มันเล่าและไม่คิดจะถามอะไรอีก สักพักก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆกำลังตรงมาที่ห้องนี้ ไอ้เฟี้ยวในสภาพเอผ้าหลุดลุ่ยวิ่งพรวดเข้ามากระโดดขึ้นเกาะไอ้โชเล่บนเตียงราวกับคนหนีตาย
“พวกมึงช่วยกูด้วยดิ ไอ้อวกาศแม่งจะลวนลามกูอีกแล้ว!”
“เฟี้ยว! นายจะวิ่งหนีทำไมเนี่ย ฉันแค่จะเช็ดตัวให้เฉยๆเองนะ”
คู่กรณีวิ่งตามมาติดๆ ในมือถือผ้าชุบน้ำอยู่ ทว่าไอ้คนหนีมาก็ไม่ยอมจะออกไปเช่นกัน มันดันไอ้โชเล่ให้มาช่วยบังตัวเองเอาไว้
“เช็ดตัวบ้านป้ามึงสิ! มึงเอาแต่เช็ดตรงหัวนมกูอย่างเดียว สะกิดไปมาอยู่ได้เป็นนาที อย่าคิดว่ากูรู้ไม่ทันความคิดมึงนะไอ้พวกชอบกินเด็ก!”
อึก!
คำด่าของมันทำเอาผมสะดุ้งไปด้วยหน่อยๆ นึกถึงคุณจักรวาลขึ้นมาทันที อย่างคุณอวกาศอายุยี่สิบหกยังโดนเรียกว่าไอ้พวกชอบกินเด็ก แล้วคุณจักรวาลที่อายุสามสิบห้ากับผมที่อายุเกือบจะสิบแปดล่ะ…
พรากผู้เยาว์เห็นๆเลยนี่หว่า
“ไม่เอาน่า ที่ฉันสนใจจุดนั้นของนายเป็นพิเศษเพราะมันอมชมพูน่ารักจนอดใจไม่ไหวต่างหาก”
“เห็นไหมล่ะ! อ๊ากกกก กูขยะแขยง ขนลุกโว้ยยย!”
มันยังคงหลบข้างหลังไอ้โชเล่ต่อไป โดยที่คุณอวกาศก็พยายามเกลี้ยกล่อมให้มันกลับออกไปหาเขา ไม่เห็นหนทางความรักของคู่นี้เลยแฮะ
“อวกาศ เลิกเล่นได้แล้ว ไปเปลี่ยนชุด ฉันต้องการให้นายไปที่บริษัทกับฉัน”
ความวุ่นวายเป็นอันต้องสะดุดเมื่อคุณจักรวาลในชุดสูทดูดีเตรียมพร้อมไปบริษัทเข้ามาห้ามทัพ ผมเหลือบมองเขาเล็กน้อยด้วยรู้ดีว่าเขากำลังจะไปไหนและทำอะไร
“ไหงงั้นอ่ะ ทำไมผมต้องไปด้วยล่ะพี่ ปกติก็ไปคนเดียวได้ไม่ใช่เหรอ”
“มันเป็นเรื่องด่วน และนายควรได้เรียนรู้เพราอีกไม่นานนายจะต้องเข้ามาช่วยฉันทำงาน”
“โห…พี่อ่ะ ไม่ไปไม่ได้เหรอ ผมจะอยู่กับเฟี้ยว…”
“กูอยู่คนเดียวได้! มึงไสหัวไปเลยนะไอ้เวร!”
“อย่ามางอแง ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว ฉันให้เวลาสิบนาที”
“สิบนาที! สิบนาทีผมยังไม่ได้ถอดกางเกงในเลยมั้งพี่”
“แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าทำไมจะต้องถอดกางเกงในด้วย?”
คุณจักรวาลย้อนถาม เออนั่นสิ แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าจะถอดกางเกงในทำไม
สุดท้ายเมื่อไม่สามารถขัดคุณจักรวาลได้ คนหัวขาวก็เดินกระทืบเท้าปึงปังไปทางห้องตัวเองอย่างหงุดหงิด คงจะอารมณ์เสียเพราอดอยู่ลวนลามไอ้เฟี้ยวมากกว่า…
“ฉันไปนะ พวกนายอยู่กันได้ใช่ไหม”
“ได้ครับ”
ผมตอบรับ เขาอ้าปากทำท่าจะพูดอะไรสักอย่างแต่มือถือดังขัดขึ้นเสียก่อนเลยกดรับสายแล้วเดินไปอีกทาง ในห้องเหลือแค่ผม ไอ้เฟี้ยว กับไอ้โชเล่แล้ว
“งั้นกูขออาบน้ำห้องมึงหน่อยแล้วกันนะไอ้โช ห้องกูเละเป็นสนามรบเลย”
“เออๆ ตามสบายเลย”
ไอ้เฟี้ยวเดินเข้าห้องน้ำไปอีกคน ได้ยินเสียงรถของคุณจักรวาลขับออกจากบ้านไปแล้ว พอไม่มีคุณอวกาศบ้านนี้เงียบไปเลยแฮะ ปกติจะต้องมีเสียงไอ้เฟี้ยวตะโกนด่าและไล่เขาดังลั่นไปทั่ว
ครืด…ครืด…
มือถือของไอ้โชเล่สั่นเบาๆ มันละสายตาจากทีวีที่กำลังดูไปกดรับสาย ไม่ถึงสามวินาทีหลังจากรับสาย มันก็เสียงดังขึ้นมาเรียกความสนใจจากผมที่กำลังจะเดินกลับห้องของตัวเองจนต้องนั่งลงบนเก้าอี้ใหม่อีกครั้ง
“ว่าไงนะ นี่พ่ออยู่ไหน หายไปไหนมาตั้งหลายเดือน รู้ไหมพ่อทิ้งผมให้เจอกับอะไรบ้าง!”
ยังคงโวยวายมันหยุด มันคุยสายต่ออีกไม่ถึงนาทีก็ลุกพรวดขึ้นจากเตียง ผมรั้งแขนมันเอาไว้ก่อนที่มันจะออกไป
“มึงจะไปไหน”
“ไปหาพ่อ พ่อกูโทรมา”
“พ่อมึงที่ว่าหนีไปเพราะเป็นหนี้พนันเหรอ”
“ใช่ ตอนนี้พ่อกูกลับมาแล้ว อยู่ที่บ้าน กูจะรีบไปหาพ่อ ให้กูไปเหอะ”
มันแกะมือผมออกแล้วเดินต่อ แต่ยังไม่ถึงไหนก็ทรุดเสียก่อน ผมรีบเข้าไปพยุงมันขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ไหวหรอก มึงเพิ่งหายเจ็บนะ”
“แต่กูเป็นห่วงพ่อ”
ผมลังเล มองใบหน้าที่ซีดเซียวของไอ้โชเล่สลับกับความคิดในหัวว่าจะเอายังไงดี
“งั้นเดี๋ยวกูไปเป็นเพื่อน ให้มึงไปคนเดียวมีหวังเป็นลมตายกลางทางก่อนเจอพ่อแน่ๆ”
“จริงเหรอวะ ขอบใจมากนะ!”
มันยิ้มกว้างอย่างดีใจ ผมค่อยๆพยุงไอ้โชเล่ไปที่หน้าบ้านเพื่อเรียกแท็กซี่ขึ้น บอดี้การ์ดที่เฝ้าอยู่เปิดทางให้ หากผมไม่ได้เรียกใช้พวกเขาจะไม่กล้าเข้ามาถามหรือวุ่นวายอะไรทั้งนั้น
ไม่นานนักก็มาถึงชุมชนใต้สะพาน ไอ้โชเล่ให้แท็กซี่จอดที่ทางเข้าแล้วเดินเข้าไปข้างในกับผมแค่สองคน บรรยากาศค่อนข้างจะคุ้นเคยเล็กน้อย แหงล่ะสิ เพราะผมเคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่งเพื่อตรวจสอบบางอย่างนี่นา!
“นี่แหละบ้านกู”
“พ่อมึงอยู่ข้างในสินะ”
มันพยักหน้ารับแล้วจัดการเปิดประตูรั้วเตี้ยๆของบ้านตัวเอง ส่วนผมก็ยังทำหน้าที่พยุงมันเข้าไปข้างในอยู่ เมื่อเข้ามาถึงในบ้านที่มืดและเงียบสนิทไร้สิ่งมีชีวิตได้ ผมก็กวาดตามองไปรอบๆเพื่อหาพ่อของไอ้โชเล่
“ไหนพ่อมึงวะ”
“…”
ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่ผมเรียก ไอ้โชเล่แกะมือผมออกแล้วเดินไปทิ้งตัวนั่งพิงกำแพงอยู่ตรงหน้าผม
“ไอ้โช ไหนพ่อมึงวะ”
ถามย้ำอีกครั้ง ทว่าอีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมตอบ มันแค่นหัวเราะเหมือนคนบ้าจนผมต้องขมวดคิ้วพลางคิดในใจ ‘โดนกระทืบจนสมองเพี้ยนไปแล้วหรือเปล่า’
“ไอ้ไทม์ มึงคุ้นๆกับไอ้นั่นหรือเปล่า”
มันชี้ไปยังโต๊ะวางหนังสือเตี้ยๆเหมือนโต๊ะญี่ปุ่นจนมุมห้อง ผมนิ่งไป รู้ว่าสิ่งที่มันกำลังชี้ให้ผมดูคืออะไร ในเมื่อครั้งก่อนตอนมาที่นี่คนเดียว ผมเห็นมันไปเรียบร้อยแล้ว
“นั่นมัน…”
แสร้งทำเป็นตกใจแล้วเดินไปหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาดู
“รายงานของกู…”
“ใช่ คนที่แอบเข้าไปขโมยมันน่ะ กูเอง”
“มะ…มึงหมายความว่ายังไงวะ ทำไมมึงต้องขโมยรายงานของกูด้วย”
“เรื่องนี้กูทำของกูเอง ไม่มีใครสั่งหรอก กูทำเพราะหมั่นไส้ไอ้หน้าตาไม่สนใจโลกของมึงไง”
แค่เพราะไม่ชอบหน้าตาที่ไม่สนใจโลกของกูถึงกับทำให้กูต้องทำรายงานใหม่ทั้งเล่มเนี่ยนะ ไอ้บ้านี่…เป็นเด็กประถมหรือไงฟะ!
“แล้วก็นั่น…”
คราวนี้ชี้ไปที่ตะกร้าผ้าซึ่งมีเสื้อผ้าจำนวนหนึ่งใส่อยู่ นั่นผมก็ตรวจสอบแล้วเหมือนกัน ถึงได้มั่นใจว่ามันคือคนที่คิดจะย่างสดผมที่โรงยิมในวันนั้น!
“กลิ่นน้ำมัน? รอยไหม้?”
ผมเดินไปหยิบเสื้อตัวที่อยู่บนสุดขึ้นมาดู ทำสีหน้าตกใจมองไปทางคนที่กำลังหัวเราะที่แผนการของตัวเองสำเร็จได้ด้วยดี
“หรือว่ามึง…”
“เออ กูเองที่เป็นคนเผาโรงยิมเพื่อฆ่ามึง”
“ทำไมวะ! เกลียดกันถึงขั้นจะฆ่ากันให้ตายเลยเหรอ มึงยังเด็กอยู่เลยนะไอ้โช ทำไมถึงคิดทำเรื่องเหี้ยได้ขนาดนี้แล้วล่ะ!”
“คนจนอย่างกู ทำได้ทุกอย่างเพื่อความอยู่รอด ถ้ามึงตายได้ พ่อกูก็จะปลอดภัย ชีวิตกูกับพ่อก็จะดีขึ้น!”
“หมายความว่ายังไง มึงไม่ได้ทำทั้งหมดนี้ด้วยตัวมึงเองแต่มีคนสั่งงั้นเหรอ!”
“หึๆ”
“หรือว่า คนที่มึงทำงานให้ก็คือ…คุณกวินทร์!”
ไอ้โชเล่แสยะยิ้มหนักขึ้นไปอีก ผมเหลือบตามองไปทางด้านหลังเล็กน้อยเพราะได้ยินเหมือนเสียงฝีเท้าคนกำลังใกล้เข้ามา
“เดาแม่นสมกับที่เป็นนักเรียนทุนอัจฉริยะจริงๆ”
“กูจะบอกคุณจักรวาลกับคุณอวกาศเรื่องนี้ อะไรก็ตามที่มึงคิดจะทำจะไม่มีวันสำเร็จ อั้ก!!!”
ความเจ็บปวดที่ท้ายทอยรุนแรงมากจนร่างกายทรุดลงไปกับพื้น มือข้างหนึ่งยกขึ้นกุมจุดที่โดนทำร้ายเอาไว้ก่อนจะหันไปมองหน้าคนทำ
พลั่ก!!!
เพียงเสี้ยววินาทีที่เห็นใบหน้าของคนที่ทำร้ายผม อีกฝ่ายก็ยกเท้าเตะเข้าที่ใบหน้าอีกครั้ง…
“อะ…ไอ้เฟี้ยว”
แล้วผมก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย…
บับเบิ้ลบิวชวนคุย :
มาอัพแล้วจ้า เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดเดือดแล้ว! แผนการของกวินทร์จะสำเร็จอย่างที่เขาต้องการจริงๆหรือเปล่า? แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับน้องไทม์ที่ถูกทำร้ายจนหมดสติกันล่ะ? สรุปแล้วเฟี้ยวแปรพรรคจริงๆเหรอเนี่ยยยยย~!!! ตามลุ้นกันได้ต่อในตอนหน้าจ้า
เรื่องนี้เปิดพรีแล้วนะคะ รายละเอียด
https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1681164&chapter=38 ตามนี้เลยยย มีของรางวัลให้ร่วมลุ้นร่วมสนุกด้วยน้า ตอนพิเศษสุดฟินอัดแน่นเต็มเล่มแน่นวลลลลล!
รายชื่อตอนพิเศษในเล่ม
- เมื่อผมต้องมีรักทางไกล 3 ตอนจบ (จักรวาลxไทม์)
- เมื่อผมกลายเป็นหมอแต่สามีดันขี้หึง! 3 ตอนจบ (จักรวาลxไทม์)
- ทำไมผมต้องออกเดตกับมัน 2 ตอนจบ (อวกาศxเฟี้ยว เรื่องราวก่อนเฟี้ยวจะไปเรียนต่อ จุดเริ่มต้นของเล่มมินิสเปฯ)
- ทิ้งท้ายฟินๆกับ "2ปีที่เฝ้ารอ" คืนวันเกิดอายุครบ 20 ปี ของน้องไทม์!
100 คนแรกที่โอนเงินจะได้รับมินิสเปฯ “จะรุกจนกว่าจะรัก” ฟรี! ( เรื่องของอวกาศXเฟี้ยว ) มีจำนวนจำกัดแค่ 100 เล่มเท่านั้นจ้า
พิเศษสำหรับนักอ่านที่สั่งซื้อเข้ามา จะได้รับสิทธิ์ร่วมลุ้นหมอนไดคัทขนาด 24 นิ้ว รูปจักรวาล น้องไทม์ อวกาศ และเฟี้ยว ไปนอนกอดเลยจ้าาาา ( มีลายละ 2 ใบ สุ่มแจก คนละ 1ใบ/1ลาย จะมีผู้โชคดีได้ไปนอนฟัดเหวี่ยงให้หนำใจ 8 คน จ้า )
สุ่มแจกเข็มกลัดลายหนุ่มๆอีก 30 รางวัล ด้วยนะคะ ( ทั้งสิ้น 30คน/1ชิ้น )
และเผื่อนักอ่านจะกังวลว่าเปิดพรีฯแล้วจะอัพต่อจนจบมั้ย ขอย้ำว่าอัพต่อจนจบนะคะ! แต่จะอัพแค่เฉพาะเนื้อหาหลักเท่านั้น ซึ่งไม่ต้องห่วงเลยว่าจะค้างคา เนื้อหาหลักจะเฉลยปมครบถ้วนทุกอย่างจ้า ยกเว้นตอนพิเศษที่ขอสงวนไว้ให้กับนักอ่านที่สั่งซื้อเข้ามาเท่านั้นจ้า